เทหน้าตักรักนางมารร้าย (ฉบับรีไรท์ ทำ e-book)

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 10/2

หลังจากชำระล้างร่างกายกันจนเสร็จเรียบร้อยแล้วพนักงานผู้มีจิตอาสาจนเนื้อตัวเลอะเทอะมอมแมมทั้งหลายก็ออกมาในมาดใหม่ หน้าตาใสสะอาดในชุดไปรเวทที่นานๆ ทีถึงจะมีโอกาสได้เห็นกันทำให้บางคนแลดูแปลกตาไป จนคนมองอดตื่นเต้นไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นล่ามสาวที่เคยเล่นโคลนจนมอมเป็นลูกหมา ซึ่งตอนนี้กลับมาหน้าใสกิ๊กเหมือนเดิมแล้ว ร่างแบบบางอยู่ในชุดเสื้อกล้ามสองชิ้นสีสันสดใสกับกางเกงยีนส์ขาสั้นอวดเรียวแขนและเรียวขาขาวจัด

“อู้วแม่เจ้า! กินโอโม่แทนข้าวหรือไงวะ ถึงได้ขาวอย่างนั้น” ชายหนุ่มคนหนึ่งในหมู่พนักงานชายหลายคนซึ่งนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ในศาลาใกล้ๆ กับจุดจอดรถบัสก่อนจะเดินทางต่อเพื่อไปรับประทานอาหารกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งริมชายทะเลถึงกับหลุดอุทานออกมา

“ไอ้เรื่องขาวจนแสบตามันก็โออยู่ แต่ไอ้เรื่องนิสัยแสบทะลุทรวงทะลวงไส้นี่ไม่ไหวจริงๆ ว่ะ พับผ่า!”

“ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ไปหาเรื่องเขาก่อน เขาก็คงไม่จัดพี่จนแสบทะลุทะลวงหรอกครับ”

“หนอย! ไอ้เวร! เข้าข้างผู้หญิง”


“ระหว่างผู้หญิงน่ารัก กับผู้ชายด้วยกันที่ทั้งถึกและเถื่อน จะให้เลือกกี่ครั้งผมก็เลือกผู้หญิงนะพี่”

คราวนี้ไม่มีเสียงสบถด่าเหมือนอย่างเคย แต่เท้าที่วางอยู่เฉยๆ กลับถูกยกขึ้นมาและทำท่าว่าจะถีบส่งคนเข้าข้างผู้หญิงซึ่งดีดตัวหนีแทบไม่ทัน

“กับน้องปุ่นผมนี่แสบตา แต่กับน้องโย ตาผมนี่แทบหลุดออกนอกเบ้าเลยครับพี่น้องครับ โถ โถๆ แม่เจ้าประคุณรุนช่อง จะเร้าใจพี่เกินไปไหม”

ใครอีกคนพร่ำออกมาขณะผุดลุกขึ้นไปกอดเสาศาลาส่องหญิงสาวร่างโปร่งระหงผิวสีน้ำผึ้งซึ่งสวมเสื้อชีฟองเนื้อผ้าพลิ้วไหวสีเหลืองอ่อนมีสายสปาเก็ตตี้แส้นเล็กๆ คล้องคอ เผยให้เห็นลาดไหล่นวลเนียนเลยไปถึงเนินอกอวบอิ่ม หนุ่มๆ หลายคนมองแล้วถึงกับอ้าปากค้างน้ำลายไหลยืดยกมือเช็ดปากกันแทบไม่ทัน

“มองแค่บั้นท้ายตอนอยู่ในอยู่ในยูนิฟอร์มพนักงาน เลือดกำเดาพี่ก็แทบพุ่งแล้ว วันนี้ยังจะมีโปรโมชั่นโฟโมสต์รสน้ำผึ้งอีก ถ้าเกิดเลือดพี่ไหลจนหมดตัวน้องโยจะรับผิดชอบไหมเนี่ย”

“น้องโยจะรับผิดชอบไหม... ไม่รู้ รู้แต่ประกันไม่คุ้มครองอาการหื่นแน่ๆ ถ้าเกิดพี่ต้อตายแล้วไม่ได้ค่าประกันสักบาทได้ถูกพี่อ้อยตามลงไปจิกด่าถึงนรกแหงๆ” ฟารีดาซึ่งบังเอิญเดินผ่านมาและทันได้ยินคำพูดห่ามๆ ตามประสาหนุ่มๆ เข้าพอดีออกความเห็น

“เอาอีกแล้วนะไอ้เฟย์ เดี๋ยวไม่เลี้ยงหมูกระทะเลยเอ็ง” วัชระยกเอามุกเก่าที่เคยใช้ได้ผลมาขู่

สาวห้าวยักไหล่ “ใครสน ในเมื่อเย็นนี้มีซีฟู้ดแบบจัดหนักจัดเต็มรออยู่”

“อ้าว! เฮ้ย! ผิดทางแล้วครับน้อง ไอ้สองคนนั้นมันมีคู่ยืนอยู่ทนโท่มองไม่เห็นเหรอครับ มาหาพี่นี่ พี่ยังว่าง” วัชระถึงกับอดรนทนไม่ไหวต้องตะโกนออกไปเมื่อเห็นว่าพนักงานสาวคนใหม่จากแผนกการตลาด ซึ่งคนหนึ่งอยู่ในลุคเซ็กซี่บาดตาเร้าใจ ส่วนอีกคนก็สวยหวานน่ามองไม่แพ้กันกำลังเดินตรงเข้าไปหาคู่ของภควัตกับปุณยวีร์ และก้องภพกับกีรฎาซึ่งยืนอยู่ด้วยกัน

“ว่างมากใช่ไหม ดี! งั้นมานี่!” เสียงเขียวขุ่นดังขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า


“ไม่ดี เอ้ย! ไม่ว่างจ้ะ” วัชระละล่ำละลักตอบกลับทันควัน หากมันก็ไม่ช่วยอะไร เขาจึงถูกแม่... เจ้าประคุณทูนหัวลงทัณฑ์ไปตามระเบียบ








“สวัสดีค่ะ”

น้ำเสียงสดใสมั่นใจบวกกับท่วงท่ามาดมั่นของหญิงสาวเรือนร่างระหง อกเป็นอก เอวเป็นเอว พนักงานใหม่จากแผนกการตลาดที่ดังขึ้นแทรกกลางบทสนทนาทำให้ชายหนุ่มหญิงสาวสองคู่ที่กำลังพูดคุยกันอยู่อย่างออกรสชะงักไปก่อนจะหันไปมองคนมาใหม่เป็นตาเดียว ความที่ไม่เคยพูดจาทักทายกันมาก่อนทำให้เกิดภาวะสุญญากาศ หากมันก็ดำรงตนอยู่เพียงครู่ก่อนจะถูกทำลายลงด้วยรอยยิ้มสดใสของคนมนุษยสัมพันธ์ดี

"สวัสดีค่ะ คุณโย คุณอ้อนจากมาร์เก็ตติงใช่ไหมคะ ได้ยินชื่อมาสักพักแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสทักทายเลยสักที ชื่อปุ่นนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นเดียวกันจ้ะ น้องปุ่น น้องแก้ว” ยังเป็นสาวมั่นสุดเซ็กซี่คนเดิมที่ตอบ ขณะที่หญิงสาวอีกคนซึ่งมาด้วยกันเพียงยิ้มน้อยๆ พลางค้อมศีรษะแทนการเอ่ยทักทาย

“เรียกอย่างนี้ได้ใช่ไหมคะปืน... ปุ้น น้องแก้วกับน้องปุ่นน่าจะอ่อนกว่าพวกเราใช่ไหม”

ไม่มีคำตอบจากชายหนุ่มทั้งสอง นอกจากท่าทางแสดงความอึดอัดแปลกๆ ที่ไม่เคยได้เห็นเลยโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากวิศวกรผิวเข้มที่มีฝีปากติดอันดับต้นๆ ของ HANO

“นี่รู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าคะ” ปุณยวีร์ถามขึ้นมาทำลายบรรยากาศอึดอัดที่เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง

โยษิตายิ้ม “ใช่แล้วจ้ะ พวกเราเป็น...”

“เพื่อนเก่า! เคยเรียนโรงเรียนเดียวกันสมัยอยู่ ม.ปลาย น่ะ” คนที่เก็บปากเก็บคำจนผิดปกติพูดโพล่งขึ้นมาทำเอาโยษิตาถึงกับอึ้งไปพักแล้วเธอก็หัวเราะน้อยๆ หากยังไม่ทันจะได้ต่อบทสนทนากันยืดยาวมากกว่านั้นเสียงประกาศจากโทรโข่งซึ่งบอกให้พนักงานทุกคนซึ่งมาร่วมกิจกรรม CSR ในวันนี้รีบขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางไปรับประทานอาหารกันที่ร้านอาหารมีชื่อริมชายทะเลก็ราวกับระฆังหมดยกช่วยยืดเวลาให้นักชกที่กำลังจะถูกน็อคได้หลบเข้ามุมเพื่อพักหายใจหายคอและรับน้ำเย็นๆ ให้รู้สึกสดชื่นขึ้นก่อนจะกลับไปรับศึกหนัก







พระอาทิตย์ดวงกลมโตสีส้มจัดลอยคล้อยต่ำอยู่เหนือเส้นขอบฟ้า แสงสีสุดท้ายของวันแรระบายแผ่นฟ้าและผืนน้ำเป็นสีครามอมชมพูแลดูอ่อนหวาน หากหญิงสาวร่างเล็กบอบบางสวมเดรสสีเขียวอ่อนยาวลงมาเหนือเข่าซึ่งถอดรองเท้ามาถือไว้แล้วปล่อยให้เท้าเปลือยเปล่าได้สัมผัสกับเม็ดทรายขาวละเอียดราวผงแป้งกลับรู้สึกถึงความเศร้าและเหงาอย่างบอกไม่ถูก นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนทอดมองไปไกลไร้จุดหมายคล้ายเจ้าตัวกำลังจมอยู่ในภวังค์ความนึกคิดบางอย่างทำให้ไม่ทันระวังตัวเมื่อมีลมกรรโชกแรงพัดเข้ามาพาเอาผ้าคลุมไหล่ผืนบางหลุดปลิวไปกับสายลม

“อุ๊ย!” อรพินท์หลุดอุทาน ร่างบางรีบผวาตามผ้าสีฟ้าอ่อนที่ลอยลิ่วไปตามแรงลมหวังจะไขว่คว้ามันกลับคืนมา แต่แล้วก็ต้องชะงักหยุดมืออยู่กลางอากาศเพราะมีใครบางคนก้าวเข้ามาแล้วคว้าผ้าผืนนั้นเอาไว้ก่อน

“เอ่อ ขะ... ขอบคุณค่ะ ลมแรงมากเลย คิดว่าจะปลิวหายไม่ได้คืนซะแล้ว” หญิงสาวพูดตะกุกตะกักพลางยิ้มแหยๆ ก่อนจะยื่นมือออกไปหวังจะรับผ้าคลุมไหล่ของตัวเองกลับคืน

“คุณมาทำอะไรที่นี่!” นอกจากจะกำผ้าผืนบางในมือจนแน่นไม่ยอมคืนให้เจ้าของแล้วภควัตยังเอ่ยถามอีกฝ่ายเสียงห้วนด้วยประโยคซึ่งไร้มารยาทที่สุด!

“ปุ้น…” อรพินท์ครางเรียกเขาเสียงเครือ ซึ่งก็ไม่แปลก เจ้าหล่อนเป็นคนเจ้าน้ำตาอยู่แล้ว! และเพราะน้ำตานั่นแหละที่เคยทำให้เขาหลงโง่งมอยู่ได้ตั้งนาน หากตอนนี้เขาตาสว่างแล้ว ต่อให้เธอร่ำไห้จนน้ำตาไหลกลายเป็นสายเลือดก็อย่าหวังว่าจะเรียกความสนใจจากเขาได้อีก ไม่มีทาง!

“ผมถามว่าคุณมาทำอะไรที่ HANO” ภควัตถามย้ำอีกครั้ง

“คิดว่าที่นี่เป็นที่ให้คุณกับเพื่อนเข้ามาเล่นสนุกพอเบื่อก็ลาออกไปรึไง ถ้าว่างนักก็เอาเวลาไปดูแลเอาใจใส่คู่หมั้นของคุณสิ เขารวยมากไม่ใช่เหรอ ขนาดกิจการทางบ้านคุณจะเจ๊งก็ยังช่วยกู้คืนมาได้ นับประสาอะไรกับการเลี้ยงดูคู่หมั้นแค่คนเดียว คุณจะมาทำงานที่นี่ให้เป็นที่รำคาญของคนอื่นทำไม”

ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างเผ็ดร้อนตามแรงอารมณ์ที่ปะทุขึ้นตั้งแต่อรพินท์และเพื่อนของเธอพาตัวเองมาเผชิญหน้าเขากับก้องภพ บาดแผลสาหัสสากรรจ์ที่เขาเคยคิดว่าสมานตัวดีแล้วหลงเหลือเพียงรอยแผลเป็นจางๆ ดูเหมือนจะเป็นการอุปาทานไปเอง หากแท้ที่จริงพิษร้ายของมันยังคงหลบเร้นอยู่ภายใน แค่สะกิดเบาๆ เท่านั้นความเจ็บปวดทรมานเหลือแสนก็แล่นปราดไปทั่วทุกอณูหัวใจ

“ปุ้น...” อรพินท์ได้แต่ครางเรียกชื่อเขาซ้ำๆ ราวกับเด็กเพิ่งหัดพูดที่พูดอยู่ได้แค่คำเดียว หึ! ก็แน่ล่ะสิ เธอจะพูดอะไรได้ในเมื่อเขารู้ทันเธอแล้วทุกอย่าง ที่เหลือก็มีแค่คำแก้ตัวเท่านั้น ซึ่งมันก็ไม่มีประโยชน์เลยแล้วเขาจะเสียเวลาอยู่ฟังไปทำไม

“หวังว่าคุณจะคิดได้และรีบกลับไปอยู่ในที่ทางของตัวเองสักที” ภควัตกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะหมุนเท้ากลับไปยังทิศทางเดิมที่เขาเพิ่งเดินจากมา หากก้าวไปได้ไม่เท่าไรคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังก็ฉุดรั้งมือเขาเอาไว้ ชายหนุ่มเม้มปากแน่นก่อนจะเค้นเสียงเย็นว่า “ปล่อย! อย่ามาแตะต้องตัวผม”

“ปุ้น... ได้โปรดเถอะ ถึงปุ้นจะไม่อภัยให้อ้อนก็ไม่เป็นไร แต่ฟังอ้อนหน่อยได้ไหม อย่างน้อยก็ให้โอกาสอ้อนได้อธิบายได้ขอโทษปุ้นบ้าง” นอกจากอรพินท์จะไม่ปล่อยมือจากเขาแล้วเธอยังเอ่ยขอร้องเสียงแห้งโหย

“อธิบาย? ขอโทษ? ตอนนี้เนี่ยนะ หึ! คุณไม่คิดว่ามันสายไปหน่อยเหรอ เมื่อก่อนผมอาจจะเคยทุรนทุรายอยากรู้ เหตุผลแต่มันจบไปแล้วล่ะ ไม่มีประโยชน์อะไรที่คุณจะพล่ามมันออกมาอีก ว่าไปแล้วผมควรต้องขอบคุณคุณด้วยซ้ำไปที่ไล่ผมออกมาจากชีวิตในวันนั้น ทำให้ตอนนี้ผมได้พบกับคนดีๆ ดีอย่างที่คุณเทียบไม่ติด และคุณกับเพื่อนก็ไม่มีสิทธิ์มาพูดหรือทำอะไรให้เธอต้องรู้สึกคลางแคลงใจ ระหว่างคุณกับผม...”

ภควัตจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายก่อนจะเค้นเสียงเน้นย้ำชัดเจนว่า “เราไม่เคยรู้จักกันเลยน่าจะดีกว่า”

อรพินท์ผงะถอยหลังมือเล็กที่เคยฉุดรั้งเขาเอาไว้ร่วงผล็อยลงข้างลำตัว “อ้อนขอโทษ ขอโทษจริงๆ” และแม้หญิงสาวจะพยายามอดกลั้นอย่างหนัก หากปลายเสียงที่เปล่งออกมานั้นก็สั่นไหวอย่างปิดไม่มิด ก่อนเธอจะเป็นฝ่ายหันหลังแล้วก้าวเดินจากไป ซึ่งมันก็ดีแล้ว เขาเองก็ต้องการอย่างนั้น และเขาก็ควรต้องหันหลังกลับไปยังทิศทางของตัวเองสักที

หาก... ภควัตยังคงยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาคู่เรียวรีเฝ้ามองตามเจ้าของไหล่บอบบางที่กำลังสั่นสะท้านอย่างหนัก แม้ที่เขาเห็นจะเป็นเพียงแผ่นหลัง หากเพียงเท่านั้นเขาก็เห็นภาพชัดเจนว่าทำนบน้ำมหาศาลกำลังรินไหลออกจากดวงตาคู่งามอาบใบหน้าสวยหวาน เหอะ! ผู้หญิงอ่อนไหวเจ้าน้ำตา! ตอนนี้เขาตาสว่างแล้ว เขารู้ทันเธอหมดสิ้นแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะหลงโง่งมจนต้องจมอยู่ในทะเลน้ำตาของเธอจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดอีกครั้ง!

สมองคิดได้ หากหัวใจเจ้ากรรมกลับไม่รักดี... เพียงก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวเขาก็ไปถึงตัวเธอ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เกิดขึ้นเหนือการควบคุมของสมอง แต่ทำไปตามหัวใจเรียกร้องล้วนๆ ...

อารมณ์ความรู้สึกที่ภควัตสู้ทนอดกลั้นมานานทะลักทลายลงมา สองมือของเขายกประคองเจ้าของใบหน้าตื่นตระหนกเอาไว้ก่อนจะบรรจงซับน้ำตาให้ และแล้วประตูหัวใจคู่งามฉ่ำน้ำตาคู่นั้นก็ดึงดูดเขาลงไปอีกครั้ง ใบหน้าคมคายค่อยๆ โน้มต่ำลงไปประทับริมฝีปากได้รูปกับเรียวปากเย็นชื้นมีรสน้ำตาปนเปื้อนอย่างสุดที่จะห้ามใจ...






“ทำบ้าอะไรวะ!” ชินพัตต์ถึงกับสบถออกมาอย่างหัวเสีย ชายหนุ่มปลีกตัวจากกลุ่มเพื่อนร่วมงานแล้วเดินเลียบริมหาดไปเรื่อยๆ หวังให้ภาพดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ จมลงไปในน้ำทะเลช่วยแก้เซ็ง แต่แล้วกลับได้ของแถมเป็นภาพที่ไม่ควรเห็นและไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง! จากที่แค่เซ็งเลยกลายเป็นหงุดหงิด เขาจำเป็นต้องชะงักฝีเท้าแล้วก้าวกลับไปยังทิศทางตรงกันข้ามก่อนที่คนสองคนซึ่งกำลังหลงวนอยู่ในโลกสีชมพูแสนหวานจะรู้ตัวแล้วว่าเอาได้ว่าเสียมารยาท ซึ่งว่าไปแล้วคราวนี้เขาก็นึกอยากจะเสียมารยาทดูบ้างเหมือนกัน จู่ๆ ก็นึกอยากจะเห็นขึ้นมาว่าคนดีแสนดีหนักหนาคนนั้น... จะทำหน้ายังไง หากมีพยานมาร่วมรับรู้ในพฤติกรรมที่ไม่เหมาะไม่ควรของตัวเองเข้า แต่ก็นั่นแหละ เขามันไม่ชอบยุ่งเรื่องของใคร ไม่! เลยจริงๆ

แต่เอ่อ... เดี๋ยวก่อน ขอยกเว้นผู้หญิงบางคนได้ไหม

“คุณจะไปไหน” วิศวกรมาดนิ่งถามน้ำเสียงร้อนรนไม่พอเขายังคว้าแขนคนที่แกล้งกันเสียเจ็บแสบแต่ยังทำลอยหน้าลอยตาเดินผ่านกันไปหน้าตาเฉยราวกับเขาเป็นแค่ลมทะเล

“เรื่องของฉัน คุณมายุ่งอะไรด้วย” ปุณยวีร์ตอบกลับเสียงห้วน

ชินพัตต์กัดฟันกรอดพยายามข่มใจแล้วบอกกับตัวเองว่า เขาไม่อยากจะยุ่งกับเรื่องของใคร แต่เรื่องนี้เขาไม่ยุ่งไม่ได้!

“เอ๊ะ! ปล่อยสักทีสิ คุณมีสิทธิ์อะไรมาจับฉันไว้นี่ ฉันรีบ” คนที่ถูกฉุดรั้งข้อมือเอาไว้ไม่ให้ก้าวต่อสั่งเสียงเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

และคำพูดนั้นก็ราวกับแรงมหาศาลที่ฟาดลงมาจนชินพัตต์รู้สึกชาไปหมดทั้งหน้า มือใหญ่ของเขาปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระ

“ขอโทษ ที่ผมถือวิสาสะหวังดีไม่อยากให้คุณเห็นอะไรที่ทำให้รู้สึกแย่” บอกเสียงเรียบสนิทติดจะเย็นชานิดๆ

ปุณยวีร์ขมวดคิ้วมุ่น “คุณหมายความว่ายังไง ทางนั้นมันมีอะไรกันแน่” เมื่อไม่มีคำตอบจากคนที่เคยฉุดรั้งกันเอาไว้เธอก็ถอนหายใจเบื่อๆ ก่อนจะก้าวต่อไป

“หมาตายกำลังขึ้นอืด” จู่ๆ คนที่หุบปากเงียบก็อ้าปากพูดขึ้นมา

ปุณยวีร์ชะงักไปนิดก่อนจะก้าวต่อ “เหอะ! เห็นฉันเป็นเด็กอมมือหรือไงถึงได้เอาเรื่องปัญญาอ่อนแบบนี้มาล้อกันเล่น ฉันเป็นรุ่นพี่คุณตั้งหลายปีมีประสบการณ์ชีวิตมากกว่าคุณนะ ลืมไปแล้วรึไง”

คนอ่อนประสบการณ์เงยหน้าขึ้นกลอกตากับฟ้า “ตามใจคุณก็แล้วกัน ถ้าอยากจะกินซีฟู้ดส์ไปพลางจินตนาการถึงหนอนตัวอ้วนๆ สีขาวกำลัง...”

“อ๊ายยยย... พอ หยุดพูดได้แล้ว เสียมารยาทที่สุด” คนมากประสบการณ์หันหน้ากลับมาตวาดแหว ก่อนจะนิ่งไปเมื่อจมูกเริ่มได้กลิ่นเหม็นเน่าจางๆ ลอยมากับสายลม “นี่คุณไม่ได้หลอกฉันเล่นใช่ไหม” ยังไม่วายถามย้ำ

ชินพัตต์ยักไหล่ “ก็ถ้าอยากจะแน่ใจคุณก็เดินไปดูเองแล้วกัน” เขาบอกเสียงเรียบก่อนจะผละจากไป

ปุณยวีร์หันรีหันขวางอย่างตัดสินใจไม่ถูกก่อนจะจ้ำอ้าวตามอีกฝ่ายไปเมื่อกลิ่นเหม็นเน่าเริ่มโชยมาอีกครั้ง “นี่คุณรอด้วยสิ ควายหายรึไงจะรีบไปไหนนี่ คนอะไรไม่มีน้ำใจ” บ่นกระปอดกระแปดไปตามนิสัย



TBC...

สวัสดีค่ะ ขอบคุณ คุณผู้อ่านที่คลิกเข้ามาอ่าน กดไลท์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณ sai ที่ทิ้งคอมเม้นท์ไว้ให้รู้ว่าติดตามกันอยู่ ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อไปนะคะ รับรองว่าจะได้พบกับเรื่องราวแปลกใหม่ไม่เหมือนเดิมแน่นอนค่ะ ^_^



พนาศิลป์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ธ.ค. 2557, 09:45:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ธ.ค. 2557, 09:45:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 1218





<< 10/1   ตอนที่ 10 จบ >>
Zephyr 2 ธ.ค. 2557, 13:42:07 น.
น่าน แอบช่วยนะเนี่ย น่ารักจังชินจัง


sai 3 ธ.ค. 2557, 11:04:38 น.
ยิ่งอ่านยิ่งหลงรักชินจัง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account