จุมพิตนิทรา
"หากได้พบเธอแค่เพียงในฝัน ฉันก็ปรารถนาจะหลับใหลไปชั่วกาล"

นราภัทร วิศวกรคอมพิวเตอร์สาวมั่นที่ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยเชื่อเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ
แต่หลังจากไปไหว้พระตรีมูรติ เธอก็ได้พบกับคนที่มาเปลี่ยนแปลงชีวิตเธอ
"เขา" ทำให้เธอยิ้ม ทำให้เธอหัวเราะ ทำให้เธอมีความสุขได้
แต่ "เขา" อยู่แต่ในความฝันของเธอเท่านั้น
นราภัทรแค่ฝันไป? หรือ เขาคือเนื้อคู่ที่สวรรค์ประทานลงในให้?

Tags: โรแมนติก,ดราม่า,ความฝัน,รักในฝัน

ตอน: บทที่ 1

1

เสียงโทรศัพท์กรีดร้องขึ้นมาทำให้คนที่เผลอหลับไปบนเตียงสะดุ้งตื่น รีบร้อนรับสายโดยไม่ทันได้ดูหน้าจอให้ดีว่าใครโทร. มา ทันทีที่กดรับ เสียงร้องไห้ก็ดังขึ้นก่อนเป็นลำดับแรก ตามมาด้วยถ้อยคำผรุสวาท

“น้ำ ฮือ ไอ้ชัช มัน...ไอ้ตอแหล...มัน...มัน... ฉันจะฆ่ามัน!” ปลายสายเอ่ยออกมาอย่างกระท่อนกระแท่นจนจับความไม่ได้

นราภัทรหรือน้ำรินหายงัวเงียทันที รีบตั้งสติให้มากขึ้น “เฮ้ย! แพรว ใจเย็นๆ ก่อน เกิดอะไรขึ้น”

ปลายสายคือแพรวหรือพชิรดาเพื่อนสนิทสมัยมหาวิทยาลัยของเธอนั่นเอง

พชิรดาพูดไปด่าไปร้องไห้ไป “ไอ้ชัช ไอ้ชั่ว ไอ้สารเลว มันเอาผู้หญิงมานอนที่คอนโดฯ ฉัน มันใช้เตียงฉันทำเรื่องระยำพรรค์นั้น แล้วอีผู้หญิงนั่นก็ทิ้งของไว้ให้ฉันดูต่างหน้า” จบประโยคปุ๊บ พชิรดาก็กรีดร้องเสียงแหลมอย่างอัดอั้น

นราภัทรแสบแก้วหูไปชั่วขณะ ได้แต่ปลอบเพื่อนสาวให้สงบอารมณ์ “ใจเย็นๆ ก่อนนะแพรว อย่าเพิ่งทำอะไรลงไปนะ”

“น้ำ แกอยู่คอนโดฯ ใช่ไหม”

“ใช่”

“ดี เดี๋ยวฉันไปหาแก แค่นี้นะ” พชิรดาไม่รอให้เพื่อนตอบตกลงก็กดตัดสายไป

นราภัทรซึ่งกำลังจะบอกให้ขับรถดีๆ อย่าใจร้อน เพราะเกรงจะเกิดอุบัติเหตุก็มีอันต้องมองโทรศัพท์อย่างปลงๆ ก่อนจะเงยหน้าดูนาฬิกาแขวนผนัง เมื่อเห็นเข็มสั้นอยู่ที่เลข 11 นราภัทรก็รู้ชะตากรรมเลยว่าคืนนี้คงไม่ได้นอนเป็นแน่

พอเหลือบมองเงาตัวเองในกระจกบานยาวที่ติดไว้กับตู้เสื้อผ้าจึงรู้ว่าเธอนอนทั้งที่ยังสวมชุดทำงานอยู่ เป็นเพราะวันนี้เกิดปัญหากับระบบคอมพิวเตอร์ในหน่วยงาน ทำให้เธอต้องนั่งไล่ตรวจสอบว่าสาเหตุมาจากอะไร กว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและแก้ไขปัญหาได้ก็ปาเข้าไปสามทุ่ม กลับมาถึงคอนโดฯ ได้ก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว เธอจำได้ว่าเหนื่อยมากจนทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง คาดว่าตอนนั้นก็คงจะเอนหลังแล้วเผลอหลับไป นราภัทรโคลงศีรษะหน่อยๆ ก่อนเดินเข้าห้องน้ำไปพร้อมผ้าเช็ดตัว

30 นาทีต่อมาพชิรดาก็ขับรถมาถึงคอนโดฯ ของนราภัทร หญิงสาวสวมเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงยีนขาสั้น ทันทีที่เห็นเพื่อนลงมารับที่ชั้นหนึ่งของคอนโดฯ ก็โผเข้ากอดอย่างไม่คิดจะเก็บอารมณ์และไม่ห่วงภาพพจน์ ทำเอายามและคนดูแลคอนโดฯ กะกลางคืนมองนราภัทรด้วยสายตาแปลกๆ เธอจึงรีบพาเพื่อนขึ้นไปยังห้องตัวเองทันที

“เอ้า ใจเย็นลงหรือยัง” หลังจากที่พาเพื่อนสนิทมานั่งอยู่บนโซฟาได้ นราภัทรก็เข้าห้องน้ำไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำมายื่นให้ เพราะสังเกตได้ว่าใบหน้าสวยๆ ของพชิรดาเต็มไปด้วยคราบน้ำตา คาดว่าคงจะร้องไห้มาตลอดทาง

พชิรดารับผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าทั้งที่ยังมีอาการสะอื้นอยู่

พชิรดาไม่ตอบแต่หยิบเบียร์กระป๋องที่เธอแวะซื้อข้างทางมาถึงหนึ่งโหลขึ้นดื่มหนึ่งกระป๋อง แล้วยื่นให้เพื่อนสาวอีกหนึ่งกระป๋อง
นราภัทรส่ายหน้าปฏิเสธ “พรุ่งนี้ฉันต้องทำงาน ดื่มไม่ได้หรอก เดี๋ยวไม่ตื่นไปทำงานกันพอดี”

พชิรดาไม่บังคับเพื่อน ยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่มอั้กๆ ด้วยสีหน้าเจ็บแค้น

“แล้วเป็นไงมาไงล่ะเนี่ย” พอถามขึ้น สีหน้าพชิรดาก็เปลี่ยนไปทันที นัยน์ตากร้าวขึ้นเหมือนอยากจะฉีกเนื้อใครสักคนให้เป็นชิ้นๆ

“ฉันไปนอนเฝ้าไข้คุณน้าที่ไปผ่าตัดไส้ติ่งมา เมื่อวานก็บอกมันไปว่าคงต้องค้างทั้งอาทิตย์แล้วก็เก็บของไป วันนี้ฉันเบื่อๆ จำได้ว่าอ่านนวนิยายค้างอยู่ เลยว่าจะกลับมาเอาหนังสือไปอ่านต่อ ปรากฏว่าพอมาที่ห้อง ฉันก็เจอถุงยางใช้แล้วทิ้งอยู่บนพื้น ยังไม่พอนะ บนเตียงยังมีจีสตริงสีแดงแจ๊ดทิ้งไว้อีก ฉันก็เลยโทร. ไปบอกคุณน้าว่าวันนี้อยู่เฝ้าไม่ได้ ให้พราวน้องฉันไปเฝ้าแทนหนึ่งวัน แล้วก็อยู่รอเจอมัน มันกลับมาตอนเกือบสี่ทุ่ม กลับมาพร้อมกับ...นังแพศยานั่น มีโอบเอวกัน คลอเคลียกระหนุงกระหนิงกันเข้ามา ฉัน...ฉันอยากจะฆ่ามันนัก มันเอาผู้หญิงมานอนที่ห้องฉัน” พชิรดาบีบกระป๋องเบียร์แน่น โกรธจนตัวสั่นระริก

“ใจเย็นก่อนนะแพรว” นราภัทรไม่รู้จะพูดอะไรดีนอกจากคำว่า ใจเย็น เพราะเป็นคำเดียวที่เหมาะกับสถานการณ์แบบนี้ที่สุด เธอกลัวใจพชิรดาเหลือเกิน กลัวว่าจะวู่วามก่อเหตุทำร้ายร่างกายอีกฝ่าย ซึ่งนราภัทรมองว่าไม่คุ้มกัน แต่ถ้าหากเธออายุน้อยกว่านี้ละก็ คำแนะนำจะเปลี่ยนไปเป็นคำยุยงส่งเสริมประเภทเตรียมค่าปรับไว้จ่ายตำรวจแล้วไปยำอีกฝ่ายให้เละกันไปข้างหนึ่ง

“ฉันใจเย็นมากแล้ว” พชิรดาหันขวับมามองนราภัทรอย่างจริงจัง

“แกไม่ได้ทำอะไรชัชงั้นเหรอ” นราภัทรถามอย่างรู้นิสัยเพื่อนดีว่า วีนแตกและวีนแหลกแค่ไหน

“ตบหน้ามันไปสามทีซ้อนแล้วปาแจกันใส่ ไล่มันออกจากห้อง ทั้งที่ฉันแทบอยากจะเอาปืนมายิงมันให้ไส้แตกด้วยซ้ำ อีนั่นฉันก็รู้จักดี เป็นเด็กฝึกงานที่บริษัทมัน ที่ฉันเคยเล่าให้แกฟังไง ตอนที่ฉันทะเลาะกับมัน บอกว่าอีเด็กนี่มันทอดสะพานให้ แล้วมันหัวเราะบอกว่าต่อให้ทอดสะพานมา แต่ถ้ามันไม่ข้ามซะทุกอย่างก็จบ”

“แล้วนี่มันอะไร เพิ่งจบจากช่วงฝึกงานไม่ถึงอาทิตย์ดีด้วยซ้ำก็หิ้วกันมาที่คอนโดฯ ฉันแล้ว แปลว่าก่อนหน้านั้นมันก็คงลักกินลอบกินหลังฉันสบายใจเฉิบใช่ไหม ฮึ! ไม่ข้ามแต่คงขย่มกันมันไปเลยสิ ยิ่งเห็นสภาพเตียงนอนแล้วฉันก็ยิ่งแค้น ถ้าตอนนั้นมีปืนในมือ ฉันรัวใส่อีคู่ผีเน่ากับโลงผุคู่นี้ให้ไปสมสู่กันในนรกแล้ว คงเห็นฉันโง่เป็นควายเลยชะล่าใจ ไม่คิดว่าจะโดนจับได้แบบนี้” ยิ่งพชิรดาพูดก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเจ็บแค้น ว่าแล้วก็ดึงฝากระป๋องเบียร์ออกแล้วยกขึ้นดื่มรวดเดียว ราวกับเป็นยาวิเศษที่จะช่วยให้เธอลืมเรื่องเสียใจไปได้

ใจจริงนราภัทรอยากจะห้ามปราม แต่คิดว่าปล่อยให้พชิรดาดื่มจนเมาแล้วหลับไปน่าจะดีกว่า ซึ่งก็เป็นอย่างที่เธอคิด เมื่อเข้ากระป๋องที่ห้า คนที่ใช้พลังงานมาทั้งวันก็ผล็อยหลับไป นราภัทรมองเพื่อนสาวแล้วก็ได้แต่ถอนใจยาวเหยียด สงสารเพื่อนจับใจ แต่ก็ดีแล้วที่ได้รู้เช่นเห็นชาติกันก่อนที่จะแต่งงานกันไป

พชิรดาเป็นคนสวยน่ารัก แต่ด้วยความเป็นลูกคุณหนู มีแต่คนเอาอกเอาใจ จึงเพาะบ่มนิสัยเอาแต่ใจและขี้วีนไว้เป็นที่หนึ่ง ทำให้พอมีคนรักทีไร สุดท้ายต้องลงเอยด้วยการแยกทางกับฝ่ายชายทุกครั้งไป แล้วเธอก็มักได้คนรักเป็นผู้ชายเจ้าชู้ ซึ่งหลังจากผ่านช่วงคบกันแรกๆ ไป หญิงสาวก็มีอันต้องช้ำใจเรื่องคนรักมีกิ๊กหรือทิ้งเธอไปหาคนใหม่เสมอ

นราภัทรไม่เคยต้องเจอปัญหาพวกนี้ เธอไม่เคยพบใครที่ทำให้รู้สึกชอบพอจนอยากเป็นคนรักด้วยสักที ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยก็มีคนเข้ามาจีบเธอบ่อยๆ มีอยู่คนหนึ่งที่ตามตื๊อเธอทุกเช้าเย็น ทำให้เธอหวั่นไหวเกือบจะตอบตกลงคบหาด้วยความสงสารแล้ว แต่ก็มีเหตุให้ได้รู้เสียก่อนว่าผู้ชายคนนี้จีบผู้หญิงต่างคณะอีกคนควบคู่กับจีบเธอไปด้วย นราภัทรเลยโบกมือลา และหลังจากนั้นมาก็ไม่ได้คบใครทั้งนั้น แถมในคณะวิศวกรรมมีจำนวนนักศึกษาชายมากกว่านักศึกษาหญิง จึงทำให้เธอมีเพื่อนผู้ชายมาก และยิ่งทำให้เธอเห็นนิสัยด้านแย่ๆ ของผู้ชายอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะโกหกคนรัก คบเผื่อเลือก ได้แล้วทิ้ง เอาผู้หญิงมานินทา และอื่นๆ อีกมากมายสารพัด

นราภัทรไม่ถึงขนาดเกลียดผู้ชาย เพราะอย่างน้อยพ่อของเธอก็เป็นบุคคลที่น่าเคารพน่าบูชาอยู่เสมอ ในฐานะที่เป็นสามีที่ดีของแม่และพ่อที่ดีของเธอ กระนั้นเธอก็ไม่รู้สึกอยากมีคนรัก

แม้ว่านราภัทรจะไม่ได้มีทัศนคติว่า ผู้ชายเลวกว่าหมา แต่เธอก็คิดว่าผู้ชายดีๆ นอกจากในนวนิยายก็คงแต่งงานไปหมดแล้วเหมือนพ่อของเธอ หรือไม่ก็คงจะปลงผมเข้าวัดบวชเป็นพระไปแล้ว ดังนั้นที่เหลืออยู่ในโลกนี้คงมีแต่พวกไม่ค่อยดีนัก

พอเข้าทำงานได้ หญิงสาวก็ยิ่งไม่มีเวลาคิดเรื่องแฟน เพราะการทำงานตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์เอาเวลาของเธอไปหมด มีพักหลังๆ ที่อายุมากขึ้น นางอมรรัตน์ผู้เป็นแม่มักจะบ่นอยู่เสมอเรื่องลูกสาวไม่มีแฟน จนเป็นปัญหาให้ทะเลาะกันบ่อยๆ นราภัทรคิดว่าเธอดูแลตัวเองและพ่อแม่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใครทั้งนั้น เธอมีงานมีรายได้ประจำ เจ็บป่วยก็มีสวัสดิการรักษาให้ แต่แม่ของเธอกลับคิดว่าชีวิตของผู้หญิงจะสมบูรณ์ได้ก็ต้องมีสามีและลูก เมื่อพ่อกับแม่ตายไป นราภัทรจะได้มีสามีคอยดูแล และเพราะแม่คิดแบบนี้ทำให้นราภัทรยิ่งรู้สึกต่อต้านการมีคนรักมากขึ้น เธออยู่ตัวคนเดียวก็สบายดีอยู่แล้ว ทำไมต้องไปหาห่วงมาผูกคอให้วุ่นวายใจด้วย หลังๆ เพราะไม่อยากทะเลาะกับแม่ หญิงสาวเลยเลือกที่จะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดน้อยลง แล้วอาศัยวิธีโทรศัพท์คุยแทน

ตอนนี้เธออายุยี่สิบเก้าแล้ว เพื่อนๆ สมัยมหาวิทยาลัยทั้งชายหญิงก็แต่งงานไปหลายคนแล้ว และก็มักมีคนมาถามเรื่องคู่รักกับเธอเสมอ นราภัทรก็ให้คำตอบง่ายๆ ว่าไม่มีเวลาหา แค่ทำงานก็เอาเวลาเธอไปหมดแล้ว หญิงสาวไม่รู้สึกว่าเป็นปมด้อยอะไร เธอไม่เสียใจที่ไม่มีแฟน รู้สึกดีเสียด้วยซ้ำที่ไม่ต้องมีห่วงผูกคอ อยากไปไหนมาไหนก็ไปได้ ไม่ต้องกังวลหรือโทร. รายงานใครนอกจากพ่อกับแม่ ยิ่งการที่มีเพื่อนประสบปัญหาช้ำรักก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกโชคดีจริงๆ ที่ไม่ต้องมาเจอปัญหาปวดหัวพวกนี้จากการมีคู่รัก

.....................................................

สัปดาห์ถัดมา

นราภัทรเดินตามเพื่อนข้ามสะพานลอยมายังห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์อย่างอ่อนล้า

หลังจากพชิรดาได้ระบายความทุกข์ออกมาแล้วก็ทำใจได้อย่างรวดเร็วมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ็บจนชินหรืออย่างไร เพราะปกติแล้วพชิรดาจะฟูมฟายมากกว่าสองสัปดาห์จนนราภัทรหูแฉะในยามที่ต้องรับฟังหรือปลอบประโลมให้เพื่อนลุกขึ้นมาใหม่ให้ได้
จู่ๆ พชิรดาก็เกิดกลัวการขึ้นคานขึ้นมากะทันหันเพราะต้องเลิกกับแฟนไปอย่างไม่ทันตั้งตัว และหวังจะใช้ทางลัดด้วยการมาขอพรพระตรีมูรติที่อยู่หน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ เผื่อว่าท่านจะส่งชายหนุ่มที่สุดแสนเฟอร์เฟกต์ หล่อ รวย ไม่เจ้าชู้และรักเธอคนเดียวมาให้ในเร็ววัน

เพื่อให้สัมฤทธิผล พชิรดาเลือกมาขอพรในวันพฤหัสบดีช่วงสามทุ่มครึ่ง ซึ่งว่ากันว่าเป็นช่วงที่พระตรีมูรติจะลงมายังโลกมนุษย์เพื่อรับฟังคำขอร้องของคนทั้งหลาย และอีกเช่นเคย พชิรดามัดมือชกไปรับนราภัทรที่คอนโดฯ แล้วพามาเป็นเพื่อนจนได้ แม้ว่านราภัทรจะเหนื่อยจากการทำงานมากแค่ไหน แต่เห็นเพื่อนมุ่งมั่นขนาดนี้ เธอก็เลยยอมมาด้วย

หญิงสาวมองผู้คนหลากหลายวัยที่มายืนไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์กันอย่างอึ้งนิดๆ ไม่คิดว่าจะมีคนมากมายขนาดนี้

ที่มุมห้างฝั่งที่สองสาวมาไหว้พระขอพรมีเทพเจ้าสององค์ให้คนกราบไหว้สักการบูชา ซึ่งก็คือ พระตรีมูรติ ถัดออกไปอีกเล็กน้อยเป็นพระพิฆเนศ นราภัทรไม่เชื่อถือเรื่องเทพเจ้านัก ทว่าเธอก็เป็นคนไทยส่วนใหญ่ที่ไม่เชื่อแต่ไม่ลบหลู่ จึงคิดว่าจะยืนรอเพื่อนไหว้พระเสร็จแล้วค่อยกลับกัน แต่ดูเหมือนพชิรดาไม่ได้คิดแบบนั้น

“อ้ะ อันนี้ของแก”

“หือ” นราภัทรมองธูปเทียนและดอกกุหลาบสีแดงที่ถูกยื่นมาให้อย่างงงๆ

“รับไปสิ เอ้า ไม่งั้นจะไหว้ยังไง”

“ฉันมาเป็นเพื่อนแกเฉยๆ ไม่ได้มาไหว้ขอพรด้วย” นราภัทรปฏิเสธ

“ไหนๆ ก็มาแล้วน่ะ ก็มาไหว้เป็นเพื่อนฉันด้วยเลยสิ”

นราภัทรทำหน้านิ่ว ไม่อยากทำตาม

พชิรดาเร่งรัด “รับไป เมื่อยแล้ว ของก็ซื้อมาแล้ว แกจะให้ฉันไหว้สองรอบรึไง ไหนๆ แกเองก็โสดเหมือนฉัน ก็ถือโอกาสขอพรไปด้วยสิ”

“ไม่เอาหรอก ฉันไม่ได้อยากขออะไรนี่ พูดถึงขอพร ฉันไปไหว้ทางฝั่งพระพิฆเนศดีกว่ามั้ง ฉันไม่ได้อยากได้พรเรื่องความรักนี่ อยากให้การทำงานราบรื่นมากกว่า”

ก่อนหน้านี้สามเดือนในฝ่ายพัฒนาระบบสารสนเทศเพิ่งแบ่งคนออกเป็นสามทีม แต่ละทีมมีงานเอกสารแตกต่างกันไป ตอนแรกหญิงสาวก็ดีใจที่ตนเองได้ย้ายเข้าทีมระบบซีเคียวริตี และไม่น่าจะต้องเกี่ยวข้องกับงานของทีมอื่น แต่ผู้อำนวยการสั่งให้เธอช่วยงานหัวหน้าทีมเซิร์ฟเวอร์ต่อไป นราภัทรก็คิดว่าแค่ช่วยดูแลไปจนกว่าจะเข้าที่เข้าทาง คงจะไม่เป็นอะไร ทนๆ ไปไม่นาน และเธอก็คงไม่ต้องช่วยจัดการเอกสารให้อีก แต่หญิงสาวคงมองโลกในแง่ดีเกินไป เพราะผ่านมาสามเดือนแล้ว งานเอกสารต่างๆ ของระบบเซิร์ฟเวอร์ก็ยังถูกทยอยส่งมาให้เธอทำตลอด แม้แต่ทีมเน็ตเวิร์กเองก็ยังจะเอางานเอกสารมาถามกับเธอบ่อยๆ ผู้บริหารก็ทวงงานจากเธอแทนที่จะไปทวงกับหัวหน้าทีมเอง

ตอนนี้เสมือนเธอเป็นเลขาฯ ฝ่ายพัฒนาระบบสารสนเทศไปแล้ว ทั้งที่จริงๆ เธอเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ จึงสรุปได้ว่าที่นราภัทรเคยฝันเอาไว้ว่างานจะเบาลงนั้นเป็นได้แค่ฝันลมๆ แล้งๆ ยังไม่รวมเรื่องคนในฝ่ายบางคนเริ่มจะมีปัญหากับเธอด้วยเรื่องไร้สาระ จนทำให้เธอหงุดหงิดหัวเสียได้ทุกวัน ถ้าขอพรได้จริง นราภัทรก็อยากขอให้การทำงานของเธอมีอุปสรรคน้อยลงและราบรื่นกว่านี้

“พระตรีมูรตินี่แหละ ขอได้ทั้งเรื่องงาน เงิน ความรัก ครอบคลุมหมดทุกอย่าง เพราะท่านเป็นร่างที่รวมทั้งพระนารายณ์ พระพรหม และพระศิวะไว้ด้วยกัน แกเองก็อายุเท่าฉัน จะสามสิบแล้วนะ ที่สำคัญที่สุดแม่แกก็อยากให้แกแต่งงานแล้วด้วย ถ้าแกไม่มีแฟน เดี๋ยวแกได้โดนแม่จับคลุมถุงชนแน่” พชิรดาที่เหมือนจะกลายร่างเป็นกูรูเรื่องเทพเจ้าพูดจี้ได้ถูกจุด

“แม่ฉันไม่ได้เผด็จการขนาดนั้นซะหน่อย” นราภัทรพูดได้ไม่เต็มปาก ช่วงนี้หากเธอมีเรื่องบ่นให้เพื่อนฟัง ไม่พ้นต้องบ่นเรื่องที่แม่อยากให้เธอแต่งงานมีครอบครัวไป แม่จะได้หมดห่วง

“เอาน่า ไหว้ไปก็ไม่เสียหายอะไรนี่ ถ้าได้ผลจริงก็นับว่าเราโชคดี แต่ถ้าไม่ได้ แกก็ไม่ได้เสียอะไรสักบาท เพราะฉันเป็นคนออกเงิน เร็ว! จะสามทุ่มครึ่งแล้ว รับไป” พชิรดาส่งใบบทสวดขอพรพระตรีมูรติมาให้ตามหลัง

นราภัทรเห็นด้วยกับเพื่อนเลยรับมา จากนั้นก็ทำตามเพื่อนสาวอย่างเก้ๆ กังๆ

เมื่อไหว้พระตรีมูรติเสร็จ หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรี แล้วพบว่าฟ้าแดงก่ำเหมือนฝนกำลังจะตก...

.....................................................

ลมพัดแรงมากจนผมของนราภัทรปลิวไปมา เงยหน้าขึ้นดูท้องฟ้าก็เกรงว่าฝนจะตก เธอไม่ได้พกร่มมาเสียด้วย หญิงสาวหันซ้ายหันขวามองรอบตัวแล้วนึกงงๆ

ว่าแต่...คนที่มาไหว้ขอพรหายไปไหนกันหมด

ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ ฝนเม็ดใหญ่ก็หล่นลงมาดังเปาะแปะ นราภัทรรีบวิ่งจะเข้าไปหลบฝนที่ชายคาตึกข้างหน้าแต่ชนกับผู้ชายคนหนึ่งที่วิ่งมาทางขวามือซึ่งเธอไม่ได้มองพอดี

“ขอโทษค่ะ” นราภัทรรีบเอ่ยปากขอโทษพร้อมก้มศีรษะให้

“ไม่เป็นไรครับ” สิ้นเสียงของชายหนุ่มคนนั้น ฝนก็พร้อมใจกันเทลงมาโครมใหญ่ เขารีบถอดสูทตัวนอกคลุมให้หญิงสาวโดยอัตโนมัติ แล้วชี้ไปยังด้านหน้าอาคาร จากนั้นก็คว้ามือนราภัทรมาจับไว้แล้ววิ่งไปพร้อมกัน เมื่อหลบเข้ามาในชายคาได้แล้ว เขาถึงปล่อยมือหญิงสาวอย่างเก้อเขิน

“เอ่อ ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันต้องขอบคุณคุณมากกว่าที่ยอมสละเสื้อให้ฉัน” นราภัทรทำท่าจะคืนเสื้อสูทให้ เห็นเขาเปียกชุ่มโชกแล้วเธออดรู้สึกผิดไม่ได้ อันที่จริงเธอเองก็เปียกอยู่แล้ว แต่การที่เขาคลุมเสื้อให้เธอนั้นช่วยให้เธอโดนฝนน้อยลง

การที่เขายอมเปียกฝนเสียเองเพราะเสียสละเสื้อคลุมให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่รู้จักกันเลยนั้นทำให้นราภัทรประทับใจการกระทำของเขามาก

“คลุมไว้ก่อนเถอะครับ เราอยู่ตรงนี้มันช่วยกันฝนได้ก็จริง แต่ยังมีละอองฝนสาดเข้ามาอยู่ดี”

“ขอบคุณนะคะ”

“เรื่องเล็กน้อยครับ” บนใบหน้าของชายหนุ่มมีรอยยิ้มอบอุ่นปรากฏอยู่

แสงไฟจากตัวอาคารทำให้นราภัทรมองหน้าเขาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เขาเป็นผู้ชายตัวสูง หญิงสาวคาดคะเนว่าต้องเกิน180 เซนติเมตรแน่นอน ใบหน้าเรียว คิ้วเข้มตรง นัยน์ตาสีน้ำตาลใต้แพขนตายาวชนิดที่ผู้หญิงต้องอิจฉานั้นเหมือนค่ำคืนที่แสงดาวเปล่งประกายวิบไหว...งดงาม ชวนฝัน น่าหลงใหล

นราภัทรไม่อาจละสายตาจากคนตรงหน้าได้ เหมือนที่คนตรงหน้าก็มองจ้องกลับมาเหมือนกัน

ม่านฝนหนาหนักที่ตกลงมาส่งเสียงดังก้อง ส่งผลให้ภาพด้านหน้าพร่าเลือนจนมองอะไรไม่ชัด สายฝนกันทุกอย่างออกไป เหลือแค่เธอกับชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้เท่านั้น

หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้น ความรู้สึกบางอย่างเอ่อล้นขึ้นในอกคล้ายกับเกลียวคลื่นน้ำมหาศาลสาดซัดเข้าหา และเธอไม่เข้าใจว่าความรู้สึกนี้มาจากไหน คลับคล้ายได้พบสิ่งที่ปรารถนา สิ่งที่รอคอยมานานแสนนาน...นานยิ่งกว่าชีวิตของตัวเองเสียอีก!

“คุณ! คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” ฝ่ายชายออกปากขึ้นก่อน นั่นเพราะเขาเห็นว่ามีหยดน้ำใสๆ ไหลลงมาจากนัยน์ตาของหญิงสาวทั้งสองข้าง ชายหนุ่มล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าพับเรียบร้อยออกมา ซึ่ง...เปียกชุ่มไม่ต่างจากตัวเขาเลย
เสียงเรียกของชายหนุ่มดึงหญิงสาวกลับสู่ปัจจุบัน จึงรู้ตัวว่าใบหน้าชื้น ที่แท้เธอก็ร้องไห้ออกมานี่เอง ระหว่างที่มึนงงว่าทำไมเธอถึงร้องไห้ ชายหนุ่มก็ยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ด้วยสีหน้ากังวลที่ไม่อาจหาผ้าแห้งและสะอาดมาให้เธอเช็ดหน้าได้

“มันเปียกอยู่แล้ว อาจจะไม่ช่วยอะไร แต่น่าจะดีกว่าไม่มี”

แม้ว่าผ้าเช็ดหน้าจะเปียกแต่หญิงสาวไม่รังเกียจ แต่เธอกลับรู้สึกดีกับผู้ชายตรงหน้ามากยิ่งขึ้น ตอนนี้นัยน์ตาของเขาดูคล้ายสายน้ำกระจ่างใสบริสุทธิ์ ที่ทำให้เธอสบายใจและไว้วางใจเขามาก รู้ได้ทันทีว่าอยู่กับเขาแล้วเธอจะปลอดภัยจากอันตรายทุกอย่าง

นราภัทรยิ้มกว้างก่อนจะพูดอีกครั้งว่า “ขอบคุณมากค่ะ”

“ด้วยความยินดีครับ”

หญิงสาวคลี่ผ้าเช็ดหน้าที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมาซับหน้า ระหว่างนั้นก็แอบมองใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มที่ตอนนี้มองไปยังด้านนอก เธอไล่มองสันจมูกโด่ง ริมฝีปากบางได้รูปสวย ผมยาวประบ่าเปียกแนบลู่ไปกับลำคอแกร่งของเขา เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแกะกระดุมออกสองเม็ด โชว์ผิวขาวกึ่งกลางหน้าอกกว้าง ที่สำคัญเสื้อที่เปียกชุ่มนั้นแนบไปกับเรือนร่างของเขา...

ชายหนุ่มยกมือสองข้างเสยผมเปียกๆ ที่ปรกหน้าขึ้น แต่รู้สึกเหมือนมีใครมองอยู่เลยหันมาทางหญิงสาว

นราภัทรรีบเบนสายตาไปมองม่านฝนตรงหน้า หัวใจเต้นตุ๊มๆ ต้อมๆ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโรคจิตชอบกล

เงียบไปอีกพักหนึ่ง เสียงนุ่มทุ้มของคนข้างตัวก็ดังขึ้น “แปลกจัง ทำไมไม่เห็นคนอื่นเลย”

คำพูดของเขาทำให้นราภัทรนึกขึ้นได้ “นั่นสิคะ ฉันมากับเพื่อน แต่เหมือนละสายตาแป๊บเดียว คนก็หายไปหมดแล้ว”

“ผมมารับน้องสาวที่นี่น่ะครับ โทรศัพท์ผมแบตฯ หมดพอดี เลยเดินจากลานจอดรถมารับเขา แต่...ตรงลานนั่น ผมไม่เห็นใครเลย นอกจากคุณ แล้วฝนก็ตกลงมาเสียก่อน” คิ้วเข้มๆ ขมวดชิดด้วยรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องผิดปกติ

นราภัทรเป็นกังวล พอเขาพูดถึงโทรศัพท์ก็เลยคิดจะโทร. ติดต่อเพื่อนสาว จึงล้วงมือลงไปในกระเป๋าสะพายเพื่อหยิบโทรศัพท์ แต่ปรากฏว่าควานหายังไงก็ไม่เจอ

“อ๊ะ! ฉันลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้อง” หญิงสาวเพิ่งนึกขึ้นได้

ชายหนุ่มแนะนำ “งั้นคงต้องรอฝนหยุดตกก่อน แล้วเราค่อยไปใช้โทรศัพท์สาธารณะโทร. หาญาติกับเพื่อนละกันนะครับ”

นราภัทรยิ้มแห้งๆ แล้วบอกว่า “ฉันจำเบอร์โทรศัพท์เพื่อนไม่ได้ค่ะ”

“แล้วนี่จะกลับบ้านยังไงครับ” เขาเป็นห่วงจากใจจริง

“เดี๋ยวรอฝนซาแล้วคงเรียกแท็กซี่กลับบ้านน่ะค่ะ”

“ให้ผมไปส่งไหม” เขาเอ่ยออกมาโดยไม่ได้หยุดคิด ด้วยรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ควรต้องกระทำอย่างยิ่ง เขาไม่สบายใจที่จะปล่อยให้หญิงสาวตัวคนเดียวขึ้นแท็กซี่ไปในเวลากลางคืน

“อย่าเลยค่ะ ลำบากคุณเปล่าๆ ไม่ต้องหรอกค่ะ คอนโดฯ ฉันไกลจากตรงนี้มาก อย่าเสียเวลาเลยค่ะ” นราภัทรหันขวับมาหาเขาพร้อมทั้งโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน เพราะเกรงใจผู้ชายแสนใจดีคนนี้เป็นอย่างยิ่ง

ทว่า...เขากลับโน้มหน้ามาใกล้ เงาของเขาทาบทับใบหน้าของเธอพร้อมกับที่เขายื่นมือมาจับที่ข้างแก้มซ้ายของเธอปลายนิ้วอุ่นปัดผ่านเบาๆ ลงบนผิวเย็นชืด ก่อนจะสอดเข้าไปในกลุ่มเส้นผมเปียกชื้น

นราภัทรยืนตัวแข็งทื่อ ด้านหลังของเธอคือเสาอาคารขนาดใหญ่ ด้านหน้าคือผู้ชายสูงเกิน 180 เซนติเมตร หญิงสาวทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ หัวใจเต้นแรงขึ้น แต่สมองกลับทำงานช้าลง เมื่อใบหน้าเขาอยู่ใกล้กับใบหน้าของเธอมากเกินไป…


เฮือก!

นราภัทรสะดุ้งตื่นด้วยเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งให้ปลุกตอนตีห้าครึ่ง หญิงสาวนอนลืมตามองเพดานที่เธอแปะรูปดาวเรืองแสงเอาไว้อย่างมึนงง เธอยกมือกุมหัวใจที่เต้นตุบๆ ก่อนลุกขึ้นนั่ง สักพักก็รู้ได้สติว่าเธอนอนหลับอยู่ในห้อง เมื่อคิดทบทวนไปอีกทีก็รู้ว่า เมื่อคืนเธอไปไหว้ขอพรพระตรีมูรติกับพชิรดาแล้วเพื่อนสาวก็ขับรถกลับมาส่งเธอ

‘แปลว่าเรื่องนั้น...เราฝันไปสินะ’

ดวงหน้าขาวสะอาดระเรื่อขึ้นและร้อนนิดๆ เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในฝัน เธอก็เลื่อนมือแตะใบหน้า นัยน์ตาเหม่อลอย

‘บ้าจริง ฉันฝันอะไรลงไปเนี่ย’ นราภัทรตำหนิตัวเองในใจแล้วพาลเพื่อนสาวที่ยัดเยียดเรื่องผู้ชายใส่หัวเธอมากไปตอนที่นั่งรถกลับมา หญิงสาวมองนาฬิกาแล้วตกใจ เพราะเธอเสียเวลานั่งเหม่อไปเกือบ 20 นาที จึงรีบคว้าผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำไปทำงาน

แต่วันนั้นทั้งวันเธอไม่อาจสลัดเรื่องของผู้ชายแปลกหน้าในฝันคนนี้ไปได้เลย
.....................................................

เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกจริงๆ ที่ฟ้าอยากจะแปะคำว่า Base on true story ลงไป
มากกว่า 60 เปอร์เซนต์นี่เอามาจากเรื่องจริงค่ะ หุหุ ..ส่วนจะเป็นเรื่องไหนบ้าง ต้องลองอ่านดูจริงๆ
ปล. นางเอกเรื่องนี้ใช้เพื่อนฟ้าเป็นต้นแบบนางเอก และก็ฝันถึงผู้ชายในฝันจริงๆ ค่ะ

.........................................................
ตอบเมนท์

คุณใบบัว น่ารัก
- ขอบคุณที่มาเมนท์ให้นะค้า ^^ ถ้าสายแล้วต้องรีบไปทำงานเนอะ
...............
คุณ Siang

- ชีวิตหักเหนิดหน่อย (ไม่ใช่ไร ถูกหันเหความสนใจไปทำเรื่องไร้สาระอย่างทำพ่งทำเพจ เลยไม่ได้ลงนิยายเลย)
แต่ก็จะมีเรื่องให้ลงแล้ว เย้ๆๆๆๆๆ
ขอบคุณที่มาเมนท์ให้น้า
............






ท้องฟ้า
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ธ.ค. 2557, 04:24:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ธ.ค. 2557, 04:24:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1179





<< บทนำ   บทที่ 2/1 >>
ใบบัวน่ารัก 3 ธ.ค. 2557, 06:34:37 น.
ไม่ได้การหละต้องไปไหว้ขอคู่ครองบ้างแล้ว


Siang 3 ธ.ค. 2557, 08:20:04 น.
อยากฝันแบบนี้บ้างจัง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account