จุมพิตนิทรา
"หากได้พบเธอแค่เพียงในฝัน ฉันก็ปรารถนาจะหลับใหลไปชั่วกาล"

นราภัทร วิศวกรคอมพิวเตอร์สาวมั่นที่ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยเชื่อเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ
แต่หลังจากไปไหว้พระตรีมูรติ เธอก็ได้พบกับคนที่มาเปลี่ยนแปลงชีวิตเธอ
"เขา" ทำให้เธอยิ้ม ทำให้เธอหัวเราะ ทำให้เธอมีความสุขได้
แต่ "เขา" อยู่แต่ในความฝันของเธอเท่านั้น
นราภัทรแค่ฝันไป? หรือ เขาคือเนื้อคู่ที่สวรรค์ประทานลงในให้?

Tags: โรแมนติก,ดราม่า,ความฝัน,รักในฝัน

ตอน: บทที่ 2/1

2

ช่วงเช้า ในห้องประชุมขนาดเล็ก

หลังจากที่ผู้เข้าประชุมทักทายกันเล็กน้อยพอเป็นพิธี การประชุมเรื่องแผน BCP ของหน่วยงานก็เริ่มขึ้น นราภัทรซึ่งเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ควบตำแหน่งเลขาฯ การประชุมหนนี้ก็หยิบสมุดขึ้นมาบันทึกการประชุมเพื่อนำไปทำรายงาน และผู้รายงานแผนBCP คือ ภวิตา ผู้อำนวยการฝ่ายระบบสารสนเทศ ซึ่งก็คือหัวหน้างานของเธอนั่นเอง

หลังจากภวิตารายงานแผนงานให้ผู้บริหารระดับสูงรับทราบไปประมาณสองสามสไลด์ อาจารย์ชฎาพร ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารชั้นสูงก็พยักหน้าและเอ่ยชมออกมาว่า

“เขียนได้ดีนะคะ ใครทำรายงานตัวนี้ล่ะเนี่ย”

“ตาทำเองค่ะ” ภวิตายิ้มกว้างแล้วเอ่ยรับสมอ้างว่าเป็นผลงานตนขึ้นมาอย่างหน้าชื่นตาบาน ขณะที่ผู้ชายสามคนในห้องอย่างจิรายุ บริพัทธ์ และอลงกรณ์ ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมต่างๆ ในฝ่ายพัฒนาระบบสารสนเทศมองมาที่นราภัทรเป็นตาเดียวกัน เพราะต่างรู้ดีว่าคนที่อดหลับอดนอน ‘เร่ง’ ทำรายงานตัวนี้ให้เสร็จแล้วส่งในตอนเช้าเมื่อวันก่อนคือ นราภัทร ส่วนภวิตานั้นแค่สั่งให้นราภัทรรีบส่งรายงานให้เธอก่อนกำหนด และรายงานในที่ประชุมเท่านั้น

นราภัทรส่งยิ้มเนือยๆ ให้หัวหน้าทีมทุกคนที่มองมา ซึ่งทุกคนก็ส่งสายตาเห็นอกเห็นใจตอบกลับ

ภวิตาไม่ได้ทำแบบนี้ครั้งแรก และนี่ก็คงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ตอนที่เธอเข้ามาทำงานแรกๆ ก็นึกว่าจะได้อยู่กับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ไปทั้งวัน แต่ปรากฏว่าในฝ่ายที่มีพนักงานประจำสิบกว่าคนนั้น เป็นผู้ชายเสีย 16 คน มีเธอเป็นผู้หญิงคนเดียวในหมู่ผู้ชายทั้งหมด แน่นอนว่านราภัทรไม่ได้เดือดร้อนเรื่องนี้เพราะสมัยเรียนผู้ชายก็มากกว่าผู้หญิงเป็นเท่าตัว เธอจึงคุ้นเคยเป็นอย่างมาก เพิ่งมาสองปีหลังนี้ที่ฝ่ายของเธอรับเด็กใหม่เป็นผู้หญิงเข้ามาอีกคน นราภัทรจึงมีเพื่อนร่วมงานเป็นผู้หญิงบ้าง

แต่ด้วยความที่เป็นผู้หญิงหรืออะไรก็ตามแต่ ทุกคนต่างโยนงานเอกสารซึ่งต้องเขียนเป็นภาษาราชการมาให้นราภัทรทำ แรกๆ เธอก็ทำเพราะอยากช่วยเหลือ แต่ไม่นานมันก็กลายเป็นงานประจำตัวไปเสีย แม้ภายหลังในฝ่ายมีการแบ่งทีมงานออกเป็นสามทีมเพื่อไม่ให้เนื้อหางานปะปนกัน ได้แก่ ทีมระบบซีเคียวริตี ทีมระบบเซิร์ฟเวอร์ และทีมระบบเน็ตเวิร์กแล้ว หญิงสาวย้ายเข้าทีมซีเคียวริตีอันมีจิรายุเป็นหัวหน้าทีม แต่งานเอกสารของนราภัทรก็แทบไม่ได้ลดลงเลย เพราะทีมเซิร์ฟเวอร์มาขอให้เธอช่วยงานเอกสารเสมอ ส่วนทีมระบบเน็ตเวิร์กยิ่งหนักเข้าไปอีก เพราะนายอลงกรณ์ผู้เป็นหัวหน้าทีมถึงกับออกปากว่าจะจ่ายเงินจ้างเธอทำงานเอกสาร

พี่ตาหรือภวิตาซึ่งเป็นผู้อำนวยการเห็นว่าเธอทำรายงานได้ดีก็เรียกใช้เธอให้ช่วยทำเอกสารรายงานการประชุม ประจำ แน่นอนว่าถ้ามีคำชมขึ้นมา ภวิตาจะรับสมอ้างหน้าตาเฉยว่าตนเป็นคนทำ ทั้งที่เร่งนราภัทรแทบตาย ครั้งแรกที่ภวิตาพูดแบบนี้ นราภัทรหงุดหงิดและไม่พอใจมาก อึ้งและคิดไม่ถึงว่าผู้ใหญ่ซึ่งเป็นผู้อำนวยการจะทำตัวไร้ความละอาย แอบอ้างผลงานลูกน้องได้ขนาดนี้ พร้อมๆ กับฉงนในใจว่าคนโป้ปดแบบนี้ขึ้นมาสู่ตำแหน่งผู้อำนวยการได้อย่างไร แต่พอโดนไปหลายครั้งเข้า จากความระอาก็เปลี่ยนเป็นชาชิน บางครั้งถ้าภวิตาอารมณ์ดีจะมีใจแบ่งปันคำชมด้วยการบอกกับที่ประชุมว่า ‘ตาเป็นคนทำรายงานทั้งหมด ส่วนน้องน้ำเป็นคนช่วยรวบรวมข้อมูลมาให้ค่ะ’ นราภัทรฟังแล้วอยากจะหัวเราะ แต่สิ่งที่ทำได้คือยิ้มในหน้า รับส่วนบุญที่ภวิตาแบ่งมาให้ไป

ทางเดียวที่ภวิตาจะไม่แอบอ้างผลงานของเธอก็คือเธอต้องไม่ทำรายงานตามที่ภวิตาสั่ง แต่ก็เป็นไปไม่ได้อีก ดังนั้นหญิงสาวจึงได้แต่ทำใจ ปลงต่อเรื่องที่เกิดขึ้น

อาจารย์ชฎาพรเลิกคิ้วเมื่อภวิตาบอกว่าเป็นคนทำรายงานชิ้นนี้ เธอปรายตามาทางนราภัทรเล็กน้อย เหมือนจะขยับปากพูด แต่แล้วก็เงียบ ก่อนจะบอกให้ภวิตารายงานต่อ

การประชุมดำเนินไปอย่างราบรื่นราวหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะสะดุดเมื่ออาจารย์ชฎาพรเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“เนื้อหาตรงนี้เขียนไม่เคลียร์นะคะ อ่านแล้วยังไม่เข้าใจ”

ภวิตาลืมไปแล้วว่าตัวเองรับสมอ้างว่าทำรายงาน และด้วยกลไกป้องกันตัวเองจากคำตำหนิติเตียนทำให้ภวิตาโพล่งไปอย่างร้อนรนว่า “ตาไม่ใช่คนทำนะคะอาจารย์ น้ำเป็นคนทำต่างหากค่ะ”

สามหนุ่มลูกน้องภวิตาหลุดเสียงหัวเราะออกมาที่ผู้อำนวยการสาวใหญ่ลืมตัว ทั้งที่ตอนเริ่มประชุมบอกว่าตัวเองเป็นคนทำรายงาน จิรายุซึ่งมีประสบการณ์มากที่สุดรีบยกมือปิดปาก ทำท่าเหมือนว่าเจ็บคอเหลือเกิน อลงกรณ์ยกแก้วน้ำเปล่าตรงหน้าขึ้นดื่มแล้วเสมองไปทางอื่น ส่วนบริพัทธ์ที่มือใหม่สุดเพิ่งจะเข้ามาทำงานได้ไม่นานตกเป็นเป้าสายตาของคนในห้อง ชายหนุ่มถึงกับทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ แต่ไม่นานสายตาทั้งหมดก็พุ่งมาที่ภวิตาอีกครั้ง

อาจารย์ชฎาพรเลิกคิ้วขึ้นแล้วถาม “ตอนแรกบอกว่าตัวเองเป็นคนทำ ตอนนี้บอกว่าน้ำเป็นคนทำ ตกลงใครทำรายงานนี้กันแน่คะ”
ภวิตาเหงื่อตก ตัวแข็งทื่อเป็นก้อนหิน เพิ่งนึกได้ว่าตนพูดไปตอนต้นชั่วโมงแบบนั้น

ส่วนนราภัทรลอบถอนหายใจเบาๆ ‘ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวชัดๆ ช่างเป็นสำนวนที่ไม่เคยตกยุคตกสมัยเลย’

อันที่จริงเธอก็สมน้ำหน้าภวิตาอยู่หรอกที่ชอบเอาหน้านัก สุดท้ายก็ตกที่นั่งลำบากแบบนี้ ทีคำชมละรับ พอถูกตำหนิก็โยนให้ลูกน้องทันที ช่างเป็นหัวหน้าที่สมควรได้โล่ดีเด่นแห่งปีจริงๆ

‘เอ หรือว่าตอนปีใหม่เราควรจะซื้อแปะก๊วยให้พี่ตาเป็นของขวัญดีนะ ความจำจะได้ดีขึ้น ไม่ลืมว่าโกหกอะไรไปบ้าง’ ระหว่างที่คิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้นเท้าก็เจ็บแปลบขึ้นมา ทำให้รู้ว่าภวิตาซึ่งนั่งอยู่ข้างเธอนั้นสะกิดเธอ...แรงไปหน่อย

นราภัทรจำต้องคิดข้อแก้ตัวขึ้นมาอย่างสดๆ ร้อนๆ ก่อนหันไปทางอาจารย์ชฎาพร “ก็ช่วยๆ กันแหละค่ะอาจารย์” พูดจบแล้วเธอก็หลบสายตาอาจารย์ชฎาพร เพราะใจหนึ่งไม่ยอมรับผิดตรงนี้ เนื้อหาส่วนที่โดนตำหนินั้นเธอไม่ได้คนทำขึ้นมา ภวิตาคงเอาไปเปลี่ยนเองในภายหลัง แล้วมาโทษว่าเธอเป็นคนทำ!

อาจารย์ชฎาพรร้องอ้อรับคำแก้ตัวไว้ ทำให้บรรยากาศในห้องประชุมกลับสู่ปกติอีกครั้ง ไม่ได้หยุดค้างแบบเมื่อครู่ จากนั้นอาจารย์ชฎาพรก็เอ่ยร่ายออกมาว่าควรแก้ไขตรงไหนบ้างแล้วรับฟังรายงานต่อจนจบ

เมื่อประชุมเสร็จ นราภัทรออกมาจากห้องประชุมพร้อมกับสามหนุ่มในฝ่าย ส่วนภวิตา อาจารย์ชฎาพรเรียกให้อยู่คุยต่อ
ตอนนี้เที่ยงกว่าแล้ว ถ้าเก็บแฟ้มรายงานบนโต๊ะเสร็จ เธอก็จะไปหาอะไรมาเติมท้องที่เริ่มร้องโอดครวญสักหน่อย
“ไง เจ้านาย” จิรายุเอ่ยขึ้นเป็นคนแรกเมื่อเห็นว่าปราศจากคนนอกฝ่ายแล้ว

หญิงสาวที่กำลังจ้ำอ้าวหันกลับมา จิรายุเป็นหัวหน้าทีมของเธอ แต่เขาชอบเรียกลูกน้องเพียงหนึ่งเดียวของตัวเองว่าเจ้านาย เพราะนราภัทรจะสั่งมาในอีเมลเสมอว่า เธอต้องการข้อมูลอะไรบ้างเพื่อทำรายงานส่งขึ้นเบื้องบน และเขาจะต้องส่งข้อมูลอะไรกลับมาเพื่อให้เธอทำงานเอกสารได้เสร็จสมบูรณ์

“ไงอะไร พี่จิ๊บ”

“ก็เรื่องพี่ตาหน้าแตกในห้องประชุมไง” อลงกรณ์เสริมต่อให้ เขาอยากจะชมนราภัทรใจจะขาดอยู่แล้ว สีหน้าของเขาบ่งบอกชัดว่าสะใจมาก

คนที่อยู่ข้างๆ อลงกรณ์รีบเสริมขึ้น “น้องน้ำรินเก่งจริงๆ”

นี่ก็เป็นอีกสรรพนามหนึ่งที่นราภัทรไม่คุ้นหูสักที แม้จะถูกเรียกแบบนี้มาเป็นเวลาพอสมควรแล้วตั้งแต่บริพัทธ์เข้าทำงานที่นี่ได้ราวครึ่งปี บริพัทธ์เป็นคนเดียวที่เรียกเธอแบบนี้ ในขณะที่คนอื่นในฝ่าย อย่างภวิตานั้นเวลาอารมณ์ดีจะเรียกเธอว่า ‘น้องน้ำ’ ถ้าอารมณ์ไม่ดีจะเรียกเธอว่า ‘น้ำ’ ห้วนๆ ตอนนี้หญิงสาวเริ่มจำไม่ได้แล้วว่านานแค่ไหนแล้วที่ภวิตาไม่ได้เรียกเธอว่าน้องน้ำ พักหลังภวิตามักมีเรื่องไม่สบอารมณ์อยู่เสมอ ซึ่งนราภัทรคิดว่าภวิตาคงจะเข้าวัยทองก่อนอายุจริงจะถึงแน่ๆ ส่วนคนอื่นในฝ่าย นอกจากคำว่า ‘เจ้านาย’ ที่จิรายุเรียกแล้วก็จะมีแค่ ‘ไอ้น้ำ’ ‘พี่น้ำ’ แค่นี้ หายากมากที่ใครจะเรียกชื่อเล่นเธอครบถ้วนทุกคำ แถมบริพัทธ์ยังเติมคำนำหน้าเธอว่า ‘น้อง’ อีกด้วย

“ถ้าพี่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นคงคิดคำแก้ตัวให้ออกมาฟังแล้วดูดีทั้งสองฝ่ายไม่ได้” บริพัทธ์เอ่ยชมเชยจากใจจริง
นราภัทรเชื่อว่าเขาพูดจริง บริพัทธ์ไม่ใช่คนคล่องแคล่วนัก ถ้าเขาเป็นเธอ เขาคงจะอึกอักและไม่รู้จะพูดอย่างไร คงปล่อยให้ห้องประชุมเงียบเป็นป่าช้าแน่นอน

ชายหนุ่มไม่พูดเปล่า ยกมือขึ้นแตะไหล่นราภัทรด้วย

หญิงสาวหันขวับมามองที่ไหล่ทันที ‘อดทนไว้ อดทนไว้’ มือบางที่ถือเอกสารอยู่บีบแน่นขึ้นโดยพลัน

นราภัทรไม่ชอบให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัว บริพัทธ์คงคิดว่าการที่เธอช่วยงานเขาตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นแปลว่า สนิทสนมกันแล้ว จึงสัมผัสตัวเธอตามใจชอบแบบนี้ คราวก่อนเขาก็แตะที่แขนของเธอ ตอนนั้นนราภัทรไม่อยากให้การทำงานร่วมกันมีปัญหาหากว่าเธองัดแม่ไม้มวยไทยมาจัดการเขา หรือต่อว่าเขาแรงๆ ก็เลยค่อยๆ ดึงมือเขาออกจากตัวเธอไปแล้วชวนคุยเรื่องอื่น ไม่ให้เขาเฉลียวใจว่าเธอขยะแขยงมือเขามาก

มือ

หญิงสาวพลันนึกถึงผู้ชายในฝันขึ้นมา พร้อมกับประหลาดใจว่าทำไมเธอไม่รังเกียจผู้ชายคนนั้นเลยตอนที่ปล่อยให้เขาจูงมือ แม้จะอ้างว่าขณะนั้นกำลังวิ่งไปหลบฝนอยู่ จึงไม่ได้สนใจความรู้สึกตัวเอง แต่หลังจากนั้นก็ไม่ใช่แล้ว ไม่มีสิ่งใดมาทำให้ความสนใจของเธอเบี่ยงเบนไป

หัวใจนราภัทรเต้นผิดไปหนึ่งจังหวะ หญิงสาวยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมพอมองหน้าผู้ชายคนนั้นเธอถึงร้องไห้ออกมา เธอไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อนด้วยซ้ำ ร้องไห้ทำไมนะ ทว่านราภัทรกลับรู้สึกคุ้นเสียงของเขา ทั้งที่ไม่เคยได้ยินเสียงที่นุ่มทุ้มขนาดนี้มาก่อน
ใบหน้าของหญิงสาวร้อนผ่าวขึ้นนิดๆ เมื่อคิดว่ามือที่อบอุ่นข้างนั้นแตะเข้าที่ข้างแก้มของเธอ แล้ว...

“พี่บี ประชุมเป็นยังไงบ้างคะ” เสียงแหลมๆ นี้มาได้ถูกจังหวะ ทำให้นราภัทรหลุดจากภวังค์

เอมอรหรือน้องเอ สาวอีกคนหนึ่งในฝ่ายซึ่งตอนเข้ามาทำงานใหม่ๆ ก่อนจะผ่านการทดลองงานนั้นนราภัทรได้ช่วยสอนงานให้จนกระทั่งได้บรรจุเป็นพนักงานประจำ แต่ก่อนเอมอรไม่มีปัญหาอะไรกับนราภัทรเลย เธอเป็นรุ่นน้องที่น่ารักพอสมควรถ้าตัดเรื่องบางเรื่องทิ้งไป แต่การมาของบริพัทธ์ทำให้ความสัมพันธ์ของเธอกับเอมอรเปลี่ยนไป เหมือนเอมอรจะเคารพเธอที่เป็นรุ่นพี่น้อยลง และเขม่นเธอมากขึ้น ส่วนนราภัทรเองก็ไม่ชอบเอมอรมากขึ้นเหมือนกัน เอมอรชอบทำเสียงแหลมๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากบริพัทธ์ ทั้งที่แต่ก่อนเวลาพูดก็พูดเสียงปกติได้ ไม่รู้เอาเสียเลยว่าเสียงแหลมๆ นั้นน่ารำคาญแค่ไหน เวลางานกำลังยุ่งๆ แล้วมาเจอเสียงแหลมๆ แบบนี้จะทำให้นราภัทรหงุดหงิดขึ้นเป็นเท่าตัว

สายตาของเอมอรหยุดที่มือของบริพัทธ์ซึ่งแตะอยู่ที่ไหล่นราภัทร พอเห็นว่าดวงตาเรียวแบบสาวหมวยของเอมอรพุ่งมาที่จุดไหน นราภัทรก็เซ็งหนักขึ้น แล้วบริพัทธ์ก็ไม่เอามือออกจากไหล่ของเธอเสียที ทำราวจะอวดความสนิทสนมอย่างนั้นแหละ

หญิงสาวหันไปแจกยิ้มให้ผู้ชายข้างตัวพร้อมกับดึงมือเขาออกเสียเอง โดยไม่ลืมพูดว่า “แหม มีลูกน้องที่น่ารักมารอถึงที่เชียวนะคะ พี่บี”

บริพัทธ์ไม่ต่อประโยคและไม่ตอบคำถามลูกน้องสาว แต่กลับถามนราภัทรว่า “เที่ยงนี้น้องน้ำรินจะกินอะไรเหรอ พี่มีธุระต้องออกไปข้างนอกพอดี น้องน้ำรินไปข้างนอกไหม เดี๋ยวพี่เลี้ยงข้าวเอง”

“น่าเสียดายจริงๆ น้ำมีงานต้องทำให้เสร็จอีกเพียบเลย เดี๋ยวกินข้าวที่โรงอาหารนี่แหละค่ะ ต้องรีบกินแล้วรีบกลับขึ้นมาทำต่อ เนอะพี่จิ๊บ” หญิงสาวตอบอย่างรักษาน้ำใจอีกฝ่ายแล้วหันไปพยักพเยิดกับหัวหน้าทีมของตน ทั้งที่ตัวเธอนั้นไม่ได้เสียดายอย่างที่ปากว่าเลยสักนิด

“อ่ะ...เออ” จิรายุรับปากอย่างงงๆ ว่าเธอมา ‘เนอะ’ อะไรกับเขา

“พี่บีก็ชวนน้องเอไปด้วยสิคะ จะได้ไม่ต้องกินข้าวคนเดียว” นราภัทรเปิดทางให้เอมอรสุดๆ

“เดี๋ยวเอกลับมาเข้างานตอนบ่ายไม่ทันน่ะสิ พี่ไม่ขับรถกลับมาส่งด้วย เอต้องกลับเอง ไม่เหมือนน้องน้ำรินที่มีรถขับกลับมาเองได้น่ะ” บริพัทธ์รีบบอกปัดไปด้วยคำแก้ตัวที่นราภัทรคิดว่าเห่ยที่สุดในโลก ที่ฝ่ายไม่ได้ซีเรียสเรื่องเวลาเข้างานมากนัก ส่วนใหญ่นับเวลาเป็นชั่วโมง สมมุติว่าเธอเข้างานตอนบ่ายสายไปครึ่งชั่วโมง ตอนเย็นเธอก็แค่เลิกงานช้าไปครึ่งชั่วโมงเท่านั้นก็พอแล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะพี่บี เอไปได้” เอมอรรีบเอ่ยแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นโอกาสดี กระตือรือร้นมากจนนราภัทรนึกขำในใจ แต่ผู้ชายในฝ่ายนี้นอกจากบริพัทธ์แล้วต่างซื่อบื้อสิ้นดี

“ฮั่นแน่ เอหวังกินข้าวฟรีละสิ” อลงกรณ์แซว

เอมอรเป็นที่ขึ้นชื่อมากในหมู่เพื่อนร่วมงานว่าเธอแสนจะประหยัด หรืออีกนัยหนึ่งคืองกมากนั่นเอง เธอมาทำงานด้วยรถประจำทาง ยิ่งรัฐบาลมีนโยบายประชานิยมอย่างรถประจำทางฟรีเพื่อประชาชน เอมอรก็ยอมตื่นเช้าเพื่อนั่งรถประจำทางฟรีหลายทอดมายังที่ทำงาน และขากลับก็เช่นเดียวกัน แต่ขากลับจะดีหน่อยตรงที่ติดรถเพื่อนร่วมงานสักคนในฝ่ายไปต่อรถประจำทางอีกทีหนึ่ง เธอไม่เคยเอ่ยถึงการขึ้นรถแท็กซี่หรือรถตู้สักครั้ง เวลาไปกินข้าวร่วมกันในร้านอาหารทีไร ถ้าเงินที่ทอนมาหารกันไม่ลงตัว แม้แค่หนึ่งบาทก็ตาม หญิงสาวก็จะขอเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองทุกครั้งไป การกระทำแบบนี้ออกจะดูหน้าหนาไปสักนิด แต่เพราะเอมอรเป็นผู้หญิง และอายุน้อยที่สุดจึงไม่เคยมีใครว่าเธอ ยังไม่นับรวมอีกหลายพฤติกรรมที่ทำให้นราภัทรทึ่งและอึ้งมาแล้ว
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากเอมอรจะยอมกลับมาที่ทำงานเองด้วยรถประจำทางฟรีเพื่อแลกกับอาหารรสชาติดีมีราคาในห้าง ซึ่งไม่ต้องเสียเงินจ่ายเอง

“พี่กรก็...” เอมอรทำเป็นเขินที่โดนรู้ทัน

บริพัทธ์มีสีหน้าเหมือนถูกจับกลืนยาขม แต่ชั่วแวบหนึ่งก็เปลี่ยนเป็นตีหน้าเรียบเฉย

“โอเค งั้นก็ไปกันเลยเถอะ เอจะได้ไม่ต้องเข้างานช้านัก แล้วน้องน้ำรินอยากได้อะไรไหม เดี๋ยวพี่ก็กลับเข้ามาช่วงบ่ายสามน่ะ เอาเค้กรสโปรดดีไหม”

“ไม่ละค่ะพี่บี น้ำมีประชุมตอนบ่ายสามพอดีน่ะค่ะ” หญิงสาวบอกปัดทันควันทั้งที่ชอบกินเค้ก ช่วงที่บริพัทธ์เข้ามาทำงานใหม่ๆ เขาถึงกับซื้อเค้กมาให้เธอทุกวันเป็นเวลาถึงหนึ่งเดือน โดยอ้างว่าซื้อมาตอบแทนที่เธอช่วยงานเขา จนนราภัทรต้องบอกว่าไม่อยากกินแล้ว บริพัทธ์จึงเลิกซื้อมาให้

“เอ้อ งั้นเหรอ” ชายหนุ่มเก้อไปชั่วขณะ

“ฝากกินให้อร่อยเผื่อน้ำด้วยนะคะ น้ำไปก่อนละ งานที่โต๊ะเหลือเยอะจริงๆ เลย” นราภัทรทิ้งท้ายแล้วรีบสาวเท้าไปจากตรงนี้ เพราะเบื่อที่จะบทสนทนากับคนช่างตื๊อต่อไป

เธอไม่ชอบบริพัทธ์ ถึงเขาจะบอกใครต่อใครว่าโสด แต่นราภัทรไม่เชื่อ ผู้ชายอายุ 35 ปี ฐานะดี มีงานทำ มีหรือจะไม่มีแฟน เธอดูจากการรับโทรศัพท์ของเขาแล้วเชื่อว่าเขามีแฟนแล้ว จึงบอกเอมอรและคนอื่นๆ ในฝ่ายไปว่า บริพัทธ์ต้องมีแฟนแล้วแน่ เอมอรทำหน้าตกใจคิดไม่ถึงแล้วเอาไปถามบริพัทธ์ เขาก็ตอบมาว่ายังโสด ตอนที่เอมอรกลับมาบอกคำตอบของบริพัทธ์ทำให้หญิงสาวทราบว่า รุ่นน้องคนนี้มองเธอด้วยสายตากล่าวหา คิดว่าเธอกันท่าไม่ให้ผู้หญิงอื่นมาจีบบริพัทธ์

นราภัทรอยากจะบอกเอมอรมากว่าเธอไม่ชอบบริพัทธ์ และต่อให้โลกแตกเหลือบริพัทธ์เป็นมนุษย์เพศผู้คนเดียวในโลก เธอก็ไม่มีทางไปสมสู่ด้วย เธอยินดีอยู่เป็นโสดมากกว่ามีแฟนที่ซุกผู้หญิงไว้แล้วไม่พูดออกมาแบบบริพัทธ์

นราภัทรก็ไม่เข้าใจว่าเอมอรชอบบริพัทธ์ตรงไหน หน้าตาเขาก็งั้นๆ รูปร่างติดจะลงพุงนิดๆ ด้วยซ้ำ แต่ถ้าถามความพร้อมในการสร้างครอบครัวก็คงต้องให้คะแนนเต็ม เพราะฐานะดี มีรถขับ แต่ถ้าเป็นเรื่องนิสัย นราภัทรให้คะแนนติดลบ เพราะเธอมั่นใจว่าเขาต้องมีแฟนแล้วมาโกหกเพื่อนร่วมงาน แค่นี้ก็ไม่แมนแล้ว เรื่องที่ชอบมาแตะเนื้อต้องตัวเธออีก แต๊ะอั๋งกันชัดๆ แต่เพราะบริพัทธ์ไม่เคยล่วงเกินผู้หญิงคนอื่นในฝ่ายซึ่งก็คือเอมอรเลย ภาพลักษณ์ของเขาในสายตาคนอื่นจึงดูเป็นหัวหน้าทีมที่ใจดีแสนซื่อ ไม่เหมือนเธอที่หากไม่ได้ดั่งใจจะเหวี่ยงขึ้นมาทันที ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน แม้แต่ภวิตาก็เคยถูกนราภัทรภาคนางมารหักหน้ามาแล้ว

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองอาคารตรงหน้าแล้วเกิดคำถามว่า เธอต้องทนผู้ชายช่างตื๊ออย่างบริพัทธ์และผู้หญิงน่ารำคาญอย่างเอมอรไปนานแค่ไหนกันนะ

.........................................
ชวนเมาท์... ไม่รู้ว่า มีใครเคยเจอ เจ้านายแบบนี้ / เพื่อนร่วมงานแบบนี้ / รุ่นน้องแบบนี้ มั่งไหม...อิอิ มาจากสถานการร์จริงล้วนๆ
..........................................

ตอบเมนท์จ้า

คุณ ใบบัวน่ารัก

- ป่ะ ไปไหว้กัน วันพฤหัสนี้ (วันนี้นี่นา!)

..................

คุณ Siang

- เค้าก็อยากฝัน แต่เพื่อนเขาฝันได้วาบหวามมากอ่ะ เผอิญแต่งนิยายใสๆ เดี๋ยวคนอ่านใจแตก อิๆๆๆ



ท้องฟ้า
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ธ.ค. 2557, 04:25:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ธ.ค. 2557, 04:25:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1061





<< บทที่ 1    บทที่ 2/2 >>
Siang 4 ธ.ค. 2557, 08:25:36 น.
เจ้านายแบบนี้ก็มีจริงๆนั่นแหละ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account