...คาสบลังก้า...ดารัลฟาเดล...(จบแล้วค่ะ)
สืบเนื่องมาจากเรื่อง "อะรูซะตี...เจ้าสาวของผม"
เรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวของลูกสาวสุดหวงของหมอดานีส
กับนาดา โดยเรื่องราวของคุณพ่อเมื่ิอครั้งก่อนนั้น
จะเป็นแนา "แต่งก่อนจีบ"
แต่สำหรับรุ่นลูกแล้ว จะเป็นแนว "จีบก่อนแต่ง"

ต้องมาคอยดูกันค่ะว่า จะจีบกันอย่างไร แล้วคุณหมอดานีส
ที่ต้องมารับบทบาทเป็นพ่อของลูกทั้งเจ็ดจะตกอยู่ในสภาพเช่นไร..
แล้วนาดาจะเป็นแม่แบบไหน...



เรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศของเมือง
"คาสบลังก้า" หรือ "อัดดารัลบัยฎออ์"
ซึ่งแปลว่า..."บ้านสีขาว"
ดินแดนในฝันดั่งต้องมนต์เสน่หาแห่งโมร็อกโก...
กับดินแดนอันแสนอบอุ่นด้วยไอรักแห่งแดนอาทิตย์อุทัย...

พบกับเขาและเธอ...

...ดารัล...ฟาเดล...

หญิงสาวที่หัวใจเปี่ยมล้นไปด้วยความรักความอบอุ่น
จากครอบครัวอันแสนสุขและน่ารัก...
ชีวิตที่มีพร้อมทุกอย่าง ไม่เคยต้องการสิ่งใดอีกแล้ว
เพราะเธอพอใจทุกอย่างที่มีมาตลอด

จนเมื่อเจอกับเขา...ที่นั่น "คาสบลังก้า"
เขาทำให้เธอไม่อาจลบลืมมนต์เสน่หาของที่นั่นได้เลย
ไม่ว่าจะยามหลับหรือตื่น...

กับ

ชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยรูปเปลือกที่สวยงามสมบูรณ์
หากภายในใจนั้นยังคงโหยหาไออุ่นแห่งรักจากใครสักคน
มาเติมเต็มหัวใจกำพร้าของเขา...

แล้วเธอคือผู้ที่เขาค้นพบว่ามีทุกอย่างที่เขากำลังต้องการอยู่
ดังนั้น...ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร เขาก็จะปล่อยเธอ
ไปไม่ได้โดยเด็ดขาด!




Tags: หวานซึ้งโรแมนติก ดราม่า โมร็อกโก คาสบลังก้า ทะเลทรายซาฮาร่า ดารัล ฟาเดล โสภณพสุธ

ตอน: บทที่ 22 จดหมายจากดารัลและจันทรา



ย่ำเข้าสู่ช่วงบ่ายของวัน ฟาเดลเริ่มรู้สึกตัวเพื่อลุกขึ้นทำละหมาด
ทว่า ขาเรียวที่พาดเขาไว้กลับเหนี่ยวรัั้งเอาไว้ ส่งผลให้ร่างใหญ่
หันมาพิศมองใบหน้างดงามที่เริ่มมีสีมากขึ้น

ใบหน้าที่ไม่ว่าจะมองยามใดก็ไม่รู้จักเบื่อ…

จึงอดไม่ไหวที่จะยกปลายนิ้วขึ้นเขี่ยขนตายาวงอนเป็นแพดกสีน้ำตาลเข้มจัดนั่นเล่น
ก่อนจะลากเบาๆลงมาตามสันจมูก หยุดนิ่งตรงปลายจมูกเชิดรั้นนั้นด้วยแววตาเอ็นดู…
ก่อนจะพลิกหลังมือแตะตรงหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิคนป่วย…

‘หมอจำเป็น’ ยิ้มพร้อมถอนใจยาวด้วยความโล่งอก…
อยากจะก้มลงหอมแก้มสาวสักฟอด หากก็กังวลว่าจะทำให้เธอตื่น…

ก่อนจะตัดใจค่อยๆลุกขึ้นไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว เมื่อทรงตัวบนพื้นได้แล้ว
ฟาเดลก็ถอดเสื้อออกเพื่อจะเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกาย

“แก้ผ้าโชว์อีกแล้ว…”เสียงใสปนแหบนิดๆ

แม้จะรู้ว่าที่แหบๆนั้นเนื่องมาจากพิษไข้ที่เจ้าตัวคงไม่ได้ตั้งใจที่ปล่อยเสียงตัวเอง
ออกมาแบบนั้น หากก็ฟังดูเซกซี่เหลือใจฉุดให้คนที่กำลังจะถอดเสื้อตัวในสุด
ออกคาอยู่ตรงลำคอถึงกับชะงัก…ก่อนจะดึงตัวเสื้อให้พ้นคอ
แล้วฉีกยิ้มหวานฉ่ำให้คนที่ตะแคงนอนมองมาทางเขาอยู่…

“ถ้าไม่อยากมองก็ไม่ต้องมอง…”ว่าพลางปาเสื้อตัวดังกล่าว
ไปยังใบหน้าของดารัลหมายจะปิดกั้นดวงตาของเธอเสีย

หากดารัลกลับกระชากเสื้อตัวนั้นออกก่อนจะกรีดร้อง

“ว้ายยยย…”เสียงกรีดร้องของดารัลผสานกับเสียงฟาเดลที่หัวเราะลั่น
กับหน้าตาเหรอหราของภรรยาสาว ยิ่งเห็นดวงตาเบิกโตคู่นั้นแล้วยิ่งขัน

“ก็อุตส่าห์ปิดตาไว้ให้แล้วนะ…ช่วยไม่ได้…อยากเปิดมาดูเอง”

ว่าแล้วเขาก็หันหลังเดินไปยังห้องน้ำทันทีพร้อมเสียงหัวเราะชอบใจ…

ดารัลที่เพิ่งฟื้นไข้ถึงกับรู้สึกหน้าร้อนฉ่าขึ้นมา
พยายามสลัดภาพเมื่อครู่ทิ้งหากก็ทำไม่ได้

ไม่ต้องจินตนาการอะไรต่อมิอะไรอีกต่อไป…ทุกอย่างกระจ่างชัดต่อหน้าต่อตา…

หญิงสาวนอนกอดผ้าห่มใจสั่นระรัว…มองนาฬิกาก็รู้ว่าได้เวลาละหมาดแล้ว
ยิ่งเสียงเปิดประตูห้องน้ำดังยิ่งทำให้ดารัลที่หมั่นไส้ฟาเดลเป็นทุนอยู่แล้ว
หันไปแหวใส่ว่า

“คราวหลังพี่ฟาเดลห้ามทำแบบเมื่อกี้อีกนะ…”

“ทำอะไร…”ฟาเดลข่มเสียงเข้มคล้ายรำคาญต่างจากดวงตาที่แฝงแววขี้เล่น

“ก็แก้ผ้าในห้องน่ะสิ…น้องรัลไม่ชอบ…”ดารัลทำเสียงขึ้นจมูก
จนเห็นได้ชัดว่าปลายจมูกเชิดรั้นนั้นแดงเป็นจุดเลยทีเดียว

“ไม่ให้แก้ในห้องแล้วจะให้พี่ไปแก้ที่ไหน…
นอกห้องหรือ...ข้อหาอนาจารนะน้องรัล…”

ดารัลมองผ้าจนหนูผืนเดียวที่เขาพันกายอย่างหมิ่นเหม่แล้วแอบหวั่นๆ
ว่าหากเขาเดินกระชากหน้าขาเพียงนิดมันอาจจะร่วงหลุดลงมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้…

มองไปก็ลุ้นไปว่ามันจะหลุดเมื่อไหร่ อุ้ย ไม่ใช่ เธอไม่ได้คาดหวังเช่นนั้นเลย…
ที่หวังอยู่ก็คือ เมื่อไหร่เขาจะเลิกทำตัวให้เธอหัวใจพลิกคว่ำพลิกหงาย
ระส่ำระส่ายแบบนี้เสียที…

“บ้า…หน้าไม่อาย…”

“ก็เห็นมีแต่น้องรัล ทำไมพี่ต้องอาย…แล้วใครใช้ให้เบิกตาดู…
ตาน้องรัลเปิดปิดได้เองนี่ไม่ใช่หรือ…ถ้าไม่อยากดูก็ปิด ถ้าอยากดูก็เปิด…
พี่ให้อิสระนะ…ไม่คิดตังค์ด้วย”

ฟาเดลว่าหน้าเฉยพร้อมกับก้าวเดินไปยังตู้เสื้อผ้าควานหาชุดที่จะสวมใส่…

“ถึงจะยังไงก็ควรจะอายโต๊ะ ตู้ เตียงมันบ้าง…ไม่ใช่โชว์อล่างฉ่างไปหมดแบบนั้น”
ดารัลพาลพาโล ทำเอาฟาเดลที่คว้าเสื้อมาได้ถึงกับหัวเราะฮึๆในลำคอ

“พี่เพิ่งรู้ว่าข้าวของเครื่องใช้พวกนั้นมันสามารถเห็นพี่แก้ผ้าได้ด้วย…
แต่ก็ไม่เห็นมันจะกรี๊ดเหมือนน้องรัลเลย…สงสัยจะชอบดูเลยไม่โต้เถึยง”
ฟาเดลโต้ด้วยแววตายียวน

“พี่ไม่มีทางรู้หรอกว่าข้าวของพวกนั้นมันแอบบันทึกภาพพี่เอาไว้แบบไหน…
มันอาจจะมีวิธีเห็นของมันนั่นแหล่ะ…ในแบบที่ไม่เหมือนเราๆก็ได้…”
คนรั้นให้เหตุผลข้างๆคูๆไปอย่างนั้นเอง

“นี่เอาวิทยาศาสตร์หรือไสยศาสตร์มาอธิบายล่ะเน่ีย…”

“ไม่รู้แหล่ะ คราวหน้าคราวหลังพี่ฟาเดลแก้ผ้าได้เฉพาะในห้องน้ำเท่านั้นค่ะ…”

ฟาเดลถึงกับกลั้นยิ้มกับน้ำเสียงขึ้นจมูกของคนตรงหน้า
ก่อนจะรีบสวมเสื้อเอาใจภรรยาที่กำลังเขม่นเขาอยู่…

“แล้วไม่กลัวฝักบัวและอ่างอาบน้ำมันจะเห็นพี่แก้ผ้าบ้างเหรอ…”

ได้ทีแหย่เย้า เขาก็แหย่จนทำให้อีกคนถึงกับจ้องเขาตาเป็นมันได้…
ก่อนจะได้รับค้อนวงงามเป็นสิ่งตอบแทน…

ฟาเดลหยิบกางเลงผ้ายืดตัวยาวมาสวมใส่…
เป็นกริยาที่เมื่อก่อนเขาจะไม่ทำต่อหน้าต่อตาเธอ
หากตอนนี้เขากลับทำราวกับไม่ใส่ใจ ไม่มีท่าทางที่ราวกับ
รักนวลสงวนตัวหรือเกรงอกเกรงใจภรรยาอย่างเธอเลยสักนิดเดียว…

แม้ช่วงก่อนหน้านี้จะมีผลุบๆโผล่ๆ หากยามนั้นเธอรู้ว่าเพราะต้องการ
หาเรื่องย่ัวแหย่เธอเล่น แต่ตอนนี้ สีหน้าท่าทางของเขามันไม่ใช่เลย

“มองพี่แบบนี้ คิดอะไรไม่ดีไม่ร้ายกับพี่อยู่รึเปล่า…หรือกำลังคิดจะทำร้ายกัน…”
ว่าพลางก็เดินเข้าไปหา…แล้วยกหน้ามือแตะหน้าผากดารัลดูอีกครั้ง

“ไข้ลดลงมากแล้ว…แสดงว่ายาลดไข้คงสู้ยาใจจากอกพี่ไม่ได้ใช่มั้ย…
เห็นนอนรัดพี่ซะอย่างกับงูเห่ารัดพังพอน…”

ดารัลเริ่มขยับขยุกขยิกอีกครั้งเมื่อสบตาคมคู่นั้นเข้า

“หิวมั้ย…”เสียงนั้นเอื้ออาทรยิ่งนัก ดารัลส่ายหน้า

“อยากละหมาดก่อนมากกว่า รอน้องรัลไปอาบน้ำละหมาดก่อนได้มั้ยคะ…
เราจะได้ละหมาดด้วยกัน” ฟาเดลพยักหน้า

“ให้พี่พยุงไปมั้ย…”เขาอาสา…ดารัลโคลงศีรษะ

“อย่าเลยค่ะ…น้องรัลไหว…”ว่าพลางหยัดกายให้ลุกขึ้น
หากเมื่อวางเท้าลงบนพื้นพรม แล้วหยัดยืนกลับรู้สึกว่าร่างกายไม่อาจทรงตัวได้ดีนัก
ฟาเดลที่รอท่าอยู่แล้วจึงรีบเข้าพยุงแล้วประคองพาภรรยาสาวไปห้องน้ำ

“ดื้อจนได้เรื่องตลอด…”ชายหนุ่มพึมพำอย่างไม่จริงจังนัก

“ก็ใครทำ…”ดารัลพึมพำเสียงเบา หากคนหูดีได้ยินชัด

“พี่ขอโทษ…ขอโทษนะครับ…”ดารัลอยากจะบอกกับเขาเหลือเกินว่า
มันไม่ใช่ความผิดอะไรของเขาเลย…หากก็อายเกินจะพูดตรงๆออกไป
เลยพูดอ้อมแอ้มทว่าเนื้อความที่สอดแทรกไปยังคงตรงเป้าประเด็นว่า

“อากาศที่นี่มันเปลี่ยนแปลงบ่อย…เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวนี่คะ…
ดารัลผู้อ่อนแอเลยแพ้พ่ายต่อทะเลทรายซาฮาร่าผู้ยิ่งใหญ่”


ใช่แล้ว...เพราะบรรยากาศมันพาไป...ถ้าจะมีใครผิดก็ต้องโทษบรรยากาศ
โทษทะเลทรายซาฮาร่านี่แหล่ะ...

ฟาเดลฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงสวยอย่างนึกชอบใจ
กับสำนวนถ้อยคำที่คนตรงหน้าเลือกนำมาใช้บอกเขา…

“ที่สุดของที่สุดพี่ยกให้เธอเลยน้องรัล…”

ดารัลยิ้มรื่นก่อนจะกระซิบบอกเขาเบาๆว่า

“แล้วคืนนี้น้องรัลจะอ่านจดหมายจากดวงดาวให้พี่ฟาเดลฟัง…”

“ถ้างั้นพี่ก็มีจดหมายจากดวงจันทร์มาฝากน้องรัลเช่นกัน…”

แล้วทั้งสองก็หันมาหัวเราะให้กันและกันก่อนจะดารัลจะผละเข้าห้องน้ำ
ทิ้งให้ฟาเดลยืนยิ้มให้กับโต๊ะ ตู้ เตียงไป

...หวังว่ามันคงจะเห็นนะว่าเขามีความสุขแค่ไหนในยามนี้…





“ถึงจันทรา…ผู้ยิ่งใหญ่และอ่อนโยน”

ดารัลเริ่มอ่านจดหมายจากดวงดาวให้ฟาเดลฟัง
เมื่อทั้งสองนอนมองทะเลดาวด้วยกัน
โดยในมือหามือกระดาษหรือสิ่งใดที่จารึกถ้อยคำดังกล่าวไม่

หากชายหนุ่มกลับตั้งใจรอฟังสารจากดวงดาวเพื่อที่จะจดจำไว้ในหัวใจ

“ท่านเคยสงสัยมั้ยว่าระหว่างดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์แล้ว
อย่างไหนประเสริฐกว่ากัน…”

ฟาเดลเริ่มสงสัยจริงๆนั่นแหล่ะ หากก็มิได้เอ่ยขัด

“ท่านคงไม่รู้ล่ะสิว่า…หากเราพิจารณาตามหลักภาษาอาหรับแล้ว
ดวงจันทร์นั้นย่อมประเสริฐกว่าดวงอาทิตย์
เพราะดวงจันทร์นั้นเป็นมุซักกัรฺหรือคำนามที่เป็นเพศชาย
ส่วนดวงอาทิตย์นั้นเป็นมุอันนัสหรือคำนามที่เป็นเพศหญิง…

ซึ่งมุซักกัรฺ ย่อมดีกว่า มุอันนัส…”

ดารัลหยุดพร้อมหันมายิ้มให้กันที่นอนข้างๆกันแล้วพูดต่อว่า

“ท่านคงไม่คิดหรอกใช่ม้ัยว่านี่คือการแบ่งแยกว่าเพศไหนดีกว่าเพศไหน
แต่นั่นคือตามหลักภาษานะท่าน…ปกติแล้ว คนไทยหรือคนญี่ปุ่น
มักจะเปรียบหญิงงามดั่งดวงจันทร์ราวกับดวงจันทร์คือตัวแทนของผู้หญิง
ที่มีแสงอันอ่อนโยน ส่วนดวงอาทิตย์ที่แรงกล้าคือตัวแทนของผู้ชาย…
ตัวแทนของความยิ่งใหญ่…

ก่อนอื่นข้าอยากให้ท่านจันทราลองฟังความเห็นนักปราชญ์ชาวอาหรับดู…
เพราะนักปราชญ์บางท่านกล่าวว่า ดวงอาทิตย์นั้นประเสริฐกว่าดวงจันทร์

เพราะคำตรัสของพระเจ้าในโองการของคัมภีร์ได้กล่าวถึงดวงอาทิตย์
เอาไว้ก่อนที่จะกล่าวถึงดวงจันทร์

นั่นยอมแสดงว่า ดวงอาทิตย์นั้นประเสริฐกว่าดวงจันทร์

แล้วมีนักปราชญ์บางท่านอีกเช่นกันที่กล่าวว่าระหว่างทั้งสองนั้น
ไม่มีสิ่งไหนประเสริฐไปกว่ากัน…”ดารัลหยุดเพื่อผ่อนลมหายใจ
ก่อนจะเล่าต่อไปในขณะคนที่ฟังก็ให้ความสนใจ
ไม่ไถ่ถามเพื่อขัดคอหรือขัดจังหวะใดๆ…

เขาเองก็อยากรู้ว่า จดหมายจากดวงดาวจะยาวไปจนถึงรุ่งอรุณ
เมื่อยามที่ดวงดาวบอกลาท้องฟ้าไปแล้วหรือไม่

“แต่ท่านรู้มั้ยว่า ทัศนะที่เป็นที่ยอมรับและถูกต้องที่สุดคือ…
ทัศระแรกที่กล่าวว่าดวงจันทร์นั้นประเสริฐกว่าดวงอาทิตย์
ด้วยเหตุผลสนับสนุน 2 เหตุผล…

โดยเหตุผลแรกคือ เหตุผลตามหลักภาษาที่บอกว่า มุซักกัรฺนั้นย่อมดีกว่ามุอันนัส
เพราะแท้จริงในหลักภาษาอาหรับแล้วนั้น มุซักกัรฺหรือคำที่เป็นเพศชาย
นั้นจะเป็นคำหลัก ส่วนมุอันนัสหรือคำที่เป็นเพศหญิงนั้นจะเป็นหลักย่อย

ดังนั้นสิ่งที่เป็นคำหลักย่อมดีกว่าสิ่งที่เป็นหลักย่อย…

ส่วนเหตุผลที่สองนั้น น่าสนใจเหลือเกินท่าน…
เพราะแท้จริงการยึดด้วยกับหลักการที่ว่าดวงอาทิตย์ประเสริฐกว่าดวงจันทร์
ก็เพราะพระเจ้ากล่าวถึงดวงอาทิตย์ไว้ก่อนกล่าวถึงดวงจันทร์นั้น
ถือว่าเป็นสิ่งที่อ่อนต่อหลักการ

เนื่องจากบางที สิ่งที่ถูกกล่าวไว้ก่อนนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกให้เกียรติ
แต่สิ่งที่กล่าวขึ้นมาทีหลังนัั้น บางทีก็เป็นสิ่งที่มีเกียรติยิ่งกว่า

ดังคำตรัสของพระเจ้า ที่ถูกกล่าวไว้ในโองการอัล-หัชรฺว่า

…แท้จริงบรรดาชาวนรกกับชาวสวรรค์นั้น ไม่เหมือนกันหรอก…”

ฟาเดลพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจถึงหลักการและเหตุผล

“นี่จึงเป็นสิ่งที่สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่ถูกกล่าวไว้ก่อนหน้า
มิได้ประเสริฐกว่าสิ่งที่ถูกกล่าวในคราวหลังเลย…

ซึ่งยังมีอีกหลายตัวบทอีกเช่นกันที่พระเจ้าได้ตรัสให้เกียรติ
สิ่งที่ถูกกล่าวไว้ทีหลังมากกว่าสิ่งที่ถูกกล่าวไว้ก่อนหน้า

ดังนั้น…หลักการที่กลายเป็นที่ยอมรับในหมู่ปราชญ์ส่วนใหญ่
และถูกต้องยิ่งกว่านั่นคือ ดวงจันทร์นั้นย่อมประเสริฐกว่าดวงอาทิตย์…”

ดารัลหยุดลงเพียงนิด แล้วยิ้มให้กับจันทร์เส้ียวบนฟากฟ้า…

“เป็นจดหมายที่น่าสนใจและให้ความรู้ที่พี่ไม่รู้มาก่อน…”

ฟาเดลเอ่ยด้วยน้ำเสียงชื่นชมคนอ่านจดหมาย…

“ยังไม่จบหรอกค่ะ…เพราะนั่นเป็นการเกริ่นนำจดหมาย…”

ฟาเดลเลิกคิ้วสูง ก่อนจะเห็นด้วยว่าที่ผ่่านมาเป็นการเกริ่นนำเสียมากกว่า
เพราะจุดสำคัญของจดหมายเหมือนจะยังไม่ได้ถูกเอ่ยถึง
เขาจึงนึกเอ่ยเสริมขึ้นมาว่า…

“สังเกตมั้ยว่า…เวลาละหมาดกำหนดด้วยดวงอาทิตย์
ส่วนเข้าเดือนรอมาฎอนและทำฮัจญ์กำหนดด้วยดวงจันทร์…
ทุกสิ่งถูกสร้างมาอย่างมีความหมาย…”

“ค่ะ…มีความหมาย…และมีคุณค่า…”ดารัลสำทับเสริม

“มาต่อกันค่ะ…”แล้วดารัลก็พาสามีกลับเข้าสู่จดหมายจากดวงดาวอีกครั้ง

“ท่านจันทรารู้มั้ยว่า…ไม่ว่าดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์อย่างไหนจะประเสริฐกว่ากันนั้น
ไม่ได้สำคัญกับดวงดาวอย่างข้าเลย…เพราะสำหรับดวงดาวเช่นข้าแล้ว…

จันทร์เสี้ยวคือความเมตตา

ท่านคงไม่ทันสังเกตหรือนึกคิดไปล่ะสิ…แต่โปรดรู้เอาไว้เถิดว่า
ในแต่ละเดือนนั้น พระจันทร์เต็มดวงมีแค่คืนเดียว แถมยังเป็นคืน
ที่ทำให้แสงดาวอย่างข้าอ่อนแสงจนไม่อาจสู้แสงแห่งจันทร์ได้
ทำให้แสงดาวอย่างข้าดูไร้ค่าเหลือเกินเมื่อเทียบกับแสงจันทร์ในคืนพระจันทร์เต็มดวง…

ส่วนคืนจันทร์ดับที่ไร้ดวงจันทร์ส่องแสงบนฟากฟ้าก็แสนจะอ้างว้างเกินไป…

ต่างกับคืนอื่นๆท่ีเหลือ คืนจันทร์เสี้ยว จันทร์เสี้ยวที่คอยอยู่เคียงข้างดวงดาว
ไม่มีสิ่งใดโดดเด่นไปกว่ากัน ไม่มีใครต้องข่มใคร หากเอื้ออาทรต่อกัน
ส่องแสงลงมาพร้อมกันอย่างอ่อนโยน…อยู่เคียงกันแทบทุกคืน…
และจะเลิกทำหน้าที่พร้อมๆกันเมื่อดวงอาทิตย์ดวงเดียวกลับมาส่องแสงทักทาย

…ดวงอาทิตย์ผู้เดียวดายที่ส่องแสงแรงกล้าอยู่บนฟากฟ้า
หรือจะสู้จันทร์เสี้ยวที่มีดาราน้อยใหญ่ต่างพากันโอบกอดได้…”

แล้วดารัลก็หยิบผ้าเช็ดหน้าที่ปักรูปจันทร์เสี้ยวกับดาราดวงน้อยที่อยู่เคียงคู่กัน
ตรงมุมขวาด้านล่างของผ้าเนื้อนิ่มโดยมีอักขระภาษาอาหรับ
ที่ตวัดเป็นเส้นสายลายสวยด้วยชื่อของทั้งสองเอาไว้ด้านล่างของสัญลักษณ์ดังกล่าว

“เก็บไว้นะคะ…น้องรัลตั้งใจทำเองกับสองมือและหนึ่งดวงใจเลย…
เอาไว้ใช้ซับเหงื่อ ซับน้ำมูก ซับน้ำตา…เพื่อเตือนใจพี่ว่า
ไม่ว่าพี่จะเหนื่อย จะไม่สบายหรือจะโศกเศร้้าเสียใจ
น้องรัลก็ยังไม่ไปไหน ยังอยู่กับพี่เสมอ…อยู่ด้วยหัวใจเหมือนจันทร์เสี้ยงเคียงดาว”

ดารัลเองก็ไม่แน่ใจเลยว่าอะไรที่ผลักดันให้เธอทำสิ่งนี้ขึ้นมา
และไม่แน่ใจอีกเช่นกันว่าอะไรส่งให้เธอพูดประโยคนี้ออกไป…

หากรู้แน่แก่ใจเหลือเกินว่า สิ่งที่พูดไปนั้นคือสิ่งที่กลั่นมาจากหัวใจ
ไร้การเสแสร้งใดๆ…

ฟาเดลรับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นขึ้นมาก่อนจะยกขึ้นจรดริมฝีปากกับจมูกโด่ง
แววตาทอดมองคนที่นอนเคียงข้างกันนิ่งนาน

“จดหมายจากดวงดาวทำเอาจดหมายจากดวงจันทร์ของพี่จืดไปเลย
แม้จดหมายนั้นจะมีความยาวสู้จดหมายของดวงดาวไม่ได้…

แต่จันทราเขียนถึงดาราน้อยว่า…ชีวิตนี้ไม่ได้ฝันถึงความยิ่งใหญ่ใดๆ…
ขอเพียงแค่่ได้เคียงคู่กับดาราน้อย มีดาราน้อยอยู่เคียงข้างกัน
จันทราก็พอใจมากแล้ว…

แม้จะเป็นจันทร์เสี้ยว…หากนั่นทำให้มีโอกาส มีช่วงเวลาที่ได้อยู่ใกล้ๆกับดาราน้อยมากกว่า…
จันทราก็ยอม…และขอยืนยันว่า ต่อให้มีอะไรเปลี่ยนไป แต่ใจของจันทรายังคงมั่นคง…

ไม่ว่าจะร้อนหรือหนาว เราจะผ่านทุกเรื่องราวไปด้วยกัน…”

ฟาเดลเก็บผ้าเช็ดหน้าไว้ตรงกระเป๋าเสื้อที่มีตำแหน่งตรงกับที่ตั้งของหัวใจของเขา
แล้วตะแคงหันหน้าเข้าหาร่างบางที่ตะแคงหันมาสบตาเขาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย…

ทั้งสองกุมมือไว้ด้วยกันแล้วยิ้มให้แก่กัน…

การได้รับรู้จดหมายของกันและกันนับว่าเป็นการสื่อสารที่ทำให้ทั้งสองเข้ากัน
เข้าถึงกันมากขึ้นเรื่อยๆ ร้อยรัดเป็นเส้นใยความผูกพัน…

หลอมรวมใจเป็นหนึ่งเดียวก่อนจะเกาะเกี่ยวรวมกายเข้าด้วยกัน…
แสงจันทร์หรือแสงดาวนับล้านก็มิอาจสู้แสงแห่งรักของสองใจสองกาย
ที่กลายเป็นหนึ่งเดียวซึ่งกำลังส่องแสง ณ ห้วงเวลานี้ได้…






ทั้งสองท่องเที่ยวยังทะเลทรายซาฮาร่าอย่างเพลิดเพลิน
จนแทบลืมวันและเวลา…หากไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา…

วันนี้ที่ย่างเข้าสู่วันที่เจ็ดที่จากคาสบลังก้า ขาดการติดต่อคนที่รู้จัก
ทั้งสองจึงตัดสินใจเดินทางกลับ…

“ตอนแรกพี่กะจะใช้เส้นทางเดิมเพื่อกลับไปยังมาร์ราเกซ…
แต่เมื่อคืนฝันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เลยคิดว่าเราเปลี่ยนเส้นทางกันดีกว่า”

ฟาเดลเปรยเมื่อนั่งประจำตำแหน่งคนขับโดยมีดารัลนั่งยิ้มเป็นกำลังใจให้

“แล้วแต่ท่านผู้นำเถิดค่ะ…” ถ้อยคำนั้นสร้างความมั่นอกมั่นใจ
เรียกความภาคภูมิในเพศชายของเขาได้ไม่น้อยเลย

“ว่าแต่จะใช้เส้นทางไหนหรือคะ…”ดารัลถามด้วยความใคร่รู้

“ใช้เส้นทางจากเมืองเมอร์ซูกาขึ้นเหนือไปแล้วข้ามเทือกเขาแอตลาสกลาง
เพื่อไปยังเมืองเมกเนส…จากเมกเนสเราก็จะแวะกรุงราบัด
แล้วค่อยกลับคาสบลังก้าบ้านเรากัน…”ฟาเดลอธิบายเส้นทางคร่าวๆให้ดารัลฟัง

“แน่นอนครับว่าเราจะแวะเที่ยวด้วยกันให้อิ่มไปเลย…
ระหว่างทางมีอะไรน่าสนใจไม่น้อยกว่าขามาแน่ๆครับ…”

“แล้วรถล่ะคะ…”เพราะรถคันนี้เขายืมญาติมานี่นา…

“รถคันเดียวไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย…เอาไว้ค่อยเอาไปคืนทีหลังได้
เวลาเราไปเยี่ยมคุณลุงครั้งต่อไป…คุณลุงท่านใจดีมากๆ…”

“ค่ะ…ใจดีมากๆ…”ดารัลเห็นด้วยกับเขา เพราะญาติของสามีนั้น
แม้หน้าตาจะดูดุดัน คมเข้ม หากมีรอยยิ้มประดับใบหน้าอย่างสม่ำเสมอ
และมีน้ำจิตน้ำใจอย่างยากจะหาใครเทียบเทียม

“อีกอย่างท่านมีรถคันอื่นๆให้ขับ…คันนี้ท่านไม่ค่อยหวง
พี่เลยเลือกคันนี้มาไงครับ…” ฟาเดลเอ่ยให้อีกฝ่ายได้เบาใจขึ้น

“สมรรถณะเยี่ยมยอดด้วย…” ฟาเดลกล้าการันตีรถคู่ใจ

“แล้วเราจะหยุดพักเมืองเมกเนสหรือเปล่าคะ…”
ดารัลเริ่มเปลี่ยนมาให้ความสนใจกับเรื่องราวระหว่างทางขึ้นมา

“พี่ต้องดูว่าน้องรัลไหวมั้ย ถ้าไหวเราไปต่อ ถ้าไม่ไหวเราก็พัก
พี่ไม่รีบ…เราจะเที่ยวแบบชิลล์ๆ เรื่อยๆ นนบิริ…” ฟาเดลถือโอกาส
เอ่ยถ้อยคำภาษาญี่ปุ่นตรงท้ายประโยค…ทำเอาลูกผสมญี่ปุ่นถึงกับอมยิ้ม…

“พูดเหมือนไม่ห่วงงานทางโน้นเลย…” ดารัลแกล้งว่่า

“พี่ฝากงานไว้หมดแล้ว…อีกอย่างช่วงนี้ไม่มีอะไรให้น่ากังวลนัก
เที่ยวได้พี่เลยชวนน้องรัลมาเที่ยวไงครับ…แค่ไม่กี่วันคงไม่ทำให้
ธุรกิจที่อยู่ตัวแล้วทรุดได้หรอกครับ…และถึงจะทรุด พี่ก็พร้อมจะกลับไปพยุง
แรงกายแรงใจเพียบแบบนี้ ไม่มีไม่ไหว…” ดารัลเชื่อว่าเขาทำได้
และมั่นใจด้วยว่าเขาไหว หากเขาไม่ไหวจริงๆ เขาก็ยังมีเธอ เธอนี่แหล่ะ
ที่พร้อมจะเป็นสายลมใต้ปีกหนุนนำเขา…

“เมกเนสเคยเป็นอดีตเมืองหลวงของโมร็อกโก ดังนั้น ที่ที่เราจะไป
ย่อมมีความสำคัญไม่น้อยครับ…” ฟาเดลเปลี่ยนเรื่องเมื่อเริ่มออกรถ

“การเดินทางสู่ทะเลทรายซาฮาร่าคราวนี้ น้องรัลจะไม่ลืมเลยค่ะ…”

ดารัลหันกลับไปมองเส้นทางที่เดินจากมา ตั้งใจว่าเมื่อมีโอกาสจะกลับมาที่นี่อีก…
กลับมายังมนต์เสน่ห์แห่งทะเลทรายที่ยิ่งใหญ่…

ซาฮาร่า…พื้นที่ที่แห้งแล้งและร้อนจัดที่สุดในโลก!
หากยามหนาวก็หนาวจับใจ…

และไม่ว่าจะร้อนจัดหรือหนาวจับใจ
หากซาฮาร่าอันกว้างใหญ่แห่งนี้ก็ทำให้เธอและเขาพิสูจน์ได้ว่า
สามารถผ่านมันมาด้วยกันได้แล้ว…

คงต้องขอบคุณฟาฮาน่าที่แนะนำทะเลทรายซาฮาร่า
ให้เป็นสถานที่ฮันนีมูนของเธอกับฟาเดล

“เช่นกันครับ…หวังว่าเราสองคนจะได้รับของขวัญพิเศษจากทะเลทรายซาฮาร่า
ติดมาด้วยนะครับ…”

ไม่ต้องถาม ดารัลก็รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร เธอเองก็หวังเช่นนั้นเหมือนกัน…






เมื่อข้ามเทือกเขาแอตลาสกลางมาได้แล้ว
ดารัลถือโอกาสแอบเปิดรับสัญญาณโทรศัพท์
และไม่ผิดหวัง…เธอได้รับข้อความจากเนเนต…

‘แมงมุมแม่ม่ายเริ่มชักใยแต่ไม่ได้ไต่ไปไหนเป็นพิเศษ…
แต่เมดูซ่ากำลังเคลื่อนไหว ไม่น่าไว้ใจ…
RAK ไม่น่าจะปลอดภัยสำหรับคุณสองคน
ลมควรเปลี่ยนทิศ…เวลาควรขยาย…’

ดารัลอ่านข้อความนั้นแล้วยิ้มอย่างเข้าใจถึงรหัสลับ
ที่มีเพียงเธอกับเนเนตเท่านั้นที่รู้กัน…

“โชคดีจังที่พี่ฟาเดลเปลี่ยนแผนการเดินทาง สนามบินมาร์ราเกซ
หรือโคดรหัสเมืองแห่งรักของเรา ไม่เหมาะสำหรับเราเสียแล้ว…”
ฟาเดลหันมามองภรรยาสาวพร้อมเลิกคิ้วสูง

“เนเนตบอกมาอย่างนั้นค่ะว่าเราไม่ควรกลับไปทิศเดิม
และควรจะยืดเวลาการกลับบ้าน…นับว่าพี่ฟาเดลประสาทสัมผัสไวดีแท้”

ดารัลเอ่ยชื่นชมผู้นำทางของเธอด้วยใจจริงแม้จะแฝงแววหยอกเย้าไปบ้าง…

“พี่เชื่อตามสัญชาตญาณ เพราะรู้สึกสังหรณ์ว่าไม่ควรกลับทางเดิม”

ฟาเดลเฉลยด้วยแววตาที่ซ่อนความกังวลเอาไว้มิดชิด

“เนเนตรู้แค่ว่าเรานั่งเครื่องมาลงที่มาร์ราเกซ แต่ไม่รู้เป้าหมายของเรา
ดังนั้น…เป็นไปได้สูงว่าทางโน้นก็น่าจะรู้อย่างที่เนเนตรู้…เพราะเรื่องจะสืบนั้น
ไม่ยากเกินไปสำหรับคนอยากรู้และมีอำนาจเงินพอจะซื้อความรู้นั้น...

และอาจจะพยายามแกะรอยเราเจอแล้วด้วยก็ได้…
การเปลี่ยนทิศและขยายเวลานับว่าเป็นการเลี่ยงการปะทะไปได้ในช่วงที่เราตกเป็นรอง…
แบบนี้”

ดารัลเอ่ยเสริมด้วยแววตาโล่งอก ทว่าฟาเดลกลับไม่คิดเช่นนั้น

…ลองคนเราตั้งใจไว้แล้ว วันนี้อาจจะไม่สำเร็จ แต่ใช่ว่าวันพรุ่งนี้
เขาจะไม่ลงมือทำอีก…และบางครั้งมันอาจจะมาถึงไวกว่าวันพรุ่งนี้ด้วยซ้ำ

หากสิ่งที่เขาพูดออกไปนั้น เป็นเพียงแค่

“แสดงว่าเรายังมีเวลาสนุกอีกหลายวันกับการฮันนึมูนครั้งนี้…”

ทว่า...เมื่อพ้นเทือกเขาแอตลาสกลางไปได้มิเท่าไหร่…
สิ่งที่ฟาเดลกังวลก็ปรากฏขึ้นแก่สายตาผ่านกระจกส่องหลัง…

ดารัลนั่งนิ่ง นิ่งจนเขาแทบไม่แน่ใจว่าเธอจะรู้หรือเปล่าว่า

…เรากำลังถูกตามล่า…




.....โปรดติดตามตอนต่อไป.......



มาแล้วค่ะมาแล้ว...เอาน้ำตาลทรายซาฮาร่ามาฝาก...ฮ่าๆ

เป็นจดหมายที่ปิดผนึกตรงหัวใจเลยทีเดียว


ยกหน้ามันส์แน่ค่ะ...มาลุ้นกันว่าจะเป็นฉากบู๊ล้างผลาญหรือว่าเศร้าเกล้าน้ำตา...










...ขอคุยกับนักอ่านจากคอมเม้นท์ในตอนที่แล้วค่ะ...

1.คุณคิมหันตุ์...พี่จะพาไปกินตับ ตับๆๆๆ...อิอิอิ
ตอนนี้ดารัลโดนดวงจันทร์ควักหัวใจไปกินแล้วด้วยค่ะ...เหอๆ


2.คุณแว่นใส...ตัวร้ายน่ะมีรหัสน่าสนใจว่ามั้ยคะ
นักอ่านน่าจะเดาได้แน่ๆเลยว่า แมงมุมแม่ม่ายกับเมดูซ่าคือใคร...ฮ่าๆ

3.คุณnapt...ถ้าฟ้าไม่โปร่งพอ ก็ยากจะมองเห็นทางช้างเผือกค่ะ
ยิ่งอยุ่ในกรุงเทพฯ อย่าว่าแต่ทางช้างเผือกเลยค่ะ แค่ดาวดวงเล็กๆสักดวง
ก็ขอให้ได้เห็นเถิดค่ะ(ขอค่อนขอดท้องฟ้าเหนือเมืองกรุงหน่อยเถิด...อิอิอิ)...
กลับบ้านเกิดทีไร โยเลยขอไปนอนนับดาวอยู่บ่อยๆ
ส่วนยกหน้ามาลุ้นกันต่อนะคะ...

4.คุณตุ๊งแช่...ก็พระเอกเราเขาฉลาดพอจะรู้ว่าถ้าปล่อยให้เล่าหรือให้พูด
คุณเธอก็คงจะชวนเขาคุยจนเผลอหลับจนลืมทำการบ้านส่งคุณครูได้
แล้วอาจสบตก ติดศูนย์ อาจต้องไปนอนแก้ศูนย์ในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนหน้า
ก็เลยตัดบทเสีย...จะได้ลงมือทำแต้มทำคะแนน...
ส่วนผลลัพธ์ตอนปลายเทอมจะออกมาเป็นเช่นไร...cooming soon ค่ะ....ฮ่าๆ

5.คุณPat...นึกว่าจะหายจากจอไปเสียแล้ว...ดีใจจังค่ะที่เข้ามาส่งกำลังใจ
ให้เต่า...เรื่องป่วยนั้นน้องรัลแกยอมรับไปแล้วอย่างอายๆค่ะ...
แต่ก็กล้าพูดเนอะว่าเพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย...อิอิอิ...
มันก็จริงอ่ะนะว่าอากาศมันเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว แต่คุณเธอก็เกิดในแดนปลาดิบมา
ไม่น่าจะทนหนาวทนร้อนไม่ได้...แพ้ภัยทะเลทรายซาฮาร่าว่างั้นค่ะ...



สุดท้ายไม่ท้ายสุด...

ขอบคุณนักอ่านทุกท่าน ทุกๆกำลังใจ ทุกๆไลค์เช่นเคยค่ะ

...รักษาสุขภาพนะคะ...

จูจุ๊บ...

"เต่าโย"




yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 พ.ย. 2557, 00:51:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 พ.ย. 2557, 01:02:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 3293





<< บทที่ 21 ทะเลดาวเหนือทะเลทรายซาฮาร่่า   บทที่ 23 กระสุนกลิ่นกุหลาบ (50%) >>
napt 27 พ.ย. 2557, 07:45:03 น.
มีทิ้งท้ายให้ลุ้น มีแค่สองคนจะเอาตัวรอดยังไงหนอ


ร้อยวจี 27 พ.ย. 2557, 08:56:48 น.
รอๆๆๆๆค่ะ


คิมหันตุ์ 27 พ.ย. 2557, 10:55:44 น.
กรี้ดอ่ะโดนละตอนนหน้าจะมันแค่ไหนหนอ


ตุ๊งแช่ 27 พ.ย. 2557, 12:38:38 น.
มีเลทเธอร์กันซะด้วย เล่นเอาคนอ่านเพ้อตามเลย ตอนหน้าลุ้นวายร้ายแล้วสิ


แว่นใส 27 พ.ย. 2557, 13:06:47 น.
ต้องรักษาตัวรอดให้ปลอดภัยกับมาจัดการตัวร้ายนะ


omelate 27 พ.ย. 2557, 22:22:40 น.
ว๊ากกก..กำลังหวานหวาน ก็มีมารมาอีกแล้ว


Pat 27 พ.ย. 2557, 23:00:10 น.
แกะรอยได้ไวจริง ตามมาถึงนี่เลย พี่ฟาเดลจะรับมือยังไงนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account