...คาสบลังก้า...ดารัลฟาเดล...(จบแล้วค่ะ)
สืบเนื่องมาจากเรื่อง "อะรูซะตี...เจ้าสาวของผม"
เรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวของลูกสาวสุดหวงของหมอดานีส
กับนาดา โดยเรื่องราวของคุณพ่อเมื่ิอครั้งก่อนนั้น
จะเป็นแนา "แต่งก่อนจีบ"
แต่สำหรับรุ่นลูกแล้ว จะเป็นแนว "จีบก่อนแต่ง"
ต้องมาคอยดูกันค่ะว่า จะจีบกันอย่างไร แล้วคุณหมอดานีส
ที่ต้องมารับบทบาทเป็นพ่อของลูกทั้งเจ็ดจะตกอยู่ในสภาพเช่นไร..
แล้วนาดาจะเป็นแม่แบบไหน...
เรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศของเมือง
"คาสบลังก้า" หรือ "อัดดารัลบัยฎออ์"
ซึ่งแปลว่า..."บ้านสีขาว"
ดินแดนในฝันดั่งต้องมนต์เสน่หาแห่งโมร็อกโก...
กับดินแดนอันแสนอบอุ่นด้วยไอรักแห่งแดนอาทิตย์อุทัย...
พบกับเขาและเธอ...
...ดารัล...ฟาเดล...
หญิงสาวที่หัวใจเปี่ยมล้นไปด้วยความรักความอบอุ่น
จากครอบครัวอันแสนสุขและน่ารัก...
ชีวิตที่มีพร้อมทุกอย่าง ไม่เคยต้องการสิ่งใดอีกแล้ว
เพราะเธอพอใจทุกอย่างที่มีมาตลอด
จนเมื่อเจอกับเขา...ที่นั่น "คาสบลังก้า"
เขาทำให้เธอไม่อาจลบลืมมนต์เสน่หาของที่นั่นได้เลย
ไม่ว่าจะยามหลับหรือตื่น...
กับ
ชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยรูปเปลือกที่สวยงามสมบูรณ์
หากภายในใจนั้นยังคงโหยหาไออุ่นแห่งรักจากใครสักคน
มาเติมเต็มหัวใจกำพร้าของเขา...
แล้วเธอคือผู้ที่เขาค้นพบว่ามีทุกอย่างที่เขากำลังต้องการอยู่
ดังนั้น...ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร เขาก็จะปล่อยเธอ
ไปไม่ได้โดยเด็ดขาด!
เรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวของลูกสาวสุดหวงของหมอดานีส
กับนาดา โดยเรื่องราวของคุณพ่อเมื่ิอครั้งก่อนนั้น
จะเป็นแนา "แต่งก่อนจีบ"
แต่สำหรับรุ่นลูกแล้ว จะเป็นแนว "จีบก่อนแต่ง"
ต้องมาคอยดูกันค่ะว่า จะจีบกันอย่างไร แล้วคุณหมอดานีส
ที่ต้องมารับบทบาทเป็นพ่อของลูกทั้งเจ็ดจะตกอยู่ในสภาพเช่นไร..
แล้วนาดาจะเป็นแม่แบบไหน...
เรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศของเมือง
"คาสบลังก้า" หรือ "อัดดารัลบัยฎออ์"
ซึ่งแปลว่า..."บ้านสีขาว"
ดินแดนในฝันดั่งต้องมนต์เสน่หาแห่งโมร็อกโก...
กับดินแดนอันแสนอบอุ่นด้วยไอรักแห่งแดนอาทิตย์อุทัย...
พบกับเขาและเธอ...
...ดารัล...ฟาเดล...
หญิงสาวที่หัวใจเปี่ยมล้นไปด้วยความรักความอบอุ่น
จากครอบครัวอันแสนสุขและน่ารัก...
ชีวิตที่มีพร้อมทุกอย่าง ไม่เคยต้องการสิ่งใดอีกแล้ว
เพราะเธอพอใจทุกอย่างที่มีมาตลอด
จนเมื่อเจอกับเขา...ที่นั่น "คาสบลังก้า"
เขาทำให้เธอไม่อาจลบลืมมนต์เสน่หาของที่นั่นได้เลย
ไม่ว่าจะยามหลับหรือตื่น...
กับ
ชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยรูปเปลือกที่สวยงามสมบูรณ์
หากภายในใจนั้นยังคงโหยหาไออุ่นแห่งรักจากใครสักคน
มาเติมเต็มหัวใจกำพร้าของเขา...
แล้วเธอคือผู้ที่เขาค้นพบว่ามีทุกอย่างที่เขากำลังต้องการอยู่
ดังนั้น...ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร เขาก็จะปล่อยเธอ
ไปไม่ได้โดยเด็ดขาด!
Tags: หวานซึ้งโรแมนติก ดราม่า โมร็อกโก คาสบลังก้า ทะเลทรายซาฮาร่า ดารัล ฟาเดล โสภณพสุธ
ตอน: บทที่ 20 RAK...เมืองแห่งรัก
ฟาเดลรับอาสาเป็นไกด์ตลอดทริปเพื่อพาภรรยาสาวไปฮันนีมูน
โดยจุดมุ่งหมายในการเดินทางคือทะลรายซาฮาร่า
เริ่มด้วยการเดินทางมายังเมืองมาร์ราเกซซึ่งอยู่ห่างจากเมืองคาสบลังก้าที่เขาอาศัยอยู่
136 ไมล์ หรือประมาณ 219 กิโลเมตร
และเพื่อเป็นการประหยัดเวลาและเพื่อความสะดวกเขาจึงเลือกใช้บริการนกเหล็ก
โดยบินจากสนามบินนานาชาติในเมืองคาสบลังก้า
ซึ่งก็คือ มุฮัมหมัด ฟิฟท์ อินเตอร์เนชั่นแนล (CMN)
ไปยังสนามบินมาร์ราเกซเมนารา (RAK) ของเมืองมาร์ราเกซ
โดยใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 40 นาที…
ดารัลมองโคดย่อ ‘RAK’ แล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้…
‘RAK’ ในภาษาไทยอ่านได้ว่า ‘รัก’ เมืองแห่งรัก สินะ…
“ยิ้มอะไรครับ…”ฟาเดลกระซิบถามเมื่อเห็นภรรยาสาวยืนยิ้มอยู่คนเดียว
ขณะที่มองไปยังตัววิ่งของสายการบินต่างๆ
ดารัลหันมามองไกด์แล้วเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มสดชื่นว่า
“RAK อ่านว่า รัก…พี่ฟาเดลว่ามั้ยคะ…”ฟาเดลเลิกคิ้วนิดนึง
ก่อนจะยิ้มออกมาเพื่อเข้าใจความนัยของแววตาคู่นั้นของเธอ
“น่านน่ะสิ…รักจริงๆด้วย…”เสียงทุ้มหวานกระเซ้าคนช่างสังเกต ช่างคิดตรงหน้า
“เห็นลูกทัวร์ยิ้มหวานได้ตั้งแต่แตะพื้นเมืองมาร์ราเกซแล้วพี่ค่อยอุ่นใจหน่อย
เพราะเราจะเริ่มสัมผัสมนต์เสน่ห์ของเมืองนี้กันก่อนจะเดินทางไปยังทะเลทรายซาฮาร่า…
พี่ยังไม่เคยพาสาวคนไหนมาที่นี่เลยนะครับ...น้องรัลคนแรก…”
ฟาเดลไม่วายหยอดคำหวาน
เขาถือคติ น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน
แต่นี่น้ำผึ้งหวาน ให้มันรู้ไปว่าหัวใจอ่อนๆจะไม่กร่อนลงบ้าง…
“ควรภูมิใจดีมั้ยนะ…กลัวว่าจะถูกไกด์พาหลงทางจัง…”
ดารัลกระเซ้ากลับด้วยรอยยิ้มขัดเขิน แม้จะโดนหยอดคำหวาน
มาตั้งแต่เขาสามีเริ่มจีบแล้ว แต่ให้ตายเถอะเธอไม่เคยชินชากับมันได้สักที
ได้ยินเป็นเขินได้ทุกครั้งไป…
“พาสาวคนแรกมา ไม่ได้หมายความว่ามาที่นี่ครั้งแรกนี่
มากับพี่ไม่มีหลงทางหรอกน่า…ให้ปิดตาเดินยังได้เลย…
กลัวว่าเผลอๆจะหลงไกด์หน้าตาดีอย่างพี่ล่ะไม่ว่า…
กะอยู่ว่าจะทำให้หลงจนหาทางกลับบ้านไม่เจออยู่เหมือนกัน…”
ดารัลกลั้นยิ้มจนแก้มป่อง ก่อนจะแตะแขนเขาเพื่อก้าวเดิน
ให้ยืนฟังเขาหยอดคำหวานไปอย่างนี้เมื่อไหร่จะได้เที่ยวกัน…
ฟาเดลเองอยากจะก้มลงหอมแก้มป่องๆนั่นใจจะขาด
แต่คนพลุกพล่านอย่างนี้จะทำอย่างใจคิดคงไม่ได้
เก็บไว้เมื่อถึงคราวก็แล้วกัน
…อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ชายหนุ่มท่องไว้
ซึ่งพยายามท่องสำนวนไทยนี้มาตลอดทาง…
“พี่ว่าปิดหน้าไว้ดีกว่านะ…”ฟาเดลเหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าภรรยาสาว
เอาผ้าปิดหน้าลงตอนนั่งอยู่บนเครื่อง และนี่คงเผลอลืม…
เขาเองก็ไม่อยากให้ใครได้ยลความงามของเธอนัก…
มันพาลจะทำให้อรรถรสในการเดินทางห่อเหี่ยวลงได้…
ดารัลเองเมื่อนึกได้จึงยกมือขึ้นทาบอกแล้วจึงรีบนำผ้าผืนน้อยขึ้นปกปิดใบหน้้า
เหลือเพียงดวงตาสดใสเหมือนแก้วจาระไนเท่านั้น…
“จะเก็บไว้มองคนเดียว…ใครว่าพี่ขี้เหนียวก็ยอม…”ฟาเดลเปรยด้วยรอยยิ้มสดชื่น
ทำเอาดารัลอดมองรอยยิ้มนั้นไม่ได้…
ผู้ชายคนนี้ขยันยิ้มจริงๆ…และยิ้มของเขาที่มอบให้เธอพลันทำให้สาวๆที่เดินผ่านไปมา
หันมามองเสียด้วยสิ…เฮ้อ…
เธอเองแม้จะภูมิใจที่มีคนหล่อขนาดนี้เดินเคียงข้างก็ตาม
หากในหัวอกนั้นอดไม่ได้ที่จะกลัดกลุ้มเมื่อเห็นๆอยู่ว่า
เพศเดียวกับเธอดูจะสนอกสนใจมองเขาตาปรอยกันเลยทีเดียว…
“น้องรัลก็อยากจะเป็นคนขี้เหนียวเหมือนกันแหล่ะ…ดูสาวๆที่เดินผ่านไปมาสิ…
มองพี่ใหญ่เลย…”พูดได้แค่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากเขา
“อย่าบอกนะว่าหวงพี่ขนาดจะให้พ่ีคลุมผ้าปิดหน้าเหมืิอนเธอน่ะ…”
“ก็ถ้าทำได้น่ะนะ…”ดารับย่นจมูกใส่ แม้เขาจะไม่เห็นท่าทางและสีหน้านั้นของเธอ
หากฟาเดลก็เดาได้ไม่ยากเลย…
“ผู้หญิงพวกนั้นทำอะไรพี่ไม่ได้นี่…แต่ถ้าผู้ชายเห็นเธอ
เธออาจจะตกอยู่ในอันตรายนะ…ผู้หญิงเสี่ยงกว่าผู้ชายมาก”
ดารัลไม่อยากจะบอกหรอกว่า ผู้หญิงเดี๋ยวนี้อันตรายจะตาย…
อาจจะไม่บุกเข้ามาประชิดตัวผู้ชายแล้วปล้ำกอดปล้ำจูบอย่างที่ผู้ชาย
มักใช้กับเพศที่อ่อนแอกว่า…
หากก็นั่นล่ะ…ความปรารถนาของผู้หญิงนั้นล้ำลึกและซ่อนเร้น
วิธีการจึงแนบเนียนไม่บุ่มบ่าม…ยากจะคาดเดา
…อย่างนี้จะไม่ให้คิดว่าผู้หญิงเองก็อันตรายต่อเขาเหมือนกันได้อย่างไร
…คราวก่อนก็เพิ่งจะได้รับบทเรียนมาหมาดๆ
แต่ดูท่าพ่อคุณทูนหัวของเธอจะยังไม่สำเหนียกถึงมันสักเท่าไหร่
ถึงยังหัวเราะแบบนี้ได้อยู่…
หลังจากฟาเดลพาหญิงสาวไปยังที่พัก…ซึ่งเป็นบ้านญาติสนิทของเขา
ทักทายทำความรู้จักกับเจ้าของบ้านและสมาชิกเรียบร้อยแล้ว
ทั้งสองก็ออกเดินทางท่องเที่ยว
โดยฟาเดลเลือกที่พาภรรยาสาวไปยังสถานที่โปรดปรานของเขา
…ผ่านไปยังถนนสายดอกไม้…
ที่เขาเรียกเช่นนั้นเพราะ มองเห็นกุหลาบมากมายหลากหลายสีสัน
อวดความงามชูช่อไปตลอดริมถนน…ทำเอาสาวเจ้าที่นั่งรถมาด้วยกัน
ถึงกับเปิดปากร้องว้าวไปตลอดทาง จนเขาอดใจไม่ไหว
หยุดรถให้คุณเธอได้ลงไปชื่นชมความงามดังกล่าวได้ถนัด
“พี่ฟาเดลใจดีจัง…ดูสิ กุหลาบซ้วยสวย…สวยจริงๆ…”ดารัลที่มีรอยยิ้มและใบหน้าสดชื่น
ดวงตาสุกใสก้มลงสูดดมกลิ่นหอมของกุหลาบ ดอกนั้นทีดอกโน้นที
แล้วก็เอ่ยปากชมไปเสียทุกดอก ดอกนั้นสวยจัง ดอกนี้ห้อมหอม…
อุ้ย ดอกนี้ช่างน่าเอ็นดู…สารพัดถ้อยคำที่หลุดออกมาจากปากหญิงสาว
ทำเอาตากล้องที่กำลังเก็บภาพทั้งดอกไม้ทั้งคนถึงกับยิ้มพราย…
“อยากได้สวนกุหลาบหลากหลายสายพันธุ์บ้างรึเปล่า พี่เสกให้ได้นะ…”
ฟาเดลแซวคนที่ดูเหมือนจะหลงลืมเขาไปเสียสนิทเพียงแค่ได้เห็นดอกไม้เหล่านั้น…
ผู้หญิงเป็นเช่นนี้เสมอ…
“อุ้ย…ดอกสีส้มนี่สวยจัง…แปลกตาค่ะ ไม่เคยเห็นเลย มันสวยแปลกๆ
สีส้มแบบนี้ก็ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน…กลีบดอกก็สวย…”
น้ำเสียงที่ฟังดูตื่นเต้นนั้นทำเอาตากล้องไม่ลืมจับไปยังใบหน้างาม
ที่ดูจะกลมกลืนไปกับดอกกุหลาบดังกล่าว…แล้วไม่ลืมกดชัตเตอร์…
ไม่แน่ใจว่าระหว่างดอกไม้กับเธอ ใครจะแย่งซีนใคร…
แต่ที่แน่ๆ ตากล้องมิได้เล็งโฟกัสไปยังเจ้าดอกไม้สักเท่าไหร่
ทำให้ดารัลที่ขอดูภาพถ่ายจากกล้องดิจิตัลของเขาขณะที่นั่งรถไปต่อ
อดพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มไม่ได้ว่า
“ดอกกุหลาบคงน้อยใจ ถ้ารู้ว่าพี่ฟาเดลไม่ยอมสนใจมันเท่าที่ควร…”
“พี่ไม่กลัวว่ากุหลาบจะน้อยใจนี่…กลัวคนข้างๆจะงอนมากกว่า…”
ฟาเดลตอบเสียงเรียบ ไม่หันมามองราวกับว่าสนใจถนนหนทาง
“น่าสงสารดอกกุหลาบเหล่านั้นจัง…”ฟาเดลอดไม่ได้ท่ีจะหันมาชำเลือง
มองคนที่อยู่ๆก็ทำหน้าเศร้ายามหันไปมองเจ้าดอกกุหลาบที่อยู่ริมทาง…
“เป็นงั้นไป…เมื่อกี้เห็นยังดีๆอยู่เลย…”ฟาเดลก็ชักจะงงๆอยู่เหมือนกัน
แต่เขาก็พอจะเข้าใจว่า ผู้หญิงนั้นอารมณ์เปลี่ยนง่ายเหมือนอากาศในโมร็อกโกนี่แหล่ะ
ที่ยากจะคาดเดา…ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด
“ก็ดูสิคะ…ใครๆก็สามารถดอมดมชื่นชมได้โดยง่าย…สมใจแล้วก็ตีจาก
คนแล้วคนเล่า ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป…ไม่เคยมีความจริงใจให้มัน
แค่ดอกไม้ดอกนึงที่ไม่มีราคาเลย…มีเอาไว้ให้คนผ่านไปมา
ได้ชื่นชมเล่นชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น…เหมือนที่น้องรัลทำไปเมื่อกี้ไงคะ…”
ฟาเดลมองใบหน้างอๆกับคำพูดที่ดูอ่อนไหวทว่าจริงจังในน้ำเสียงนั้นแล้วแอบอมยิ้ม…
“ตอนที่น้องรัลก้มลงไปดมไปชื่มชมมัน น้องรัลเห็นอะไรล่ะครับ…”
เสียงนั้นถามออกมาด้วยแววตาอ่อนโยนยิ่งนัก
“ก็…เห็นว่ามันสวย สีสันสดใส น่ารัก ช่างอดช่างทนต่อลมแดดน่ะสิคะ
ไหนจะต้องผจญกับฝุ่นอีก…”ดารัลตอบออกไปด้วยดวงหน้าที่ดูอ่อนโยนมากขึ้น…
“แต่หลายๆดอกก็กลีบช้ำแล้ว…”
“นั่นเพราะมันปลูกอยู่ริมถนน…ต้นไม้พวกนั้นเลือกไม่ได้นี่ครับ
ต่อต้านไม่ได้ด้วย จะประท้วงก็ไม่ได้
เพราะคนปลูกนำมันมาปลูกไว้ที่นี่เพื่อให้คนท่ีผ่านไปมาได้ชื่นชม
เพลิดเพลินเวลาขับรถผ่านมา…”ฟาเดลเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ใบหน้าของเขาผ่อง น่ามองจนดารัลหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขา
เขาที่ไม่ได้หันมามองเธอ หากมองไปยังถนนเบื้องหน้า แล้วยังกล่าวสืบไปว่า
“ปกติธรรมดาหรือธรรมชาติของกุหลาบแล้ว
กุหลาบจะไม่ขึ้นในสถานที่แบบนี้หรอกครับ…ที่เราเห็นมันขึ้นอยู่ริมถนนแบบนี้
เพราะมันถูกนำมาปลูกไว้ มีคนเข้ามาจัดระเบียบมัน เอาต้นนั้นเอาต้นนี้มาลง
และพยายามทำให้มันอยู่รอดให้ได้…ให้อาหารที่มันต้องการ
ให้ในสิ่งจำเป็นที่จะทำให้มันอยู่รอด…รอดเพื่อจะได้ชูกิ่งก้าน
และดอกสวยงามอวดสายตาแก่นักท่องเที่ยว…
จะเรียกว่าเป็นการฝืนจากธรรมชาติเดิมๆของมันก็ได้…ซึ่งน้องรัลก็เห็นว่า
แม้จะเป็นการฝืนธรรมชาติของมันอยู่บ้าง…แต่มันก็สามารถเติบโตได้
และออกดอกสวยได้เหมือนกัน…เพราะมันคือดอกไม้…ที่ต้องบานอย่างมุ่งมัน
และร่วงโรยไปตามครรลองของมัน…
คนจะรักจะเอ็นดูแก่มันหรือเปล่า มันไม่สามารถควบคุมได้…
มันเลือกคนที่จะมาเด็ดมาดมมันไม่ได้ เลือกที่จะต่อต้านหรือยินยอมพร้อมใจไม่ได้…”
ดารัลเริ่มจะเข้าใจความนัยที่เขาพยายามสื่อให้เธอฟังบ้างแล้ว
และอดชื่นชมคนข้างกายไม่ได้…เลยฟังไปและคิดตามไปด้วย…
“ถ้าน้องรัลจะเปรียบผู้หญิงเหมือนดอกไม้…พี่ก็อยากจะบอกว่า
ผู้หญิงซึ่งเป็นมนุษย์ไม่ใช่ดอกไม้นั้นสามารถเลือกได้ครับ…
สามารถต่อต้าน สามารถประท้วงได้ สามารถใช้สิทธิ์ของการเป็นมนุษย์คนนึง
ที่ถูกสร้างมาจากพระเจ้าองค์เดียวกันได้เสมอเหมือนกันอย่างเท่าเทียมกัน…
เขาเรียกว่าสิทธิในการเลือกเฟ้น น้องรัลเคยได้ยินใช่มั้ยครับ…”
ฟาเดลเหลือบมามองพร้อมเลิกคิ้วถาม
ดารัลพยักหน้าหงีกๆ เขาจึงพูดสืบไปด้วยสีหน้าท่าทางเรียบเรื่อยว่า
“แม้เลือกเกิดไม่ได้ แต่มนุษย์เราสามารถเลือกที่จะเป็นได้…
มีสิทธิ์มากกว่าดอกไม้เหล่านั้นมาก…
แต่ถ้าเราไม่ต่อสู้…ยอมปล่อยให้ชีวิตเดินไปตามกระแสแห่งความผันผวน
จิตใจอ่อนแอพร้อมจะโน้มเอียงไปตามกระแสสังคมอย่างไร้ซึ่งจุดยืน
ผู้หญิงก็จะไม่แตกต่างไปจากดอกไม้เหล่านั้น…
ที่ใครจะนำไปวางไว้ที่ไหนก็ได้ตามแต่ใจ…แม้จะแข็งแกร่งสู้แดดสู้ลมฝนได้
แต่สุดท้ายกลีบดอกก็ต้องบอบช้ำเพราะน้ำมือของคนมากมายที่ไม่รู้คุณค่า…”
เสียงนั้นหยุดลง แล้วเงียบไปครู่นึง
ทำให้ดารัลหันมาจับจ้องเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนขับ…ก่อนจะสะดุ้ง
เมื่อเขาหันมาสบตาเพียงนิดก่อนจะหันกลับไปมองถนน
แล้วพูดประโยคต่อมาว่า…
“สำหรับพี่…ดอกรัลไม่ใช่ดอกไม้…แต่เป็นยิ่งกว่านั้น…
เพราะน้องรัลก็คือน้องรัล…ที่บานอยู่กลางใจพี่…ไม่เหี่ยวไม่ร่วงโรย
ไม่จืดจาง ไม่บอบช้ำ ถูกเก็บไว้ในนั้นอย่างดี…อย่างมั่นคง…
ภาพของน้องรัลเลยเด่นกว่าดอกไม้ไง…เพราะพี่ไม่เห็นสิ่งไหน
จะน่ามองไปมากกว่าน้องรัลแล้ว…จุดโฟกัสทุกจุดในภาพก็เลย
พุ่งไปที่น้องรัลโดยอัตโนมัติ…เพราะใจสั่งมา…”ดารัลใจสั่น
รู้สึกว่าหน้าเริ่มร้อนเห่อขึ้นมา อยากจะพูดอะไรออกไปสักคำ
แต่ก็จนด้วยคำพูด แล้วเขาก็หยอดคำหวานมาอีกว่า
“พี่อาจจะเป็นช่างภาพยอดแย่ที่ไม่แยแสสิ่งใดเลย…นอกจากน้องรัล
แต่ก็ไม่อยากเป็นอะไรมากไปกว่าเป็นคนที่ได้ดูแลน้องรัลอยู่อย่างนี้ตลอดไป…”
ดารัลยกมือทั้งสองปิดหน้าตัวเองด้วยความขัดเขิน…
และดูเหมือนคนขับเองจะรู้ว่าเธอกำลังหน้าแดงจึงหาเรื่องแหย่เธออีก
…ให้ตายสิ นี่เขาคิดจะให้เธอละลายคาที่นั่งเลยหรืออย่างไร…
“ถ้าน้องรัลจะเป็นดอกอะไรสักดอกล่ะก็…พี่ว่า เป็นดอกรักให้พี่จะดีกว่า…
พี่ไม่เคยเห็นหน้ามันหรอกนะไอ้ดอกรักน่ะ…
แต่รู้ว่าเวลามันบานน่ะมันทำให้เรารู้สึกอย่างไรได้บ้าง…”
ดารัลก้มหน้ามองมือตัวเองบนตักแทนก่อนจะกลืนน้ำลายพูดออกไปว่า
“วันนี้ไปกินอะไรมาคะ…ทำไมถึงได้ปากหวานปานน้ำผึ้งมาตั้งแต่ลงจากเครื่องแล้ว…”
“ถ้าอยากรู้…เดี๋ยวจะให้ชิมดู…”ว่าแล้วเขาก็หาที่หยุดรถข้างทาง
แล้วยื่นหน้าเข้ามาหา…ดารัลใช้มือยันแผงอกแกร่งนั่น หลับตาปี๋
“อย่านะ…น้องรัลอาย…ไม่ชอบในรถ…”
ฟาเดลหัวเราะเสียงดังลั่นรถทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
“ก็ได้…ไม่ชอบในรถ งั้นนอกรถแล้วกัน…”
“ไม่นะ ไม่นะ…ไม่เอา…นี่เรามาเที่ยวนะคะ พี่ฟาเดลอย่ามาทำหื่นแถวนี้นะ…
ไม่งั้นจะตีตั๋วกลับบ้านจริงๆด้วย…”ดารัลส่งสายตาพิฆาตคนตรงหน้าไป…
ทำเอาฟาเดลถึงกับพ่นลมหายใจออกมาด้วยสีหน้าเง้างอด
“งั้นเอาไว้คืนนี้ก็แล้วกัน…ไม่รอดแน่คนสวย…”เสียงคำรามราวกับจะขู่
หาได้ทำให้ดารัลขนลูกไม่ ซ้ำยังหัวเราะคิกๆอีก
“ถ้าพี่ฟาเดลทำตัวน่ารัก ไม่ซน ไม่หื่น น้องรัลมีรางวัลใหญ่ให้น้า…”
เท่านั้นแหล่ะคนที่กำลังงอนๆอยู่ถึงกับตาโต จินตนาการไปถึง ‘รางวัลใหญ่’
“อะไร…”
“ยังบอกไม่ได้ค่ะ…”ดารัลยิ้มอย่างมีเลศนัย ทำเอาคนที่กำลังลุ้นๆอยู่
ยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่
“เอาไว้ถึงเวลาแล้วพี่ก็จะรู้เอง…ใจเย็นไว้…พ่อเสือ…”
‘พ่อเสือ’ที่ได้ยินน้ำเสียงหวานๆนั้นถึงกับหันกลับมาที่พวงมาลัยรถ
แล้วตั้งหน้าขับรถพาสุดที่รักไปเที่ยวตามแผนเดิม…
ยกเลิกแผนที่จะหาของหวานทานไประหว่างทางทันที
...ท.ทหารอดทน ฟาเดลนั่งท่องไปตลอดทาง…
แล้วรถก็มาจอดตรงสวนสวย...สวนที่เขาอยากพาเธอมาเยือนหลายต่อลหลายครั้งแล้ว…
เพราะนี่คือสถานที่ที่เขาโปรดปราน
“ถึงแล้วครับ…สวนมายอแรล…สวรรค์กลางเมืองมาร์ราเกซ…”
สวนมายอแรล (Majorelle Garden)
หรือ Jardin Majorelle & Museum of Islamic Art นั้น
อยู่ในเขตเมืองใหม่ของกรุงมาร์ราเกซ (Marrakech) แห่งโมร็อกโก (Morocco)
“ที่มาร์ราเกซมีอยู่ 2 สวน อีกสวนนั้นคือสวนเมนารา (Menara Garden)
ที่นั่นจะสวยกันคนละแบบกับที่นี่ แล้วพี่ค่อยพาไปดู…
แต่ตอนนี้ พี่ภูมิใจนำเสนอสวนมายอแรลครับ…”
ฟาเดลว่าพลางจูงมือภรรยาสาวเดินเข้าไปในสวน…
ดารัลถึงกับสูดอากาศเข้าปอดแล้วมองไปรอบๆกาย…
สวนแห่งนี้เป็นสวนที่ดูเก๋ไก๋ ซ่อนความฉูดฉาดของสีสันเอาไว้เต็มสวน
ซึ่งมิใช่มีเพียงแค่ความร่มครึ้มของความเป็นสวนอย่างเดียว
และสไตล์การแต่งสวนก็จะเป็นในแบบโมร็อกโก
ซึ่งด้านในจะมีวิลล่าสีน้ำเงินเข้มตั้งโดดเด่นอยู่กลางสวน
รอบๆบ้านก็จะห้อมล้อมไปด้วยพันธุ์ไม้และดอกไม้หลากชนิดจากทั่วทุกมุมโลก
และยังมีต้นปาล์ม ต้นกระบองเพชรอีกเกือบสองพันชนิด มีต้นไผ่
และที่สำคัญ มีบัวชนิดต่างๆ ทำให้สวนแห่งนี้ดูมีชีวิตชีวา…และมีเสน่ห์ชวนหลงไหล…
“เป็นไงครับ…ถึงกับพูดไม่ออกเลย…”
ฟาเดลแซวคนที่เขากำลังจูงมือด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม…
“ก็น้องรัลไม่เคยเห็นสวนสไตล์นี้นี่…มันให้อารมณ์ที่แตกต่าง
และเป็นความแตกต่างที่ชวนให้หลงไหลซะด้วยสิ…”
ดารัลเอ่ยพลางมองไปรอบๆด้วยสีหน้าแช่มชื่น ทำให้คนพามาถึงกับชื่นอกชื่นใจ
“ขอบคุณนะคะที่พาน้องรัลมาชมสวนนี้…”ดารัลกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา…
“ก็พี่รู้ว่่าน้องรัลชอบอะไรแบบนี้ไง…เลยต้ังใจพามาเที่ยวมาร์ราเกซ
ก่อนจะไปนอนดูทะเลดาวด้วยกันที่ทะเลทรายซาฮาร่า…
เขาเรียกว่าเป็นการเรียกน้ำย่อย…”
ดารัลย่นจมูกใส่คนที่ดูเริ่มจะส่อแววชวนให้คิดไปอีกทางอย่างหมั่นไส้…
“ถ้าอยากเปิดหน้าก็เปิดเถิดครับ…ที่นี่คนไม่ค่อยพลุกพล่านนัก…”
ฟาเดลเอ่ยขึ้นเมื่อหันไปรอบๆก็เห็นคนที่เดินจับกลุ่มกันเป็นกระจุกๆ
และไม่มีใครสนใจใคร…และที่สำคัญ ทุกคนที่เข้ามาในสวน
ก็ล้วนแล้วแต่ต้องการมาพักผ่อนคลายสมอง
และชมความงดงามของสวนกันเป็นส่วนใหญ่
“ค่ะ…”ว่าพลางก็ดึงผ้้าคลุมหน้าออกแล้วสูดเอาอากาศดีๆเข้าปอด
ก่อนจะหันมายิ้มให้คุณสามีที่หันมายิ้มให้อยู่ก่อนแล้ว…
“ที่น่ี่ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่เอาไว้โชว์ข้าวของเครื่องใช้เก่าแก่และมีค่าของโมร็อกโก
เอาไว้ด้วยนะ ถ้าน้องรัลอยากชม พี่จะพาไป…”
ดารัลพยักหน้า หากตอนนี้เธอยังไม่อยากเข้าไปในตัวอาคารเลย
“ขอน้องรัลเดินเอ้อระเหยลอยชายให้ชื่นปอดก่อนได้มั้ยคะ…”
ฟาเดลยิ้มให้กับถ้อยคำและแววตาของคนพูด…
“ตามสบายสิครับ เดี๋ยวเราไปนั่งตรงนั้นกันมั้ย…”ว่าแล้วฟาเดล
ก็จูงหญิงสาวไปยังใต้ร่มไม้แล้วนั่งลงชื่นชมบรรยากาศภายในสวนด้วยกัน…
“เหมือนกับว่าเราหลุดมาอยู่อีกโลกนึงเลยนะคะ…
สวนแห่งนี้เหมือนสวรรค์กลางเมืองมาร์ราเกซอย่างที่พี่บอกไว้จริงๆ…”
เพราะข้างนอกของเมืองมาร์ราเกซนั้นช่างแสนชุลมุนวุ่นวาย สับสน…
ผู้คนเดินขวักไขว่และมีห้างร้านมากมาย เสียงจอแจกับความเร่งรีบ
พอเข้ามาในสวนนี้ บรรยากาศโดยรอบภายในสวน
ทำให้อดนึกไม่ได้ว่าตัวเองได้เดินทางข้ามมิติเข้ามาอีกโลกนึง
ซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“ทางข้างหน้าของเราสองคนยังมีอะไรๆให้น้องรัลต่่ืนเต้นอีกเยอะ
เชื่อผู้นำทางคนนี้ได้เลยว่าจะไม่ทำให้น้องรัลผิดหวังที่เดินทางมาด้วย…”
ดารัลวางมือลงบนมือใหญ่แล้วหันมายิ้มให้เขา
“ก็เพราะว่าวางใจและมั่นใจน่ะสิคะ ถึงได้ยอมให้จูงมือมาด้วยแบบนี้…”
ฟาเดลก้มลงจูบขมับดารัลแล้วยกมือขึ้นโอบหัวทุยๆนั่นซบอิงไหล่เขา
ก่อนจะเอียงคอวางศีรษะของตนลงบนศีรษะนั้นของเธอ…
“อยากหยุดเวลาเอาไว้อย่างนี้จัง…”ฟาเดลเปรยออกมาด้วยน้ำเสียง
ทีี่เปี่ยมไปด้วยความสุขใจ
“แม้เราจะหยุดเวลาไว้ไม่ได้…แต่เราสามารถหยุดหัวใจเราไว้ตรงไหนก็ได้
ที่เราอยากจะหยุดมิใช่หรือคะ…”ดารัลเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง
เธอเองก็มีความสุขไม่น้อยเช่นกัน
ตั้งแต่มาเยือนดินแดนนี้ เพิ่งจะมีครั้งนี้เองที่เธอกับเขาได้มีเวลาร่วมกันจริงๆ…
“พี่หยุดหัวใจพี่เอาที่น้องรัลแล้ว…”ฟาเดลไม่ลืมที่จะหยอดคำหวาน
ซึ่งมิใช่เพื่อให้อีกฝ่ายเคลิบเคลิ้ม หากนั่นคือความจริงใจจากหัวใจของเขา
เขาหยุดหัวใจไว้ที่เธอต้ังแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นเธอแล้ว…
“ที่นี่ไม่รู้มีมดเยอะมั้ยนะคะ น้องรัลชักกลัวๆซะแล้วสิ…”
ดารัลเอ่ยแซวคนที่นั่งข้างๆด้วยน้ำเสียงสดใส…
หน้าตาคนข้างๆเลยพลอยสดชื่นตามไปด้วย…
“มดตัวอื่นน่ะไม่รู้…แต่แม่มดที่นั่งอยู่ตรงนี้นี่สิ เมื่อไหร่จะเลิกร่ายมนต์ใส่พี่สักที…”
ดารัลหัวเราะคิกหันไปหยิกคนข้างๆแก้เขิน…
“นั่นไง พูดไม่ทันไร ก็กัดพี่แล้ว…”
หลังจากนั้นฟาเดลก็พาดารัลเดินชมสวน และพาเข้าไปยังพิพิธภัณฑ์
ก่อนจะปิดฉากเดินไปยังรถที่จอดอยู่…ดารัลไม่วายหันมามองสวนสวรรค์ของเธออีกครั้ง
ก่อนเดินทางจากไปแล้วเปรยออกมาว่า
“สวนนี่ไม่ได้มีแค่สีเขียวบรรยากาศรื่นรมปรนเปรอปอดอย่างเดียวหรอกค่ะ…
แต่มันช่างเป็นสวนที่อยู่แล้วสบายใจ…และก็สุขใจ…สวนในฝันเลยค่ะ…”
ฟาเดลยกมือขึ้นลูบหัวดารัลแล้วยิ้มให้ดวงตาที่เงยขึ้นมาสบตาขึ้น…
“ถ้าน้องรัลชอบ ไว้มีโอกาสเราค่อยมากันอีกนะครับ…
คาสบลังก้ากับมาร์ราเกซไม่ได้ไกลเกินปีกเราสองคนจะบินไปบินมาได้…”
ดารัลพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มบาง…
“ที่นี่แหล่ะที่เป็นแรงบันดาลใจให้พี่ชอบการจัดสวนอย่างจริงจัง…
ชอบศึกษาพันธุ์ไม้แล้วก็ชอบปลูกชอบดูแลต้นไม้…
มันทำให้พี่เกิดไอเดียมากมายในการจัดสวน…
เวลาที่คิดอะไรไม่ออกหรือเจอปัญหามากมายรุมเร้าแล้วไม่สามารถบอก
หรืออธิบายใครได้…พี่ก็มักจะมาที่นี่เสมอ”
ดารัลจึงไม่แปลกใจอีกเลยว่าทำไมชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายเธอ
สามารถทำให้เธอรู้สึกบายใจได้เสมอเวลาอยู่ด้วย…
เขามีบางอย่างที่ทำให้เธอผ่อนคลาย เบาใจ ไร้กังวล…
นี่สินะ…ที่เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของเขาที่ดึงดูดหัวใจของเธอให้อยากชิดใกล้
อยากเข้าไปผูกพันธ์กับอีกดวงใจนึง…
“เวลาน้องรัลเหงาๆ ไม่สบายใจ เพราะคิดถึงใครบางคนแถวนี้
สวนของพี่ฟาเดลช่วยน้องรัลได้เสมอ โดยเฉพาะชิงช้าตัวนั้นค่ะ…”
ดารัลบอกความลับในใจของเธอออกไป
และนั่นทำให้เจ้าของชิงช้าถึงกับชื่นอกชื่นใจ…
“ไม่เสียแรงเลย…ชื่นใจพี่จริงๆ…”ฟาเดลดึงร่างบางเข้ามากอด
ก่อนจะดันให้เธอกลับไปนั่งในรถ กุลีกุจอคาดเข็มขัดให้เรียบร้อย
“น้องรัลเห็นนั่นมั้ย…”ฟาเดลชี้ไปยังเทือกเขาที่ทอดตัวอยู่แต่ไกล
“นั่นคือเทือกเขาแอตลาส พรุ่งนี้ตอนรุ่งเช้าหลังจากละหมาดเสร็จ
พี่จะพาน้องรัลนั่งรถข้ามเทือกเขานั่นไปด้วยกัน…”
ฟาเดลเล่าแผนการการเดินทางในวันรุ่งขึ้นให้ภรรยาสาวฟัง
“เราจะข้ามเทือกเขานั่นหรือคะ…”ดารัลถึงกับเบิกตาโตด้วยความตกใจ
ไม่คาดคิดว่าตัวเองกับเขาจะต้องข้ามเทือกเขานั้นไปกันตามลำพังสองต่อสอง
ฟาเดลเห็นสีหน้าของดารัลแล้วได้แต่ยิ้มก่อนจะยกมือบางขึ้นกุมเอาไว้
กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มว่า
“มันไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้นหรอกครับ ช่วงนี้ไม่มีฝนตก ไม่มีหิมะตก
ไม่อันตรายอะไร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงครับ
น้องรัลหายห่วงได้…งานนี้พี่ขับตลอดเส้นทาง น้องรัลนั่งข้างๆเป็นกำลังใจให้พี่ก็พอ…”
คนที่อาสาขับรถตลอดเส้นทางไม่วายแหย่คนที่กำลังหวาดวิตกไม่เลิก…
“รับรองว่ามีอะไรที่น่าตื่นเต้นให้น้องรัลได้ตกใจ
ทำตาโตๆแบบนี้ให้พี่ดูอีกเยอะเชียวล่ะ…”
ดารัลหันมาค้อนขวับให้คนที่ชอบเย้าแหย่เธอไปหนึ่งวง…
“งั้นพี่จะเล่าให้ฟัง เผื่อน้องรัลจะได้เบาใจ…คืองี้…”ฟาเดลเห็นท่าไม่ดี
เลยรีบแก้ตัวด้วยการเล่าแผนการเดินทางคร่่าวๆให้หญิงสาวฟัง
“เทือกเขาแอตลาส (Atlas Mountains) แบ่งออกเป็น เทือกเขาแอตลาสกลาง
เทือกเขาแอตลาสสูง ซึ่งจะพาดผ่านตั้งแต่ชายฝั่งทะเลตะวันตกของโมร็อกโก
ไปติดชายแดนตะวันออกของประเทศแอลจีเรีย
แล้วก็แอตลาสตอนล่างหรือซาฮาร่าแอตลาส เป็นแนวเทือกเขาขนาน
ทางตอนใต้ติดกับทะเลทรายซาฮาร่า…ซึ่งเราก็กำลังจะมุ่งไปสู่ที่นั่น
ดังนั้นเราต้องข้ามเทือกเขานี้ไปให้ได้ก่อนครับ…และแน่นอน
มากับพี่ ไม่มีอะไรยากเลย…น้องรัลสบายใจได้…”
ดารัลพ่นลมหายใจออกมาเมื่อเขาบอกว่าไม่มีอะไร
แล้วเธอจะหวาดวิตกไปทำไมให้เสียสุขภาพจิต…
“ค่ะ…ตกลงเราจะข้ามเขาไปด้วยกัน…”
ดารัลพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มและแววตาไว้วางใจ เท่านั้นฟาเดลก็พอใจอย่างที่สุดแล้ว…
“ต้องอย่างนี้สิ…”ฟาเดลยกมือบางที่กุมอยู่ขึ้นมาจุมพิต…
แล้วพาหญิงสาวไปเที่ยวชมมัสยิดหรือสุเหร่ากูตูเบียเพื่อทำละหมาดด้วยกัน
ออกจากมัสยิดแล้ว ทั้งสองก็เดินชมเมืองตรงจตุรัสเจมา เอล์ฟนา
(Jemaa el-Fna) และป้อมปราการต่างในเมืองมาร์ราเกซ
ซึ่งอยู่ในเขตเมืองเก่าที่มีกำแพงเมืองยาวล้อมรอบประกอบด้วยสถานที่สำคัญมากมาย
รวมทั้งตลาด ย่านการค้า โรงเรียนสอนศาสนา
หลังจากพาภรรยาสาวเดินเที่ยวมาตลอดทั้งวัน กว่าจะกลับถึงที่พัก
ก็แทบจะหมดเรี่ยวหมดแรง หากก็สนุกสนานจนเจ้าของบ้าน
ซึ่งเป็นญาติกันอดที่จะแซวไม่ได้…
“ถ้าลุงไม่รู้ว่าแต่งงานมานานหลายเดือนแล้ว ลุงคงคิดว่าหลานทั้งสอง
มาฮันนีมูนกันเหมือนพวกข้าวใหม่ปลามัน…”
ฟาเดลเองก็อยากจะบอกท่านไปเหมือนกันว่า
…เขามาฮันนีมูนและยังข้าวใหม่ปลามันอยู่เลย…
หรือจะให้ถูกปลาที่ว่ามันนั้นเขายังไม่ได้ลิ้มรสเลยด้วยซ้ำ…
และเห็นท่าว่าคืนนี้จะหมดแรงหาทางกินปลาเสียด้วย…
เพราะเห็นสีหน้าท่าทางเหนื่อยล้าของสาวเจ้าแล้ว เขาก็ไม่อยากกวนใจ
อยากให้พักผ่อนให้เต็มที่มากกว่า
เน่ืองจากพรุ่งนี้การเดินทางค่อนข้างทรหดอยู่เหมือนกัน…
เช้าวันรุ่งขึ้น ดารัลกับฟาเดลก็เตรียมขนสัมภาระต่างๆที่นำมาขึ้นรถ
พร้อมด้วยอาหารที่เตรียมไว้กินกลางทางกับอาหารแห้ง
เครื่องปรุงต่างๆที่จำเป็น แล้วยืนลาเจ้าของบ้้าน
ซึ่งเป็นเจ้าของรถคันที่ฟาเดลจะขับไต่เขาในวันนี้ด้วย…
การเดินทางจากเมืองมาร์ราเกซข้ามเทือกเขาแอตลาสในครั้งนี้นั้น
ฟาเดลเลือกใช้เส้นทางบนแอดลาสสูง (High Atlas)
ไปตามเทือกเขาที่สูงชันและทับซ้อนกันเพราะเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุด
ในการข้ามไปยังอีกฝั่งของเทือกเขา
ซึ่งเส้นทางนี้จะไม่เหมาะในการเดินทางในช่วงหน้าหนาว
โดยการข้ามแอตลาสสูงนั้น เป็นการแล่นรถบนแนวเขาสูงชันที่ทอดคดเคี้ยวไปมา
บางช่วงต้องผ่านช่องเขาและหุบเขาเล็กๆที่อยู่ระหว่างเทือกเขาเหล่านั้น…
และนั่นทำให้ดารัลได้รู้ว่า คนขับนั่นรู้จักเส้นทางและชำนาญ
ในการขับรถบนเทือกเขาแอตลาสเป็นอย่างดี
ดูจากสีหน้าเขาแล้วก็อดที่จะชื่นชมไม่ได้…
…นี่เขาจะมีอะไรมาทำให้เธอชื่นชมได้อีกนะ…เพราะเท่าที่ได้เห็น
เธอก็ประทับใจไม่รู้ลืมแล้ว…
“เมื่อก่อนพี่กับคุณปู่เราเคยมาผจญเทือกเขานี้ด้วยกันบ่อยๆ…
ทุกเส้นทางที่จะข้ามไปอีกฝั่งนั้น พี่กับคุณปู่สำรวจมาหมดแล้ว
น้องรัลไม่ต้องกลัวนะครับ…”ฟาเดลหมายจะปลอบอีกฝ่าย
มิได้ต้องการจะอวดเก่ง อวดดีให้อีกฝ่ายฟังด้วยความคำนองแต่อย่างใด
“มิน่า ดูพี่ฟาเดลสบายๆเหลือเกิน…”
“พี่ก็อยากให้น้องรัลนั่งสบายๆไปเหมือนกัน…ลองดูไปรอบๆสิครับว่ามันสวยแค่ไหน…”
ฟาเดลชี้ชวนให้คนที่นั่งมาด้วยกันหันไปมองวิวทิวทัศน์โดยรอบ
และก็ไม่ผิดหวัง ดารัลเปิดปากเปิดตามองตามที่เขาบอก
เพราะระหว่างที่อยู่บนแนวเขาสูงเช่นนี้ จะเห็นทิวทัศน์ที่ไกลสุดลูกหูลูกตา
สวยงามและน่าตื่นตาตื่นใจ สามารถมองเห็นยอดเขาสูงต่ำ
เหลี่ยมทับซ้อนสลับกันและทอดยาวไปไม่มีที่สิ้นสุด มีต้นไม้ขึ้นหนาทีบบนเขาแต่ละลูก
เป็นสีเขียวชะอุ่ม สบายตา
และเมื่อมองไปเบื้องล่างก็จะเห็นหน้าผา หุบเขา หุบเหวและทางน้ำเล็กๆ
ซึ่งเป็นน้ำที่ละลายมาจากหิมะบนยอดเขา
“ตามเชิงเขาแต่ละลูกที่น้องรัลเห็นนั้นคือบ้านของชนพื้นเมืองเบอร์เบอร์ครับ…”
ดารัลมองตามแล้วก็พบบ้านเรือนที่ปลูกเรียงกัน
“ส่วนใหญ่สร้างจากโคลนดินแห้ง รับรองว่าที่ญี่ปุ่นกับที่ไทยไม่น่าจะมีให้ดูแน่ๆ…”
ฟาเดลอธิบายพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนจะเล่าให้หญิงสาวฟังว่า
“ชาวพื้นเมืองเบอร์เบอร์น่ะมักจะอยู่เป็นที่ ไม่ค่อยย้ายถิ่นฐานหรือเร่ร่อน
พวกเขามีชีวิตเรียบง่าย ทำการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์
มีการชลประทานตามแนวเชิงเขาเพื่อนำน้ำที่ได้ยากไปใช้ในการอุปโภคบริโภค…”
ฟาเดลหยุดนิดนึงเมื่อเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองใช้ศัพท์ภาษาไทยถูกต้องหรือไม่
“นำไปใช้กับนำไปกินนั้น อุปโภคบริโภคใช่มั้ยน้องรัล
พ่ีชักไม่มั่นใจแต่ก็คิดว่าน่าจะใช่…”ดารัลยิ้มบางก่อนจะพยักหน้า
“ค่ะ…พี่ฟาเดลใช้ศัพท์เทคนิคได้ดีจริงๆ สมกับเป็นไกด์นำเที่ยว…”
“อย่าเพิ่งแซว พี่ก็เหมือนเป็ด…ได้หลายภาษาก็จริง
แต่ก็อาจเผลอทำภาษาใดภาษานึงวิบัติได้โดยไม่ตั้งใจเหมือนกัน…ต้องกันไว้ก่อน”
ดารัลหัวเราะคิกกับน้ำเสียงของเป็ด…
“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณย่าพี่ล่ะก็…พี่คงไม่ได้ภาษาไทยหรอก…
เพราะท่านเคี่ยวเข็ญพี่ให้เรียนทั้งไทย ทั้งอาหรับทั้งอังกฤษ
ญี่ปุ่นด้วย…ตอนแรกไม่เข้าใจหรอกว่าจะให้เรียนภาษาญี่ปุ่นไปทำไม…
ไม่เห็นจะได้ใช้…แถมยังเรียนยากอีกต่างหาก
แต่พอได้เห็นหน้าสาวงามนามว่าดารัลก็เลยเข้าใจ…
แต่โชคดีที่เราได้ภาษาไทยเหมือนกัน พี่เลยไม่ต้องดำผุดดำว่ายภาษาญี่ปุ่น
ที่ไม่ค่อยได้ใช้เลย…”คนขยันเล่าและยังขยันยิ้ม
ยังคงไม่ยอมให้บรรยากาศภายในรถเงียบลงง่ายๆ…
“นั่นต้นปาล์มนี่คะ…”ดารัลเริ่มมองเห็นบ้านเรือน
และเหล่าต้นปาล์มให้เห็นเป็นระยะๆมากขึ้นจึงเอ่ยขึ้น
ราวกับจะขอคำบรรยายใต้ภาพจากไกด์นำทาง…
“นั่นเพราะเรากำลังไต่ระดับต่ำลงมาแล้วครับ น้องรัลจึงเริ่มเห็นบ้านเรือน
ที่มีการประดับประดามากขึ้น นั่นคือศิลปะทางใต้ของโมร็อกโกล่ะ…”
ดารัลพยักหน้าพร้อมกับทอดสายตามองภาพบ้านเรืือนเหล่านั้นไป…
“นั่นคือป้อมปราการโบราณหรือคัสบาห์”ฟาเดลชี้ให้คนที่นั่งมาด้วยกัน
มองไปบนเชิงเขาสูงซึ่งมีป้อมปราการอยู่ และอีกประเดี๋ยวพี่จะพาเรา
ไปหยุดชมน้ำตกที่สวยที่สุดแถวนี้กัน…”ฟาเดลเอ่ยเสียงเรียบ หากคนฟังกลับหูผึ่ง
“ที่นี่มีน้ำตกด้วยหรือคะ…”แววตาและน้ำเสียงฟังดูตื่นเต้น
จนไกด์ถึงกับยกมุมปาก
“ครับ…น้ำตกอูซูด (Cascades’dOuzoud) เป็นภาษาเบอร์เบอร์ แปลว่า มะกอก…”
“ที่นี่มีสายน้ำไหลผ่านด้วยนี่คะ…”ดารัลมองเห็นสายน้ำเล็กๆที่ตัด่ผ่านคดเคี้ยวไปมา
“ครับ ที่นี่มีแม่น้ำสายสำคัญอยู่ 3 เส้น…คือ แม่น้ำดรา (Draa)
แม้น้ำเดดส์ (Dades) และแม่น้ำซีส (Ziz)
พอเราล่องใต้ไปเรื่อยๆก็จะพบกับแหล่งน้ำโอเอซิส (Oasis) เป็นระยะๆครับ…”
แล้วดารัลก็ได้พบกับสิ่งที่เขาพูดถึงนั่นคือน้ำตกดังกล่าว…
แต่มีเวลาชื่นชมความงามไม่นานนัก เธอกับเขาต้องไปต่อ…
เพราะกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางนั้นยังต้องต้องบนรถให้ก้นระบม
ไปอีกสักพักใหญ่ๆอยู่เหมือนกัน ซึ่งรอบๆแหล่งน้ำโอเอซีสนั้นจะมีต้นปาล์ม
ปลูกเรียงรายอยู่รอบๆ ทำให้เห็นเป็นสีเขียว…
โดยมีป้อมปราการหรือคัสบาห์อยู่ตลอดทาง…
“นี่คือคัสบาห์ ซึ่งเป็นทั้งเมืองที่อยู่อาศัยและเป็นป้อมปราการเพื่อป้องกันศัตรู
ที่มารุกรานจากภายนอก…สร้างด้วยโคลนดินตากแห้งหรืออิฐสีแดง
ซึ่งจะมีการใส่หญ้าหรือฟางแห้ง…มันดูกลมกลืนกับธรรมชาติ
ที่สำคัญ…สามารถควบคุมอุณหภูมิภายในได้ดี เวลาฤดูร้อนจะไม่ร้อนมากนัก
เวลาหนาวก็ไม่หนาวเท่าที่ควร…
พี่เองเคยมาดูลักษณะการสร้างที่อยู่แบบนี้แล้วคิดจะนำไปดัดแปลง
ประยุกต์ทำเป็นรีสอร์ทเหมือนกัน…แต่ยังหาที่เหมาะๆไม่ได้…น้องรัลว่าไง…”
ฟาเดลหันมาถามผู้ติดตามที่นั่งเงียบ แต่ดวงตาสอดส่ายมองไปยังบ้านเรือนดังกล่าว
“เจ๋งเป้งไปเลยสิคะ…”
“เจ๋งเป้ง แปลว่าไง…”ฟาเดลทำหน้างงเป็นเครื่องหมายคำถามตัวโต
ทำเอาดารัลถึงกับหัวเราะคิก
“ก็หมายความว่าสุดยอดไปเลยสิคะ…แต่น้องรัลว่า
ถ้ามีอะไรแบบนี้ไปวางที่ดินแดนปลาดิบ…คนคงฮือฮาแน่ๆ…แปลกตาดีค่ะ…
แต่น้องรัลไม่เก่งเรื่องภูมิทัศน์ เลยไม่รู้ว่าจะเหมาะมั้ย
ถ้าเหมาะนะ น้องรัลแนะนำเลย…รับรองคุณย่าอะมานีจะต้องส่งเสริม
แม่ลูกปาดอย่างหะบีบี้จะต้องร้องกรี๊ด…เลยล่ะ”
“งั้นพี่จะลองคิดดูอีกที…”
“แล้วนี่ไม่มีคนอาศัยอยู่แล้วหรือคะ…”
“กาลเวลาและแรงลมแรงฝนทำให้ที่นีถูกทำลายเสียหายจนชนพื้นเมือง
ที่เคยอาศัยอยู่ภายในได้ย้ายไปตั้งรกรากที่อีกริมฝั่งแม่น้ำแทน
จะมีก็ไม่กี่ครัวเรือนหรอกครับที่ยังอาศัยอยู่…”ฟาเดลอธิบายเสริม…
พร้อมกับเปิดประตูออกมายืดเส้นยืดสาย...และไม่ลืมเล่าต่อให้อีก
“องค์การยูเนสโก (UNESCO) ยกย่องให้ป้อมปราการ เอท เบน ฮัดดูแห่งนี้
เป็นมรดกโลกทางด้านประวัติศาสตร์ของโมร็อกโก…
เลยมีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจ กลายเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์
ในหลายต่อหลายเรื่องทีเดียวทั้งในประเทศและต่างประเทศมาเรื่อยๆจวบจนปัจจุบัน…”
ดารัลพยักหน้ารับพร้อมกับหันไปมองรอบๆ เดินสำรวจมรดกโลก…
มีนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งที่เดินทางมาชื่นชมสถานที่แห่งนี้ด้วย…
เมื่อเสร็จจากมรดกโลกชิ้นนั้นแล้ว ผู้นำทางก็ได้ขับรถพาดารัลออกเดินทางต่อ…
“เมืองวาร์ซาแซต (Ouarzazete) ครับ…”ฟาเดลหยุดรถลง
เมื่อถึงเมืองดังกล่าว…ดารัลเริ่มเห็นผู้คนหนาตามากขึ้น…
“เป็นดินแดนที่ถูกขนานนามว่า ประตูสู่ทะเลทรายซาฮาร่า…”
ดารัลตาโตด้วยความตื่นเต้น
“นี่ก็แสดงว่า เรากำลังจะถึงทะเลทรายซาฮาร่าแล้วใช่มั้ยคะ…”
ฟาเดลยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับแววตาสดใสคู่นั้นและอดไม่ได้ที่จะพูดหยอกเย้าเอาว่า
“ถึงประตูแล้วนี่ครับ…”แล้วเขาก็ได้ค้อนงามๆจากเธอไปเป็นรางวัล…
“เมืองนี้เป็นเมืองหลวงของจังหวัดวาร์ซาแซตครับ
ประชากรที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่คือชาวพื้นเมืองเบอร์เบอร์
และป้อมปราการที่เราเห็นๆกันก็เหมือนจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของพวกเขาไปแล้ว”
ฟาเดลอธิบายเสริมความรู้ให้เด็กโข่งที่มีแววตาซุกซน
อยากรู้อยากเห็นตรงหน้าอย่างไม่รู้เบื่อ
“เป็นสัญลักษณ์ที่น้องรัลชอบค่ะ…ชอบจริงๆนะเนี่ย…”
ดารัลสำทับซ้ำเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าว่าไม่เชื่อ…
“ดังนั้นน้องรัลจะต้องไม่ลืมเอกลักษณ์ของที่นี่…นั่นไง”
ฟาเดลชี้ไปทางพรมที่เป็นสินค้าวางขายอยู่
“ที่เห็นนั่นก็คือพรมทอมือของเบอร์เบอร์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ
แถมสวยงามมากด้วย เชิญน้องรัลทัศนาและเลือกซื้อได้ตามสบายเลยครับ…
เพราะพี่ก็กะจะมาซื้อพรมที่นี่ไปปูนอนดูทะเลดาวกับน้องรัลสองคน…
ที่ทะเลทรายซาฮาร่า”
แววตากรุ้มกริ่มทอประกายเจิดจ้าส่อนัยยะ ซ่อนแง่ซ่อนกลนั้น
ทำเอาผู้ติดตามถึงกับหมั่นไส้ แต่ก็ยอมเดินไปเลือกดูพรมดังกล่าว
ที่มีลวดลายเป็นเส้นและเป็นรูปทรงเรขาคณิตบนพื้นสีแดงส้มและดำ
ก่อนจะเลือกหาซื้อมาห้าผืนใหญ่ๆ…เพื่อจะได้ใช้หนึ่งผืน
ส่วนอีกสี่ผืนที่เหลือกะจะไปฝากคนทางโน้น…
“วันนี้เราเหนื่อยกันมามากแล้ว พี่เองก็สงสารแก้มก้นของน้องรัลด้วย
ครั้นจะขับรถไปต่อก็คงไม่ไหวเหมือนกัน…ก็เลยกะจะพักค้างที่นี่หนึ่งคืน
เพื่อตุนพลังงานไว้ใช้พรุ่งนี้ต่อ…
ถึงที่นี่จะเป็นประตสู่ทะเลทรายซาฮาร่า
แต่ด้วยความที่ประตูมันกว้างมาก…พี่เลยอยากให้พักผ่อนก่อนแล้วค่อยไปต่อ…”
ฟาเดลยืนยันเมื่อเห็นแววอ่อนล้าของคนตรงหน้า
จึงชวนกันหาที่พักพร้อมกับรับประทานอาหารด้วยกัน…
เที่ยวชมโรงภาพยนตร์แอตลาสและสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ
มองดูวิถีชีวิตพร้อมท้ังศึกษาวัฒนธรรมของชาวเบอร์เบอร์ไปด้วย…
หลังจากพักค้างที่วาร์ซาแซต 1 คืนแล้ว
ซึ่งเป็นหนึ่งคืนที่ทั้งเขาและเธอหมดแรงข้าวต้ม
ไอ้ที่คิดจะชิมเนื้อปลามันไร้ก้างนั้นเลิกฝันไปได้เลย…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเมื่อละหมาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ฟาเดลจึงมุ่งมั่นเดินทางไปยังทะเลทรายซาฮาร่า
พาภรรยาสาวไปข่ีอูฐชมจันทร์ ตั้งแคมป์นอนดูทะเลดาวด้วยกันอย่างหมายมาด…
ซึ่งการเดินทางไปยังทะเลทรายซาฮาร่านั้น
จะผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยแหล่งน้ำกลางทะเลทราย
ต้นปาล์มเป็นหย่อมๆและหมู่บ้านของชนพื้นเมือง
“เดี๋ยวพี่จะพาเราแวะที่เมืองเอล เคลลา มากูนา (El Kelaa M’Gouna)
รับรองว่าน้องรัลจะต้องร้องว้าว…”
ฟาเดลได้ทีโฆษณาชวนเชื่อให้อีกฝ่่ายตื่นเต้นเล่น
และก็ดูเธอจะกะพริบตาปริบๆหันมาทางเขาราวกับจะขอร้อง
หากฟาเดลกลับเก็บงำไม่ยอมปริปาก
จนกระทั่งถึงเมืองดังกล่าว เขาจึงพาเธอเดินผ่านห้างร้านที่มีการวางสินค้าขาย
“ว้าว…นี่…นี่มันกุหลาบนี่คะ…กุหลาบทั้งนั้นเลย…”
ดารัลเปิดปากร้องทันทีเมื่อหันไปมองรอบๆกาย
“เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องการเพาะปลูกกุหลาบไว้ทำเป็นน้ำดอกกุหลาบ(Rose water)
ที่มีชื่อเสียงของโมร็อกโก…
ในประวัติเล่ากันว่าเมื่อสักประมาณศตวรรษที่10
มีผู้แสวงบุญที่ไปทำฮัจย์กลับจากนครมักกะฮฺได้นำพันธุ์กุหลาบชนิดหนึ่งกลับมาด้วย
เห็นว่าเป็นพันธุ์ท่ีมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ…และยังทนต่อความแห้งแล้งและความเย็น
ของอากาศได้
ทุกวันนี้ เมืองนี้และเมืองใกล้เคียงกันได้กลายเป็นพื้นที่ที่เป็นแหล่งปลูกกุหลาบ
ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศนี้ ซึ่งในทุกๆปีสามารถเก็บได้ถึง 4พันตัน
เพื่อนำกลีบกุหลาบมาบีบคั้นทำเป็นน้ำและน้ำหอมรวมท้ังผลิตภัณฑ์และเครื่องสำอาง
ส่งขายทั้งในและต่างประเทศ…”
ฟาเดลอธิบายไปก็พาดารัลเดินเลือกหาสินค้าที่ทำจากกุหลาบไปด้วย…
ดารัลฟังไปก็มองกลีบกุหลาบท่ีวางขายในกระจาดไปด้วย เธอนั่งลงก้มดูไม่กล้าแตะต้อง…
“มีขายเป็นกระจาดเลย…”ดวงตาแวววาวราวกับเด็กที่เจอของถูกใจนั้น
ทำเอาฟาเดลอดยิ้มขันไม่ได้ จึงนั่งยองๆลงข้างๆขณะกระซิบบอกว่า
“พี่ว่า เราควรจะซื้อไปสักกระจาดนะ…เอาไปโปรยที่พรมคืนนี้…
เอากลีบดอกสีชมพูหวานนี่แหล่ะ…จะได้ตัดกับพรมสีแดงส้มของน้องรัลไง…
หอมเนอะ…”ว่าพลางเขาก็กำกลีบกุมหลาบขึ้นมาสูดดมหน้าตาเฉย
ซ้ำยังบอกกับพ่อค้าไปว่าเขาสนใจอยากได้หนึ่งกระจาด
และยังแหย่พ่อค้าไปพร้อมๆกับเธออีกว่า…
“ขอกระจาดด้วยนะครับ จะให้ภรรยาผมนั่งกอดไปตลอดทาง…”
พ่อค้ายิ้มกว้างขณะส่งกระจาดให้ดารัลและกล่าวขอบคุณลูกค้า
หากดารัลยังไม่วายหันไปมองกลีบกุหลาบที่ใส่อยู่ในชะลอม
เธอไม่แน่ใจเลยว่าไอ้เครื่องจักรสานนั่นเขาเรียกว่าชะลอมหรือเปล่า
จำได้คร่าวๆตอนไปเที่ยวเมืองไทย หน้าตามันคล้ายๆชะลอม
เลยหันไปบอกกับคุณสามีว่า
“น้องรัลว่าใส่ชะลอมดีกว่าค่ะ กลัวกลีบกุหลาบจะปลิวว่อนไปตลอดทาง…”
ฟาเดลชักเห็นด้วยกับความคิดนั้น
จึงบอกให้พ่อค้าเปลี่ยนแพ็คเกจให้ ไม่เอากระจาดแล้ว…
และด้วยจำนวนกุหลาบหนึ่งกระจาดของเธอเมื่อนำไปบรรจุในแพ็กเกจใหม่
ทำให้ได้กลีบกุหลาบมาหลายชะลอมเลยทีเดียว
“ก็เผื่อเรานอนกันหลายคืนไง…อย่าลืมสิว่าเราตกลงอะไรกันไว้่”
ฟาเดลดักทางอย่างรู้ทันความคิดของอีกฝ่ายดี…
“แล้วเดี๋ยวพี่จะซื้อน้ำกุหลาบกับน้ำหอมกลิ่นกุหลาบด้วย…”
พูดพลางก็เลือกดูสินค้าหน้าร้านไปด้วย
“ซื้อให้ตัวเองหรือคะ…”
“เปล่า ซื้อให้เมียใส่…เพราะพี่ชอบกลิ่นของกุหลาบที่นี่
มันหอมพิเศษจริงๆด้วยสิ…ลองดมดู…”ฟาเดลยื่นให้ดารัลลองดมกลิ่นหอมของมันดู
และอดยอมรับความคิดเห็นของเขาไม่ได้
“เอาไปหลายๆขวดดีกว่า…จะได้ใส่ให้ดมทุกวันทุกคืน…”
เสียงพึมพำของเขาทำเอาดารัลถึงกับหน้าแดงเห่อ
ดีนะที่เธอปิดหน้าเอาไว้ไม่อย่างนั้นพ่อค้าคงต้องยิ้มขันเธอแน่ๆ…
“แต่ว่าใส่ให้พี่ดมคนเดียวนะ ห้ามเผื่อแผ่ให้คนอื่นได้กลิิ่นล่ะน้องรัล...ไม่งั้นเคือง…”
ดารัลส่่ายหน้าไหวๆให้กับคุณสามี
“น้องรัลรู้หรอกค่ะว่่าไม่ควรใส่น้ำหอมให้ชายอื่นได้กลิ่น ยกเว้นสามีของตัวเอง…
มันผิดหลักศาสนา…”ฟาเดลหันมายิ้มกว้าง
“ถูกต้องที่สุด…งั้นพี่ซื้อให้สิบขวดเลยนะ…”
“เยอะไปมั้ยคะ…”
“ไม่เยอะหรอก…พี่ชอบ…หรือน้องรัลอยากเอาไปฝากใครก็ตามใจนะครับ…
แล้วก็ลืมน้ำหอมจากแปรีสไปได้เลย...” ฟาเดลเน้นย้ำคำว่า "แปรีส"
อย่างจงใจที่จะใช้น้ำเสียงโทนนั้น...
พ่อค้าที่ค่อนข้างมีอายุุมากแล้วเลยหน้าบานเพราะรับทรัพย์ไปเต็มๆ
แล้วเขายังชวนเธอเลือกดูผลิตภัณฑ์พวกเครื่องสำอาง
และผลิตภัณฑ์ท่ีทำจากกุหลาบอีกหลายอย่าง โดยไม่ลืมอุดหนุนสินค้า
ของผู้เฒ่าพร้อมกับกระซิบบอกดารัลเมื่อเดินออกมาไกลแล้วว่า
“นึกเสียว่าช่วยคนแก่ไปด้วย…ไม่เห็นเหรอว่าร้านแถวนี้มีคนแก่ขายของอยู่ร้านเดียว…”
ดารัลหันไปมองรอบก็เห็นดังเขาว่า
“น้องรัลรู้มั้ยว่าเมื่อกี้คุณปู่เขาชวนให้เรามาเที่ยวงานเทศกาลกุหลาบ
(Rose Festival) ด้วยนะ…เห็นว่าเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองกันอย่างรื่นเริง
ในทุกๆปีกหลังฤดูเก็บเกี่ยว…ซึ่งก็น่าสนมาก…
เพราะคนที่นี่จะนิยมทำน้ำกุหลาบใส่ในขวดแก้วสวยๆเพื่อนำไปรด
หรือล้างมือให้แขกผู้มาเยือนเพื่อเป็นการต้อนรับสู่บ้าน…”
“ฟังดูน่ารักจังเลยนะคะ…”
“แต่ว่ายังไม่ใช่เร็วๆนี้หรอก เอาไว้เราค่อยมาด้วยกันอีกก็ได้…
ยังไงๆ น้องรัลก็อยู่กับพี่ที่นี่ไปตลอดอยู่แล้วนี่…คงมีสักวันหรอก”
ดารัลยิ้มรับด้วยใบหน้าสดชื่น…
เสร็จจากหมู่บ้านกุหลาบ…ใช่แล้ว ดารัลจำชื่อเมืองเมื่อครู่ไม่ได้
เลยตั้งชื่อเอาเองว่าหมู่บ้านกุหลาบ…
เขาก็ขับรถไปตามเส้นทางที่ลงสู่ทะเลทรายซาฮาร่า
ผ่านโกรกธาร (gorge) เป็นระยะๆ
ซึ่งยังคงพบคัสบาห์หรือป้อมปราการโบราณตั้งอยู่ตามแนวโกรกธาร
ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของภูมิประเทศ
“นี่เขาเรียกว่าอะไรคะ…”ดารัลแหงนหน้าขึ้นมองโขดผาสวยเบื้องบน
ด้วยแววตาแวววาวและน้ำเสียงตื่นเต้น…
“โกรกธารไงล่ะครับ…ที่น้องรัลกำลังเห็นอยู่นี่คือโกรกธารทอดดรา
(Todra Gorge) เป็นโกรกธารที่มีชื่อเสียงมาก…เพราะพี่ท่านค่อนข้างสูงสง่า…”
ฟาเดลไม่วายแซวโกรกธารตรงหน้าราวกับว่ามันจะรู้เรื่อง
ไปกับคำแซวของเขาด้วยนั่นแหล่ะ…ดีไม่ดีถ้ามันรู้ มันอาจจะ
แกล้งทิ้งก้อนหินลงมาบนหลังคารถเอาได้…
“เป็นโขดผาที่มีความสูงถึง 985 ฟุตเชียวนะ พี่งี้เท่ามดเลย
ถ้าไปยืนแข่งกับความสูงสง่าของท่าน…” ดารัลหัวเราะคิก
เมื่อได้ยินเช่นนั้นก่อนจะมองรถของนักท่องเที่ยวคันอื่นๆ
ที่ร่วมเส้นทางนี้ไปด้วยความอบอุ่นใจ
…อย่างน้อยๆถ้าโกรกธารนี้เกิดเคืองพี่ฟาเดลของเธอขึ้นมา
เธอจะได้วิ่งไปขอความช่วยเหลือคนอื่นได้ทันท่วงที…
“ไม่ใช่แค่มีชื่อเสียงนะ ท่านยังเป็นนางงามด้วย
เขายกย่องให้ท่านเป็นโขดผาที่สวยที่สุดทางใต้ของประเทศนี้เลยล่ะ…
น้องรัลอยากอยู่ประจันความงามกับท่านต่อก็ได้นะ…พี่จะได้ตั้งแคมป์ที่นี่เลย”
ดารัลไม่ตอบได้แต่หัวเราะขำขันกับคนช่างแหย่
และพอขับมาได้ไม่นานฟาเดลก็หยุดรถ
“ไปหาข้าวกลางวันกินกัน…”
ว่าพลางก็จูงมือดารัลไปยังร้านอาหารพื้นเมืองขนาดเล็ก
ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำติดหน้าผาสูงชัน
“สวยจังเลย…”ฟาเดลก้มมองอาหารตรงหน้าเพื่อหาความสวย
หากก็ไม่เจออะไรมากมายนัก ก็เลยต้องเงยหน้าขึ้นมองคนชม
แล้วก็ได้คำตอบ เพราะสายตาของเธอไม่ได้จับจ้องอาหารตรงหน้า
หากเป็นแสงอาทิตย์ที่พาดผ่านและทอดตัวยาวตามโขดผางาม
นับว่าสวยตรึงตาตรีงใจ เป็นความงามของธรรมชาติที่สุดแสนประทับใจ
แต่แม้แสงอาทิตย์นั่นจะงามแค่ไหน ก็ไม่งามเท่าคนตรงหน้าเขาตอนนี้เลย…
“ถ้าเป็นกลางคืน ดาวที่นี่ต้องสวยแน่ๆเลย…ดาวกับโขดหินงาม…”
แววตาเพ้อฝันของคนพูดทำเอาฟาเดลต้องยกกล้องที่คล้องติดคอมาด้วย
ถึงกับยกขึ้นกดชัตเตอร์ ใบหน้างามดูช่างฝันและผ่อนคลาย
นานทีจึงจะได้เห็น…เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเก็บภาพนี้เอาไว้
และก็เป็นอีกครั้งที่ภาพเบื้องหลังอย่างแสงอาทิตย์กับโขดหินงามนั้น
ต้องตกซีนไปตามระเบียบ…ต่อให้สวยแค่ไหนก็ไม่มีโอกาส
แม้จะได้เป็นนางเอกของภาพทีฟาเดลเป็นคนถ่าย…เป็นได้มากสุดก็แค่ตัวประกอบ…
เสร็จจากทานอาหารกลางวัน ฟาเดลก็ขับรถพาดารัลไปตามทาง
และไม่ลืมชี้ชวนให้หญิงสาวดูต้นอินทผาลัมที่กำลังออกลูกดก
“นั่นต้นอินทผาลัม (Date palm) เป็นพืชตระกูลปาล์ม
มันชอบทะเลทรายเป็นพิเศษ…เพราะเป็นที่ที่อากาศร้อน แห้งแล้ง
ถูกนำเข้ามาที่นี่พร้อมๆกับศาสนาอิสลามครับ…
ชาวอาหรับนำต้นอินทผาลัมที่ถูกเอ่ยถึงในคัมภีร์อัลกุรอ่านถึงคุณค่าพิเศษ
ของพันธุ์ไม้ชนิดนี้เข้ามาปลูกที่นี่ตอนนำอิสลามเข้ามาเผยแพร่ครับ…
และมันได้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของโมร็อกโกไปแล้วด้วย…
กินได้ทั้งสุกทั้งดิบ…พี่น่ะชอบแบบไม่สุกมากจนเกินไป…
ที่นี่ส่งออกอินทผาลัมเป็นแสนๆตันต่อปีเลยนะครับ…
หลายคนที่ไม่รู้ ก็คิดว่าเราเอามันไปเชื่อมน้ำตาล จริงๆแล้วไม่เลย
รสหวานฉ่ำของมันนั้นหวานโดยธรรมชาติของมัน
ซ้ำยังมีคุณค่าทางอาหารสูงด้วยแร่ธาตุหลายตัวเลยทีเดียว…”
ฟาเดลชื่นชมต้นอินทผาลัมด้วยใบหน้าอ่อนโยน…
“ใช่ค่ะ…อินทผาลัมมีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อมนุษย์หลายตัวมาก…”
ดารัลซึ่งเป็นเภสัชกรยืนยันความคิดเห็นนั้นของฟาเดล
พลางมองไปทางต้นอินทผาลัมที่ออกเครือมีลูกดก
“อยากให้คนแถวนี้เหมือนอินทผาลัมต้นนั้นจัง…”
แล้วเสียงพึมพำก็ดังออกมาจากสารถี
“หวานฉ่ำน่ะหรือคะ…”
“ก็ทั้งหวานฉ่ำท้ังมีลูกดกนั่นล่ะ…”ดารัลถึงกับหายใจติดขัดขึ้นมา
ก่อนจะสำลักลมหายใจ ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นหน้าแดง
แดงจนฟาเดลชักไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะโกรธหรือเป็นเพราะเขินอาย
แต่ดูๆไปแล้วน่าจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า เพราะเธอหันหน้า
ไปอีกทางไม่ยอมหันมามองเขาเลย…
ดารัลกับฟาเดลเลยปิดปากเงียบกันไปพักใหญ่…
ไม่กล้ามีใครกล้าแหย่ใครจนกระทั่งดารัลหันไปเห็นภาพตัวอะไรสักอย่าง
กำลังปีนต้นไม้อยู่…มันดูตลกๆชวนให้ขำอยู่ไม่น้อยเลย
ดารัลเลยระเบิดเสียงหัวเราะออกมากับภาพนั้น
ฟาเดลหันไปมองตามสายตาของเธอแล้วจึงอธิบายว่า
“ต้นอาร์กัน (Argan Tree) เป็นต้นไม้ประจำชาติของโมร็อกโก
และเป็นสัญลักษณ์สำคัญของโมร็อกโกตอนใต้ครับผม…”
“แล้วทำไมแพะนั่น…เอ่อ…ใช่แพะใช่มั้ยคะ…”
ดารัลถามเสียงกลั้วหัวเราะด้วยน้ำเสียงกึ่งไม่แน่ใจ
ฟาเดลจึงยอมหยุดรถให้คุณภรรยาได้ชมภาพความแปลกประหลาดของแพะ
ที่กำลังปีนป่ายหาอาหารกินบนต้นอาร์กันพร้อมกับเฉลยอีกฝ่ายว่า
“ครับแพะ…แพะพวกนี้มันปีนขึ้นไปแทะเล็มใบไม้และกินผลอาร์กัน
ดูจะเป็นของโปรดมันทีเดียว…เห็นขึ้นไปเป็นสิบๆตัวเลยนะ…”
เสียงท้ายๆกลั้วหัวเราะในลำคอ…ทำให้ดารัลพยักหน้าเห็นด้วย
“ค่ะ…มันดูเก่งมาก…รู้จักปีนป่าย น้องรัลไม่เคยเห็นภาพแบบนี้
ที่ไหนมาก่อนเลยค่ะ…แปลกดี…ตัวมันก็โตมาก แต่รู้จักปรับสมดุลย์ร่างกาย
ให้อยู่บนต้นไม้ได้ แถมยังหลบหลีกแพะตัวอื่นที่อยู่ร่วมต้นเดียวกันได้เก่งอีกด้วย…
นับว่าเป็นแพะที่ฉลาดหากินมากๆค่ะ…แถมยังมีเผื่อแผ่ชาวบ้านเมื่อตัวเองกินอิ่มแล้วด้วย”
ภาพของแพะนับสิบตัวที่กำลังปีนป่ายหาอาหารนั้น
ชวนให้หญิงสาวยิ้มขันปนเอ็นดูอยู่ในที
ยิ่งตัวไหนที่กินเสร็จแล้วก็จะเดินลงจากต้นให้แพะตัวอื่นๆได้มีโอกาสได้ขึ้นต่อไป…
ส่วนฟาเดลนั้นเห็นจนชินตาแล้วเลยไม่แสดงท่าทีอะไรนอกจากอธิบายเสริมว่า
“ผลอาร์กันนับว่าเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศนี้เลยก็ว่าได้นะครับน้องรัล
ที่สำคัญ ทำให้คนในพื้นที่มีงานมีเงินมีรายได้…
เพราะน้ำมันที่สกัดจากผลอาร์กันนั้นมีประโยชน์หลากหลาย มีกลิ่นหอมหวาน
มีสารต้านอนุมูลอิสระและมีกรดไขมันที่ดีต่อสุขภาพ
และยังมีการนำไปใช้ทำผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเส้นผม เป็นส่วนผสมของยา
อาหารและผลิตภัณฑ์พวกสปาด้วย
นับว่าเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงของโมร็อกโกและมีราคาแพงที่ขายไปทั่วโลก…
น้องรัลน่าจะเคยได้รู้มาบ้าง…”ดารัลพยักหน้ารับ
“ค่ะ…น้องรัลเรียนมา เคยเห็นแต่ผลกับน้ำมันของมัน
แต่เพิ่งจะได้มาเห็นต้นของมันเอาก็ตอนนี้แหล่ะค่ะ…โชคดีจริงๆ”
หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมา…
เสร็จจากการชมต้นอาร์กันกับแพะมหัศจรรย์แล้ว
ดารัลกับฟาเดลก็เดินทางมุ่งสู่เป้าหมาย ผ่านเมืองเออร์ฟูด (Erfoud)
เมืองริสซานี (Rissani) ซึ่งเป็นเมืองที่ติดขอบทะเลทรายซาฮาร่า
ซึ่งเมื่อเดินทางมาถึงเมืองนี้แล้วก็นับว่าเป็นการสิ้นสุดถนนหรือทางที่ลาดยาง
จึงต้องเปลี่ยนมาใช้เส้นทางเล็กที่เต็มไปด้วยหินและทรายละเอียด
ฟาเดลที่เตรียมพร้อมเพื่อการณ์นี้มาแล้วจึงเปลี่ยนให้รถเป็นรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ
เพื่อให้เดินทางบนพื้นหินและทรายได้…
จากเมืองริสซานี มุ่งสู่เมืองเมอร์ซูกา (Merzouga)
ซึ่งถือเป็นโอเอซิสหรือแหล่งน้ำกลางทะเลทรายซาฮ่าร่า
และมีเนินทรายสูงที่มีชื่อเสียงอย่าง เอร์ก เชบบี้ (Erg Chebbi Dunes)
“ถึงเขตทะเลทรายซาฮาร่าแล้วครับ…”ฟาเดลหันมาบอกคนนั่งข้างๆ
ที่นั่งไม่บ่นเลยสักนิดมาตลอดทางด้วยน้ำเสียงสดใส…
“ว่าไงครับคนเก่ง…”
ดารัลไม่ทันได้ฟังที่เขาพูดเพราะมัวแต่มองภาพตรงหน้าอยู่
....โปรดติดตามตอนต่อไป.....
ถึงทะเลทรายซาฮาร่าแว้ววววววววว...คนเขียนเหนื่อยแทนตัวละครจริงๆค่ะ
กว่าจะบรรยายฉากในตอนนี้ได้...ลอบถอนหายใจเลย...
ฉากหน้าก็หนักหนาพอกัน...มารอดูชมกันนะคะ
เรื่องนี้มาถึงช่วงท้ายๆเรื่องแล้วนะคะ...ไม่ยืดยาวเป็นมหากาพย์จ๊ะ
ความยาวก็จะพอๆกับเรื่อง "อะรูซะตี...เจ้าสาวของผม"
เพราะหลังๆมานี้ รู้สึกเพลิดเพลินกับการเขียนเรื่องราวที่ไม่ยาวจนเกินไปนัก
(อาจจะเหนื่อยและเข็ดกับเรื่องคานน้อย คอยรัก มั้งคะ...เฮะๆ)
เรื่องคานน้อย คอยรัก ทำเอาโยเหนื่อยและปวดหัวไปไม่น้อยเลยจริงๆ...ฮ่าๆ
เพียงแต่กว่าจะจบนั้นจะใช้เวลานานหรือเปล่านั้น เต่าก็บอกไม่ได้
เพราะแรงเต่าไม่สม่ำเสมอเลย...
และช่วงท้ายๆนี้ก็จะมีจุดหักมุมเยอะอยู่เหมือนกันจ้า...
ขมบ้างหวานบ้างเศร้าบ้างบู๊ล้างผลาญบ้างสลับกันไป...
อีกอย่าง...หลังจากเรื่องนี้แล้ว...ก็ยังมีเรื่องของ "น้องลูกปาด"
มาจ่อคิวแล้วด้วย...โยเองก็คันไม้คันมือ นึกถึงหน้า พ่ออัศวินขี่ม้าขาว
ของหะบีบี้อยู่จนอยากปั่นเรื่องราวของพวกเขาแล้วเหมือนกัน...อิอิ
...ขอคุยกับนักอ่านค่ะ...
1.คุณแว่นใส...ต้องบอกว่านักล่าเรื่องนี้มีมากกว่าสองฝ่ายค่ะ...
ทั้งอยู่ในเงาและเปิดเผย...ส่วนจะสู้กันลักษณะไหน ต้องมาลุ้นกันค่ะ
2.คุณตุ๊งแช่...นานๆที่มีไม้ยมกนั้นก็น่ากลัวจริงๆค่ะ..อิอิ
เพราะเต่าไม่แน่ใจว่าจะปั่นนิยายเรื่องนี้จบช้าหรือเร็ว...
เวลาไม่ค่อยสม่ำเสมอนัก...งานเข้าประจำค่ะ...
แต่รับประกันได้อย่างว่า...เรื่องนี้ไม่ยาวเหมือนคานน้อยแน่ๆจ้าาาา
ขอแค่กำลังใจไม่ขาดสาย เต่าก็จะพยายามเร่งสปีดมาปั่นให้สุดกำลังเลยค่ะ ^^
3.คุณคิมหันตุ์...ไม่รู้ว่ามาฮันนีมูน หรือมาทำอะไรกัน
ตอนนี้มาดูกันค่ะ...ว่าพระเอกเราจะมีปัญญากินเนื้อปลามันได้สำเร็จรึเปล่า
เพราะไม่งั้น กลับไป เจ้าเสือคงคาบไปกินแทนแน่ๆ...ฮ่าๆ
สุดท้ายไม่ท้ายสุด...ขอบคุณนักอ่านทุกท่านนะคะ ทุกไลค์ ทุุกกำลังใจ
ยังไงว่างๆก็ส่งเสียงมาให้ได้ยินกันบ้างนะคะ จะคำติคำชมโยก็อยากได้ทั้งน้านนน
ขอแค่ส่งเสียงมาเถอะ...เฮะๆ
...รักษาสุขภาพนะคะ...
"เต่าโย"
yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 พ.ย. 2557, 16:26:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 พ.ย. 2557, 16:26:32 น.
จำนวนการเข้าชม : 3966
<< บทที่ 19 นักล่า | บทที่ 21 ทะเลดาวเหนือทะเลทรายซาฮาร่่า >> |
ตุ๊งแช่ 17 พ.ย. 2557, 17:11:22 น.
ง่า จบซะก่อน นึกว่าจะได้อ่านคืนดูดาว แหม ถ้าคนเขียนยังมาเขียนอยู่คนอ่าน ก็ยังมาอยู่ค๊า
ง่า จบซะก่อน นึกว่าจะได้อ่านคืนดูดาว แหม ถ้าคนเขียนยังมาเขียนอยู่คนอ่าน ก็ยังมาอยู่ค๊า
แว่นใส 17 พ.ย. 2557, 17:24:56 น.
เราอยากไปเที่ยวมั่งอะ อิจฉา
เราอยากไปเที่ยวมั่งอะ อิจฉา
napt 17 พ.ย. 2557, 19:17:50 น.
อ่านเพลินจนเหมือนได้ไปเที่ยวด้วยเลยค่ะ ชอบจริงๆ แถมยังได้กลิ่นกุหลาบลอยมาอีก
รอชมทะเลดาวนะคะ
อ่านเพลินจนเหมือนได้ไปเที่ยวด้วยเลยค่ะ ชอบจริงๆ แถมยังได้กลิ่นกุหลาบลอยมาอีก
รอชมทะเลดาวนะคะ
คิมหันตุ์ 18 พ.ย. 2557, 00:59:22 น.
เที่ยวเยอะหมดแรง. มีเบบี๋แน่ๆ
เที่ยวเยอะหมดแรง. มีเบบี๋แน่ๆ
RightHand 21 พ.ย. 2557, 19:39:26 น.
พี่แต่งเก่งง่าา อ่านจนฟินเบยยย 5555555
พี่แต่งเก่งง่าา อ่านจนฟินเบยยย 5555555