...คาสบลังก้า...ดารัลฟาเดล...(จบแล้วค่ะ)
สืบเนื่องมาจากเรื่อง "อะรูซะตี...เจ้าสาวของผม"
เรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวของลูกสาวสุดหวงของหมอดานีส
กับนาดา โดยเรื่องราวของคุณพ่อเมื่ิอครั้งก่อนนั้น
จะเป็นแนา "แต่งก่อนจีบ"
แต่สำหรับรุ่นลูกแล้ว จะเป็นแนว "จีบก่อนแต่ง"

ต้องมาคอยดูกันค่ะว่า จะจีบกันอย่างไร แล้วคุณหมอดานีส
ที่ต้องมารับบทบาทเป็นพ่อของลูกทั้งเจ็ดจะตกอยู่ในสภาพเช่นไร..
แล้วนาดาจะเป็นแม่แบบไหน...



เรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศของเมือง
"คาสบลังก้า" หรือ "อัดดารัลบัยฎออ์"
ซึ่งแปลว่า..."บ้านสีขาว"
ดินแดนในฝันดั่งต้องมนต์เสน่หาแห่งโมร็อกโก...
กับดินแดนอันแสนอบอุ่นด้วยไอรักแห่งแดนอาทิตย์อุทัย...

พบกับเขาและเธอ...

...ดารัล...ฟาเดล...

หญิงสาวที่หัวใจเปี่ยมล้นไปด้วยความรักความอบอุ่น
จากครอบครัวอันแสนสุขและน่ารัก...
ชีวิตที่มีพร้อมทุกอย่าง ไม่เคยต้องการสิ่งใดอีกแล้ว
เพราะเธอพอใจทุกอย่างที่มีมาตลอด

จนเมื่อเจอกับเขา...ที่นั่น "คาสบลังก้า"
เขาทำให้เธอไม่อาจลบลืมมนต์เสน่หาของที่นั่นได้เลย
ไม่ว่าจะยามหลับหรือตื่น...

กับ

ชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยรูปเปลือกที่สวยงามสมบูรณ์
หากภายในใจนั้นยังคงโหยหาไออุ่นแห่งรักจากใครสักคน
มาเติมเต็มหัวใจกำพร้าของเขา...

แล้วเธอคือผู้ที่เขาค้นพบว่ามีทุกอย่างที่เขากำลังต้องการอยู่
ดังนั้น...ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร เขาก็จะปล่อยเธอ
ไปไม่ได้โดยเด็ดขาด!




Tags: หวานซึ้งโรแมนติก ดราม่า โมร็อกโก คาสบลังก้า ทะเลทรายซาฮาร่า ดารัล ฟาเดล โสภณพสุธ

ตอน: บทที่ 24 ดาบสองคม



“คุณมาหาใครคะ…”

บอดีการ์ดสาวยืนขวางทางหญิงสาวร่างโปร่งระหง
ที่ก้าวเข้ามาในคฤหาสถ์หลังงามในชุดเดรสสีน้ำทะเลเรียบหรู เข้ารูปสวยเนียบ

ดวงหน้าสวยที่ตกแต่งอย่างดีเข้ากับทรงผมที่ถูกเกล้าขึึ้นสูงปักด้วยปิ่นเพชร
มีบางส่วนตกลงมาคลอเคลียข้างแก้ม
ผิวพรรณที่โผล่พ้นอาภรณ์ออกมาดูสวยนวลเนียนดูน่าสัมผัส

ทุกองค์ประกอบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าดูคล้องจองลงตัวสวยงาม…

เนเนตสบดวงตาคู่สวยทว่าคมหวานที่จ้องมองมาราวกับเย้ยหยัน
ที่แฝงไปด้วยอำนาจ มีเสน่ห์ลึกลับชวนให้น่าค้นหากับท่วงท่าราวกับ
นางพญาหงส์ทอง น้ำเสียงนุ่มหวานเอ่ยขึ้นอย่างคนที่มั่นใจในตัวเองสูง

“คุณดารัลอยู่มั้ย…” เนเนตลอบถอนหายใจ
เพราะไม่คิดว่าหญิงสาวผู้นี้จะจู่โจมเข้าถ้ำเสืออย่างองอาจเพียงนี้
ไม่มีเวลาแม้แต่จะได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ

“อย่าเสียมารยาทกับแขกสิเนเนต…”
น้ำเสียงกังวานใสดังขึ้นจากทางด้านหลัง

ทำให้เนเนตต้องหลีกทางให้กับแขกผู้มาใหม่ทันที
เผยให้เห็นหญิงสาวในชุดเดรสยาวครอมเท้าสีขาวแขนยาว
ตรงปลายแขนเป็นจั๊มระบายด้วยลูกไม้สวย ดูน่ารักเข้ากับดวงหน้าสวยใส
รูปร่่างสูงโปร่งระหง เอวบางอ้อนแอ้น

และเมื่อยืนเทียบกับแขกแล้ว เนเนตก็อดเปรียบเทียบสองสาว
ที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ไม่ได้…

จะว่าไปแล้วสำหรับเธอนั้น แม้แขกสาวจะสวยปานหยาดฟ้ามาดินเพียงใดก็ตาม
หากก็ยังมิอาจเทียบเทียมความงามของเจ้านายของเธอได้…

แม้ท่วงท่าของแขกจะดูสูงส่งดุจนางพญาหงส์
หากก็ยังไม่อาจเทียบรัศมีอันสดใสและสว่างไสวของเจ้านายเธอได้อีกเช่นกัน…

แม้ไม่อยากจะเข้าข้างเจ้านายตัวเองนัก หากเนเนตก็อดยอมรับไม่ได้อยู่ดีว่า
หญิงสาวที่บุกเข้ามาในวันนี้ยังมิอาจเทียบรัศมีสีแสงของดารัลได้อยู่ดี…

ยิ่งตอนนี้เจ้านายของเธอมิได้สวมผ้าคลุมศีรษะและปกปิดใบหน้า
เพราะถือว่าอยู่ภายในตัวบ้าน นั่นยิ่งทำให้แขกที่ว่าสวยแล้วดูจืดลงทันตา

…เป็นโชคดีของผู้หญิงข้างนอกแค่ไหนแล้ว ที่เจ้านายของเธอมิได้ออกไปประจัญโฉม
อวดเรือนกายด้วย ซึ่งเป็นความสวยงามที่ไม่ต้องเสริมเติมแต่ง…
สวยโดยไม่ต้องผ่านมีดหมอและผ่านเครื่องประทินโฉมใดๆด้วยซ้ำไป…

เพราะเจ้านายเธอเลือกที่จะสวยให้ชายคนเดียวได้ยล
เป็นหญิงสาวที่มากความงามและมากเสนห์ที่แสนจะประหยัดความสวยของตัวเองได้ดี
คนหนึ่งในสายตาของเนเนต…

จึงไม่แปลกเลยที่คุณสามีของเจ้านายถึงได้แสนรักแสนหวงขนาดนี้…

“เชิญค่ะ…” ดารัลผายมือให้แขกเข้าสู่คฤหาสถ์ด้วยรอยยิ้มสดชื่น

ระหว่างเดินไปยังห้องรับแขก หญิงสาวได้แต่มองผมสีน้ำตาลเข้มเส้นเล็ก
ราวกับเส้นไหมยาวเหยียดเป็นเงามันวาวสลวยน่าสัมผัส
ที่มีความยาวถึงสะโพกด้วยดวงตาผ่าวร้อน…

ทุกๆก้าวที่เยื้องย่างนั้นท่วงท่าของเจ้าของบ้านดูนุ่มนวล หากมั่นคง สง่า
ไร้เสียงดุจการก้าวเยื้องย่างของนางพญาเสือป่า…

ผมสวยๆนั่นก็สยายเต็มแผ่นหลังสะบัดไปมาน่ามองยิ่งนัก

และเมื่อก้าวมาถึงห้องรับแขก เจ้าของบ้านผู้มีใบหน้าหวานละมุนตา
เชื้อเชิญให้เธอนั่งลงพลางถามไถ่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

“พี่ฟาเดลยังไม่กลับหรอกค่ะ…คงอีกสักพัก…” จังหวะโคนในการพูด
กับน้ำเสียงสดใสราวกับแก้วก็ดูรื่นหูน่าฟัง

มิน่า หุ้นส่วนคนสำคัญของเธอถึงได้รักได้หลงหัวปักหัวปำ
ถึงกับไม่ชายตามองหญิงใดอีก…

“ฉันไม่ได้มาหาคุณฟาเดล แต่ต้องการมาเจอหน้าคุณเพ่ือที่จะได้ทำความรู้จักกัน…”

หญิงสาวกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ…

“ฉัน…นายิกา รุจิรัตนานุกูล…หุ้นส่วนคนใหม่ล่าสุดของคุณฟาเดล”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายแนะนำตัวพร้อมยกมือขวาขึ้นทักทายแบบสากล
ดารัลจึงยกมือขึ้นรับไมตรีนั้นพร้อมกับแนะนำตัวเองด้วยรอยยิ้มว่า

“ฉัน ดารัล โสภณพสุธ ภรรยาคุณฟาเดล…ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ…”

“ฉันพอเดาได้ตั้งแต่ได้ยินคุณทักทายฉันด้วยภาษาไทยแล้วล่ะค่ะ…”
นายิกายอมรับว่าหญิงสาวตรงหน้าพูดไทยได้อย่างคนไทยพูด

“พอดีมีเชื้อไทยปนอยู่ในสายเลือดด้วยน่ะค่ะ…” ดารัลเฉลย
ทั้งๆที่แน่ใจว่าคนตรงหน้าย่อมสืบเรื่องของเธอมาบ้างแล้ว

“เอาเป็นว่า เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่านะคะ…” นายิกาที่ไม่ชินกับการ
พูดพร่่ามทำเพลงหรือชักแม่น้ำทั้งห้า
เพราะเป็นนักธุรกิจที่ผ่านการเจรจามานักต่อนักแล้ว
จึงพูดเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมาว่า

“ที่ฉันมาวันนี้ ก็เพื่อจะมาทำความรู้จักรูปโฉมของคุณเพียงเท่านั้น
มิได้มีธุระอย่างอื่นเลย…พูดตามตรงนะคะว่าอยากรู้ว่า
ภรรยาของหุ้นส่วนคนสำคัญของฉันนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร…
และเห็นจะต้องชื่นชมว่าคุณดารัลสวยจนฉันชักจะอิจฉาเสียแล้วสิคะ…”

ดารัลยิ้มรับคำชมจากคนตรงหน้า

“คุณก็เป็นสวยนะคะ…เราคงจะสวยกันคนละแบบ…”

“ฉันเคยภาคภูมิใจในทุกๆอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวฉันเองมาตลอด…
เพิ่งจะมารู้สึกว่าสิ่งนั้นถูกสั่นคลอนก็ตอนที่ได้เจอหน้าคุณนี่แหล่ะค่ะ…
หวังว่าคุณคงจะไม่คิดว่าฉันเป็นคนขี้อิจฉานะคะ…”

ดารัลโคลงศีรษะพร้อมอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้แววเย่อหยิ่ง ทะนงตน
หากเป็นในแบบเข้าใจสัจธรรมเสียมากกว่าว่า

“ความสวยงามเป็นภัย…ฉันคิดแบบนี้มาตลอด
และเมื่อฉันต้องการที่จะปกป้องตัวเองจากภัยต่างๆที่ความสวยจะนำพามาสู่ตัวเอง
ฉันจึงต้องปกปิดใบหน้าตัวเองเอาไว้ไงคะ…ดื่มน้ำเย็นๆก่อนสิคะ…”

ดารัลเชื้อเชิญให้แขกเมื่อเนเนตยกเครื่องดื่มและของว่างวางไว้ต้อนรับ
ก่อนจะอธิบายเสริมอย่างใจเย็น

“ไม่ใช่ว่าฉันรังเกียจความสวยหรือความไม่สวย
เพียงแต่ เมื่อฉันได้รับมันมาจากพระเจ้า ฉันก็เพียงแต่อยากปกป้องมัน
ไม่อยากให้ใครมาทำลายมันลงเพราะไม่รู้ค่าหรือไม่เข้าใจความหมาย
แห่งการสร้างของพระเจ้าน่ะค่ะ…และต่อให้หน้าตาของตัวเองจะขี้เหร่สักแค่ไหน
ฉันก็แน่ใจว่ายังไงก็ต้องปกป้องสิ่งที่ได้รับมาอยู่ดี…”

คนฟังเหยียดปากเพียงนิด นิดเดียวเท่านั้นก่อนมันจะจางหายไป

“สงสัยเราจะมีลักษณะทางความคิดที่แตกต่างกันนะคะ…
เพราะฉันรู้สึกว่าความสวยนั้นเป็นสิ่งที่ดี เป็นความโชคดี
คนที่มีรูปงามก็เหมือนมีทรัพย์ติดกาย…และเราควรจะภูมิใจมิใช่หรือ
ที่ได้พรีเซ้นท์สิ่งดีๆที่เรามีออกไปให้ผู้คนได้ชื่นชมบ้าง…

โลกนี้จะสวยงามสดใสและมีสีสันได้อย่างไร ถ้าความงามถูกซ่อนเอาไว้…”

ดารัลเริ่มเห็นเงาลางของความต่างทางความคิด
จึงเลือกที่จะปิดสวิตช์ลงด้วยรอยยิ้มจริงใจว่า

“แม้เราจะมีความต่างทางความคิด ต่างหลักปฏิบัติ
แต่ความเป็นผู้หญิงที่มีเหมือนกันทำให้เรารู้ว่า
เรามีสิ่งที่เหมือนกันแน่ๆก็คือ…เราต้องการคนที่มองเห็นคุณค่าของเรา
ที่ซ่อนอยู่ในตัวเราจริงๆ…เพราะความลับทำให้ผู้หญิงมีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้าม…”

นายิกามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาประเมิน
แววตาหวานซึ้งของดารัลทำให้เธอมองเห็นแววบางอย่าง
ซุกซ่อนอยู่หลังม่านตาคู่นั้น…

“คุณเป็นผู้หญิงที่ผู้ชายไม่ควรประมาทเลยดารัล…”
ดารัลยิ้มรับแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใสว่า

“ถ้ามีผู้ชายคนไหนมาบอกฉันว่าเขารู้จักผู้หญิงดี ฉันก็จะบอกเขาว่า
เขาไม่รู้จักผู้หญิงเลย…”

นายิกายิ้มที่มุมปาก เมื่อรู้สึกว่ายิ่งคุยกับผู้หญิงคนนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าคุยกันถูกคอมากขึ้น
ราวกับคนที่รู้เท่าทันกันมาคุยกัน ไม่ต้องมานั่งรำคาญกับการต้องอธิบายอะไรเลย

ซึ่งนั่นทำให้หญิงสาวรู้สึกสนุกยิ่งนักกับการปะคารมกับผู้หญิงคนนี้
ถ้าไม่ติดกับว่าเธอเป็นภรรยาของฟาเดล นายิกาก็อยากจะญาติดีด้วยหรอก

…แต่เพราะว่ามันไม่มีทางจะเป็นเช่นนั้นได้น่ะสิ!!!

“เพราะขนาดผู้หญิงด้วยกันยังไม่เข้าใจกันเลย…
ความปรารถนาของผู้หญิงแต่ละคนนั้นยากแท้หยั่งถึง…
มันลึกจนกระทั่งเจ้าของเองก็แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ…” ดารัลเอ่ยแฝงความนัย
ซึ่งคนฟังเข้าใจได้ดีซึ่งสิ่งที่คนตรงหน้าสื่อมา

“จะบอกว่าคุณไม่มีความปรารถนา…” นายิกาเลิกคิ้วถาม
ดารัลโคลงศีรษะ

“เปล่าค่ะ…ฉันมี…แต่เชื่อว่าตัวเองยังควบคุมมันได้อยู่บ้างน่ะค่ะ…”
นายิกาหรี่ตาลง ก่อนจะสบตาดารัลนิ่งเม่ือกล่าวว่า

“คุณคงไม่เคยผิดหวังเลยน่ะสิ…คงไม่เคยเจ็บปวด ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อนเลยใช่มั้ย…”
เป็นอีกครั้งที่ดารัลต้องส่ายหน้า

“ไม่มีมนุษย์คนไหนที่ได้เกิดมาแล้วไม่เคยเจอสิ่งที่คุณกล่าวมาหรอกค่ะ
ขึ้นอยู่กับว่าเราเรียนรู้ที่จะจัดการหรือตั้งรับกับสิ่งดังกล่าวอย่างไรมากกว่า…

สติเท่านั้นแหล่ะค่ะที่จะช่วยให้เรารอดพ้นได้…
เพราะสติคือสิ่งที่ทำให้เราเหนือกว่าสัตว์ทั้งปวง…”

ดารัลยิ้มบางอย่างจริงใจเมื่อกล่าวสืบต่อไปว่า

“ทุกโรคมียารักษาค่ะ…แต่…ยาก็ไม่ได้รักษาให้หายจากโรคได้ทุกคน
เพราะพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นผู้ทำให้หายจากโรค ส่วนยามีหน้าที่แค่บำบัดเท่านั้นค่ะ…

ความผิดหวังที่กัดกินใจเราจนเป็นแผลเหวอะหวะไม่น่ามองก็มียารักษาค่ะ…
ขึ้นอยู่กับคนป่วยว่าจะยอมรักษามันอย่างจริงจังและจริงใจ
หรือจะปล่อยให้มันลุกลามต่อไปจนเกินเยียวยา” นายิกาพยักหน้า…

“ฉันก็อยากทดลองดูนะคะว่าคุณมียาอะไรมารักษาโรคดังกล่าว
อยากรู้ว่าถ้าคุณต้องเผชิญกับมันจริงๆ คนอย่างคุณจะเก่งแต่ปากหรือเปล่า…

เพราะฉันน่ะเจอมาเยอะแล้ว คนที่เก่งแต่ปาก เก่งแต่แนะนำคนอื่น
พอเจอะกับตัวเองเข้าก็ไปไม่ถูก…”

น้ำเสียงนั้นส่อแววเหยียดหยัน จนดารัลต้องลอบถอนใจ

…เธอรู้ รู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับอะไร
ไม่ใช่ความงามภายนอกของผู้หญิงคนนี้หรอก
แต่เธอกำลังต่อสู้อยู่กับปีศาจร้ายที่กำลังเข้าครองเป็นเจ้าเรือน
ของหญิงงามตรงหน้ามากกว่า…

ถ้าเธอไม่อาจขับไล่ปีศาจที่สิงสู่ในตัวผู้หญิงคนนี้ได้สำเร็จ
แน่นอนว่าชีวิตคู่ของเธอคงไม่มีทางสงบได้อย่างแน่นอน…

“โรคที่เกิดทางกายนั้นเพราะมีตัวเชื้อโรคผ่านเข้ามาทางอาหาร
ทางการสัมผัส ทางลมหายใจ ซึ่งมันเป็นรูปธรรม
สามารถส่องดูตัวตนของเชื้อโรคนั้นและหาหนทางทำลายมันได้
ซึ่งคนที่มีภูมิต้านทานที่ดี มีร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรงก็ย่อมที่จะเอาชนะ
เชื้อโรคเหล่านั้นได้” ดารัลหยุดนิดนึงก่อนจะเอ่ยสืบไปว่า

“แต่เชื้อโรคที่เกิดที่จิตใจนั้น มันเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นคำพูดคน จิตมุ่งร้าย ความพยาบาทอาฆาต ความอิจฉาริษยา
หากเราไม่นำมันเข้ามา มันก็ไม่สามารถเข้ามาทำอะไรหัวใจเราได้หรอกค่ะ…

และหากเราสามารถเอาชนะอารมณ์ใฝ่ต่ำหรือชนะใจตนเองได้
เชื้อโรคที่ว่าก็หมดทางเข้ามาเหมือนกัน
หรือถ้าเข้ามาได้มันก็จะถูกจิตที่เข้มแข็งของเราฆ่่าตายในที่สุด…แต่…”

ดารัลทอดน้ำเสียงยาวออกไปด้วยแววตาอ่อนแสงลงเพียงนิดว่า

“มนุษย์เราถูกสร้างมาในสภาพที่อ่อนแอ…จึงยากเหลือเกินค่ะ
ที่จะต่อสู้กับเชื้อโรคพวกนั้นได้ชนะตลอด…แต่เมื่อแพ้ก็ให้รู้ว่าแพ้
พลาดก็ให้รู้ว่าพลาด และใช้สติปัญญาที่มีเรียนรู้ที่จะแก้ไขมัน…รักษามัน…
และรู้จักที่จะยอมรับ...นั่นแหล่ะค่ะ…แนวทางของฉัน…”

ดารัลถอนหายใจยาวเมื่อเห็นแววตาดำดิ่งของคู่สนทนา…

และนั่นทำให้เธอรู้ว่า สิ่งที่เธอพูดมาทั้งหมด
หาได้ทำให้คนตรงหน้าเปลี่ยนความคิดเลย…เธอรู้ว่ามันยากที่จะเปลี่ยน
และรู้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้มีอำนาจอะไรที่จะเปลี่ยนแปลง…

ผู้หญิงคนนี้จิตแข็งยิ่งนัก...แข็งที่ไม่ใช่ความเข้มแข็ง
แต่เป็นความแข็งกระด้างนั่นเอง...แข็งจนยากที่อะไรจะทะลุเข้าไปได้...

ใครหนอที่ช่างหล่อหลอมหัวใจเธอให้เป็นเยี่ยงนี้...
หัวใจที่ไม่ยอมรับอะไรเลย นอกเสียจากสิ่งที่ตัวเองเชื่อว่าถูกต้องเท่านั้น

“และฉันไม่ได้ท้าทายคุณนะคะ…แต่อยากบอกคุณว่า
ฉันไม่ได้กลัวจิตมุ่งร้ายของใคร…ฉันเพียงแต่กังวลเท่านั้นเอง…
เพราะจิตมุ่งร้ายคือดาบสองคมที่ไม่เพียงแค่บาดจิตใจของศัตรูเท่านั้น
แต่จะบาดจิตของคนที่ลงดาบด้วย…

มันจึงไม่มีประโยชน์ที่จะเอามายึดมั่นถือมั่นหรือเอามาแบกไว้ให้เหนื่อยหัวใจ…
เพราะมันไร้แก่นสารโดยแท้…”

แล้วดารัลก็ได้เห็นรอยยิ้มที่มุมปากราวกับหยันจากคนตรงหน้้า…

“แน่นอนดารัล…เธอจะได้พิสูจน์ในสิ่งที่เธอพูดมาทั้งหมดเร็วๆนี้แน่
ฉันสัญญา…”

พูดจบนายิกาก็ลุกขึ้น แล้วเดินตัวจากไป
โดยที่ไม่ได้แตะต้องน้ำดื่มหรือของว่างเลยแม้แต่นิดเดียว…

ไม่มีแม้แต่คำลา…จะว่าไร้มารยาทการเข้าสังคมคงไม่ใช่
เพราะสำหรับคนที่หญิงสาวผู้นั่นตั้งจิตมุ่่งร้าย
คงไร้ค่าจนไม่จำเป็นต้องรักษาหรือมีมารยาทด้วย…

“ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ยากจะหยั่งถึงจริงๆนะคุณ…”

เนเนตเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดในห้องรับแขก

“เธอโตมากับความมืดดำและความเยือกเย็นของคนๆนึง…
ไม่ใช่เรื่องง่ายนักหรอกที่จะลบจุดดำนั้นออกได้…
ในเมื่อมันเกาะกินหัวใจสีแดงๆของเธอไปเกือบหมดทั้งดวงแล้ว…

ถ้าจะโทษใครสักคน ฉันคงต้องโทษคนๆนั้นที่ทำให้เธอเป็นอย่างนี้…”

ดารัลพลันนึกไปถึงชายชรา ผู้ที่คุณย่าอะมานีของเธอการันตีความเยือกเย็นเอาไว้
ก่อนหน้านี้มาแล้ว

…ถ้าคนใดที่คุณย่าของเธอบอกว่าเหี้ยม นั่นก็แสดงว่า เหี้ยมจริงๆ…

“เสียดายความสวยของเธอนะคะ…เธอสวยและเก่งจริงๆ…”
เนเนตลอบถอนใจด้วยความเสียดายจากใจจริง…

“เมื่อก่อนตอนเป็นเด็กเล็กๆเธอคงน่ารักไม่น้อยอยู่หรอก…”

ดารัลเอ่ยขึ้นเมื่อพยายามจินตนาการถึงดวงใจพิสุทธิ์ดวงน้อยๆของเด็กหญิงนายิกา
ที่ขาดพ่อไร้แม่ มีแต่ปู่ที่ยึดติดอยู่กับความมืดดำในจิตใจคอยเสกสรร
ปั้นแต่งจนเติบใหญ่ขึ้นมาเป็นเช่นนี้…แล้วก็อดลอบถอนใจไม่ได้…

เธอไม่ได้คิดว่าชีวิตตัวเองนั้นดีกว่าใครมากมายนักหรอก
เพียงแต่เธอโชคดีที่เติบโตมาในครอบครัวที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
และมีรักมีความอบอุ่นจนไม่เคยรู้สึกขาด ต่างจากหญิงสาวที่เพิ่งจากไป…
ที่ขาดจนดูเหมือนจะมีบางอย่างที่เกินๆไป ซึ่งมันมีเกินไปจนน่าใจหาย…

“ถ้าฉันมีลูกนะเนเนต ฉันจะทะนุถนอมเลี้ยงดูเขาด้วยสีสันสดสวยงาม…
จะรักษาดูแลด้วยรักจริง…จะให้ความรักความอบอุ่น…
จะบอกเขาเสมอว่าฉันรักเขาแค่ไหน ให้เขารู้ว่า เขามีค่าสำหรับฉัน…

จะสอนเขาในสิ่่งที่เขาไม่เข้าใจและจะบอกเขาว่าทำไมโลกนี้
ถึงได้วุ่นวายไม่สวยงามเหมือนในนิทาน

จะสร้างเกราะเหล็กให้เขา และจะบอกวิธีเยียวยารักษาเมื่อเขาต้องเผชิญ
กับโรคภัยต่างๆ…อย่างที่คุณย่า พ่อและแม่พร่ำสอนฉันมาทั้งชีวิต…”

ดารัลเอ่ยด้วยแววตามุ่งมัั่นโดยไม่ทันรู้ตัวว่าได้เผลอวางมือทาบลงบนหน้าท้อง
ทำให้คนที่กำลังมองมาถึงกับยิ้มก่อนจะเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้ว…

“คุณฟาเดลก็ขาดพ่อแม่ มีแต่ปู่กับย่ามาตั้งแต่แบเบาะมิใช่หรือคะ…”

เนเนตเอ่ยถึงฟาเดล ผู้ซึ่งเป็นนายจ้างของเธอเช่นกันเป็นการเปรียบเปรย

“นั่นเพราะคุณปู่คุณย่าของพี่ฟาเดลไม่เหมือนกับปู่ของนายิกาน่ะสิเนเนต…”
ดารัลตอบแค่นั้น คนฟังก็ถึงบางอ้อ…

“สายเลือดก็ส่วนหนึ่ง วิธีเลี้ยงดูก็อีกส่วนหนึ่ง…สภาพสิ่งแวดล้อมก็มีส่วนเหมือนกัน”
คนฟังพยักหน้าเห็นด้วย

เพราะชีวิตวัยเยาว์ของเธอก็ไม่ได้สวยสดงดงามมากนักหรอก
อาจจะแย่ยิ่งกว่าผู้หญิงที่ชื่อนายิกาเสียด้วยซ้ำ…

เพราะเธอเติบโตมาท่ามกลางสงครามกลางเมือง
พ่อแม่พ่ีน้องถูกฆ่าตายในสงครามต่อหน้าต่อตาของเธอ…

ในหัวของเธอตอนนั้นมีแต่เสียงปืน รถถัง…และเสียงระเบิด
พร้อมกับพยายามกล่าวโทษพวกบ้าอำนาจว่าตัวเธอ พ่อแม่พี่น้อง
ครอบครัวของเธอผิดอะไร ถึงต้องมาเอาชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นไปจากเธอด้วย…

คนในหมู่บ้านที่ถูกจับให้ห้อยหัวลงมาและเด็กๆที่ถูกนำพาตัวแล้วหายไปเลยนั้น
พวกเขาผิดอะไร ทำไมถึงต้องฆ่ากันให้ตายด้วย…
แล้วหัวอกคนเป็นแม่ที่ลูกตายไป เขาผิดอะไรที่ต้องมาเจ็บปวดกับเสียงปืน
เสียงระเบิดเหล่านั้น…

สงครามมันมีดีอะไร ทำไมมันต้องมีด้วย

ตอนนั้นเด็กอย่างเธอไม่เห็นความสวยงามอะไรเลย
นอกจากความรุนแรง เสียงร้องไห้ น้ำตาและความตาย…

อย่าว่าแต่บ้านเลย แผ่นดินให้ยืนอยู่ก็แทบจะไม่มี…

“เมื่อก่อนฉันก็ไม่ต่างจากลูกวัวที่ถูกนำขึ้นเกวียนเพ่ือส่งตัว
ไปยังตลาดนัดค้าเนื้อ ปะปนไปกับพวกลูกวัวอีกหลายตัวที่ไม่มีแรงแม้แต่จะร้องไห้…
เพราะรู้ว่ากำลังถูกส่งไปให้พ่อค้าประเมินราคาแล้วนำไปชำแหล่ะแปรรูปเพื่อขายต่อ…

แววตาหดหู่ไร้ชีวิตชีวาของลูกวัวเหล่านั้น ฉันไม่เคยลืมเลย…
ซึ่งมันก็คงไม่ต่างไปจากลูกวัวอย่างฉันนักหรอก…

แต่ฉันโชคดีที่ไม่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของละครลวงโลกนั่น…

เราต่างตกเป็นเหยื่อของพวกผีดิบกระหายเลือดในร่างของมนุษย์ดีๆ ใส่เสื้อผ้าสวยๆ
มีความสุขกับการดื่มกินเลือดเนื้อของผู้คนอย่างสำราญนั่น…”

เนเนตหยุดไว้แค่นั้นเมื่อหันไปสบตาของเจ้านายที่ทอดมองมาอย่างปลอบโยน…
เธอจึงพูดขึ้นว่า

“ฉันว่าสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นขาดเอามากๆเลยก็คือ ความมีชีวิตชีวา…
ไม่เหมือนคุณ ตั้งแต่ฉันมาอยู่กับคุณ ฉันก็เริ่มรู้ตัวว่าตัวฉันเองนั้น
ขาดความมีชีวิตชีวา…” ดารัลหันมายิ้มให้เจ้าของประโยคดังกล่าว

“เธอมีนะเนเนต เพียงแต่เธอไม่ยอมแสดงมันออกมาเท่านั้นเอง
อย่างเธอน่ะมีอารมณ์ขันอยู่ไม่น้อยหรอก…

ฉันก็ไม่แน่ใจหรอกนะว่าอะไรทำให้เธอซ่อนมันเอาไว้ภายใต้หน้ากากหญิงเหล็กน่ะ…
ขอบอกเลยนะว่า…บอดีการ์ดหรือหญิงเหล็กน่ะไม่จำเป็นจะต้องตีหน้าตาย
ไม่ยิ้มไม่หัวเราะก็ได้…เราไม่ใช่พวกผู้ชายเสียหน่อย
ปล่อยให้พวกผู้ชายเขาทำหน้ายักษ์ ขี้เก๊ก เต๊ะท่าไปเถอะ…

ใครจะเป็นพวกผีดิบก็ปล่อยให้เขาเป็นไป เราอย่่าเป็นเหมือนเขาก็เป็นพอแล้ว…”

ดารัลยิ้มส่งกำลังใจมาให้คนสนิทอย่างอ่อนโยน

“ถ้าโลกนี้มีคนอย่างคุณเยอะๆก็ดีซิ…เห็นมีแต่พวกผีดิบเกลื่อนเมือง”
บอดีการ์ดสาวเอ่ยชื่นชมหญิงสาวตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้างขวาง…

“ดอกไม้ยังมีหลายสี สัตว์เองก็มีลวดลายหลากสี
คนเราเองก็มีหลายสี…แต่เราจะไปมัวแยกสี เพื่อนำมันมาเหยียดหยามแบ่งแยก
ให้เกิดความบาดหมางต่อกันไปทำไมใช่มั้ย…

เพราะอย่างไรเรามันก็คนเหมือนกัน…ไม่ใช่ลูกวัวเสียหน่อย…
คุณค่าของคนไม่ได้วัดกันที่สีหรือชาติพันธุ์มิใช่หรือเนเนต…”

บอดีการ์ดผิวสีถึงกับยิ้มกว้างอีกครั้ง…

“ถ้าคนเราเอาแต่ยึดมั่นถือมั่นเรื่องสีผิว เชื้อชาติเผ่าพันธุ์กัน
แล้วอย่างฉันล่ะเนเนต อย่างฉันต้องทำยังไงดี…

เพราะเธอก็เห็นนี่ว่าฉันน่ะมันเลือดผสม…สีที่เธอเห็นก็อย่างนี้น่ะ…

ฉันเลยบรรลุแล้วว่า ถ้ามัวมานั่งแยกนั่งแบ่งกันไปก็ปวดหัวเปล่า
ไม่เกิดประโยชน์สักเท่าไหร่นักหรอก…ดีแต่สร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้น
บนหน้าแผ่นดินเสียล่ะมากกว่า...”

ถ้อยคำดังกล่าวทำเอาคนฟังถึงกับชอบใจ
เป็นเหตุให้บอดีการ์ดชอบเสวนากับหญิงสาวผู้นี้เสมอ…

เพราะคำพูดของเจ้านายของเธอไม่ได้มีมลพิษใดๆให้เธอต้อง
อีดอัดขณะพูดด้วยกันนั่นเอง…

“ดังนั้น ใครจะชิงใครจะชัง ใครจะเหยียดใครจะหยาม ก็ช่างหัวเขา
ขอแค่เรารู้เรา รู้ว่าเรามีค่าอย่างไรก็พอ…
สวยก็เท่านั้น ไม่สวยก็เท่านั้น รวยก็เท่านั้น จนก็เท่านั้น
ต้องตายและดับสลายกลายเป็นธาตุดินทุกผู้ทุกนาม…”

เนเนตรู้ รู้ว่าสิ่งที่หญิงสาวผู้นี้เอ่ยมานั้นคือสัจธรรมของโลกกลมๆใบนี้…
และเธอก็เชื่อมั่นว่ามันไม่ใช่แค่คำพูดสวยงาม
หากหญิงสาวผู้นี้สามารถเผชิญหน้้ากับสัจธรรมเหล่านี้ได้แน่นอน…

มิใช่ดีแต่ปากอย่างที่หญิงสาวอีกคนที่เพิ่งจากไปปรามาสเอาไว้!






ดารัลมองตัวเองในกระจกขณะหวีผมของตัวเองอย่างเพลิดเพลิน

การหวีผมคือความสุขอย่างหนึ่งที่เธอมักจะทำทุกครั้งก่อนเข้านอน
ยิ่งคุณสามีหวีให้ยิ่งมีความสุข

โดยเฉพาะยามนี้ เมื่อเขาเดินเข้ามาหาสวมกอดเธอจากทางด้านหลัง
วางมือทั้งสองของเขาทาบลงตรงหน้าท้องของเธอ
แล้วใช้สายตาจ้องเธอผ่านทางกระจก

“ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลยหรือน้องรัล…”เขาพูดพลางใช้มือลูบหน้าท้องแบนราบของเธอ
ดารัลเลยยิ้มหวานส่งไปให้เขาอย่างเข้าอกเข้าใจ

“ทำไมคะ…อยากให้น้องรัลท้องยื่นมากเลยหรือ…”

“ก็ผ่านมาสองเดือนแล้วนี่นา…พี่ก็แอบหวังน่ะสิว่ามันจะมีอะไรๆ
มาเขย่าโลกใบนี้ของนายฟาเดลบ้าง…นี่น้ำตาลที่ทะเลทรายซาฮาร่า
ไม่ช่วยอะไรเลยหรือนี่…พี่คิดว่าพี่ขยันและตั้งใจจริงแล้วนา…”

คำพูดส่อแววนั้นทำเอาดารัลถึงกับหน้าแดงก่ำ…และคนชอบแหย่
ก็ไม่ลืมที่จะก้มลงหอมแก้มแดงๆของเธอเสมอหลังจากที่ทำให้มันแดงได้สำเร็จแล้ว…

“ว่าแต่วันนี้พี่ได้ข่าวว่ามีแขกมาเยือนบ้านเรา…”
ดารัลเอียงหน้าหันมาหาคนที่เกยคางลงบนบ่าของเธอ

“เนเนตบอกล่ะสิ…” ฟาเดลไม่ตอบซ้ำยังถามกลับว่า

“เขามีธุระอะไรหรือครับ…”

“เขาก็แค่อยากจะมาดูหน้าตาภรรยาของพี่น่ะสิคะว่่าสวยแค่ไหน”

“แล้วเขาตอบน้องรัลว่าไง…” ดารัลกลั้นหัวเราะกับสีหน้าท่าทาง
เอาจริงเอาจังของเขาเมื่อถามออกมาเช่นนั้น

“ก็ถ้าเขาตอบว่าไม่สวย แสดงว่าเขาโกหกและอาจจะอิจฉาเมียพี่
แต่ถ้าเขาบอกว่าสวย แสดงว่าเขาเป็นคนพูดตรงไปตรงมา…”

ดารัลแย้มยิ้มก่อนจะวางมือทั้งสองของเธอลงบนมือของเขา
ที่ทาบตรงหน้าท้องของเธออยู่ขณะเอ่ยว่า

“เขาบอกว่าน้องรัลสวยค่ะ…อย่างนี้ถือว่าจริงใจมั้ยคะ…”
ฟาเดลเลิกคิ้วนิดนึงก่อนจะครุ่นคิดบางอย่าง

“หวังว่าเขาคงไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้นนะครับ…”

“พี่ฟาเดลไม่ไว้ใจเขาหรือคะ…เห็นออกจะชื่นชมเขา…” ดารัลถามตรงๆ
มิได้มีแววประชดประชันแต่อย่างไร

“ชื่นชมความสามารถก็ไม่ได้หมายความว่าพี่จะไว้ใจเขานะน้องรัล
คนเราต้องมองกันให้นานๆ มองให้เห็นถึงข้างใน…” ดารัลพยักหน้า

“ก็ใช่ค่ะ…ยังไงน้องรัลก็อยากให้พี่ฟาเดลระมัดระวัง รักษาเนื้อ
รักษาตัวด้วยนะคะ ส่วนหัวใจน่ะ…น้องรัลไม่ห่วงเลย…
เพราะรู้ว่ามันปลอดภัยดีเสมอ…” ฟาเดลยิ้มกริ่มก่อนจะก้มลง
ฝังจมูกลงบนพวงแก้มนุ่มนิ่มอีกฟอด

“ขอบคุณนะครับที่เชื่อหัวใจพี่…”

“เอ๊ะ...แปลกจัง…คืนนี้ฝนตก…” อยู่ๆฟาเดลก็เอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงลม
เสียงฝนดังมาจากด้านนอก ผ้าม่านสีขาวลูกไม้ที่ดารัลปักเองกับมือ
ซึ่งเพิ่งเปลี่ยนไม่กี่วันก่อนพัดโบกตามแรงลม ฟาเดลจึงผละจากร่างบาง
เพื่อเดินไปปิดหน้าต่างโดยมีดารัลคอยช่วย…

“น้องรัลชอบฝน…ชอบฤดูฝน…แม่น้องรัลก็ชอบ…”
ดารัลชะเง้อหน้าออกไปรับไอฝนตรงหน้าต่างบานสุดท้ายพร้อมรอยยิ้มสดชื่น…
ทำให้ฟาเดลยืนมองภาพนั้นนิ่ง ก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปหา
สวมกอดเธอเอาไว้อีกครั้ง…

“เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก…นี่น่ะฝนหลงฤดูรู้รึเปล่า…”

“ดีสิคะ…น้องรัลชอบ…นานๆจะมีฝนมาให้ชื่นชม
ขอยื่นหน้าไปรับให้ชื่นฉ่ำหน่อยเถอะ…”
ฟาเดลเห็นท่าเอาหน้ารับไอฝนแล้วได้แต่หัวเราะในลำคอ

“ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้น้องรัลได้มาเจอกับพี่ฟาเดล…”
ดารัลเอ่ยขึ้นมาดื้อๆในขณะที่แววตาทอดมองออกไปยังเบื้องนอกที่มืดมิด
และเต็มไปด้วยหยาดฝนที่โปรยปรายลงมา

“คนอื่นๆอาจจะไม่ชอบความมืด แต่น้องรัลชอบ
เพราะถ้าไม่มีความมืด เราก็จะไม่มีทางได้เห็นดวงดาวมากมายบนท้องฟ้า
ไม่ได้เห็นดวงจันทร์…แม้ความมืดจะดูน่ากลัว
แต่ถ้าท้องฟ้ายังมีดาวเคียงข้างพระจันทร์น้องรัลก็ไม่กลัวหรอกค่ะ”

“แต่ฟ้ามืดตอนฝนตกแบบนี้ไม่มีดาวไม่มีดวงจันทร์ให้มองนะครับ”
ฟาเดลแกล้งท้วง

“แต่มีความชุ่มฉ่ำเข้ามาแทนที่ไงคะ…ยิ่งถ้าเรากำลังเดินผ่านความร้อน
และแสงอันแรงกล้ามา พอมาพบกับความมืดและหยาดฝน
น้องรัลว่ามันคือของขวัญสำหรับนักเดินทางเลยล่ะ…” ฟาเดลพยักหน้า
เมื่อได้รับฟังมุมมองอีกมุมมองหนึ่งซึ่งเขามิทันได้คิดก่อนจะเสริมว่า

“แล้วแต่มุมมองจริงๆ…”

“ขึ้นอยู่กับจังหวะชีวิตและสถานการณ์ ณ ตอนนั้นด้วยค่ะ…
ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคำพูดที่ว่า จงเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส…”

ฟาเดลยิ้มที่มุมปากก่อนจะวางมือบนบ่าแล้วจับให้หญิงสาว
หมุนตัวมาหาเขา…

“บอกพี่ได้มั้ยว่า…นายิกาต้องการอะไรจากเรา…”

ฟาเดลแน่ใจว่าคนตรงหน้าสามารถให้คำตอบเขาได้…
เพราะเขามั่นใจว่าผู้หญิงตรงหน้าเขานั้นไม่ธรรมดานัก…

“สิ่งที่เขาต้องการจริงๆนั้นเขาจะไม่มีวันได้ไปหรอกค่ะ
เพราะเขากำลังหาผิดที่…ผิดคน…ผิดเวลาด้วย…
และอาจจะผิดวิธีด้วยซ้ำ…เพราะบางอย่างไม่ได้มีไว้ให้แย่งชิง…”

ฟาเดลกุมมือดารัล สบตาใสราวกับแก้วเนื้อดีนิ่งนาน

“พี่สังหรณ์ใจไม่ดีเลย…ไม่ดีเลยจริงๆ…”

ฟาเดลที่พยายามเก็บความกังวลมาหลายวันถึงกับหลุดปากพูดไป…

ดารัลจึงยิ้มปลอบก่อนจะยกมือข้างขวาของเขาวางไว้ตรงหน้าท้องแบนราบของเธอ
ขณะพูดราวกับสัญญากับเขาว่า

“ถ้าน้องรัลแน่ใจแล้วว่ามีหัวใจอีกดวงกำลังเต้นอยู่ในร่างของน้องรัลเมื่อไหร่…
น้องรัลจะบอกพี่ฟาเดลเป็นคนแรก…น้องรัลสัญญา…
เพราะว่าเขาคือหัวใจของเรา…หัวใจของเราสองคน…”

ฟาเดลยิ้มกว้างพร้อมกับรวบร่างของดารัลเข้าสู่อ้อมกอด…
ก่อนจะอุ้มเธอไปยังเตียงนอน…ถ่ายทอดความรักทั้งหมดที่เขามีให้เธอได้รับรู้ได้สัมผัส…
พร่ำบอกคำรักต่อกันครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้เบื่อ..

โดยไม่อาจล่วงรู้เลยว่า…
วันพรุ่งนี้เขาและเธอจะต้องพบเจอกับสิ่งใดที่รออยู่…





วันรุ่งขึ้นดารัลใช้ชีวิตตามปกติ นั่นคือการคิดค้นและสรรหา
สิ่งใหม่ๆมาทำ…จึงชวนเนเนตออกไปดูของที่ตลาดนัด

ขณะที่เดินไปด้วยกัน ดารัลเห็นร้านขายกล้วยไม้เข้า
ทำให้คนรักกล้วยไม้ถึงกับตื่นเต้น ลากแขนเนเนตให้เดินตามไปด้วยใบหน้าแช่มชื่น
สนุกสนานกับกล้วยไม้หลากหลายสายพันธุ์ตรงหน้า

“พันธุ์นี้ยังไม่เคยเห็นที่ไหนเลยนะเนเนต เธอว่ามั้ย…”

ดารัลชี้ไปยังกล้วยไม้ที่มีกลีบสีม่วงสองกลีบกางออก ตรงกลางมีลักษณะกล้ายตัวผึ้ง
หญิงสาวยื่นมือไปหมายจะแตะดู ทว่า บอดีการ์ดสาวส่งเสียงห้ามเอาไว้

“อย่าแตะมั่วสิคะ…ไม่รู้ว่ามีพิษหรือเปล่า…”
ดารัลได้ยินก็ถึงกับหัวเราะเสียงใสให้คนขี้ระแวง

“นี่กล้วยไม้นะเนเนต จะมีพิษกับมนุษย์อย่างเราได้ยังไง…”

“ใช่ค่ะ ไม่มีพิษอะไร…” เสียงเจ้าของร้านเอ่ยแทรกขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
ก่อนจะอธิบายเสริมว่า

“พันธุ์นี้ชื่อ กล้วยไม้ผึ้ง หรือ The Bee Orchid ค่ะ…
ตัวดอกที่เห็นนั้นจะเหมือนผึ้งเพศเมียค่ะ ซึ่งมันจะปล่อยฟีโรโมน
เพื่อช่วยล่อหรือดึงดูดผึ้งตัวผู้เข้าไปเพื่อที่จะได้ให้ละอองเกสรเพศ
ที่ติดกับแมลงเพศผู้ได้้เข้าไปผสมพันธุ์กับเกสรเพศเมียเพื่อขยายพันธุ์ต่อไป…”

“นับว่าเป็นวิธีล่อแมลงที่เก่งน่าดูเลยนะคะ…ดูสิเหมือนผึ้งจริงๆ…”

ดารัลมองเจ้าดอกกล้วยไม้แปลกตาที่เธอไม่เคยพบเห็นมาก่อนอย่างเอ็นดูยิ่งนัก
ก่อนจะยกมือขึ้นแตะตรงส่วนที่คล้ายกับตัวผึ้งซึ่งมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่

และเพียงไม่นานเสียงสดใสก็เงียบลงพร้อมกับสติ…ไม่รับรู้สิ่งใด
สิ้นไร้ซึ่งการต่อต้านและอิสรภาพ!!!



....โปรดติดตามตอนต่อไป......



มาลุ้นตอนหน้ากันนะคะว่า...จะเกิดอะไรขึ้น(บ้าง)...


คุยกับนักอ่านจากตอนที่แล้วค่ะ


1.คุณร้อยวจี...ศัตรูเริ่มลงดาบแล้วนะคะ...

2.คุณPat...ตอนนี้เมฆดำเข้าครอบคลุมท้องฟ้าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ต้องมาดูความปรารถนาของหญิงงามผู้นี้กันค่ะ ว่าเธอต้องการอะไรกันแน่...

3.คุณแว่นใส...เรื่องเศร้ากำลังก่อตัวค่ะ...ที่ว่าเก่งก็มีพลาด...
ต้องมาดูกันต่อว่ามันคือความผิดพลาดหรือความตั้งใจของใคร...

สุดท้ายไม่ท้ายสุด ขอบคุณนักอ่านทุกท่าน ทุกกำลังใจ ทุกไลค์นะคะ


...รักษาสุขภาพนะคะ...

"เต่าโย"









yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ธ.ค. 2557, 12:21:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ธ.ค. 2557, 12:21:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 2886





<< บทที่ 23 กระสุนกลิ่นกุหลาบ (100%)   บทที่ 25 ร้ายแรงริษยา >>
ร้อยวจี 1 ธ.ค. 2557, 14:09:33 น.
ขอให้ดารัลปลอดภัยนะคะ แล้วหาวิธีเอาคืนให้ได้ เป็นกำลังใจให้ค่ะ


ตุ๊งแช่ 1 ธ.ค. 2557, 14:39:45 น.
จบแบบลุ้นๆๆ คนอ่านเลยยิ่งลุ้น


แว่นใส 1 ธ.ค. 2557, 17:14:51 น.
ดอกไม้เคลือบยาพิษ จะมีใครมาช่วยไหมนะ


napt 1 ธ.ค. 2557, 19:10:39 น.
ชอบวิธีน้องรัลมองโลก อ่านกำลังเพลิน ตัดจบเลย
น้องรัลมีแผนอะไรรึเปล่านะ รอตอนต่อไปค่าา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account