ปริศนาในรอยรัก
คำโปรยเรื่อง


“หยุด หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!” เสียงเรียกดังขึ้นพร้อมกับแรงกระชากจากด้านหลัง

“โอ๊ย!!!” ปารณีย์ร้องเสียงหลง เมื่อโดนกระชาก ข้อมือเล็กเจ็บเล็กน้อยจากแรงบีบของคนเสียมารยาท เหมือนเจ้าตัวจะรู้ก็ปล่อยมือของปารณีย์ออก

“เมื่อไหร่คุณจะเลิกทำตัวเสียมารยาทกับฉันสักที วันนี้คุณเสียมารยาทกับฉันไปสองครั้งแล้วนะคะคุณภูธเนศ” ปารณีย์มองผู้ชายที่เธอคิดว่าไร้มารยาทที่สุด ปารณีย์เดาได้ว่าผู้ชายคนนี้ดูจะไม่ชอบขี้หน้าเธอมากเสียด้วย ดวงตาคมที่มองมามันมีความไม่พอใจส่งออกมาอย่างเห็นได้ชัด ปารณีย์ไม่รู้หรอกว่าผู้ชายคนนี้มีปัญหาอะไรกับเธอมาก่อน แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ จะว่าแค่เรื่องห้อง ก็คงไม่ใช่แล้วล่ะ

“ก็ผมเรียกคุณ แล้วคุณไม่หยุด”

“คุณเรียกปุ๊บ ฉันจำเป็นต้องหันปั๊บเลยหรือไง คุณต้องรอสิคะ ไม่อยากเชื่อคุณจะเป็นเจ้านายใครเขาได้ ไม่อยากจะเชื่อคนอย่างคุณจะเป็นคนดูแลไร่ใหญ่โตอย่างนี้” คำพูดกึ่งสบประหม่าทำให้ภูธเนศเริ่มโกรธ ด้วยความว่าเติบโตมาในไร่แห่งนี้ ทุกคนตามใจ เทิดทูนบูชาดุจเทพเจ้า เขาไม่เคยเจอคนกล้าต่อปากต่อคำหรือกล้าใช้คำสั่งสอนหรือว่าด่าทอ แบบเธอคนนี้ และมันก็ทำให้อารมณ์โกรธที่ค้างอยู่เริ่มปะทุอีกครั้ง แต่เจ้าตัวก็พยายามข่มอารมณ์โกรธให้เบาลง

“เอาล่ะผมไม่อยากต่อปากต่อคำกับคุณ คุณแม่อนุญาตให้คุณอยู่ต่อ เชิญขนกระเป๋าของคุณกลับขึ้นไป คุณปา...ระ...นี” ภูธเนศพยายามข่มอารมณ์อย่างสุดความสามารถ

“แต่ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ฉันจะเข้าเมืองตอนนี้ และเดี๋ยวนี้” ใบหน้าสวยหวานออกอาการรั้น ปารณีย์ถือกระเป๋าของตัวเองอีกครั้ง จะหันหลังถือกระเป๋าเดินหนี แต่

Tags: ปริศนา ปมฆาตกรรม ความรัก ความลับ

ตอน: ตอนที่ 1 บทเริ่มต้นที่เจ็บปวด

1
บทเริ่มต้นที่เจ็บปวด


ปารณีย์ขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถเล็ก ๆ ในบ้าน บ้านของปารณีย์เป็นบ้านสองชั้นซึ่งไม่ใหญ่มากจนดูโอ่อ่า แต่ก็ไม่เล็กจนเกินไป ซึ่งสำหรับปารณีย์มันก็ดูกว้างขวางเกินไปสำหรับสมาชิกหกคน นี่ยังไม่รวมคนดูแลบ้านอีกสาม สี่คน รอบ ๆ บ้านเต็มไปด้วยต้นไม้เล็กใหญ่ ทำให้ภายในบ้านดูร่มรื่น เพราะคุณพ่อของเธอซึ่งเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ชอบปลูกต้นไม้ รวมถึงชอบเพาะลี้ยงพันธุ์กล้วยไหม้ ซึ่งลานหลังบ้านที่อยู่ติดกลับริมแม่น้ำ ถูกดัดแปลงบางส่วนมาเป็นเรือนกระจกสำหรับเลี้ยงกล้วยไม้ ซึ่งก็เป็นสถานที่ทำกิจกรรมยามว่างของคนที่กำลังจะเข้าสู่วัยเกษียณ เรือนกล้วยไม้จึงเหมาะที่จะเป็นกิจกรรมของคนวัยนี้ และเป็นกิจกรรมคลายความเบื่อหน่ายและฟุ้งซ่าน

“หายไปหลายวันเลยนะคะ กลับมาเหนื่อย ๆ ดื่มน้ำกระเจี๊ยบเย็น ๆ หน่อยไหมคะ ป้าพึ่งทำเองนะคะ” เสียงป้าคำหอม หรือป้าหอม แม่นมผู้เลี้ยงดูคุณปรางทิพย์ และเป็นคนสนิทของปรางค์ทิพย์และคุณยายของเธอถามขึ้น ปารณีย์นั่งลงที่โซฟาในห้องรับแขกและส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ

“เดี๋ยวปาลงมาดื่มแล้วกันนะคะป้าหอม แล้วนี่ไปไหนกันหมดล่ะคะไม่มีใครอยู่เลยหรอ นี่ก็เย็นแล้วท่านนายพล ท่านผู้กำกับคนดีแล้วก็ผู้กองคนเก่งของป้าหอมยังไม่กลับอีกหรอคะ” ปารณีย์เอ่ยถามหาพ่อและพี่ชายอีกสองคน ซึ่งพี่ชายคนโตทำงานรับราชการเป็นตำรวจอยู่ในหน่วยปรามปรามยาเสพติด ซึ่งผลงานมากมายที่พี่เธอสร้าง ทำให้กลายเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงที่ไต่ระดับได้อย่างรวดเร็ว พี่ชายคนโตที่ว่าคือ ...พันตำรวจเอกปริญ รุ่งเรืองทรัพย์... ส่วนพี่ชายคนรองก็เป็นทหารเรือ รับราชการจนมียศเป็นถึง....นาวาเอกปวีร์ รุ่งเรืองทรัพย์... และคาดว่าอีกไม่นานก็คงจะได้เลื่อนยศอีกแน่นอน ก็ขยันซะขนาดนั้น และนานครั้งจะกลับมาบ้านให้สมาชิกในครอบครัวได้เห็นหน้าเห็นตา และวันนี้ก็เป็นวันที่พี่ชายเธอโทรมาบอกว่าจะมาด้วย แต่พอกลับมาถึงบ้านกลับเงียบกริบ

“อ๋อ...คุณปอนด์เธอตามคุณปรางค์ไปทำบุญตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ เมื่อเช้าคุณปรางค์เธอหน้ามืดจะเป็นลมด้วย คุณปอนด์เป็นห่วงก็เลยไปเป็นเพื่อนค่ะ เห็นว่าเสร็จแล้วจะแวะไปเยี่ยมคุณปราณที่ปราณรีสอร์ทด้วย ช่วงนี้คุณปราณเธอเครียด ๆ ค่ะ ส่วนคุณปัณณ์เห็นบอกว่ามีธุระราชการด่วน คงจะกลับพรุ่งนี้ค่ะ”

“แล้วคนสุดท้ายล่ะคะ ท่านนายพลใหญ่ของบ้าน” ปารณีย์เอ่ยถึงพ่อ ซึ่งปัจจุบันก็รับราชการเป็นนายตำรวจที่สร้างผลงานจนมียศใหญ่โต จากนายตำรวจเล็ก ๆ ที่พาครอบครัวรอนแรมออกมา จนบัดนี้ พ่อเธอก็สร้างฐานะครอบครัวที่มั่นคงได้ ปารณีย์ก็วาดฝันว่าสักวันหนึ่งเธอจะได้เจอคนที่รัก ได้แต่งงานกัน และมีครอบครัวที่อบอุ่นแบบพ่อกับแม่ แต่ฝันของเธอคงสลายไปแล้ว ความเชื่อมั่นในรักแท้ในเวลานี้มันหดหายไปกว่าครึ่ง

“เห็นคุณปรางค์เธอบอกว่าเพื่อนของคุณท่านชวนไปดูกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ และคงจะกลับพรุ่งนี้กระมังคะ ป้าเห็นตาเหมือนถือกระเป๋าเสื้อผ้าคุณท่านออกไปด้วย คงไปค้างด้วย” ครอบครัวเธอมักจะมีกิจกรรมยามว่างตลอด บางทีก็ไปกันทั้งครอบครัว แต่บางทีพ่อกับแม่ก็ไปสวีตกันสองคน บางทีก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทางแบบไม่ได้นัดหมาย แต่ทำไมต้องไปกันวันนี้ วันที่เธอจะมาบอกข่าวของเธอล่ะ

“นี่ปาต้องอยู่บ้านคนเดียวอีกแล้วหรอคะ ทุกคนหนีปาไปกันหมด พี่ปอนด์ก็ด้วยนาน ๆ กลับมาที ยังไม่ทันได้เจอหน้าน้องก็ไปกับคุณแม่แล้ว แถมพรุ่งนี้ปาก็จะไปเชียงใหม่แล้วด้วย แล้วงานปาจะเสร็จเร็วหรือช้าก็ไม่รู้”

“ใครบอกอยู่คนเดียวกันคะ ป้าก็อยู่นี่ไง” ปารณีย์ยิ้มและกอดป้าหอมที่ก็เป็นคนเลี้ยงเธอมาเหมือนกับเธอเป็นลูกแท้ ๆ อย่างน้อยเธอก็ยังโชคดีที่ยังมีครอบครัวถึงแม้บางทีครอบครัวเธอจะแตกไปคนละทางในบางครั้งก็เถอะ

“ปาถึงรักป้าหอมที่สุดไงคะ”

“ปากหวานจริงนะคะ รีบไปอาบน้ำแล้วเดี๋ยวลงมาทานข้าวเถอะค่ะ หายไปสองวันซูบลงเลยนะคะ” ปารณีย์ยิ้ม ก่อนจะผละออกจากอ้อมกอดของหญิงสูงวัย แต่ก็ไม่ลืมที่จะประจบด้วยการหอมแก้มแล้ววิ่งขึ้นไปบนห้องนอน ใบหน้าหวานที่ยิ้มร่าก็ค่อย ๆ คลายลง ดวงหน้างามล้ำกลับมาเฉยชาอีกครา นัยน์ตาสวยหวานซึ้งมองกล่องสี่เหลี่ยมสีขาวใบใหญ่ที่ตั้งอยู่ใต้เตียง สองเท้าเดินมาทิ้งตัวนั่งลงที่พื้นข้างเตียง

ครืด

มือสวยเอื้อมมือลากกล่องออกมา และบรรจงเปิดกล่องออกอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในกล่อง ซึ่งเป็นของ ๆ อดีตคนรักของเธอที่พึ่งเลิกกันไปเมื่อเดือนก่อน ภายในกล่องใบนี้มีความทรงจำที่หวานชื่นของเธอและเขาอยู่ทั้งหมด มีทั้งของขวัญที่เขาให้เธอในวันสำคัญ ไปจนถึงของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาให้เธอในตอนที่ขอคบใหม่ ๆ มันอยู่ในกล่องนี้ทั้งหมด รวมถึงของชำร่วยที่เธอเตรียมไว้ในงานแต่ง การ์ดแต่งงาน และอัลบั้มรูปแต่งงาน ใช่ ...เธอกำลังจะมีแพลนแต่งงานในอีกไม่กี่เดือนนี้ ซึ่งตามกำหนดการก็อีกไม่นานนี้แล้ว งานที่เตรียมทุกอย่างไว้พร้อม ทั้งสถานที่ แขก อาหาร หรือ แม้แต่ชุดแต่งงานที่เธอไปขอเพื่อนตัดอย่างพิเศษและนำมันมาใส่หุ่นโชว์ไว้ภายในห้องนอน เธอมองมันก่อนนอนเหมือนคนโรคจิตทุกคน ชุดแต่งงานที่เธอฝันไว้ว่าจะได้ใส่ในวันนั้น วันสำคัญของเธอ ได้ยินยิ้มต้อนรับแขกอยู่เคียงข้างเจ้าบ่าวแสนรัก เธอนั่งนับถอยหลังด้วยหัวใจที่อิ่มเอิบไปด้วยความสุข แต่แล้วผู้ชายคนนั้นก็ล้มงานแต่งงานของเธออย่างโหดร้าย โหดร้ายจนปารณีย์แทบรับมันไม่ไหว ปารณีย์หยิบการ์ดแต่งงานขึ้นมาลูบอย่างเบามือ น้ำตาค่อย ๆ ลื่นไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้ หลายครั้งที่เธอตัดสินใจจะทิ้งของพวกนี้ แต่พอเห็นสิ่งของภายในกล่องเธอก็ทำใจไม่ได้ และทิ้งมันไม่ลง กล่องใบนี้บรรจุความทรงจำดี ๆ ของเธอและเขาไว้มากมาย ทำให้เธอตัดใจไม่ลงเสียที และเมื่อได้กลับมามองมันก็ยิ่งทำให้เธอปวดใจ

“พี่วี” ปารณีย์เอ่ยชื่อชายที่เป็นอดีตว่าที่เจ้าบ่าวของเธอ เธอยังจำหน้าของเขาในวันนั้นได้ วันที่เขาบอกว่าให้จบทุกอย่างลง ใบหน้าหล่อคมของเขามีสีหน้าเศร้า เขาเดินเกี่ยวแขนมากับผู้หญิงที่เธอจดจำได้ไม่มีวันลืม ...รพี... ศัตรูตลอดกาลของเธอ ตั้งแต่เรียนอนุบาลจนเธอขึ้นมหาวิทยาลัยผู้หญิงคนนี้ตามไปจองล้างจองผลาญเธอทุกที่ แต่มันก็ไม่เคยสำเร็จ สักครั้ง จนครั้งนี้มันสำเร็จแล้ว รอยยิ้มเย้ยหยันในวันนั้นเธอไม่มีวันลืมได้ลงหรอก มันฝังและตราตรึงอยู่ในหัวใจ คอยย้ำเตือนให้เธอเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึง




“ปา...ปา แกดูนั่นดิ” ปารณีย์ที่กำลังเลือกเสื้อเชิ๊ตแบรนด์ประจำของว่าที่เจ้าบ่าว ซึ่งเธอกะจะซื้อให้เขาเป็นของขวัญในวันแต่งงาน แต่เมื่อถูกเพื่อนสะกิดแขนจึงหันหน้าไปมองเพื่อนสาวที่คบกันมาตั้งแต่เด็ก ด้วยแต่ก่อนที่จะย้ายมาอยู่บ้านหลังปัจจุบันทั้งสองเคยมีบ้านอยู่ใกล้กัน บวกกับพ่อของกิ่งฉัตร เองก็เป็นเพื่อนร่วมงานเดียวกับพ่อ ทำให้ทั้งสองสนิทกันมาก สนิทถึงขั้นรู้ไส้รู้พุงไม่แพ้พ่อแม่เลยทีเดียว

“ดูอะไรของแก” ปารณีย์หันไปมองตามทิศทางที่เพื่อนเธอชี้ ใบหน้าหวานแย้มยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าที่เจ้าบ่าวของเธอกำลังยืนเลือกแหวนอยู่ในร้านฝั่งตรงข้าม โดยที่เธอไม่ทันได้มองเยื้องไปเล็กน้อยว่ามีใครยืนอยู่ แต่กิ่งฉัตรที่เห็นเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เริ่มนิ่วหน้า

“เราไปทักพี่วีกันไหมปา” กิ่งฉัตรเสนอ เพื่อให้สิ่งที่เธอเห็นแน่ชัดขึ้น

“ไม่เอา เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันก็ต้องไปเจอพี่วีอยู่ดี อีกอย่างพี่วีอาจกำลังเลือกของขวัญให้ฉันเหมือนที่ฉันเลือกให้เขา ถ้าเขาเห็นก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ เดี๋ยวฉันไปจ่ายเงิน แกรอก่อนนะกิ่ง” และปารณีย์ก็เดินไป โดยทิ้งให้กิ่งฉัตรยืนมองร้านตรงข้ามด้วยแววตาสงสัย จนปารณีย์เดินมาหยุดอยู่ข้างหลัง

“เราไปกันเถอะ แกหิวไม่ใช่หรอกิ่ง” กิ่งฉัตรพยักหน้าและเดินไปตามแรงดึงของเพื่อน ร้านที่ทั้งสองเลือกเป็นร้านอาหารอิตาเลียนเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง แต่รับประกันความอร่อยที่ไม่แพ้โรงแรมดังๆ และแน่นอนร้านนี้เป็นร้านโปรดของนาวีและเธอ ซึ่งปกติเธอก็ไม่ชอบกินอาหารอิตาเลียน แต่เพราะนาวีชวนเธอมา และร้านนี้มันอร่อยจริง ๆ มันเลยกลายเป็นร้านโปรดของเธอและเขาในเวลาต่อมา

“แก ฉันถามอะไรอย่างได้ป่ะ” กิ่งฉัตรเอ่ยขึ้นเมื่อสั่งอาหารเสร็จ ปารณีย์พยักหน้า

“ว่ามาสิ”

“ถ้าเกิดพี่วีเขามีผู้หญิงอื่นแกจะทำยังไง” คำถามนั้นทำให้ปารณีย์นิ่งไป นิ่งไปจนกิ่งฉัตรรู้สึกใจไม่ดี คิ้วเรียวขมวดขึ้นเล็กน้อย แต่ก่อนจะได้ถามอะไรคนคู่หนึ่งก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะของสองสาว

“ดูสิคะ ว่าเราเจอใครคะ...พี่วี...” ปารณีย์นิ่งไปพักใหญ่ เหมือนกำลังพยายามรวบรวมสติสตางค์ที่มันกระเด็นหายไปให้กลับคืนมา ดวงตาคู่สวยมองไปที่แขนของนาวี ซึ่งมีแขนของรพี ศัตรูคู่อาฆาตของเธอกอดแขนเอาไว้แน่นราวกับต้องการประกาศความเป็นเจ้าของว่าผู้ชายคนนี้เป็นแฟนของฉัน ...แฟน... สมองหยุดการประมวลผลโดนฉับพลัน

“เอ่อ...ปา”

“นี่ใช่ไหมที่แกพยายามจะพูด” ปารณีย์มองเพื่อนที่กำลังอ้ำอึ้งพูดไม่ออก สถานการณ์ตึงเครียดแบบนี้ใครจะพูดออก กิ่งฉัตรเลือกที่จะไม่พูดและเงียบเสียงลง ปารณีย์มองนาวีที่ไม่ยอมมองหน้าเธอตอบ ต่างจากรพีที่จ้องเธอเหมือนเยาะเย้ย นัยน์ตาที่หยิ่งผยองมีแววเย้ยหยัน เหมือนกับรอเวลานี้มานาน

“พี่วีคะ”

“พี่วีคะ” ปารณีย์และรพีเอ่ยเรียกคนกลางขึ้นมาพร้อมกัน ต่างแค่น้ำเสียงคนหนึ่งเสียงเรียบฟังดูหนาวเหน็บจนน่าใจหาย ขณะที่อีกเสียงหวีดแหลม เหมือนข่มขู่

“ถ้าพี่วีไม่พูด รพีจะพูดเองแล้วนะคะ” รพีกอดแขนแกร่งของนาวีแน่น นาวีหันกลับมามองหน้าปารณีย์อีกครั้ง ดวงตาทั้งสองสบกัน คนหนึ่งตั้งคำถาม อีกคนไร้คำตอบ มีเพียงแต่ความรู้สึกผิดเท่านั้นที่ส่งออกมา ปารณีย์ยังคงไม่เอ่ยคำถามใด ๆ จนรพีเองที่เป็นฝ่ายทนกับสถานการณ์นี้ไม่ไหว จึงเริ่มเอ่ยขัดความเงียบที่ทั้งสองก่อไว้

“ฉันจะบอกเธอเองปารณีย์ ฟังให้ชัดนะ ฉันกับพี่วีกำลังจะแต่งงานกัน” ปารณีย์ยืนนิ่งตัวชา หัวใจก็แข็งชาไปตามความรู้สึกคล้ายจะหยุดเต้นไปเสียดื้อ ๆ สมองรู้สึกตื้อเหมือนไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้ว ความรู้สึกตอนนี้เหมือนรอบกายที่มีเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจเงียบลงทันที ราวกับเธอยืนเผชิญหน้ากับนาวีและรพีเพียงลำพัง

“เธอพูดบ้าอะไรรพี พี่วีกำลังจะแต่งงานกับปา แล้วจะไปแต่งกับเธอได้ยังไง เธอเพ้ออะไรของเธอ” กิ่งฉัตรเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นรพียิ้มเย้ยหยันใส่เพื่อนตน ยิ่งเห็นเพื่อนนิ่งตนก็ยิ่งเดือดแทน

“ก็พี่วีเขาจะไม่แต่งกับเพื่อนของเธอแล้วไง ตอนนี้พี่วีกำลังจะแต่งงานกับฉัน และเพื่อนของเธอก็ควรจะหลีกทางไปซะ ปล่อยพี่วีคืนมาให้ฉันไงล่ะ”

“ถ้าฉันบอกว่าไม่ล่ะ” ใบหน้าสวยหวานมองรพีที่หน้าแดงเหมือนโกรธจัดที่ไม่สามารถทำให้ใบหน้าหวานนิ่งเปลี่ยนสีหน้าได้ รพีค่อย ๆ ยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง

“เธอก็คิดดูแล้วกันว่า เขาจะเลือกใครระหว่างฉันที่มีลูกของเขาอยู่ในท้อง กับเธอที่ไม่มีพันธะอะไรเลย เธอคิดว่าเขาจะเลือกใคร หรือเธอกล้าแย่งพ่อของลูกฉัน” คำพูดที่พูดออกมาดูภาคภูมิใจนั่นทำให้กิ่งฉัตรมองด้วยสายตาสมเพช ในขณะที่ปารณีย์ยืนนิ่ง ทั้งที่ตอนนี้ใจของเธอกำลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เพราะคำว่า...ท้อง...แทงไปที่ใจของปารณีย์ ปารณีย์มองไปที่นาวีอีกครั้งเป็นการให้เขายืนยันคำพูดของรพี นาวีมองมาที่ปารณีย์ด้วยแววตาเจ็บปวด แต่คนที่เจ็บปวดที่สุดในครั้งนี้คงไม่พ้นปารณีย์แน่นอน แม้จะเจ็บปวดแต่ปารณีย์ยังคงรักษาความใจเย็นเอาไว้ ยังไม่โวยวายอะไรออกมา นี่แหละที่น่ากลัว เพราะไม่มีใครรู้ว่าภูเขาไฟลูกนี้มันจะระเบิดเมื่อไหร่ ปารณีย์ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะยอมรับความพ่ายแพ้อะไรง่าย ๆ แต่เมื่อรู้ว่ากำลังจะพ่ายแพ้ เธอจะต้องพ่ายแพ้อย่างผู้ชนะ อย่างที่เธอกำลังทำอยู่ คือยอมนิ่งสงบ ใช้ความเย็นเยือกเข้าข่ม ให้รพีได้รู้ว่าไม่ใช่เธอที่ดิ้นพ่านอย่างคนพ่ายแพ้ แต่คนที่ต้องดิ้นพ่านคือรพีที่คิดว่าตัวเองชนะอยู่

“พี่ขอโทษนะปา พี่ว่าพี่คงไม่ดีพอสำหรับปาอีกแล้ว พี่...”

“หมายความว่ายังไงคะพี่วี ปา....ปาไม่เข้าใจ” ทุกคำพูดของปารณีย์เหมือนเป็นเสียงที่พยายามจะเปล่งมันออกมาเสียมากกว่า ปารณีย์รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างมีจุกอยู่ที่คอ แต่ก็พยายามเค้นเสียงออกมาให้หนักแน่น นัยน์ตาหวานเริ่มร้อนผ่าวไม่ใช่เพราะริษยาแต่ประการใด แต่ความร้อนนี้มาจากสิ่งที่เธอพยายามกลั้นมันไว้ต่างหาก ทั้งที่เธอก็รู้ความหมายมันหมดแล้ว แต่เธอก็ยังเลือกที่จะถามหวังว่าเขาจะอธิบายให้เธอรู้สึกเจ็บน้อยลง

“ปาจะต้องเจอคนที่ดีกับปา รักปามากกว่าพี่ ปาเป็นคนดี ดีมาก ดีจนพี่ไม่อยากให้ปาต้องมาเสียใจ ต้องมามัวหมองเพราะพี่ ถ้าวันหนึ่งพี่ต้องทำให้ปาเสียใจมากกว่านี้พี่ก็คงเจ็บปวดไม่แพ้กัน พี่ว่า...เรา....เรา...เราคงแต่งงานกันไม่ได้แล้ว” คำพูดที่แม้จะเลี้ยงคำว่าเลิก แต่มันไม่ต่างกันเลยกับคำนี้ ปารณีย์ยืนนิ่งตัวชาเกร็งไปทั่งร่างโชคดีที่มีกิ่งฉัตรยืนประคองเธออยู่ไม่อย่างนั้นเธอคงล้มลงไปแล้ว กิ่งฉัตรบีบมือเธอไว้แน่นอย่างปลอบใจ ความเสียใจที่ท้วมท้นทำให้ปารณีย์ไม่สามารถพูดสิ่งใดออกมาได้

“พี่ขอโทษนะปา.... พี่รู้ว่าพี่ผิด... ผิดมากที่ทรยศปาแบบนี้ พี่ไม่ใช่คนดีของปาอีกแล้ว ปาจะโกรธ จะเกลียดพี่ยังไงก็ได้พี่ไม่ว่า ปาจะตบ จะตีพี่ก็...”

เพียะ!!!

เสียงฝ่ามือที่ฟาดลงแก้มของนาวีดังสะท้อนไปทั่วร้าน ทั้งร้านตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะ เช่นเดียวกับรพีที่ตอนแรกเกาะแขนนาวีอยู่ถึงกับสะดุ้งและปล่อยแขนนาวีออก เพราะไม่เคยเห็นปารณีย์ตบใครจริง ๆ จัง ๆ ใบหน้าของนาวีสะท้านชาไปครึ่งซีก กิ่งฉัตรเองก็ไม่คิดว่าเพื่อนจะทำ เพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่ปารณีย์จะจบเรื่องด้วยการทำร้ายคน หรือถึงขนาดต้องลงไม้ลงมือถ้ามันไม่ถึงที่สุดจริงๆ คงไม่มีวันได้เห็น

...ไม่มีน้ำตาแห่งความเสียใจไหลออกมา ไม่มีแม้แต่ร่องรอยความเจ็บปวด หรือแววตาที่เสียใจ เจ็บช้ำ แต่มีประกายแววตาความผิดหวังที่ส่งผ่านออกมาทางแววตาที่เคยหวานซึ้งเพียงวูบหนึ่งแต่ก่อนมันจะเหลือเพียงความเย็นเยือกที่ทำให้คนมองรู้สึกหนาวไปทั้งร่าง...

“....” ปารณีย์เลือกที่จะเงียบ นัยน์ตาหวานมองนาวีอยู่อย่างนั้น คำพูดทุกคำย้ำเข้ามาในความคิด ตอกย้ำให้เธอเจ็บปวด คำพูดทุกคำที่นาวีพูดออกมาเหมือนมีดกรีดแทงมาที่หัวใจของปารณีย์อย่างแรง ปารณีย์จ้องมองนัยน์ตาเศร้าของนาวีที่เขาก็จ้องเธอตอบ นัยน์ตาอ่อนโยนที่เคยใช้มองเธอเสมอมีแต่แววตาเศร้าหมอง มีแต่คำขอโทษที่เขาไม่สามารถพูดมันออกมาได้มากไปกว่านี้ ความรู้สึกผิดท่วมท้นจากแววตาคู่นั้นสะกดให้ปารณีย์จ้องมองด้วยความไม่เข้าใจ นาวีมองผู้หญิงที่ตนรักอย่างเสียใจและเจ็บปวด เขาเจ็บปวดที่สุดเมื่อเห็นแววตาที่เคยแต่มีความสดใส มีแต่ความสุข แต่บัดนี้มันกำลังหม่นแสงสดใสนั้นลงเพราะเขา เขาทำให้เธอต้องเสียใจ นั่นคือสิ่งที่ย้ำเตือนอยู่ในใจเขาตลอดมา เขาอยากจะบอกกับเธอว่าเขารักเธอไม่อยากเสียเธอไป แต่ก็คงทำไม่ได้อีกแล้ว

“พี่ขอโทษ... คนเลว ๆ แบบพี่ควรจะโดนมากกว่านี้ พี่ไม่ขอให้ปาอภัยให้พี่หรอกนะ ความผิดของพี่มันมากเกินไป แต่พี่ขอแค่ปาอย่ามาเสียใจเพราะคนอย่างพี่ อย่าร้อง...”

ฟุบ!!!

แกร๊ง!!!!

ทุกอย่างอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เมื่อปารณีย์ถอดแหวนหมั้นออก และปาใส่หน้านาวี ปารณีย์ทิ้งสายตาสุดท้ายมองนาวีและตวัดมองไปที่รพี ซึ่งเจ้าตัวรีบถอยหลังหนีเพราะกลัวว่าปารณีย์จะหันมาเล่นงานเธอ

“ฉันจะไม่พูดหรอกนะว่าจะคืนเขาให้กับเธอ เพราะเขาเป็นของฉันมาก่อน แต่ฉันจะบอกว่าฉันยกให้ ยกให้ฟรี ๆ อยากได้นักไม่ใช่หรอ ขอให้เธอจงภูมิใจต่อไปนะ ที่แย่งคนรักของคนอื่นด้วยการทอดกายให้เขา ช่างเป็นอะไรที่น่าภูมิใจเสียจริงนะรพี”

“นัง...” รพียืนตัวสั่นกำมือแน่นเถียงไม่ออก

“แต่ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่มีวันทำอะไรที่มันจะทำให้คนอื่นเค้าสมเพชตัวฉันแบบนี้ มันไม่ได้ทำให้เธอชนะในสายตาใครหรอกนะรพี แต่มันทำให้เธอน่าสมเพชในสายตาฉันและสายตาทุกคน ขอให้เธอโชคดีกับทางเลือกของเธอ ขอให้เธอมีชีวิตที่มีความสุขกับผู้ชายที่ไม่ได้รักเธอ ขอให้มีความสุข...รพี” ปารณีย์เดินออกจากร้านไป โดยมีกิ่งฉัตรที่วางเงินบนโต๊ะและวิ่งตามเพื่อนออกไป ไม่มีใครรู้ว่าวันนั้นปารณีย์มีสภาพเป็นอย่างไร มีเพียงกิ่งฉัตรที่อยู่กับปารณีย์ในคืนนั้น คืนที่แสนจะเจ็บปวด มันยากแค่ไหนกว่าเธอจะพยุงตัวลุกขึ้นและกลับมาเผชิญหน้าทุกคนในอีกวันหนึ่งและประกาศยกเลิกงานแต่งงาน มันเป็นช่วงเวลาที่แสนจะทุกข์ทรมานเสียเหลือเกินสำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง




ปารณีย์เปิดดูอัลบั้มรูปของเธอและเขา อดีตคนรักของเธอ ผู้ชายที่เธอเคยคิดว่าจะฝากชีวิตไว้ ผู้ชายที่เธอคิดว่าเขาจะรักเธอที่สุด ผู้ชายที่เธอไว้ใจและเลือกที่จะวางหัวใจให้กับเขาไป โดยไม่คิดว่าเขาจะทำลายหัวใจที่มอบให้เธอจนไม่เหลือชิ้นดี แววตาของเขาในวันนั้นมีแต่คำว่าขอโทษ เขาพูดเพียงคำว่าขอโทษ แต่ปารณีย์ไม่ได้อยากได้มัน เธออยากให้เรื่องทุกอย่างเป็นความฝัน ตื่นขึ้นมาพรุ่งนี้ยังมีพี่นาวีของเธออยู่ เขายังคงส่งยิ้มที่อบอุ่นมาให้แก่เธอ อยากฟังคำพูดปลอบโยนที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น

....แต่มันคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ไม่มีอีกแล้วผู้ชายที่เธอรัก ไม่มีอีกแล้วผู้ชายที่แสนดี ไม่มีอีกแล้ว.....

“ร้องไห้อีกแล้วหรอวะปา” ปารณีย์หันไปมองกิ่งฉัตรที่เปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง ปารณีย์เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว เธอไม่อยากร้องไห้เสียหน่อย ปารณีย์ไม่รู้ว่าเริ่มเธอร้องไห้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และจะร้องไปถึงเมื่อไหร่ แต่ยามที่นึกถึงเรื่องวันนั้นเธอก็รู้สึกเจ็บปวดทุกครั้ง เจ็บจนอยากจะหนีไปให้ไกลแสนไกล หนีไปจากที่ที่มีเขา ไปในที่ที่ไม่มีความทรงจำของเธอและเขา เธอรักเขามาก มากเกินไป

“ฮึก” หลายครั้งที่เธอมองหน้าพ่อ แม่และพี่ชาย เธออยากจะร้องไห้ออกมา แต่เธอทำไม่ได้ ปารณีย์ไม่อยากให้ทั้งหมดต้องมาทุกข์ใจเพราะเธอ แค่รู้ว่างานแต่งของเธอล่ม ครอบครัวของเธอก็แทบอยู่ไม่สุข พี่ชายสองคนต่างพากันถามไถ่เป็นเดือดเป็นร้อนแทน ถ้าเธอไม่ห้ามเอาไว้ป่านนี้พวกพี่ของเธอคงมาจัดการนาวีแน่นอน ไหนจะพ่อกับแม่ที่ต้องมาผิดหวัง อับอายผู้คน ถึงแม้ครอบครัวเธอจะไม่ใช่ไฮโซที่มีชื่อเสียง แต่ก็มีคนรู้จักพ่อของเธออยู่ไม่น้อย

“แกร้องไห้มานานเกินไปแล้วนะปา แกจะร้องไห้แบบนี้ทุกวันไปถึงเมื่อไหร่ มันไม่ได้ช่วยให้แกหายเจ็บหรอกนะถ้าแกยังร้องไห้แบบนี้ทุกวัน มันมีแต่ตัวแกที่จะทรมาน” กิ่งฉัตรมองเพื่อนอย่างสงสาร แต่เธอก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เธอได้แต่หวังว่าวันเวลาจะช่วยเยียวยาเพื่อนเธอให้หายดีขึ้น

“แกรู้แล้วใช่ไหมกำหนดงานวันแต่งงานของสองคนนั้น ทำไมเขาต้องแต่งกันวันนั้น พวกเขาจะทำร้ายฉันไปอีกนานแค่ไหน ฉันยังเจ็บไม่พออีกหรอวะ เขายังเห็นฉันทรมานไม่พอใช่ไหม ทำไมเขาใจร้ายกับฉันแบบนี้”

“รพีมันแค่จะเยาะเย้ยแก แกอย่าไปสน ตราบใดที่แกไม่สน มันก็ทำได้แค่นั้นแหละ แกร้องซะให้พอ แกร้องไห้มันจบ ๆ ไป วันหนึ่งแกจะทำใจได้ อกหักมันก็แค่เจ็บ แต่มันไม่ได้ตาย แกยังมีชีวิตอยู่ แกยังมีคนที่รักแกอยู่อีกเยอะแยะนะปา ไม่ได้มีแค่ไอ้พี่วี แกยังมีพ่อ มีแม่ มีพี่ปัณณ์ พี่ปอนด์ และแกยังมีฉัน ฉันที่รักแกมาก มากกว่าไอ้พี่วีนั่น แกเจ็บ ฉันก็เจ็บด้วยนะปา ฉันแค้นนังรพีไม่แพ้แกเลยปา และฉันก็เสียใจไม่แพ้แก ฉันเห็นแกร้องไห้ทุกวันฉันก็เจ็บกับแกด้วยนะ”

“กิ่ง ฉันเจ็บ เจ็บจนทนไม่ไหวอีกแล้ว มันเจ็บขึ้นทุกวัน เจ็บขึ้นทุกวินาทีที่ฉันหายใจ เจ็บจนไม่อยากอยู่อีกแล้ว ทำไมเรื่องแบบนี้มันต้องเกิดกับฉัน เจ็ดปีที่ผ่านมาของฉันมันพังลงไปในพริบตา หัวใจฉันมันพังลงมาพร้อมกับเจ็ดปี มันไม่เหลืออะไรเลยกิ่ง ทำไมฉันต้องเจ็บแบบนี้”

“แกวางหัวใจไว้ที่พี่วีจนลืมเผื่อไว้ไง แกรักเขามาก มากจนไม่มองคนอื่น แกใช้ทุกช่วงเวลากับเขา แกถึงเจ็บ แต่แกไม่ผิดที่รักเขา เพราะความรักมันไม่ผิด แกแค่ลืมเผื่อใจไว้แค่นั้นเอง” กิ่งฉัตรกอดเพื่ออย่างปลอบใจ ปารณีย์ไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าพ่อแม่ หรือพี่น้อง เมื่อต้องเก็บไว้เวลาพังทลายออกมามันจึงเจ็บปวดแบบทบทวี

“ฮึก...แกช่วยฉันทีสิ ทำยังไงก็ได้ให้ฉันลืมมันไปซะที ให้ฉันหายเจ็บสักที ฉันไม่อยากทรมานแบบนี้อีกแล้ว แกรู้ไหมทุกคืนฉันต้องสะดุ้งตื่นมากลางดึก แล้วก็นั่งร้องไห้ซ้ำไปซ้ำมา มันเป็นอย่างนี้มาตลอด ทำไมถึงมีแต่ฉันที่ต้องร้อง ฉันเจ็บ กิ่ง ฮึก...ฮือ..เจ็บ..ฮึก” กิ่งฉัตรนั่งลงบนพื้นข้าง ๆ กับปารณีย์ กิ่งฉัตรโกยของทุกชิ้นที่วางอยู่บนพื้นห้อง รวมถึงอัลบั้มรูปที่อยู่ในมือของปารณีย์และยัดกลับใส่กล่องพร้อมปิดฝากล่องผนึกไว้อย่างเดิม ปารณีย์หันมองกิ่งฉัตรที่หันกลับมามองเธอและจับมือของเพื่อนสาวไว้

“ฉันช่วยแกไม่ได้หรอกปา เรื่องแบบนี้บางทีก็ไม่มีใครช่วยแกได้หรอกนะปา แต่แกต้องใช้เวลา แกจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยตัวแกเอง แกต้องเข้มแข็ง สักวันแกจะต้องลืมมันได้ แกจะต้องกลับมาเป็นยัยปา กลับมาเป็นปารณีย์ของพวกเรา ฉันรู้แกเจ็บมาก แต่แกต้องหาย ไม่มีแผลอะไรที่รักษาไม่หายหรอกนะปา รวมถึงแผลใจ ถึงมันจะใช้เวลานาน แต่มันต้องหาย สักวันไอ้พี่วีจะหายไปจากหัวใจแก แกจะกลับมาเป็นปารณีย์คนเดิมของพวกเรา ฉันเชื่อนะปา” กิ่งฉัตรดึงเพื่อนเข้ามากอดไว้ แรงสะอื้นทำให้รู้ว่าตอนนี้เพื่อนของเธออ่อนแอมากแค่ไหน

...อีกไม่นานหรอกปา แกจะต้องหาย... กิ่งฉัตรพูดในใจ เธอดันตัวเพื่อนออก เมื่อเห็นว่าแรงสะอื้นเริ่มน้อยลง นัยน์ตาสีสวยของเพื่อนเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจ

“พี่แพรพึ่งโทรมาบอกเมื่อคืนว่าแกกำลังจะไปเชียงใหม่ ถือว่าไปพักผ่อนด้วย ไปเจอสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ บรรยากาศใหม่ ๆ มันอาจจะทำให้แกดีขึ้น เดี๋ยวแกไปอาบน้ำแล้วลงไปกินข้าว แล้วมาช่วยจัดกระเป๋ากัน ส่วนของพวกนี้ฉันจะเก็บไว้ให้ก่อน วันที่แกคิดว่าแกหายแล้วแกมาเอามันคืนไป แล้วแกก็เลือกเอาว่าจะเก็บของพวกนี้ไว้เตือนใจตัวเอง เก็บไว้ให้แกนึกถึงวันดี ๆ วันเก่า ๆ หรือแกจะทิ้งมันไป เพื่อไม่ให้นึกถึงมันอีก ตกลงนะปา” ปารณีย์มองกล่องสีขาวด้วยแววตาเศร้าและพยักหน้า เพราะเก็บไปก็ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว ถ้าเธอมองเห็นมันแล้วยังเจ็บปวดก็ไม่ควรจะเก็บมันไว้ใกล้ตัว


....ติดตามตอนต่อไป....


เปิดตอนแรก สำหรับใครเคยผ่านตาเรื่องกลรักบ่วงกามเทพ (ชื่อเดิม) ก็คงพบตอนแรกตอนนี้ไปบ้างแล้ว
แต่ทำการรีไรท์ใหม่ก็เก็บตอนต้นของปัยญาหัวใจไว้ มันจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนในภายหลัง

เปิดด้วยความเศร้าบีบคั้นหัวใจเพียงเล็กน้อย คงต้องรอเวลาเยียวยาหัวใจสักนิด
ยังไงก็ช่วยกันติดตามในตอนหน้า เพราะเรื่องกำลังจะเริ่มแล้ว
ฝากคอมเม้นส์กันด้วยนะคะ แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ



พัชรีพร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ธ.ค. 2557, 12:52:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ธ.ค. 2557, 13:11:08 น.

จำนวนการเข้าชม : 975





<< บทนำ   ตอนที่ 2 เส้นทางสายฝน >>
แก้วจินดา 2 ธ.ค. 2557, 16:54:16 น.


ปลาวาฬสีน้ำเงิน 2 ธ.ค. 2557, 23:46:04 น.
เปิดเรื่องมา อ่านแล้วซึมเลย แต่คิดว่าฟ้าหลังฝน ต้องดี เนอะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account