...คาสบลังก้า...ดารัลฟาเดล...(จบแล้วค่ะ)
สืบเนื่องมาจากเรื่อง "อะรูซะตี...เจ้าสาวของผม"
เรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวของลูกสาวสุดหวงของหมอดานีส
กับนาดา โดยเรื่องราวของคุณพ่อเมื่ิอครั้งก่อนนั้น
จะเป็นแนา "แต่งก่อนจีบ"
แต่สำหรับรุ่นลูกแล้ว จะเป็นแนว "จีบก่อนแต่ง"

ต้องมาคอยดูกันค่ะว่า จะจีบกันอย่างไร แล้วคุณหมอดานีส
ที่ต้องมารับบทบาทเป็นพ่อของลูกทั้งเจ็ดจะตกอยู่ในสภาพเช่นไร..
แล้วนาดาจะเป็นแม่แบบไหน...



เรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศของเมือง
"คาสบลังก้า" หรือ "อัดดารัลบัยฎออ์"
ซึ่งแปลว่า..."บ้านสีขาว"
ดินแดนในฝันดั่งต้องมนต์เสน่หาแห่งโมร็อกโก...
กับดินแดนอันแสนอบอุ่นด้วยไอรักแห่งแดนอาทิตย์อุทัย...

พบกับเขาและเธอ...

...ดารัล...ฟาเดล...

หญิงสาวที่หัวใจเปี่ยมล้นไปด้วยความรักความอบอุ่น
จากครอบครัวอันแสนสุขและน่ารัก...
ชีวิตที่มีพร้อมทุกอย่าง ไม่เคยต้องการสิ่งใดอีกแล้ว
เพราะเธอพอใจทุกอย่างที่มีมาตลอด

จนเมื่อเจอกับเขา...ที่นั่น "คาสบลังก้า"
เขาทำให้เธอไม่อาจลบลืมมนต์เสน่หาของที่นั่นได้เลย
ไม่ว่าจะยามหลับหรือตื่น...

กับ

ชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยรูปเปลือกที่สวยงามสมบูรณ์
หากภายในใจนั้นยังคงโหยหาไออุ่นแห่งรักจากใครสักคน
มาเติมเต็มหัวใจกำพร้าของเขา...

แล้วเธอคือผู้ที่เขาค้นพบว่ามีทุกอย่างที่เขากำลังต้องการอยู่
ดังนั้น...ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร เขาก็จะปล่อยเธอ
ไปไม่ได้โดยเด็ดขาด!




Tags: หวานซึ้งโรแมนติก ดราม่า โมร็อกโก คาสบลังก้า ทะเลทรายซาฮาร่า ดารัล ฟาเดล โสภณพสุธ

ตอน: บทที่ 21 ทะเลดาวเหนือทะเลทรายซาฮาร่่า



ณ เมืองหลวงของประเทศไทย…

หญิงสาวร่างบางระหงยืนทอดอาลัยมองภาพถ่ายบนฝาผนัง…
ซึ่งเป็นภาพที่เธอมีโอกาสได้ถ่ายคู่กับหุ้นส่วนคนสำคัญในวันที่ร่วมลงเซ็นสัญญา…

ตอนที่เขายังโสดเธอเห็นว่าเขามีเสน่ห์มากแล้ว
หากยามที่เขาแต่งงานไปแล้ว หนุ่มที่เคยโสดกลับมีเสน่ห์เพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะท่าทางภูมิฐานดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเก่าก่อน

นั่นกลับเสริมให้เขาน่ามองน่าใคร่ยิ่งขึ้น…

เมื่อก่อนเธอเคยสงสัยพวกผู้หญิงที่ชอบแย่งสามีชาวบ้าน
ว่ารักคนมีเจ้าของเข้าไปได้อย่างไร พลางค่อนขอดไปด้วยความรู้สึกเดียจฉันท์

หากบัดนี้หัวใจที่รุ่มร้อนของเธอกลับได้รับคำตอบเหล่านั้นแล้ว…

“คิดถึงคนในภาพหรือนาย…”

ชายสูงวัยเอ่ยถามหลานสาวด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทร
ผู้เป็นหลานจึงหันมาย้ิมให้ผู้ที่ตนเคารพบูชายิ่งพลางแสร้ง
พูดถึงบุคคลในภาพถ่ายอีกภาพที่อยู่ใกล้ๆกันแก้ขัดเขินแทนไปว่า

“ค่ะคุณปู่…พ่อกับแม่ไม่น่าอายุสั้นเลย…”สั้นมาก หญิงสาวนึกต่อในใจ
เพราะท่านทั้งสองจากเธอไปตั้งแต่เธอยังแบเบาะ…

สำหรับเธอแล้ว ภาพเหล่านี้เป็นตัวแทนเกี่ยวกับความทรงจำ
ที่เธอไม่มีเลยเกี่ยวกับท่านทั้งสอง

และไม่ว่าคุณปู่ของเธอจะพยายามมอบความรัก
เพื่อทดแทนพื้นที่ว่างเปล่าในจิตใจของเธอสักแค่ไหน
หากก็ไม่มีทางเติมเต็มส่วนที่หลุมกว้างและลึกในใจเธอได้…

“อาทิตย์หน้าจะไปคาสบลังก้าใช่มั้ย…”ผู้สูงวัยเปลี่ยนเรื่อง
เมื่อเห็นสีหน้าหลานสาวที่เขาประคบประหงมมาแต่เล็กแต่น้อย

“ค่ะ…”

“แล้วเรื่องนั้น…”

“ปลาไม่่ยอมกินเหยื่อค่ะคุณปู่…”

นายิกาพลันนึกไปถึงวันที่ฟาเดลโทรมาแคนเซิลคำเชิญของเธออย่างไม่ใยดี…
แม้ทุกถ้อยคำจะแสนสุภาพ หากมันกลับบาดลึกจิตใจคนถูกปฏิเสธยิ่งนัก…

เขาไม่แยแสเลย ไม่ให้ความสำคัญกับเธอเลย…

แววตาเจ็บแค้นนั้นจึงสะท้อนออกมาจนผู้เป็นปู่สามารถรัับรู้ได้

“งั้นก็เลิกใช้วิธีตกปลาซะ…อยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ…”

ชายชราเอ่ยด้วยแววตาเรียบสนิท ทำเอาผู้เป็นหลานหันมามอง
ก่อนจะกระตุกคิ้วแล้วย่นหน้าผาก

“เท่าที่นายรู้…ถ้ำเสือไม่ได้เข้าง่ายๆ…พวกเขาระวังตัวแจ…
ขนาดนายเชิญให้ออกมาจากถ้ำเพื่อมาเยือนถิ่นเรา
เขายังปฏิเสธแบบไร้เยื่อใยได้เลย…”

ยิ่งพูดมาถึงตรงนี้นายิกาก็ยิ่งให้แค้นเคือง เจ็บจนจุก

…นั่นเพราะคาดหวังเอาไว้เยอะ จนไม่คิดว่าจะได้รับการปฏิเสธ
ทั้งๆที่เธออุตส่่าห์คิดแผนการต่างๆเอาไว้แล้ว
หากเพียงแค่คำปฏิเสธคำเดียว แผนทุกอย่างที่เฝ้าคิดเฝ้าเตรียมการไว้
ก็ล้มพังลงอย่างไม่เหลือชิ้นดี…

“เราก็เดินไปหาเขาที่ปากถ้ำ ล่อให้นางเสือออกมาสินาย…
เมื่อได้นางเสือมา คราวนี้ก็ถึงคิวเจ้าป่า…”
นายิกาสบตาคมกล้าของผู้เป็นปู่ด้วยแววตาเหนือคาด

“ปู่เป็นพรานล่าสัตว์น้อยใหญ่ในป่าปูนมาทั้งชีวิต เรื่องแค่นี้
ไม่เกินความสามารถของพรานป่าปูนอย่างปู่หรอกนาย…
แล้วหลานจะรู้ว่าปู่สามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อหลานของปู่…”

ชายสูงวัยมองหน้าหลานสาวด้วยแววตาคาดหวัง…
เนื่องจากนายิกาคือตัวแทนความสำเร็จของเขา…ตัวแทนที่จะไม่มีวันล้มเหลว
หรือพบกับความผิดหวังหรือผิดพลาดใดๆอย่างที่เขาเคยประสบพบเจอมา…
ตัวแทนของความสมบูรณ์แบบที่ใครๆจะต้องชื่นชม…

นายิกาจึงมิใช่แค่เพียงหลานสาว แต่หญิงสาวตรงหน้า
คือ ประติมากรรมชั้นเยี่ยมที่เขาปั้นมาเองกับมือ…

“ปู่มีแผน…และแผนนี้จะไม่มีใครสามารถทำให้พังได้…แม้แต่อะมานีที่ว่าเก่งก็เถอะ…”

ผู้เฒ่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหยียดหยันถึงใครอีกคนที่อยู่ห่างไกลออกไปอีกดินแดนนึง…
ก่อนจะยิ้มหยันเมื่อเอ่ยสืบต่อไปว่า

“ความรักน่ะ…มันมีสองคม…และถ้าเรารู้จักเลือกใช้เป็นทั้งสองคม…
แน่นอน…เราจะได้เห็นถึงอานุภาพแห่งการสร้างสรรค์
พอๆกับการทำลายล้างของมัน…”

คนฟังรู้สึกถึงความเยือกเย็นในน้ำเสียงนั้นจนหนาวไปถึงไขสันหลัง

…เธอรู้ รู้ว่าคุณปู่ของเธอนั้นคือน้ำแข็งบนยอดเขาสูงที่ขั้วโลกเหนือ
ซึ่งไม่เคยมีวันละลายหรือระเหิดระเหยไปจนหมดสิ้นไร้ตัวตนเลย…

เพราะความร้อนของแดดที่แผดเผานั้นมีระดับต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับระดับความเย็นที่คงที่…
คุณปู่ของเธอสามารถรักษาความเย็นได้อย่่างสม่ำเสมอ…จนยากจะทำลาย…

เพราะความเยือกเย็นคือส่วนกลืนกินของความร้อนแรง…

อานุภาพการทำลายล้างของมันทั้งสอง จึงไม่แตกต่างกันเลยเมื่อมองดูที่ผลลัพธ์…

“เราจะหาเหยื่ออะไรล่อให้นางเสือออกจากถ้ำได้ล่ะคะ…
ในเมื่อขนาดนี้แล้ว…ยังไม่เคยมีใครได้ยลโฉมนางเสือของคุณปู่เลย
เจ้าป่าเขาซ่อนเอาไว้อย่างดีขนาดนั้น…คงไม่ง่ายนักหรอกค่ะ

นายได้ข่าวมาว่า หายไปพร้อมกันทั้งสองคน…ไม่มีใครรู้ว่าหายไปไหน
รู้แค่ว่านั่งเครื่องไปลงที่มาราเกซ…แล้วก็หายเข้ากลีบเมฆไปเลย…”

นายิกาที่หงุดหงิดเป็นทุนอยู่แล้วก็ยิ่งหงุดหงิด

ยอมรับเลยว่าเธอนั้นอยากเห็นหน้านางเสือของคุณปู่ของเธอนักว่าหน้าตาจะสักแค่ไหนกัน…
แม้จะพยายามให้นักสืบหาภาพของภรรยาฟาเดลมาก็หาไม่ได้

ภาพงานวันแต่งหรือก็ไม่มีใครได้ถ่ายเพราะคนที่ถูกเชิญไปงานนั้น
มีแต่พวกญาติที่สนิทกันจริงๆและรู้จักมักคุ้นกันดีเท่านั้น…

ที่สำคัญ เจ้าสาวเองก็ปิดผ้าคลุมหน้าในงานวันแต่งด้วย
มีแค่บางช่วงบางตอนเท่านั้นเองที่ยอมเปิดหน้า
แต่ก็ไม่่มีใครได้รูปถ่ายใบหน้าของเธอติดมือมาสักคน…

จนคนที่อยากเห็นหน้าค่าตาภรรยาสาวของฟาเดลอย่างเธอถึงกับอารมณ์ขุ่นมัว…

“แค่ภาพถ่ายภาพเดียวนักสืบของนายยังหาให้ไม่ได้เลยค่ะคุณปู่
อย่างนี้เราจะรู้ได้ยังไงว่าเป้าหมายเราหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่…”

“ปู่ถึงบอกไงว่า หลานสาวของอะมานีคนนี้มีนิสัยของนักล่า…
ซ่อนตัวจริงเอาไว้อย่างดี…แต่น่าจะร้ายพอตัวอยู่หรอก
ไม่อย่างนั้นคงเป็นหลานอะมานีไม่ได้…”นายิกาได้ฟังเช่นนั้นก็ถึงกับแบะปาก

“จากประวัติที่ให้คนไปสืบมาก็ดูเป็นแค่คนธรรมดาๆ
ผลการเรียนก็แค่ระดับปานกลางไม่ได้โดดเด่นอะไร…

กิจกรรมระหว่างเรียนไม่ว่าจะด้านไหนๆหรือการเข้าร่วมสังคมก็แทบไม่มี…
ไม่มีใครที่ญี่ปุ่นกล่าวขวัญถึงเสียด้วยซ้ำ…ต่างกับพี่ชายที่ทั้งโดดเด่นเสียแทบทุกด้าน…
แถมความสามารถพิเศษอะไรก็ไม่มีปรากฏ

ถ้านางเสือของคุณปู่ไม่ธรรมดาจริงๆ…ก็น่าจะมีอะไรให้คนอื่นๆ
ได้ยกย่องหรือเห็นเป็นขวัญตาบ้าง…

เพราะนอกจากชาติตระกูลและทรัพย์สมบัติแล้ว ไม่เห็นจะมีอะไรที่น่าสนใจเลยนะคะ…
เรียนมาสูงก็จริง แต่ก็จบด้านเภสัชฯด้วยคะแนนธรรมดาๆ
ไม่ใช่เกียรตินิยมอย่างพี่ชายหรือน้องชาย…

เหมือนลูกสาวบ้านนั้นเขาจะไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเท่าลูกชายเลย…
ต่างกันราวหน้ามือกับหลังมือ…”

นายิกาเอ่ยถึงข้อมูลที่เธอได้รับมาจากนักสืบด้วยสีหน้าเหยียดหยัน…
เพราะเท่าที่ดูจากประวัติแล้ว ดารัลแทบไม่มีอะไรเทียบเทียมเธอได้เลย

นั่นเพราะเธอเกิดในตระกูลที่มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับในสังคม
เกิดมาบนกองเงินกองทอง ด้วยรูปร่างหน้าตาที่ไม่เคยเป็นรองใคร…
ไม่ว่าจะย่างกรายไปที่ใด ทุกสายตาจะต้องจับจ้องมาที่เธอ…

ผลการเรียนของเธอยอดเยี่ยมมาตลอด ไม่เคยตกเป็นรองใคร
กิจกรรมเด่นในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะกีฬา ดนตรีหรืองานสังคม

ผลงานด้านการทำงานที่ผ่านมาก็ไร้ที่ติ…
ความสามารถของเธอได้รับการชื่นชมจากผู้คนรอบข้างเสมอมา
ไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียง ประวัติของเธอสวยงามเยี่ยมยอด…

“อย่าเพิ่งชะล่าใจไป…อย่าลืมว่าพวกสัตว์นักล่านั้นมันจะซ่อนเขี้ยว
ซ่อนกรงเล็บเอาไว้เป็นอย่างดี ไม่เอาออกมาโชว์ให้ใครๆเขาเห็นกันบ่อยๆหรอก
ยกเว้นในยามที่ต้องการตะปบเหยื่อเท่านั้น…

อย่างเหยี่ยว เจ้าแห่งเวหา หรือพวกเสือ พวกราชสีห์เจ้าป่า…
แม้แต่ฉลามหรือพวกไอ้เข้ ก็ไม่กระโตกกระตาก…
ดังนั้น…นายจะต้องไม่ประมาทศัตรู…”ผู้เฒ่าเตือนหลานสาว

“ถ้านายรู้จักอะมานีอย่างที่ปู่รู้จัก นายจะไม่มีทางประมาทลูกหลานของอะมานี…
และที่ปู่ได้ยินแว่วๆมานั้น ลูกสะใภ้ของอะมานีนั้นก็ไม่ธรรมดานักหรอก…
ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางที่คนอย่างอะมานีจะยอมรับได้ง่ายๆ
แถมทั้งรักทั้งหวงแหนเหมือนลูกในไส้ได้ขนาดนั้นหรอก…”

ต่อจากนั้นผู้เฒ่่าก็เริ่มเล่าเท้าความเกี่ยวกับวีรกรรมของอะมานีในอดีต
ให้หลานสาวคนเดียวฟังด้วยน้ำเสียงที่ทั้งชื่นชมทั้งแฝงไปด้วยความเคียดแค้นขมขื่น
พร้อมกับสรุปว่า

“อะมานีน่ะอีคิวสูงพอๆกับไอคิว…เลยไม่มีใครหยั่งถึงสมอง
และความรู้สึกนึกคิดของเขาได้หรอก…บางครั้งมันซับซ้อน บางครั้งก็เรียบง่าย…
และนิสัยจริงๆหรือตัวตนจริงๆเป็นคนยังไงกันแน่นั้น บัดนี้ปู่เองก็ยังไม่รู้เลย…

เพราะเขาสามารถควบคุมอารมณ์
และบริหารมันได้ดีจนคนที่อยู่ด้วยแทบหาตัวเขาจริงๆไม่เจอ…
เรียกว่าใช้อารมณ์เป็น และเลือกเวลาเลือกคนเลือกสถานการณ์ได้ดีเสียด้วย…
จับไม่ได้ไล่ไม่ทันความรู้สึกนึกคิดของเขาหรอก

นับว่าเป็นนักล่าที่กวนใจคนได้พอๆกับกวนประสาทคนได้เยี่ยมยอดคนนึง…

จนบางทีถ้าใครไม่เคยพบเคยเจอเคยอยู่ใกล้ชิดเขามาก่อน
หรือไม่รู้จักอาจนึกว่าเขาบ้า ปัญญาอ่อน…ไร้สติปัญญา…พูดไม่คิด…
ปู่ก็เคยคิดแบบนั้นมาแล้ว…

แต่เชื่อได้อย่างว่า เขาสามารถทำทุกอย่างให้บรรลุงเป้าหมายได้เสมอ…
โดยที่ใครก็ไม่รู้ตัวจนกว่าจะถูกเขาตะปบเอาแล้วเท่านั้นแหล่ะ
ถึงจะรู้สึกตัวว่าเสียเชิงให้คนปัญญาอ่อนเข้าแล้ว…”

ผู้เฒ่ายอมรับโดยดุษฎีหลังจากเล่าวีรกรรมของอะมานี
ให้หลานสาวฟังจบไปแล้วด้วยสีหน้าเรียบสนิท

“และนั่นคือเสน่ห์ของเขา…และปู่คิดว่า ดารัลหลานสาวของอะมานี
ก็น่าจะได้รับสืบทอดอะไรแบบนี้มาบ้างล่ะ…

เพราะถ้าฟาเดลเป็นเจ้าป่า ปู่ว่าดารัลก็น่าจะเป็นนางพญาไพรล่ะ
เพราะได้ข่าวว่าสองคนนี้ อะมานีเป็นคนวางแผนจับคลุมถุงเองกับมือ
และสำเร็จลุล่วงตามเคย…”นายิกาฟังไปก็คิดตามไป…

และนั่นทำให้ผู้ที่เลี้ยงดูมาถึงกับยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ
เพราะหลานสาวของเขาเป็นหญิงสาวที่แสนสุขุม รอบคอบ ไม่วู่วาม
กระตู้ฮู้เหมือนหญิงสาวทั่วไป

“แต่เราคือ…พรานป่า…”ผู้เฒ่าสรุปทิ้งท้าย





‘ดารัล’ หรือ ‘นางพญาไพร’ที่ถูกกล่าวถึงในยามนี้…
ดูจะมีความสุขสงบท่ามกลางทะเลทราย ไร้ป่าไพรสีเขียวใดๆ
เพราะทะเลทรายซาฮาร่านั้นไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นแต่ทราย
และเนินทรายสลับสูงต่ำ

ดังนั้น จึงไม่มีอะไรจะทำให้เธอประทับใจได้เท่ากับการนั่งขี่อูฐ
ท่องไปในทะเลทรายในยามนี้อีกแล้ว…ยิ่งได้ขี่อูฐชมพระอาทิตย์ตกดิน
ได้เห็นเงาของเธอและเขาที่นั่งบนอูฐทอดตัวสะท้อนอยู่บนเนินทรายสูง
ยิ่งทำให้ดารัลถึงกับมองด้วยแววตาตราตรึงราวกับจะประทับ
ภาพความงามนั้นเอาไว้ในความทรงจำไปด้วย…

โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ตกลับเหลี่ยมสันเนินทรายสูงที่มีชื่อเสียงอย่าง
เนินทรายเอร์ก เชบบี้แล้วล่ะก็สุดแสนจะบรรยาย

เพราะถึงจะเป็นดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันกับที่คาสบลังก้าก็ตาม
ทว่า ดวงอาทิตย์ ณ ห้วงเวลานี้ ดวงอาทิตย์ที่ได้มอง
ในทะเลทรายซาฮาร่ายามนี้นั้นช่างแตกต่างจากดวงอาทิตย์ที่อื่นๆ
สวยงามหมดจดจนเธอตกหลุมรักเข้าอย่างจัง…

โดยแทบทำให้ลืมไปว่าเธอนั้นกำลังนั่งอยู่บนหลังอูฐ
ซึ่งเธอและเขานั่งอูฐกันคนละตัว อูฐของโมร็อกโกเป็นอูฐพันธุ์อาหรับนั้น
จะมีโหนกแค่โหนกเดียว ต่างจากอูฐของจีนและมองโกเลียที่จะมี 2 โหนก
สามารถนั่งตรงกลางระหว่างโหนกทั้งสองได้…

เธอจึงนั่งบนผ้าพาดหลังอูฐอยู่ด้านหลังของโหนกซึ่งต้องยึดเชือกเอาไว้ให้ดีๆ
มิเช่นนั้นอาจจะต้องร่วงลงไปนอนนับเม็ดทราย
ได้ดังคำของผู้นำทางที่ช่างขยันยิ้มขยันแหย่ก่อนหน้านี้

‘ตอนนี้มีอูฐให้ขี่แล้ว น้องรัลต้องหันไปพึ่งเชือกแทนพี่แล้วนะครับ
ยึดเชือกให้แน่นๆนะน้องนะ…ไม่งั้นลงไปนอนนับเม็ดทราย
แทนนอนนับดาวกับพี่คืนนี้ พี่ไม่รู้ด้วย…’

แล้วเขาก็กระเซ้าเย้าแหย่เธอด้วยน้ำเสียงสดใส
ใบหน้าเบิกบานต่อจากประโยคนั้นอีกว่า

‘แต่ถ้ามันจะทำให้น้องรัลรู้ว่าพ่ีรักน้องรัลแค่ไหน
ก็ลองนั่งนับนอนนับเม็ดทรายทั้งทะเลทรายซาฮาร่่าดูก็ได้นะ…
พี่ยินดีอยู่เป็นเพื่อนรอจนกว่าน้องรัลจะนับเสร็จเลยเอ้า…’

แล้วเขาก็ได้ค้อนงามกับหน้าบู้บี้ของเธอไปเป็นการตอบแทน…

ก็ใครหน้าไหนมันจะนับเม็ดทรายที่นี่ได้หมดกันเล่า กว่าจะนับหมด
หมดลมหายใจไปแล้วฟื้นขึ้นมาหายใจอีกกี่รอบล่ะถึงจะรู้ว่ามันมีกี่เม็ด…

ก็ทะเลทรายแห่งนี้แสนจะกว้างใหญ่ไพศาลและยิ่งใหญ่สมชื่อ
โดยกินพื้นที่ร้อยละ 8 ของโลก หรือใหญ่เท่าประเทศจีนทั้งประเทศเลยก็ว่าได้…
แถมยังมีแต่เม็ดทรายและเม็ดทราย…

ดังนั้นการขี่อูฐบนทะเลทรายจึงกลายเป็นความประทับใจและแสนสนุก
ยากจะบรรยายได้หมด…และเมื่อไม่สามารถบรรยายได้หมด
ดารัลจึงเก็บภาพเหล่านั้นเอาไว้ให้มากที่สุดก่อนจะถึงโรงแรมที่พัก
ที่อยู่ติดกับขอบเนินทรายของซาฮาร่า…เป็นโรงแรมเล็กๆธรรมดาๆ
ทำให้ไม่ต้องทำอาหารกินเอง เพราะที่โรงแรมมีอาหารง่ายๆ
แต่รสชาติแสนจะอร่อยไว้พร้อมบริการ แม้มีห้องพักไม่มาก
หากก็สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย ตกแต่งด้วยสีสันสดใส
สไตล์โมร็อกโกทางตอนใต้…มีที่ให้อาบน้ำ ให้ละหมาด

ส่วนที่นอนนั้นมี ทว่า ผู้นำทางวางแผนเอาไว้แล้วว่า
จะไปนอนกางเต้นท์กันข้างนอกเพื่อจะได้นอนนับดาวกันสะดวก
โดยให้เหตุผลว่า

“พี่อุตส่าห์เสียตังค์ซื้อพรมมาแล้ว…สงสารมันนะถ้าไม่เอามาใช้งาน
ในโอกาสพิเศษเช่นนี้…”

‘โอกาสพิเศษ’ ที่เจ้าตัวพูดออกมานั้นทำเอาคนฟังถึงกับหน้าแดงก่ำเลยทีเดียว…

“กลีบกุหลาบหนึ่งกระจาดนั่นก็อีก…มันจะช้ำและแห้งเหี่ยวไป
โดยไม่ได้สร้างคุณงามความดีอะไรให้เราเสียเปล่าๆ…
พี่ว่าเราไปทำตามความตั้งใจเดิมกันเถอะ…”เขาชี้ชวนด้วยแววตากรุ้มกริ่ม
โดยเอากลีบกุหลาบมาขู่สำทับเธอ

เขารู้ รู้ว่าเธอขี้สงสารและใจอ่อนเป็นที่สุด
โดยเฉพาะกับกุหลาบหอมๆนั่น ทว่า ดารัลกลับรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา

“ข้างนอกหนาวออกค่ะ…”ยิ่งเห็นประกายจากดวงตาของเขา
เธอก็ยิ่งหนาวเข้าไปอีก…

“หนาวเนื้อห่มเนื้อ จึงหายหนาว…หนาวราวอกร้าว ห่มอกหาย
หนาวรักห่มรัก อุ่นรักสบาย หนาวคลายเพราะห่มที่สมกัน…”

ยังไม่จบ เขายังพร่ำไม่จบแค่นั้น เพราะเสียงทุ้มหวานยังกังวานขับขานบทเพลง
ที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนให้ฟังอีกว่า

“โอ้ตัวเราหนาวเนื้อ ไร้เนื้อห่ม หนาวลมห่มลม ยิ่งหนาวสั่น…
หนาวรักห่มร้าง อ้างว้างครัน หนาวสวรรค์ห่มนรก อกช้ำเอย…”

จบ...เขาพร่ำจบลงไปแล้วพร้อมรอยยิ้มที่ยังคงขยันทำหน้าที่อย่างสม่ำเสมอ
ส่งมาให้เธอไม่เคยขาดสาย…

“ไปเอามาจากไหนคะ…เพลงนี้น่ะ หรือว่าแต่งขึ้น…”

“โอ้…พี่ไม่เก่งขนาดนั้น…”ฟาเดลห่อปาก ทำตาหวานเยิ้มไปด้วย

“จำมาจากคุณปู่น่ะ เมื่อก่อนตอนเด็กๆคุณปู่ชอบร้องเวลาอารมณ์ดีๆ
ตอนปลูกต้นไม้แล้วมีคุณย่าช่วยรดน้ำต้นไม้ให้…
ฟังบ่อยๆเข้าก็จำได้เอง…ตอนนั้นฟังยังว่ามันเลี่ยนๆ…
แต่แปลกแฮะ ตอนนี้ไม่ยักกะเลี่ยนเลย…แถมไม่รู้นึกยังไง
ถึงไปขุดเพลงนี้มาจากก้นบึ้งของก้านสมองขึ้นมาตอนนี้น่ะสิ”ว่าแล้ว
เจ้าของน้ำคำพร่ำรำพันก็ยึดข้อมือเธอเอาไว้แน่นหนา

“ไหนๆเราก็หนาวเหมือนกัน…ดังนั้นมาห่มให้กันและกันเถอะ…
ไม่อยากให้เหมือนท่อนจบของเพลงเมื่อกี้เลย…”

ว่าแล้วเขาก็จัดการพาเธอไปนอนนับดาวบนพรมแดง
โดยมีกลีบกุหลาบโปรยทับเอาไว้รอได้สำเร็จ

แม้จะหนาวแค่ไหน แต่ก็อุ่นขึ้นมาได้

สงสัยเพลงที่เขาร้องให้ฟังท่าจะจริง…

ความเงียบสงบที่ได้ยินเพียงเสียงลมที่พัดอื้ออึงที่ทำให้สันทราย
เปลี่ยนรูปร่างไปต่างๆนาๆนั้นทำให้อากาศหนาวและดาวเดือนในคืนนี้
ดูจะเข้ากันอย่างเหมาะเจาะลงตัว

ดวงดาวดาษดื่นเต็มท้องฟ้า เคียงคู่จันทร์เสี้ยวอันน้อย
ท้องฟ้าที่โปร่งปราศจากก้อนเมฆบดบังทำให้ดาวที่เคยเห็นว่าอยู่ไกล
ดูจะใกล้เข้ามาอยู่เบื้องหน้าราวกับจะเอื้อมมือคว้าได้…

ดารัลที่นอนหนุนแขนของฟาเดลยกมือทั้งสองขึ้นทำท่าราวกับจะเก็บดาว

“ถ้าเก็บได้นะ จะเก็บดาวทั้งฟ้ามาให้พี่นับ…จะได้รู้ว่าน้องรัลรักพี่มากแค่ไหน…”

ฟาเดลหัวเราะออกมากับท่าทางที่กำลังสาวดาวมาให้เขานอนนับนั่น…
และเหมือนจะรู้ว่าตัวเองโดนย้อนเข้าให้แล้ว

“ถ้าเธอนับเม็ดทรายได้หมดทะเลทรายซาฮาร่าได้
จะยากอะไร้ถ้าพี่จะลองนับดาวที่เธอสาวมาใส่ชะลอมกุหลาบ
ให้พี่เอากลับไปนอนนับต่อที่คาสบลังก้า…

เพราะคืนนี้มีอย่างอื่นที่น่าทำกว่ามานอนนับดาวทั้งฟ้ากับเธอซะอีก…
และเธอต้องช่วยพ่ีนับให้ดีด้วยนะ…ว่าพี่ทำได้กี่แต้ม…”

ดารัลอยากจะกัดลิ้นคนช่างหาเรื่องยิ่งนัก
แม้แสงจากตะเกียงจะไม่ช่วยให้มองเห็นใบหน้าขี้เล่นขี้กวนนั้นชัดเจนนัก
หากแววตาท่ีราวกับมีดวงดาวนับแสนระยิบระยับอยู่นั้น
ทำให้ดารัลถึงกับหน้าร้อนผ่าว รีบหันมาจับตาดูดาวบนฟ้า
ทำเสียงสดใสข่มความอายไปว่า

“นั่นทางช้างเผือกใช่มั้ยคะ…”นิ้วเรียวชี้ไปยังท้องฟ้าเบื้องบน
ที่มีทางช้างเผือกกว้างใหญ่เป็นลานดวงดาวพาดผ่านอย่างเห็นได้ชัดเจน

…ฟาเดลอยากบอกเหลือเกินว่าเขาไม่ได้สนใจทางช้างเผือกนั่นเลย…
ตอนนี้เห็นจะเป็นช้างตกมัน…

“ที่ที่โกโบริกับอังศุมาลินเขาตั้งใจจะไปพบกัน…”
ดารัลพร่ำบ่นอะไรสักอย่างที่ฟาเดลไม่เคยรู้เรื่องหรือได้ยินมาก่อน…

“ใครกันโกโบริ…อังศุมาลินล่ะ…”น้ำเสียงใคร่รู้นั้นทำให้ดารัลถึงกับอมยิ้ม

คุณย่าอะมานีของเธอชอบและประทับใจเรื่อง ‘คู่กรรม’ เอามากๆ
เลยซื้อทั้งที่เป็นนิยายและที่ทำเป็นหนังเป็นละครมาให้เธออ่านให้เธอดู…

“เป็นหนึ่งในอมตะนิยายรักของไทยเลยล่ะค่ะ…
เป็นเรื่องราวความรักระหว่างทหารหนุ่มญี่ปุ่นชื่อโกโบริกับสาวไทยชื่ออังศุมาลิน
ท่ามกลางสงครามโลกครั้งที่สอง…แต่ตอนจบมันเศร้าไปหน่อยค่ะ…”

“เศร้ายังไง…”ฟาเดลชวนให้อีกฝ่ายเล่าต่ออย่างสนใจ

“ก็โกโบริตายในสงคราม ส่วนอังศุลินก็ตั้งท้องลูกของโกโบริ…
เธอแบกลูกในท้องวิ่งตามหาพ่อของลูกท่ามกลางดงระเบิด
และก็จบลงที่เธอได้เจอโกโบริตอนที่เขาใกล้สิ้นลม…”

แล้วฟาเดลก็ได้ยินเสียงเครือปนสะอื้นจากคนเล่า

“โกโบริบอกจะไปรอเธอที่ทางช้างเผือก…”
ฟาเดลเริ่มสนใจเรื่องราวของพ่อหนุ่มโกโบริมากขึ้น จึงถามต่อด้วยความใคร่รู้

“แล้วอยู่ๆเขาสองคนมารักกันได้ยังไง…”

“ตอนแรกน่ะโกโบริตามจีบอังศุลินค่ะ แต่อังศุมาลินเกลียดเขา เกลียดทหารญี่ปุ่น…
แต่ให้เกลียดอย่างไร สุดท้ายก็ได้แต่งงานกัน

ซึ่งอังศุมาลินก็ยังปั้นปึ่งใส่โกโบริตลอดเพราะไม่ได้เต็มใจแต่งงานด้วย
ต่างจากโกโบริ เขายินดีและเต็มใจที่จะแต่งงานกับเธอมาก
แม้จะรู้ว่าเธอไม่ได้เต็มใจแต่งงานด้วยแต่เขาก็ยังแสดงออกถึงความรัก
และเอาใจเธอทุกอย่าง…ดูแลปกป้องเธอ…

แต่อังศุมาลินกลับไม่ยอมให้เขาได้แตะต้องราวกับรังเกียจ…

ชีวิตรักของทั้งสองก็เลยลุ่มๆดอนๆ…
กว่าอังศุมาลินจะรู้ว่ารักโกโบริมากแค่ไหนก็ตอนที่ใกล้จะสูญเสียเขาไปแล้ว…

จริงๆแล้วอังศุมาลินเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารมากๆเลยนะคะ
รักเขาแต่ก็ต้องพยายามสร้างกำแพงปิดกั้นเขาทุกทาง…

เพราะถึงจะเกลียดชิงชังแค่ไหนแต่สุดท้ายก็รักเขาโดยไม่รู้ตัว…
ซ้ำยังต้องมาตกพุ่มม่ายตั้งแต่ยังสาวอีก…

น้องรัลอ่านนิยายไปร้องไห้ไป ตอนดูละครเรื่องนี้ก็อินจัด
จนต้องหาผ้าเช็ดหน้ามารอซับน้ำตาไว้แต่เนิ่นๆ…”

เล่าแค่นั้นดารัลก็นิ่งเงียบไป ดวงตามทอดมองทางช้างเผือกนิ่ง…

“ดูๆไปแล้วพ่อโกโบริของอังศุมาลินมีนิสัยคล้ายๆพี่ฟาเดลของน้องรัลเนอะว่ามั้ย…”

ฟาเดลสรุปเรื่องราวเข้าข้างตัวเองโดยไม่สนใจเสียงฮึดฮัดในลำคอจากคนข้างๆ
แถมเขายังพูดต่อหน้าตาเฉยอีกว่า

“แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าโกโบริทำยังไง อังศุมาลินถึงมีลูกให้เขาได้น่ะสิ
น้องรัลไม่น่าเล่าข้ามตอนสำคัญไปเลย พี่นอนรอฟังอยู่ตั้งนาน
ว่าเมื่อไหร่จะถึงฉากนั้น…แต่แล้ว...ก็ต้องรอเก้อ…”

เสียงคนรอเก้อนั้นกวนสุดๆจนดารัลอดไม่ไหว
ถึงกับบิดตรงสีข้างเขาให้หายมันเขี้ยว…

“โอ้ย…อ้าว…ก็พี่อยากรู้นี่…รู้สึกเหมือนคนเล่าจงใจปกปิด...
เอ๊ะ...หรือว่าไม่กล้าเล่า...”
ฟาเดลร้องลั่นพร้อมเสียงหัวเราะชอบใจที่ได้แหย่อีกฝ่าย…

ก่อนจะพลิกกายตะแคงหาร่างบางแล้วกอดเอาไว้แน่น
จุมพิตหน้าผากมนนั่นหนักๆ…

“แต่ตอนนี้พี่ว่าพี่รู้แล้วว่าโกโบริทำยังไง…
เพราะพี่จะบรรยายฉากนั้นให้น้องรัลเอง…น้องรัลจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเล่า…”

แล้วฟาเดลก็เริ่มเปิดฉากบรรยายฉากรักของเขา
ด้วยการปิดปากเต้นท์กั้นสายตาจากหมู่ดาวทุกดวงบนท้องฟ้า
แล้วรุกด้วยการจุมพิตริมฝีปากอวบอิ่มนั่นจากหวานละมุนละไม
ก็เปลี่ยนเป็นรุกเร้าดื่มด่ำ จนหญิงสาวตอบรับอย่างเต็มอกเต็มใจ…

ก่อนจะลูบไล้ไปตามพวงแก้มไล้ลงตามลำแขนจนมาถึงชายเสื้อ
ฟาเดลลากนิ้วสอดเข้าไปแล้วถอดปราการนั้นออก
ทำเอาดารัลถึงกับผวาเพราะความหนาวของอากาศจนเนื้อตัวสั่น
ฟันกระทบกันดังกึกๆ ฟาเดลเห็นแล้วยิ้มรีบก้มลงซุกกอดซอกซอน
ไปตามเนื้อผิวละเอียดนั้นพร้อมกับขยับผ้าห่มผืนหนาคลุมกายเอาไว้…
เมื่อทั้งสองเปลือยเปล่า…ตั้งใจจะพาเธอห่มสวรรค์ไปกับเขา…

ทว่า เมื่อเขาแย้มปากถ้ำเข้าไป เจ้าของถ้ำก็ส่งเสียงร้องห้าม

“อย่า…น้องรัลเจ็บ…”ฟาเดลได้สติทันที
และเพราะรู้ว่านี่คือครั้งแรกของกันและกัน
และเพราะต้องการสร้างความประทับใจให้อีกฝ่าย
หลังจากที่อดทนรอเวลานี้มาเนิ่นนาน
ชายหนุ่มจึงกัดฟันข่มความทรมานของตัวเองอย่างสุดจะกลั้น
เขารั้งรอให้เธอพร้อมกว่านี้ พร้อมกับการรุกคืบของเขามากกว่านี้
รอทั้งๆที่เขาแทบจะทานทนไม่ไหว

“น้องรัลกำลังจะสังหารพี่…”เสียงฟาเดลครางออกมา…

ยิ่งร่างบางเกร็งด้วยความเจ็บและผลักใสเขาโดยอัตโนมัติ
ด้วยความเจ็บปวดที่สุดจะทานทนได้นั้นเขาก็รีบกดไหล่ของเธอไม่ให้หนี
แล้วก้มลงจูบปลอบขวัญ…พร่ำกระซิบริมใบหูว่า

“บอกพี่…พร้อมเมื่อไหร่บอกพี่…พี่จะรอ…รอน้องรัลพร้อม”
ฟาเดลกระซิบแผ่วด้วยเสียงแหบพร่า
โดยดารัลไม่รู้สักนิดว่าพร้อมของเขานั่นหมายถึงอะไร

และเมื่อร่างบางเริ่มผ่อนคลาย
ฟาเดลก็กัดเม้มติ่งหูของเธอแล้วลากลงผ่านลำคอระหง
ก่อนจะประกบริมฝีปากเธอเมื่อเขาเริ่มรุกคืบ

ดารัลเปล่งเสียงออกมาเมื่อถูกจู่โจมเป็นครั้งแรกในชีวิตสาว…
แต่เสียงนั้นกลับซึมซับไปกับริมฝีปากของเขาที่จูบลงมา…

จนเธอเองอดแปลกใจกับปฏิกิริยาที่ร่างกายของเธอมีต่อเขาไม่ได้
ทั้งแปลกใจทั้งขัดเขินไปในตัว เป็นความขัดแย้งที่แปลกเหลือเกิน…

แม้จิตใจจะเขินอาย หากร่างกายกลับตอบรับเขา…
ตอบรับอย่างที่เธอไม่คาดคิดเลย…
ราวกับมีดารัลอีกคนออกมาเสนอหน้าโดยทิ้งดารัลอีกคนเอาไว้ในซอกหลืบ

เมื่อผ่านช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดไปได้
ดารัลจึงได้เรียนรู้ความหฤหรรษ์อย่างที่เธอไม่เคยพาลพบมาก่อน

โดยมีเขาเป็นผู้บุกเบิกถางทางให้เธอก้าวเดินไปสู่ห้วงทะเลรัก…
ท่ามกลางทะเลทรายและทะเลดาวนับล้านๆดวง…

ทางช้างเผือกที่ทอดพาดผ่านเหนือขึ้นไปยังคงกระจ่างใส
ด้วยดวงดาวระยิบระยับราวกับกำลังส่งยิ้มมาให้ทั้งสอง

เดือนเสี้ยวเคียงดาวยังคงส่องแสงสกาวพราวฟ้า
ก่อนจะกะพริบเพื่อบอกลาทั้งสองไปเมื่อยามใกล้รุ่งมาเยือน…


ฟาเดลมองร่างงามที่พยายามซุกกายเข้าหาเขาด้วยเพราะอากาศที่หนาวขึ้น…
ชายหนุ่มยิ้มกว้างพร้อมกับตวัดลำแขนโอบรอบร่างบางเอาไว้แน่น
กดจมูกลงบนหัวทุยๆสูดกลิ่นหอมกรุ่นของเส้นผมนุ่มนิ่มนั้น
ก่อนจะกระซิบเบาๆกับนางเสือที่กลายร่างเป็นลูกแมวข้างกกหูว่า

“ตื่นเถอะครับคนดี…ได้เวลาละหมาดแล้วนะ…
เสร็จแล้วพี่จะพาน้องรัลไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน…”

ดารัลไม่ยอมลุก ซ้ำยังซุกพร้อมกับมุดหัวเข้าไปในช่วงลำแขนของเขา…
ทำเอาฟาเดลถึงกับหัวเราะฮึๆ…

“พระอาทิตย์ขึ้นที่นี่สวยมากนะครับ…”

ไม่มีเสียงตอบรับจากลูกแมวขี้เซา…เขาผิดเองที่เอาแต่ใจทำให้เธอต้องรับบทหนัก

“อยากให้พี่ทำแต้มเพิ่มหรือจะไปละหมาดกับพี่ดีๆฮึ…”

เสียงขู่ฟอดๆนั้นทำเอาลูกแมวขี้เซาถึงกับหู่ผึ่ง
ถ้ากระดิกหูได้ ลูกแมวตัวนี้คงทำไปแล้ว…

ซึ่งฟาเดลนั้นรู้ดีว่าทำไมลูกแมวที่น่าจะตื่นแล้วด้วยซ้ำ
แต่ยังไม่ยอมชะเง้อหน้าออกมาแถมยังมุดเอามุดเอาแบบนี้…

“ไม่เห็นต้องอายพี่เลย…มานี่มา…”

แล้วฟาเดลก็ใช้ลำแขนที่ดารัลหนุนอยู่ยกขึ้นโอบศีรษะของเธอขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง
หันหน้าเข้าหากัน ก่อนจะยกมือขึ้นประคองใบหน้าที่เอาแต่ก้มงุดนั้น
ให้เงยขึ้นเพื่อสบตา…ก่อนจะจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากนั้นหนักๆ
ประทับนิ่งนานแล้วรวบร่างบางมากอดเอาไว้แน่น

“ขอบคุณนะครับสำหรับรางวัลพิเศษ…พี่มีความสุขมาก”


ดารัลซบหน้าลงบนอกแกร่งอย่างไว้วางใจพร้อมรอยยิ้มสุขใจ

“ขอบคุณเช่นกันค่ะสำหรับความรักความอ่อนโยน…”

ดารัลเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาน หวานอย่างที่ไม่เคยเอ่ยได้แบบนี้มาก่อน…

หวานอย่างเท่าเทียมกับความหวานที่อีกฝ่ายส่งมอบมาให้...

“พี่รักน้องรัลนะครับ…น้องรัลคือรักแรกและจะเป็นรักครั้งสุดท้ายของพี่”

ฟาเดลบอกเธอและบอกกับใจตัวเอง เขาพร้อมที่จะวางหัวใจในมือเธอ

ใจที่ไม่เคยรักใครได้ ก็รู้จักที่จะรักเธอ
ร่างกายที่ไม่เคยคิดจะตอบสนองหญิงใด
ก็เรียนรู้ที่จะตอบสนองเธออย่างเป็นธรรมชาติที่สุด…
โดยมีความรักเป็นผู้สอนและนำทางในทุกย่างก้าว…

“น้องรัลก็รักพี่ฟาเดลค่ะ…รักเดียวใจเดียว…”
ดารัลย้ำคำรักที่ครั้งหนึ่งเคยบอกกับเขา…




แล้วฟาเดลก็สามารถนำลูกแมวขี้เซากลับเข้าที่พัก
อาบน้ำด้วยกัน ละหมาดด้วยกัน และเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน…

ระหว่างเดินไปยังเนินทรายสูงด้วยความยากลำบาก
เพราะทั้งอากาศที่หนาวจัดชาหนึบจนแทบจะไม่รู้สึกถึงมือและเท้าเลย

และเพราะต้องเดินขึ้นๆลงๆตามสันทรายที่สูงๆต่ำๆ
ฟาเดลจึงต้องคอยพยุงภรรยาสาวไปตลอดทางเพื่อไม่ให้เท้าจมลงไปในทรายละเอียดยิบ
และเพื่อไม่ให้ตกขอบสันทรายสูง…

จนได้ที่เหมาะๆเมื่อเดินมาถึงจุดสูงสุดของสันทรายที่หมายปอง
ทั้งสองก็นั่งลงบนผืนทรายเคียงกันเพื่อชมดวงอาทิตย์
ที่กำลังโผล่มาทักทายอรุณสวัสดิ์ ค่อยๆขับไล่ความหนาวเย็นยะเยือกออกไป
ทีละนิดละน้อย แทนที่ด้วยความอบอุ่นทั้งจากแสงแรกของอาทิตย์
และไออุ่นที่แผ่ออกมาจากร่างของชายหนุ่มที่กำลังโอบกอดเธอเอาไว้…

ดารัลเอียงซบศีรษะลงบนลำแขนของเขา
สายตาทอดมองดวงอาทิตย์ดวงโตที่กำลังส่องแสงอยู่เบื้องหน้า…

“สวยจังเลยค่ะ…”เสียงพึมพำดังราวกับละเมอ…
ฟาเดลจึงก้มลงจูบตรงขมับของดารัลแล้วเอ่ยขึ้นว่า

“ใครจะคิดว่าชุดกันหนาวที่เราใส่ในเมืองหิมะจะเข้ากับทะเลทรายซาฮาร่าได้…”

ว่าพลางกระชับผ้าพันคอที่หลุดรุ่ยให้ดารัลอย่างใส่ใจ
และเมื่อเห็นหน้าซีดๆของเธอเขาก็ต้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
เขาถอดถุงมือออก ยกมือเย็นๆของเขากุมใบหน้านั้นแล้วถึงกับครางออกมา

“ร้อนขนาดนี้ไข้ขึ้นแน่ๆ…ทำไมไม่บอกพี่ พี่จะได้ไม่เซ้าซี้ให้มา…”

ฟาเดลรู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ เขาละเลยเธอจนลืมใส่ใจสีหน้าท่าทางของเธอ…

“น้องรัลไหวนี่คะ…อยากเห็นดวงอาทิตย์ของพี่ฟาเดลด้วย
และก็ไม่ผิดหวังสักนิด…”

เสียงที่เริ่มแหบแห้งนั้นทำให้ฟาเดลต้องรีบพยุงตัวเองและคนข้างให้ลุกขึ้นยืน
ทว่าร่างบางกลับโอนเอน ฟาเดลจึงเข้าประคองเอาไว้แล้วให้เธอขึ้นขี่หลัง

“กอดคอพี่ไว้แน่นๆนะ…”

เขากำชับพร้อมกับรีบก้าวเดินพาดารัลกลับที่พักอย่างทุลักทุเล…
กว่าจะถึงที่พักอากาศที่หนาวๆก็ทำให้ฟาเดลถึงกับเหงื่อโทรมเต็มหน้าเต็มกาย…

ชายหนุ่มวางร่างบางลงบนเตียงที่พักแล้ววิ่งเข้าไปในห้องน้ำ
ใช้ผ้าขนหนูซับน้ำแล้วรีบเข้ามาเช็ดใบหน้า ลำคอ
ก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเธอออกแล้วรีบเช็ดตัวให้ร่าง
ที่กำลังหนาวสั่นจนฟันกระทบกัน

“หนาว…หนาว…”ดารัลครางอย่างทรมาน พยายามหดเนื้อหดตัว
ยกมือกอดอกแน่น…

“อดทนหน่อยนะครับ…อดทนนะคนเก่ง…”

เขาปลอบพร้อมกับพยายามเช็ดตัวเพื่อให้ความร้อนในกายเธอลดลง…
ก่อนจะห่มผ้าผืนหนาให้เธอ แล้วสำรวจหายาลดไข้ในกระเป๋าขึ้นมา
เดินไปหยิบแก้วแล้วรินน้ำใส่ ประคองศีรษะดารัลเพื่อกรอกยาให้

ดารัลรับยาเข้าปากอย่างว่าง่าย ไม่ดื้อดึงหรือขัดขืน…ฟาเดลจึงส่งตามไป…

“หลับซะนะครับ เดี๋ยวพี่จะเฝ้าน้องรัลเอง…”

“อย่าไปไหนนะคะ…”ดารัลผุดลุกขึ้นคว้าข้อมือเขาเอาไว้
ตอนที่เขาลุกขึ้นเพื่อนำผ้าขนหนูไปผึ่งตาก…

“เดี๋ยวพี่จะกลับมานอนกอดให้น้องรัลหายหนาวหายไข้เลยเป็นไง…”

แล้วคนงอแงก็ยอมปล่อยมือเขา…ฟาเดลจึงก้มลงจูบหน้าผากมนนั่น
ก่อนจะรั้งศีรษะของเธอให้นอนลงตามเดิมแล้วผละออกไปเพื่อผึ่งผ้าขนหนูตาก

หลังจากนั้นเขาก็กลับเข้ามาขึ้นบนเตียง
แล้วนอนกอดเธอเอาไว้แน่นไม่ยอมห่าง…

“พี่ขอโทษ…พี่ขอโทษ…”

ดารัลได้ยินเสียงเขาพร่ำขอโทษเธออยู่ริมกกหู…
หากเธอไร้ซึึ่งเรี่ยวแรงที่จะเอ่ยคำใดออกไปอย่างใจคิด
แม้แต่จะลืมตาที่ดูหนักอึ้งก็แสนจะลำบาก…

ดารัลจึงหันไปหาเขา ซุกอกอุ่นๆของเขา วาดลำแขนรอบเอวสอบ
แล้วหลับตาลงอย่างไว้วางใจ…

หวังเพียงเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาจะได้พบเจอเขา
เจอเขาอยู่ตรงนี้…อยู่ด้วยกันอย่างนี้…และเรื่อยไป…


....โปรดติดตามตอนต่อไป......

กลับมาพร้อมดาวทั้งฟ้ากับเม็ดทรายทั้งทะเลทรายให้นักอ่านนั่งนับกันค่ะ...อิอิ

ส่งเสียงมาทักทายกันบ้างนะคะ...จะเสียงชมเสียงต่อว่า เสียงแหบเสียงแห้งยังไง
โยก็อยากได้ยิน...







...ขอคุยกับนักอ่านจากตอนที่แล้วค่ะ...


1.คุณตุ๊งแช่...อีกหนึ่งกำลังใจที่ทำให้ขาสั้นๆของเต่ามีแรงขยับถี่ขึ้น...อิอิ
ขอบคุณมากๆนะคะ..ตอนนี้โยเอาฉากรักมาให้กันแล้วนะ...
เต่าอาจจะบรรยายไม่ค่อยได้เรื่อง ต้องขออภัยด้วยนะจ๊ะ...
แต่เรื่องดูดงดูดาว เต่าถนัดนักแล...

2.คุณแว่นใส...โยก็อิจฉานางเอกนะคะ...ฮ่าๆๆ
แต่โยไม่ใช่นางร้าย เลยยังเชียร์นางเอกอยู่...

3.คุณnapt...ขอบคุณค่ะสำหรับคำชม...ชื่นใจสุดๆเลย
ตอนนี้เหมือนโยจะลืมกลิ่นกุหลาบไปเลยนะคะ
ฟาเดลก็คงเช่นกัน...ฮ่าๆ เอาทะเลดาวมาฝากกันแล้วนะคะ
หวังว่าจะไม่ทำให้ผิดหวัง...เฮะๆ

4.คุณคิมหันตุ์...หัวใจกระชุ่มกระชวยขนาดนั้น
อะไรก็ฉุดพี่แกไม่อยู่หรอกค่ะ...พระเอกเราเขาแข็งแรง
คนที่หมดแรงจนป่วยเห็นจะเป็นนางเอกเราเสียมากกว่า...ฮ่าๆ

5.คุณRightHand...ขอบคุณค่ะสำหรับคำชมและกำลังใจที่ทำให้เต่า
มีพลังติดเทอร์โบ...รีบขยับแข้งขา ขยับนิ้วเคาะแป้นพิมพ์
นำเรื่องราวมาอัพเดตกันไวๆ(นี่ไวแล้วนะคะ...)อิอิอิ



สุดท้้ายไม่ท้ายสุด...ขอบคุณนักอ่านทุกๆท่านที่เข้ามาอ่าน
หรือแวะเวียนเข้ามาส่อง ขอบคุณทุกๆกำลังใจ ทุกๆไลค์
ขอบคุณหลายๆค่ะ...


...รักษาสุขภาพนะคะ...

"เต่าโย"





yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 พ.ย. 2557, 12:30:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 พ.ย. 2557, 12:30:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 3816





<< บทที่ 20 RAK...เมืองแห่งรัก   บทที่ 22 จดหมายจากดารัลและจันทรา >>
คิมหันตุ์ 25 พ.ย. 2557, 14:00:38 น.
ว้ายได้กินตับใต้แสงดาว. กรี้ดๆ


แว่นใส 25 พ.ย. 2557, 17:29:00 น.
ระวังตัวร้ายหน่อยนะ คนไม่มีจิตสำนึกที่ดีไม่รู้จะทำอะไรอีก


napt 25 พ.ย. 2557, 19:34:15 น.
อร๊ายย โรแมนติกอ่ะ กลีบกุหลาบรึจะสู้ดวงดาวพราวพร่าง ^^ อยากเห็นทางช้างเผือกบ้างจังค่ะ

รอดูความเป็นนักล่าที่จะต่อสู้กับคนที่คิดว่าตัวเองเป็นนายพรานนะคะ ว่าจะชิงไหวชิงพริบขนาดไหน สู้ๆค่า


ตุ๊งแช่ 26 พ.ย. 2557, 08:24:32 น.
นึกว่าต้องฟังพ่อโกจนจบ ดีนะ ฟาเดลตัดบทซะก่อน

ทำเอาทะเลทรายหวานไปซะแล้ว คู่นี้


Pat 26 พ.ย. 2557, 18:59:10 น.
เป็นหนึ่งเดียวกันซะที แต่แหมทำเอาน้องรัลป่วยเลยนะพี่ฟาเดล


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account