ปริศนาในรอยรัก
คำโปรยเรื่อง


“หยุด หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!” เสียงเรียกดังขึ้นพร้อมกับแรงกระชากจากด้านหลัง

“โอ๊ย!!!” ปารณีย์ร้องเสียงหลง เมื่อโดนกระชาก ข้อมือเล็กเจ็บเล็กน้อยจากแรงบีบของคนเสียมารยาท เหมือนเจ้าตัวจะรู้ก็ปล่อยมือของปารณีย์ออก

“เมื่อไหร่คุณจะเลิกทำตัวเสียมารยาทกับฉันสักที วันนี้คุณเสียมารยาทกับฉันไปสองครั้งแล้วนะคะคุณภูธเนศ” ปารณีย์มองผู้ชายที่เธอคิดว่าไร้มารยาทที่สุด ปารณีย์เดาได้ว่าผู้ชายคนนี้ดูจะไม่ชอบขี้หน้าเธอมากเสียด้วย ดวงตาคมที่มองมามันมีความไม่พอใจส่งออกมาอย่างเห็นได้ชัด ปารณีย์ไม่รู้หรอกว่าผู้ชายคนนี้มีปัญหาอะไรกับเธอมาก่อน แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ จะว่าแค่เรื่องห้อง ก็คงไม่ใช่แล้วล่ะ

“ก็ผมเรียกคุณ แล้วคุณไม่หยุด”

“คุณเรียกปุ๊บ ฉันจำเป็นต้องหันปั๊บเลยหรือไง คุณต้องรอสิคะ ไม่อยากเชื่อคุณจะเป็นเจ้านายใครเขาได้ ไม่อยากจะเชื่อคนอย่างคุณจะเป็นคนดูแลไร่ใหญ่โตอย่างนี้” คำพูดกึ่งสบประหม่าทำให้ภูธเนศเริ่มโกรธ ด้วยความว่าเติบโตมาในไร่แห่งนี้ ทุกคนตามใจ เทิดทูนบูชาดุจเทพเจ้า เขาไม่เคยเจอคนกล้าต่อปากต่อคำหรือกล้าใช้คำสั่งสอนหรือว่าด่าทอ แบบเธอคนนี้ และมันก็ทำให้อารมณ์โกรธที่ค้างอยู่เริ่มปะทุอีกครั้ง แต่เจ้าตัวก็พยายามข่มอารมณ์โกรธให้เบาลง

“เอาล่ะผมไม่อยากต่อปากต่อคำกับคุณ คุณแม่อนุญาตให้คุณอยู่ต่อ เชิญขนกระเป๋าของคุณกลับขึ้นไป คุณปา...ระ...นี” ภูธเนศพยายามข่มอารมณ์อย่างสุดความสามารถ

“แต่ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ฉันจะเข้าเมืองตอนนี้ และเดี๋ยวนี้” ใบหน้าสวยหวานออกอาการรั้น ปารณีย์ถือกระเป๋าของตัวเองอีกครั้ง จะหันหลังถือกระเป๋าเดินหนี แต่

Tags: ปริศนา ปมฆาตกรรม ความรัก ความลับ

ตอน: ตอนที่ 2 เส้นทางสายฝน



2
เส้นทางสายฝน




หลังจากลงจากเครื่องบินมาได้สักพัก ภุมรีให้เธอยืนรอจะมีคนที่ไร่มารับเธอรอเกือบสองชั่วโมงในที่สุดความอดทนของเธอก็หมดลง โทรไปหาภุมรี ภุมรีก็ไม่รับสายเธอ เธอจึงดาวน์โหลดแผนที่ทางไปไร่ภูปลายฟ้า ติดต่อรถเช่าและขับมาเอง เพราะเธอคิดว่าจะขับรถชิลล์ ๆ ไปเรื่อย ๆ จากแผนที่ในจีพีเอสนี่ก็ไม่ได้ซับซ้อนมาก อาศัยการคลำทางไปเรื่อย ๆ เธอเองก็ไม่ได้รีบจะได้แวะเที่ยวไปด้วย ไหน ๆ ก็มาถึงเชียงใหม่แล้ว แต่เมื่อเห็นว่าระยะทางมันเริ่มไกลขึ้น จึงเปลี่ยนไปถามทางคนตามทางตามบ้านแทน ในที่สุดเธอก็กลับเข้าสู่เส้นทางของภูฟ้างาม สองข้างทางคือป่าตลอดแนว ความน่ากลัวบังเกิด เมื่อฟ้าเริ่มมืดครึ้มคล้ายฝนจะตก ปารณีย์ขับตรงไปตามเส้นทางที่ถามพ่อค้าแม่ค้าในตลาดมาเรื่อย ๆ จนถึงทางแยก ซึ่งเธอก็ไม่ได้ถามเส้นทางว่ามันจะมีแยกแล้วควรไปแยกว้ายหรือแยกขวา ที่สำคัญคือในจีพีเอสมันไม่ได้ระบุไว้

“บางทีสมาร์ทโฟนก็ช่วยอะไรไม่ได้นะ โดยเฉพาะเวลาสำคัญแบบนี้” ปารณีย์เอ่ยกับตัวเองและกดปิดโทรศัพท์อย่างจนปัญญาเพราะแบตโทรศัพท์เหลืออยู่แค่สิบเปอร์เซนต์ ปารณีย์เงยหน้าขึ้นสำรวจข้างหน้า ที่เป็นทางแยกสองทาง ตรงกลางทางแยกมีป้ายไม้ปักไว้ แต่น่าเสียดายคงเพราะพายุ ไม้เก่า ๆ นั่นมันจึงหักเป็นสองท่อน ไม่มีตัวช่วย นอกจากตัวเธอเอง

“ขวาร้าย ซ้ายดี แต่ครั้งก่อนตอนไปหาข้อมูลชีวจิตให้พี่แพร ก็ใช้หลักนี้แต่ก็หลง ถ้าอย่างนั้นขวาแล้วกัน” ปารณีย์นั่งพึมพำกับตัวเองอยู่พักใหญ่ก็ตัดสินใจสรุปทุกอย่างเอง แล้วเลือกจะไปทางขวา ปารณีย์จึงรีบขับรถไปสู้เส้นทาง เพราะบรรยากาศเริ่มไม่ดีขึ้นมาแล้ว ท้องฟ้ามืดสลัว เมฆฝนสีดำทมิฬคล้ายลางร้าย สายลมเริ่มกรรโชกแรงสังเกตได้จากต้นไม้สองข้างทางที่พัดไปตามแรงลม เสียงหวีดหวิวของลมที่พัดคล้ายเสียงร้องโหยหวน ความวังเวงของสองข้างทางทำให้ปารณีย์ตัดสินใจเปิดวิทยุ ซึ่งเป็นคลื่นชุมชน โชคดีที่สัญญาณยังมาถึง แต่เสียงสักพักสัญญาณวิทยุเริ่มมีเสียงติดขัด เพราะพายุกำลังเข้า ปารณีย์เปลี่ยนสัญญาณไปเรื่อย ๆ มาหยุดในช่องสัญญาณที่ฟังได้ชัดที่สุดในเวลานี้

“วันนี้เวลาสิบสี่นาฬิกาสามสิบเกิดเหตุการณ์จี้ชิงทรัพย์ขึ้นที่xxx คนร้ายรายนี้ก่อคดีมาแล้วหลายครั้ง จากการให้การของเหยื่อทั้งสามราย คนร้ายจะยืนดักรออยู่ในที่เปลี่ยว และโบกรถที่ขับผ่านมา แสร้งทำเป็นขอความช่วยเหลือ เมื่อเหยื่อตกหลุมพรางให้ขึ้นรถ คนร้ายจะก่อเหตุจี้ชิงทรัพย์ หนึ่งในสามของผู้เสียหาย โดยคนร้ายขมขืน ก่อนหลบหนีไป ตอนนี้คนร้ายยังคงหลบหนีไปได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถระบุตัวคนร้ายจากการให้ปากคำของผู้เสยหายรายล่าสุดได้ว่า คนร้ายชื่อนายคำเมือง แดงล่ำ รูปพรรณสัณฐานคนร้ายเป็นชายอายุราวสามสิบต้น ๆ รูปร่างผอมสูง ตอนก่อเหตุวันนี้สวมเสื้อเชิ๊ตสีน้ำตาล ใครพบเบาะแสติดต่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้...” ปารณีย์กดปิดวิทยุ เมื่อเสียงสัญญาณตัดหายไปแล้ว กลายเป็นเสียงแหลม ๆ ที่แสบหู และสายฝนก็เริ่มเทตกลงมา เสียงท้องฟ้าร้องครืนคราง พร้อมสายอัสนีบาตรฟาดลงอย่างรุนแรง หักโค่นต้นไม้ข้างทางหักลง ปารณีย์เบรกรถดังเอ็ดด้วยความตกใจ เธอไม่ใช่สาวหวานจิตใจบอบบางกลัวดินฟ้าอากาศ แต่เจอแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ

“เมื่อไหร่จะถึงเนี่ย” ปารณีย์เริ่มบ่นและขับรถไปต่อเมื่อเสียงฟ้าสงบลง ปารณีย์ได้แต่ภาวนาให้เจอคนผ่านมาบ้าง พลันดวงตาก็ตวัดไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนโบกรถ ข้างหลังเขาคือรถมอเตอร์ไซค์คันเก่า ดูเหมือนรถของเขาจะเสีย ปารณีย์ชะลอรถลง ก่อนจะลดกระจกลงเพียงครึ่งเดียว ผู้ชายตัวเปียกมอลอกมอแลก สวมหมวกปิดทับ กดปีกหมวกต่ำลง ความมืดสองข้างทางทำให้มองเห็นหน้าเขาไม่ชัด

“คุณกำลังจะเข้าไปในหมู่บ้านใช่ไหมครับ ผมจะขอติดรถไปด้วย รถผมเสีย...” พลันข่าวในวิทยุก็ผุดขึ้นมา

...คนร้ายจะยืนดักรออยู่ในที่เปลี่ยว และโบกรถที่ขับผ่านมา แสร้งทำเป็นขอความช่วยเหลือ เมื่อเหยื่อตกหลุมพรางให้ขึ้นรถ คนร้ายจะก่อเหตุจี้ชิงทรัพย์ หนึ่งในสามของผู้เสียหาย โดยคนร้ายขมขืน ก่อนหลบหนีไป...

ปารณีย์กดเลื่อนปิดหน้าต่างและขับออกไปทันที เธอมองผ่านกระจกหลังเห็นผู้ชายคนนั้นเตะพื้นเหมือนโกรธ เธอเดาว่าเขาอาจจะไม่พอใจที่เธอรู้ทัน พลันความคิดก็หยุดลงเมื่อรถของเธอดับลง

“น้ำมันหมด!!! มาหมดอะไรตอนนี้เนี่ย” ปารณีย์สบถออกมาเสียงดัง เธอหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากำลังจะกดโทรออก พลันโทรศัพท์ก็ดับเอาเสียดื้อ ๆ ปารณีย์เริ่มใจเสีย อารมณ์เริ่มขุ่นมัวพอ ๆ กับบรรยากาศเวลานี้

“วันนี้มันวันอะไรกัน มีใครจะซวยจะยากว่าฉันไหม” ปารณีย์เอ่ยอย่างหัวเสีย เสียงฟ้าเริ่มร้องครืนคราง ฝนไม่มีท่าทีจะหยุดกับตกแรงขึ้น

“จะตกอะไรกันนักกันหนา” ปารณีย์เอ่ย ตัดสินใจว่าจะนั่งรอในรถ ยังไงก็ต้องมีคนผ่านมาบ้างแหละน่า ปารณีย์พยายามให้กำลังใจตนเอง ความเงียบเริ่มโรยตัวไปทั่วรถ พาเอาบรรยากาศวังเวงแปลก ๆ เข้ามาด้วย ในหัวของปารณีย์เริ่มมโนภาพ หญิงสาวที่รถเสียกลางทาง มีรถคันหนึ่งขับผ่านมาและจอดลง เดินมาเคาะประตู พอเปิดประตูก็ถือมีดเข้ามาจี้ และเมื่อครู่เธอก็พึ่งฟังข่าว จิตปารณีย์เริ่มตกไปตามสถานการณ์

“โอ๊ย!!! เลิกฟุ่งซ่าน เลิก...”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ปารณีย์สะดุ้งด้วยความตกใจ เธอหันไปมองคนที่เคาะประตู พลันดวงตาก็ฉายแววหวั่นวิตกเมื่อคนที่เคาะประตูคือคนที่โบกรถเมื่อครู่ ปารณีย์รีบข้ามไปนั่งเบาอีกข้างทันที เธอไม่เปิดหรอก พลันเสียงเงียบลง เธอมองเงาผู้ชายคนนั้นเดินมาอีกข้างและเคาะอีกครั้ง จากเคาะเริ่มเปลี่ยนเป็นทุบจนปารณีย์ระแวงว่ามันจะเอาไม้มาทุบกระจกรถเธอเหมือนในหนังหรือเปล่า พลันความคิดเอาตัวรอดก็แล่นเข้ามา เธอต้องหนี บางทีเสี่ยงวิ่งไปอาจเจอหมู่บ้านก็ได้ เพราะเธอขับรถเข้ามาไกลพอสมควรแล้ว ปารณีย์เห็นคนร้ายปาดน้ำที่เปียกกระจกเพื่อจะมองเข้ามาในรถ พลันปารณีย์ก็อาศัยจังหวะนี้เปิดประตูออกไปกระแทกหน้าคนร้าย

พลั่ก

“โอ๊ย!!!” เสียงคนร้ายร้อง ปารณีย์ไม่รอช้าก้าวลงจากรถและวิ่งไปข้างหน้าด้วยความหวังว่าจะเจอบ้านคน เจอใครก็ได้จะช่วยเธอจากเจ้าโจรชั่วนั่น

ตุบ

“โอ๊ย!!!” ปารณีย์ล้มลงเมื่อวิ่งไปสะดุดก้อนหิน เนื้อตัวเปียกโชกเปรอะเปื้อนดินทราย ปารณีย์มองหัวเข่าที่ถลอกปลอกเปลือก เลือดไหลซึมออกมาเพราะเข่าไปขูดกับพื้นทราย ปารณีย์จะลุกแต่กลับเจ็บแปล๊บที่ข้อเท้า

“โอ๊ย ซวยอะไรอย่างนี้ ไม่น่าลืมดูดวงมาเลย” ปารณีย์เอ่ย พลันเธอก็ได้ยินเสียงใครบางคนเดินมา เธอรู้ทันทีว่าต้องเป็นเจ้าคนร้าย ปารณีย์ดันลุกขึ้นยืนก่อนจะก้าวกระเพลกจะวิ่งหนีแต่ก็ล้มกลับมานั่งท่าเดิมเพราะอาการปวดแปล๊บที่ข้อเท้า ปารณีย์ได้ยินเสียงเท้าของคนร้ายก้าวมาหยุดอยู่ด้านหลัง เธอไม่กล้าหันหลังกลับไป แต่มือคว้าหยิบก้อนหินก้อนเท่าฝ่ามือที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาและทำท่าจะหันกลับไป

“หยุดคิดจะเอาก้อนหินมาปาหัวผมเลยนะ ผมยังไม่คิดบัญชีคุณเรื่องที่เปิดประตูกระแทกหน้าผม ไหนจะกล้าขับรถหนีมาอีก วางมันลงเลยนะ” เขาเอ่ยเสียงดังจนน่ากลัว

“นายมีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉัน ไอ้โจร...”

เฟี้ยว...ตุบ

ปารณีย์หันหลังปาหินไปโดยไม่ฟังคำสั่งของโจร แต่หินปาไปกลับโดนเพียงอากาศ ส่วนโจรที่ว่ากลับเบี่ยงตัวหลบได้ทัวท่วงที ปารณีย์ทำท่าจะลุกขึ้นเพื่อจะหนี แต่กลับลุกไม่ขึ้น ปารณีย์ได้ยินเสียหัวเราะเยาะ ก็หันไปมองหน้าเจ้าโจรถ่อย

“ผมจะบอกให้ผมไม่ใช่โจร ถ้าผมเป็นโจรจริง ๆ ผมทุบกระจกรถคุณตั้งแต่ตอนที่คุณอยู่บนรถไปแล้วไม่เคาะอยู่นานสองนานให้คุณเปิดประตูรถมากระแทกหน้าผมหรอก”

“ฉันไม่เชื่อ” เธอมองเห็นใบหน้าคมคร้ามใต้หมวกมีหนวดเครารุงรังไม่ต่างจากโจรป่าสักนิด

“ก็ตามใจ ตอนแรกผมว่าจะมาช่วยคุณอ่ะนะ คุณก็นั่งรออยู่ตรงนี้ไปละกัน ฝนตกแบบนี้ไม่มีใครเขาขับรถผ่านมาหรอก แล้วก็ระวังหน่อยนะ โจรที่คุณฟังในข่าวมันอาจจะมาหาเหยื่อแถวนี้ก็ได้” แล้วเขาก็เดินไปทันที

“คุณ...คุณ...ถ้าคุณไม่ใช่โจร คุณก็ควรทำตัวเป็นพลเมืองดีสิ” เขาเดินไปได้สักพักก็หันหน้ากลับมา

“เสียใจผมไม่ใช่พลเมืองดี เพราะเมื่อครู่นี้ผมเจอผู้หญิงแล้งน้ำใจขับรถหนีคนเดือดร้อน ลาก่อน” แล้วเขาก็เดินไป ปารณีย์มองตามเขาไป พลางตะโกนเสียงดังไล่หลัง

“หยุดนะคุณ คุณ คุณ” และเขาก็เดินหายไป ปารณีย์พยายามลุกขึ้นและเดินกระเผลก ๆ ตามเขาไป แต่เดินได้ไม่นานก็ปวดข้อเท้าและล้มลง

“แล้งน้ำใจที่สุด” ปารณีย์เอ่ยและนั่งนิ่งอย่างรับชะตากรรม เธอคงต้องรอจนกว่าจะเช้า อาจจะมีรถผ่านมา จะโทษใครก็ไม่ได้แล้ว โทษความซวยของเธอเอง ตอนนี้ได้แต่นั่งภาวนาว่าอย่าให้โจรในข่าวผ่านมาแถวนี้เลย ปารณีย์เงยหน้าขึ้นฟ้า พลันเรื่องราวในวันวานก็ผุดเข้ามา เรื่องราวของนาวี เขาตามเข้ามาในห้วงคำนึงของเธอ เขาไม่เคยทิ้งเธอให้ต้องนั่งรออย่างเดียวดาย ถ้าในตกเขาจะคอยกางร่มให้กับเธอ เขาพกร่มไปไหนมาไหนเสมอ เพราะกลัวว่าถ้าฝนตกเธอจะเปียกฝนไปด้วย เขาอ่อนโยนเสมอ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ใช่ของเธออีกแล้ว ปารณีย์กำมือแน่นเพื่อสะกดกั้นอารมณ์เศร้าเสียใจที่กำลังล้นทะลักออกมา น้ำตาก็พลันจะไหลออกมาอีก แต่อยู่ ๆ เท้าคู่หนึ่งก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ ปารณีย์ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง กลัวว่าจะเป็นโจร แต่น้ำเสียงหงุดหงิดทำให้เธอรู้ทันทีว่านี่มันเสียงของผู้ชายแล้งน้ำใจ

“ผมไม่อยากให้คุณเอาไปพูดว่าคนที่ภูฟ้างามแล้งน้ำใจ เดินไปอีกไม่ไกลจะเจอสวนมะนาวของชาวบ้าน คุณพอจะลุกไหวไหม” ชายหนุ่มเอ่ย ตามจริงเขาเดินไปได้สักพักแล้วแต่เปลี่ยนใจเดินกลับมา และเห็นผู้หญิงคนนี้นั่งก้มหน้าไม่เงยหน้าขึ้น แต่ความเศร้ากับกำจายอยู่รอบ ๆ ตัวจนเขาอดสงสารไม่ได้ แต่ก็ยังแสดงท่าทีดุ ๆ กวน ๆ เช่นเดิม เพราะยังโมโหที่เธอขับรถหนี

“ค่ะ...” ปารณีย์พยักหน้าและพยายามลุกขึ้น ชายหนุ่มแปลกหน้าทำเพียงมองและเดินนำไป ปารณีย์ก็เดินกระเพลกตามเขาไป แต่เขาเดินเร็วไปไหม ปารณีย์พยายามจะวิ่ง แต่ข้อเท้าขวาของเธอมันปวดไปหมดแล้ว

“นี่คุณรอฉันด้วยสิ ฉันเจ็บขาอยู่นะ” ปารณีย์เอ่ยเมื่อเดินตามเขาไม่ทันและล้มลงอีก ชายหนุ่มหันมามองด้วยสีหน้าแบบเหลืออดและเดินกลับมาจับแขนเธอพยุงขึ้น

“คุณจะทำอะไร”

“ไม่ต้องทำหน้ากลัวขนาดนั้นผมไม่ได้มีจิตพิศวาสคุณตอนนี้หรอก”

“ก็หน้าตาคุณมันให้” ปารณีย์เอ่ยกลับไปตามใจคิด

“มีคนบอกคุณไหมอย่าตัดสินคนที่รูปลักษณ์น่ะ ถ้าผมคิดจะทำอะไรคุณจริง ๆ ไม่ย้อนกลับมาช่วยคุณหรอก แล้วไม่ต้องทำดิ้นเลยน่ะ ผมพยุงคุณไปน่ะดีแล้ว ขืนเดินเองเดินได้ห้าก้าวก็ล้มไปอีก มันเสียเวลาผมเข้าใจไหม”

“คุณจะรีบไปไหนของคุณ คุณบอกเองไม่ใช่หรอว่าสวนมะนาวอยู่ไม่ไกล”

“ก็ใช่ แต่ผมอยากถึงเร็ว ๆ ตัวเปียกจนจะเปื่อยแล้วเนี่ย เลิกพูดมาก จะได้ถึงสักที เสียเวลาเพราะคุณนี่แหละ” ปารณีย์ทำตาเขียวใส่เขา และรอบสำรวจเขาเผื่อเขาอาจจะเปลี่ยนอารมณ์มาเป็นโจร หนุ่มแปลกหน้ายังคงใส่หมวกฟาง เขาแต่งตัวปอนด์ ๆ เหมือนคนงานในไร่ ผิวไม่ดำเหมือนตากแดดเป็นเวลานาน แต่เป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ ค่อนออกไปทางขาวนิด ๆ ปารณีย์เริ่มจาม คร้ามเนื้อคร้ามตัวคล้ายจะเป็นไข้ เธอไม่อยากเห็นสภาพตัวเองตอนนี้สักนิด หัวกระเซอะกระเซิงเป็นอีเพิ้ง เนื้อตัว หน้าตามอมแมมหมดเคล้าสาวสวยคอลัมนิสต์จากนิตยสารบุษบานารี ใครเห็นเธอตอนนี้คงหัวเราะแน่ ๆ

“เดินแบบนี้เมื่อไหร่จะถึง คุณขี่หลังผมเถอะจะได้ถึงไว ๆ” เขาเริ่มกลายเป็นหมีขี้โมโหและอาละวาด เพราะการเดินเมื่อต้องพยุงเธอไปเป็นภาระมันกลับช้าขึ้นไปอีก

“ไม่” ปารณีย์เอ่ยเสียงแข็ง

“คุณอย่าพึ่งมาถือตัวตอนนี้เลยคุณ ตัวคุณเปียกขนาดนี้ แล้วฝนก็ไม่มีท่าทีจะหยุดถ้าเกิดยังค่อย ๆ เดินปอดบวมกินตายแน่คุณ ผมให้คุณเลือกนะว่าจะขี่หลังผมไป หรือจะเดินเอง ผมไม่พยุงนะ” ปารณีย์เงียบ

“ก...ก็ได้” เธอมีทางเลือกหรอ

“ก็ได้อะไร”

“คุณจะให้ฉันไปยังไงล่ะ” ปารณีย์ตอบกลังไป เขานั่งยอง ๆ ลงกับพื้น ปารณีย์ค่อย ๆ ขึ้นไปนั่งที่หลังเขา เธอไม่อยากจะเชื่อว่าเธอกล้าขี่หลังคนแปลกหน้า แถมคนแปลกหน้าที่ว่าเธอยังคิดว่าเขาต้องเป็นโจรแน่ ๆ


“คุณจะให้ฉันไปยังไงล่ะ” ปารณีย์ตอบกลังไป เขานั่งยอง ๆ ลงกับพื้น ปารณีย์ค่อย ๆ ขึ้นไปนั่งที่หลังเขา เธอไม่อยากจะเชื่อว่าเธอกล้าขี่หลังคนแปลกหน้า แถมคนแปลกหน้าที่ว่าเธอยังคิดว่าเขาต้องเป็นโจรแน่ ๆ ถ้าไม่จำเป็นและมีทางเลือกที่ดีกว่านี้เธอก็คงไม่มาหรอก ถ้าเธอสามารถต่อลองเขาได้มากกว่านี้เธอก็คงทำไปแล้ว แต่ทำยังไงได้เธอทำอะไรไม่ได้สักอย่างเวลานี้เขาคือคนเดียวที่จะช่วยเธอได้ในสถานการณ์แบบนี้ เพราะถ้าปฏิเสธเธอคงได้นั่งตากฝนรอจนถึงเช้า มากับเขาอย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนร่วมทาง ไม่ต้องนั่งรอคนเดียว แต่ถ้าเธอเลือกนั่งรอคนเดียว มันก็น่ากลัวไม่แพ้กับการเชื่อเขาเลย เธอจึงต้องเสี่ยงมา

“คุณ...”

“อะไร...” เขาทำเสียงไม่ค่อยพอใจเมื่อถูกเรียก

“เราจะถึงหรือยัง”

“อีกนิดเดียว นั่นไงป้ายทางเข้าสวนมะนาวป้าอิง ปารณีย์มองทางที่มืด แต่เธอยังมองไม่เห็นป้ายที่เขาพูดถึงเลย แต่ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์เถียงกับเขาหรอก ตอนนี้น่าจะเกือบสองแล้ว

“นี่คุณแถวนี้ไม่มีบ้านคนเลยหรอ” ปารณีย์ถาม เธอไม่ค่อยชอบความเงียบนัก แม้ผู้สนทนาจะเป็นคนแปลกหน้า แต่เวลานี้มีเพื่อนคุณมันอุ่นใจกว่าปล่อยบรรยากาศเงียบ ๆ แบบนี้

“เห็นไหมล่ะ”

“คุณช่วยตอบคำถามฉันดี ๆ โดยที่ไม่กวนได้ไหม” ปารณีย์เอ่ย กับความกวนของผู้ชายที่เธอเกาะอยู่บนหลัง และเริ่มจะไม่พอใจกับความไม่สุภาพของผู้ชายคนนี้

“มี แต่เดินไปอีกกิโลกว่า ๆ จะเจอหมู่บ้านภูฟ้างาม”

“แล้วไร่ภูปลายฟ้าล่ะ”

“ต้องเลี้ยวแยกทางซ้าย ทางนี้ทางไปหมู่บ้านภูฟ้างาม”

“อ้าว”

“คุณเลือกพูดสักทีเถอะ เสียงคุณมันแสบหู” ปารณีย์เลยปิดปากลง และก้มหน้าลงเมื่อเม็ดฝนเม็ดใหญ่ตกใส่หน้าจนหน้าเจ็บและชา และเหมือนเขาจะรู้

“เอาหมวกผมไปใส่ก่อนก็ได้”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

“อย่าเรื่องมาก ที่ทำเพราะผมไม่ได้แล้งน้ำใจแบบใครบางคน” ปารณีย์ถอนหายใจกับผู้ชายช่างเหน็บแนม เธอไม่รู้สึกหน่อยว่าเขาเป็นโจรหรือไม่ อารมณ์นั้นจะให้เธอตะโกนถามหรือไงว่าคุณใช่โจรไหม แล้วโจรคนไหนจะบอกว่าตัวเองเป็นโจรเล่า แล้วเธอเป็นผู้หญิงก็ต้องป้องกันตัวไว้ก่อนสิ

“เอาหมวกผมไป” เขาปล่อยมือข้างหนึ่งและดึงหมวกออก และส่งให้เธอ ปารณีย์รับหมวกมาสวมไว้ กดปีกหมวกให้ต่ำลงเล็กน้อย แม้ปากจะร้าย จะดุโน่นดุนี่ แต่เขาก็ใจดี ใจดีกับคนแปลกหน้าอย่างเธอ

“คุณหนักไหม” ปารณีย์ถามเพราะเห็นแขนที่แบกรับตัวเธออยู่ดูจะขยับไปมา

“ถามได้ คุณไม่ใช่ผู้หญิงหุ่นเล็กบางนะ” เหมือนโดนไม้ตีแสดหน้า พร้อมกับคิดในใจว่าไม่น่าถามเขาให้เขาตอบคำถามที่ไม่รักษาน้ำใจแบบนี้ ปารณีย์จึงเงียบเสียงตัดสินใจว่าจะไปถามอีก จะอ้าปากว่าขอลงเดี๋ยวเขาต้องหาเรื่องมาว่าเธออีกแน่นอน ปารณีย์สำรวจระยะทางที่ดูไกล สายฝนยังเทกระหน่ำลงมา ภาพในวันวานผุดขึ้นมาอีกครั้ง ภาพของนาวีที่ให้เธอขึ้นขี่หลังตอนไปเข้าค่ายอาสา ตอนนั้นเธอล้มขาแพลง เขาให้เธอขึ้นขี่หลังแบบนี้ เขาสุภาพ ใจดี ยิ่งนึกถึงสิ่งต่าง ๆ หัวใจก็เจ็บแปล็บขึ้นมา น้ำตาก็พลันจะไหลออกมา

“ถึงแล้ว” เสียงของภูธเนศดึงชุดให้เธอออกจากภาพวันวานแสนหวาน แต่การนึกถึงกับเจ็บปวด ปารณีย์ปาดน้ำตาออกและชะโงกไปมอง เธอเห็นป้ายไม้เก่า ๆ เขียนว่าสวนมะนาวป้าอิง และชี้ลูกศรเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มเลี้ยวตามทางลูกศรเข้าไป ด้านในปลูกมะนาวที่กำลังออกผล ด้านในสุดมีบ้านไม้ที่มีเสาเรือนสูง บ้านค่อนข้างเก่าพอสมควรแต่ดูแข็งแรงคล้ายได้รับการซ่อมแซมและดูแลเป็นอย่างดี ใต้ถุนเรือนเทลาดด้วยปูนซีเมนต์ และมีแคร่วางอยู่ใต้เรือน และข้าวของแวนดอยู่ตามเสา ชายหนุ่มวางเธอให้ลงยืน และสะบัดแขนเบา ๆ ซึ่งเหมือนเขาจะตั้งใจทำให้เธอเห็น

“ป้าอิง ป้าอิงครับ” เขาตะโกนเสียงดัง ปารณีย์เบ้หน้า

“ใครน่ะ มาเรียกข้าดึกดื่นแบบนี้” เสียงแหบ ๆ ของคนมีอายุดังขึ้น

“ผมเองป้าอิง”

“ใครล่ะผมน่ะ อ้าว...คุณภู” ป้าอิงที่ว่าชะโงกหน้าออกมามองทางหน้าต่างทำหน้าทำหน้าตกใจเมื่อเห็นหน้าของหนุ่มแปลกหน้าที่หน้าตายังกับโจรในความคิดของปารณีย์ ป้าอิงหายเข้าไปและลงมาพร้อมกับเปิดประตูให้สองหนุ่มสาวเข้าไปในบ้าน ชายหนุ่มอารมณ์งุ่นง่านหันมาช่วยพยุงเธอเดินขึ้นไปอย่างคนที่มีน้ำใจ แต่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครา ดวงตาขวาง ๆ ของเขาบอกให้รู้ว่ารำคาญเธอมาก เขาพาเธอขึ้นมาบนบ้าน ป้าอิงเจ้าของสวนมะนาวแห่งหมู่บ้านภูฟ้างามนี้อาศัยอยู่กันหลานชายหญิงสองคน หลานทั้งสองเป็นลูกของลูกสาวที่เสียไปเมื่อสี่ก่อน จึงส่งมาให้ผู้เป็นแม่เลี้ยง สามีของป้าอิงก็เสียชีวิตไปเมื่อปีก่อนเช่นกัน ในสวนมะนาวจึงเหลือเพียงสามยายหลาน

“ทำไมมาเสียมืดค่ำเลยล่ะจ๊ะ”

“รถผมเสียครับ ผมจะขอค้างคืนสักคืน พรุ่งนี้คนงานในไร่คงจะแวะมารับ”

“ได้สิคะ ว่าแต่...”

“นักท่องเที่ยว รถเสียเหมือนกัน เธอขาพลิกด้วย ป้าอิงมียานวดให้เธอไหมครับ”

“มีจ๊ะ เชิญคุณสองคนอาบน้ำแปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวป้าจะลงไปทำอาหารให้คุณสองคน” ปารณีย์ยกมือไหว้อย่างขอบคุณ หลานสาวป้าอิงชื่อจันทร์ เดินถือเสื้อผ้าเข้ามา เป็นเสื้อยืดกางเกงเล เหมือนจะเป็นชุดของแม่เด็กหญิงคนนี้ ปารณีย์รับมาและจะลุกเดิน แต่เด็กสาวก็เดินมาช่วยพาเธอลงไปห้องน้ำ

“มีอะไรเรียกหนูนะคะ หนูรอข้างนอก” ปารณีย์พยักหน้าและปิดประตูห้องน้ำลง




“ข้าวต้มกินได้ไหมคะ” ป้าอิงถามและมองหน้าเธอเหมือนแปลกใจ แต่ก็เลือกไม่ถามอะไร

“ได้ค่ะ” ป้าอิงเอาข้ามต้ม ผักต้ม แล้วก็ผักผักบุ้ง และปลาย่างมาวางบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กที่ตั้งให้เธอกับหนุ่มแปลกหน้าที่ชื่อคุณภู หรือภูธเนศ จากคำบอกเล่าของเด็กจันทร์

“เอ่อ...คุณพึ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกหรือคะ” ปารณีย์พยักหน้ารับ

“หรอคะ น่าแปลกจริง ๆ เอ่อ...เดี๋ยวป้าจะไปจัดห้องให้ คืนนี้คุณนอนห้องของอินไปก่อน เดี๋ยวคุณภูเธอจะนอนข้างนอกค่ะ”
“ขอบคุณค่ะป้าอิง”

“ไม่เป็นไรค่ะ” ปารณีย์ยิ้มและมองทั้งสามคนเดินเข้าไปในห้อง ส่วนเธอนั่งมองข้าวรอภูธเนศที่พึ่งเดินออกมา เธอตักข้าวต้มใส่จานเผื่อเขา เขาหันมามองเธอเธอของในมือหลุดลงพื้นทันที

เคร้ง

“เอ่อ...”

“ปานวาด!!!” เขาวิ่งเข้ามาจับแขนเธอไว้

“เจ็บนะ คุณจะทำอะไรฉัน” ปารณีย์พยายามแกะมือเขาออก แต่มือของเขาที่จับแขนเธอไว้สองข้างและบีบจนเธอเริ่มเจ็บ เธอจัดสินใจรวบแรงผลักเขาออกไป

“คุณจะทำอะไรฉันคุณภู”

“เธอ...” เขาชะงักดวงตากำลังสับสนกับอะไรบางอย่าง

“คุณชื่ออะไร...”

“ทำไมฉันต้องบอกคุณด้วย แม้คุณจะเป็นคนช่วยฉัน แต่ฉันว่าก็ไม่...”

“ผมถาม” น้ำเสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นตะคอก เขามันหมีขี้โมโห ขี้หงุดหงิด เธอเกลียดหมีขี้โมโห

“การที่คุณจะถามชื่อใครสักคนคุณใช้น้ำเสียงขู่กรรโชกแบบนี้หรือคะ”

“คุณอย่ามากวนอารมณ์ผม ผมถามว่าคุณชื่ออะไร”

“ปารณีย์ ฉันชื่อปารณีย์ ชัดนะคะ”

“คุณ...รู้จักปานวาดไหม ปานวาด บวรรัตน์” ปารณีย์ขมวดคิ้ว และส่ายหน้า ไม่คุ้นหูด้วยซ้ำ

“ช่างเถอะ ผมคงคิดมากไปเอง เดี๋ยวนะ คุณบอกว่าคุณชื่อปารณีย์ใช่ไหม” ปารณีย์พยักหน้า เหมือนเขากำลังคิดบางอย่างอยู่ และลุกจะเดินออกไป

“คุณจะไปไหนไม่กินข้าวหรอ”

“ผมไม่หิว” เขาทำตาขวาง ๆ ใส่เธอและเดินออกไป

“อะไรของเขา ถามดี ๆ ไม่กินก็ไม่กินสิ ทำไมต้องตะคอกด้วย” ปารณีย์จัดการตักอาหารเข้าปากไม่สนใจหมีขี้โมโหที่ลงไปนั่งอยู่ใต้ถุนเรือน

“อิ่มแล้วหรือคะ นี่ยาพารา ตากฝนมากินกันไว้หน่อยนะคะ” ปารณีย์พยักหน้าและไหว้ขอบคุณ

“ที่นี่ไม่มีเตียงนอนได้นะคะ”

“ได้ค่ะ ขอบคุณป้าอิงมากนะคะ ปาขอตัวนะคะ” ปารณีย์มองจันทร์และอินที่กางมุ้งให้เธอเสร็จเรียบร้อย และเดินออกไป ปารณีย์กำลังจะเข้าไปประตูกบะกระชากเปิดออกไร้เสียงเคาะขออนุญาต คนที่เดินเข้ามาคือภูธเนศ ใบหน้ายังคงบึ่งตึง

“คุณเข้ามาทำไม” ปารณีย์มองอย่างระแวง

“ผมเอายามาให้ มันจะได้ไม่บวม ผู้หญิงพูดมาก แล้งน้ำใจ แบบคุณ ผมไม่อยากช่วยหรอก แต่จำไว้ว่าผมเป็นคนดีกว่าใครบางคน”
“คุณอยากช่วยก็ช่วยทำไมต้องหาเรื่องเหน็บแนมฉันด้วย เรื่องตอนนั้นฉันก็ไม่ได้ตั้งใจ คุณไปยืนข้างทางโบกรถ แล้วฉันฟังข่าวคนร้ายหลบหนี เป็นใครก็ทำแบบฉันทั้งนั้นแหละ ฉันก็ขอโทษคุณแล้วไง”

“หรอ ผมไม่เห็นความจริงใจจากการขอโทษคุณเลย” ปารณีย์ทำหน้าเหมือนโดนยาเบื่อ

“จะให้ฉันก้มกราบคุณเลยหรือไง มีคนบอกคุณไหม คุณมันเป็นผู้ชายที่น่าหงุดหงิด”

“อย่างนั้น คุณก็เป็นผู้หญิงที่น่ารำคาญ”

“คุณมันเด็กน้อย ตัวก็โต แต่ทำไมชอบหาเรื่องทะเลาะ ชอบเหน็บแนม ฉันเป็นผู้หญิงยังยอมให้คุณก้าวหนึ่ง แต่คุณนี่เป็นผู้ชายยังไง ใจคับแคบ แล้ว...”

“นี่คุณพูดกับผู้มีพระคุณแบบนี้หรอ” ปารณีย์ถอนหายใจ เมื่ออารมณ์ที่พยายามควบคุมกำลังจะแตกกระจายเพราะความปากเสียของผู้ชายตรงหน้า เธอคิดว่าเธอเป็นคนที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูงมาก แต่เหมือนพอเจอผู้ชายคนนี้วุฒิภาวะทางอารมณ์เธอเริ่มต่ำลง

“โอเค ฉันขอโทษ คุณเอายามาให้ฉันไม่ใช่หรอ ขอบคุณ พอใจหรือยังคะ”

“นั่นไง...”

“ฉันพูดอะไรผิดอีกล่ะ ดูเหมือนคำพูดฉันจะทำให้คุณหงุดหงิดไปหมด ขนาดฉันพูดดีกับคุณแล้วนะ” เขาวางหลอดยาลงและเดินออกไปเหมือนไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเธอ แต่เธอต่างหากล่ะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเขา นิสัยเขาก็ดูเหมือนจะไม่เสีย เสียแต่ขี้หงุดหงิด ปากเสีย ทำตัวไม่น่าคบสักนิด ขออย่าได้เจอกันอีกเลย ปารณีย์หยิบหลอดยามานวดข้อเท้าและมุดเข้ามุ่งนอน เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ทำให้เธอเหนื่อยจนไม่มีเวลา หรือพื้นที่สมองไปคิดถึงเรื่องเจ็บช้ำนั่น เป็นคืนแรกที่รู้สึกว่าหลับลึกที่สุด




“ตื่นแล้วหรือคะ ล้างหน้าล้างตาแล้วมาทานอาหารได้เลยนะคะ ป้าพึ่งทำอาหารเสร็จร้อน ๆ เลย เดี๋ยวสาย ๆ คนที่ไร่จะมารับค่ะ” ป้าอิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มใจดี

“ไร่” ปารณีย์ทำหน้าสงสัย

“ก็คุณจะไปไร่ภูปลายฟ้าไม่ใช่หรือคะ นี่กระเป๋าคุณ คุณภูเธอกลับไปเอาให้เมื่อเช้า คุณโชคดีมากนะคะที่เจอคุณภู ไม่อย่างนั้นคงได้รออยู่ที่นั่นจนเช้า แถวนี้พอเย็นส่วนใหญ่ก็ไม่มีคนผ่านแล้ว ยิ่งช่วงนี้ฝนตกบ่อยด้วย”

“เอ่อ...แล้วคุณภูเขาไปไหนแล้วคะ”

“ออกไปตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ ยังฝากบอกป้าว่าให้คุณรออยู่ที่นี่ เดี๋ยวคนที่ไร่จะมารับ แล้วคุณภูก็ไป”

“หรอคะ เอ่อ...” ปารณีย์กำลังจะเอ่ยถามความเป็นมาของนายภูธเนศคนนี้ แต่

“ป้าอิง ผมมารับมะนาว” เสียงตะโกนดังขึ้น ป้าอิงยิ้มและเดินออกไป ปารณีย์เดินไปยินริมหน้าต่าง ท้องฟ้าหลังฝนที่ตกแทบทั้งคืนดูสดใสขึ้นมาทันที เธอก็รู้สึกสดชื่นขึ้น บรรยากาศที่นี่ทำให้เธอสบายใจจริง ๆ หวังว่าเธอจะกลับมาเป็นปารณีย์คนเดิมได้ในเร็ว ๆ นี้นะ


...ติดตามตอนต่อไป...


ว้าวหนุ่มปากร้ายคนนี้ต่อปากต่อคำเก่งเหลือหลาย เขาเป็นใครกันหนอ ตอนหน้ารู้กันค่ะ

คุณปลาวาห์สีน้ำเงิน ; ส่วนฟ้าหลังฝนจะดีขึ้นไหม แผลกายยังหายเร็ว แผลใจที่เจ็บลึก ก็เอาใจช่วยปารณีย์ต่อไป


ไม่มีอะไรบอกไปมากกว่าขอบคุณที่เข้ามาติดตามค่ะ ฝากคอมเม้นส์ด้วยนะคะ เป็นกำลังใจให้กันไปจนจบเรื่อง



พัชรีพร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ธ.ค. 2557, 16:25:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ธ.ค. 2557, 16:34:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 952





<< ตอนที่ 1 บทเริ่มต้นที่เจ็บปวด   ตอนที่ 3 ไร่ภูปลายฟ้า >>
ปลาวาฬสีน้ำเงิน 3 ธ.ค. 2557, 23:50:43 น.
เริ่มเตินเรื่องแล้ว สนุกค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account