...คาสบลังก้า...ดารัลฟาเดล...(จบแล้วค่ะ)
สืบเนื่องมาจากเรื่อง "อะรูซะตี...เจ้าสาวของผม"
เรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวของลูกสาวสุดหวงของหมอดานีส
กับนาดา โดยเรื่องราวของคุณพ่อเมื่ิอครั้งก่อนนั้น
จะเป็นแนา "แต่งก่อนจีบ"
แต่สำหรับรุ่นลูกแล้ว จะเป็นแนว "จีบก่อนแต่ง"

ต้องมาคอยดูกันค่ะว่า จะจีบกันอย่างไร แล้วคุณหมอดานีส
ที่ต้องมารับบทบาทเป็นพ่อของลูกทั้งเจ็ดจะตกอยู่ในสภาพเช่นไร..
แล้วนาดาจะเป็นแม่แบบไหน...



เรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศของเมือง
"คาสบลังก้า" หรือ "อัดดารัลบัยฎออ์"
ซึ่งแปลว่า..."บ้านสีขาว"
ดินแดนในฝันดั่งต้องมนต์เสน่หาแห่งโมร็อกโก...
กับดินแดนอันแสนอบอุ่นด้วยไอรักแห่งแดนอาทิตย์อุทัย...

พบกับเขาและเธอ...

...ดารัล...ฟาเดล...

หญิงสาวที่หัวใจเปี่ยมล้นไปด้วยความรักความอบอุ่น
จากครอบครัวอันแสนสุขและน่ารัก...
ชีวิตที่มีพร้อมทุกอย่าง ไม่เคยต้องการสิ่งใดอีกแล้ว
เพราะเธอพอใจทุกอย่างที่มีมาตลอด

จนเมื่อเจอกับเขา...ที่นั่น "คาสบลังก้า"
เขาทำให้เธอไม่อาจลบลืมมนต์เสน่หาของที่นั่นได้เลย
ไม่ว่าจะยามหลับหรือตื่น...

กับ

ชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยรูปเปลือกที่สวยงามสมบูรณ์
หากภายในใจนั้นยังคงโหยหาไออุ่นแห่งรักจากใครสักคน
มาเติมเต็มหัวใจกำพร้าของเขา...

แล้วเธอคือผู้ที่เขาค้นพบว่ามีทุกอย่างที่เขากำลังต้องการอยู่
ดังนั้น...ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร เขาก็จะปล่อยเธอ
ไปไม่ได้โดยเด็ดขาด!




Tags: หวานซึ้งโรแมนติก ดราม่า โมร็อกโก คาสบลังก้า ทะเลทรายซาฮาร่า ดารัล ฟาเดล โสภณพสุธ

ตอน: บทที่ 15 ร้ายเดียงสา


“พี่ฟาเดลคะ…”

ฟาฮาน่าเรียกชายหนุ่มเอาไว้เมื่อเขากำลังเดินผ่านศาลา
เพื่อจะไปยังห้องทดลองวิจัยที่อยู่ด้านในเข้าไป…

“ว่าไง…อ่านหนังสืออยู่เหรอ…”
ฟาเดลหันมายิ้มให้สาวน้อยที่กำลังอ่านหนังสือและทำรายงานอยู่…

“เข้ามานั่งคุยกันหน่อยสิคะ…”ฟาฮาน่าเชื้อเชิญฟาเดลด้วยรอยยิ้มบาง…
ฟาเดลเลิกคิ้วนิดนึงก่อนจะเดินเข้าไปหา นั่งลงยังฝั่งตรงข้าม…

“ว่าไง…มีอะไรจะให้พี่ช่วยก็ว่ามาเลย…วันนี้พี่ว่างทั้งวัน…”

“พี่ฟาเดลไม่ไปไหนเหรอคะ…”

“วันนี้พี่ตั้งใจจะลองเอาเจ้าต้นดอกแคอีกต้นมาลงในสวนน่ะ…
ได้ดินมาเพิ่ม…กับพันธุ์ดอกสีแดงมาแล้ว…ต้นก่อนนั้นดอกสีขาว”

“ดิน?”ฟาฮาน่าเลิกคิ้วนิดนึงอย่างไม่เข้าใจ

“ใช่…ดินที่เหมาะกับมัน…”

“ดินมันมีหลายชนิดเหรอคะ…”เด็กสาวขมวดคิ้วเล็กน้อย

“เอ่อ…คือ…ฮาน่าคิดว่าดินก็คือดินน่ะค่ะ…”
ฟาเดลยิ้มบางเมื่อได้ยินคำสารภาพเช่นนั้น

“คนทั่วๆไปก็มักจะคิดแบบเดียวกับฮาน่า…
แต่จริงๆแล้วต้นไม้หรือพันธุ์ไม้แต่ละชนิดนั้นจะขึ้นตามแต่ดินที่เหมาะกับมัน
มันเลือกนะ…และแน่นอนว่าดอกแคมันคงไม่ยอมขึ้นง่ายๆในดินแดนนี้แน่ๆ
พี่ก็เลยต้องหาดินที่เหมาะกับมัน และเอามันมาลงในกระถาง…

คงจะเอาลงดินเหมือนไม้อีกหลายๆชนิดไม่ได้
เพราะดินที่นี่กับดินที่ต้นดอกแคชอบมันไม่เหมือนกัน…
และพี่คงต้องคอยสังเกตอาการมันด้วย…ว่ามันจะถูกใจอากาศของที่นี่แค่ไหน
มันพอจะอยู่ไหวมั้ย…จะออกดอกให้พี่รัลของเราเอาไปแกงส้มได้รึเปล่า…”

ฟาฮาน่าสังเกตเห็นทุกครั้งว่าเมื่อคนตรงหน้าเอ่ยถึงภรรยาสุดที่รักเมื่อไหร่
ก็มักจะมีแววตารักใคร่เอ็นดูอยู่เสมอ…

จะว่าเจ็บก็เจ็บนะ…ยอมรับตามตรงล่ะว่าลึกๆแล้วยังรักผู้ชายคนนี้อยู่
รักทั้งๆที่รู้ดีว่าเขาไม่รักเราในแบบที่เรารักเลย…และจะไม่มีวันรักแน่ๆ

ยิ่งอะไรที่พอจะทำให้ดารัลได้ เขาก็ดูจะกระตือรือร้นที่จะทำมัน

ตอนแรกเธอคิดว่าผู้ชายคนนี้กำลังหลงผู้หญิงคนหนึ่งแบบหัวปักหัวปำ
แต่เมื่อได้สังเกตดู…จึงพบว่าไม่ใช่ความหลง…แต่เป็นความรัก
รักในแบบที่ยอมทำเพื่อเธอได้ทุกอย่าง…

และก็ต้องยอมรับอย่างบริสุทธิ์ใจว่า
เธออิจฉาผู้หญิงหนึ่งเดียวที่ได้หัวใจผู้ชายคนนี้ไปครอง…

เธอไม่ได้อิจฉาพี่รัลเพราะพี่รัลเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมเลย
แต่อิจฉาที่พี่รัลได้ความรักแบบรักเดียวใจเดียวของผู้ชายคนนี้ไปต่างหาก

“พี่รัลคงดีใจและมีความสุขที่รู้ว่าพี่ฟาเดลรักและทำเพื่อพี่เขาขนาดนี้…”

“ก็มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับพี่อยู่แล้ว…พี่รักการปลูกต้นไม้
การปลูกและดูแลต้นรักของพี่ก็เป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของพี่เหมือนกัน

พี่รัลของเราเขายังไม่คุ้นเคยกับชีวิตใหม่ที่น่ี…
อะไรที่พี่พอจะทำให้พี่รัลของเราเขาสบายใจและคุ้นเคยได้ พี่ก็พร้อมจะทำ…
พี่มีความสุข…ที่จะทำมัน…ไม่ได้เหน็ดเหนื่อยอะไรเลย”

ฟาเดลยิ้มบางมองคนที่ก้มหน้าตรงหน้าเขา…
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าสาวน้อยตรงหน้าคิดอย่างไร
แววตาราวกับกระจกใสนั่นมันสะท้อนทุกความรู้สึกอยู่ตลอดเวลา

“วันนึงที่ฮาน่าได้เจอคนที่รักฮาน่าจริงๆ
คนที่พร้อมจะทำเพื่อให้ฮาน่ามีความสุข…วันนั้นฮาน่าก็จะรักเขาจนหมดใจ…
และคนๆนั้นรอให้ฮาน่ารักเขาอยู่…แต่ฮาน่าต้องเปิดใจเพื่อมองหาเขาคนนั้นให้เจอ…”

ฟาฮาน่าเงยหน้าขึ้นมองคนพูด…
ก่อนจะลอบถอนใจยาว…แล้วยิ้มให้เขานิดๆอย่างพยายามฝืน

“ความรักยังคงสวยงามในใจเราเสมอ ตราบเท่าที่เราไม่ขยี้มัน…
และรูปแบบความรักก็มีมากมาย ขึ้นอยู่ว่าเราสามารถ
เปลี่ยนแปลงหัวใจเราให้เปลี่ยนแปลงรูปแบบของมันให้เป็นแบบโน้นแบบนี้ได้รึเปล่า…
มันขึ้นอยู่กับเรา มิใช่ใครอื่น…”

ชายหนุ่มปลอบโยนคนตรงหน้าด้วยการเตือนสติ…
เพราะเขารู้ว่าสาวน้อยตรงหน้าขาดความรักความอบอุ่น
และโหยหาสิ่งนั้นมาตลอดทั้งชีวิต เนื่องมาจากผลพวงของการหย่าร้างของพ่อแม่…

ความรักระหว่างพ่อแม่และพี่น้อง เธอก็แทบจะไม่ได้สัมผัสมัน
เมื่อเจอใครสักคนที่ยื่นมือเข้ามาหาและประคับประคอง
ให้ความรักความอบอุ่น เธอก็พร้อมที่จะยึดเกาะคนๆนั้นเอาไว้มั่น…

และนั่นอาจนำมาซึ่งความสับสนเพราะไม่อาจแยกแยะความรักแต่ละรูปแบบได้…

เขารู้ว่าพื้นฐานจิตใจของสาวน้อยผู้นี้มิได้เลวร้ายอะไรเลย…
เพียงแต่พื้นฐานชีวิตที่ไร้คนปูพื้นให้นั้นไม่ได้สวยงามนัก
เลยทำให้สาวน้อยผู้นี้เติบโตมาท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย…

เป็นผลทำให้มีความแข็งกระด้าง
และความคิดด้านสวยงามหรือด้านบวกจะน้อยกว่าความคิดด้านลบ…

ในความแข็งกระด้างภายนอกนั้นได้ซ่อนความเปราะบางเอาไว้…

“เราต่างก็เกิดมามีคู่ของตัวเอง…แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา
ที่ฮาน่าจะได้เจอคู่ของฮาน่าเท่านั้น…การที่ยังไม่เจอก็ไม่ได้แปลว่าเขาไม่มีอยู่จริง…

เชื่อพี่เถอะ…เขาคนนั้นย่อมรักฮาน่าในแบบที่ฮาน่าเป็นอย่างไม่ต้องสงสัย…
แล้ววันนั้นฮาน่าก็จะรู้ว่าพี่ไม่ใช่ผู้ชายในแบบที่ฮาน่าเฝ้ารออยู่หรอก…”

ฟาเดลยิ้มส่งกำลังใจให้คนที่ดูจะเริ่มทำสีหน้าสลดหดหู่…

“พี่ยังอยู่กับฮาน่าตรงนี้เสมอ พร้อมจะเป็นพี่ เป็นที่ปรึกษา
พร้อมรับฟัง พร้อมช่วยเหลือ พร้อมดูแล…

ขอให้พ่ีได้เป็นพี่ที่ฮาน่าไม่เคยมีได้มั้ย…ฮาน่าทำให้พี่เป็นพี่ของฮาน่าจริงๆได้มั้ย
เพราะพี่เองก็ไม่เคยมีน้องสาวกับเขาเหมือนกัน…”

ฟาเดลเอ่ยจากใจจริง และเขารู้ว่าคนตรงหน้าสัมผัสมันได้ว่าเขาจริงจังและจริงใจ
เพราะเขาเห็นเธอยิ้มพร้อมน้ำตา…ปากคอสั่น…เนื้อตัวสะท้านตาม

ฟาเดลจึงวางมือลงบนบ่าทั้งสองข้างนั้นแล้วส่งยิ้มให้

“ตอนนี้…ฮาน่าจะคิดกับพี่อย่างไร พี่ไม่บังคับ…แต่ขอให้ฮาน่ารู้ว่า
พี่คนนี้มีฮาน่าเป็นน้องสาวเสมอและฮาน่าจะเป็นน้องสาวของพี่ตลอดไป…
น้องสาวที่พี่จะรักและหวังเสมอเมื่อฮาน่าก้าวไปข้างหน้าก็อยากให้ฮาน่าเจอคนที่ดี…

วันไหนที่ฮาน่าเจ็บ วันไหนที่อ่อนล้า ก็ขอให้ฮาน่ารู้ว่าพี่นั้นยังตั้งใจอยากเป็นพี่ชาย
คอยดูแล…อยู่ตรงนี้เสมอ…”ฟาฮาน่าพยักหน้าพร้อมทั้งน้ำตา…

“ขอบคุณนะคะพี่ฟาเดล สำหรับความรักความอบอุ่น
ความห่วงใยที่ให้ฮาน่า…ให้ในสิ่งที่ไม่มีใครเคยใส่ใจจะให้…
ขอบคุณที่ให้ฮาน่าเป็นคนสำคัญของพี่อีกคน…”

ฟาเดลวางมือลงบนศีรษะที่มีผ้าคลุมฮิญาบปกปิดเส้นผมเอาไว้แล้วโยกมัน

“ร้องไห้เป็นเด็กบ้านแตกไปแล้วรึเรา…”ชายหนุ่มได้ทีแหย่
ทำเอาคนโดนแหย่ที่กำลังซาบซึ้งอยู่ถึงกับเงยหน้าส่งค้อนให้

“ก็ไม่เห็นหรือว่าตอนนี้เราน่ะมีทั้งบ้านหลังโต มีทั้งคุณปู่คุณย่าที่แสนใจดี
มีพี่ชายอย่างพี่ มีพี่สาวอย่างพี่รัล มีน้องสาวอย่างหะบีบี้…
มีเพื่อนๆที่มหาลัย…มีข้าวกินอิ่มทุกมื้อ มีบ้านที่แสนอบอุ่นหลังนี้
มีสวนสวยๆ แล้วมีโรงแรมกับรีสอร์ทที่รอให้เรามาช่วยพี่ดูแล…

หรือว่าที่มีอยู่ตอนนี้และที่จะมีมาในอนาคตมันยังไม่สามารถ
ทดแทนสิ่งที่เราขาดไปในอดีตได้ฮึ…พี่จะได้หาเพิ่มให้อีก
เราจะได้เลิกเป็นเด็กบ้านแตกสักที…อ้าว…ร้องใหญ่เลยทีนี้…”

ฟาเดลส่งเสียงคำรามปนหัวเราะในลำคอ
เมื่อเห็นแม่สาวน้อยตรงหน้าเริ่มเป่าปี่ใหญ่…

“ก็พี่ฟาเดลน่ะหาเรื่อง…พูดให้ฮาน่าสะเทือนใจทำไมเล่า…”
เสียงน้อยๆกล่าวอย่างเง้างอน

“ก็เราชอบทำตัวเหมือนเด็กบ้านแตกเองนี่…จะไม่ให้พี่ว่าได้ไง…”
ฟาเดลยังไม่เลิกตอกย้ำ…

“ถ้าไม่เลิกทำตัวเป็นเด็กบ้านแตกพี่จะให้หะบีบี้ล้อให้เข็ดด้วยอีกแรง”

“ก็แล้วมันไม่จริงรึไง…”สาวน้อยก้มหน้าเอ่ยเสียงเบา

“เมื่อก่อนอาจใช่…แต่เดี๋ยวนี้ไม่…พี่ว่าไม่เลย…
หรือเราไม่เคยรู้สึกเลยว่า ที่มีอยู่ตอนนี้คือครอบครัวแสนสุข
แล้วพวกเขาเหล่านั้นคือบุคคลสำคัญทางใจของเราฮีฮาน่า…

อดีตมันยิ่งใหญ่และน่าจดจำขนาดนั้นเลยหรือถึงทำให้เราไม่ยอมลืม
และเลือกที่จะอยู่กับมัน…แล้วอย่างนี้จะเริ่มอะไรใหม่ๆได้ยังไง…

นั่นมันอดีตนะ ส่วนนี่ นี่คือปัจจุบัน…”

ฟาเดลเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน ทำเอาคนที่ถูกล้อว่า ‘เด็กบ้้านแตก’
ถึงกับปล่อยคิกทั้งน้ำตาอาบแก้ม

“พี่ฟาเดลพูดถูก พูดอีกก็ถูกอีก…ฮาน่าสติสตางค์ไม่ดีเองแหล่ะ…
ต่อไปฮาน่าจะปล่อยให้อดีตเป็นอดีตไป…นี่คือครอบครัวของฮาน่า
และฮาน่าจะรักและทำเพื่อครอบครัวของฮาน่าค่ะ…”

หญิงสาวยิ้มด้วยแววตาสดใสเปล่งประกายจ้า…ทำให้คนมองรู้สึกโล่งใจ
อย่างที่ไม่เคยมองหน้านี้แล้วโล่งใจแบบนี้มาก่อน…

“สรุปก็คือ…ที่เรียกพี่มาก็คือ อยากเป่าปี่ให้พี่ดูเฉยๆ?”

ฟาเดลเลิกคิ้วถามด้วยแววตาขี้เล่น
…ฟาฮาน่าหัวเราะคิกกับถ้อยคำและสีหน้าคนถาม

“ก็น่าฟังดีนะ เสียงปี่ของผีเสื้อสมุทรน่ะ…”

“เพี้ยนแล้วพี่ฟาเดล…ปี่พระอภัยต่างหากเล่า…
นี่สอบวิชาภาษาไทยผ่านมาได้ยังไงนะ…”

“อ้อเหรอ…พี่เคยอ่านผ่านๆน่ะ…ไม่ได้จริงจังนัก…
ก็พี่ไม่ใช่ไทยแท้เหมือนคุณย่าพี่นี่…เรื่องราวมันก็ต้องมีผิดเพี้ยนกันบ้างล่ะน่า…”

ฟาฮาน่าไหวไหล่ทำหน้าว่าฉันเหนือกว่าทันทีเมื่อพูดว่า

“ดูอย่างฮาน่่าซิ…ได้เกรดสี่วิชาภาษาไทยตลอด…
ทั้งๆที่ก็เป็นลูกครึ่งเหมือนพี่ฟาเดลแท้ๆ…”

ส่วนวิชาอื่นสอบเกือบตกนั้นขอฮุบไว้
ไม่อยากพูดไปให้คนตรงหน้าเอามาถล่มในภายภาคหน้า…

“ใครว่าเราเป็นลูกครึ่งเหมือนพี่…พี่น่ะลูกผสมต่างหากล่ะ…
ลูกผสม ไทย-โมร็อกโก-ปากีสถาน…

และในอนาคต ลูกพี่ก็จะมีหลากหลายสายเลือดมาผสมอีก…
เพราะพี่รัลของเราก็ลูกผสมเหมือนกัน
รายนั้น มีสายเลือดไทย-ญี่ปุ่น-ซาอุฯ-ตุรกี…
เพราะแม่ของพี่รัลของเราเขามีเทือกเถาเหล่ากอมาจากแขกตุรกี
ที่อพยพไปอยู่เมื่องไทยและแต่งงานกับสาวไทยและอยู่เมืองไทย
มาตลอดจนชั่วลูกชั่วหลาน…เห็นมั้ยว่ามันไหลเวียนเป็นสายน้ำ
จากเทือกเขาหิมาลัยไหลลงสู่ทะเลแดงเลยทีเดียว…

ก็น่าลุ้นอยู่นะว่าพอสายน้ำที่ว่าไหลมาบรรจบลงทะเลแอตแลนติกในรุ่นลูกพี่…
ลูกๆของพี่จะมีรูปร่างหน้าตาแบบไหนกัน…”

ว่าแล้วฟาเดลก็เปิดเสียงหัวเราะอย่างมีความสุุขด้วยแววตาคาดหวัง
ทำให้ฟาฮาน่าอดหัวเราะตามด้วยไม่ได้

…ให้อยู่กับผู้ชายคนนี้แล้วไม่มีหรอกที่ชีวิตจะไร้ซึ่งสีสัน…

“แต่อย่างน้อยเราทั้งหมดก็มีสายเลือดไทยไหลเวียนเหมือนกันค่ะ…
ดังนั้น…พี่ฟาเดลต้องให้ลูกพี่เรียนภาษาไทยกับฮาน่า
เพราะฮาน่าเก่งกว่าพี่ฟาเดล หลานๆจะได้ไม่ทำให้ภาษาไทย
หรือวรรณคดีไทยผิดเพี้ยนเหมือนที่พี่ทำ…”

ฟาฮาน่าอาสาอย่างแข็งขันด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มทั้งๆที่คราบน้ำตายังไม่จางหายไป

“ได้สิ…แต่ตอนนี้พี่ยังไม่มีหลานๆให้เรา และเราต้องช่วยยุ
พี่รัลของเราให้พี่ด้วย…โน่นไงพูดถึงก็มาโน่นแล้ว”

เรดาห์ของฟาเดลไม่เคยพลาด
ขนาดดารัลเพิ่งโผล่พ้นมาจากขอบเสาของบ้านด้วยซ้ำ
เขาก็แน่ใจแล้วว่าต้องเป็นเธอ…

“ว่าไงคะ…กำลังนินทาน้องรัลอยู่รึเปล่า…”ดารัลเข้าไปยืนชิดคนตัวโต
แล้วแอบหยิกต้นแขนเขาเบาๆเป็นการทักทาย…ทำเอาตนตัวโตสะดุ้งนิดๆ
ก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้สาวเจ้า…

“พี่ฟาเดลบอกว่าอยากมีหลานให้ฮาน่าอุ้มค่ะพี่รัล…”
ฟาฮาน่าเริ่มเรื่องได้ดีเยี่ยม ฟาเดลแอบชื่นชมในใจ…

“และบอกว่าให้ฮาน่ายุพี่รัลให้ได้ด้วย…”ดารัลหันมามองคนข้างตัว
แล้วนั่งลงข้างๆเขาทันที…

“ฮาน่าอยากมีหลานจริงๆเหรอ…”ฟาฮาน่าหันไปมองฟาเดล
แล้วหันมายิ้มหวานให้ดารัล

“อยากมีสิคะ…สงสารพี่ฟาเดลจะแย่อยู่แล้ว…”
แล้วเป็นอีกครั้งที่ฟาเดลโดนก้ามปูแอบหนีบ คราวนี้มิใช่การทักทาย
แต่เป็นการทำโทษ เพราะน้ำหนักเน้นๆที่ถูกหนีบอย่างจงใจ

“ฮาน่าว่าพี่ฟาเดลควรจะพาพี่รัลไปนอนนับดาวด้วยกัน
ที่ทะเลทรายซาฮาร่าดูนะคะสักสองสามคืน ทะเลทรายกับทะเลดาว…
แล้วก็…ขี่อูฐชมจันทร์…ไม่อยากจะจินตนาการเลยว่า
เรื่องราวจะโรแมนติกแค่ไหน…”ดวงตาพาฝันของคนชี้นำ
ทำเอาดารัลต้องหันไปทางฟาเดลทันที…

เธอเองก็ไม่เคยคิดถึงอะไรแบบนี้เลย…แล้วเขาเล่า เขาคิดรึเปล่า

“ขอบใจมากฮาน่า พี่ลืมมนต์ขลังของบ้านเกิดไปได้ไงกัน…โง่จริงๆเลย”
พูดจบก็วาดวงแขนรวบเอวบางเอาไว้

“เราไปเที่ยวกันนะ…เอาไว้หมดก้างเมื่อไหร่…เราค่อยย่องไปกันสองคนนะ…
คราวนี้แมวจะกินแต่เนื้อปลา ไม่เอาก้างแล้ว…กลัวติดคอ…”

ดารัลยิ้มอย่างขัดเขิน
เพราะเขาเล่นหวานต่อหน้าคนอื่นอย่างไม่มีเกรงอกเกรงใจเลย…

“นึกซะว่าไปฮันนีมูน เรายังไม่ได้ไปฮันนีมูนกันเลยนะ”

“คราวก่อนเราก็ไปเที่ยวกันแล้วนี่คะ…และคราวนี้ก็ต้องพาคณะทัวร์
จากแดนปลาดิบไปเที่ยวด้วย…เห็นตอนนี้กำลังสุมหัวกันว่าจะไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง…”

ดารัลเอ่ยถึงบรรดาพ่อแม่พี่น้องที่ตอนนี้กำลัง
ตกลงกันอยู่ในห้องรับแขกหลังจากมื้ออาหารกลางวันเพิ่งผ่านพ้นไป

และยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยตอบรับหรือปฏิเสธ รถของแขกประจำก็ผ่านเข้ามา
ดารัลหันไปมองพร้อมกับลุกขึ้น

“เห็นทีจะต้องไปรับแขกแล้วล่ะค่ะ…พี่ฟาเดลอยู่กับฮาน่าไปก่อนนะคะ
เดี๋ยวน้องรัลจะไปรับหน้าคุณนาตาชาเอง…”ดารัลกระวีกระวาด
ลุกจากที่นั่งไปหาแขกขาประจำทันที…


เมื่อลับร่างของดารัล ฟาฮาน่าจึงหันมากระซิบกับฟาเดลว่า

“ฮาน่าขอเตือนพี่ฟาเดลเรื่องคุณนาตาชาไว้เลยนะ…”
ฟาเดลกระตุกคิ้วมองหน้าสาวน้อยตรงหน้าด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม

“ผู้หญิงคนนี้มีบางอย่างเคลือบแคลง…ฮาน่ารู้สึกได้ถึงรัศมีบางอย่าง
แผ่จากตัวเธอออกมา…พี่ฟาเดลอาจจะคิดว่าฮาน่ามองโลกในแง่ร้าย
แต่อย่างน้อยพี่ก็ต้องรู้จักระวังตัวเอาไว้ด้วยนะคะ…ยิ่งพี่รัลแล้ว
คงไม่คิดร้ายกับใครหรือมองใครในแง่ร้ายแน่ๆ…ซึ่งมันก็ดี
แต่มันก็ทำให้การระวังตัวลดน้อยลง…”ฟาฮาน่าเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

“พี่ก็ยังไม่เห็นว่าเขาจะทำให้ใครเดือดร้อนเลยนี่ฮาน่า
หรือเรารู้อะไรมา…”ฟาเดลจ้องฟาฮาน่าเขม็ง…

“เรื่องเจ้าดำเจ้าขาวค่ะ…ฮาน่าสงสัยว่ามันจะไม่ตายแบบธรรมดา
หรือมันกระโดดน้ำฆ่าตัวตายอย่างที่คุณย่าล้อ….
แต่คิดว่ามันถูกฆ่าอำพรางคดี…”สีหน้าจริงจังแต่ถ้อยคำที่ใช้นั้น
ราวกับว่าผู้ต้องสงสัยเป็นอาชญากรตัวร้ายเลยทีเดียวนั้น

ทำเอาฟาเดลกระตุกยิ้มที่มุมปากกับการเปรียบเปรยนั้น

“ทำไมถึงทำให้เราเชื่อแบบนั้น…ฟังดูรุนแรงไปหน่อยมั้ย”

“ก็วันนั้นมีกันแค่สามคน…ฮาน่า พี่รัล และคุณนาตาชา…”
ฟาฮาน่าหยุดไปนิดเมื่อจะกล่าวสืบไปว่า

“พี่รัลน่ะไม่ใช่ชัวร์ ส่วนฮาน่า ถึงจะนิสัยไม่ดียังไง
แต่ฮาน่าทำร้ายสัตว์น้อยผู้น่ารักไม่ลงหรอกค่ะ…
และต่อให้แย่แค่ไหน ฮาน่าก็กล้าพอที่จะยืดอกรับผิดที่ตัวเองก่อ
โดยไม่คิดจะโยนความผิดให้ใคร…ดังนั้น…ก็เหลือแค่ตัวเลือกเดียว…”

“แล้วอะไรทำให้เราเชื่อว่า เจ้าขาวกับเจ้าดำถูกฆาตกรรม…”
ฟาเดลถามด้วยสีหน้าราบเรียบ ไม่บ่งบอกความรู้สึกใด

“สืบจากศพไงคะ…ฮาน่าเจอหลักฐานที่น่าเชื่อถือ…”
ฟาเดลหรี่ตาลงเพียงนิดก่อนจะถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“หลักฐานอะไรฮาน่า…”แต่ยังไม่ทันที่สาวน้อยจะได้เอ่ยปาก
สองสาวก็เดินมาถึงศาลาพอดี…ฟาเดลลอบถอนใจ
แล้วหันไปยิ้มให้สองสาว…ยิ้มที่เป็นยิ้มการค้า…
ยิ้มในแบบที่เขาไม่อยากจะยิ้มนัก แต่บางครั้งก็ต้องยิ้มออกไป

“พอดีได้ข่าวว่ามีคณะทัวร์จากแดนปลาดิบมาลงที่นี่
ช่าก็เลยแวะมาต้อนรับค่ะ…”เสียงของแขกขาประจำเอ่ยขึ้นด้วย
ดวงหน้าที่เปื้อนยิ้ม ก่อนจะทรุดลงนั่งข้างๆฟาฮาน่า

“น้องฮาน่าขยันจัง…”สาวน้อยยิ้มรับคำชม

“ค่ะ…รายงานด่วนน่ะค่ะ…อยากเคลียร์ให้เสร็จไวๆ
จะได้พาบีบี้ไปเที่ยวได้คล่องตัวหน่อย…”

แล้วทั้งสี่ก็อยู่คุยกันที่ศาลาอยู่พักใหญ่ๆ
จนคณะลูกทัวร์จากญี่ปุ่นต่างออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ที่สวน
เปลี่ยนจากความสงบกลายเป็นเสียงเจี้ยวจ๊าวไปท่ัวทั้งบริเวณ

ฟาฮาน่าจึงปลีกตัวชวนหะบีบี้ไปยังบ่อปลาคาร์ฟด้วยกัน
เพื่อปรึกษาเรื่องหลักฐานที่เธอได้มา…

“นี่พี่ฮาน่าคิดว่าเจ้าดำเจ้าขาวโดนลอบฆ่าจริงๆเหรอ…”
หะบีบี้ดูตื่นเต้นที่ได้ยินเรื่องที่คนตรงหน้าเล่าให้ฟัง

“ก็จริงน่ะสิ…หลักฐานคาปากเลยนะ…ตอนพี่เอาไอ้สองตัวไปฝัง
ในปากมันยังคาบเนื้อปลาราคาแพงนั่นอยู่เลย…และเจ้าของปลาชิ้นนั้น
จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณนาตาชานั่น…”หะบีบี้คิดใคร่ครวญพลางพยักหน้า

“พี่ฮาน่ากำลังจะบอกว่า…คุณอะไรนั่นเป็นคนฆ่าเจ้าดำเจ้าขาวเหรอ
แล้วเขาจะทำแบบนั้นไปทำไม…เขาจะได้อะไรจากการทำแบบนั้น…”

ฟาฮาน่าลอบถอนใจ…ส่วนหะบีบี้ก็เอาแต่ใช้นิ้วเคาะขมับกลอกตาไปมา

“นั่นน่ะสิ…พี่เองก็คิดไม่ตกเหมือนกัน…แต่หลักฐานมันชี้ไปทางนั้นนะ”

“แต่การจะทำอะไร มันก็ต้องมีเหตุจูงใจให้ทำสิ…บีบี้คิดว่า
เขาคงไม่โรคจิตถึงขนาดคิดจะฆ่าแมวเล่นๆเห็นเป็นสนุกหรอก
เพราะถ้าเป็นแบบนั้น คุณย่าคงไม่ไว้ใจให้เขามาดูแลคุมงานที่นี่หรอกค่ะ…
คุณย่าของบีบี้น่ะไม่ใช่คนธรรมดาๆนะคะ…ท่านรู้จักใช้คนเป็น…”

หะบีบี้ยืนยันตามความคิดที่ตนเห็นว่า
ยากที่จะหาความเป็นไปได้…

“เหตุอื่นแห่งการฆ่าแมวถึงสองตัวเลยในคราวเดียวกันน่ะ
ดูจะหาความเป็นไปได้ยาก…นอกเสียจากว่า…คุณอะไรนั่นจะรักชอบพี่ฟาเดล…”

หะบีบี้เอ่ยด้วยแววตาใคร่ครวญ

“รักชอบแล้วยังไงอ่ะ ทำไมต้องฆ่าแมวล่ะบีบี้…”

ฟาฮาน่าก็พอจะแอบสังเกตเห็นเหมือนกันอยู่หรอกว่าบุคคลที่สามที่ถูกกล่าวถึงนั้น
ดูจะมีใจให้พี่ฟาเดลอยู่ไม่น้อย

“ก็เพื่อให้พี่รัลเศร้าเสียใจเล่นน่ะสิ…ก็เห็นพี่ฮาน่าเล่าให้บีบี้ฟังเองไม่ใช่เหรอ
ว่าพี่รัลรักและเอ็นดูเจ้าสองตัวนั่นจะตาย…
นี่อาจจะเป็นการเปิดฉากชิงรักหักสวาทก็ได้นะพี่ฮาน่า”

ฟาฮาน่าถึงกับดีดนิ้วทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น…

“ใช่แล้วบีบี้ พี่คิดว่า นี่แหล่ะคือความน่าจะเป็น…”

“ปกติคนที่ทำงานโรงแรมน่ะ เขามักจะชิงดีชิงเด่นแข่งขันกันอยู่ตลอดแหล่ะค่ะ…
บีบี้เองติดสอยห้อยตามคุณย่าไปโรงแรมประจำตั้งแต่รู้ความได้แล้วล่ะค่ะ…
แอบสังเกตเห็นกลเม็ดที่พวกสาวๆที่เขาทำงานโรงแรมเขาต่างก็งัดกันมาใช้กัน…
มันล้ำลึกมากๆค่ะ…พี่รัลน่ะไม่ค่อยได้ไปคลุกคลีกับโรงแรมเหมือนบีบี้

บีบี้เลยคิดว่า…มนุษย์ผู้หญิงน่ะ ความปรารถนาที่ซ่อนเร้น
เป็นสิ่งที่น่ากลัวและยากจะหยั่งถึงมากๆเลย…”

หะบีบี้วิจารณ์ซ้ำยังวิเคราะห์สิ่งที่ตนพบเห็นในชีวิตประจำเพื่อนำมาเชื่อมโยงกับ
เหตุจูงใจแห่งการที่แมวสองตัวโดนฆ่า…

“และอย่างที่บีบี้บอกพี่ฮาน่าว่า คุณย่าของบีบี้ไม่ใช่คนแก่ธรรมดาๆ
แม้จะรู้ว่าพนักงานเป็นอย่างไร หากพวกพนักงานไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้โรงแรม
หรือเพื่อนร่วมงานจนเกินไป หรือทำให้งานบกพร่องจนเกินจะรับได้…
คุณย่าก็ยุติธรรมพอที่จะไม่ไล่ออกจากงานค่ะ…

เพราะทุกที่ล้วนมีทั้งคนดีและไม่ดี และต่อให้เป็นคนดีแล้ว
ก็ใช่ว่าจะดีร้อยเปอร์เซ็นเสียหน่อย…ทุกคนล้วนมีจุดดำในใจกันทั้งนั้น”

ฟาฮาน่าฟังไปก็พยักหน้าไปพลาง

“แต่ที่บีบี้สงสัยก็คือ…ถ้าคุณอะไรนั่นฆ่าแมวสองตัวนั่นจริงๆ
อย่างที่พี่ฮาน่าคาดเดา…ย่อมแสดงว่าเขากำลังทำพลาดค่ะ…

และถ้าคุณย่ารู้ว่าพนักงานที่ตัวเองไว้ใจทำพลาด มีหรือท่ีคุณย่า
จะปล่อยไปเฉยๆโดยไม่จัดการอะไรเลย…

นั่นเลยทำให้บีบี้สงสัยว่าจะเป็นไปได้เหรอที่คุณย่าจะส่งคุณอะไรนั่นมาคุมงานที่นี่
โดยที่ไม่รู้จักคุณอะไรนั่นดีพอ…

อาจเป็นไปได้ว่า คุณย่าต้องการเขี่ยพนักงานของตนทิ้ง
โดยหาโอกาสปล่อยให้เขาแสดงความผิดพลาดออกมาให้เป็นที่ประจักษ์
มัดตัวเองจนดิ้นไม่หลุดก็ได้…มันจะได้ดูสมเหตุสมผลหน่อย...
เพราะคุณย่าของบีบี้น่ะชอบคิดอะไรซับซ้อนแบบนี้ประจำ...
ทั้งๆที่บีบี้ว่ามันไม่เห็นจะจำเป็นสักนิดเดียว...ปวดหัวเปล่าๆ”

ฟาฮาน่าถึงกับยกมือเกาศีรษะ รู้สึกงงๆจับต้นชนปลาย
เรื่องที่สาวน้อยที่อายุน้อยกว่าพูดมาทั้งหมดไม่ได้

“ทำไมมันฟังดูซับซ้อนจัง…”

“เพราะจิตใจคนบางคนมันซับซ้อนไงคะ…เวลาคิดทำอะไรก็เลยซับซ้อนไปด้วย…
แต่ต่อให้ซับซ้อนแค่ไหน บีบี้ว่าคุณย่าของบีบี้เก่งพอ
ที่จะไม่ประมาทด้วยการส่งคนที่มีจิตใจเหี้ยมขนาดลงมือฆ่าแมวได้
มาคุมงานเพราะต้องการเห็นงานออกมาราบรื่นหรอกค่ะ…
มันผิดวิสัยของคุณย่าอะมานีไปหน่อย…”

หะบีบี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความคลางแคลงใจ

“ครั้งหนึ่ง บีบี้เคยไปเยี่ยมคนคุกกับพ่อ…พ่อพาไปนั่งคุยกับอาหมอที่เป็นจิตแพทย์
อาหมอเคยพูดประมาณว่า คนที่เป็นฆาตกรหรือมีภาวะจิตไม่ปกตินั้น
ส่วนใหญ่แล้วจะเริ่มต้นด้วยการฆ่าสัตว์เล็กๆก่อน…แล้วจึงค่อยๆเพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ
จนในที่สุดก็ทำร้ายและฆ่าคน…

อาจฟังดูน่ากลัวไปนิด แต่ถ้าเราจับได้ว่าคุณอะไรนั่นฆ่าแมวสองตัวนั่นจริงๆ…
นี่ก็อาจไม่ใช่เรื่องเล็กๆก็ได้นะคะ…บีบี้เกรงว่าพี่รัลจะลำบากในภายภาคหน้าน่ะสิ…”

หะบีบหันไปยิ้มแหยๆให้อีกคนท่ีนั่งกะพริบตาปริบๆด้วยสีหน้าหนักใจ

“ก็ได้แต่ภาวนาว่าไอ้ที่เราสองคนคิดกันมันจะไม่ใช่เรื่องจริง…”
ฟาฮาน่ากล่าวพลางทอดถอนใจ…

“แล้วถ้าจริงล่ะ…พี่ฮาน่าว่าเราควรจะทำไงดี…”

“ก็ต้องบอกพี่ฟาเดลกับพี่รัล…”ทว่า หะบีบี้กลับไม่เห็นด้วย

“บีบี้ว่านะ…คนที่ผูกก็ต้องเป็นคนที่แก้มันค่ะ…”ฟาฮาน่างง ไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

“คุณย่าให้เขามา คุณย่าก็ต้องให้เขากลับไปสิ…
แต่ไอ้เรื่องที่จะให้เขากลับนั่นมันก็ต้องสมเหตุสมผลหน่อย…
ไม่อย่างนั้นก็จะดูเป็นคนแก่หาเรื่องเด็กในปกครองไป…
คุณย่าก็จะคุมคนลำบากขึ้น…เฮ้อ…”หะบีบี้ถอนใจเสียงดัง
พร้อมกับสรุปว่า

“ดังนั้น…คนที่เราควรจะบอกเรื่องนี้มากที่สุดก็คือคุณย่าค่ะ…
รับรองว่าคุณย่าของบีบี้จัดการได้ทุกเรื่องแน่…หรือถ้าไม่ก็ต้องแม่ของบีบี้ค่ะ…
เพราะแม่มีวิธีการที่นุ่มนวลกว่าคุณย่าเสมอ”

“บีบี้คิดอย่างนั้นเหรอ…”หะบีบี้พยักหน้าก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา

“บางทีนะคะ…บีบี้ก็ไม่เข้าใจพวกผู้ใหญ่เอาซะเลยว่าเขาคิดอ่านทำอะไรกัน
ยุ่งยากวุ่นวาย…ทำไมถึงชอบทำอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อนด้วย

เป็นบีบี้ไม่ได้…จะหาเรื่องตีให้แตกพ่่ายเอาให้วิ่งเต้นผางกลับญี่ปุ่นไม่ทันเลยเชียว…”

ฟาฮาน่าถึงกับหัวเราะคิกกับสีหน้าเอาจริงเอาจังของแม่สาวน้อยแสนซนตรงหน้า

“คิดแบบเด็กๆนะ บางทีได้ผลดีและรวดเร็วกว่าการคิดแบบคนแก่เยอะ…
เพราะโน่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่เหมาะ สุดแสนจะซับซ้อนซ่อนกล
กังวลไปทุกเรื่องเลย...คุณย่าน่ะจอมวางแผนเลยล่ะค่ะ...

และสงสัยบีบี้จะติดความคิดแบบคนแก่มาจากคุณแย่แหงๆเลย
หลังๆมานี่เลยคิดอะไรง่ายๆไม่ค่อยเก่งเหมือนตอนเด็กๆ…”

ฟาฮาน่ายิ้มขันกับท่าทางหงุดหงิดนั่นของสาวน้อยตรงหน้า
ที่ดูน่าเอ็นดูเหลือร้าย…

“น่า…พี่ว่าบีบี้น่ะเก่งออก…เก่งมากด้วย อายุแค่นี้เอง
กลับหาทางออกสำหรับเรื่องน้องแมวได้แล้ว…”

“ก็ถ้าคุณอะไรนั่นเกิดฆ่าแมวสองตัวนั่นขึ้นมาจริงๆ
บีบี้ไม่อยากจะคิดเลยว่าต่อไปเขาจะสร้างความวุ่นวายอะไรต่อมิอะไร
จนอาจทำให้พี่รัลกับพี่ฟาเดลปวดหัวและเดือดเนื้อร้อนใจหรือเปล่า…

บีบี้เองก็ไม่ได้อยู่ดูแลสอดส่องพี่รัลซะด้วย…
รายนั้นเคยคิดมองคนอื่นในแง่ไม่ดีเสียที่ไหนล่ะ…
ถ้าไม่เจอกับตาตัวเอง ให้ตายก็คงไม่เชื่อหรอก…
งานนี้นะ ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษคนที่ส่งเขามาแหล่ะ…”

“เป็นงั้นไป…”ฟาฮาน่าหัวเราะขันพลางยกมือขึ้นแตะลงบนบ่าของสาวน้อย

“ไม่ต้องกังวลไปหรอก…ยังไงพี่ก็ยังอยู่ที่นี่ทั้งคน…
พี่จะทำหน้าที่แทนบีบี้เอง โอเคมั้ย…”หะบีบี้รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง
หันไปยิ้มให้คนตรงหน้า

“ยังไงบีบี้ฝากพี่รัลด้วยนะคะพี่ฮาน่า…
ถึงบีบี้จะรู้ว่าพี่ฮาน่าชอบพี่ฟาเดลอยู่เหมือนกันก็เถอะ…
แต่บีบี้เชื่อด้วยสัญชาตญาณว่า
พี่ฮาน่าเป็นคนจริงใจและตรงไปตรงมา ไม่ลอบกัด…”

ฟาฮาน่ากลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่กับคำว่า ‘ลอบกัด’

เพราะครั้งหนึ่ง เธอก็เคยใช้อุบายล่อหลอกฟาเดลมาแล้ว…
แต่ตอนนั้นเขายังไม่ได้แต่งงาน ยังไม่ได้มีเจ้าของ
ต่างจากตอนนี้ ซึ่งคนอย่างเธอต่อให้แย่ยังไงก็ไม่คิดจะแย่งของๆคนอื่น

แต่ไอ้เรื่องความรู้สึกนั้นคงห้ามยาก แต่เธอตั้งใจแล้วว่าจะพยายามเปลี่ยนรักในใจ

“ขอบใจนะที่เชื่อใจพี่…”หะบีบี้ยิ้มแล้วบีบมือที่กุมมือเธออยู่
ส่งแววตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นให้อีกฝ่่ายรับรู้…






เมื่อตกดึก หลังจากที่สมาชิกทั้งหมดละหมาดรวมกันที่ห้องละหมาดของบ้าน
เสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันกลับเข้าห้องส่วนตัว

ฟาเดลเองเดินเคียงกับดารัลไปยังห้องนอนประกบติดแจไม่ยอมให้ห่าง
เรียกรอยยิ้มจากมุมปากดานีสไปน้อยกับภาพนั้น…

“ลูกสาวเธอนี่ใจร้ายเหมือนแม่จริงๆ…แกล้งได้แม้กระทั่งคนที่ตัวเองรัก”

“อยู่ดีๆก็มาพาดพิงกัน…”นาดาค้อนผู้เป็นสามีที่พูดกินนัย
สายตาคู่นั้นที่ทอดมองไปยังห้องของลูกสาวคนโตทำให้นาดาถึงกับอมยิ้ม…
ก่อนจะส่ายหน้าไหวๆให้กับลูกสาวที่ไม่ว่าจะสอนเท่าไหร่ก็ยังจะดื้อไม่เลิก

“เกิดเป็นผู้ชายต้องมีใจอดทนค่ะ…”นาดาได้ทีหยอกผู้เป็นสามีบ้าง

“ถ้าไม่อดทน คงมีลูกเป็นโหลไปแล้ว ว่ามั้ยล่ะ…”

คราวนี้นาดาอดไม่ไหวเลยหยิกท่อนแขนของคุณหมอดานีสขา
แล้วลากเข้าห้องไป กะจะทำโทษให้หนัก โทษฐานที่วันนี้หาเรื่องแหย่เธอให้ได้อาย
ตั้งหลายครั้งกลางโต๊ะอาหาร…


ส่วนทางด้านฟาเดลเมื่อเดินเข้าห้องก็ไม่ลืมล็อกประตูอย่างแน่นหนา
เพราะหวาดระแวงว่าห้องนอนของตนจะโดนคณะจากแดนปลาดิบ
ยึดพื้นที่ไปครองได้อีก เพราะนี่คือพื้นที่เดียวเท่านั้นที่พวกเขา
ยังไม่อาจยึดครองได้หลังจากล่าสุดนั้นได้ทำการยึดห้องละหมาด
ไปได้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยโดยง่ายดาย…ด้วยการนำละหมาดของคุณหมอดานีส
ซึ่งคุณปู่ผู้อาวุโสของบ้านยกตำแหน่งให้ด้วยความเต็มใจ
เพราะท่านบ่นว่าชอบฟังเสียงอ่านอัลกุรอ่านอันไพเราะของพ่อตาของเขาเสียเหลือเกิน

ซึ่งฟาเดลไม่เถียงเลย พ่อตาของเขาท่องโองการจากอัลกุรอ่านในขณะละหมาด
ได้ไพเราะจับใจ

ถ้าไม่ติดว่ายังหวาดๆเสียวสันหลังวาบๆ
เขาก็กะจะถวายตัวเป็นลูกศิษย์อยู่เหมือนกัน…

“พี่ฟาเดลโกรธพ่อน้องรัลรึเปล่า…”
ดารัลเอ่ยขึ้นขณะเดินไปหยิบหวีมาแปรงผมหน้ากระจก…
ฟาเดลจึงเดินตามไปแล้วสวมกอดหลวมๆจากทางด้านหลัง…

“เรื่องอะไรครับ…”

“ก็เรื่องที่ชอบแกล้งพี่ไง…”ฟาเดลหัวเราะใจลำคอก่อนจะฉวยโอกาส
หอมแก้มนุ่มๆนั้นอย่างอดใจไม่ไหวไปหนึ่งฟอด

“ไม่เลยครับ…พี่ชอบครอบครัวน้องรัล…อบอุ่นและครึกครื้นดี…
เป็นครอบครัวในฝันของพี่เลยก็ว่าได้…มีกันพร้อมหน้าพร้อมตา
พ่อแม่และลูกๆทั้งหญิงและชาย…”น้ำเสียงและแววตาคนพูดดูจะแฝงนัยบางอย่าง
จนดารัลถึงกับสะดุดใจ พยายามเบี่ยงหลบการรุกราน
จากคนที่กำลังสวมกอดไว้อย่างมีช้ันเชิง…

“ตอนนี้อย่าคิดหนีเลย…พี่รู้ทันหมดแล้ว…”
ฟาเดลเริ่มกอดรัดร่างแบบแนบแน่นขึ้น

“น้องรัลหายใจไม่ออก…”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ผายปอดให้เอง…”ไม่พูดเปล่าเขาหันมาจับบ่าของเธอ
แล้วขยับให้หันหน้าไปหาเขา ทำเอาหัวใจน้อยเริ่มสั่น…

“ไม่เอา…ง่วง จะนอนแล้ว…”

“งั้นเข้านอนกัน…”

พูดเสร็จก็โอบดารัลไปยังเตียงนอนไม่ยอมปล่อยด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก

อยากรู้เหลือเกินว่าคืนนี้จะงัดไม้ไหนมาต่อกรอีก…
รู้สึกว่าลูกไม้เธอจะแพรวพราวเหลือเกิน…

เมื่อแผ่นหลังสัมผัสกับเตียงเย็นๆ สันหลังของหญิงสาวก็ชาวาบ
เมื่อถูกร่างใหญ่ทาบทับลงมาด้วย…แววตาของเขากรุ้มกริ่ม
ทอดมองมาอย่างหมายมาด

“น้องรัลปวดห้องน้ำ…ขอเข้าห้องน้ำนะคะ…”

“ปวดแน่เหรอ…”ฟาเดลถามด้วยแววตาไม่เชื่อถือ
ดารัลจึงพยักหน้าหงึกๆ

“ปวดหนักหรือเบา…”

“หนักค่ะ…”พูดว่าหนักแต่เสียงนั้นเบาหวิวเชียว…

“จะบอกว่าต้องอยู่ในห้องน้ำอีกนาน ให้พี่นอนไปก่อนล่ะสิ…”

ฟาเดลเอ่ยดักทางอย่างรู้ทัน…

“เปล่านะคะ…น้องรัลไม่ได้คิดอย่างนั้น…”

ดารัลแก้เสียงอ่อย
ฟาเดลจึงใช้มือจับปลายคางของหญิงสาวที่พยายามเบี่ยงหน้าหลบสายตาของเขา
ให้หันมาเผชิญหน้ากันตรงๆ

“เชื่อเธอพี่คงโดนพ่อเธอและคนอื่นๆรุมกันสบประมาทกลางโต๊ะอาหาร
ให้ได้อายไปอีกนานแน่ๆ…ไม่เอาแล้ว…ไม่อยากโดนรุมอย่างวันนี้อีก…

สายตาพ่อเธอน่ะเหมือนจะรู้ทันพี่ตั้งแต่ลิ้นไก่ ลากไปถึงหัวใจยันไส้ติ่ง…
พอได้โอกาสก็สาวไส้พี่ออกมาให้คนอื่นกินกันกลางโต๊ะอาหาร…
ร้ายทั้งพ่อทั้งลูกเลย…”

ประโยคสุดท้ายราวกับตัดพ้อต่อว่า
ทำเอาดารัลถึงกับทำหน้าไม่ถูก…

“แต่…แต่…น้องรัล…ปวด…”คำว่าหนักหายไปเมื่อริมฝีปากหยักกดหนักๆ
ลงบนริมฝีปากอวบอิ่มก่อนจะอ้อยอิ่งและซุกซอนควานหาความหวานอย่างดูดดื่ม
เรียกร้อง จนคนที่กำลัังขาดอากาศหายใจถึงกับร้องคราง…

ฟาเดลยิ้มที่มุมปากยามกระซิบเบาๆชิดริมฝีปากนั้นว่า

“นี่คงจะลืมว่าตัวเองยังมีจมูกช่วยในการหายใจล่ะสิ…
ไม่เป็นไร เอาใหม่ เดี๋ยวพี่จะสอนให้ว่าต้องหายใจยังไงในระหว่าง…”

ดารัลยกนิ้วปิดปากฟาเดลไม่ให้พูดต่อ…ชายหนุ่มเลยฉวยโอกาสแตกริมฝีปาก
ลงบนนิ้วเรียว แล้วจับข้อมือนั้นไว้ ก่อนจะก้มลงหมายจะสอน
วิธีการหายใจให้อีกฝ่าย…ต่อไปจะได้ไม่ต้องร้องขอออกซิเจนจากเขาอย่างเมื่อครู่อีก…

ทว่า....

“ก็อก ก็อก ก็อก…”เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน
ทำเอาคนที่กำลังจะเริ่มสอนศิษย์ถึงกับกลั้นลมหายใจ
ก่อนจะสูดเอาออกซิเจนไว้เต็มปอดแล้วพ่นออกมาอย่างเสียดายของหวานตรงหน้า

“ให้มันได้อย่างนี้สิน่า…”

ฟาเดลบ่นเสร็จก้มลงหอมแก้มดารัลหนักๆ
แล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูห้องก็พบสามสาวแห่งตระกูลโสภณพสุธ
กำลังยืนเรียงหน้ากันพร้อมรอยยิ้มแฉ่ง กอดหมอนกันคนละใบ
น่ารักน่าเอ็นดูเหลือกำลัง!

“พวกเราขอมานอนด้วยคนนะคะ…”

ฟาเดลถึงกับอ้าปากค้าง

นี่อย่ายบอกนะว่า…ห้องของเขากำลังจะโดนยึด!!!

ฟาเดลอยากจะแหงนหน้าแล้วหัวเราะให้ก้องฟ้า…
เมื่อสิ่งที่เขาคาดไว้ได้เกิดขึ้นแล้ว…

คืนนั้นเขาถูกสายตาสี่คู่ส่งมาให้อย่างเว้่าวอน ดูน่าสงสาร
แต่เขาก็รู้ว่านั่นคือสายตาที่ต้องการจะไล่ให้เขาออกมานอนนอกห้องเสียล่ะมากกว่า…

แล้วสี่สาวก็ทำสำเร็จเสียด้วย
เมื่อฟาเดลต้องเดินกอดหมอนออกมานอนนอกห้องจริงๆ…

“ไง…เมียไม่ให้นอนด้วยรึไง…”

ดานีสที่ออกมาจากห้องก็พอดีเจอภาพลูกเขยเดินคอตก
หน้าสลด กอดหมอนออกมาจากห้องลูกสาวคนโต

“ก็บอกแล้วว่าให้กินปลาเยอะๆเข้าไว้…”

และเหมือนจะไม่รอฟังเหตุผลที่เขาโดนอัปเปหิออกมาจากห้องลูกสาวคนโตของตัวเอง
คนพูดก็เดินเลี่ยงลงไปยังด้านล่างทันที
พร้อมเสียงหัวเราะฮึๆในลำคอด้วยสีหน้าเบิกบาน…

ฟาเดลพลันรู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมาทันที…
เพราะไม่ใช่แค่ทุกพื้นที่ที่โดนยึดไป ตอนนี้เมียเขาก็โดนยึดไปด้วย!


แต่เมื่อลงมาถึงด้านล่างตามร่างพ่อตาลงมา เขาก็ได้รู้ว่า
ตัวเองไม่ได้โดดเดี่ยวจริงๆหรอก…

อย่างน้อยก็มีผู้ร่วมชะตากรรมนอนรออยู่บนโซฟาในห้องรับแขกอยู่ก่อนแล้ว…

แสดงว่าเสียงหัวเราะในลำคอของพ่อตาของเขาเมื่อครู่นั้น
คงไม่ใช่เสียงเย้ยหยันเขาใช่มั้ย…เพราะตอนนี้เขาก็อยากจะหัวเราะออกมา
ในแบบที่พ่อตาของเขาหัวเราะไปเมื่อครู่นี้เหมือนกัน…

“ผมยกหมอนให้ครับ…”
ฟาเดลว่่าอย่างใจดี…เมื่อเห็นพ่อตานอนเอามือรองศีรษะไว้

“โชคดีนะที่นายยังมีเวลาพอสำหรับคว้าหมอนติดมือมาได้…”
ดานีสเอ่ยออกมาพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ

“แล้วผมจะหัดกินปลาไว้เยอะๆ…”
ดานีสถึงกับหัวเราะก้องเมื่อได้ยินประโยคที่โดนย้อนกลับ

"อยากกินเนื้อปลา ก็อย่ากลัวก้างติดคอ..."ดานีสเตือน

"ครับ...จะพยายามหัดไว้..."

“นี่คงไม่เคยมีใครเตือนนายมาก่อนเลยใช่มั้ยว่าอย่าหาเมียที่ฉลาดกว่าเรา…

ยิ่งสวยและฉลาดด้วย ยิ่งน่ากลัว...และยิ่งในบางสถานการณ์
โอเมก้าจากปลามันก็ไม่ช่วยอะไรเราได้…
พวกผู้หญิงช่างหาเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นได้ตลอดเวลา...
ต่อให้กินปลาทูน่ายกตู้ก็ไม่นำพา...”

“ถึงจะมีคนเตือน…แต่ผมก็คงถอนตัวไม่ทันแล้วล่ะครับ…”

“ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่…สำนวนสุภาษิตไทยยังใช้ได้อยู่…”
ดานีสเปรยออกมา…

“ผมไม่เห็นเคยได้ยิน…”

“งั้นก็รู้เอาไว้ซะ…”ฟาเดลยิ้มรับด้วยใจเบิกบาน…

เพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่จะทำให้เขากับพ่อตาเข้าอกเข้าใจกันได้มากเท่าครั้งนี้
ครั้งท่ีต้องมานอนด้วยกันในห้องรับแขกเช่นนี้…

ถ้าน้องรัลเหมือนคุณแม่น้ำค้างเขาก็ยินดีนะ…อย่างน้อย
ความฝันที่อยากมีลูกหลายคนทั้งชายและหญิงก็อาจเป็นจริงได้ไม่ยาก!

ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจพ่อตา เขาก็อยากจะขอคำแนะนำหลายๆอย่างอยู่เหมือนกัน…

...อยากรู้เหลือเกินว่าจะปราบดารัลจอมดื้อและจอมเบี้ยว
ได้ยังไง!





......โปรดติดตามตอนต่อไป.........


มาต่อให้กันแล้วค่ะ...น่าฉงฉานผู้ชายจัง...อิอิอิ
งานนี้พี่ฟาเดลโดยถล่มยับเยิน...

ต้องมาดูกันต่อว่า วันรุ่งขึ้นเขากับพ่อตาจะเจอกับอะไรอีก...ฮ่าๆๆ

ตอนนี้ พ่อตากับลูกเขยกำลังตกที่นั่งลำบากเหมือนกันเลย...ฮ่าๆๆ


คุยกับนักอ่านจากตอนที่แล้วค่ะ

1.คุณแว่นใส...ลูกปาดน้อยจะได้เจออัศวินขี่ม้าขาวในเรื่องหน้าจ๊ะ...
กำลังขมวดเรื่องราวของลูกปาดอย่างสนุกอยู่เลย...เรื่องนี้จบก็กะจะนำมาลงค่ะ

2.คุณChii...ขอบคุณค่ะที่เข้ามากดไลค์ให้เต่าโยตลอดเลย...
เพราะฉะนั้น โยนำมาลงให้กันแล้วน้าาาาาา...

3.คุณคิมหันตุ์...ตอนนี้หมอก็โดนไม่ใช่น้อยค่ะ...
โสน้าหน้าเนอะ...อิอิอิ

4.คุณตุ๊งแช่...ตอนนี้เข้ายึดพื้นที่ได้หมดแล้วค่ะ ไม่เว้นแม้แต่เมียของฟาเดล
ก็ไม่วายถูกโดนยึดไป...ฮ่าๆๆ...พ่อตาก็ดูจะตกที่นั่งลำบากพอๆกับตาลูกเขย...
เหอๆ



สุดท้ายไม่ท้ายสุด

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านนะคะที่ีเข้ามาติดตามอ่านเรื่องนี้...
ขอบคุณทุกๆไลค์ ทุกๆคอมเม้นท์อีกครั้งด้วยค่ะ


...รักษาสุขภาพนะคะ...

"เต่าโย"





yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 พ.ย. 2557, 21:37:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 พ.ย. 2557, 21:37:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 3103





<< บทที่ 14 รักเดียวใจเดียว (100%)   บทที่ 16 แรงปรารถนา >>
แว่นใส 10 พ.ย. 2557, 22:32:57 น.
เข้าอกเข้าใจกันดีนะพ่อตาลูกเขย


คิมหันตุ์ 10 พ.ย. 2557, 22:40:17 น.
เริ่มเข้าขากันดีขึ้นแล้วสินะคะ


ตุ๊งแช่ 11 พ.ย. 2557, 10:55:15 น.
เหนือฟาเดลมีดารัล แต่เหนือดานีส มีน้ำค้าง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account