ซีรีส์บุปผาสันนิวาส Flower of love<<<รอยฝันกุหลาบนางฟ้า>>>
สร้อยเส้นนี้สำคัญมากขนาดไหน คำตอบที่มีให้ ก็คงบอกได้ว่า เท่ากับภาพวาดสีน้ำรูปดอกไม้รูปนั้น และคงไม่มีใครรู้ซึ้งเท่าพวกเขาและเธอ ความรัก ความลับ ความหลัง คำสัญญาในอดีต ที่ผูกพันเธอและพวกเขาไว้ด้วยกัน ถูกกักเก็บไว้ในสร้อยสำคัญที่หายไป และภาพวาดภาพนั้น ที่ส่งผลทำให้...
เธอรอ...มาตลอด โดยที่ไม่รู้ว่าต้องรอใคร
ส่วนเขาทั้งคู่ ตามหา...มายาวนาน โดยที่ไม่รู้ว่าต้องตามหาใคร
ฉะนั้นเพื่อเปิดเผยคำถามในหัวใจที่ค้างคา ภารกิจค้นหาชิ้นส่วนสำคัญของสร้อยที่หายไป และเพื่อไขความลับในภาพวาดที่ถูกเก็บไว้ จึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางความอลหม่านของหัวใจสามดวง
เมื่อหนึ่งชายนั้น คืออดีตรักที่เธอไม่เคยลืม แม้เขาจะทำให้หัวใจเธอบอบช้ำก็ตามที
และอีกหนึ่งคน ที่เพิ่มเติมเข้ามาเพราะความจำเป็น ทว่ากลับผูกพันกับเธอลึกซึ้ง ยิ่งกว่าชายใด!

Tags: ตำนานดอกไม้,นิรันดร์-จิรัสยา,จิรัสยา,ทานตะวัน,กรรณิการ์,พิสูจน์รักทานตะวัน,รอยฝันกุหลาบนางฟ้า,กรรณิการ์มนตรารัก

ตอน: บทที่ 2 บุพกรรม ๑ 1.1


“อย่างนั้นหรือ ได้ซี้เธอ ฉันน่ะไม่มีปัญหาอะไรเลย”

เจ้าของเสียงพูดคือหม่อมหลวงบัวริน เธอเป็นหญิงสูงวัยอายุราวเจ็ดสิบต้นๆ ร่างเล็กๆ บางๆ ผิวขาวเหลืองสวมเสื้อลูกไม้สีชมพูอ่อนผ่าหน้าติดกระดุมกับผ้าถุงมัดหมี่ขิดสีเขียวแดง นั่งอยู่ในศาลาทรงไทยหลังเล็ก จากบทสนทนาทำให้หญิงชรายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นัยน์ตายาวใหญ่หลังแว่นสายตาเองก็พราวไปด้วยรอยของความหวังที่พาดผ่าน และเหมือนปลายสายจะตอบอะไรกลับมาอีก ซึ่งทำให้คนฟังพอใจถึงได้หัวเราะ

ขณะนั้นเธอกำลังสนทนากับผู้เป็นเพื่อน ก่อนที่จะยุติการสนทนา หลังได้ยินเสียงรถยนต์วิ่งเข้ามาจอด ไม่นานเสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ดังใกล้เข้ามา และเมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นร่างสูงๆ ของหลานชายเดินพ้นแนวต้นกุหลาบเข้ามาหา

จะว่าไป การที่โครนอสดูออกจะเป็น‘ฝรั่ง’ มากขนาดนี้ คงเป็นเพราะเชื้อสายตั้งแต่ต้นตระกูลเลยก็ว่าได้ ด้วยว่าคุณทวดผู้หญิงแม่ของบัวรินก็เป็นชาวอังกฤษเต็มตัว พอมาถึงบัวรินก็ได้แต่งงานกับคนไทย แล้ว‘ภริดา’แม่ของโครนอสจึงเป็นแค่ลูกเสี้ยว แต่พอมาแต่งงานกับ‘คริสเตียน’ ปมด้อยที่ถูกปมเด่นข่มไว้ในรุ่นแม่ จึงมาแสดงออกในรุ่นลูก กระทั่งเคยมีคนทัก ว่าโครนอสเองดูเป็นคนอังกฤษ มากกว่าจะเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ

“ทำไมวันนี้กลับแต่หัววันได้นะเรา”

“ไม่มีอะไรทำครับ เบื่อๆ แล้วก็คิดถึงคุณยาย เลยว่ากลับบ้านดีกว่า”

“ต๊าย! ปากหวานจริงนะพ่อนะ” บัวรินบอกยิ้มๆ หลังหลานชายคนเดียวเข้ามาทรุดลงนั่งข้างๆ แล้วโอบเอวกอดไว้ ก่อนจะหอมแก้มผู้เป็นยายหนึ่งฟอด “แล้วนี่หิวไหม ทานอะไรรองท้องก่อนดีมั้ยลูก”

“พี่ฝนจัดการเรียบร้อยแล้วครับ แกลงมายืนรอตั้งแต่ยังไม่เปิดประตูรถ”

ชายหนุ่มบอกกลั้วหัวเราะ ขยับไปนั่งอีกด้านของหญิงสูงวัย ใช้ส้อมจิ้มปั้นขลิบเข้าปาก โดยมีผู้เป็นยายมองด้วยแววตาเอื้อเอ็นดู

“ครอส เมื่อไหร่จะคิดเรื่องแต่งงานแต่งการสักทีล่ะลูก”

ชายหนุ่มชะงัก ก่อนเงยหน้าขึ้นมองพลางเลิกคิ้ว เลยถูกบัวรินหยิกเข้าให้ โครนอสยกแขนหลบหัวเราะพลางอุทธรณ์ “โอ๊ยคุณยายใจร้าย อยู่ดีๆก็มาหยิก ผมยังไม่ทันได้ว่าอะไรเลย”

“โอ๊ยจ้า พ่อเจ้าประคุณ ลูกกะตาพ่อน่ะ มันยิ่งกว่าพูดได้! ถึงปากไม่ขยับ แต่ตาน่ะพูดแทนเสียแล้ว”

“แหม...คุณยายนี่รู้ทันผมไปเสียหมด ว่าแต่ยังไงครับ คุณยายอยากให้ไปดูตัวกับใคร”

บัวรินมองค้อน “หลานสาวเพื่อนยายเอง หนูพลอย กรพินธ์หลานคุณบรรจงไงล่ะ ที่เพิ่งออกทีวี ร้องเพลงการกุศลน่ะ อยากจะให้รู้จักกันไว้ ย่าว่าคนนี้ดูดีนะ ดูปราดเปรียวดี ครอสคงชอบอยู่หรอก ว่าไงล่ะ”

“ก็ไม่ว่าไงครับ เจอก็ได้ แต่ผมว่าปราดเปรียวไม่เท่าไหร่ ขอแต่ว่า อย่ารู้ทันผมเท่านั้นเป็นพอ!”

เขาบอกติดตลก ทำให้ผู้เป็นย่าค้อนอีกรอบ

“วุ้ย! ยังงี้ทุกที คนก่อนๆ นี้ ก็บอกเรียบร้อยไป วันๆ นั่งเฉยๆ จนแมงวันมันบินเข้าปากไปไข่ได้ พอหาคนทันกันมาให้ ก็ว่าอย่าให้รู้ทัน ช่างเลือกเสียจริง ถามจริงนะลูก แล้วครอสน่ะชอบผู้หญิงแบบไหน” โครนอสไม่ตอบทำเพียงแค่ยิ้ม ผู้เป็นยายเลยได้แต่ถอนใจแล้วเล่าถึงเรื่องคู่ดูตัวให้เขาฟัง กระนั้นก็ไม่ค่อยได้สนใจนักเพราะคนนี้ก็คงไม่ต่างจากคู่ดูตัวคนอื่นๆ ที่พอคบกันได้ไม่นาน ก็ต้องเลิกรากันไป

เหตุผลก็แค่ ความรู้สึกลึกๆ ในใจ...มันบอกว่าไม่ใช่ ก็เท่านั้นเอง เพราะในใจเขายังคงตามหา...ใครสักคน ที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร และเมื่อไหร่ ถึงจะได้เจอคนที่หัวใจยอมรับ และบอกว่า‘ใช่’ ได้สักที






คืนนี้ฟ้าเปิด แต่ก็เท่านั้นเอง ท้องฟ้าเมืองกรุงคงเป็นสีส้มเพราะแสงไฟ จนกลบแสงดาวแทบมิด วันนี้เกือบห้าทุ่มแล้ว แถมยังเป็นวันศุกร์ ที่ใครๆหลายคนยังคงสนุกอยู่กับแสงสีและเสียงเพลงในผับ ทว่าทั้งๆที่มีสายเลือดต่างชาติอยู่ในตัวเกินครึ่ง และรูปลักษณ์ส่งให้เป็นปาร์ตี้แมนแค่ไหน แต่โครนอสกลับเลือกที่จะอยู่บ้านเสียมากกว่า

พอตกค่ำภายในเขตบ้านก็สงบเงียบ ได้ยินแต่เสียงรถราวิ่งไปมาแว่วๆ พ่อแม่ของเขากลับมาถึงก่อนหกโมงเย็นเล็กน้อย พอพูดคุยรับประทานอาหารร่วมกันเสร็จ ราวๆสามทุ่ม ก็พากันแยกย้ายไปพักผ่อน

ห้องนอนของโครนอสอยู่ชั้นสอง ด้านหน้าของตัวบ้านทางปีกขวา ซึ่งตรงข้ามกับห้องนอนใหญ่ของบิดามารดา ส่วนผู้เป็นยายนั้นพักอยู่ชั้นล่าง เพราะความที่อายุเยอะแล้ว การจะเดินเหินขึ้นๆ ลงๆ จึงไม่สะดวกนัก ห้องหนุ่มโสดตกแต่งด้วยโทนสีน้ำตาล พื้นไม้แผ่นใหญ่เป็นมันเงาวับ ตัดกับผนังสีครีม มีเตียงคิงไซส์ตั้งอยู่กึ่งกลางห้อง ตรงข้ามกับระเบียงเป็นประตูห้องน้ำ และห้องแต่งตัวที่ปิดสนิท

ขณะนั้นเขายืนอยู่ข้างเตียง มองไปยังภาพวาดใส่กรอบที่ซื้อมาเมื่อสิบปีก่อน

มันเป็นภาพสีน้ำเก่าแก่ วาดเป็นภาพไม้ดอกสีสดคล้ายกุหลาบ และคงเก็บไว้ไม่ใคร่ดีนัก ภาพวาดจึงสีจางลงมาก รอยด่างดวงประทับลงบนแผ่นภาพ จนกลบความงามที่น่าจะงามกว่านี้ให้ด้อยลง

กระทั่งชื่อเจ้าของภาพวาดนั้น ก็ยังถูกรอยแมลงแทะแหว่งหาย...ดูแล้วน่าเสียดาย

ตอนนั้นโครนอสเพิ่งอายุยี่สิบห้าปี เรียนจบปริญญาตรีจากเมืองนอก เป็นปริญญาใบที่สองในชีวิต ชายหนุ่มกลับมาเพื่อเรียนรู้งานจากบิดา ก่อนจะกลับไปเรียนให้ได้ปริญญาโท

มีวันหนึ่งเลิกงานเร็ว และกำลังจะกลับมาบ้าน แต่ก็ไม่รู้เพราะอะไร ทำให้เขาเบนหัวรถเข้าไปจอดริมทางเท้า ในซอกเล็กๆ ของซอยแห่งหนึ่งซึ่งจัดที่เป็นตลาดงานฝีมือเล็กๆ เขาลงไปเดินและพบแผงขายของเก่า มีลุงแก่ๆ คนหนึ่งเป็นเจ้าของ พร้อมกับภาพวาดภาพนี้ที่ดึงดูดใจเขาได้ชะงัด

และโครนอสก็ซื้อมันมาโดยไม่ลังเล ความรู้สึกแรกของเขา เมื่อเห็นภาพนี้ก็คือ‘เป็นสุข’ มันคล้ายๆ ว่าเขาเจอกับของที่เป็นของตัวเอง แต่หายไปนานแล้ว ของรัก...ที่เคยถนอม แต่ต้องจากกันไปเป็นเวลานาน

ซึ่งนับแต่ที่ได้มา ชายหนุ่มก็ติดไว้หัวเตียงมาตลอดเวลา และหลังจากนั้นแหละ ที่เขาเริ่มฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในฝัน เธอ‘งาม’ เกินกว่า‘สวย’ แล้วเขาก็ฝันถึงเธอมาเรื่อยๆ จนทุกวันนี้ พร้อมกับที่ทุกครั้ง เวลามายืนมองดูภาพนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงผู้หญิงในฝัน และอดไม่ได้ที่จะเปรียบเธอ ว่าเหมือนกับดอกไม้ที่ชื่อว่า

“กุหลาบ”

หนุ่มลูกครึ่งพึมพำออกมาเบาๆ พร้อมรอยยิ้ม เขายกมือขึ้นแตะภาพวาดอย่างถนอม ใบหน้าที่ปกติ มักจะดูเคร่งขรึมติดจะเย็นชา ตามแบบผู้บริหารที่รับผิดชอบ ชีวิตผู้คนมากมายแต่แรก บัดนี้ดูละมุนเต็มไปด้วยความอ่อนหวาน

“คืนนี้ผมจะฝันถึงคุณอีกมั้ยนะ อยากรู้จริง”

โครนอสโคลงศีรษะนึกขันตัวเอง ชายหนุ่มเดินไปปิดไฟ ก่อนก้าวกลับมาขึ้นเตียง เพียงไม่นาน อากาศเย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศ และความเหนื่อยล้าจากการทำงาน ก็ทำให้เขาหลับลงได้ในที่สุด และจากแสงสลัวที่ทอลอดเข้ามาในห้อง เผยให้เห็นว่า...ใบหน้ามีรอยยิ้มแต่งแต้ม

ใช่...ในห้วงนั้น ที่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม โครนอสฝัน...ฝันถึงนางในฝัน ที่หัวใจเขา ยอมสยบแล้วเพียงเธอผู้เดียว






“โถ...ฝ่าบาทหาความ กระหม่อมหรือหวังดี” เสียงนั้นกลั้วหัวเราะบ่งบอกถึงอารมณ์คนพูดได้ดี คนพูดเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปลายๆ สวมชุดทหารอันเป็นเสื้อแขนยาวสีเขียวกากี กับกางเกงสีเดียวกัน สวมเข็มขัดหนัง และบูตสีดำที่ยาวขึ้นมาจนถึงหน้าแข้ง ใบหน้าได้รูปยาวดูคมคาย ด้วยรอยไรหนวดที่ขึ้นจนเขียวครึ้ม

บริเวณที่คนพูดยืนอยู่นั้น พลุกพล่านไปด้วยสตรีวัยต่างๆ ซึ่งเดินเข้าออกร้านรวงที่มีอยู่มากมายเต็มไปหมด ข้าวของส่วนใหญ่ที่วางขาย มักจะเป็นผ้าผ่อนอาภรณ์หลากชนิดที่มีตั้งแต่ราคาไม่เท่าไหร่ จนถึงชนิดที่แทบไม่กล้าจับ ด้วยราคาอันสูง จนกลัวว่าเหงื่อไคลจากมือ จะทำให้เนื้อผ้าเกิดความเสียหาย

“อยากให้ฝ่าบาทสบายหทัยก็เท่านั้นเอง”

ดวงตาเรียวรีค่อยหยีลง ยามคนพูดยิ้มกว้าง ส่วนผู้ฟังที่แต่งกายคล้ายกันนั้น เพียงแต่ส่าย‘พักตร์’งามคมเข้มน้อยๆ และด้วยรูปลักษณ์อันสูงใหญ่แปลกตา ผิวขาว นัยน์ตาสีอ่อน เลยพอจะรู้ว่า ชายที่ถูกเรียกว่า‘ฝ่าบาท’นั้น จะต้องมีเชื้อสายของชาวต่างชาติแน่นอน และแม้ว่าผู้ฟังจะยังคงยืนนิ่งเฉย ทว่าดวงเนตรนั้นเล่า กลับเจิดจ้าราวกับกองไฟ

“อย่าได้เอาความหวังดีต่อฉันมาอ้างเสียหน่อยเลย ไอ้นิสัยเจ้าชู้ในตัวแกนั่น มันกำเริบสิไม่ว่า”

“โถฝ่าบาท อย่าทรงกริ้วไปเลย ทรงทอดเนตรสิกระหม่อม มองไปทางไหนก็เจริญหู เจริญตาโดยแท้”

คนพูดอุบอิบหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะกวาดส่ายตามองไปรอบๆ ด้วยนัยน์ตาขี้เล่น ในขณะที่คนฟังมีท่าทางละเหี่ยใจ ด้วยรอบข้างนั้นต่างพลุกพล่านไปด้วยผู้คน เพราะเป็นย่านการค้า และเป็นที่ชื่นชอบของบรรดาสตรี ด้วยเป็นที่ที่รวบรวมไว้ซึ่งแพรพรรณนาๆ ชนิด และเครื่องประดับต่างๆ ซึ่งเป็นของที่ชื่นชอบสำหรับสตรีโดยแท้

“จะตายจริง เธอเลือกผ้าได้สวยถูกใจฉันจริงเทียวน้อย!”

เสียงอุทานวุ้ยว้ายดีใจ ดังมาจากร้านทางด้านหลัง ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ทำให้‘ฝ่าบาท’ ที่นายคนมาด้วยกันเอ่ยเรียกอดจะหันไปมองไม่ได้ หลังทรงได้ยินเสียงหัวเราะสดใส

แต่แล้วก็ทรงนิ่งงันไป เมื่อดวงเนตรประสบเข้ากับดรุณีนางหนึ่ง อายุราวสิบแปดสิบเก้าปี ดวงหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา มีรอยยิ้มแต้มดูงามจับตา เส้นผมสลวยที่น่าสัมผัสนั้นตัดสั้นเพียงบ่า สวมทับด้วยที่คาดผมประดับมุก เรือนร่างแบบบางนั้นแต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีอ่อน ที่เพิ่งนิยมและมีผู้สวมใส่ไม่มากนัก แต่ก็แสดงว่าสาวน้อยตรงเบื้องพักตร์ คงเป็นบุตรสาวขุนนาง ที่มีหัวทันสมัยอยู่ไม่น้อย

“ฝ่าบาท...ฝ่าบาท!”

ผู้นิ่งตะลึงรู้สึกองค์เองได้ในเดี๋ยวนั้น และเสียงเรียกนั้น ก็ทำให้สาวเจ้าหันกลับมามอง ครานั้นหทัยที่เคยเฉื่อยชา กลับเต้นระรัว ความยินดีบางประการ ที่ซึมซับเข้าสู่น้ำเนื้อหทัย มีความอบอุ่นแช่มชื่น อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน อีกทั้งดวงหน้าอ่อนเยาว์ที่แต่แรกมีรอยยิ้มเปื้อนดูอ่อนหวาน สายตาอ่อนเชื่อมที่ได้สบกับเพียงชั่วครู่ ก็ติดตาตรึงใจจนยากจะถ่ายถอน หัวใจรอนๆ ราวกับจะขาด

และแม้ว่า...จะตื่นขึ้นมาจากฝันแล้วก็ตาม อาการกระวนกระวายอยากพบสบตา พร้อมทั้งความรู้สึกเสียดายก็พุ่งวาบ พอๆ กับความ...คิดถึง






แม้จะเป็นต้นเดือนตุลาคม และเข้าสู่หน้าหนาวแล้วก็ตาม แต่แสงแดดก็เริงแรง เสียจนหลายคนนึกว่าหน้าร้อน ถนนลาดยางสี่เลนโดนแดดเผา จนมองเห็นไอร้อนเต้นยะยิบ

รถยนต์หลากรุ่นหลายยี่ห้อ วิ่งผ่านเหยียบย่ำไปคันแล้วคันเล่า ยกเว้นกระบะตอนเดียวค่อนข้างเก่าคันหนึ่งกำลังวิ่งเลียบเข้าข้างทาง รถคันนั้นบรรทุกผู้โดยสารมาห้าคน สามคนนั้นนั่งพิงเอนๆกับขอบกระบะ อยู่ทางตอนหลัง ส่วนอีกสองนั่งหน้า เป็นผู้ขับและคนนั่งข้าง

รถสีดำวิ่งชะลอเข้าข้างรั้วยาว ซึ่งเป็นกำแพงปูนก่อสูงราวห้าสิบเซนติเมตร ติดเหล็กดัดศรแหลมกันขโมยสูงท่วมหัว บนต้นเสาแต่ละต้นเป็นอิฐสีแดง ติดโคมไฟไว้ให้แสงสว่างในยามค่ำคืน และเมื่อมองเข้าไปจากภายนอก จะเห็นต้นไม้ทั้งเล็กทั้งใหญ่มากมาย ดูร่มรื่นเขียวขจี พอวิ่งเข้าข้างทาง รถคันนั้นก็เลี้ยวผ่านประตูเหล็กดัดกว้าง ที่มีป้ายด้านหน้าติดไว้ว่า‘สวนพิกุล’ ซึ่งเป็นร้านขายไม้ดอกไม้ประดับ ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งริมชานเมืองเข้าไป

ถนนภายในเป็นดินลูกรัง กว้างราวสามเลน ตลอดสองข้างทางระยะแรก เป็นไม้ล้อมต่างขนาด เรียงลำดับจากเล็กไปใหญ่ มีไม้ค้ำยันกันล้ม ส่วนที่รากพันด้วยแสลนกันแสงสีดำ บ้างมีกองดินพูนสูงกองห่างเป็นระยะ ไม้ส่วนมากเป็นไม้มงคลอย่างทรงบาดาล คูณ ลีลาวดีหลากสี ปาล์มชนิดต่างๆ หรือแม้แต่กัลปพฤกษ์ หรือกระทั่งไม้ประดู่ ไม้พะยอม

รถสีดำเปื้อนฝุ่นวิ่งตามถนนเข้าไปราวร้อยเมตร ก่อนจะไปจอดลงที่โรงจอดรถ หลังคามุงสังกะสีง่ายๆ กว้างพอจะจอดรถได้ราวยี่สิบคันทางขวามือ ใต้ร่มเงาไม้ให้ผลที่ปลูกลงดิน มีแปลงไม้ดอกกั้นส่วนระหว่างโรงรถ กับไม้ล้อม ส่วนด้านหน้าเป็นโรงเรือน ทำเป็นโครงหลังคาเหล็กครึ่งวงกลม มุงด้วยแสลนกันแสงสีดำจำนวนห้าโรงเรือน

ด้านซ้ายมือของโรงเรือนเป็นตึกสองชั้น และข้างๆเป็นหลังคากันแดดยื่นคลุมออกมา บนระเบียงมีโต๊ะเก้าอี้ตั้งอยู่ และบางส่วนอยู่ใต้นั่งร้าน ที่มีเถาพวงแสดออกดอกสีส้ม ห้อยระย้าย้อยเต็ม จนกลายเป็นหลังคาสีส้มแกมเขียว

ห่างออกไปบนถนน ซึ่งแยกอ้อมออกไปทางด้านหลังราวห้าสิบเมตร มีไม้พุ่ม ไม้เลื้อยถูกจัดกันไว้ในคอกไม้ไผ่ แยกชนิดกันให้เห็นชัด แต่ส่วนมากเป็นการเวก กระดังงา เข็ม โมกข์และกุหลาบ ที่ตอนนี้มีคนงานห้าหกคนแต่งกายมิดชิด สวมหมวกสานกันแดด กำลังขนขึ้นไปจัดเรียงบนรถสิบล้อ

เสียงตะโกนเอะอะมะเทิ่งได้ยินชัด เมื่อเครื่องยนต์ดับไปแล้ว ทุกคนในรถต่างทยอยลงมา จนถึงคนสุดท้ายที่เป็นผู้หญิง เธอสวมเสื้อแขนสามส่วนสีดำกับกางเกงยีนส์สีเข้ม รองเท้าผ้าใบเก่าๆ ใบหน้าซ่อนไว้ใต้หมวกสาน

‘วิมาลา’ เป็นผู้หญิงอายุยี่สิบปลายๆ ใบหน้ารูปหัวใจ ถูกล้อมกรอบด้วยกลุ่มผมยาวสีน้ำตาล ที่มัดรวบไว้เป็นหางม้า เธอสวมแว่นสายตา ดูเป็นอาหมวยนิดๆ เรือนร่างสมส่วนซึ่งสวมเสื้อยืดสีฟ้าสกรีนชื่อสวนพิกุลกับกางเกงยีนส์ ก้าวเร็วๆเข้ามาหาหลังคนงานที่มากับจิรัสยา แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง

หญิงสาวเป็นลูกของคนงานเก่าแก่ และทำหน้าที่เลขา ควบตำแหน่งเสมียน คอยดูแลสวนช่วยจิรัสยามาตั้งแต่เรียนจบ และเมื่อมาถึงตัวนายจ้าง เจ้าหล่อนก็เอ่ยดักคอจนจิรัสยาต้องหัวเราะเจื่อนๆ ว่า

“ได้ข่าวว่ามีงานรอเซ็นบนโต๊ะนะคะ นี่หนีไปส่งของไม่บอกพี่สักคำ โทรศัพท์ก็ไม่เอาไป เฮ้อ! เอาเถอะคุณจาวอยากทำอะไรก็ตามใจ นี่คุณกรรณมารออยู่ในห้องตั้งนานแล้วแน่ะค่ะ”

ผู้เป็นเจ้านายเลยรีบพยักหน้ารับสมอ้างก่อนจะโดนบ่น และวิมาลาก็ค้อนขวับเมื่อถูกตัดบทสนทนา

“งั้นรีบไปดีกว่า เดี๋ยวกรรณรอนานเนอะ พี่วิ”



======================================================================>>>>>


ดีค้า พายายจาวมาส่งค้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา ^O^

คุณพันธ์แตงกวา อัลไลลลลลลลลลลลลลลลลลลล ทำไมใครๆก็รักแต่ครอสสสสสสสสสสส โถ พี่พีทขามามะเดี๋ยวม่าม้ากอดปลอบนะลูกนะ หนุเกิดมาเพื่อถูกครอสจุงดับอนาคตเจงๆๆ อิๆ เจ่เจ้ตึกนั้นมีอะไรรึป่ะๆๆ เราไปออกคนอวดผีกัน อิๆๆ
คุณนักอ่านเหนียวหนึบ อัลไลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล นี่ก็อกีคน 555+ ไม่ชอบผู้ชายแบดบอยรึ อุ้ย พี่พีทหน้าซึมเลยใครๆก็ไม่รัก อิๆ
คุณบุลินทร หมี้ริน ตอนนี้เธอเป็นอีกคนที่พี่หนอนตั้งชื่อเล่นให้ 555+ รับไม่รับไม่รู้ แต่พี่หนอนจะเรียกเธอแบบนี้ กร๊ากกกกกกกกกก สะเทือนซางดียุมะ ยังรู้สึกไม่ว่าขยี้ตับพอ ฮิ้ว ซาดิสต์มาก ว่าแต่ พระเอกน่ะใคร อิๆ
คุณแว่นใส อุ้ย มันต้องแยกพระเอกกับท่านชายด้วยนะคะ ว่าแต่...ถ้าพระเอกกับท่านชายคือคนเดียวกันล่ะ จะเป็นใคร งงไหมคะ หนอนก็งงค่ะ พูดเองงงเอง ฮือๆๆ >//////<
คุณZephyr กรี๊ดดดดดดดดดดด เฟอร์รี่จังไม่รักพี่พีทเหรอ ทำไม้าย ทำไมคนถึงรักแต่ครอสจังนะเนี่ย แอร๊ยยยยยยยยยย พี่พีทออกจะแบดบอย ไม่ชอบเหรอ ไม่ชอบเหรอ อิๆ

และคุณๆรีดเดอร์นะค้า ขอบคุณมากๆๆค่ะที่แวะมาอ่าน มาคุย มากดคะแนนให้ ขอบคุณมากๆๆจริงๆ

ตอนนี้มีอีกเรื่องอยากฝากด้วยค้าาาาาาาาาาาาาาา ช่วยกรุณาหนอนน้อยด้วย 555+


พี่แทน ใน รอยพรหมลิขิตรัก วางแผงแล้วนะคะ แต่คิดว่าคงใช้เวลากระจายกันสองสามวัน ตอนนี้ขึ้นในเว็บร้านนายอินทร์แล้วค่ะ ช่วยเอ็นดู พี่ชายคนรอง ของยายกุล ในใยรักพันใจด้วยนะค้า ส่วนแฟนยายกุล หรือป้าคุณ(ชื่อเดิม) รับรองว่าในเรื่องนี้มีโผล่มาป่วนให้หายคิดถึงแน่จ้าาาาาาาาาาาาาาาาา ส่วนใครที่ลุ้น มาดูว่ายายกุลจะป่องจริงป่าว อิๆ

ป.ล. พี่ชายเป็นพระเอก แต่หนำเหนอน้องสาวมาก 555+

เจอกันวันพฤหัสนะคะ คืนนี้ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ อิๆ



ดังปัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 พ.ย. 2557, 18:30:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 พ.ย. 2557, 18:30:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 1504





<< บทที่ 1 บุพกรรม 2/2   บทที่ 2 บุพกรรม ๑ 2.2 >>
พันธุ์แตงกวา 11 พ.ย. 2557, 19:23:27 น.
ชื่นจายยยยย ครอสจุง ฝ่าบาทกับแม่น้อยเวอร์ชั่นนี้คลาสสิคนะ ฉากหรู เสื้อผ้าสวย^^
ว่าแต่คุณกรรณเธอมาทำไมรึ


Zephyr 11 พ.ย. 2557, 19:25:15 น.
พี่ครอสขี้เล่นจังเลยค่าาาา เคลิ้มมมมม
จริงๆเฟอร์ออกจะชอบลุคแบดบอยนะ ส่วนใหญ่พระเอกมักจะมีมาดนี้นี่นา แต่อารมณ์แบบแบดบอยหลบๆ
ไม่รู้จิ คราวนี้มาดกวน ขร้เล่นของพี่ครอส กระแทกตากระเทาะใจ อุอุ เคลิ้มมมม คนเดียวดีกว่า
อ้ายยยย น่าร้ากกกก


แว่นใส 11 พ.ย. 2557, 20:56:06 น.
น่าจะทีสองคู่เนอะ


บุลินทร 11 พ.ย. 2557, 21:00:13 น.
ตอนนี้ไม่มีอะไรสะเทือนซาง มีแต่อารมณ์ลุ้นๆ ผสมกรุ่นกลิ่นไอรักอบอวล ครอสตื่นตอนสำคัญพอดีเลย จะฝันต่อเมื่อไหร่นั่น ว่าแต่เขียนแนวนี้ยากมากแน่ๆ ทั้งฉากทั้งภาษา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account