คิวปิด...ตัวกวนป่วนรัก
เมื่อเทพคิวปิดถูกลดหน้าที่ให้เป็นแค่ ‘เทพเบ๊’ คิวปิดสาวจึงเร่งปฎิบัติกอบกู้ศักดิ์ศรี แต่ดันแผลงศรพลาด ทำให้ว่าที่เจ้าบ่าวตกหลุมรัก ‘พี่ชาย’ ของสาวคนรัก เรื่องป่วนๆ จึงเริ่มขึ้น !
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 2
เสียงดังจ้อกแจ้กจอแจคล้ายยามเทือกเขาโอลิมปัสจัดงานดังกระทบโสตประสาททำให้เซเลน่าค่อยๆ รู้สึกตัว
“หลบหน่อยค่ะ ! หลบหน่อย !” เสียงหวานทุ้มที่กำลังสั่งนั้น เหมือนตอนที่เทวีผู้ทำหน้าที่ดูแลสถานที่จัดงานจะคอยร้องสั่งทวยเทพที่มายืนออรอชมใบหน้าของคณะเทพที่กำลังเดินไปยังมหาวิหารของท่านซีอุส
‘งานประชุมคณะเทพเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วข้าต้องทำหน้าที่บ้างอะไรล่ะ ไม่เห็นมีใครมาใช้เลย’ จิตใต้สำนึกของ ‘เทพเบ๊’ เป็นกังวลขณะที่เปลือกตาทั้งสองข้างยังปิดสนิท ก่อนนึกได้ ‘เอ๊ะ ! หรือว่าข้าสามารถกอบกู้ศักดิ์ศรีของเทพคิวปิดได้สำเร็จ พวกข้าถึงไม่ต้องทำงานตามคำสั่งของใครอีก ไชโย!’
ขณะที่เซเลน่ากำลังปลาบปลื้มกับความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของตัวเองอยู่นั้น เสียงดังปังคล้ายเสียงปิดประตูก็ดังขึ้นและเสียงจอแจก็เบาลง
“เปลี่ยนชุด”
พอสิ้นเสียงสตรีผู้หนึ่ง เซเลน่าก็รู้สึกว่ามีมือจำนวนมากสัมผัสไปทั่วร่าง และมือเหล่านั้นก็รุกรามมาปลดอาภรณ์บนร่างกายของหล่อนอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ก่อนจะมีอาภรณ์ที่แม้จะเนื้อนิ่มทว่าก็เทียบไม่ได้กับอาภรณ์ที่ผลิตจากใยพิเศษของเหล่าทวยเทพเข้ามาสวมแทน
เซเลน่าอยากจะลุกขึ้นห้าม แต่ทำไม่ได้เพราะทั้งร่างและเปลือกตายังหนักอึ้งเหลือเกิน
“ถอดสร้อยถอดเครื่องประดับของคนไข้ออกให้หมด” เสียงสตรีคนเดิมสั่ง ร่างของเซเลน่าก็ถูกพลิกไปข้างหนึ่ง แล้วปลายนิ้วของใครคนหนึ่งก็สัมผัสโดนผิวบริเวณต้นคอ
เซเลน่าไม่เข้าใจว่า ‘พวกนั้น’ จะถอดสร้อยอะไรจากหล่อน ในเมื่อเทพคิวปิดไม่มีสร้อยเป็นเครื่องประดับเสียหน่อย สร้อยเส้นแรกและเส้นเดียวที่หล่อนจะได้ใส่ก็คงจะเป็นสร้อยปีกนกของท่านซีอุส
สร้อยปีกนก !?
เมื่อนึกถึงตรงนี้สติสัมปชัญญะของเซเลน่าก็เริ่มกลับมาเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วภาพต่างๆ ก็ปรากฎขึ้นในหัวเป็นฉากๆ ทั้งภาพหล่อนแผลงศรใส่ให้มนุษย์ชายรักกับมนุษย์ชายด้วยกัน...ภาพหล่อนนั่งอยู่ในวิหารของท่านซีอุส...ภาพมนุษย์ชายที่หาว่าหล่อนเป็นผี...และภาพแสงไฟเจิดจ้าที่ปะทะดวงตาก่อนมีอะไรบางอย่างกระแทกที่ร่างของหล่อน
ใช่แล้ว ! หล่อนอยู่บนโลกมนุษย์ !
ดวงตาของเซเลน่าที่ปิดสนิทก็เบิกโพลง ใบหน้าเหี่ยวย่นของมนุษย์สาวในชุดขาวที่กำลังจับร่างหล่อนพลิกข้างก็ปรากฏแก่สายตาในระยะประชิด
“ท่านเป็นใคร” เซเลน่าถาม หากยังไม่ทันได้คำตอบ คิวปิดสาวก็รู้สึกได้ว่าสร้อยปีกนกที่ลำคอกำลังจะถูกปลดออกโดยฝีมือของสาวชุดขาวอีกคน
‘เจ้าต้องจำเอาไว้ ห้ามให้ใครรู้เด็ดขาดว่าเจ้าไม่ใช่มนุษย์’ เสียงเตือนของท่านซีอุสดังแว่บขึ้นมาในหัว ดังนั้นเซเลน่าจึงต้องรีบห้าม
“อย่ามายุ่งกับสร้อยของข้านะ !” เซเลน่าร้องห้ามและกระเด้งลุกพรวด มือข้างหนึ่งปัดมือของหญิงชุดขาวที่กำลังถอดสร้อยหล่อนออก ส่วนมืออีกข้างก็จับสร้อยปีกนกเอาไว้ไม่ให้หลุดจากลำคอ ตอนนั้นเองที่หล่อนเห็นว่ามนุษย์สาวชุดขาวไม่ได้มีแค่สองคน หากมีมากถึงห้าคนเลยทีเดียว “พวกท่านเป็นใคร”
เหล่ามนุษย์สาวชุดขาวมองหน้ากันเหรอหรา ก่อนที่คนอาวุโสที่สุดจะก้าวเข้ามาหาเซเลน่า เอ่ยอย่างใจเย็นว่า “พวกเราเป็นพยาบาลค่ะ คุณถูกรถชนมา พวกเราจะช่วยรักษาให้คุณไงคะ”
คิ้วเรียวเข้มเหนือดวงตากลมโตขมวดมุ่น ทบทวนความรู้จากในหนังสือ “คำศัพท์ของมนุษย์” ก่อนถาม “แล้วพยาบาล...เหมือนพญายมหรือเปล่า”
ไม่มีคำตอบจากสตรีชุดขาวทั้งห้า มีเพียงความคิดที่เหมือนกันโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาว่าคงต้องเช็คสมองอย่างด่วน!
หลังจากคุณหมอเข้ามาตรวจร่างกายของผู้ป่วยสาวที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุมาก็พบว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง มีเพียงแค่แผลถลอกบริเวณข้อศอกและรอยฟกช้ำบริเวณหน้าผากเท่านั้น แต่ด้วยอาการพูดจาประหลาดๆ ของหญิงสาว หนำซ้ำเจ้าหล่อนยังจำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อของตัวเอง ทำให้คุณหมอเห็นด้วยกับพยาบาลว่าจะต้องสแกนสมองของหล่อนเพื่อดูว่ายังปกติดีอยู่หรือไม่
ทว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะก่อนเข้าเครื่องสแกนสมอง ผู้ป่วยจะต้องถอดเครื่องประดับออกทั้งหมด แต่ผู้ป่วยสาวรายล่าสุดไม่ยอมถอดสร้อยที่คอออกและไม่ยอมให้ใครแตะต้องสร้อยของหล่อนด้วย เหล่าพยาบาลช่วยกันพูดดีๆก็แล้ว กล่อมก็แล้ว เอาขนมมาล่อก็แล้วแต่ก็ยังไม่ได้ผล วิธีสุดท้ายจึงต้องใช้กำลังจับล็อคแขนล็อคขา แต่หญิงสาวแรงเยอะมากขนาดที่ว่าพยาบาลห้าคนยังเอาไม่อยู่ หล่อนทั้งดิ้นทั้งร้องตะโกนลั่นโรงพยาบาลจนพวกพยาบาลถอดใจ คุณหมอเลยต้องสั่งให้พาหล่อนเข้าไปพักสงบจิตใจในห้องพักฟื้น
“อยู่ที่นี่ก่อนนะคะ เดี๋ยวคุณหมอก็มาค่ะ” พยาบาลสาวบอกอย่างใจเย็น หากสังเกตที่ไรผมจะเห็นเม็ดเหงื่อพราวระยับ อันเกิดจากการออกศึกปลดสร้อยที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่
เซเลน่าแสร้งนอนนิ่ง แต่ในใจคิดแล้วว่าจะไม่มีวันให้ใครมารุมปลดสร้อยปีกนกของหล่อนอีกแน่
ดังนั้นเมื่อพยาบาลก้าวพ้นออกไปจากห้อง เซเลน่าจึงผุดลุกขึ้นจากเตียงกำลังจะถอดสร้อยปีกนกออกเพื่อกลับร่างไปเป็นคิวปิดแล้วใช้อิทธิฤทธิ์หายตัวไปจากที่นี่
แต่จู่ๆ สองมือที่จับสร้อยก็ชะงักกึกนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรประมาท มนุษย์บนโลกมีจำนวนมาก แค่จากห้องแรกมาห้องนี้ก็เห็นมนุษย์ปรากฏอยู่ในทุกพื้นที่ จึงมีโอกาสสูงมากที่อาจจะมีมนุษย์เข้ามาในห้องตอนที่หล่อนกำลังกลับร่างเป็นคิวปิด ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัย จึงมองหาที่กำบัง ภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่กว้างมีเตียงนอนตั้งอยู่กลางห้อง หัวเตียงชิดติดกับกำแพงด้านหนึ่ง ถัดไปก็เป็นโซฟาตัวยาวสีครีม มีโทรทัศน์ตั้งอยู่ที่ปลายเตียง ไม่มีตรงไหนเหมาะสมจะเป็นที่กำบังเลย
พลันเซเลน่าก็หันไปเห็นประตูสีขาวบานหนึ่งตั้งอยู่ด้านหนึ่ง จึงลองเปิดประตูเข้าไป แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นภาพสะท้อนของตัวเองบนกระจกบานใหญ่
“ตกใจหมด”
เซเลน่าถอนหายใจโล่งอก แล้วกวาดสายตามองไปรอบห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก มีวัตถุสีขาวตั้งอยู่ด้านหนึ่ง ซึ่งมันเรียกว่า โถส้วม เซเลน่าจำได้เพราะเคยอ่านเจอในหนังสือ ‘อุปกรณ์สุดล้ำเลิศจากฝีมือของมนุษย์’ เขียนโดยท่านฮีฟีสทัสเทพแห่งการช่าง ในหนังสือมีอุปกรณ์หน้าตาประหลาดมากมายที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นและพัฒนาไปตามยุคสมัยอย่างรวดเร็ว และมีอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่เซเลน่าทึ่งในความคิดสร้างสรรค์ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามนุษย์จะสร้างขึ้นมาทำไม นั่นคือ อุปกรณ์ที่เรียกว่า ‘กล้องวงจรปิด’ ตามข้อมูลในหนังสือของท่านอีฟีสทัสบอกว่าอุปกรณ์ชนิดนี้มีไว้บันทึกภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสถานที่แห่งนั้น เผื่อว่าเวลาเกิดเรื่องร้ายขึ้นจะได้มีภาพเคลื่อนไหวเอาไว้เป็นหลักฐาน นั่นแสดงว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไว้ใจไม่ได้ขนาดพวกเดียวกันยังต้องระวังกันเองเลย
ถ้ามนุษย์น่ากลัวเพียงนี้ หล่อนก็จะต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น บางทีในห้องนี้ อาจจะซ่อนกล้องวงจรปิดเอาไว้ตรงไหนสักแห่ง และถ้าพวกมนุษย์สามารถบันทึกภาพหล่อนกลายร่างเป็นคิวปิดได้ล่ะก็ เทือกเขาโอลิมปัสต้องสั่นสะเทือนแน่ๆ
ว่าแล้วเซเลน่าก็ตัดสินใจออกจากห้อง มองหาที่กำบังใหม่ คิวปิดสาวหันไปเห็นประตูกระจกใสอยู่ด้านหนึ่งจึงลองเดินไปสำรวจ แล้วภาพทิวทัศน์ของโลกมนุษย์ในมุมสูงก็ปรากฏแก่สายตา ภาพตึกสูงระฟ้าจำนวนมากตั้งตระหง่าน สลับกับถนนหลายสายที่บ้างก็อยู่ต่ำติดกับพื้นบ้างก็อยู่สูง ถึงแม้มันจะดูระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ แต่แสงสีส้มของพระอาทิตย์ยามเย็นช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้ตึกเหล่านั้น ทั้งยังสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ไม่เคยพบเห็น จึงหลงลืมไปว่าตัวเองกำลังมองหาที่กำบังสำหรับกลายร่างเป็นคิวปิดเพื่อหนีไปจาก ณ ที่แห่งนี้
คิวปิดสาวเลื่อนประตูไปด้านหนึ่งแล้วก้าวออกไปยังนอกระเบียงที่มีขนาดไม่กว้างมาก สายลมอ่อนๆ ลอยปะทะใบหน้า เซเลน่าแหงนหน้า หลับตาพริ้ม ก้าวไปยืนชิดขอบระเบียงให้ผิวหน้าได้ทำความรู้จักกับสายลมแปลกหน้าที่แม้จะไม่บริสุทธิ์เท่ากับสายลมบนเทือกเขาโอลิมปัส แต่มันก็สร้างความสดชื่นให้ได้ไม่น้อย มือทั้งสองข้างเซเลน่าจับราวระเบียงเอาไว้ กำลังจะยกเท้าขึ้นไปยืนบนขอบระเบียงเพื่อดื่มด่ำกับสายลมและแสงอาทิตย์ยามเย็น หากต้องชะงักเมื่อมีเสียงใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นจากเบื้องหลัง
“ตายแล้ว !”
ในเสี้ยววินาทีที่เซเลน่ายังไม่ทันได้ตั้งตัว ผู้เข้ามาใหม่ก็พุ่งเข้ามารวบตวัดเอวหล่อนดึงกลับเข้าไปในห้องอย่างแรง ยังผลให้ร่างของเซเลน่าล้มลงไปทับร่างของเขาที่กองอยู่บนพื้น ใบหน้าของทั้งสองใกล้กันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ
“นายรัก...” เซเลน่าอุทานด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นเขา
เช่นเดียวกับ ‘อดีตเป้าหมาย’ ที่เกิดความสงสัยในตัวหญิงสาวแปลกหน้า ซึ่งเขาแน่ใจว่าไม่เคยรู้จักมาก่อนแน่นอน แต่เมื่อครู่นี้ เขาได้ยินหล่อนเอ่ยชื่อเขา หรือแท้ที่จริงแล้ว การที่หล่อนถูกรถน้องสาวเขาชนจะเป็นเพียงแผนการบางอย่าง และอาการความจำเสื่อมก็เป็นเพียงหนึ่งในแผนของหล่อน!
“คุณเป็นอะไรไหมคะ” รักษิยาที่เข้ามาพร้อมพี่ชายปราดเข้าไปประคองร่างบางขึ้น เมื่ออีกฝ่ายส่ายหน้า รักษิยาจึงถามหญิงสาวที่ประเมินจากสายตาแล้วอายุน่าจะประมาณยี่สิบปีที่เพิ่งบอกหมอไปว่า หล่อนมีอายุมากกว่าพันปี! “คุณไปยืนทำอะไรตรงนั้นคะ รู้ไหมคะว่ามันอันตราย”
“ข้าไม่ได้ทำอะไร” เซเลน่าปฏิเสธ ก่อนถาม “แล้วพวกท่านมาทำอะไรที่นี่”
รักษิตกำลังลุกขึ้นจากพื้น รักษิยาจึงเป็นฝ่ายตอบ
“ยาเป็นคนขับรถชนคุณค่ะ”
เซเลน่าถึงบางอ้อ ที่แท้ประตูสู่โลกมนุษย์พาหล่อนลงมาหามนุษย์พวกนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นหล่อนคงไม่จำเป็นจะต้องหนีไปไหน ในเมื่อรักษิยาคนรักของนายภูมิ และนายรักษิต ‘คนรัก’ ของนายภูมิคนล่าสุดอยู่ตรงนี้ หล่อนก็คงจะได้เจอนายภูมิไม่ยาก
“ยาต้องขอโทษด้วยนะคะ ยาไม่ได้ตั้งใจขับรถชนคุณ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ ยาจะรับผิดชอบทุกอย่างและจะจ่ายค่าเสียหายให้ทั้งหมด”
“ยา” รักษิตปรามน้องสาวผู้มีจิตใจอ่อนโยนของเขา “พี่ว่าเราอย่าเพิ่งพูดอะไรมากเลยนะ พี่ว่าเรารอให้แน่ใจอะไรมากกว่านี้ก่อนดีกว่า”
“แน่ใจอะไรคะพี่รัก”
รักษิตไม่ตอบคำถามน้องสาว หากหันไปจ้องหน้าหญิงสาวอีกคนที่ยืนทำตาใส แต่รักษิตชักจะเอะใจแล้วว่าภายใต้ใบหน้าใสซื่อนั้นกำลังซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ ดวงตาคมกริบจ้องมองหล่อนอย่างพิจารณา ถามว่า
“คุณไปทำอะไรที่ระเบียง”
“ข้าไม่รู้” หล่อนหลบสายตา ยิ่งเพิ่มความสงสัยให้ชายหนุ่ม
“คุณชื่ออะไร”
“ข้าไม่รู้”
“แต่คุณรู้ว่าผมชื่ออะไร”
คำพูดของเขาทำเอาเซเลน่าหน้าเหวอ...พลาดอีกแล้วเรา
“คุณบอกผมมาดีกว่า ว่าคุณต้องการอะไรกันแน่”
“พี่รักพูดเรื่องอะไร” รักษิยาไม่เข้าใจ
“เมื่อตะกี้พี่ได้ยินผู้หญิงคนนี้พูดชื่อพี่”
“ไม่จริง ข้าจะไปรู้จักพวกท่านได้ยังไง” เซเลน่าปฏิเสธเสียงแข็ง
“งั้นคุณก็บอกมาสิว่าทำไมคุณถึงเรียกชื่อผมถูก” รักษิตจ้องตาอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น ดวงตาคมปลาบที่กำลังจ้องอยู่ตอนนี้มีอำนาจทำให้หล่อนกลัวจนคิดอะไรไม่ออกเลย
“พี่รักคะ ยาว่าพี่รักอาจจะหูฝาดไปเองก็ได้นะคะ”
“พี่ไม่ได้หูฝาด พี่ได้ยินจริงๆ” บอกน้องสาวแล้วหันจ้องหญิงสาวอีกคนเหมือนเดิม “บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าคุณเป็นใครกันแน่”
“เอ่อ...ข้า” เซเลน่าอึกอัก
“พี่รักคะ อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย เดี๋ยวน้องเขาจะปวดหัวได้นะคะ”
ได้ยินดังนั้นเซเลน่าก็เอาตัวรอดด้วยการตอบสนองคำพูดของรักษิยา คิวปิดสาวกุมขมับ จงใจเซไปนั่งบนโซฟา “โอ๊ย ! ปวด ข้าปวดหัว”
รักษิตคว้าข้อมือเล็กของหญิงสาว
“ก็ถ้าคุณปวดหัว คุณก็ต้องยอมให้หมอตรวจสมองของคุณ หมอและผมจะได้แน่ใจว่าคุณเป็นอะไรกันแน่”
“โอ๊ย ! ปล่อยนะ ข้าเจ็บ ข้าไม่ไป !” เซเลน่าร้อง ครั้นหันไปเห็นสีหน้าของรักษิยาก็รู้ได้ทันทีว่าควรจะให้หล่อนเป็นที่พึ่ง “ท่านช่วยข้าด้วย ข้าเจ็บ...ข้าเจ็บ...” เซเลน่าคร่ำครวญ
“พี่รักปล่อยเขาเถอะค่ะ ดูสิคะเขาตกใจแย่แล้ว”
ชายหนุ่มยอมปล่อยข้อมือเล็กตามคำขอร้องของน้องสาว เซเลน่าวิ่งไปกอดแขนของรักษิยาและร้องไห้กระซิกๆ เรียกคะแนนความสงสาร “ช่วย...ข้า...ด้วย”
รักษิยายิ่งสงสารจึงจับมืออีกฝ่ายขึ้นมาและลูบหลังมือเบาๆ อย่างปลอบใจ ต่างจากความคิดของพี่ชาย ท่าทางตัวสั่นเทาซุกอยู่ในอ้อมอกของรักษิยา ใบหน้าสวยคมบูดเบี้ยวจากการร้องไห้ ทว่าไม่มีน้ำตาสักหยด หนำซ้ำดวงตากลมโตยังเหลือบมองมาที่เขาเป็นระยะๆ ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้รักษิตว่า...
หญิงสาวคนนี้เป็นสิบแปดมงกุฎ !
******************************************
“อะไรนะ ! ยาจะพาผู้หญิงคนนั้นไปอยู่ที่บ้าน !” รักษิตร้องเสียงหลงอย่างคาดไม่ถึง หลังจากกลับมาจากคุยอาการผิดปกติของหมอนพซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยม
เขาและน้องสาวอยู่พูดคุยกับ ‘สาวสิบแปดมงกุฎ’ แค่สองชั่วโมงจนถึงเวลาเกือบสองทุ่ม เขาจึงชวนรักษิยากลับบ้าน ก่อนกลับเขาผละออกไปคุยกับหมอซึ่งเป็นเพื่อนสมัยมัยธยมปลายว่าให้รักษาหล่อนอย่างเต็มที่ แม้ในใจเขาจะมั่นใจว่าหล่อนเป็นสิบแปดมงกุฎก็ตาม หากพอกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งรักษิยาก็ชวนเขาออกมาคุยนอกห้องแล้วบอกถึงเรื่องที่เขาคาดไม่ถึง
“ค่ะ ยาคุยกับพี่นพแล้ว
“ไม่ได้ พี่ไม่ยอมเด็ดขาด” รักษิตประกาศกร้าว
“ทำไมคะพี่รัก”
“พี่บอกตามตรง พี่ไม่ไว้ใจผู้หญิงคนนั้น”
“โธ่...พี่รักคะ ยาว่าพี่รักคงหูฝาดไปเองนะคะ ยาเป็นคนขับรถชนน้องเขาเอง ยารู้ดีค่ะว่าตอนชนมันแรงมาก คงไม่มีใครคิดจะหลอกยาแล้วยอมเสี่ยงตายขนาดนั้นหรอกค่ะ แล้วพี่รักก็เห็นว่าตอนที่เราเข้ามา น้องเขาทำท่าเหมือนจะกระโดดระเบียง ถ้าน้องเขาเป็นสิบแปดมงกุฎอย่างที่พี่รักว่าน้องเขาจะทำอย่างงั้นทำไมคะ”
รักษิตเถียงน้องสาวไม่ออก แต่ถามกลับไปว่า “ตอนพี่ไม่อยู่ ผู้หญิงคนนั้นพูดอะไรกับยา”
“ไม่ได้พูดอะไรนี่คะ” รักษิยาตอบชัดเจน ทว่าอาการหลุบตาต่ำลงซึ่งเป็นท่าทางประจำเวลาที่รักษิยากำลังโกหกก็ไม่อาจรอดพ้นจากสายตาของผู้เป็นพี่ชายไปได้
“บอกพี่มาตามตรงนะยา”
“เอ่อ...น้อง น้องก็แค่บอกว่าไม่อยากอยู่ที่นี่ตามลำพังเท่านั้นเองค่ะ ยาสงสารก็เลยเอ่ยปากชวนน้องเขาไปอยู่ที่บ้านด้วยกัน” รักษิยาสารภาพเสียงอ่อย ครั้นเห็นพี่ชายถอนหายใจเบาๆ จึงเสริมต่อว่า “ยาขอโทษค่ะ ที่ยาทำอะไรไม่ปรึกษาพี่รักก่อน”
“พี่ไม่ได้โกรธที่ยาทำอะไรไม่ปรึกษาพี่ แต่พี่อยากให้ยาคิดให้รอบคอบก่อนจะตัดสินใจทำอะไรลงไป พี่รู้ว่ายาสงสารและรู้สึกผิดที่ทำให้ผู้หญิงคนนั้นเดือดร้อน แต่การที่ยาชนแล้วไม่หนี พาเขามาส่งโรงพยาบาล ไม่ทอดทิ้งเขา มันก็เป็นการรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นได้เหมือนกัน” รักษิตก้าวเข้าไปใกล้น้องสาวแล้วจับมือเล็กบางขึ้นมาเกาะกุม ใช้น้ำเย็นเข้าลูบ “เอาเป็นว่าเราจะมาเยี่ยมน้องเขาทุกวันและจะติดตามหาญาติให้เขาอย่างเต็มที่ก็พอนะยา ไม่ต้องถึงขนาดพาเข้าไปอยู่ในบ้านหรอก”
“แต่ยาบอกน้องเขาไปแล้วว่าจะพาไปอยู่ที่บ้านด้วย ยาไม่อยากผิดคำพูดค่ะพี่รัก”
แม้ภายนอกรักษิยาจะดูเป็นผู้หญิงอ่อนหวาน อ่อนโยน ขี้สงสาร แต่รักษิยามีนิสัยที่เด็ดขาดมาก ถ้าลองได้ตัดสินใจทำสิ่งใดไปแล้วหล่อนก็จะต้องทำสิ่งนั้นให้ได้ ซึ่งเป็นนิสัยอย่างเดียวกับที่ตัวเขาและรักพงษ์น้องชายคนเล็กมีเช่นกัน ไม่แน่ใจว่านิสัยดังกล่าวเกิดจากกรรมพันธุ์ที่ได้รับสืบทอดมาจากคุณพ่อซึ่งเป็นทหารชั้นสูง หรือเกิดจากการที่พวกเขาสามคนพี่น้องต้องสูญเสียบุพการีทั้งสองไปเมื่อสิบปีที่แล้วด้วยอุบัติเหตุ
ตอนนั้นรักษิตอายุเพิ่งจะสิบเก้า รักษิยาอายุสิบห้า และรักพงษ์เพิ่งจะสิบขวบ แม้พวกเขาจะไม่เดือดร้อนเรื่องเงินทองเท่าใดนักเพราะคุณพ่อคุณแม่ทิ้งมรดกเอาไว้ให้พอสมควร ทว่าการเติบโตมาโดยขาดหัวเรือใหญ่คอยนำทางและให้ความอบอุ่นก็เป็นสิ่งที่เงินทองใดๆ มิสามารถชดเชยได้ ซึ่งสิ่งนี้รักษิตเข้าใจดี เขาจึงพยายามทำหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่คอยดูแลให้ความรักและความอบอุ่นกับน้องๆ อย่างดีที่สุด
บ่อยครั้งที่น้องๆ ไม่ฟังคำแนะนำของเขา ยังดึงดันที่จะพายเรือไปในทิศทางที่เขาเห็นว่ามันผิด แต่ถ้าเขาเห็นแล้วว่าทิศทางที่พายไปอาจจะเป็นบทเรียนให้น้องๆ เขาก็จะยอมตามใจ แต่จะคอยดูแลอยู่ห่างๆ
เหมือนเช่นครั้งนี้...
เขาจะยอมให้รักษิยาพาสาวความจำเสื่อมไปอยู่ที่บ้าน เผื่อรักษิยาจะได้เรียนรู้ว่าไม่ควรไว้ใจใครมากเกินไป และเขาก็จะสร้างบทเรียนให้กับหญิงสาวคนนั้นที่ไม่ว่าหล่อนจะเป็นใคร และต้องการอะไรจากน้องสาวของเขา เขาจะทำให้รู้ว่า....หล่อนคิดผิด !
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“หลบหน่อยค่ะ ! หลบหน่อย !” เสียงหวานทุ้มที่กำลังสั่งนั้น เหมือนตอนที่เทวีผู้ทำหน้าที่ดูแลสถานที่จัดงานจะคอยร้องสั่งทวยเทพที่มายืนออรอชมใบหน้าของคณะเทพที่กำลังเดินไปยังมหาวิหารของท่านซีอุส
‘งานประชุมคณะเทพเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วข้าต้องทำหน้าที่บ้างอะไรล่ะ ไม่เห็นมีใครมาใช้เลย’ จิตใต้สำนึกของ ‘เทพเบ๊’ เป็นกังวลขณะที่เปลือกตาทั้งสองข้างยังปิดสนิท ก่อนนึกได้ ‘เอ๊ะ ! หรือว่าข้าสามารถกอบกู้ศักดิ์ศรีของเทพคิวปิดได้สำเร็จ พวกข้าถึงไม่ต้องทำงานตามคำสั่งของใครอีก ไชโย!’
ขณะที่เซเลน่ากำลังปลาบปลื้มกับความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของตัวเองอยู่นั้น เสียงดังปังคล้ายเสียงปิดประตูก็ดังขึ้นและเสียงจอแจก็เบาลง
“เปลี่ยนชุด”
พอสิ้นเสียงสตรีผู้หนึ่ง เซเลน่าก็รู้สึกว่ามีมือจำนวนมากสัมผัสไปทั่วร่าง และมือเหล่านั้นก็รุกรามมาปลดอาภรณ์บนร่างกายของหล่อนอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ก่อนจะมีอาภรณ์ที่แม้จะเนื้อนิ่มทว่าก็เทียบไม่ได้กับอาภรณ์ที่ผลิตจากใยพิเศษของเหล่าทวยเทพเข้ามาสวมแทน
เซเลน่าอยากจะลุกขึ้นห้าม แต่ทำไม่ได้เพราะทั้งร่างและเปลือกตายังหนักอึ้งเหลือเกิน
“ถอดสร้อยถอดเครื่องประดับของคนไข้ออกให้หมด” เสียงสตรีคนเดิมสั่ง ร่างของเซเลน่าก็ถูกพลิกไปข้างหนึ่ง แล้วปลายนิ้วของใครคนหนึ่งก็สัมผัสโดนผิวบริเวณต้นคอ
เซเลน่าไม่เข้าใจว่า ‘พวกนั้น’ จะถอดสร้อยอะไรจากหล่อน ในเมื่อเทพคิวปิดไม่มีสร้อยเป็นเครื่องประดับเสียหน่อย สร้อยเส้นแรกและเส้นเดียวที่หล่อนจะได้ใส่ก็คงจะเป็นสร้อยปีกนกของท่านซีอุส
สร้อยปีกนก !?
เมื่อนึกถึงตรงนี้สติสัมปชัญญะของเซเลน่าก็เริ่มกลับมาเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วภาพต่างๆ ก็ปรากฎขึ้นในหัวเป็นฉากๆ ทั้งภาพหล่อนแผลงศรใส่ให้มนุษย์ชายรักกับมนุษย์ชายด้วยกัน...ภาพหล่อนนั่งอยู่ในวิหารของท่านซีอุส...ภาพมนุษย์ชายที่หาว่าหล่อนเป็นผี...และภาพแสงไฟเจิดจ้าที่ปะทะดวงตาก่อนมีอะไรบางอย่างกระแทกที่ร่างของหล่อน
ใช่แล้ว ! หล่อนอยู่บนโลกมนุษย์ !
ดวงตาของเซเลน่าที่ปิดสนิทก็เบิกโพลง ใบหน้าเหี่ยวย่นของมนุษย์สาวในชุดขาวที่กำลังจับร่างหล่อนพลิกข้างก็ปรากฏแก่สายตาในระยะประชิด
“ท่านเป็นใคร” เซเลน่าถาม หากยังไม่ทันได้คำตอบ คิวปิดสาวก็รู้สึกได้ว่าสร้อยปีกนกที่ลำคอกำลังจะถูกปลดออกโดยฝีมือของสาวชุดขาวอีกคน
‘เจ้าต้องจำเอาไว้ ห้ามให้ใครรู้เด็ดขาดว่าเจ้าไม่ใช่มนุษย์’ เสียงเตือนของท่านซีอุสดังแว่บขึ้นมาในหัว ดังนั้นเซเลน่าจึงต้องรีบห้าม
“อย่ามายุ่งกับสร้อยของข้านะ !” เซเลน่าร้องห้ามและกระเด้งลุกพรวด มือข้างหนึ่งปัดมือของหญิงชุดขาวที่กำลังถอดสร้อยหล่อนออก ส่วนมืออีกข้างก็จับสร้อยปีกนกเอาไว้ไม่ให้หลุดจากลำคอ ตอนนั้นเองที่หล่อนเห็นว่ามนุษย์สาวชุดขาวไม่ได้มีแค่สองคน หากมีมากถึงห้าคนเลยทีเดียว “พวกท่านเป็นใคร”
เหล่ามนุษย์สาวชุดขาวมองหน้ากันเหรอหรา ก่อนที่คนอาวุโสที่สุดจะก้าวเข้ามาหาเซเลน่า เอ่ยอย่างใจเย็นว่า “พวกเราเป็นพยาบาลค่ะ คุณถูกรถชนมา พวกเราจะช่วยรักษาให้คุณไงคะ”
คิ้วเรียวเข้มเหนือดวงตากลมโตขมวดมุ่น ทบทวนความรู้จากในหนังสือ “คำศัพท์ของมนุษย์” ก่อนถาม “แล้วพยาบาล...เหมือนพญายมหรือเปล่า”
ไม่มีคำตอบจากสตรีชุดขาวทั้งห้า มีเพียงความคิดที่เหมือนกันโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาว่าคงต้องเช็คสมองอย่างด่วน!
หลังจากคุณหมอเข้ามาตรวจร่างกายของผู้ป่วยสาวที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุมาก็พบว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง มีเพียงแค่แผลถลอกบริเวณข้อศอกและรอยฟกช้ำบริเวณหน้าผากเท่านั้น แต่ด้วยอาการพูดจาประหลาดๆ ของหญิงสาว หนำซ้ำเจ้าหล่อนยังจำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อของตัวเอง ทำให้คุณหมอเห็นด้วยกับพยาบาลว่าจะต้องสแกนสมองของหล่อนเพื่อดูว่ายังปกติดีอยู่หรือไม่
ทว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะก่อนเข้าเครื่องสแกนสมอง ผู้ป่วยจะต้องถอดเครื่องประดับออกทั้งหมด แต่ผู้ป่วยสาวรายล่าสุดไม่ยอมถอดสร้อยที่คอออกและไม่ยอมให้ใครแตะต้องสร้อยของหล่อนด้วย เหล่าพยาบาลช่วยกันพูดดีๆก็แล้ว กล่อมก็แล้ว เอาขนมมาล่อก็แล้วแต่ก็ยังไม่ได้ผล วิธีสุดท้ายจึงต้องใช้กำลังจับล็อคแขนล็อคขา แต่หญิงสาวแรงเยอะมากขนาดที่ว่าพยาบาลห้าคนยังเอาไม่อยู่ หล่อนทั้งดิ้นทั้งร้องตะโกนลั่นโรงพยาบาลจนพวกพยาบาลถอดใจ คุณหมอเลยต้องสั่งให้พาหล่อนเข้าไปพักสงบจิตใจในห้องพักฟื้น
“อยู่ที่นี่ก่อนนะคะ เดี๋ยวคุณหมอก็มาค่ะ” พยาบาลสาวบอกอย่างใจเย็น หากสังเกตที่ไรผมจะเห็นเม็ดเหงื่อพราวระยับ อันเกิดจากการออกศึกปลดสร้อยที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่
เซเลน่าแสร้งนอนนิ่ง แต่ในใจคิดแล้วว่าจะไม่มีวันให้ใครมารุมปลดสร้อยปีกนกของหล่อนอีกแน่
ดังนั้นเมื่อพยาบาลก้าวพ้นออกไปจากห้อง เซเลน่าจึงผุดลุกขึ้นจากเตียงกำลังจะถอดสร้อยปีกนกออกเพื่อกลับร่างไปเป็นคิวปิดแล้วใช้อิทธิฤทธิ์หายตัวไปจากที่นี่
แต่จู่ๆ สองมือที่จับสร้อยก็ชะงักกึกนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรประมาท มนุษย์บนโลกมีจำนวนมาก แค่จากห้องแรกมาห้องนี้ก็เห็นมนุษย์ปรากฏอยู่ในทุกพื้นที่ จึงมีโอกาสสูงมากที่อาจจะมีมนุษย์เข้ามาในห้องตอนที่หล่อนกำลังกลับร่างเป็นคิวปิด ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัย จึงมองหาที่กำบัง ภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่กว้างมีเตียงนอนตั้งอยู่กลางห้อง หัวเตียงชิดติดกับกำแพงด้านหนึ่ง ถัดไปก็เป็นโซฟาตัวยาวสีครีม มีโทรทัศน์ตั้งอยู่ที่ปลายเตียง ไม่มีตรงไหนเหมาะสมจะเป็นที่กำบังเลย
พลันเซเลน่าก็หันไปเห็นประตูสีขาวบานหนึ่งตั้งอยู่ด้านหนึ่ง จึงลองเปิดประตูเข้าไป แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นภาพสะท้อนของตัวเองบนกระจกบานใหญ่
“ตกใจหมด”
เซเลน่าถอนหายใจโล่งอก แล้วกวาดสายตามองไปรอบห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก มีวัตถุสีขาวตั้งอยู่ด้านหนึ่ง ซึ่งมันเรียกว่า โถส้วม เซเลน่าจำได้เพราะเคยอ่านเจอในหนังสือ ‘อุปกรณ์สุดล้ำเลิศจากฝีมือของมนุษย์’ เขียนโดยท่านฮีฟีสทัสเทพแห่งการช่าง ในหนังสือมีอุปกรณ์หน้าตาประหลาดมากมายที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นและพัฒนาไปตามยุคสมัยอย่างรวดเร็ว และมีอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่เซเลน่าทึ่งในความคิดสร้างสรรค์ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามนุษย์จะสร้างขึ้นมาทำไม นั่นคือ อุปกรณ์ที่เรียกว่า ‘กล้องวงจรปิด’ ตามข้อมูลในหนังสือของท่านอีฟีสทัสบอกว่าอุปกรณ์ชนิดนี้มีไว้บันทึกภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสถานที่แห่งนั้น เผื่อว่าเวลาเกิดเรื่องร้ายขึ้นจะได้มีภาพเคลื่อนไหวเอาไว้เป็นหลักฐาน นั่นแสดงว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไว้ใจไม่ได้ขนาดพวกเดียวกันยังต้องระวังกันเองเลย
ถ้ามนุษย์น่ากลัวเพียงนี้ หล่อนก็จะต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น บางทีในห้องนี้ อาจจะซ่อนกล้องวงจรปิดเอาไว้ตรงไหนสักแห่ง และถ้าพวกมนุษย์สามารถบันทึกภาพหล่อนกลายร่างเป็นคิวปิดได้ล่ะก็ เทือกเขาโอลิมปัสต้องสั่นสะเทือนแน่ๆ
ว่าแล้วเซเลน่าก็ตัดสินใจออกจากห้อง มองหาที่กำบังใหม่ คิวปิดสาวหันไปเห็นประตูกระจกใสอยู่ด้านหนึ่งจึงลองเดินไปสำรวจ แล้วภาพทิวทัศน์ของโลกมนุษย์ในมุมสูงก็ปรากฏแก่สายตา ภาพตึกสูงระฟ้าจำนวนมากตั้งตระหง่าน สลับกับถนนหลายสายที่บ้างก็อยู่ต่ำติดกับพื้นบ้างก็อยู่สูง ถึงแม้มันจะดูระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ แต่แสงสีส้มของพระอาทิตย์ยามเย็นช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้ตึกเหล่านั้น ทั้งยังสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ไม่เคยพบเห็น จึงหลงลืมไปว่าตัวเองกำลังมองหาที่กำบังสำหรับกลายร่างเป็นคิวปิดเพื่อหนีไปจาก ณ ที่แห่งนี้
คิวปิดสาวเลื่อนประตูไปด้านหนึ่งแล้วก้าวออกไปยังนอกระเบียงที่มีขนาดไม่กว้างมาก สายลมอ่อนๆ ลอยปะทะใบหน้า เซเลน่าแหงนหน้า หลับตาพริ้ม ก้าวไปยืนชิดขอบระเบียงให้ผิวหน้าได้ทำความรู้จักกับสายลมแปลกหน้าที่แม้จะไม่บริสุทธิ์เท่ากับสายลมบนเทือกเขาโอลิมปัส แต่มันก็สร้างความสดชื่นให้ได้ไม่น้อย มือทั้งสองข้างเซเลน่าจับราวระเบียงเอาไว้ กำลังจะยกเท้าขึ้นไปยืนบนขอบระเบียงเพื่อดื่มด่ำกับสายลมและแสงอาทิตย์ยามเย็น หากต้องชะงักเมื่อมีเสียงใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นจากเบื้องหลัง
“ตายแล้ว !”
ในเสี้ยววินาทีที่เซเลน่ายังไม่ทันได้ตั้งตัว ผู้เข้ามาใหม่ก็พุ่งเข้ามารวบตวัดเอวหล่อนดึงกลับเข้าไปในห้องอย่างแรง ยังผลให้ร่างของเซเลน่าล้มลงไปทับร่างของเขาที่กองอยู่บนพื้น ใบหน้าของทั้งสองใกล้กันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ
“นายรัก...” เซเลน่าอุทานด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นเขา
เช่นเดียวกับ ‘อดีตเป้าหมาย’ ที่เกิดความสงสัยในตัวหญิงสาวแปลกหน้า ซึ่งเขาแน่ใจว่าไม่เคยรู้จักมาก่อนแน่นอน แต่เมื่อครู่นี้ เขาได้ยินหล่อนเอ่ยชื่อเขา หรือแท้ที่จริงแล้ว การที่หล่อนถูกรถน้องสาวเขาชนจะเป็นเพียงแผนการบางอย่าง และอาการความจำเสื่อมก็เป็นเพียงหนึ่งในแผนของหล่อน!
“คุณเป็นอะไรไหมคะ” รักษิยาที่เข้ามาพร้อมพี่ชายปราดเข้าไปประคองร่างบางขึ้น เมื่ออีกฝ่ายส่ายหน้า รักษิยาจึงถามหญิงสาวที่ประเมินจากสายตาแล้วอายุน่าจะประมาณยี่สิบปีที่เพิ่งบอกหมอไปว่า หล่อนมีอายุมากกว่าพันปี! “คุณไปยืนทำอะไรตรงนั้นคะ รู้ไหมคะว่ามันอันตราย”
“ข้าไม่ได้ทำอะไร” เซเลน่าปฏิเสธ ก่อนถาม “แล้วพวกท่านมาทำอะไรที่นี่”
รักษิตกำลังลุกขึ้นจากพื้น รักษิยาจึงเป็นฝ่ายตอบ
“ยาเป็นคนขับรถชนคุณค่ะ”
เซเลน่าถึงบางอ้อ ที่แท้ประตูสู่โลกมนุษย์พาหล่อนลงมาหามนุษย์พวกนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นหล่อนคงไม่จำเป็นจะต้องหนีไปไหน ในเมื่อรักษิยาคนรักของนายภูมิ และนายรักษิต ‘คนรัก’ ของนายภูมิคนล่าสุดอยู่ตรงนี้ หล่อนก็คงจะได้เจอนายภูมิไม่ยาก
“ยาต้องขอโทษด้วยนะคะ ยาไม่ได้ตั้งใจขับรถชนคุณ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ ยาจะรับผิดชอบทุกอย่างและจะจ่ายค่าเสียหายให้ทั้งหมด”
“ยา” รักษิตปรามน้องสาวผู้มีจิตใจอ่อนโยนของเขา “พี่ว่าเราอย่าเพิ่งพูดอะไรมากเลยนะ พี่ว่าเรารอให้แน่ใจอะไรมากกว่านี้ก่อนดีกว่า”
“แน่ใจอะไรคะพี่รัก”
รักษิตไม่ตอบคำถามน้องสาว หากหันไปจ้องหน้าหญิงสาวอีกคนที่ยืนทำตาใส แต่รักษิตชักจะเอะใจแล้วว่าภายใต้ใบหน้าใสซื่อนั้นกำลังซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ ดวงตาคมกริบจ้องมองหล่อนอย่างพิจารณา ถามว่า
“คุณไปทำอะไรที่ระเบียง”
“ข้าไม่รู้” หล่อนหลบสายตา ยิ่งเพิ่มความสงสัยให้ชายหนุ่ม
“คุณชื่ออะไร”
“ข้าไม่รู้”
“แต่คุณรู้ว่าผมชื่ออะไร”
คำพูดของเขาทำเอาเซเลน่าหน้าเหวอ...พลาดอีกแล้วเรา
“คุณบอกผมมาดีกว่า ว่าคุณต้องการอะไรกันแน่”
“พี่รักพูดเรื่องอะไร” รักษิยาไม่เข้าใจ
“เมื่อตะกี้พี่ได้ยินผู้หญิงคนนี้พูดชื่อพี่”
“ไม่จริง ข้าจะไปรู้จักพวกท่านได้ยังไง” เซเลน่าปฏิเสธเสียงแข็ง
“งั้นคุณก็บอกมาสิว่าทำไมคุณถึงเรียกชื่อผมถูก” รักษิตจ้องตาอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น ดวงตาคมปลาบที่กำลังจ้องอยู่ตอนนี้มีอำนาจทำให้หล่อนกลัวจนคิดอะไรไม่ออกเลย
“พี่รักคะ ยาว่าพี่รักอาจจะหูฝาดไปเองก็ได้นะคะ”
“พี่ไม่ได้หูฝาด พี่ได้ยินจริงๆ” บอกน้องสาวแล้วหันจ้องหญิงสาวอีกคนเหมือนเดิม “บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าคุณเป็นใครกันแน่”
“เอ่อ...ข้า” เซเลน่าอึกอัก
“พี่รักคะ อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย เดี๋ยวน้องเขาจะปวดหัวได้นะคะ”
ได้ยินดังนั้นเซเลน่าก็เอาตัวรอดด้วยการตอบสนองคำพูดของรักษิยา คิวปิดสาวกุมขมับ จงใจเซไปนั่งบนโซฟา “โอ๊ย ! ปวด ข้าปวดหัว”
รักษิตคว้าข้อมือเล็กของหญิงสาว
“ก็ถ้าคุณปวดหัว คุณก็ต้องยอมให้หมอตรวจสมองของคุณ หมอและผมจะได้แน่ใจว่าคุณเป็นอะไรกันแน่”
“โอ๊ย ! ปล่อยนะ ข้าเจ็บ ข้าไม่ไป !” เซเลน่าร้อง ครั้นหันไปเห็นสีหน้าของรักษิยาก็รู้ได้ทันทีว่าควรจะให้หล่อนเป็นที่พึ่ง “ท่านช่วยข้าด้วย ข้าเจ็บ...ข้าเจ็บ...” เซเลน่าคร่ำครวญ
“พี่รักปล่อยเขาเถอะค่ะ ดูสิคะเขาตกใจแย่แล้ว”
ชายหนุ่มยอมปล่อยข้อมือเล็กตามคำขอร้องของน้องสาว เซเลน่าวิ่งไปกอดแขนของรักษิยาและร้องไห้กระซิกๆ เรียกคะแนนความสงสาร “ช่วย...ข้า...ด้วย”
รักษิยายิ่งสงสารจึงจับมืออีกฝ่ายขึ้นมาและลูบหลังมือเบาๆ อย่างปลอบใจ ต่างจากความคิดของพี่ชาย ท่าทางตัวสั่นเทาซุกอยู่ในอ้อมอกของรักษิยา ใบหน้าสวยคมบูดเบี้ยวจากการร้องไห้ ทว่าไม่มีน้ำตาสักหยด หนำซ้ำดวงตากลมโตยังเหลือบมองมาที่เขาเป็นระยะๆ ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้รักษิตว่า...
หญิงสาวคนนี้เป็นสิบแปดมงกุฎ !
******************************************
“อะไรนะ ! ยาจะพาผู้หญิงคนนั้นไปอยู่ที่บ้าน !” รักษิตร้องเสียงหลงอย่างคาดไม่ถึง หลังจากกลับมาจากคุยอาการผิดปกติของหมอนพซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยม
เขาและน้องสาวอยู่พูดคุยกับ ‘สาวสิบแปดมงกุฎ’ แค่สองชั่วโมงจนถึงเวลาเกือบสองทุ่ม เขาจึงชวนรักษิยากลับบ้าน ก่อนกลับเขาผละออกไปคุยกับหมอซึ่งเป็นเพื่อนสมัยมัยธยมปลายว่าให้รักษาหล่อนอย่างเต็มที่ แม้ในใจเขาจะมั่นใจว่าหล่อนเป็นสิบแปดมงกุฎก็ตาม หากพอกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งรักษิยาก็ชวนเขาออกมาคุยนอกห้องแล้วบอกถึงเรื่องที่เขาคาดไม่ถึง
“ค่ะ ยาคุยกับพี่นพแล้ว
“ไม่ได้ พี่ไม่ยอมเด็ดขาด” รักษิตประกาศกร้าว
“ทำไมคะพี่รัก”
“พี่บอกตามตรง พี่ไม่ไว้ใจผู้หญิงคนนั้น”
“โธ่...พี่รักคะ ยาว่าพี่รักคงหูฝาดไปเองนะคะ ยาเป็นคนขับรถชนน้องเขาเอง ยารู้ดีค่ะว่าตอนชนมันแรงมาก คงไม่มีใครคิดจะหลอกยาแล้วยอมเสี่ยงตายขนาดนั้นหรอกค่ะ แล้วพี่รักก็เห็นว่าตอนที่เราเข้ามา น้องเขาทำท่าเหมือนจะกระโดดระเบียง ถ้าน้องเขาเป็นสิบแปดมงกุฎอย่างที่พี่รักว่าน้องเขาจะทำอย่างงั้นทำไมคะ”
รักษิตเถียงน้องสาวไม่ออก แต่ถามกลับไปว่า “ตอนพี่ไม่อยู่ ผู้หญิงคนนั้นพูดอะไรกับยา”
“ไม่ได้พูดอะไรนี่คะ” รักษิยาตอบชัดเจน ทว่าอาการหลุบตาต่ำลงซึ่งเป็นท่าทางประจำเวลาที่รักษิยากำลังโกหกก็ไม่อาจรอดพ้นจากสายตาของผู้เป็นพี่ชายไปได้
“บอกพี่มาตามตรงนะยา”
“เอ่อ...น้อง น้องก็แค่บอกว่าไม่อยากอยู่ที่นี่ตามลำพังเท่านั้นเองค่ะ ยาสงสารก็เลยเอ่ยปากชวนน้องเขาไปอยู่ที่บ้านด้วยกัน” รักษิยาสารภาพเสียงอ่อย ครั้นเห็นพี่ชายถอนหายใจเบาๆ จึงเสริมต่อว่า “ยาขอโทษค่ะ ที่ยาทำอะไรไม่ปรึกษาพี่รักก่อน”
“พี่ไม่ได้โกรธที่ยาทำอะไรไม่ปรึกษาพี่ แต่พี่อยากให้ยาคิดให้รอบคอบก่อนจะตัดสินใจทำอะไรลงไป พี่รู้ว่ายาสงสารและรู้สึกผิดที่ทำให้ผู้หญิงคนนั้นเดือดร้อน แต่การที่ยาชนแล้วไม่หนี พาเขามาส่งโรงพยาบาล ไม่ทอดทิ้งเขา มันก็เป็นการรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นได้เหมือนกัน” รักษิตก้าวเข้าไปใกล้น้องสาวแล้วจับมือเล็กบางขึ้นมาเกาะกุม ใช้น้ำเย็นเข้าลูบ “เอาเป็นว่าเราจะมาเยี่ยมน้องเขาทุกวันและจะติดตามหาญาติให้เขาอย่างเต็มที่ก็พอนะยา ไม่ต้องถึงขนาดพาเข้าไปอยู่ในบ้านหรอก”
“แต่ยาบอกน้องเขาไปแล้วว่าจะพาไปอยู่ที่บ้านด้วย ยาไม่อยากผิดคำพูดค่ะพี่รัก”
แม้ภายนอกรักษิยาจะดูเป็นผู้หญิงอ่อนหวาน อ่อนโยน ขี้สงสาร แต่รักษิยามีนิสัยที่เด็ดขาดมาก ถ้าลองได้ตัดสินใจทำสิ่งใดไปแล้วหล่อนก็จะต้องทำสิ่งนั้นให้ได้ ซึ่งเป็นนิสัยอย่างเดียวกับที่ตัวเขาและรักพงษ์น้องชายคนเล็กมีเช่นกัน ไม่แน่ใจว่านิสัยดังกล่าวเกิดจากกรรมพันธุ์ที่ได้รับสืบทอดมาจากคุณพ่อซึ่งเป็นทหารชั้นสูง หรือเกิดจากการที่พวกเขาสามคนพี่น้องต้องสูญเสียบุพการีทั้งสองไปเมื่อสิบปีที่แล้วด้วยอุบัติเหตุ
ตอนนั้นรักษิตอายุเพิ่งจะสิบเก้า รักษิยาอายุสิบห้า และรักพงษ์เพิ่งจะสิบขวบ แม้พวกเขาจะไม่เดือดร้อนเรื่องเงินทองเท่าใดนักเพราะคุณพ่อคุณแม่ทิ้งมรดกเอาไว้ให้พอสมควร ทว่าการเติบโตมาโดยขาดหัวเรือใหญ่คอยนำทางและให้ความอบอุ่นก็เป็นสิ่งที่เงินทองใดๆ มิสามารถชดเชยได้ ซึ่งสิ่งนี้รักษิตเข้าใจดี เขาจึงพยายามทำหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่คอยดูแลให้ความรักและความอบอุ่นกับน้องๆ อย่างดีที่สุด
บ่อยครั้งที่น้องๆ ไม่ฟังคำแนะนำของเขา ยังดึงดันที่จะพายเรือไปในทิศทางที่เขาเห็นว่ามันผิด แต่ถ้าเขาเห็นแล้วว่าทิศทางที่พายไปอาจจะเป็นบทเรียนให้น้องๆ เขาก็จะยอมตามใจ แต่จะคอยดูแลอยู่ห่างๆ
เหมือนเช่นครั้งนี้...
เขาจะยอมให้รักษิยาพาสาวความจำเสื่อมไปอยู่ที่บ้าน เผื่อรักษิยาจะได้เรียนรู้ว่าไม่ควรไว้ใจใครมากเกินไป และเขาก็จะสร้างบทเรียนให้กับหญิงสาวคนนั้นที่ไม่ว่าหล่อนจะเป็นใคร และต้องการอะไรจากน้องสาวของเขา เขาจะทำให้รู้ว่า....หล่อนคิดผิด !
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สาธิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ก.ค. 2554, 00:11:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ค. 2554, 00:13:02 น.
จำนวนการเข้าชม : 1631
<< ตอน 1 | ตอน 3 >> |
เบญจามินทร์ 7 ก.ค. 2554, 10:10:49 น.
พี่รักมองเซเลน่ากลายเป็นสิบแปดมงกุฏแล้ว
พี่รักมองเซเลน่ากลายเป็นสิบแปดมงกุฏแล้ว
Pat 8 ก.ค. 2554, 19:32:14 น.
^^ พฤติกรรมน่าสงสัยจริงๆ(ด้วย)
^^ พฤติกรรมน่าสงสัยจริงๆ(ด้วย)
วิรัตต์ยา 8 ก.ค. 2554, 23:03:51 น.
เอาล่ะสิ เอาล่ะสิ คราวนี้คงได้ยุ่งวุ่นวายกันใหญ่
เอาล่ะสิ เอาล่ะสิ คราวนี้คงได้ยุ่งวุ่นวายกันใหญ่