ทัณฑ์ดอกรัก
เนิ่นนานกว่าร้อยปี โชคชะตาจึงชักพาเธอมาพบเจอกับเขาอีกครั้ง เธอถูกหว่านล้อมลวงหลอกด้วยเล่ห์กะเท่ห์มารยาของหนุ่มนักเลงกลอนอายุร่วมร้อยปีที่แสนน่ารัก โรคใจอ่อนกำเริบจนอ่อนใจ น่ากลัวว่า เธอจะเผลอตัวเผลอใจยอมตกห้วงรักอันแสนเย้ายวนไปร่วมกับเขาเข้าสักวัน

เพียงแต่คนบางคน หรือจะยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น!

“ผมไม่สนใจว่าเขาจะเป็นวิญญาณบรรพบุรุษสายไหนของผม ผมรู้แต่ว่าเขาควรอยู่ส่วนเขา ส่วนคุณ...คุณต้องอยู่กับผม!”

(วิญญาณน่าเจี๊ยะ เจ้านายน่าแซะค่ะ ^^ เชิญเลือกหม่ำตามสบาย)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: การรอคอยที่สิ้นสุด

เซ้นส์ของปัญญ์ปรียาคงดีเฉพาะในเรื่องผีๆสางๆ เธอจึงเสียวท้ายทอยวาบๆเหมือนถูกใครจับจ้องจากด้านหลังตั้งแต่กลับจากพักกลางวันเป็นต้นมา ดวงตาคู่นั้นติดตามหลอกหลอนตลอดบ่าย แม้ไม่ใช่ที่จับจ้องอย่างปองร้าย แต่ก็พาให้ขนลุกซู่ หนาวยะเยือกเหมือนจับไข้

ใครคนหนึ่งทอดน่องย่องตามเธอไปทุกแห่งหน เธอหยุดเขาจึงหยุด เธอเดินเขาจึงก้าวต่อ และเมื่อหันกลับไปก็พบเพียงความว่างเปล่า ราวกับใครคนนั้นหยอกเย้า ซ่อนเพื่อให้หา

ยิ่งตะวันรอนราแสง ความรู้สึกยิ่งชัดเจนขึ้นทุกที

“อยู่นี่เอง”

ปัญญ์ปรียาสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกเบาๆเมื่อนึกได้ว่านั่นคือเสียงของดิพร

“แหม หาตั้งนาน พี่มาวางทิ้งไว้นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ” ดิพรบ่นกับตัวเอง ไม่ทันสังเกตปฏิกิริยาตื่นตูมผิดปกติใดๆ เธอคว้าหนังสือเล่มหนึ่งจากโต๊ะปัญญ์ปรียากลับไปที่โต๊ะของตน

ปัญญ์ปรียาผ่อนลมหายใจอันเขม็งเครียดออกเบาๆ เธอใกล้จะประสาทเสียเต็มแก่ ถ้าใครคนนั้นยังแกล้งทำอย่างนี้ ต่อไปเธอต้องคลั่งใจตายเข้าสักวัน

‘หึหึ’ เสียงขบขันดังแว่วไม่ใกล้ไม่ไกล ประหนึ่งล่วงรู้ถึงความนึกคิด

ตากลมโตตวัดขึ้นจากงานที่พิมพ์ค้างไว้เพื่อช้อนมองหาที่มา แม้รู้ดีว่าคงจะผิดหวังในท้ายที่สุด

‘หยุดเล่นเดี๋ยวนี้นะ ฉันไม่สนุกกับคุณด้วย’ กระแสความคิดเกรี้ยวกราดตามอารมณ์ถูกปล่อยสื่อสารไปถึงเขา

แทนที่เขาจะหยุด มวลความเย็นกลับมาจ่อรวมอยู่ด้านหลัง พลันปัญญ์ปรียารู้สึกเหมือนลำแขนแกร่งคู่หนึ่งโอบรอบมา เธอนั่งตัวเกร็ง กลัวจนไม่กล้าขยับกายหนี มารู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไรแน่ก็ตอนที่แผ่นคีย์บอร์ดถูกกดลงช้าๆทีละตัว จนกระทั่งบังเกิดเป็นอักษรแถวหนึ่ง

'อย่าถือสาคนเศร้าเมาเพราะรัก แค่ค้อนควักสักคราพาใจชื่น'

‘ผีน้ำเน่า! ต้องการอะไรก็พูดมาตรงๆ จะเอาส่วนบุญส่วนกุศลเดี๋ยวทำไปให้’

เธอโต้ความเขาอยู่ในใจ แม้กลัวแต่ก็ไม่หวั่นกับการเผชิญหน้ากับเขาทางความคิด วูบหนึ่งเธอนึกว่าตนเองชนะด้วยเขาหยุดการกระทำของเขาไปชั่วคราว

ที่แท้ เขาเพียงรอให้เธอหมดคำปรามาส เพราะฉับพลันที่เธอผ่อนคลายความระวัง เสียงหนึ่งก็ดังแว่วอยู่ริมหูอีกครั้ง มันฟังแล้วคล้ายเสียงหัวเราะแต่ก็เหมือนเสียงทอดถอนใจเช่นกันด้วย มันเปี่ยมไปด้วยความเศร้าจนรู้สึกสะทกสะท้อนในอก แล้วแผ่นคีย์บอร์ดค่อยถูกกดด้วยอำนาจที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตา ทว่ามีพลังเพียงพอจะบันดาลให้กลุ่มอักษรปรากฏเพิ่มบนหน้าจออีกหนึ่งแถว

งพี่หน่ายทุกข์หวังสุขสันต์ผ่านวันคืน อย่างมิขื่นข่มใจมิให้ครวญ'

มวลความเย็นมลายหายไปแทบจะทันทีที่ตัวอักษรสุดท้ายแสดงขึ้น แต่คำกลอนที่เขาทิ้งไว้กลับหน่วงหนักที่หัวใจ คำถามมากมายผุดขึ้นมา อยากรู้อยากเสาะหา อยากทำความรู้จัก เขาเป็นใคร ต้องการอะไร หยอกแกล้งเธอเล่นเพื่อสิ่งใด

เธอตั้งใจแล้วว่าจะลงหลักปักฐานทำงานที่เปรมบุราณอีกเนิ่นนาน งานสบาย ได้เงินพอดิบพอดี ใกล้ที่พัก เจ้านายก็เป็นธรรม ดูแลลูก
น้องดี นิสัยไม่จุกจิกวุ่นวาย เธอไม่ยอมเผ่นหนีจากเปรมบุราณเพราะโดนป่วนเพียงแค่นี้เด็ดขาด

เขาก็แค่ผีขี้เหงาที่มีกลอนความหมายชวนเลี่ยนเป็นอาวุธ คงไม่เสียหายอะไรที่ทดลองพบเขาสักครั้ง เขาคงต้องการอะไรบางอย่าง ถ้าเธอพอจะทำให้ได้ เธอก็จะทำให้

เขาคงไม่คิดร้ายมิใช่เหรอ...



สองทุ่ม...

ถึงเวลาของเขาแล้วและเธอจงใจอยู่รออย่างใจจดจ่อ ไฟในอาคารปิดแล้วทุกดวงเหลือเพียงโทรศัพท์มือถือในมือเป็นสิ่งเดียวที่ฉายแสงในความมืด เธอไม่อยากเสี่ยงให้เจ้านายโทร.มาขัดจังหวะการเจรจาครั้งสำคัญระหว่างเธอกับเขา

เสียงปี่แว่วกังวานตามเวลาราวกับนัดหมายเวลาไว้ หญิงสาวเดินสอดส่องมองหา ส่งไฟในมือไปตามมุมมืด ใจเต้นตูมตามเหมือนจะวายตายสักหลายๆรอบ เพราะในความบ้าบิ่นเสี่ยงท้าผีครั้งนี้ เธอก็ยังไม่สามารถกำจัดความกลัวให้หมดไปได้

ทำนองคำหวานบรรเลงดังไปจนถึงกลางเพลงเท่านั้น คนเป่าก็ส่งเสียงหัวเราะแผ่วเบามาทักทาย คล้ายเขาเล็งเห็นกิริยาชะเง้อชะแง้จากที่หนึ่งที่ใดของห้อง ปัญญ์ปรียาชะงักเท้าไปชั่วขณะ นึกประหวั่นใจกับการก้าวต่อ พลันสายตาที่มองเลยผ่านช่องว่างระหว่างชั้นไม้เห็นเงาตะคุ่มข้างตู้หนังสือที่ปิดตาย

ความกระหายรู้กระตุ้นให้สืบเท้าไปหาเงาร่างนั้นอย่างแช่มช้า ขัดกับหัวใจเต้นรัวเร็วดังลั่น เนื้อตัวเย็นเยียบยิ่งกว่าพื้นไม้ใต้ฝ่าเท้าที่ซับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศมาตลอดทั้งวัน ทว่าสายตายังพิศเพ่งที่เงาตะคุ่มนั้นไม่วาง ประหนึ่งเกรงว่าเขาจะเลือนหายไปในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง

“ฉันอยู่นี่ สาวน้อย” เสียงทักทายพลิ้วแผ่วมาข้างหู ทั้งที่เงานั้นมิได้เคลื่อนหายไปจากจุดเดิม

ขนคอเธอพร้อมใจกันลุกชันบนร่างที่สั่นเทิ้ม มวลความกลัวขยายใหญ่ขึ้น ดั่งหลุมอากาศมหึมาในช่องท้องที่ดูดกลืนความกล้าและความกระหายใคร่รู้ไปจนหมดสิ้น ยามนี้อยากหมุนตัวกลับ แต่สองเท้าคล้ายไม่ใช่ของตัวเธอเอง มันก้าวและก้าวไม่หยุดยั้ง

เพื่อพบว่าตั่งขาสิงห์ข้างตู้หนังสือไม่ว่างเปล่าอีกแล้ว

เขานอนเขนกคอยอยู่ที่นั่น แขนข้างหนึ่งเกยเขนยหมอนสามเหลี่ยม ตัวเอนเอียงพิงท่วงทีเกียจคร้าน ลำแสงสีนวลของโคมไฟด้านนอกอาคารพาดผ่านแผ่นอกแกร่งที่เปลือยอวดสายตาสะท้อนเป็นสีดั่งทองทา เบื้องล่างเขานุ่งผ้าปล่อยชายสีเทาออกน้ำเงิน ในมือกำปี่เลาโต แหวนหัวพลอยที่เธอเห็นวันนั้นประดับอยู่ที่นิ้วชี้

ครั้นเมื่อตาสบตา เธอพบว่ามันแปลกยิ่งนัก ก็เขาว่านัยน์ตาอมนุษย์ไม่มีประกายไม่ใช่เหรอ แต่ดวงตาคู่เรียวฉายส่งเสน่ห์อันน่าฉงนฉงาย ระยับพรายดุจดาวล้อเดือน ความโดดเด่นขี้เล่นของมันกลบความงดงามของจมูกโด่งที่ไล้เป็นแนวยาวลงมารับกับริมฝีปากบางซึ่งกำลังหยักยิ้ม

ปัญญ์ปรียาลืมไปแล้วว่าควรถอนตัวหนี ด้วยประทับใจในภาพตรงหน้าจนปรารถนาทอดกายเคียงคู่ หวังจะได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพจำอันงดงาม ขาทั้งสองข้างพากันก้าวเข้าไปหาเขาช้าๆราวถูกดึงดูดด้วยอำนาจที่มองไม่เห็น จนกระทั่งไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเขา สายตาเปิดเผยความรู้สึกให้เขาประจักษ์ ใบหน้านวลจึงเห่อร้อนเมื่อถูกมองตอบกลับมาแสดงออกถึงความรู้เท่าทัน

“ฉันรู้ วันหนึ่งหล่อนหาฉันพบ” เขากล่าวอย่างย่ามใจ แต่น้ำเสียงที่นุ่มเนิบดั่งดนตรีทิพย์ฟังแล้วเสนาะโสตมากกว่าระคายขุ่น

“คุณเป็นใครคะ ทำไมมาอยู่ที่นี่” หญิงสาวโพล่งถามไปตามประสงค์ แต่เสียงไม่กระตือรือร้นมากเท่าที่แรกคิด เพราะถูกท่วงท่าดุจราชสีห์ผู้เกียจคร้านของเขาสะกดอยู่ไม่คลาย

“ฉันไม่ใช่คนที่อยู่ในฝันของหล่อนเมื่อคืนหรือ” เขาหยอกยิ้มยั่วเย้าอย่างผยองกล้า ท่วงทีและคำพูดจาล้วนแสดงถึงความมั่นใจในเสน่ห์แห่งตน

“ไม่ใช่แน่ค่ะ เมื่อคืน ฉันนอนไม่หลับ”

เขาอมยิ้มกริ่มตาทอประกายระยับน่าหมั่นไส้ ประหนึ่งคิดอยู่ในใจว่าตนเป็นเหตุให้เธอคิดถึงจนอดตาหลับขับตานอน แต่แทนที่ปัญญ์ปรียาจะไม่พอใจกับสายตาของเขา เธอกลับรู้สึกประหม่าอายเสียจนต้องหลบสายตา ปากกล่าวถามย้ำ

“คุณยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลย คุณเป็นใครคะ ทำไมถึงมาติดอยู่ที่นี่”

“ติดอยู่ที่นี่...” เขาหัวเราะร่าเสียงก้องกังวานจนน่าขนลุก ก่อนถาม “มั่นใจว่าฉันคืออะไร แล้วไม่กลัวฉันรึ”

“คุณไม่คิดร้ายต่อฉันใช่มั้ยล่ะคะ”

“ฉันไม่มีทางคิดทำร้ายหล่อน ไม่จำเป็นต้องหลบลี้หนีฉันเลย” น้ำเสียงของเขาคล้ายกำลังกล่อมเด็ก

“แล้วคุณต้องการอะไร จะให้ฉันช่วยอะไรคุณคะ ให้ฉันทำบุญให้เหรอ”

“ทำไมถึงคิดว่าฉันอยากให้ช่วยอะไรแบบนั้น” เขาหัวเราะอีก ราวกับส่วนบุญอันกระจ้อยร่อยของเธอไม่น่าสนใจสักนิด

“ถึงคุณไม่ได้อยากให้ฉันทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ คุณคงไม่ได้อยากติดค้างไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดแบบนี้หรอก บางที ถ้ามีเรื่องอะไรให้ฉันช่วยสะสาง คุณอาจจะไปเกิดได้” เธอแนะออกไปดังใจนึก แต่แล้วก็เริ่มลังเล กลัวไปเองว่าการเสนอตัวเข้าช่วยเขาอาจทำให้เธอลำบากก็ได้ จึงเสริม “ถ้ามันไม่เหนือบ่ากว่าแรงนะคะ”

“ทำไมไม่คิดบ้าง อาจเป็นความปรารถนาของฉัน ฉันจึงอยู่ที่นี่”

“แล้วทำไมคุณถึงอยากอยู่ที่นี่ล่ะคะ” ปัญญ์ปรียาเปลี่ยนคำถามใหม่ ชักหงุดหงิดใจที่ไม่เคยได้รับคำตอบตรงๆจากเขาสักครั้ง คุยกับเขาเหมือนเดินหลงอยู่ในเขาวงกต

“เพื่อได้พูดคุยกับหล่อน...อีกครั้ง”

แม้คำตอบจะหวานจัดและเปี่ยมไปด้วยอารมณ์เว้าวอนที่แฝงมากับน้ำเสียงนุ่ม แต่เธอเชื่อไม่ลง ปัญญ์ปรียาหน้านิ่ว ผ่อนลมหายใจออกหนักๆ ไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับผีขี้เหงาเจ้าปัญหาอย่างเขาดี

“เราเพิ่งเคยเจอกัน จะใช้คำว่าอีกครั้งได้ยังไง”

“กลับเถอะนี่ดึกแล้ว” วิญญาณหนุ่มรู้ตัวว่าไม่อาจอยู่ต่อปากต่อคำได้อีกนานเกินไปจึงตัดบทไล่เอาเสียดื้อๆ

ปัญญ์ปรียาเม้มปากสะกดเก็บความไม่พอใจที่พลุ่งพล่านขึ้นมา อุตส่าห์ทำใจกล้ารอพบเขา รั้งรอถึงราตรีกาลในเปรมบุราณอันเป็นถิ่นพำนักของเขา แต่เสวนากันแค่ไม่กี่ประโยค เขาก็พบว่าเธอน่าเบื่อไม่คู่ควรกับการอยู่คุยกับเขาแก้เหงาอย่างนั้นหรือ
หรือนี่เธอกำลังน้อยใจเขา!

น่าแปลกที่เขาช่างมีอิทธิพลต่อเธอมากมายทั้งที่เขาไม่ยอมบอกชื่อเสียงเรียงนามด้วยซ้ำไป

“ฉันกลับก็ได้ แล้วพรุ่งนี้คุณอย่าแกล้งฉันอีกนะ” หญิงสาวตัดใจไม่ดื้อดึง เขาเป็นแค่ผีขี้เหงาตนหนึ่ง เธอไม่ควรวุ่นวายใจเพราะเขามากนัก ความจริง เธอไม่ควรรออยู่ที่นี่ คุยกับเขาเป็นวรรคเป็นเวรอย่างนี้ด้วยซ้ำ

“ไม่แกล้งหรอก ทำแบบนั้น กลางวัน ฉันเหนื่อย” เขาพูด น้ำเสียงขาดหายเป็นห้วง เหตุเพราะคลื่นแห่งอำนาจของเขาถดถอยลง

“เหนื่อยแล้วทำไมยังทำอีกล่ะคะ คุณมาแกล้งฉันทำไม หรือฉันไปทำอะไรที่ลบหลู่คุณเข้า ฉันขอโทษ”

“เพียงมันกระตุ้นให้หล่อนอยากพบฉันได้”

คำตอบของเขาทำเอาเธอสับสนอีกแล้ว ทำไมเขาต้องพูดไล่ให้เธอไปทั้งที่ปรารถนาจะได้พบกับเธอ ตัวเขากลายเป็นปริศนาที่ยากขบแตก แต่ช่างยั่วยวนให้เธอลองหาทางไขแก้ดูสักที

“ฉันก็มาพบคุณแล้ว คุณจะไม่บอกเหรอคะว่าคุณชื่ออะไร”

เขาอมยิ้มนิดหนึ่งพลางส่ายหน้า เธอมั่นใจแล้วว่าเขาจงใจแกล้งอมพะนำไว้ ทำอย่างกับรู้ว่านิสัยช่างสงสัยของเธอมักกระตุ้นให้ทำอะไรบุ่มบ่ามกล้าหาญได้เสมอ

“ฉันจะไม่อยู่รอเจอคุณอีก” ปัญญ์ปรียาขู่ มั่นใจว่าถ้าเขาเหงาจริง อยากได้เพื่อนคุย เขาต้องยอมง้อ ยอมบอกเธอแน่

“หล่อนไม่ควรพูดประโยคนั้น ถ้าไม่อยากผิดคำพูด”

“คุณนี่มัน...!” เพราะด่าไม่ใครไม่ค่อยเป็น แถมผีที่ทำตัวน่าด่ายังหล่อเหลาน่าลุ่มหลง คำบริภาษทั้งหลายแหล่จึงล้วนไม่เหมาะสมจะเอาไปกระทบกระเทียบเขา หญิงสาวได้แต่ฮึดฮัดขัดใจ

ดวงวิญญาณหนุ่มมองกิริยานั้นอย่างขบขัน อิ่มเอมกับการได้เห็นความมีชีวิตชีวาโลดแล่นอยู่ตรงหน้า จนไม่อยากให้เวลาของเขาและเธอจบลง

ถ้าเพียงแต่เขาจะมีอำนาจเพียงพอ

“ต้องอำลาแล้ว สาวน้อย” กล่าวจบด้วยความเสียดาย เขาก็จรดริมฝีปากเล่าขานท่วงทำนองหวานล้ำผ่านเสียงโหยครวญของเครื่องดนตรีไทยเลางาม พร้อมกับที่เสียงปี่ค่อยๆผะแผ่วเงียบหาย ตัวเขาก็จางเลือนรางไป ตลอดเวลาตั้งแต่แรกพบจนจบพราก สายตาเขาไม่เคลื่อนจากดวงหน้านวลกระจ่างแม้แต่น้อย

หากมีกำลังเหลือมากกว่านี้ มีหรือจะยอมจากเธอไปง่ายๆ

เขารอ...เฝ้าคอย...ตามหา...ผ่านเวลาอันแสนทรมานจนได้พบ

มันเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว




เจ้าของร่างเพรียวสูงค่อยๆดอดลอบออกจากอาคาร แสงจันทร์ภายนอกเพียงพอให้มองเห็นเส้นทางชัดเจน จึงเก็บเครื่องมือสื่อสารที่ถูกใช้แทนไฟฉายจนเครื่องร้อนจัดกลับลงกระเป๋า สวมรองเท้าแล้วมองล่อกแล่กซ้ายมองขวา ใจยังสั่นอยู่นิดๆเหมือนเด็กเพิ่งเล่นซนจนข้าวของพังแล้วกลัวโดนดุ

พรุ่งนี้เธอจะเจอเขาอีก แล้วเขาต้องบอกเธอว่าเขาคือใคร เธอเชื่อมั่นอย่างนั้น แม้รู้ดีว่าห่างชั้นเกินจะต้อนเขาให้จนมุมได้

เขาอยากคุยกับใครสักคนให้คลายเหงา เธอคิดจะใช้เรื่องนั้นต่อรองเขาอีก แม้เธออาจไม่ใช่เพื่อนคุยที่ถูกใจเขานัก เขาจึงเรียกเย้าหยอกเล่นเหมือนเธอเป็นเด็ก

‘สาวน้อย’

เทียบกับเขา เธอคงเป็นเพียงเด็กน้อยที่ผลิความสาวมาไม่เท่าไรจริงๆ พิจารณาจากสภาพการแต่งกายและลักษณะการพูดจา เขาคงไม่ใช่ผีร่วมสมัยนักหรอก เธอคลับคล้ายคลับคลาว่าคนไทยเริ่มเปลี่ยนมาสวมใส่กางเกงอย่างฝรั่งเมื่อรัชกาลที่หก มาแพร่หลายมากหน่อยก็ต้องรัชกาลที่เจ็ดแล้ว นั่นหมายความว่าเขาอาจจะอยู่เป็นวิญญาณไม่ยอมไปผุดเกิดมาตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์หรือก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำไป

เธออยากรู้จริงว่าเขามีชีวิตอยู่ในสมัยไหนแน่ ผู้ชายสมัยก่อนมีลูกมีเมียเป็นโขยง ไม่รู้ว่าเขาจะมีสักเท่าไร แล้วลักษณะอย่างเขา ตอนยังมีชีวิตคงเจ้าชู้ไม่หยอก นอกจากคารมจะเป็นต่อ รูปร่างหน้าตาเขายังจัดว่าดีมากเสียด้วย ผู้หญิงในสังกัดคงสวยงามละลานตาไม่น้อย ถ้าเทียบกับเธอที่สูงเพรียวแต่อึ๋มมีน้อยขนาดนี้คงไม่อยู่ในข่ายที่น่าสนใจของเขาแน่ๆ

แต่ก็เถอะ...นาทีนี้ เขาไม่มีทางเลือกนักหรอก อย่างน้อย เธอก็น่าจะเหมาะเป็นเพื่อนคุยของเขามากกว่าพี่แดง ป้าอารี หรือหนูน้อยชะเอมแล้วกัน

เธอหลุดหัวเราะเบาๆเมื่อจินตนาการถึงฉากการพบกับระหว่างผีหนุ่มขี้เหงาเจ้าปัญหากับผู้หญิงหลากวัยหลากสไตล์

เขาต้องโดนพี่แดงดุแน่ๆถ้ามัวแต่ท่ามากไม่แนะนำตัวอย่างนั้น ป้าอารีคงสนใจละครหลังข่าวมากกว่าเขา เด็กน้อยชะเอมนั่นอีก กว่าจะยอมเล่นกับเธอ เธอต้องเสียขนมไปสักกระบุงได้ ลำพังเพลงปี่ของเขาคงชวนหลอนมากกว่าชวนสนิทสนมพูดคุย

ทั้งหมดทั้งมวล ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า ทุกคนไม่เผ่นแนบหนีผีอย่างเขาไปเสียก่อนด้วยนะ

หญิงสาวสาวเท้ายาวขึ้นเดินราวล่องลอยในปุยเมฆ ปากฮัมทำนองเพลงที่เพิ่งผ่านหู อีกไม่นานก็พรุ่งนี้ และไม่นานเท่าไรก็คืนวันพรุ่งนี้ เธอจะได้คุยกับเขาอีก ต้องวางแผนดีๆว่าจะซักถามเขาอย่างไร

เพียงสิบนาที ปัญญ์ปรียาก็กลับถึงที่พัก ก้าวล่วงเข้าไปภายในพร้อมแผนการเจรจากับวิญญาณขี้เหงาเต็มสมอง เธอมัวแต่เหม่อคิดถึงแผนในอนาคต จึงไม่ทันระวังตัว ไม่สะกิดใจสักนิดว่าถูกใครคนหนึ่งเดินตามมาตลอดทาง

“อยู่ทำอะไรมืดๆนะ” เสียงห้าวทุ้มพึมพำออกจากลำคอ คนบ่นรอจนเธอไขล็อกกุญแจเหล็กด้านหน้าหอพักเรียบร้อยแล้วลับหายไปภายใน ค่อยบ่ายหน้ากลับบ้าน นึกหงุดหงิดไม่น้อยที่เธอหลบทำอะไรไม่รู้อยู่ในเปรมบุราณอีกนานสองนาน สองทุ่มครึ่งจะว่าดึกก็ไม่ดึกนัก แต่เป็นผู้หญิงยิงเรือมาเดินท่อมๆกลางค่ำกลางคืนในซอยที่ไม่ค่อยมีคนสัญจรผ่านไปมาแล้วจะให้เขาวางใจได้อย่างไร

หากไม่ใช่เพราะเขาติดนิสัยต้องสอดส่องดูเธอ...ไม่สิ ต้องเรียกว่าตรวจดูความปลอดภัยของทรัพย์สินและผู้คนในบ้านรวมถึงเปรมบุราณ เขาคงไม่สังเกตเห็นแสงไฟวูบวาบวับแวมจนต้องออกจากบ้านมาดูด้วยความสงสัย

เขาเดินยังไม่ทันถึงเปรมบุราณก็เห็นเธอลอบออกมา ตากลมแป๋วเหมือนกระต่ายมองซ้ายมองขวาอย่างมีพิรุธ แต่เปรมบุราณไม่ได้เก็บสิ่งมีค่าอื่นใดนอกจากหนังสือ แล้วกระเป๋าใบขนาดเล็กจนน่าสงสัยว่ายัดกุญแจกระเป๋าเงินรวมถึงโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องพอได้อย่างไร มันคงบรรจุอะไรอื่นอีกไม่ได้

เขาหงุดหงิดกับความสงสัยที่ว่าเธอทำอะไรอยู่ในนั้นพอๆกับเรื่องที่เธอถูกเดินตามแทบประชิดตัวแต่ไม่มีสติพอจะเหลียวหันมามองอย่างระแวดระวังสักนิดหนึ่ง มัวแต่เดินฮัมทำนองประหลาด ท่าเท้าล่องๆลอยๆเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถ้าเขาคิดร้ายต่อเธอสักนิด มีโอกาสเกินสองครั้งที่จะลากเข้าซอยเล็กซอยน้อยตามรายทาง ฉุดปล้ำโดยไม่มีใครทันเห็น

ผู้หญิงอะไร...ช่างน่าเป็นห่วงจริงๆ




วรทอยากจะอยู่เฝ้าดูพฤติกรรมลับๆล่อๆยามค่ำคืนของปัญญ์ปรียาจริงๆ ติดที่เขาเป็นผู้บริหารที่มีหน้าที่ค้ำคอ มีความรับผิดชอบรอเป็นพะเรอเกวียน เขาไม่เคยคิดปล่อยปละให้พนักงานทำงานไปวันๆโดยไม่ดูดำดูดี ดังนั้น เขาจึงกำหนดให้ตัวเองเดินทางไปที่รีสอร์ตเรือนบุราณอย่างน้อยอาทิตย์ละสามถึงสี่วัน และวางแผนล่วงหน้าทีละเดือนเป็นอย่างต่ำ เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะใส่ใจกับงานมากเพียงพอ

เขาเข้มงวดกับกำหนดการที่ตั้งไว้ให้ตัวเองเสมอ ถ้าไม่มีเหตุจำเป็น จะไม่เลื่อนกำหนดดังกล่าวเด็ดขาด

การสอดส่องความเป็นไปของ ‘ห้องสมุด’ หรืออาจรวมถึง ‘พนักงานบางคน’ ในห้องสมุด ไม่อาจนับเป็นเหตุจำเป็นได้ เขาจึงจำต้องขับรถออกจากบ้านแต่หัววันตามกำหนดการเดิม โดยมีวดีนั่งลูบขนตุ๊กตาแมวสีขาวตาโตแป๋วแหววอยู่เคียงข้าง
วรทถอนหายใจเฮือกใหญ่ เวลาแบบนี้ เขาควรได้จิบกาแฟอยู่ริมหน้าต่าง รับภาพใครสักคนเป็นอาหารตาในยามเช้ามิใช่เหรอ
แม้พยายามกำหนดจิตตัวเองให้มีสมาธิกับการขับรถ แต่ไม่ค่อยสำเร็จ เสียงครางฮึมฮัมจากลูกสาวตัวดีที่คลอไปตามเพลงที่เขาเปิดในรถ ชวนให้เขานึกถึงเธอ

เผลอตัวหน่อยเดียว เขาก็ถอนใจอีกรอบ

“ห้าแล้วนะคะ”

“อะไรเหรอหนูดี”

“คุณพ่อถอนใจเฮือก-ก-ก-ก....” วดีลากเสียงยาวเลียนแบบพ่อ ก่อนจะกางนิ้วทั้งห้าประกอบการนับ “ห้าครั้งแล้วค่ะ หนูดีจำได้”

“เรื่องงานน่ะลูก” เขาตอบสวนปัดให้พ้นตัวในทันที

“แต่คุณพ่อไม่เคยถอนใจแบบนี้สักที” วดีใคร่ครวญจริงจังจนหน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อนจะก้มลงหาตุ๊กตาแมว “หนูดีว่าต้องมีอะไรแน่ เนอะมาเรียเนอะ”

วรทหัวเราะไม่ออกร้องไห้ก็ไม่ได้ เห็นทีเขาจะเปิดเปลือยความรู้สึกให้ลูกสาวรู้มากเกินไป หรือไม่แม่ลูกสาวก็แสนรู้เกินเด็กไปสักหน่อย ชายหนุ่มกระแอมเบาๆทีหนึ่ง พลางกล่าวด้วยเสียงเข้มดุที่ใช้ได้ผลทุกครั้ง “ไม่คุยกับตุ๊กตานะหนูดี ตุ๊กตาพูดไม่ได้”

คราวนี้ ลูกสาวมั่นใจว่าตนไม่ผิด ที่ผ่านมา เธอเคยพูดกับทั้งมาเรียและฟูฟ่องให้พ่อเห็น แต่ไม่เคยถูกดุว่า วดีรู้ทันจึงปั้นหน้าบู้แกล้งงอน

“คุณพ่อแก้เก้อมาดุหนูดี หนูดีจะโป้งคุณพ่อนะคะ”

“ก็พ่อคิดเรื่องงานจริงๆ”

“ไม่จริงอะ อ๋อ...หนูดีรู้แล้ว!” เด็กน้อยทำตาโต อมยิ้มกริ่มอย่างเจ้าเล่ห์แสนกล ก่อนจะหัวเราะคิกคักชวนให้สงสัย

“รู้อะไรเฮอะเรา แก่แดดแก่ลมจริงเชียว”

“คุณพ่อต้องคิดถึงป้าแดงแน่ๆเลย ใช่มั้ยคะ” เด็กน้อยกล่าวไปหัวเราะไป จนวรทหมั่นไส้ทนไม่ไหวต้องดีดหน้าผากเล็กๆเป็นรางวัลข้อที่แสนแสบแสนรู้ไปทีหนึ่ง

“เอาใหญ่แล้วนะ ตัวยุ่ง”

แม่ตัวยุ่งน้อยบู้ปากใส่ ก่อนจะคลุมโปงหนีเข้าไปในผ้าห่มผืนนิ่มสีชมพูลายจุดที่คลุมร่าง แล้วส่งเสียงคิกๆกวนใจอีกนานสองนาน

เขาได้แต่ส่ายหน้าทั้งขำทั้ง...ขะ...เขินเหรอ...ไม่ใช่นะ! เขาคิดถึงเรื่องงานจริงๆ ไม่ได้โกหกสักนิด ถ้าเธออยู่ดึก ทำข้าวของเสียหาย เป็นสายโจร หรือถูกโจรงาบไปตอนกลางคืน ทุกอย่างต่างเป็นผลเสียต่อเปรมบุราณทั้งสิ้น

ไม่เกี่ยวกับความเป็นห่วงเป็นใย ไม่มีความรู้สึกคิดถึงอยากพบหน้า

ไม่มี ไม่ใช่ ความรู้สึกแปลกๆในหัวใจที่คอยจะขยายตัวลุกลามใหญ่โตอย่างควบคุมไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องทำนองนั้นหรอกน่ะ! เธอเป็นแค่ลูกน้องคนหนึ่งเท่านั้นเอง!




ลูกน้องที่มีอิทธิพลต่อหัวใจวรทยิ่งนักไม่ยอมกลับบ้านตามเวลาที่ควรอีกจนได้ ยิ่งเธอรู้อยู่แล้วว่าวรทออกไปทำงานที่รีสอร์ตจึงได้ทีเปิดไฟแถวหลังห้องไว้แถบหนึ่ง ลากเอาเก้าอี้ไปอ่านหนังสือนั่งรอการปรากฏตัวของวิญญาณปริศนาอยู่หน้าตั่งขาสิงห์

ทุ่มสี่สิบห้าแล้วแต่เขายังไม่ยอมโผล่มา ปัญญ์ปรียานึกสงสัยขึ้นมาตงิดๆ เธอเข้าใจว่าวิญญาณเขาน่าจะวนเวียนอยู่ในเปรมบุราณอยู่แล้ว เขาเคยปรากฏตัวก่อนสองทุ่มและถึงขั้นจับต้องตัวเธอได้เสียด้วย แต่ทำไมเขาจึงจำเพาะเจาะจงต้องสำแดงฤทธาปาฏิหาริย์ด้วยการโผล่มาเป่าปี่เวลาเดิมทุกครั้ง เธอทดเรื่องนี้ไว้ในใจ หวังว่าจะไม่ลืมคำถามทั้งหมดทั้งมวลทันทีที่เห็นหน้าเขา

หญิงสาวก้มลงอ่านหนังสือต่อไปได้อีกบทหนึ่ง เสียงปี่ก็กังวานแว่ว เรียกความสนใจให้เงยมอง

เขามองเธออยู่ก่อนแล้ว แม้ไม่เห็นรอยยิ้มที่ปากของเขา แต่เธอเห็นรอยยิ้มที่สองตาเขาอย่างชัดเจน ราวกับเขากำลังทักทายหยอกเอินเธอด้วยเสียงเพลงคำหวาน ปัญญ์ปรียาไม่พูดขัดจังหวะเพลงของเขา เธออยากดื่มด่ำกับบทเพลง อยากฟังมันอย่างมิรู้เบื่อ

ครั้งก่อนเขานอนอเนกเขนกท่วงท่าเกียจคร้าน ครั้งนี้เขานั่งหลังตรง ขาข้างหนึ่งขัดขึ้นมาทับอีกข้าง มองแล้วไม่ผิดจากรูปปั้นพระอภัยมณีเป่าปี่ที่เคยเห็น ติดที่พระอภัยมณีของเธอนี้ยังคงแต่งตัวอย่างปล่อยปละละตัวอยู่เช่นเมื่อวาน

ครั้งที่สองแล้วที่เห็นเขาในสภาพเปลือยท่อนบน ผ้าโจงที่ปกคลุมท่อนล่างเหมือนจะเป็นผืนเก่า นุ่งปล่อยชายเหมือนเดิม หรือไม่มีใครเผาชุดไปให้เขาเปลี่ยน ไม่รู้ถ้าเธอหาชุดกงเต๊กเผาไปให้เขา เขาจะได้รับหรือไม่ ก็เขาดูเป็นผีไทยแท้ ไม่ใช่หนุ่มเชื้อจีนจากมณฑลไหน

เธอสงสัยใจอยู่ไม่นาน ท่วงทำนองก็หยุดลง

“เพลงจบแค่นี้เองหรือคะ ฉันยังฟังเพลินอยู่เลย” ปัญญ์ปรียาเอ่ยท้วง นึกเสียดายอย่างจริงจัง

“ดีใจที่หล่อนยังชอบ แต่เหมือนหล่อนจะชอบมองผ้านุ่งฉันเสียมากกว่า” คำกระเซ้าทำเอาเธอหน้าแดงจรดใบหู อับอายไม่น้อยที่เธอไปจ้องเขาเพลินจนเขาสังเกตเห็น

“ฉันแค่สงสัยว่าทำไมคุณไม่ใส่เสื้อผ้าให้มันดีๆเท่านั้นเอง พูดซะเสียหมด” หญิงสาวแก้ตัว

“ใส่แบบนี้ดี สบาย แล้วหล่อนดูชอบออก”

“คุณนี่! ฉันไม่ได้ชอบ ใครจะไปชอบมองผ้านุ่งคุณ!”

ถ้าบอกว่าเธอชอบมองผ้านุ่งเขา มันไม่หมายถึงเธอจ้องจาบจ้วงที่เบื้องล่างของเขาหรืออย่างไร นั่นน่าอายว่าจ้องอกเปลือยของเขาเสียอีกนะ!

ใบหน้าปัญญ์ปรียาง้ำงอขวยเขินขัดใจที่ถูกเย้าแหย่ หันรีหันขวางแทบจะหยิบหนังสืออกจากชั้นเขวี้ยงใส่เขาสักหลายๆเล่ม เผื่อวิญญาณหนุ่มจะเลิกพูดจาประหลาดๆใส่เธอเสียที ทว่า พอหันมาอีกครั้งก็พบว่าผิวกายแข็งแกร่งน่าลุ่มหลงของเขาถูกปกปิดด้วยเสื้อแขนสั้นสีขาวตัวบาง ผ้าโจงผืนเก่ากลายเป็นกางเกงแพรต่วนสีน้ำเงิน ปัญญ์ปรียาค่อยยิ้มออก แม้เขาหยอกแกล้งสารพัด แต่ก็ไม่ใจร้ายหยาบคายไปนัก ขืนเขาโผล่มาโชว์ซิกส์แพคบ่อยๆ พาให้เลือดลมปั่นป่วนเกินไป เธอต้องล้มป่วยลงสักวันแน่ๆ

“พอมองได้อยู่หรอกนะชุดนี้ ถ้าให้ฉันแต่งเหมือนออกงาน ก็เกินไปสักนิด”

“ฉันก็ไม่ได้ว่านะคะ แค่ตอนแรกผ้าโจงของคุณนุ่งไม่เรียบร้อย”

“นั่นเรียกว่านุ่งแบบถกเขมร ขัดเขมรก็เรียก”

“คุณเป็นคนเขมรหรือคะ” หญิงสาวถามอย่างแปลกใจ ด้วยได้ยินเขาพูดไทยออกคล่องปาก หรือที่จริงเขาพูดเขมร แต่ใช้อำนาจจิตดลบันดาลให้เธอฟังรู้เรื่องก็ไม่รู้

“ฉันเป็นคนไทย หล่อนนี่ แค่นี้ก็ไม่รู้จัก”

“แล้วคุณรู้จักไอดอลเกาหลีของฉันมั้ยละ”

“รู้จัก ไอดอลอะไรของหล่อน ฉันแยกแยะหญิงชายไม่ใคร่ออก”

การออกเสียงภาษาอังกฤษของเขาชัดเจน เพิ่มความ ‘คม’ ของน้ำหนักคำตอบให้สอยเสยคางเธออย่างจัง ปัญญ์ปรียาปากอ้าค้างอยู่หลายวินาทีจนเขาหัวเราะ พลางเฉลยที่มาของความรู้ของเขา

“แปลกใจอะไรกัน ฉันวนเวียนอยู่ในห้องสมุดแบบนี้ หล่อนไม่คิดว่าฉันจะอ่านหนังสือบ้างหรือ ใครเปิดอ่านอะไรฉันก็อ่านด้วยได้หมด หล่อนก็เถอะ หัดอ่านอะไรที่มันมีสาระบ้าง เปิดหนังสือพิมพ์ทีไร หล่อนหาแต่หน้าที่มีรูปไอดอลอะไรของหล่อนทุกที หล่อนควรหยิบหนังสือประวัติศาสตร์บ้าง ฉันอยากรู้ เราผ่านอะไรกันแล้วมาบ้าง มาถึงจุดที่...เป็นขนาดนี้ได้อย่างไร” สีหน้าของเขาหม่นหมองเคร่งเครียดขึ้นไม่น้อยยามพูดถึง แถมท้ายด้วยการถอนหายใจหนักๆหนึ่งที

“ฉันก็ไม่อยากให้ประเทศไทยเป็นแบบนี้นะ ฉันก็พยายามทำในส่วนของฉัน ต่อให้ชอบนักร้องเกาหลีบ้าง แต่ไม่ได้เห่อแต่ของนอกเสียหมด เพิ่งรู้นอกจากขี้เหงาแล้วคุณยังขี้บ่นอีก” ปัญญ์ปรียาบ่นแก้เก้อที่โดนจับได้ ยังดีหน่อยที่เขาไม่เติมเสริมออกมาอีกว่าหน้าถัดไปที่เธอหาอ่านคือหน้าดวงรายวัน!

“ฉันเพียงแต่อธิบายใช่บ่นว่าหล่อน ไม่เอาละ ไม่ชอบให้ฉันพูดมากก็ไม่พูดแล้ว เดี๋ยวหล่อนจะขู่ไม่มาอีก ฉันไม่รู้จะสรรเอาอะไรมาล่อหลอกหล่อน”

“คุณคงเหงามากสินะคะ”

“ฉันคิดถึงหล่อน ปรารถนาที่จะได้พูดคุยกับหล่อนอยู่ทุกวัน นับแต่ได้เห็นหล่อน ฉันก็เฝ้ารอที่จะสื่อสารกับหล่อนได้ ความคิดถึงมันเข้มข้นรัญจวนแต่ก็ทรมานฉันนัก”

ถ้อยความของเขาสะดุดหูอยู่บ้าง ยิ่งเมื่อเขาส่งสายตาแน่วแน่มาให้แทนประกาศชัดว่าเธอคือคนที่เขาคิดคำนึงถึงไม่ว่างเว้น หญิงสาวพยายามละความสนใจจากความนัยเหล่านั้น ด้วยเกรงว่าจะคิดเข้าข้างตัวเองเกินไป เธอกับเขาเพิ่งพบกัน มิหนำซ้ำยังเป็นการพบกันอย่างแปลกพิสดารยิ่งนัก เขาอาจหมายถึงใครสักคนในอดีตก็เป็นได้ ใครสักคนที่ทำให้เพลงคำหวานของเขาความหมายซาบซึ้งเหลือเกิน

“มิน่า เวลาฉันฟังเพลงของคุณ ฉันถึงรู้สึกว่าบางครั้งมันชวนเศร้า แต่บางครั้งก็หวานละมุนชวนให้เคลิบเคลิ้ม มันคืออารมณ์ของความคิดถึงนี่เอง...ใช่มั้ยคะ” ปัญญ์ปรียารู้สึกว่าเสียงปี่ของเขาไม่อาจจำกัดความไว้เพียงคำว่าเหงา เศร้า หวานละมุน คำเหล่านั้นช่างธรรมดาและตื้นเขิน เสียงปี่ของเขามันซับซ้อนกว่านั้น ในที่สุดเธอก็หาคำจำกัดความที่เหมาะสมกับเสียงปี่ของเขาได้

“ฉันย่อมถ่ายทอดความคิดคำนึงออกมาตามเสียงเพลงไม่ว่าโดยตั้งใจหรือไม่ หล่อนไม่คิดบ้างหรือว่ามันคืออารมณ์ของความรัก” อีกครั้งที่แววตาเขาระยิบระยับพร่างพรายราวจำลองเอาท้องฟ้ามาแผ่ไว้ที่เปรมบุราณ

ปัญญ์ปรียาค้อนควัก เธอพยายามไม่คิด แต่เขาก็พยายามให้เธอคิดเสียจริง หยอดซ้ายหยอกขวาจนหัวหมุนไปหมด เสียงนุ่มชวนฝันขนาดนั้น ตาก็พราวเยิ้มฉ่ำอย่างคนเมารัก เห็นแล้วใจเธอสั่นหวิวๆเสียทุกที

“ทำไมต้องรอจนถึงสองทุ่มถึงจะออกมาพบฉันได้ล่ะคะ” หญิงสาวพยายามเปลี่ยนเรื่อง แต่มันไม่แนบเนียนกะทันหัน

เขาหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ จนถูกเธอค้อนใส่อีกรอบ ก่อนตอบ “ฉันไม่ประสงค์ให้หล่อนคอยนานดอก แต่เวลานี้พ้องต่ออำนาจฉันด้วยเหตุผลบางประการ ฉันสำแดงกายให้หล่อนเห็นได้อย่างมิยากเย็น”

“คุณดูมีอารมณ์พูดคุยตอบคำถามมากขึ้นแบบนี้ คงบอกฉันได้แล้วสะคะว่าคุณชื่ออะไรและต้องการอะไรกันแน่”

“ชื่อฉันสำคัญนักหรือสาวน้อย หากมันสำคัญนัก แล้วไยหล่อนจึงลืมเลือนเสียเล่า” เสียงเขาเจือการตัดพ้อต่อว่าให้คนฟังร้อนใจ

“คุณพูดแบบนี้อีกแล้ว ฉันมั่นใจว่าไม่เคยเจอคุณมาก่อน และเชื่อว่าคุณไม่ได้เพิ่ง...” ปัญญ์ปรียากล่าวแก้ แต่แล้วก็ต้องหยุดนึกเพื่อหาคำที่เหมาะสม การพูดว่าตายอาจเสียดแทงใจเขาเกินไป

“ฉันคงอายุราวๆร้อยห้าสิบปีเสียแล้วในปีนี้” เขายอมรับออกมาเองอย่างหน้าชื่น เหมือนเลขศูนย์ตรงท้ายไม่มีค่า

“นั่นสิคะ แล้วคุณจะว่าฉันเคยรู้จักคุณได้ยังไง” หญิงสาวบ่น ถ้าเธอเคยเจอเขา คงเป็นการเจอในฝัน ก็รูปร่างหน้าตาของเขาเหมาะกับการเป็นหนุ่มในฝันของหญิงแท้หญิงเทียมสักค่อนโลก

“อดีต...เราสนิทสนมกันเกินคำว่ารู้จัก” เขาย้ำคำว่า ‘สนิทสนม’ เป็นพิเศษ น้ำเสียงคล้ายจะแหบพร่าไปสักน้อยยามเอ่ยออกมา ผนวกกับสายตาของเขาที่ทำให้เธอจินตนาการไปถึงอกเปลือย ไล่เรื่อยลงไปผ่านลอนกล้ามท้องสีทอง ลงไปอีก...ไปยังส่วนที่ต่ำไปกว่านั้น
ปํญญ์ปรียาหน้าแดงร้อนซู่

ถ้าให้ทาย...เขาตั้งใจพูดให้หล่อนคิดลึก! ชัวร์!

“ฉันไปก่อกรรมอะไรกับคุณไว้ล่ะค่ะ คุณถึงมากวนฉันที่นี่” หญิงสาวกล่าวงอดแงด

“นึกก่อนเถิดสาวน้อย ย้อนนึกให้จงหนัก หล่อนจะรู้จักว่าฉันคือใคร สำคัญเพียงไหนสำหรับหล่อน ฉันเองก็หามีอำนาจล่วงรู้หัวจิตหัวใจของหล่อนได้ ทั้งที่ใคร่รู้ใจเจียนขาด” วิญญาณหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย ส่งผลให้ใบหน้าหล่อเหลาอย่างหนุ่มเจ้าสำราญดูสุขุมเป็นผู้ใหญ่ยิ่งขึ้น และมันทำให้ใจคนมองเต้นไม่เป็นจังหวะจนต้องหลบตายามตอบปฏิเสธ

“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าคุณคือใคร ฉันเชื่อเรื่องชาติที่แล้วหรือการระลึกชาติอยู่หรอกนะคะ แต่มันไม่เคยเกิดกับฉัน ไม่เคยแน่ๆ” ปัญญ์ปรียายืนกราน มั่นใจว่ามันเป็นไปไม่ได้โดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาทดลอง ในขณะเดียวกัน สัญชาตญาณเตือนเธอว่า นั่นเป็นสิ่งที่เธอไม่ควรล่วงรู้

คราวนี้มันไม่ใช่แค่ผอบนางโมรา แต่มันคือกล่องแพนโดร่าที่ทรงความชั่วร้ายกว่านั้นหลายเท่าตัว!

“ได้สิ เพียงมองฉัน ฟังฉัน” เสียงนุ่มของเขาทรงอำนาจอย่างประหลาด กล่าวจบ เขาก็จรดปากบรรเลงเพลงบทหนึ่ง ไม่ใช่เพลงเดิมที่เธอเคยได้ยิน เธอถึงกับเชื่อว่าน้อยคนนักที่จะเคยได้ยินเพลงนี้ เสียงบัดเดี๋ยวต่ำบัดเดี๋ยวสูง เกินเชื่อได้ว่าจะมีเครื่องดนตรีใดสามารถส่งเสียงเช่นนั้นออกมาได้ ท่วงทำนองบัดเดี๋ยวเร็วบัดเดี๋ยวช้า และไม่มีความไพเราะเลยสักนิดเดียว เส้นเสียงประหลาดจากเลาปี่คล้ายสายพลังงานประหลาดที่ส่งมาถึงแก่นวิญญาณ

ดึงดูด...ชักชวน...นำทาง

พาผ่านห้วงกาลนับร้อยปี!



นณกร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ธ.ค. 2557, 23:51:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ธ.ค. 2557, 23:51:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1152





<< กรุ่นกลิ่นความลับที่เย้ายวน   สายน้ำที่ไหลกลับ (1/2) >>
นณกร 7 ธ.ค. 2557, 23:57:34 น.
คุณโอชิน >>> ขอบคุณค่า แต่ตอนนี้คุณวรทหลบไป ผีผู้ชายกำลังมา 555

คุณพันธุ์แตงกวา >>> พี่แตงขา คุณวรทจะกินเด็กสำเร็จมั้ยไม่รู้ แต่นาทีนี้ หนูอยากกินซิกส์แพคผีค่ะ :P

คุณดังปัญณ์ >>> ว้ายๆๆๆ แวะมาทักมายเราด้วย จุ๊บๆๆๆๆ...พิพัฒน์...พิพัฒน์ไหน เขาคือใคร 5555+

คุณปรางขวัญ >>> ฮีแอบดูอยู่อีกนานเชียวค่ะ จะไม่ทันกินแล้ววววววว

คุณใบบัวนารัก >>> มีเมียเด็กต้องทำใจจริงค่ะ แต่ก่อนอื่น ต้องจีบทำเมียให้ได้ก่อนนะ จะสู้ผีได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ค่ะ หุหุ


พันธุ์แตงกวา 8 ธ.ค. 2557, 02:10:31 น.
โอ้วววว คุณผี เปลือยท่อนบน ปล่อยท่อนล่าง ดวงตาพราวระยับราวจำลองดาวทั้งฟ้า เจ้ขอลืมคุณพระ มาแอบเจอคุณผีด้วยได้ม้าย พ่อคุณพ่อทูนหัว ขื่นขมอันใดกัน เขาว่าท่านน้ำเน่าอย่างนั้นรึ มามะๆ ยายหนูนั่นจำท่านไม่ได้ก็ลืมนางเสีย มาซบอกเจ้แทน พ่อพระอภัย
มาต่อเร็วๆน้า เค้าอยากเจอผี


ดังปัณณ์ 8 ธ.ค. 2557, 11:39:46 น.
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด โหดร้ายมากกกกกกกกกกกกกกก ทำความจำเสื่อมเรอะ เขย่าๆๆๆๆๆ ห้ามลืมคุณพิพัฒน์ของอิชั้นเด็ดขาดดดดดดดดดดดดดดดดดด 555+

อุ้ยตายคุณผี! ขุ่นพระนั่นรึคือคุณผี กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด อยากจิถกผ้านุ่งออก เอ๊ย! ไม่ใช่แระ 555+ โอ๊ยยยยยยยย หัวใจอิป้าจะละลายนั่นคืออัลไลลลลลลลลลลลลลลลลล กรี๊ดๆๆๆๆๆ ซิกพงซิกแพ็ค เอิ่ม อร๊ายยยยยยยยยยยยย ทิชชู่ๆๆๆ


ใบบัวน่ารัก 9 ธ.ค. 2557, 00:39:15 น.
จีบคะไปจีบเด็ก ไม่ต้องอายนะคะ
ดีกว่าเฝ้าแต่แอบมอง
หนูดียังรู้เลย เก็บอาการไม่มิด
เด๋วก็ได้ไร่แห้วเป็นกิจการใหม่ซะนิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account