เหลี่ยมกุหลาบ
เพราะทนคำครหาของใครต่อใครไม่ไหวอีกต่อไป และต้องการแก้ไขความผิดพลาดในอดีต วรรษชลจึงตัดสินใจชวนเพื่อนรักปลอมตัวเข้าไปอยู่ในบ้านของมาเฟียหนุ่ม ที่ความจำเสื่อมในฐานะ เพื่อนและคู่หมั้นสาวแสนสวย เพื่อสืบหาความเป็นจริงของคดี

แต่ใช่ว่ามันจะง่ายอย่างที่คิด เมื่อเธอต้องเจอกับ มหาสมุทร ชายหนุ่มผู้ทำท่าเหมือนจะรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของพวกเธอ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 3 การมาของคนในความทรงจำ (1)



วรรษชลก้มลงกราบหญิงสูงวัยท่าทางสง่างามเจ้ายศซึ่งนั่งอยู่บนชุดรับแขกไม้อย่างสวยงามที่สุด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มหวาน หญิงสาวพิศมองผู้สูงวัยกว่าด้วยความชื่นชม คุณรวยรื่น คุณยายของขจีเนตรซึ่งลูกสาวของเจ้าพระยาอะไรสักอย่างเธอเองก็จำได้ไม่แน่ชัดนัก ยามนี้แม่ว่านางจะอายุเกือบเจ็ดสิบแล้ว แต่ก็ยังดูสวยพริ้งเหมือนเพิ่งอายุห้าสิบกว่าๆ แต่ที่เหนือกว่าความสวยของคุณรวยรื่น ก็คงจะเป็นดวงตาคมที่ปรายตามองมายังเธอ จนทำให้รู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาว

“ว่าไงล่ะแม่ฝน มีอะไร”คุณรวยรื่นเชิดหน้า ถามเสียงเข้ม ราวกับไม่พอใจใครอยู่อย่างนั้นแหละ

“เอ่อคือ..หนู”วรรษชลเกิดน้ำลายฝืดคอขึ้นมาเสียเฉยๆ ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกไป ไม่รู้ว่าความมั่นใจที่เคยมีเปี่ยมล้นมันหายไปไหนเสียหมด ยามต้องอยู่ต่อหน้าผู้หญิงสูงวัยคนนี้

จนขจีเนตรต้องเป็นฝ่ายเกริ่นนำเสียก่อน

“คุณยายคะ คือฝนเขามีเรื่องต้องการความช่วยเหลือจากหนูน่ะค่ะ” ขจีเนตรตอบอย่างเรียบร้อย ก่อนขยิบตาให้เธอเป็นเชิงบอกให้เธอเริ่มพูดเสียที

“คือหนูอยากจะขอยืมตัวจีจี้..เอ้ย ขจีเนตรไปช่วยงานที่ต่างจังหวัดสักพักน่ะค่ะ”
วรรษชลนึกอยากตบปากตัวเองเสียจริง เธอเผลอเรียกชื่อเล่นของเพื่อนรักออกไปต่อหน้าคุณรวยรื่น โดยลืมไปว่าฝ่ายนั้นน่ะ ไม่ยอมรับชื่อเล่นของเพื่อนรักมาแต่ไหนแต่ไร ถ้านึกอยากจะเรียกชื่อเล่นเพื่อนขึ้นมา ก็เรียกเพียงแค่ จี เฉยๆ แต่ดูเหมือนคราวนี้คุณรวยรื่นจะไม่ได้ว่าอะไร ขึงตามองเพียงครู่ก่อนจะปรับสายตาเป็นปกติ

“ช่วงงานอะไร ที่ไหนรึ”

“ไปราชบุรีค่ะ ไปไม่นานหรอกนะคะคุณยาย” เธอเอ่ยเสียงหวานเอาใจ

“ราชบุรีเลยรึ....แล้วไม่นานของเธอน่ะ กี่วันกันเชียวล่ะ จะพาหลานของฉันไปตกระกำลำบากหรือเปล่า ราชบุรีน่ะ ใช่ว่าจะเจริญอย่างที่นี่ มีป่าเขาก็เยอะ จะให้แม่จีเขาไปตกระกำลำบากบุกป่าฝ่าดงหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ฉันไม่อนุญาตหรอกนะ คราวก่อนที่มาขอไปเรียนภาษาอังก่ง อังกฤษอะไรนั่นฉันก็ปล่อยให้ไปทีนึงแล้ว กลับมาแม่จีก็ดูแปลกไปพักหนึ่ง คราวนี้ถ้าเป็นแบบนั้นอีก ฉันก็คงไม่ไหว”
วรรษชลถึงกับยิ้มแห้ง ตอบไม่ถูกกันเลยทีเดียว

“ไม่หรอกค่ะคุณยาย ราชบุรีไม่ได้ลำบากเลยนะคะ เดี๋ยวนี้เขาเริ่มพัฒนาเป็นเมืองท่องเที่ยวแล้ว ถึงจะไม่เจริญเท่ากับกรุงเทพ แต่ก็ไม่ได้ลำบากนะคะ” ขจีเนตรพยายามโน้มน้าวใจแทนเธอ “หนูเองก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดที่จะเป็นอะไรง่ายๆหรอกนะคะคุณยาย แล้วอีกอย่างคงไปไม่นานหรอกค่ะ”

ขจีเนตรขยิบตา ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนรัก

“เอ่อ...ค่ะ คิดว่าคงไม่เกินสัปดาห์หรอกนะคะ” หญิงสาวบอกเวลาที่แน่นอนไม่ได้ แต่ก็มั่นใจว่ามันคงไม่นานเกินกว่านี้เป็นแน่ เธอก็ไม่ใช่คนไม่มีความสามารถ แค่สืบเรื่อง ‘แค่นี้’ คงไม่ยากเท่าไหร่

“ก็ได้...แต่ยายก็มีข้อแลกเปลี่ยนกับเรานะจี”นางหันไปพูดกับขจีเนตร ท่าทางวางอำนาจ “กลับมาเราต้องไปทำความรู้จักกับพ่อธีร์ให้มากกว่านี้ แล้วคิดเรื่องหมั้นหมายกันได้แล้ว ควงกันไปควงกันมาอยู่ตั้งหลายเดือน ชาวบ้านเขาจะครหานินทาเอาได้ เราเป็นผู้หญิง เราจะเสียหาย”

ขจีเนตรทำหน้าเจื่อน วรรษชลรู้ว่าเพื่อนของตนไม่อยากจะให้มันเป็นแบบนั้น จึงได้คิดจะทักท้วง แต่เหมือนขจีเนตรจะรู้ทันความคิดของเธอ จึงได้ชิงพูดขึ้นก่อน

“ได้ค่ะ เอาเป็นว่ากลับมาหนูจะติดต่อกับคุณธีร์ คุยเรื่องหมั้นหมายกันเลยนะคะ”
แล้วคุณรวยรินก็ทำเสียงเขียวขึ้นมาทันที

“ได้ยังไงกัน เป็นผู้หญิงจะไปชวนผู้ชายให้มาหมั้นตัวงั้นรึ ใช้ได้ที่ไหน เดี๋ยวยายจัดการเองแม่จี ไปเที่ยวให้สนุกเถอะ”

“ยายจี้ ฉันรู้สึกผิดกับเธอจังเลย”

วรรษชลหน้าเจื่อน แสดงความรู้สึกผิดจริงๆ อาจจะเป็นเพราะคิดเอาเองว่าตัวมีส่วนที่ต้องทำให้ขจีเนตรต้องหมั้นหมายกับธีรวิทย์เร็วขึ้น แต่เปล่าเลย เป็นคุณยายของเธอเสียอีกที่ใช้วรรษชลเป็นข้ออ้างเพื่อให้เธอต้องหมั้นหมายเร็วขึ้น

“ไม่หรอกฝน คุณยายของเราเขาให้เธอเป็นเครื่องมือต่างหาก เธอไม่ได้ตั้งใจนี่”

“ไหงทำหน้าปลงตกแบบนั้นล่ะจีจี้ เธอจะยอมคุณยายง่ายๆเหรอ ข้ออ้างอะไรของเขาน่ะ เธอแค่ไปกินข้าวดูหนังกับนายธีร์อะไรนั่นไม่กี่ครั้งกลัวคนนินทา นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้ว แค่กินข้าวด้วยกันใครเขาจะคิดอะไร”

วรรษชลทำท่ากระฟัดกระเฟียดไม่พอใจราวกับจะโดนจับหมั้นเสียเอง

“เราบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร ทำไมฝนต้องโกรธแทนเราขนาดนั้นด้วย” ขจีเนตรหัวเราะเบาๆอย่างนึกเอ็นดูเพื่อนรัก “คุณธีร์เขาเป็นคนดีนะฝน เราคบกับเขาตั้งแต่กลับมาจากแคนนาดาไม่นาน คุณธีร์เขาดีกับเรามากนะ สุภาพมาก ไม่เคยล่วงเกินเราเลยสักครั้ง ทั้งที่เรามีโอกาสใกล้ชิดกัน”

ขจีเนตรนึกถึงใบหน้าของธีร์วิทย์ เขาเป็นผู้ชายร่างสูงโปร่ง ใส่แว่นกรอบทองตีหน้าขรึมสมกับเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เขาสุภาพอ่อนน้อมกับเธออย่างมาก แม้ว่าเมื่ออยู่ด้วยกันมันจะเต็มไปด้วยความจืดชืดเพราะทั้งเธอและเขาต่างเป็นคนเรียบร้อย แต่มันก็ดีไม่ใช่หรือ

“ทำหน้าเศร้าอีกแล้วนะจี้” วรรษชลคว้ามือเธอมากุมไว้ แล้วเขย่าเบาๆเหมือนต้องการเตือนสติ “เธอนี่ดื้อจังเลย ทำไมถึงยอมทำตามที่คุณยายบอก เธอไม่ได้ชอบคุณธีร์อะไรนั่นสักหน่อย”

ขจีเนตรยิ้มบางๆ มองเพื่อนด้วยความเต็มตื้น

“เราอาจจะยังไม่ชอบคุณธีร์ แต่เขากับเราก็ไปด้วยกันได้ อาจจะจืดชืดไปสักนิด แต่เราก็มั่นใจได้ ว่าครอบครัวของเราจะต้องมีความสุขแน่ๆในอนาคต คุณธีร์เขาเป็นคนดี”

วรรษชลสะบัดมือเธอทิ้ง กรอกตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“คำก็คนดี สองคำก็คนดี ฉันไม่เข้าใจเธอจริงๆเลยนะจีจี้ คนดีน่ะ ทำให้เธอมีความสุข แล้วรู้สึกหัวใจพองโตได้ตลอดเวลาได้เหรอ เธอเนี่ยสมกับเป็นกุลสตรีศรีสยามยุคโลกาภิวัตน์จริงๆให้ตาย” วรรษชลถอนใจอย่างยอมแพ้ ก่อนจะเอ่ยต่อ “ตอนนี้เธอไปกับฉันก่อนแล้วกัน เราจะต้องปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่างก่อนที่เราจะไปราชบุรีกันพรุ่งนี้”

“พรุ่งนี้เลยเหรอ ไม่เร็วไปหน่อยหรือไง”

“คุณคนเล็กกำลังจะออกจากโรงพยาบาลวันนี้แล้ว และคงจะกลับราชบุรีวันนี้เลยด้วย เพราะฉะนั้นเราจะช้าอยู่ไม่ได้ รีบไปเราจะได้รีบกลับ”


วรรษชลพาขจีเนตรมาที่ห้างสรรพสินค้า เพื่อเลือกซื้อเสื้อผ้า โดยตกลงกันว่าขจีเนตรจะเป็นฝ่ายเลือกชุดที่เธอคิดว่าสวย เรียบร้อย ดูดีให้กับวรรษชล ส่วนเธอก็จะเป็นฝ่ายเลือกให้กับเพื่อนรักแทน วรรษชลไม่มีปัญหาอะไรกับการเลือกเสื้อผ้าและครีมย้อมผมดำแบบโฟมที่หาซื้อได้ง่าย แต่สำหรับเพื่อนรักเธอนี่สิ

“ไม่ได้นะฝน เราย้อมผมทองไม่ได้” ขจีเนตรยื้อยุดฉุดกระชากอยู่กับเธอตรงหน้าร้านทำผม เพราะเธอบอกว่าขจีเนตรต้องทำผมสีทองเพื่อให้ดูเปรี้ยว “ถ้ากลับบ้านไปยายเห็นต้องฆ่าเราตายแน่ๆ”

วรรษชลกรอกตาอย่างนึกรำคาญขึ้นมานิดหนึ่ง

“ไม่ย้อมก็ไม่ย้อม แต่เธอต้องตัดผมสักหน่อย ไอ้ผมตรงยาวกับหน้าม้าทื่อๆของเธอเนี่ย มันให้อารมณ์เหมือนซาดาโกะยังไงก็ไม่รู้ ไปเถอะไป”

ผลที่สุดขจีเนตรก็ยอมตามาในร้าน แม้ว่าตอนนี้แผนการเปลี่ยนให้ขจีเนตรเป็นสาวเปรี้ยวเข็ดฟันจะล้มเหลว แต่ใช่ว่าจะทำให้เธอดูแตกต่างจากปัจจุบันโดยไม่เปลี่ยนสีผมนั้นก็ไม่น่าจะยาก วรรษชลสั่งให้ช่างซอยผมหนาๆของเพื่อนให้บางลงและดูมีวอลลุ่ม ส่วนหน้าม้าก็ให้ทำให้บางและเปลี่ยนเป็นหน้าม้าปัดแทน แถมด้วยกันคิ้วและติดขนตาปลอมอย่างหนาเพื่อเพิ่มมิติให้กับดวงตาเธอ

จนกระทั่งเสร็จ วรรษชลไม่นึกมาก่อนเลยว่าเพื่อนเธอจะสวยได้ขนาดนี้

ขจีเนตรเองก็คงจะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเหมือนกัน เพราะเห็นจ้องกระจกอย่างตกตะลึงอยู่เป็นนานสองนานแล้ว

“เป็นไง แค่นี้ก็สวยหวานแล้ว เดี๋ยวเปลี่ยนเครื่องแต่งกายและแต่งหน้าสักหน่อย รับรองได้ว่าทุกคนต้องเชื่อหมดใจแน่ๆว่าเธอคือคนรักของคุณคนเล็กที่มาจากเมืองนอก เรื่องเงินไม่อั้นนะ ฉันมีบัตรเครดิต ติดหนี้ไว้ก่อนเพื่ออนาคต แล้วค่อยผ่อนจ่าย แต่ถ้าจี้จะช่วยฉันออกนิดๆหน่อยๆก็ไม่ว่าหรอกนะ ฉันยินดี”

เสร็จแล้ว วรรษชลก็เดินนำเพื่อนรักไปยังร้านเครื่องสำอางทันที เธอเลือกอายไลน์เนอร์ มาสคาร่า บลัชออน อายแชร์โดวส์ แป้งไฮไลท์ และอื่นๆอีกมากมาย พร้อมด้วยลองให้ช่างสอนแต่งหน้าให้ขจีเนตร เพื่อแต่งเองแบบเปลี่ยนลุคเป็นสาวมั่นทันสมัย และดูเฉี่ยวๆ ซึ่งช่างแต่งหน้าประจำเค้าท์เตอร์ก็ทำได้ดีเกินคาด วรรษชลพอใจกับเพื่อนรักมาก จึงได้นำไปยังร้านเสื้อผ้าต่อ หญิงสาวพาเพื่อนไปลองชุดต่างๆที่สีสันจัดจ้านบ้าง กระโปรงสั้นบ้าง เสื้อโชว์ไหล่บ้างตามแบบที่จะเหมาะกับร่างของเพื่อนรัก ที่ออกจะมีเนื้อมากกว่าเธอสักหน่อย บางตัวที่มันสั้นเกินไปก็ซื้อถุงน่องหรือแลคกิ้งดำไว้ เพื่อเพิ่มความเซ็กซี่แบบไม่โป๊ ตบท้ายด้วยการเลือกรองเท้าส้นสูงสักสองสามคู่ที่ส้นไม่สูงมากนัก เป็นอันเสร็จพิธี


มหาสมุทรเดินนำชายชุดดำสามสี่คนมายังห้องจ่ายเงินของโรงพยาบาล ก่อนจะติดต่อรับคนไข้ออกจากโรงพยาบาล หลังจากพักฟื้นอยู่ที่นี่เกือบสัปดาห์ แม้ว่าผนินทรจะยังไม่หายดีมากนัก มีอาการซึมและประสาทรับรสยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทาง แต่มันก็อันตรายเกินกว่าที่จะให้ผนินทรอยู่ที่นี่ต่อ หลังจากเมื่อสามสี่วันก่อนมีผู้หญิงต้องสงสัยบุกเข้ามาถึงห้องของผนินทรได้โดยง่าย เขาก็ไม่ไว้ใจในสถาการณ์อีก การพาผนินทรกลับไปที่ราชบุรีเป็นหนทางที่ดีที่สุด อย่างน้อยคนที่จ้องจะทำร้ายผนินทรก็คงจะไม่กล้าบุกเข้าถ้ำเสืออย่างแน่นอน

เมื่อเขากลับเข้ามาในห้อง ก็พบว่าผนินทร์เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว โดยมีพยาบาลสองคนยืนอยู่ใกล้ๆ คาดว่าคงคอยช่วยเหลือชายหนุ่มเปลี่ยนชุด ผนินทรหันมามองเขา แล้วส่งยิ้มให้อย่างคนคุ้นเคย ตอนนี้ผนินทรจำเรื่องในอดีตได้บ้างแล้ว เป็นเรื่องสมัยก่อนที่เขาจะไปเรียนที่แคนนาดา จำบิดามารดาและพี่สาวของเขาได้ แต่จำไม่ได้ว่าท่านทั้งสามได้จากโลกนี้ไปแล้ว

“พี่คลื่นมาพอดี”ผนินทรเอ่ยทักอย่างเป็นกันเอง “ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย พร้อมกลับบ้านแล้วครับ”

ท่าทางของเขาไม่ต่างจากเมื่อแปดปีที่แล้ว เขาดูคล้ายเด็กอายุสิบแปดสิบเก้า มากกว่าผู้ชายอายุยี่สิบเจ็ดอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็แล้วแต่ เขาเชื่อว่าไม่นานเมื่อความจำของผนินทรกลับมาทั้งหมด ชายหนุ่มก็คงจะกลับมาเป็นปกติ

“ผมจัดการเรื่องค่ารักษาพยาบาลเสร็จเรียบร้อยแล้วเหมือนกันครับ เราจะกลับกันตอนนี้เลย” มหาสมุทรบอกเรียบๆ ก่อนจะเข้าไปช่วยพยาบาลพยุงให้นั่งลงบนเก้าอี้รถเข็น

ผนินทรเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยแววตาเป็นประกาย

“ผมคิดถึงพี่ใหญ่ พ่อแล้วก็แม่ครับ ท่านไม่ยอมมาเยี่ยมผมเลย อ้อ คิดถึงมูมู่ด้วย”

มหาสมุทรสบตาพยาบาลแววหนึ่งด้วยความสลดใจ ผนินทรเรียกหาแต่คนที่ตายแล้วทั้งนั้น รวมทั้งมูมู่ สุนัขที่เขารักมาก ซึ่งตายไปตอนที่ผนินทรเรียนอยู่แคนนาดา แต่มหาสมุทรก็ไม่ได้ขัดแต่อย่างใด เขาเข็นรถเข็นให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง

ผนินทรมองระหว่างทางจากตัวอำเภอเมืองราชบุรีที่ค่อยๆเปลี่ยนจากตึกแถวและอาคารพาณิชย์ กลายเป็นทุ่งนาและบ้านเรือนหลังเล็กมาแทนที่ ภาพความทรงจำบางอย่างในสมัยเด็กกลับคืนมาบ้าง มีบางแห่งที่เขาจำได้ คลับคล้ายคลับคราว่าเคยผ่าน จนกระทั่งถึงสถานที่ที่มหาสมุทรบอกกับเขาว่ามันคือ บ้าน

บ้านของเขามีทางเข้าที่ค่อนข้างลึกลับซับซ้อนอยู่ในแมกไม้ เป็นที่ส่วนบุคคลที่ไม่ใช่ใครก็เข้าไปได้เพราะมียามรักษาความปลอยภัยคุ้มกันอยู่หลายจุด ประตูรั้วมีการปลูกต้นไม้อย่างต้นเฟื่องฟ้าปกคลุมหนาทึบเป็นรั้วธรรมชาติกั้นไว้อีกทางนอกเหนือจากประตูรั้วไม้สูงเกือบสามเมตร ทันทีที่รถตู้ส่วนตัวของเขาจอดเทียบหน้าประตู ยามรักษาความปลอดภัยที่นั่งคุยอยู่กับชายชุดซาฟารีสีดำก็กระวีกระวาดกันทำความเคารพ และเลื่อนประตูรั้วให้ทันที

ระยะทางจากประตูรั้วด้านหน้ากับตัวบ้านไม่ไกลกันมากนัก สองข้างทางเป็นสวนหย่อมเล็กๆดูร่มรื่นและสงบเงียบเป็นส่วนตัวไม่น้อย จนเมื่อรถยนต์จอดสนิทด้านหน้า มหาสมุทรก็สั่งให้คนพยุงเขานั่งบนรถเข็น เขามองเข้าไปในตัวบ้านไม้สองชั้นหลังใหญ่แข็งแรงทนทานนั้น ทำให้เขาคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข หัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันทีที่ได้เห็น ความรู้สึกเขาบอกว่าสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ตรงหน้าเขานี้คือสถานที่ที่ทำให้หัวใจของเขาพองโต

“ผมคุ้นเคยกับที่นี่มาก หัวใจผมบอกแบบนั้น”ผนินทรหันไปบอกมหาสมุทรที่เดินตามอยู่ไม่ไกล

“บ้านหลังนี้แม้จะมีการปรับปรุงเล็กน้อยหลังจากที่คุณไปเรียนต่อ แต่มันก็ไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก คุณคงคุ้นเคยกับมันได้ไม่ยาก เพราะคุณอยู่กับมันมาตั้งแต่เด็ก”

ผนินทรเห็นด้วยกับมหาสมุทร ที่เขารู้สึกแบบนี้ก็คงเป็นเพราะว่าเช่นนั้นนี่เอง

“ที่นี่ผมจะได้พบพ่อ แม่ และก็พี่ใหญ่ใช่ไหม”เขาหันไปถามมหาสมุทรอย่างมีความหวัง แต่รายนั้นกลับนิ่งงันไม่ตอบอะไร เขาจึงหันไปถามชายชุดดำที่รายล้อมเขาอยู่

แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบเช่นเดิม

“นี่มันหมายความว่าอะไรกันแน่ พวกคุณปิดบังอะไรผมอยู่กันแน่ ว่าไงพี่คลื่น” เขาทำเสียงเข้มและจริงจังขึ้นมา ยังไงเสียเขาก็ต้องรู้ความจริงให้ได้ “ถ้าพวกคุณไม่บอกผม ผมก็ฆ่าตัวตายให้ดู”

เขาใช้ไม่แข็ง หวังว่าจะได้รับความเห็นใจจากมหาสมุทร แต่กลับตรงกันข้าม มหาสมุทรก้าวยาวๆเข้ามาใกล้ จับไหล่ของเขาและบีบมันอย่างแรง ถลึงตาใส่เขา กัดกรามด้วยความโกรธ

“ฟังไว้นะคุณคนเล็ก ไม่ว่าตอนนี้คุณจะความจำเสื่อมหรือกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปแล้วจริงๆ แต่คุณก็ต้องจำไว้ว่าลูกชายคนเดียวของตระกูลพรรังสรรค์...ไม่สิ ไม่ใช่แค่ลูกชายคนเดียว แต่คุณคือตระกูลพรรังสรรค์ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว คุณต้องเข้มแข็ง และบริหารกิจการทั้งหมดต่อจากคุณพ่อของคุณ คุณห้ามคิดอะไรปัญญาอ่อนแบบการฆ่าตัวตายอีกเป็นอันขาด”

ผนินทรสบตาวาวโรจน์ของมหาสมุทรด้วยความกลัว...

แต่คำพูดของลูกพี่ลูกน้องหนุ่มคนนั้นทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอะไรบางอย่าง...


“พี่คลื่นหมายความว่ายังไง ที่ว่าผมเป็นตระกูลพรรังสรรค์คนเดียวที่เหลืออยู่....” แม้ว่าใจของเขาจะรู้คำตอบอยู่กรายๆ แต่เขาก็ยังจะถามออกไปเพื่อให้แน่ใจ

มหาสมุทรยิ้มมุมปากเหมือนนึกสมเพช ก่อนจะเอ่ยว่า

“รถคันที่คุณประสบอุบัติเหตุ ไม่ได้มีแค่คุณคนเดียว แต่คุณใหญ่ แล้วก็คุณพ่อคุณแม่คุณ ท่านทั้งสามก็นั่งไปด้วย และท่านก็เสียชีวิตทั้งหมด”





ศิลป์ศรุตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ก.ค. 2554, 13:15:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ก.ค. 2554, 13:15:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 1657





<< ตอนที่ 2 แผนการอันแยบยล   ตอนที่ 3 การมาของคนในความทรงจำ (2) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account