ทิพย์เทวี
เธอลงมาช่วยเหลือผู้มีพระคุณให้พ้นภัย แต่เรื่องดันวุ่นเพราะใช้ฤทธิ์เดชไม่ได้

นางฟ้าเคยเลิศเลอในแดนสรวงกลับไม่ต่างจากวิญญาณง่อยเปลี้ย

ไม่รู้ว่างานนี้นางฟ้าต้องช่วยมนุษย์หรือมนุษย์ต้องช่วยนางฟ้ากันแน่
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 4, 5, 6




***นักอ่านของสุชาคริยา คือ 'ผู้มีปัญญา และ สูงส่ง' สุชาคริยาคิดเช่นนั้นเสมอ และจะเป็นเช่นนี้จนวันตาย
ไม่มีนักอ่าน-ไม่มีสุชาคริยา ท่านสำคัญต่อคนเขียนงานคนนี้ ซาบซึ้งที่ท่านเกื้อหนุน ขอบพระคุณจากใจค่ะ***


***********************************************


หายไปนานนนนน เลยทีเดียวค่ะเพราะติดภารกิจหลายอย่าง เพิ่งรู้ตัวว่าเป็นคนเขียนงานที่แบบว่า...ไม่เห็นข้อความจากนักอ่านแล้วไม่ค่อยมีแรงกระตุ้นเขียน 555555 คือจริงๆ แล้วก็ติดการพูดคุยเฮฮาผ่านตัวอักษรเนอะ เป็นธรรมด๊าธรรมดาของคนที่เริ่มต้นรู้จักนักอ่านผ่านโลกอินเทอร์เน็ต

แจ้งว่าทิพย์เทวีส่งต้นฉบับไปตั้งแต่วันที่ 2 ต.ค. 57 และมีกำหนดวางแผง 20 ธ.ค. 57 โดยประมาณ อ้อยเองก็จะลงให้อ่านไปเรื่อยๆ เป็นตัวอย่างกันไป

ส่วนงานเขียนเรื่องใหม่ที่ตอนนี้อ้อยเริ่มเขียนคือเรื่อง ‘นางเงา’ ค่ะ เมื่อวันก่อนได้โพสต์บทนำไปแล้ว และมีแนวโน้มว่าจะทำมือ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงต้องดูอะไรหลายๆ อย่างอีกครั้งค่ะ อย่างไรแล้วก็ขอฝากนางเงาไว้อีกเรื่องหนึ่งด้วยนะคะ แว้บไปคุยไปทักทายกันได้ ตอนนี้อ้อยต้องการกำลังใจอย่างแร๊งซ์ อิอิ

รักนะจ๊ะ จุ๊บๆ...
อ้อย/สุชาคริยา


------------------------------------------------------


บทที่ 4

เป็นอะไรที่ชวนมองไม่น้อยกับหญิงสาวแสนสวยใส่เสื้อคอกระเช้าสีขาว ดูคลาสสิกกับผมดำขลับยังเกล้ามวยปักปิ่นเอาไว้ ผ้าถุงธรรมดาสีเดียวกันแต่นุ่งออกมาได้สวยงาม ดูร่าเริงแจ่มใส ยิ้มได้ตลอดเวลา เป็นอะไรที่น่ามองเมื่อหญิงสาวเดินลงบันไดตรงเข้ามาหาบดินทร์ที่นั่งรออยู่บนตั่งไม้ตัวใหญ่หนึ่งเดียวใต้ถุนเรือน

อาการของยายแร่มที่เดินเคียงสุดแสนจะพินอบพิเทา บดินทร์ส่ายหน้า กุมขมับของตัวเองไปพลางอย่างหนักใจ ยายแร่มจะรู้หรือไม่ว่าท่าทางเช่นนั้นเหมือนบ่าวแก่ๆ ประคองเจ้านายอ่อนวัยแบบที่รู้ว่าประจบสุดๆ

และพอได้มองหญิงสาวอีกครั้ง บดินทร์ก็ยากจะถอนสายตาออกมา รอยยิ้มของเธอนั้นสดใสสวยงามนัก เยื้องย่างดั่งว่าเท้าจะสัมผัสพื้นแต่ก็เป็นเพียงปลายเท้าแตะผ่านเล็กน้อย ร่างกายไม่ได้โยกไหวเกินงาม เหมือนคนเดินนิ่งๆ ช้าๆ ตัวตรง นุ่มนวล ทว่าความรวดเร็วนั้นไม่ต่างจากคนทั่วไป ดูสวยงามสง่าแปลกตา

รอยยิ้มของเธอที่มอบให้เขาเพียงเล็กน้อยแต่มากพอจะทำให้เบิกบานตาม เสื้อผ้าธรรมดาที่เห็นยิ่งทำให้โดดเด่นมากมาย ที่ไม่อาจปฏิเสธว่าคนงามล้ำลึก งามอย่างตราตรึงใจ ไม่ว่าอยู่ในชุดไหนก็ดูงามไปหมดนั้นเป็นเช่นนี้นี่เอง

บดินทร์แสร้งหันหน้าหนีไปทางอื่น ขยับนั่งขัดสมาธิรอ หญิงสาวย่อกายลงนั่งพับเพียงบนตั่งนี้เช่นกัน เยื้องห่างตรงหน้าเขาไปเล็กน้อย ทุกกริยาอาการอ่อนหวานชดช้อยจนอยากขยี้ตาแรงๆ

แม่นางหลุดมาจากโลกไหนกันเนี่ย

“หิวข้าวไหม” เขาถาม

“มิได้เจ้าข้า”

เกือบเหวอไปเลยทีเดียวสำหรับบดินทร์ “มันหมายความว่ายังไง มิได้เจ้าข้าของคุณน่ะ”

หญิงสาวยิ้มหวานให้ สไตล์การพูดเหมือนช้าแต่ไม่ช้า เหมือนเร็วแต่ไม่เร็ว อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์คือความหวานนุ่มนวลในน้ำเสียงเมื่อเอื้อนเอ่ยอย่างน่าฟัง

“หมายความเพียง มิได้หิวเจ้าข้า”

บดินทร์กอดอก นั่งตัวตรง “คุณ...พอจะเลิกพูดภาษาลิเกกับผมได้ไหม ผมไม่อยากแปลไทยเป็นไทยแบบนี้”

ดวงตากลมโตคมคายคู่นั้นมองบดินทร์ปริบๆ เหมือนว่าทำอะไรผิดหรือกับการพูดเช่นนี้

เขารีบอธิบาย “ขอคำพูดง่ายๆ น่ะ คุณพูดเหมือนที่ผมพูดตอนนี้ได้มั้ย”

อีกฝ่ายยังเงียบ ทำท่าคิดและตัดสินใจอยู่ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้หรือเปล่า ว่าตาโตๆ หน้าสวยหวานเลิศล้ำ กิริยาอาการ ทุกอย่างที่เป็นเธอกำลังทำให้คนอย่างเขารู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงขึ้นมา รู้สึกเช่นผู้ชายที่กล้าซบแนบเท้าสตรีคนหนึ่งได้อย่างไม่อาย ยากต่อต้านเสน่ห์หวานๆ ที่สัมผัสถึง ครั่นเนื้อครั่นตัวอยากจะเข้าใกล้ ยากจะห้ามใจไม่ถวิลหา จนกลายเป็นว่าพอได้เห็นหน้า พูดคุย เขาก็ต้องตั้งแง่ ทำเสียงดุ หรือพูดคล้ายข่มขู่เข้าไว้ ซึ่งความจริงคือต้องให้ดูเคร่งขรึม กลบเกลื่อนความต้องการที่โผล่ขึ้นมา พยายามพาใจออกมาให้ห่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อป้องกันตัว เพราะมีแนวโน้มว่าหากห้ามใจตัวเองไม่ไหว ก็อาจทำอะไรไม่ดีไม่งามได้แน่ๆ

และเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ตอบ จึงถาม... “คุณชื่ออะไร มาจากไหน ทำไมมาอยู่ที่นี่”

หญิงสาวยิ้มกว้างออกมาทันที “ข้าพเจ้ามีนามมธุรสเทวี สถิตแต่แดนสรวงปรนิมมิตวสวัดตีภูมิ อันมีองค์ปรนิมมิตสวัสตีเทวาธิราชเป็นอธิบดี เหตุเยือนมนุษยภูมิครานี้ก็ด้วยมีพันธะต่อท่าน ผู้ช่วยเหลือข้าพเจ้าในกาลก่อนให้พ้นภัยดอกเจ้าข้า”

บดินทร์คิดตามไม่ทัน ยอมเกาหัวแกรกๆ หมดมาดหล่อๆ เป็นครั้งแรกต่อหน้าสตรีแสนงาม ปกตินั้นคนที่เห็นท่าทางเช่นนี้จะมีก็แต่ยายแร่มคนเดียว

ทำไมเขาถึงได้ให้ความสนิทสนม กล้าแสดงตัวตนออกไปต่อหน้าผู้หญิงคนนี้ได้นะ

เฮ้อ... แพ้ความสวย

“คุณ...” ขยับนั่งหลังตรงนิดหนึ่ง กระแอมเล็กน้อย “ช่วยบอกหรือพูดอะไรที่ง่ายกว่านี้ได้ไหม คือ...ผมพยายามเข้าใจคุณนะ แต่ภาษาที่คุณพูดน่ะ มันต้องแปลบางข้อความ” เขามองอีกฝ่ายที่กำลังมองมา เธอฟังเขาอย่างตั้งใจ “ช่วยสงเคราะห์ผมหน่อยนะครับ” เขาเอ่ยอย่างขอร้อง

อีกฝ่ายยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แววตามีความเมตตาและเข้าใจเต็มเปี่ยม “ท่านบดินทร์เจ้าข้า อย่าได้กังวลไปเทียว ใจท่านนั้นถูกหุ้มเคลือบด้วยอวิชชา ทุกข์ สมุทัย แลเครื่องร้อยรัดอันเศร้าหมอง คล้องท่านมิให้ห่างไกลจากกิเลสทั้งหลาย อีกทั้งเพลาผ่านมานับแต่ปฏิสนธิในครรภ์มารดาจนเติบใหญ่ถึงเพลานี้ อวิชชาแลความไม่ดีทั้งหลายย่อมเติบโต เป็นไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ อคติ ทิฐิ เหล่านั้นที่เคยหุ้มเคลือบจิตใจ แต่ใช่ว่าจักแก้ไข ฤๅกระเทาะมิได้นะเจ้าข้า ด้วยว่าแต่เดิมนั้นจิตใจท่านงดงาม ใสสว่าง มิได้เป็นบาทฐานแก่การสร้างอกุศล”

หญิงสาวยิ้มกว้าง ให้กำลังใจสุดๆ “เหตุของท่านเป็นดั่งสิ่งดีงามโดยเนื้อแท้ เพียงแต่มีเหตุให้ความเสื่อมฉาบทา ดั่งคำว่าหุ้มเคลือบที่ข้าพเจ้าได้เอ่ย หากเมื่อใดท่านบดินทร์ได้ขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใส เบิกบาน ด้วยการเจริญสติ วิปัสสนา งดงามด้วยศีล สมาธิ ปัญญา อวิชชาเครื่องร้อยรัดให้เศร้าหมองใดย่อมมิอาจส่งผล ยากจักทำให้ใจท่านขุ่นมัว เมื่อนั้นท่านบดินทร์จักรับฟังถ้อยคำของข้าพเจ้าได้ระรื่นหู มิได้ต่างจากคุณยายแร่มนั่นเลยเทียวเจ้าข้า”

บดินทร์เงียบกริบ มองอีกฝ่ายตาปริบๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมา กรอกตามองเพดาน สูดลมหายใจเข้าลึกทันทีเมื่อรู้สึกตัว

ทำไมแม่คนนี้ถึงได้ดื้อนัก มิหนำซ้ำยังหลอกด่าว่าเขาใจหยาบจนฟังภาษาละมุนละไมหูของเธอไม่รู้เรื่องเสียอีก

บดินทร์ลุกขึ้นจากตั่ง เดินไปเดินมา พยายามข่มอารมณ์ จนพอจะสงบนิ่งได้แล้ว จึงพูด... “โอเค” และสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้ง ยืนอยู่ตรงหน้าหญิงสาว “ผมมันใจหยาบ...โอเค้” แล้วก็บอกตัวเองให้ใจเย็นๆ พูดอย่างระมัดระวังที่สุด อย่าทำตัวเป็นประเภทถูกแทงใจดำแล้วพาล ทว่า...

“ผมเป็นคนนะครับ มีทั้งรัก ทั้งโลภ ทั้งโกรธ ทั้งหลง ขี้อิจฉา ทั้งเกลียดคนฝังใจ มีอีโก้ มีทุกอย่างที่ไม่ดีน่ะ มีในตัวหมด เพราะฉะนั้นตอนนี้กลับมาเข้าเรื่อง...ว่าคุณช่วยหาวิธีทำให้ผมเข้าใจภาษาพูดของคุณแบบที่คุณไม่ต้องพูดภาษาลิเกจะได้ไหม เอาแบบที่ว่าคนใจหยาบแบบผมพอจะเข้าใจได้ง่ายที่สุดน่ะขอรับ”

สีหน้าแววตาของหญิงสาวนั้นบ่งบอกความตัดพ้อ ผิดหวัง “วาจาท่านนั้นร้ายกาจเหลือแสน มิได้หลงเหลือเค้าเดิมแห่งเทพบุตรผู้สูงส่งองค์ เปี่ยมไปด้วยบุญกริยา จิตใจงดงามผ่องใส จึ่งได้กล่าวน้ำคำอันมิได้คะนึงถึงใจข้าพเจ้าแม้นแต่น้อย พวกมารฝ่ายอกุศลใส่อวิชชาใดให้ท่านเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ แลเหตุใดท่านนั้นยอมพ่ายแพ้แก่อวิชชาได้มากถึงเพียงนี้ โดยมิหาญสู้เลยรึเจ้าข้า” เหมือนว่าจะเสียงดังใส่แต่ฟังอย่างไรระดับเสียงก็เท่าเดิม

ทว่าสำหรับบดินทร์เหมือนถูกใครเอาไม้มาฟาดหน้า ได้แต่อ้าปากค้างพะงาบๆ เพราะพูดไม่ออก ว่ามาแต่ละคำนี่ยิ่งกว่าเอามีดแทง พระเทศน์ให้ฟังยังไม่ตรงตัวขนาดนี้ นี่เขาไม่ต้องเข้าวัดก็ถูกสอนสั่งให้ปฏิบัติขัดเกลาจิตใจแบบเดลิเวอรี่ถึงบ้านเลยเหรอ

เขาถอนหายใจออกมา หวังว่าจะไม่บ้าไปก่อนจากการถูกหลอกด่าจากคนเพี้ยนสติไม่ดี

บดินทร์สงบสติอารมณ์ พอเย็นลงก็ค่อยๆ ยิ้มให้อีกฝ่าย พูดอย่างใจเย็นที่สุด “ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยผมทีนะขอรับ” เมื่อเห็นสายตาที่คล้ายจะต่อว่าเขา ว่าอย่าประชดกัน จึงแก้ไข “คือ...ช่วยพูดกับผมด้วยสำเนียงหรือคำปัจจุบันแบบผมพูดอยู่เนี่ย คุณพอจะทำได้ไหม...ครับ”

หญิงสาวทำหน้าเข้าใจ “พูดได้อยู่ดอกเจ้าข้า”

บดินทร์ยิ้มออกมา “โอ... ขอบคุณ” สีหน้าขอบคุณจากใจ แต่ก็กลับชะงักไว้และหุบยิ้มทันที เหมือนจะพูดอะไรไม่ออกกะทันหัน เพราะถ้อยคำที่อีกฝ่ายเพิ่งพูดมานั้นก็ไม่ต่างจากเดิมนัก จึงพูดกับหญิงสาวอีกครั้ง “เมื่อกี้คุณก็ยังพูดเหมือนเดิมนะ ไหนว่าจะช่วยพูดในแบบที่ผมพูดไงล่ะ ผมขอด่วนจริงๆ นะขอรับ” และจ้องมองหญิงสาว

“ท่านบดินทร์” เสียงหวานใสสั่นเครือ มองเขาอย่างตัดพ้อต่อว่า น้ำตาคลอ

นั่นเขาไปทำอะไรให้ ทำไมต้องมามองตาแป๋วจะร้องให้เหมือนกับเขาทำผิดมากมายมหาศาล

ไปกันใหญ่แล้ว

“เหตุใดท่านจึงกล่าววาจาเยี่ยงนี้เล่าเจ้าข้า โปรดถนอมน้ำใจข้าพเจ้า แม้นสักเล็กน้อยก็จักขอบพระคุณยิ่ง แม้นท่านให้ข้าพเจ้าเอ่ยถ้อยคำดั่งท่านร้องขอ ข้าพเจ้าย่อมยินดีมิได้อิดออดแต่อย่างใด แต่ข้าพเจ้ายังอ่อนเพลียนัก จักให้เพลาพักสักเพียงครู่...มิได้เทียวฤๅเจ้าข้า”

กลายเป็นว่ายิ่งตอกย้ำความผิดให้ละอายแก่ใจมากขึ้นไม่รู้กี่เท่าตัว

ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาหนักๆ ยิ่งเห็นสภาพอีกฝ่ายทำหน้าเสียใจเหมือนถูกเขารังแก ก็เหมือนย้ำความตกต่ำของจิตใจตนเองว่ามีมากเพียงใด ตอกย้ำถึงความไม่ดีที่แสดงต่ออีกฝ่ายที่เป็นผู้หญิง ซึ่งกำลังจะทำในสิ่งที่เขาร้องขอ แต่เธอยังไม่พร้อม ทว่าเขากลับเป็นฝ่ายเห็นแก่ตัว ไม่เห็นใจไปเสียได้

ส่วนยายแร่มนั้นเงียบกริบประหนึ่งไม่มีตัวตน มองเขาอย่างไม่พอใจ แต่เมื่อไหร่ที่หันมองหญิงสาวข้างตัว อาการเทิดทูนเหนือหัวเหนือเกล้ารักใคร่บูชาก็ชัดเจนไม่เปลี่ยนกันเลยทีเดียว

ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย เหตุใดยายแร่มจึงเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้เป็นนางฟ้าไปได้ ภาษาพูดก็ลิเกมากมาย แถมยังบอกว่าเคยเห็นมาแล้วอีก แต่จะถามยายแร่มตอนนี้เลยรึก็ไม่เหมาะ เพราะคนนั่งน้ำตาคลอตัดพ้อต่อว่าเขาเมื่อครู่กำลังหลับตาลง จึงต้องเงียบไปโดยปริยาย

บดินทร์เดินออกไปที่ลานหญ้าอย่างระมัดระวัง ฝีเท้าเงียบกริบ มองออกไปที่ต้นไม้ มองเลยไปบนท้องฟ้า ลมยังพัดมาตลอดจึงไม่ร้อนนัก อาจเพราะได้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่โดยรอบช่วยทอนความร้อนแรงก็เป็นได้ จึงไม่ทำให้เขาร้อนรุ่มมากกว่าเดิมหากบรรยากาศโดยรอบร้อนแรง

บดินทร์ยังมองอะไรไปเรื่อยเปื่อย พยายามระงับอารมณ์ที่ถูกต่อว่าต่อขานก่อนนั้นให้มากที่สุด เขาไม่ได้โกรธหญิงสาว ไม่ได้โกรธยายแร่ม แต่หงุดหงิดใจที่ถูกตอกหน้าหงายมาแบบนิ่มๆ หลายครั้งหลายหน แล้วไหนจะพยายามข่มใจ พยายามไม่ใช้อคติซึ่งเกี่ยวพันถึงความเชื่อเดิมที่มี ทั้งสวรรค์หรืออะไรก็ตาม แต่พอตระหนักถึงคำพูดของเธอ...มันก็ถูกต้อง เขาพูดกับเธอดีๆ ได้ โดยไม่เห็นจำเป็นต้องใส่อารมณ์หรือใช้คำพูดแบบนั้น ส่วนจะใช่ไม่ใช่อย่างไรก็ว่ากันอีกทีหนึ่ง แต่ไม่ควรไปอารมณ์เสียใส่จนเสียมารยาท

แต่อาจเพราะความกดดันที่มีอยู่เป็นทุนเดิมไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องครอบครัว เรื่องราวหลายอย่างตั้งแต่เด็กที่จำฝังใจว่าไม่มีหรอก... เทวดา นางฟ้า ไม่มีสวรรค์ ไม่มีนรก ไม่มีอะไรทั้งนั้นนอกจากการกระทำของตัวเอง ศาสนาก็แค่เครื่องหลอกให้คนทำดี แต่จะได้ดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ ซึ่งเขาไม่เชื่อเรื่องหลอกเด็กพวกนี้มานานแล้ว เพราะไม่สามารถจับต้องได้ การปรากฏตัวของผู้หญิงคนนี้และคำพูดของเธอจึงทำให้เขาหงุดหงิดด้วยว่าขัดกับความเชื่อที่เคยเป็นมา ขัดกับความรู้สึกของเขาที่เคยมี จึงเกิดอาการต่อต้านและแสดงออกไปเช่นนั้น

‘แกมันใจหยาบจริงๆ ว่ะ’ บอกตัวเองแบบนั้นแล้วก็ถอนหายใจออกมาอีกรอบ เพราะเขามีอคติเหมือนที่หญิงสาวพูดจริงๆ และทำให้ไม่เปิดใจรับฟัง

“คุณเจ้าขา...” เสียงยายแร่มเรียก

บดินทร์ให้หันไปมอง

สีหน้าอดีตพี่เลี้ยงของแม่เขา และเป็นพี่เลี้ยงของเขาในวัยเด็กกำลังมองมาอย่างคาดโทษเลยทีเดียว ประหนึ่งว่าความผิดที่เกิดขึ้นช่างมากมายนัก บังอาจไปแตะของรักของหวงของแก แต่ก็ส่งสัญญาณให้รู้ว่าห้เดินเข้าไป

บดินทร์มองเลยไป เห็นอีกฝ่ายลืมตาเรียบร้อยและส่งยิ้มให้มา ดูเหมือนว่าหญิงสาวช่างยิ้มออกมาได้ง่ายดาย ไม่ถือโทษโกรธเคืองอะไรทั้งสิ้น บดินทร์ยิ้มตอบ แต่ก็หุบยิ้มทันทีเช่นกัน มองภายนอกคงไม่ต่างจากการยิ้มส่งๆ แบบขอไปที

เขาเดินไปที่ตั่งไม้ นั่งลงตรงข้ามกับหญิงสาวและเป็นที่เดิมอีกครั้ง

“ว่าไง” ตั้งใจว่าจะพูดดีๆ แต่เสียงก็ยังขุ่นไม่น้อยเมื่อถามออกไป

อีกฝ่ายไม่ตอบ ยิ้มให้อย่างอ่อนหวานอย่างเดียว บดินทร์ลุ้นว่าทำไมจึงนั่งเงียบนัก แต่ก็ได้แค่รอ ทว่าเมื่อนานเข้า จึงถามผ่านสีหน้าว่ามีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า ทำไมเธอถึงไม่เอ่ยอะไร

หญิงสาวยิ้มกระมิดกระเมี้ยน มองไปที่ยายแร่มที มองมาที่บดินทร์ที แล้วก้มหน้าลง ปิดอาการอายเล็กๆ ไม่มิด “เพลานี้...ข้าพเจ้าเหนื่อยนัก กำลังฤทธิ์ฤๅ...มิอาจใช้โดยง่าย เมื่อครู่ได้ตรวจสอบแน่ชัด...แหะๆ จำต้องเป็นเช่นนี้สักชั่วคราว ด้วยว่าใช้กำลังไปกับการปรากฏกายครานี้ ท่านบดินทร์...จักอภัยแก่ข้าพเจ้าได้ฤๅไม่เจ้าข้า” ยิ้มอย่างขอร้องขอความเห็นใจนั้นทำให้บดินทร์พูดไม่ออก

เป็นไปได้ยังไงกับนางฟ้าแบบนี้ อ้อนแบบน่าสงสารได้ทุกที่ ทุกสถานการณ์อย่างน่ารักน่าเอ็นดู ไม่น่ามีจริงๆ หรอกนางฟ้าน่ะ สงสัยสมองแม่นางกระทบกระเทือนอย่างหนักมากกว่า เลยเป็นแบบนี้ต่างหาก

ยังไม่ทันได้คิดอะไรมากกว่านั้น ยายแร่มก็พูด...

“นั่นสิคะคุณดินทร์ ท่านเหนื่อยมากแล้ว ให้พักสักหน่อยนะคะ แล้วค่อยว่ากัน แค่ท่านปรากฏให้ได้จับ ได้ต้อง ก็เป็นบุญเหลือเกิน” แล้วหันไปพูดกับหญิงสาว “เดี๋ยวยายจะเตรียมห้องบนเรือนไว้ให้นะเจ้าคะ” เสียงอ่อนเสียงหวานสุดๆ เลยนะนั่น ผิดกับแววตาที่มองบดินทร์มาก่อนนี้ จนชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นประชาชนชั้นสองที่ไม่มีสิทธิเหนือกว่าอีกฝ่ายด้วยประการใดทั้งปวง

“ให้ใช้ห้องรับแขกที่เรือนนี้นะคะคุณดินทร์ เดี๋ยวยายจัดการให้เลย”

แต่เขาอาจคิดผิด เพราะตอนนี้ยายแร่มกำลังขอร้องอย่างนอบน้อมที่สุด สีหน้ากับน้ำเสียงขอความเห็นใจ ทว่าในแววตานั้นกลับมีความตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้าเลยทีเดียว แล้วแกยังลุกขึ้นยืนอย่างกระปี้กระเป่าลั้ลลาทันตา อาการไม่ชอบใจที่เขาแสดงกริยาไม่ดีก่อนหน้านั้นหายไปไม่มีเหลือ

อะไรจะอยากให้ผู้หญิงคนนี้อยู่บ้านนี้มากขนาดนั้น

ไม่บอกไม่รู้เลยว่านี่คือคนอายุเจ็ดสิบสาม ท่าทางลั้ลลาที่เห็นก็แตกต่างกับยายแร่มที่เรียกชื่อเขาดังลั่นบ้านก่อนนั้นและคิดว่าตกใจ แตกต่างจากยายแร่มที่ต่อว่าเขาด้วยสายตาที่ไปไล่เบี้ยเอากับนางฟ้าของยาย แตกต่างราวคนละคนจริงๆ

บดินทร์พยักพเยิดหน้าเป็นการอนุญาต ถ้าไม่ตามใจก็เห็นทีว่าจะง้อคนแก่ไม่ง่ายเลยละนั่น บดินทร์ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ท่าทางยิ้มแก้มปริจนแทบจะร้องเพลงออกมาของยายแร่มทำให้ได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ แล้วคนตรงหน้านี่อีก...ฉีกยิ้มหวานมาแต่ไกล ก้มกราบแทบพื้นอ่อนช้อยผิดยุคผิดสมัยจริงๆ

“ขอบพระคุณยิ่งนักเจ้าข้า”

กลายเป็นว่าต้องพยักหน้ารับส่งๆ ไปไม่แพ้กัน ก็จะให้เขาไล่ไปที่ไหนได้ล่ะ สติสตัง ความจำ และการพูดการจาแบบนี้ ไม่โดนจับไปขายหรือโดนหลอกทันทีที่พ้นบ้านเขาในก้าวแรกรึนั่น

นี่ของเขากำลังเจอกับอะไรกันเนี่ย อยากขยี้หัวเป็นบ้า


- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -



บทที่ 5

เวลาที่ผ่านไปไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย หญิงสาวที่อ้างว่าชื่อมธุรสเทวียังนั่งพับเพียบ มองตาแป๋ว คอยส่งยิ้มให้ เกือบตีหนึ่งก็ยังไม่ยอมหลับยอมนอน ดูเหมือนจะไม่ยอมกินอะไรเช่นกัน น้ำดื่มก็ไม่แตะ ห้องน้ำก็ไม่เข้า นั่งเฝ้าอยู่แต่หน้าห้องนอนของเขาตรงนี้ สุดท้ายต้องให้เข้ามา

บดินทร์ไม่รู้จะทำอย่างไร นอกจากปล่อยอีกฝ่ายนั่งพับเพียบอยู่กับตั่งไม้ในห้องใกล้กับหน้าต่าง ให้นั่งอยู่ตรงนั้น ส่วนเขาก็นั่งดูอะไรในคอมพิวเตอร์ไปเรื่อยๆ บางทีก็แอบมองหญิงสาวทางหางตาเงียบๆ ไม่พูดอะไรออกมา เพราะก่อนหน้านั้นเขาถามเท่าไหร่ก็มีข้อมูลเกี่ยวกับสวรรค์ชั้นหก หน้าตาของวิมานต่างๆ สระโบกขรณี เทวดา นางฟ้า สารพัดอย่างที่เจ้าตัวยังพูดวกวนอยู่เพียงเท่านั้น ไม่มีข้อมูลอื่นใดนอกจากเรื่องสวรรค์ซึ่งเขาไม่ค่อยชอบฟังนัก จึงเงียบไปเพราะไม่อยากได้ยิน

ก็โถ... มันน่าเชื่อไหมละนั่น

เพราะเขาเคยเห็นคนเข้าวัด ทำบุญ ไปวัดทีสามวันเจ็ดวัน สุดท้ายก็ไม่เห็นมีอะไรดี ขี้นินทาก็ยังเป็นที่หนึ่ง ขี้อิจฉาก็ไม่เป็นรอง ชอบมองคนอื่นอย่างเหยียดๆ ว่าต่ำต้อยกว่าก็มีไม่น้อย บ้างก็บ้าหวยบ้าเงินบ้าทองไม่เป็นรองใคร ฝันเฟื่องเพ้อเจ้อไม่มองความเป็นจริงหวังแต่จะไปสวรรค์ก็เยอะ แถมบางคนยังมีเมียประหนึ่งตัวกาลกิณีเป็นของแถมกลับจากวัดหลังจากไปถือศีลอีก

คิดแล้วก็เซ็ง

ถ้าเข้าวัดหรือพบคู่ครองที่เจอกันในวัด แล้วมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันโดยชีวิตดีขึ้น ไม่มีเรื่องมัวหมอง หรือต่างประพฤติปฏิบัติตัวดีทั้งคู่ ไม่มีเรื่องด่างพร้อยจนเกินงาม เขาก็คงไม่มีอคติอะไร ก็อาจจะยังเชื่อเรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เข้าวัดทำบุญแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์มากกว่านี้ แต่การที่คนใกล้ตัวของเขาและได้เห็นตลอดมานั้นแทบตรงกันข้าม จะเหลือที่ไม่เหมือนก็คือยายแร่มคนเดียวเท่านั้นแหละที่ยังพอทำให้ไม่มีอคติมากนัก และหากไม่มียายแร่มสักคน เขาคงไม่ยุ่งเกี่ยวกับวัดอย่างจริงจัง ให้เข้าไปรับยายแร่มในบางครั้งก็คงไม่เข้าไปหรอก

นั่นก็เพราะยายแร่มเข้าวัดทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ในแบบที่ไม่สนใจอะไร ขอแค่ได้ทำ และทำอย่างมีสติ ไม่คิดว่าทำบุญเท่านั้นจะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นนี้ ไม่คิดว่าทำบุญแบบนั้นแล้วจะได้สิ่งตอบแทนเป็นแบบนี้ แกทำเพราะใจสงบ ทำเพราะทำแล้วใจผ่องใส ของแบบนี้ไม่ต้องพูดแต่เขาก็มองเห็นได้จากการกระทำของคนคนนั้น แต่คนที่เหลือนะหรือ... ประมาณเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ถ้าไม่ใช่พวกอยากให้ตัวเองมั่งมีเงินทอง ก็ขอให้ชาติหน้าเกิดมาหล่อ เกิดมาสวย เกิดมารวย เกิดมาสบาย บ้างขอหวยขอให้ถูกล็อตเตอรี่กันไปก็มีสารพัดรูปแบบ

ส่วนบางคนเงินทองเดิมก็มีอยู่แล้ว เข้าวัดทำบุญก็จริง กิจการก็รุ่งเรืองจริง แต่บ้างก็หมกมุ่นในกาม สารพัดอย่างที่การกระทำขัดกัน บางครอบครัวก็เหมือนมีนรกมาลงทัวร์ซึ่งไม่รู้จะหมดโปรแกรมเยือนเมื่อไหร่ทั้งที่คนในบ้านส่วนมากก็เข้าวัดตลอดเวลา บางครอบครัวฉากหน้าดูดี โพสต์ถ่ายรูปว่าทำบุญ แต่ภายในเน่าเฟะก็มีถมไป แล้วจะให้เขาเชื่อได้อย่างไรกัน

หึหึ... น่าขำ

และหากมีอะไรอย่างที่หญิงสาวว่ามานั้น ไม่ว่าจะเป็นนางฟ้าหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ตลอดชีวิตของเขาไม่เคยจะเห็น ไม่มีใครมาช่วยเหลือหรือตักเตือนคนที่ชอบทำบุญว่าตอนนี้กำลังเข้าสู่ช่วงอันตราย คนนี้คบไม่ได้นะต้องระวัง สิ่งนั้นอย่าไปยุ่งเพราะอันตราย แต่ก็ไม่มี

ทุกวันนี้คนใกล้ตัวของเขาก็ยังมีสภาพนั้น คือเข้าวัด ทำบุญ เมียสุดที่รักที่เจอกันในวัดตอนไปถือศีลนุ่งขาวห่มขาวแล้วจากนั้นก็หอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่ด้วยกัน แต่เชื่อไหม...แม่เมียรักเป็นของแถมจากวัดก็ยังกิน เที่ยว ปาร์ตี้ ไม่สนใจใคร แถมยังคบชู้ได้อีก พอเขาพูดไปก็กลายเป็นทะเลาะกัน ดีไม่ดีเจ้าตัวก็รู้...แต่ก็แสร้งหูหนวกตาบอดมองไม่เห็น

แล้วไหนล่ะ... สติของคนที่เข้าวัดเข้าวา ไหนล่ะเทวดานางฟ้า ไหนล่ะบุญที่จะมาช่วยเหลือ ไม่เห็นมีมาเตือนเลย แค่ตัวเองยังเตือนตัวเองไม่ได้ แล้วมันจะเชื่อเข้าไปได้อย่างไรล่ะ

“ชนเหล่าใดย่อมมีกรรมเป็นของตน ไฉนท่านบดินทร์จึ่งขุ่นมัว ด้วยเหตุอันมิใช่กิจของท่านเล่าเจ้าข้า แม้นว่าใกล้ชิด เป็นบุพกรรมร่วมกันมา แต่เมื่อใดได้รู้เท่าทัน บุคคลผู้นั้นย่อมหลุดพ้นได้ด้วยตนเองทั้งสิ้น ทั้งเหตุใหญ่...เหตุเล็กน้อย แต่หากบุคคลผู้นั้นมิพึงปรารถนาหลุดพ้นบ่วงเวรนั้น...ก็จักตกอยู่ในอาจมอันเน่าเหม็น มิอาจหลุดพ้นเพียงว่าเหยียบ หาใช่จมดิ่งในมหานทีอันกว้างใหญ่ลึกสุดประมาณมิได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น แล้วท่านบดินทร์อย่าได้พาตนหลงวนในเหตุทุกข์อันมิแตกต่างจากคนผู้นั้นเลยนะเจ้าข้า” เทศน์แล้วก็มองบดินทร์ด้วยสีหน้าแววตาเป็นห่วงจริงจังจริงใจ

บดินทร์ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าเขาต้องมานั่งฟังผู้หญิงสติไม่ดีคนหนึ่งพูดแต่เรื่องชวนง่วง แค่เขาคิดนิดคิดหน่อยแม่นางก็เทศน์ลอยลมมาตลอดเวลา เขาไม่ให้เข้ามาในห้องก็นั่งจ๋องตรงหน้าธรณีประตูอย่างน่าสงสาร และถ้าหากเขาต้องไปทำงาน เวลานี้ก็คงจะไม่ต้องมาทนฟังอะไร เพราะหากไม่ไปเที่ยวก็หลับอุตุไปเลย

“ท่านบดินทร์จงเจริญสติ วิปัสสนา สร้างกุศลไว้ให้มากเถิด เหตุแห่งใจร้อนรนมิได้สงบสุข ย่อมเป็นผลเสียต่อตัวท่านมากนัก หากถ้อยคำของข้าพเจ้าท่านจักรับฟังบ้างเพียงนิด เร่งเพียรสร้างกุศล มากน้อยบุญนั้นจักหนุนนำ หนุนเนื่องท่านแลญาติมิตรให้พ้นภัย เหตุหนักจักเบาลงได้ เหตุร้ายจักเกิดย่อมมลายสิ้นด้วยกุศลนี้ แลจิตใจจักสงบร่มเย็น รู้เท่าทันเหตุแห่งทุกข์ทั้งใหญ่ ทั้งน้อย ได้มากแลเจ้าข้า”

บดินทร์ถอนหายใจออกมา มองแม่คนสวยส่งยิ้มหวานให้เขาอย่างเอาใจ ไม่ยอมรับรู้ว่าเขาไม่อยากฟัง บดินทร์เอนหลังชนพนักพิงของเก้าอี้อย่างหมดแรง กอดอกเอาไว้ “อีกนานมั้ย กว่าคุณจะพูดอะไรแบบที่ผมพูด เลิกพูดภาษาลิเกนี่น่ะ” ขอพาเบี่ยงประเด็นหน่อยเถอะ เบื่อที่จะโดนเทศน์

หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ มองเขาตาใส “ถ้อยคำที่ข้าพเจ้าเอ่ย ระคายหูท่านมากถึงเพียงนั้นเทียวรึเจ้าข้า” ใบหน้าสวยหวานล้ำเลิศแสดงออกว่าไม่เข้าใจ เป็นความผิดของเธอหรือที่พูดจาน่าฟัง

บดินทร์ไม่รู้จะสรรหาคำไหนไปตอบ “ผมฟังไม่ถนัด” แล้วก็อ้างออกไปมั่วๆ

“แต่ท่านบดินทร์ตอบโต้กับข้าพเจ้าได้ดีมิใช่ฤๅเจ้าข้า เหตุใดจึ่งว่ามิได้คล่องแคล่วไปได้” เธอยิ้มกว้างมาให้

มองเหมือนว่าเขาเข้าใจอยู่ดี ดังนั้นเธอก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงการพูดแต่อย่างใด

แต่สำหรับบดินทร์ที่เห็นก็รู้ว่านี่คือการดื้อตาใสชัดๆ นึกมันเขี้ยวขึ้นมาทันที ยากจะต่อปากต่อคำ แม้หนึ่งในเหตุผลที่อยากให้เธอพูดแบบคนปัจจุบันพูดก็เพราะเผื่อวันหน้าต้องออกไปข้างนอก ไปพูดแบบนี้กับคนอื่นเขาจะไม่มองเป็นตัวประหลาดไปเลยหรือ แม้แต่เขายังมองว่าเธอประหลาดสุดๆ ไปเลยล่ะ

“ข้าพเจ้าคงมิได้พ้นเรือนท่านบดินทร์ไปที่แห่งใดดอกเจ้าข้า” แล้วก็ยิ้มหวานหน้าบานมาเลยเชียว “ผู้อื่นนั้น....หากข้าพเจ้ามิปรารถนาให้เห็น พวกเขาจักมิได้เห็น ขอท่านบดินทร์อย่าได้วิตกถึงเพียงนั้นเลย ข้าพเจ้าขอบคุณยิ่งนักที่ท่านห่วงใยข้าพเจ้ามากถึงเพียงนี้เจ้าข้า”

บดินทร์มองแม่คนช่างเจรจาด้วยหางตาทันที ก่อนนี้หันหน้าไปมองทางอื่น เพราะความหมายของถ้อยคำช่างขัดใจเขาเหลือเกิน บางทีก็เหมือนหลอกด่าแบบนิ่มๆ จนไม่อยากมองตรงๆ

ยังไม่ทันคิดอะไรมาก เสียงรื่นหูเป็นเอกลักษณ์ก็ดังมา

“เช่นนั้น... เมื่อใดข้าพเจ้าใช้กำลังฤทธิ์ได้ดังประสงค์ จักหมั่นฝึกภาษาพูดมิให้ระคายหูท่านบดินทร์นะเจ้าข้า ท่านจักได้สำราญใจ”

“อืม” รับคำส่งๆ ก็พยักพเยิดหน้าไปพร้อมกัน

เขาไม่ต้องเลี้ยงนกแก้วนกขุนทอง ก็มีอะไรให้ฟังเพลินไปได้นะ

“หากท่านบดินทร์มิใช่ผู้มีคุณแห่งข้าพเจ้าแล้วไซร้ ความคิดใดดั่งคนพาล เป็นอกุศล ฤๅก่อบาปเวรด้วยมโนกรรม เช่นเมื่อครู่ท่านเปรียบข้าพเจ้ากับเดียรัจฉาน แม้นเปรียบด้วยความเป็นคุณ...นั่นย่อมได้ ครั้นเปรียบด้วยใจคิดเป็นโทษ ฤๅคิดอ่านล่วงเกินมิงาม...เป็นอกุศล แม้นน้อยนิดจักส่งผลเร็วพลัน ข้าพเจ้าจักขอท่านให้เว้นวาง ตระหนักเพียงข้าพเจ้ามีเจตนาช่วยเหลือ แม้นบางอย่างมิได้ดังใจท่าน ฤๅท่านมิทราบเจตานาข้าพเจ้าถ่องแท้ จงโปรดละเว้นความคิดอันล่วงเกิน ส่อเสียด ในกาลปัจจุบัน กาลอนาคต ทั้งกาย วาจา ใจ อันจักเป็นภัยต่อท่านให้มากเถิดเจ้าข้า”

แทบจะร้องโห...ออกมาเลยทีเดียว ขยับนั่งหลังตรงทันที “โอเค ผมเข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นเราแยกย้ายกันนอนดีมั้ย เพราะถ้าคุณยังอยู่ตรงนี้ ผมก็คงคิดอะไรต่อมิอะไรไม่ได้หยุดแน่ๆ” บดินทร์สรุปให้ เพราะเจอคำเตือนนี้เข้าไปมันก็ต้องคิดกันได้บ้างล่ะ ถึงไม่เชื่อแต่ก็ไม่อยากโดนด่ากลายๆ บ่อยๆ หรอก

“ขอข้าพเจ้าได้อาศัยเรือนนอนเดียวกับท่านบดินทร์เถิด มากน้อยจักปกป้องท่านให้พ้นภยันตรายได้เจ้าข้า”

บดินทร์หลับตา สูดลมหายใจเข้าลึก “นอนห้องคุณเถอะ ผมโตจนป่านนี้ไม่เห็นจะมีอะไร แต่ถ้าคุณกลัวผี...จะไปนอนกับยายแร่มก็ได้นะ เดี๋ยวผมไปส่ง”

รอยยิ้มเอ็นดูปรากฏบนใบหน้าสวยหวานหยาดเยิ้มทันที “ผี...” และหัวเราะเล็กน้อยด้วยกริยาน่ามอง ไม่มีความรู้สึกในทางลบว่าดูแคลน แต่บ่งบอกว่าเป็นความรู้ที่ไม่ถูกต้อง และอธิบายทันทีโดยไม่ให้เขารอนาน

“ผีเป็นเพียงกายละเอียดของมนุษย์ผู้มิได้รู้ทางไปแห่งตน บ้างวนเวียนอยู่ในภูมินั้นๆ ก็ด้วยมิถึงเพลา หากเหตุเป็นเช่นนี้ ย่อมมีเพียงความน่าสงสาร แม้นว่าผีตนนั้นหลงวนเวียนจริงดั่งท่านว่า เมื่อใดถึงกำหนดเพลาแล้วไซร้ ย่อมมีหนทางไปยังภพภูมิแห่งตน ด้วยแรงอกุศลแลแรงกุศลจักดูดเข้าไปตามผลได้กระทำเป็นที่ตั้ง ยากจักพ้นได้ อยู่แห่งไหนก็มิพ้นได้ดอก มนุษย์ทุกผู้คนก็หาได้แตกต่าง ตัวข้าพเจ้านั้นหากเปรียบ ก็อาจเป็นผี ด้วยนับที่ว่าไม่มีกายมนุษย์หยาบเยี่ยงท่าน ทว่ามิใช่ผีก็ด้วยกุศลกรรมที่ได้สร้างไว้ จึ่งเสวยบุญเป็นเทวีแห่งแดนสรวง เมื่อเป็นเช่นนี้ไฉนเล่าต้องกลัว มิเป็นเหตุอันควรเลย

“แลหากข้าพเจ้านั้นได้เผชิญผีในความหมายของท่านบดินทร์จริง เหตุเป็นไปเดียวจักเกิดขึ้นคือผีต้องหลบเลี่ยง นอบน้อม มิอาจต่อกรฤๅสู้รัศมีแห่งเทพผู้มีบุญเป็นเสบียงได้ดอกเจ้าข้า อีกทั้งตามศักดิ์แห่งบารมีนั้นย่อมเป็นไปมิได้ที่ผี...ฤๅกายมนุษย์ละเอียดของคนผู้นั้นจักต่อสู้กันกับทวยเทพ ด้วยนั่นมิใช่วิสัย ต่างเป็นสัตว์โลกผู้เวียนว่ายตามวัฏสงสาร ย่อมมิทำร้ายห้ำหั่นกันดอก เว้นแต่ว่ากายละเอียดนั้นจักเป็นคนของฝ่ายอกุศล มีมารเป็นผู้ปกครอง มีอวิชชาเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง จึงต่อกรหาญสู้กับเทพฝ่ายกุศลเจ้าข้า

“ฤๅแม้นจักเกิดเหตุนั้นจริง ข้าพเจ้าอันเป็นฝ่ายกุศลย่อมมีเมตตา แบ่งปันกุศลของตนแก่กายมนุษย์ละเอียดนั้นๆ ด้วยการให้อนุโมทนาบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำแต่อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ จักช่วยเหลือให้กายมนุษย์ละเอียดของคนผู้นั้นได้สู่ภพภูมิอันดีงาม มิหวังฟาดฟันให้บรรลัยดอก หากแม้นช่วยเหลือมิได้ ก็จำต้องปล่อยให้เป็นไปตามบุพกรรม มีอุเบกขาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว มิบั่นทอนใจตนให้ขุ่นมัวดอกเจ้าข้า”

บดินทร์พยักพเยิดหน้าให้รู้ว่าฟังนะ แต่ความจริงคือไม่ค่อยเข้าใจนักกับคำอธิบาย อะไรกัน มีฝ่ายพระ ฝ่ายมาร มีกายละเอียด การแบ่งแยกประหลาดๆ ที่ยิ่งฟังก็ยิ่งงง เพราะสิ่งที่เคยได้ยินมาแต่อ้อนแต่ออกก็ว่ากันมาหลายอย่างหลายสิ่ง

เขาเป็นชาวพุทธที่ไม่เหมือนชาวพุทธเพราะเลิกเข้าวัด เลิกศรัทธา เลิกเชื่ออะไรที่เคยมีมานานมากแล้ว ทำตัวแทบไม่เหมือนพุทธศาสนิกชนหรืออาจเหมือนคนไม่มีศาสนา เพราะถ้าจะเชื่อ...เขาก็เชื่อแต่ตัวเอง เชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ ไม่เชื่อกับเรื่องหลอกเด็กพวกนั้นหรอก

ส่วนความรู้แบบชาวพุทธที่เคยเห็นมาก็มีทั้งความเชื่อแบบพราหมณ์ผสมก็ไม่น้อย นับถือพระพุทธเจ้าแต่ก็ชอบคุณไสยก็ไม่น้อย และอีกมากมายหลายแนวทางในความเชื่อของตนเองในแต่ละสายที่ตั้งมามากมายหลายรูปแบบนัก

ว่าแต่... นี่เขากำลังคล้อยตามสาวสติไม่ดีที่คอยพูดพร่ำและสอนความรู้ไม่มีที่มาได้ยังไง

“หากผู้ใด...จักเชื่อถือสิ่งใด แลน้อมใจตามความเชื่อนั้น ก็จงปล่อยเขาไปเถิดเจ้าข้า มิใช่กิจแห่งเรา แต่หากเป็นทางกุศล ย่อมมีทางไปของตนเป็นแน่แท้เจ้าข้า เป็นเรื่องดีนัก ที่ท่านบดินทร์จักน้อมนำตามคำของข้าพเจ้าเจ้าข้า”

มาถึงประโยคนี้ บดินทร์อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “นี่คุณไปยุ่งกับความคิดของคนทุกคนไหม ทำไมแค่ผมคิด แค่สงสัย คุณถึงตอบมาทั้งที่ผมไม่ได้ต้องการ”

ใบหน้าสวยสูงส่งนั้นยิ้มหวานทันที ราวกับว่าไม่มีความโกรธใดๆ เลย “บัดนี้ข้าพเจ้าอยู่เบื้องหน้าท่านบดินทร์แล้ว แลได้สนทนา เป็นโอกาสเดียวที่ข้าพเจ้าจักบอกเหตุ บอกหนทางกลับวิมานเดิมของท่านตามสมควร ก่อนจักหมดเพลาในการสร้างกุศลแห่งมนุษยภูมินี้ ครั้นข้าพเจ้าละเลย มิได้ดูแลท่านบดินทร์ให้สมควรแก่เหตุ วิมานของท่านอันสถิตยังปรนิมมิตวสวัตตีภูมิจักมลาย เทพเทวาผู้เกี่ยวข้องแต่ท่านจักเดือดร้อน หากข้าพเจ้าแก้ไขมิทันกาลเจ้าข้า”

“คุณก็เลยคิดว่าถ้าพูดได้ ก็เลยต้องรีบพูด” เขาต่อคำให้

“เจ้าข้า” ยิ้มอย่างดีใจสุดๆ “ท่านบดินทร์เข้าใจข้าพเจ้าแล้ว น่ายินดียิ่งนักเจ้าข้า”

“ไม่ใช่”

หญิงสาวหุบยิ้มทันควัน

“ที่พูดเนี่ยเพราะสงสัย ว่าทำไมคุณพูดเป็นต่อยหอย ไม่หยุดเลย”

“แม้นท่านบดินทร์มิชอบใจนัก” แล้วหน้าเศร้าๆ ก็ปรากฏให้เห็นทันทีทันใด สียงก็แทบไม่ต่างกันสักนิด “ขอโปรดฟังคำข้าพเจ้าเถิดเจ้าข้า เพลาในมนุษยภูมิใช่มากมายเยี่ยงท่านคิด ข้าพเจ้าคลาดกับท่านเพียงเศษเสี้ยวอึดใจ ครั้นติดตามได้ในเพลานี้ วัยท่านก็ล่วงเข้าสามสิบหนาว มินานนักก็จักหมดอายุขัย แล้วจักทำเยี่ยงไรให้กลับวิมานเดิม...ช่างน่ากลัวยิ่งนักเจ้าข้า”

บดินทร์งง “อะไรนะคุณ อะไรหนาวๆ”

“อ๋อ” หน้าตาบ่งบอกอารมณ์ว่านึกออกสุดๆ “อายุขัยในมนุษยภูมิของท่านในเพลานี้เยี่ยงไรเจ้าข้า” แล้วก็ยิ้มกว้างให้ “บัดนี้ล่วงมาสามสิบหนาว นับตามฤดูกาลเจ้าข้า”

บดินทร์ส่ายหน้า “ผมอายุสามสิบสาม จะสามสิบสี่อีกไม่กี่เดือน ข้อมูลคุณไม่อัพเดทเลยนะ คุณนางฟ้า”

อีกฝ่ายหน้าเหวอและตกใจทันที บดินทร์ยิ่งอ่อนใจที่เห็นอาการแบบนี้ ทว่าเมื่อฉุกใจคิดได้ “คุณรู้อายุผมได้ไง เดาใช่มั้ย”

“มิได้คาดเดาดอกเจ้าข้า เพียงแต่ลืมนับปีมนุษย์ล่าสุดเท่านั้นแล จริงแท้ข้าพเจ้าจักต้องดูแลท่านนับแต่วิญญาณเคลื่อนเข้าสู่กายบิดา แลปฏิสนธิในครรภ์มารดา ทว่าด้วยเหตุพลัดกันจากละอองหมอกดำอันมีอวิชชาแลเครื่องเศร้าหมองในบรรยากาศแห่งมนุษยภูมิห้อมล้อมกางกั้น จึ่งทำให้ข้าพเจ้าคลาดเคลื่อนกับท่าน แลละอองสีดำนั้นเป็นภัยแก่เทพฝ่ายกุศลนัก กว่าข้าพเจ้าตามหาท่านบดินทร์พบ เพลาก็ล่วงมาป่านนี้แล้วเจ้าข้า”

บดินทร์พยักหน้าเข้าใจทั้งที่ไม่ค่อยเข้าใจถ่องแท้ แต่บางอย่างที่สะดุดหูทำให้ต้องตั้งใจฟัง ยื่นหน้าเข้าไปหาทั้งยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงโต๊ะทำงานนี้ เพราะหากผู้หญิงคนนี้เป็นนางฟ้าจริง ทำไมถึงได้เปิ่นได้ขนาดนั้น “คุณบอกว่าคุณพลัดกับผม ขณะผมลงมาเกิด และคุณกำลังดูแล”

หญิงสาวพยักหน้ารับ ยิ้มดีใจแต่ก็แฝงความรู้สึกผิดมาด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่ารู้สึกอย่างไรสีหน้าก็ออกมาเป็นอย่างนั้นแบบไม่ปิดบังกันเลยทีเดียว

บดินทร์กุมหน้าผากตัวเองทันที ถ้าความจริงเป็นแบบนั้น เขาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร

นี่ชีวิตของเขากำลังฝากไว้กับอะไรกันเนี่ย ตลกร้ายชัดๆ ตลกร้ายที่สุดคือเขาเริ่มคล้อยตามผู้หญิงเพี้ยนๆ คนนี้

บดินทร์ยิ่งส่ายหน้า ถอนหายใจหนักขึ้น มองหญิงสาวที่กำลังก้มหน้าก้มตา กระมิดกระเมี้ยนแบบคนทำผิด เขาก็เหมือนจะอึ้งจนพูดไม่ออก

“ข้าพเจ้ามิได้ตั้งใจให้เกิดเหตุนี้เลยเจ้าข้า” เสียงหวานๆ ดังมาแผ่วๆ เหลือบมองเป็นระยะแบบคนทำผิดและรู้ตัวดี “หากมนุษยภูมิมิได้มากไปด้วยละอองสีดำแห่งอกุศล อันมีอวิชชา เครื่องร้อยรัดแห่งทุกข์ แลบาปมากมาย อันเป็นภัยแก่ข้าพเจ้าแลทวยเทพฝ่ายกุศลยิ่งยวด เหตุติดตามคุ้มครองท่านบดินทร์ยังมนุษยภูมินี้ จักมิได้ผิดพลาดดอกเจ้าข้า”

บดินทร์ถอนหายใจออกมา “สรุปคือ คุณคลาดกับผม เพราะบรรยากาศในโลกมันมีแต่ความชั่ว เป็นสีดำในสายตาของคุณ แต่ถ้าบรรยากาศในโลกมีแต่ความดี มันก็จะทำให้คุณมองเห็นหรือทำอะไรได้ง่าย คุ้มครองผมได้ ไม่มีความผิดพลาด แบบนี้ใช่ไหมที่ต้องการจะสื่อ”

เธอพยักหน้า แววตาตื่นเต้นดีใจทันควัน

“โธ่คุณ นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว คนทำบุญทำบาปมันก็เป็นไปตามธรรมชาตินั่นแหละ ส่วนความผิดพลาดก็อย่าไปโทษอย่างอื่นเลย” เขาพยายามโน้มน้าวให้อีกฝ่ายกลับมาสู่ความจริง ไม่ใช่ปล่อยให้ตัวเองถูกโน้มน้าวฝ่ายเดียว

“มิได้เจ้าข้า” สีหน้าและเสียงนั้นเถียงขึ้นมาจริงจังทันที “บุญฤๅบาป ย่อมเกิดด้วยความประพฤติของมนุษย์ในโลกแห่งทวีปนั้นทั้งสิ้น มิได้เป็นด้วยเหตุธรรมชาติแต่อย่างใด มนุษย์ทุกผู้คนหากประพฤติดีประพฤติชอบแล้วไซร้ ทุกสิ่งจักมีแต่ความสงบ ความสุข มองไปแห่งใดย่อมมีแต่ความสุกสว่าง ใสประณีต แม้นมีละอองสีดำก็ใช่จักส่งผลต่อเหล่าเทพได้มากถึงเพียงนี้ แต่นี่...มนุษย์มากหลายต่างประพฤติตนด้วยจิตเป็นอกุศลมากนัก การกล่าวอ้างว่าเป็นเหตุธรรมชาติดั่งท่านบดินทร์ว่ามาย่อมมิถูกต้อง ด้วยสภาพแวดล้อมในภูมิใด ย่อมมีกำเนิดด้วยความประพฤติแห่งสัตว์โลกภูมินั้นเป็นที่ตั้งดอกเจ้าข้า”

อาการเชิดหน้าคอตั้งมาอีกแล้ว

“ทำไมต้องเถียงคอเป็นเอ็นขนาดนั้นด้วย” บดินทร์แซว อดหัวเราะไม่ได้กับสีหน้าท่าทางของอีกฝ่าย

ทันใดนั้นอาการที่เห็นก็หายไปทันที เธอยิ้มให้เขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ก่อนนี้ไม่มีอาการที่ว่าสักนิด กลายเป็นแม่สาวช่างอ้อนและอ่อนน้อมคนเดิม

บดินทร์มองหน้าหวานหยดย้อยเกินคนธรรมดาสามัญ ผมของเธอเกล้ามวยเรียบสวย สวมเสื้อคอกระเช้ากับผ้าถุงสีขาวสะอาดตา นั่งพับเพียบเงียบๆ ด้วยความสุขเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในใจ

และมองด้วยตาเปล่าอยากจะเชื่อว่าคนตรงหน้าคือนางฟ้าอย่างที่เจ้าตัวบอก เพราะหากใช่จริงๆ ก็ไม่น่าจะเปิ่นหรือเป็นคนแบบนี้ไปได้ อย่างน้อยก็น่าจะมีมาดอะไรให้ดูสูงส่งชวนกราบไหว้มากกว่านี้บ้าง แต่นี่เล่นยิ้มหวานชวนใจสั่นตลอดเวลา ท่าทางอาการก็เป็นอย่างที่เห็นอีก

เฮ้อ... ยากจะเชื่อได้ลงจริงๆ

แม้คำพูดหลายอย่างของหญิงสาวจะไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไปก็ตาม แต่ก็จัดว่าอยู่ในประเภทเพี้ยนจัดอยู่ดี นี่ดีนะ...ที่เขาไม่ยัดเยียดไปอยู่ในประเภทคนบ้าก็เพราะความสวยและหุ่นดีของเธอนั่นแหละ จึงยกประโยชน์ให้ แต่ก็มีบางอย่างที่สงสัย

“คุณไม่กินอะไรเลย” เขาถาม เสียงนั้นออกมาจากใจว่าเป็นห่วง เพราะหากไม่พาไปเรื่องอื่น เห็นทีอาจวกเข้าหาเรื่องที่ทำให้ตัวเองโดนด่าอีก

“ข้าพเจ้ากินแล้วเจ้าข้า” พูดแล้วก็ยังยิ้มหวาน

“กินตอนไหน” เขาสงสัย

“เมื่อครู่ก่อน ขณะนั่งรอด้านนอกเจ้าข้า”

“กินอะไร” ที่ถามก็เพราะไม่ได้ยินเสียงยายแร่มหรือใครจะขึ้นมาสักคน

“ข้าพเจ้าย่อมมีอาหารทิพย์ตามบุญบารมีแห่งตน มิได้กินอาหารเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไปเจ้าข้า”

บดินทร์ก้มมองพื้น “ถ้าผมเชื่อว่าคุณเป็นนางฟ้าจริงๆ”

หญิงสาวรอฟัง

“คุณเคยโกรธใครบ้างมั้ย บางทีผมก็รู้ตัวนะ ว่าพูดกับคุณแรง แต่ผมเห็นอารมณ์คุณ คือ...ตามไม่ค่อยทันน่ะ แต่ก็ดูอารมณ์ดีนะ อารมณ์แย่ที่สุดของคุณก็คือนอยด์ แต่ไม่เคยเห็นโกรธ”

แววตาสงสารส่งผ่านดวงตากลมโตออกมาทันที “ท่านบดินทร์เจ้าข้า” แล้วเสียงหวานอย่างอาทรและขอบคุณก็ดังตามมา

บดินทร์เริ่มเสียววาบว่าจะโดนอบรมอะไรอีก นี่เขาพยายามพาออกมานอกเรื่องที่จะโดนเทศน์แล้วนะ

“เทพเหล่าใด แม้นได้กำเนิดบนสวรรค์แล้วไซร้ แม้นดั่งมีอารมณ์โกรธแต่ก็เพียงท่าทาง ด้วยใจนั้นหาโกรธผู้ใดได้ไม่ เพราะเหตุเป็นไปสี่ประการที่จำต้องระมัดระวัง หนึ่งในนั้นก็คือความโกรธเจ้าข้า เทพองค์ใด...นางฟ้าองค์ใด เมื่อระงับความโกรธาแห่งตนมิได้แล้วไซร้ เมื่อนั้นกาลจุติ[1]ย่อมมาเยือนดอก” แล้วเธอก็น้ำตาคลอ มองเขาอย่างโศกเศร้าอาดูร

บดินทร์ก้มมองตัวเองทันทีเมื่อถูกมองเช่นนั้น เมื่อไม่เห็นอะไรผิดปกติจึงมองอีกฝ่าย “มองผมแบบนั้นทำไม”

อาการสูดน้ำมูกน้อยๆ ให้รู้ว่าร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาก็ตามมา บดินทร์ชักไม่แน่ใจว่านี่เขาเพี้ยนหรือเป็นบ้าไปเองกันแน่ที่คุยกับอีกฝ่ายรู้เรื่อง แล้วเขาจะเป็นคนสติไม่สมประกอบไปก่อนหรือเปล่าเพราะเริ่มจะคุยกับผู้หญิงคนนี้รู้เรื่อง แล้วจะรู้เมื่อไหร่ว่าที่มาที่ไปของหล่อนคืออะไรกันแน่

“ท่านบดินทร์พักผ่อนเถิดเจ้าข้า” กลายเป็นว่าเจ้าตัวตัดบทเสียอย่างนั้น

บดินทร์ไม่รอช้าที่จะใช้โอกาสนี้เข้านอน อย่างน้อยการพักผ่อนคงช่วยให้สมองของเขาปลอดโปร่ง

และในวันรุ่งขึ้น... คงจะพร้อมคุยและรับรู้ข้อมูลจากหญิงสาวได้มากกว่านี้ จะได้รู้เรื่องเสียทีว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน มาทำอะไรกันแน่


- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -



บทที่ 6

เช้านี้อากาศสดใส บดินทร์สูดลมหายใจเข้าลึก เขายังไม่ลืมตา คงนอนฟังเสียงนกร้อง ฟังเสียงใบไม้พัดไปตามแรงลม ฟังเสียงยายแร่มกับติณภพที่ดังมาแต่ไกล จากเสียงแล้ว ทั้งสองน่าจะอยู่ตรงถนนทางเข้าแถวประตูรั้วหน้าบ้าน ยายแร่มคงไปใส่บาตรสินะ

บดินทร์ขยับหลังเท้าเบาๆ ไปมาอย่างสบายอารมณ์ นอนเล่นอยู่เช่นนั้น พลิกไปพลิกมาสักครู่หนึ่งจึงค่อยๆ ลืมตา แล้วก็พบว่ามีหญิงสาวแสนสวยใส่เสื้อคอกระเช้า ผมเกล้ามวย นั่งพับเพียบส่งยิ้มให้อยู่ไม่ไกล กะระยะน่าจะนั่งอยู่บนตั่งไม้นั่งเล่นตรงหน้าต่างตัวเดิมที่นั่งเมื่อคืน ห่างจากเตียงนอนนี้ไม่ไกลนัก

เขาลุกขึ้นนั่งทันที ปวดหัวตุบๆ เหมือนจะหน้ามืดฉับพลัน เพราะลุกขึ้นนั่งเร็วเกินไป จนพอจะตั้งสติได้

“ตื่นเร็วจัง” ทักทายไปเขาก็งมหาแว่นตาไป ส่วนหนึ่งก็เพื่อกลบเกลื่อนอาการเมื่อครู่ที่ตกใจเกินเหตุ และเมื่อใส่แว่นตาเรียบร้อยแล้วเขาก็เห็นเธอ

แน่ชัดแล้วว่าอีกฝ่ายยิ้มกว้างมาให้ เธอสวยมากจนตาเขาพร่าไปหมด

“รูปงามด้วยกุศลดอกเจ้าข้า แม้นว่ามีกายมนุษย์หยาบเยี่ยงท่าน หน้าตารูปร่างข้าพเจ้าจักเป็นไปตามบุพกรรม ประกอบกับรูปบิดามารดาผู้ให้กำเนิด มิได้สวยงามเยี่ยงนี้ถาวรดอกเจ้าข้า”

“สอนธรรมะแต่เช้าเลย” บ่นพึมพำแล้วชายหนุ่มก็ไถลเลื้อยลงไปนอนคว่ำอย่างขี้เกียจแบบไม่สนใจใคร

“ท่านบดินทร์มิลงไปใส่บาตรกับคุณยายแร่มดอกฤๅเจ้าข้า” ฟังเท่าไรเสียงนั้นก็อ่อนหวานจับจิต

“ขี้เกียจ” เขาตอบส่งๆ

“ท่านบดินทร์จักปล่อยให้อวิชชาครองใจ มิคิดขัดขืนเทียวรึเจ้าข้า บุญกุศลแม้นน้อยนิด จักเก็บไว้เป็นเสบียง ย่อมมีคุณต่อท่านนัก จักปล่อยผ่านมิใส่ใจได้เยี่ยงไรฤๅ”

พับผ่าเถอะ! นี่ถ้าเขาไม่ลงไปก็คงต้องมานอนฟังหญิงสติไม่ดีพูดแต่เรื่องธรรมะธัมโมไม่หยุดแน่ๆ

“ถูกต้องเจ้าข้า” เธอยิ้มกว้าง ไม่ปกปิดว่ากำลังคิดอะไร ความดีใจแสดงออกชัดเจน

บดินทร์พูดไม่ออก ‘จะอะไรกันนักกันหนา’ เมื่อคิดไปแบบไม่ชอบใจนักกลับต้องชะงักเพราะเห็นสีหน้าแววตาอ้อนวอนกึ่งเศร้าของเธอจนทำให้เขารู้สึกผิด

‘ถ้าไม่ทำตามนี่ต้องมาเจอหน้าแบบนี้ตลอดคงไม่ไหว’ คิดแล้วก็มองอีกฝ่ายนิ่งๆ อย่างชั่งใจ

“ไปนะเจ้าข้า” หญิงสาวออดอ้อนขอความเห็นใจทั้งที่ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอเลย

“ไม่” เขาตอบปฏิเสธทันที

“เหตุใดท่านบดินทร์จึ่งดื้อรั้นเยี่ยงนี้ อย่างน้อยจักลงไปดูแลคุณยายแร่มก็ดีนักเจ้าข้า สังขารแก่ชรา ผู้เป็นหนุ่มแลแข็งแรงก็ควรดูแลดอก”

บดินทร์ทำเป็นมองไม่เห็น แต่ไม่ทันจะเห็นหน้าเศร้าๆ นั้นนานนัก อาการกระตือรือร้นยิ้มแย้มแจ่มใสก็โผล่มาทันที หญิงสาวลงจากตั่งนั่ง ยืนรอให้เธอรู้ว่า ‘ลงไปด้วยกันนะ’ ทั้งที่บดินทร์ยังไม่ทันได้ตัดสินใจ

“ข้าพเจ้าจักรอหน้าห้องนะเจ้าข้า” พูดจบก็เดินออกไปทันที

โดนมัดมือชกไปเลยงานนี้...บดินทร์ได้แต่มองตามคนที่เดินออกไป ดูเหมือนอีกฝ่ายยังอยู่ในชุดเดิม

‘ไม่อาบน้ำเหรอนั่นน่ะ’ คิดแล้วเขาก็ลงจากเตียงด้วยอาการเอื่อยเฉื่อย ไม่ล้างหน้าล้างตา อยากให้ไปก็จะไปมันทั้งสภาพเพิ่งตื่นนี่แหละ ขี้เกียจ จะได้รู้ว่าประชดด้วย

‘แต่ก็ยังทำตามนะ’

ใช่สิ...ที่ทำตามก็เพราะเขาแพ้ของสวยๆ งามๆ อยู่แล้วนี่ ถึงหญิงสาวจะดูสติขาดๆ เกินๆ ไปบ้างก็พออภัย เขาไม่อยากขัดใจหรือทำให้ใครต้องเสียใจแต่เช้า นี่เพราะเป็นคนดีนะเนี่ย ไม่เป็นคนดีทำไม่ได้หรอก

เมื่อมาถึงเรือนชาน บดินทร์มองตามหลังหญิงสาวที่เดินห่างออกไป เขาไม่เคยสังเกตว่าเวลาเดินนั้นเธอดูเหมือนจะเรียบเรื่อย เชื่องช้า ทว่าความจริงคือเดินได้รวดเร็วพอสมควร ครู่เดียวก็ไปเกือบครึ่งทางของถนนทางเข้า ทุกย่างก้าวนั้นไม่ทำให้เสื้อผ้าสะบัดไหว ก้นไม่ส่าย หลังตรง เหมือนเดินด้วยปลายเท้าราวกับว่าเหิร ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนว่าเท้าเธอแทบไม่แตะพื้นเลย เคลื่อนไหวพัดพลิ้วดั่งลอยลม ดูอ่อนหวานและน่ามองไปพร้อมกัน

การเยื้องย่างที่เห็นนั้นไม่เหมือนคนทั่วไปจริงๆ หากเขาไม่มีเงื่อนไขทางความคิดอยู่ก่อนนี้ก็คงเชื่อตามยายแร่มไปแล้ว เพราะยากนักที่จะมีคนเดินด้วยกิริยาแบบนั้นได้

“ยายคร้าบบบ” ติณภพวิ่งตามหลังหญิงสาวไป ส่งเสียงดังพอสมควร ในมือชูถุงพลาสติกใส่ดอกไม้กำ แกว่งไปแกว่งมาตามแรงวิ่ง

บดินทร์ตัดสินใจหันหลังกลับ กะว่าจะเบี้ยว แต่ก็ไม่รู้คิดอย่างไรจึงเดินไปที่ห้องน้ำ วักน้ำมาล้างหน้าพอได้สดชื่น แล้วก็ลงจากเรือน เดินไปอย่างใจเย็น ชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ

มองไกลๆ ก็เห็นว่ายายแร่มกำลังยืนรอใส่บาตร มีเจ้าติณภพคอยช่วยหยิบจับจัดของ ส่วนเขาก็มองหาผู้หญิงใส่เสื้อคอกระเช้าสีขาวอย่างไม่ตั้งใจเสียอย่างนั้น

“อยู่ตรงนี้เจ้าข้า” หญิงสาวโผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียง และยิ้มกว้างให้เขาทันที

“เล่นเป็นเด็กไปได้” บดินทร์ส่ายหน้า แล้วเดินออกไปอย่างไม่สนใจนัก แต่กลับมีรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก

“คุณดินทร์มา” ติณภพประกาศเสียงดัง ตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่เมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาหาทั้งชุดนอนแบบปาจามา หัวฟู หาวหวอด ไม่สนใจใบหน้าตนที่มีหยดน้ำเกาะพราว เส้นผมยังจับเป็นก้อนๆ เพราะไม่ได้เช็ดหน้าหลังล้างหน้าล้างตา

ในจังหวะที่ไม่มีใครคิด บดินทร์ก็ดึงแว่นตาออก ใช้อีกมือดึงคอเสื้อขึ้นไปเช็ดใบหน้าให้แห้งโดยไม่สนใจใครทั้งนั้น แล้วจึงใส่แว่นกลับเข้าที่เดิม ยิ้มให้ทุกคนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ติณภพวิ่งมาเกาะแขนขวาของบดินทร์ก่อนจะถึงจุดใส่บาตรเล็กน้อย “ยายกำลังบ่นเลยครับว่านางฟ้ามาทั้งที คุณดินทร์น่าจะมาใส่บาตรบ้าง ท่านจะได้อยู่กับเรานานๆ บ้านจะได้ใสๆ ท่านจะได้อยู่สบายๆ ไม่อึดอัดเวลาเข้าใกล้เรา” แล้วเจ้าตัวก็ยิ้มให้ “นางฟ้าสวยไหมครับคุณดินทร์ หนูอยากเห็น”

บดินทร์หันไปมองหญิงสาว เธอก็ยืนอยู่ทางซ้ายมือของเขานี่ไง จึงใช้มือขวาชี้เล็กน้อยพอให้ติณภพได้เห็นทิศทาง “นี่ไง นางฟ้าของยายแร่มน่ะ”

ติณภพทำหน้างง เดินอ้อมไปอ้อมมารอบตัวชายหนุ่ม ทำเหมือนมองไม่เห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายของบดินทร์ วนอยู่อย่างนั้นสองสามรอบแบบไม่ชนตัว เริ่มทำหน้ามุ่ย และเงยหน้าขึ้นมอง

“คุณดินทร์หลอกเด็กทำไมครับ ไม่เห็นมีเลย บาปนะ คนจะทำบุญแล้วมาทำให้ใจขุ่นเนี่ย” ว่าแล้วก็สะบัดตูดวิ่งไปหายายแร่มทันที ก่อนจะหันมามองบดินทร์เป็นระยะ ซึ่งไม่พ้นว่ากำลังไปฟ้องยายแร่มเป็นแน่

บดินทร์ไม่เชื่อหรอกว่าติณภพจะมองไม่เห็น ดีไม่ดีอาจจะรวมหัวกับยายแร่มมาหลอกเขา พอหันไปมองหญิงสาว ก็ได้แค่ยิ้มแสนหวานของเจ้าตัวตอบกลับมา บดินทร์ไหวไหล่เล็กน้อยว่าก็ไม่เห็นมีอะไร แล้วเดินตรงไปหายายแร่มซึ่งยืนอยู่ข้างโต๊ะพับที่มีของใส่บาตรพระไว้เต็ม

“ยายดีใจจริงๆ เลยที่คุณดินทร์ลงมา ใส่บาตรด้วยกันนะคะ” แล้วแกก็มองเลยไปที่มธุรสเทวี

มธุรสเทวีเดินตามมายืนอยู่ข้างๆ บดินทร์ แล้วเอ่ย “ขอบพระคุณท่านมากนะเจ้าคะ” จากนั้นก็ยกมือขึ้นท่วมหัว ไม่สนใจพระห้ารูปที่มาถึงพอดีและกำลังมองกันอย่างงงงัน รวมถึงเด็กน้อยติณภพที่ขยับมายืนอยู่ข้างๆ ยาย จนเห็นความสูงว่าอยู่ระดับอกของหญิงสูงวัยเท่านั้น

“ยายจ๋า หนูไม่เห็นอะไรเลย” แล้วติณภพก็มองอย่างไม่เข้าใจ

บดินทร์มองพระทุกรูปที่ยืนรออยู่ ทุกรูปมีสีหน้าไม่แตกต่างกับติณภพนัก มิหนำซ้ำแต่ละรูปยังมองหน้ากันเลิ่กลั่ก มองมาที่ข้างตัวเขา มองยายแร่ม และก็มองเด็กน้อยติณภพแบบงงๆ

“ใส่บาตรให้เรียบร้อยเถิดเจ้าข้า” เสียงหวานนั้นดังมา

การใส่บาตรจึงดำเนินไปท่ามกลางสายตางงงันของพระและของติณภพ ดูแปลกตาดีพิลึกสำหรับบดินทร์...นานแล้วที่เขาห่างร้างจากกิจกรรมพวกนี้ คงนับตั้งแต่มารดาเสียไปไม่นานนัก นับคร่าวๆ ตอนแยกบ้านกับพ่อก็น่าจะสักประมาณสิบเก้าหรือยี่สิบปีแล้วกระมัง

ติณภพคอยช่วยหยิบแกงถุงส่งให้ บดินทร์เองก็ส่งให้สองยายหลานสลับกันไป

“คุณใส่สิ” บดินทร์บอกมธุรสเทวี ยื่นดอกไม้ส่งให้

“ข้าพเจ้าจักรออนุโมทนาบุญเจ้าข้า” หญิงสาวตอบกลับมาเท่านั้น

บดินทร์จึงหันมาจัดการที่เหลือต่อให้เรียบร้อย กระทั่งวางดอกไม้ไว้บนฝาบาตร ปล่อยแม่คนงามสติสตังไม่ครบยืนยิ้มหวานอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา จากนั้นทุกคนก็ย่อกายลง โดยไม่ลืมถอดรองเท้าออกไป นานมากแล้วที่เขาลืมสัมผัสที่เท้าได้ลงเหยียบผืนดินแบบนี้ แล้วเอามือประนมขณะรับพร

บดินทร์สังเกต...ขณะพระกำลังให้พรนั้น ดูเหมือนท่านทั้งหลายต่างพยายามสำรวมกิริยา ทว่าอาการมองท้องฟ้า มองซ้ายมองขวา มองมาข้างๆ ตัวเขา ก็เหมือนกับว่าท่านๆ กำลังมองหาอะไรบางอย่างจนทำให้บดินทร์หันมองตาม ก็เห็นเพียงหญิงสาวที่คุกเข่าทั้งสองลงกับพื้นแบบไม่กลัวเปื้อนเท่านั้น พอหันไปมองพระก็ต้องขมวดคิ้วกับความสงสัยที่ปิดไม่มิดของแต่ละรูป

“ขอให้บุญนี้ หนุนนำท่านบดินทร์ ได้กลับสู่วิมานแดนเดิมนะเจ้าข้า”

บดินทร์ไม่รู้ตัวเลยว่าได้ซึมซับน้ำเสียงนี้เข้าไปในใจตั้งแต่เมื่อไร ทั้งที่ตอนแรกแค่พนมมือไหว้ตามยายแร่มเท่านั้น ส่วนเจ้าติณภพที่ย่อตัวอยู่ข้างๆ กำลังขยับเข้ามาประชิดเขาดั่งว่าจะหาที่ปลอดภัย

เมื่อพระทุกรูปให้พรเสร็จและเดินจากไป บดินทร์จึงลุกขึ้น ใส่รองเท้าแตะคีบให้เรียบร้อยดังเดิม เขาเคยเข้าวัดอยู่บ้างสมัยเด็กๆ จึงไม่มีใครต้องมาบอกหรือสอนเรื่องนี้

“ยายจ๋า ไหนนางฟ้าของยายล่ะจ๊ะ” ติณภพถามเสียงดัง

“นี่ไง ท่านยืนอยู่ตรงนี้ไง” ยายแร่มชี้ และเดินไปแตะแขนหญิงสาวเป็นการบอกให้รู้

พระที่เดินไปก่อนนั้นหันหลังกลับมามองแทบจะพร้อมเพรียง ก็ได้แต่เพียงสงสัยกัน ก่อนจะหันกลับไป มุ่งหน้าบิณฑบาตบ้านอื่นต่อ

ยายแร่มยิ้มกว้าง ความปลื้มปีติไม่ปิดบัง ทุกกิริยาที่อยู่ข้างๆ หญิงสาวนั้นคือค้อมตัวลงอย่างพินอบพิเทาไม่เปลี่ยน ยิ้ม...แบบที่เรียกว่าหน้าบานเป็นจานเชิงไม่หยุด

ติณภพกะพริบตาปริบๆ “ยายจับอะไรเหรอจ๊ะ หนูไม่เห็นมีอะไรเลย”

บดินทร์แอบเซ็งที่ยังมาหลอกกันได้ ใส่บาตรทำบุญแล้วแท้ๆ ก็ยังมาหลอกกัน ในขณะที่กำลังจะพูดว่าเลิกหลอกได้แล้วนั้น ติณภพก็เดินเข้าไปหายายแร่ม ก็พบว่าเด็กน้อยนั้นยืนซ้อนอยู่กับผู้หญิงตรงหน้าเขาราวกับไม่มีอะไรขวางอยู่

บดินทร์มองตาไม่กะพริบ หยุดหายใจ อ้าปากค้างและชี้มือค้างไว้แบบนั้น เขาทำอะไรไม่ถูก ภาพไม่น่าเชื่อกำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา

ร่างกายที่มีเนื้อหนังของหญิงสาวกับติณภพกำลังยืนซ้อนกันโดยไม่มีภาพโปร่งใสใดๆ

เขาเห็น...ว่ามือของยายแร่มยังจับที่แขนของมธุรสเทวีเอาไว้ แต่ว่าติณภพก็ยืนอยู่ใต้มือของยายแร่มนั้น

บดินทร์ซวนเซ “ไม่จริง!” พึมพำออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

พอจะตั้งสติได้ก็รีบเดินเข้าไปจับแขนของมธุรสเทวีอีกข้างหนึ่ง เขาแตะต้องเธอได้! บดินทร์จับไหล่ของติณภพที่โผล่พ้นออกมาบริเวณใต้อกของหญิงสาว แล้วเขาก็จับไหล่เจ้าเด็กนี่ได้เช่นกัน แต่พอติณภพถอยหลัง มือของเขาก็ชนเนื้อตัวมธุรสเทวีจนหลุดไป

ชายหนุ่มแทบหยุดหายใจเมื่อพบเหตุการณ์นี้

บดินทร์ไม่รู้ว่าตัวเองยังหายใจดีอยู่หรือหยุดหายใจกันแน่ รู้แค่ตัวเองกำลังมองอย่างตกตะลึง มองมือของตัวเอง แล้วมองหน้ามธุรสเทวีแบบตาไม่กะพริบ พูดอะไรไม่ออก

ส่วนติณภพก็แหงนหน้ามองบดินทร์กับยายแร่มสลับกันไปมาอย่างงงงัน มองเหมือนจะถามว่าผู้ใหญ่สองคนกำลังทำอะไร

“กลิ่นอะไรจ๊ะยาย ห้อมหอม” พูดแล้วเจ้าตัวก็ทำจมูกฟุดฟิดหากลิ่นเป็นการใหญ่ เดินถอยหน้าถอยหลัง หมุนไปรอบตัว

บดินทร์จับแขนหญิงสาวให้เดินออกมา ปรากฏว่าติณภพยังติดตามสูดกลิ่น มิหนำซ้ำยังยืนซ้อนร่างหญิงสาวที่เห็นนี้อีกรอบ

‘ถ้าคุณได้ยิน ช่วยเดินไปทางนั้นหน่อยได้ไหม’ บดินทร์คิด ความหมายคือให้เธอเดินหนีไปอยู่ตรงถนนในบ้าน ห่างจากประตูทางเข้าให้เร็วและให้ห่างจากติณภพ

อีกฝ่ายทำตาม ยังยิ้มน้อยๆ ให้ตลอดเวลา

แทบเข่าอ่อนเมื่อเขาเห็นว่า ติณภพนั้นขมวดคิ้ว พยายามเดินตาม จนเมื่อหญิงสาวห่างออกไปไกลระยะหนึ่ง ติณภพก็ทำหน้ามุ่ยออกมา “กลิ่นหายไปแล้ว” บ่นแล้วก็ทำหน้าเสียดาย

สติของบดินทร์เหมือนจะหลุดลอยในเสี้ยววินาทีนี้ แทบทรงตัวไม่อยู่ และก้าวขาไม่ออก ได้แต่ตกตะลึงนิ่งงันอยู่อย่างนั้น

“ขึ้นเรือนเถิดเจ้าข้า” สัมผัสอ่อนโยนแตะมาที่แขนเขา

บดินทร์มองใบหน้างดงามตาไม่กะพริบ ก้มมองมือของเธอ ผิวนั้นขาวละเอียดลออแทบตัดกับสีผิวบนแขนของเขาอย่างชัดเจน แม้ว่าผิวของเขาจะขาวอยู่เป็นทุนเดิมแล้วก็ตาม

“เป็นไปไม่ได้!” บดินทร์พึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ

นั่นก็เพราะเขายังรู้สึก ยังสัมผัสถึงความอบอุ่นจากมือนั้น สัมผัสที่บอกว่าหญิงสาวมีเนื้อหนัง มีน้ำหนักมือที่กำลังจับที่แขนของเขาประหนึ่งว่าเป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีเลือดเนื้อ ไม่ใช่เพียงแค่วิญญาณ ไม่ใช่สิ่งที่จับต้องไม่ได้ แต่เหตุใดเหตุการณ์ทั้งหมดจึงเกิดขึ้นแบบนี้ มนุษย์ที่ไหนจะยืนซ้อนกันได้แบบนี้

ไม่มี!

บดินทร์ทรุดนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง ไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นอย่างไร มีสภาพทุเรศแค่ไหนในสายตาคนอื่นที่ได้มาเห็น

“มธุรสเทวี...” เขาเอ่ยนามนี้ด้วยเสียงแหบแห้งที่สุด เงยหน้าซีดจัดขึ้นมองร่างอรชรที่กำลังย่อกายลง

เธอยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนเป็นที่สุด “ขึ้นเรือนนะเจ้าข้า ยังมีเหตุมากนัก จำต้องเร่งให้ท่านบดินทร์ทราบ เพลามิได้มีมากนักดอก”

เขาทำอะไรไม่ถูกจริงๆ ค่อยๆ มองไปรอบตัว กะพริบตาหนักๆ หลายครั้ง เขาถอดแว่นออก บีบหัวตาเพราะยังหวังลึกๆ ว่าไม่ใช่ความจริง และเมื่อมองออกไป เขายังเห็นมธุรสเทวีอยู่ตรงนี้อย่างชัดเจนแม้ไม่ได้ใส่แว่นตา ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติสำหรับคนสายตาสั้น ครั้นเขาใส่แว่นก็ยังเห็นเธอชัดเช่นเดิมไม่เปลี่ยน

ใช่...ตอนที่เขาตื่น รอบตัวล้วนพร่าพราย ภาพมัวไม่ชัดเจน แต่เขากลับมองเห็นหญิงสาวได้ถนัดตา แต่กลับไม่ฉุกใจคิดเลย

บดินทร์รู้สึกเหมือนตอนนี้ดวงตาของเขาจะพร่ามัวไปแล้วจริงๆ แม้จะใส่แว่นอยู่ก็ตาม

กว่าครู่หนึ่งจึงค่อยๆ ลุกขึ้นตามแรงดึงของมธุรสเทวี พละกำลังของเขาเหือดหาย แต่ก็อยากร้องไห้เมื่อติณภพเข้ามาช่วยดึงเขาให้ลุกขึ้นอีกแรงหนึ่ง และกำลังยืนซ้อนกับนางฟ้าแสนงามตรงหน้า ตอกย้ำว่าเขาไม่ได้บ้าหรือคิดไปเอง...ไม่ได้ตาฝาด

บดินทร์ก็เหมือนทำอะไรไม่ถูกมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า แขนของเขามีมือของมธุรสเทวีจับเอาไว้ และมีมือของติณภพช่วยจับมือเขาเพื่อให้ลุกขึ้นได้ง่าย ทั้งสองยังคงจับไว้แบบนั้นพร้อมกัน

“ไอ้หนู มาช่วยยายยกถาดไปเก็บปะลูก” ยายแร่มยื่นถาดสแตนเลสรอ ไม่สนใจบดินทร์สักนิดที่กำลังมีท่าทีตระหนก แกทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“สงสัยบุญจะหนักมาก คุณดินทร์เลยแบกไม่ไหว ล้มเลยครับยาย” ติณภพหัวเราะชอบใจ แล้วก็ผละจากไปด้วยการเดินกึ่งกระโดดแบบอารมณ์ดีเมื่อเห็นว่าเขายืนได้มั่นคง แล้วเข้าไปรับถาดจากยายแร่มมาถือเอาไว้ในมือนั้น

บดินทร์ได้แต่มองหน้าเจ้าของมือที่ยังจับที่แขนของเขานี้ บ่งบอกว่าเธอมีตัวตนและอยู่ตรงนี้จริงๆ

เขาได้แต่ยืนนิ่ง ทำอะไรไม่ถูก มองเด็กชายรับถุงพลาสติกที่มีของเหลือใช้อยู่ในนั้น

ยายแร่มเก็บโต๊ะพับเตรียมจะยกเข้าบ้าน สายตาที่ยายแร่มมองเขามานั้นบดินทร์มองออก...ไม่มีความสงสาร แต่กำลังพึงพอใจที่พบว่าเขารู้เห็นแบบนี้

ส่วนบดินทร์...เขาอยากจะร้องไห้ ตัวสั่นอย่างน่าสมเพช เขาไม่ได้กลัวผี ไม่ได้กลัวมธุรสเทวี แต่สิ่งที่เห็นทำลายความเชื่อเดิมๆ ทั้งหมดของเขาที่เคยมีมา

นางฟ้ามีจริง!

บดินทร์ไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังเดินเข้าไปหายายแร่มตั้งแต่เมื่อไร ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงช่วยยกโต๊ะพับนั้น เดินเข้าไปในบ้าน ทำทุกอย่างประหนึ่งคนละเมอ กว่าจะรู้ตัวและตั้งสติได้อีกครั้ง เขาก็นั่งอยู่ที่ใต้ถุนเรือนนี่แล้ว

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -





[1] จุติ ตามรูปศัพท์แปลว่า ‘การเคลื่อน’ คือเคลื่อนจากภพหนึ่งไปสู่อีกภพหนึ่ง หรือเคลื่อนจากโลกหนึ่งไปสู่อีกโลกหนึ่ง เมื่อรวมความแล้วก็คือ ‘ตาย’, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายไว้ ก. ตาย (มักใช้แก่เทวดา)



สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 พ.ย. 2557, 14:59:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 พ.ย. 2557, 14:59:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1263





<< บทที่ 3 (2/2)   บทที่ 7 >>
แว่นใส 17 พ.ย. 2557, 17:26:00 น.
รู้ความจริงซะที จะรับได้ขนาดไหนนะ


ใบบัวน่ารัก 17 พ.ย. 2557, 19:26:31 น.
อ่านไม่ทัน แปลความพอได้นิดหน่อย
ขอซับไทย แบบที่ท่านบดินทร เค้าอยากได้ที
ยากไปอะ


นักอ่านเหนียวหนึบ 18 พ.ย. 2557, 03:00:30 น.
อูยยย อยากเห็นภาพซ้อนทับจังง จริงๆ ท่านบดินทร์จับไหล่นายติณ หรือว่าจะจับอะไรของมธุรสกันน้า
แอ้กกก เค้ายังเป็นบัวใต้ตม คิดแต่เรื่องอกุศล ฟิ้ววววว


สุชาคริยา 18 พ.ย. 2557, 18:06:33 น.
@คุณแว่นใส = โปรดติดตามตอนต่อไปจ้าาา จุ๊บุ๊ จุ๊บุ๊
@คุณใบบัวน่ารัก = 55555 แปลไม่ทันแล่ว ยังไงเรื่อง 'นางเงา' จะเขียนให้อ่านง่ายกว่านี้นะค้าาา จุ๊บๆ
@คุณนักอ่านเหนียวหนึบ = กีสสสสสสสส คิดตามได้ก็ตอนนี้แหละจ้า ม๊วฟฟฟฟๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account