ปริศนาในรอยรัก
คำโปรยเรื่อง


“หยุด หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!” เสียงเรียกดังขึ้นพร้อมกับแรงกระชากจากด้านหลัง

“โอ๊ย!!!” ปารณีย์ร้องเสียงหลง เมื่อโดนกระชาก ข้อมือเล็กเจ็บเล็กน้อยจากแรงบีบของคนเสียมารยาท เหมือนเจ้าตัวจะรู้ก็ปล่อยมือของปารณีย์ออก

“เมื่อไหร่คุณจะเลิกทำตัวเสียมารยาทกับฉันสักที วันนี้คุณเสียมารยาทกับฉันไปสองครั้งแล้วนะคะคุณภูธเนศ” ปารณีย์มองผู้ชายที่เธอคิดว่าไร้มารยาทที่สุด ปารณีย์เดาได้ว่าผู้ชายคนนี้ดูจะไม่ชอบขี้หน้าเธอมากเสียด้วย ดวงตาคมที่มองมามันมีความไม่พอใจส่งออกมาอย่างเห็นได้ชัด ปารณีย์ไม่รู้หรอกว่าผู้ชายคนนี้มีปัญหาอะไรกับเธอมาก่อน แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ จะว่าแค่เรื่องห้อง ก็คงไม่ใช่แล้วล่ะ

“ก็ผมเรียกคุณ แล้วคุณไม่หยุด”

“คุณเรียกปุ๊บ ฉันจำเป็นต้องหันปั๊บเลยหรือไง คุณต้องรอสิคะ ไม่อยากเชื่อคุณจะเป็นเจ้านายใครเขาได้ ไม่อยากจะเชื่อคนอย่างคุณจะเป็นคนดูแลไร่ใหญ่โตอย่างนี้” คำพูดกึ่งสบประหม่าทำให้ภูธเนศเริ่มโกรธ ด้วยความว่าเติบโตมาในไร่แห่งนี้ ทุกคนตามใจ เทิดทูนบูชาดุจเทพเจ้า เขาไม่เคยเจอคนกล้าต่อปากต่อคำหรือกล้าใช้คำสั่งสอนหรือว่าด่าทอ แบบเธอคนนี้ และมันก็ทำให้อารมณ์โกรธที่ค้างอยู่เริ่มปะทุอีกครั้ง แต่เจ้าตัวก็พยายามข่มอารมณ์โกรธให้เบาลง

“เอาล่ะผมไม่อยากต่อปากต่อคำกับคุณ คุณแม่อนุญาตให้คุณอยู่ต่อ เชิญขนกระเป๋าของคุณกลับขึ้นไป คุณปา...ระ...นี” ภูธเนศพยายามข่มอารมณ์อย่างสุดความสามารถ

“แต่ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ฉันจะเข้าเมืองตอนนี้ และเดี๋ยวนี้” ใบหน้าสวยหวานออกอาการรั้น ปารณีย์ถือกระเป๋าของตัวเองอีกครั้ง จะหันหลังถือกระเป๋าเดินหนี แต่

Tags: ปริศนา ปมฆาตกรรม ความรัก ความลับ

ตอน: ตอนที่ 3 ไร่ภูปลายฟ้า



3
ไร่ภูปลายฟ้า



รถจอดลงที่หน้าประตูทางเข้าสู่ไร่ภูปลายฟ้า ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยง เธอนั่งรอคนงานในไร่ที่ภูธเนศบอกว่าจะมารับตั้งแต่เช้า จนเธอเกือบจะคิดแล้วว่าภูธเนศหลอกให้เธอนั่งรอหรือเปล่า แต่เสียงของคนงานในไร่ก็ดังขึ้น และบอกว่าภุมรีสั่งให้มารับเธอ ป้ายที่โค่นล้มหน้าทางแยกถูกทำใหม่ โดยเปลี่ยนเป็นป้ายหินแทน สองข้างทางไร่ภูปลายฟ้าคือความตระการตาของไร่ส้มที่ปลูกยาวขึ้นไปเกือบสุดสาย จนถึงหน้าประตูทางเข้าไร่ หลังประตูและรั้วไม้สีขาวคือพื้นที่หลักของไร่ภูปลายฟ้า คือศูนย์รวมแหล่งเกษตรกรรมแห่งใหญ่ก็ว่าได้ พ้นเขตไร่ขึ้นสู่เขา สถานที่ปลูกใบชาที่เป็นแหล่งส่งออกอันดับต้น ๆ ของประเทศ เธอก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะรวยขนาดไหน แต่ที่แน่ ๆ คงมีกินมีใช้ตลอดชีวิตแน่ ๆ เธออยากชมเชยคนที่ดูแลมันจริง ๆ ว่าเขาสามารถบริหารงานทั้งไร่นี่ได้อย่างไร
ด้านหน้าประตูมีป้ายไม้ปักไว้ บนแผ่นไม้เขียนว่า

...ยินดีต้อนรับสู่ไร่ภูปลายฟ้า...

“ไม่ได้เข้ามามาหลายวันเลยนะไอ้ทัศ” เสียงยามเฝ้าประตูดังขึ้นทักผู้เป็นสารถีให้กับเธอวันนี้ ทัศไนย์ไม่ใช่เพียงแค่คนงานในไร่ทั่วไป เขาเป็นผู้ดูแลบัญชีของไร่ แม้ตอนแรกเธอจะแปลกใจกับการแต่งตัวมอซอของเขาที่มันดูเหมือนพวกคนงานธรรมดาเสียมากกว่า ทัศไนย์ยื่นบัตรให้ยาม การเข้าออกที่นี่ดูมีมาตรการความปลอดภัยสูงพอสมควร

“แล้วพาใครมาด้วยล่ะ...คุณ...” ยามทำหน้าตกใจเมื่อเห็นหน้าเธอชัดขึ้น

“นี่คุณปารณีย์เป็นแขกคุณภุมรี เธอจะมาพักแล้วก็ดูแลคุณน้องดา คุณปารณีย์ครับนี่ลุงไก่ซีเคียวริตี้ประจำไร่ภูปลายฟ้าครับ” ปารณีย์ยิ้มกับตำแหน่งประจำของลุงไก่ ยามขี้เมาผู้ทำงานให้กับไร่มานาน

“อ่ะ...ครับ สวัสดีครับคุณปารณีย์” ลุงไก่ทำท่ายกมือไหว้

“ลุงไม่ต้องไหว้หนูก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูจะอายุสั้นเอา เรียกปาก็ได้ค่ะลุงไก่”

“ครับ เชิญเข้าไปข้างในเลยครับ” ตาไก่เดินไปกดปุ่มสีแดงประตูไม้ก็เปิดเลื่อนออก รถจึงเคลื่อนเข้าไปในด้านใน

“ที่นี่คนอยู่เยอะไหม” ปารณีย์เอ่ยถาม

“เยอะครับ คนงานที่นี่เยอะมาก เรือนคนงานแบ่งเป็นส่วนภายในภายนอกครับ ช่วงนี้คนงานทำงานกันอยู่ แต่ช่วงเย็น ๆ จะเห็นคนงานเดินกันให้ขวักเลยครับ” ปารณีย์พยักหน้ารับ และเริ่มสำรวจภายในไร่อีกครั้ง หลังรั้วไร่ภูปลายฟ้ายังคงมีต้นส้มปลูกยาวตลอดทาง มองไกลออกไปจะเห็นเนินเขาสีเขียว เป็นแหล่งปลูกชาและกาแฟของไร่ภูปลายฟ้า ปารณีย์มองความยิ่งใหญ่ของไร่ภูปลายฟ้าอย่างตื่นตา พื้นที่ดินที่ไกลออกไปแบ่งออกเป็นสัดส่วน เพื่อทำการเพาะปลูกพืชตระกูลต่างๆ ซึ่งไร่ภูปลายฟ้าเป็นไร่ชาแหล่งใหญ่ก็จริง แต่ภูปลายฟ้านั้นไมได้ปลูกแค่ชา แต่ยังมีกาแฟ ไร่สตอเบอร์รี่ที่พึ่งเริ่มทดลองปลูก ไร่ส้มที่อยู่ในสวนด้านนอก และยังมีสวนดอกไม้เมืองหนาว รวมถึงมีฟาร์มโคนมที่พึ่งจะเริ่มทดลองทำ รวมถึงฟาร์มแกะ และฟาร์มม้า นี่ที่แทบจะเป็นแหล่งรวมการเกษตรครบวงจร หลังจากขับรถเข้ามาประมาณสิบห้านาที รถก็จอดลง

“คุณปา คุณปา คุณปาครับ” ปารณีย์หันกลับไปมองทัศไนย์

“วะ..ว่าไงคะ”

“ผมจะบอกว่าถึงแล้วครับ” ปารณีย์หันไปมองข้างหน้าคือบ้านไม้สักหลังใหญ่ที่มีพื้นที่อาณาเขตกว้างขวาง รอบ ๆบ้านมีต้นไม้นานาพรรณทำให้บ้านหลังนี้ดูร่มรื่นยิ่งขึ้น

“ที่นี่...”

“บ้านไร่ภูปลายฟ้าครับ คนงานที่นี่จะเรียกบ้านใหญ่ครับ” ปารณีย์พยักหน้ารับและเปิดประตูลงจากรถ ทันทีที่เธอก้าวลงเหยียบพื้นดินของดิเรกรัตน์ ลมแรงบางอย่างก็พัดเข้าปะทะตัวของปารณีย์ ปารณีย์จึงเซถอยหลังไป ความรู้ถึงเย็นหลังหวิว ๆ ที่แทรกเข้ามาทำให้ปารณีย์รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ความรู้สึกที่ปารณีย์เองก็บรรยายไม่ถูกว่ามันคืออะไร

“คุณปาครับ คุณปา คุณปา” ปารณีย์สะดุ้งและหันไปมองทัศไนย์

“คุณปาไม่ได้เป็นอะไรนะครับ ผมเห็นคุณปาดูเหม่อ ๆ” ปารณีย์ส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“ถ้าอย่างนั้นเราเข้าไปข้างในเถอะครับ” ทัศไนย์เอ่ยและเดินไปยกกระเป๋าลงจากรถพร้อมเดินนำปารณีย์เข้าไปในบ้าน ซึ่งตอนนี้เหมือนกำลังวุ่นกับอะไรบางอย่างจนไม่มีใครมาสนใจเธอ ทัศไนย์วางกระเป๋าลง

“ป้าอ่อน” ทัศไนย์เรียกชื่อหนึ่งขึ้น และป้าคนหนึ่งก็เดินออกมาจากหลังบ้าน พร้อมกับเด็กสาวอายุน่าจะไม่เกินสิบแปดปี ใบหน้าของป้าหน้าตาใจดีที่มีรอยเหี่ยวย่นที่บ่งบอกถึงอายุ แต่ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเดินมาหยุดอยู่หน้าหลานชาย

“ว่าไง หายไปเสียหลายวันเชียวนะเอ็ง คิดว่าติดสาวในเมืองจนไม่กลับมาแล้ว”

“โห่ ป้าก็ ถึงสาวในเมืองจะสวย แต่ก็สู้ป้าอ่อนของผมไม่ได้หรอก ดูสิขนาดอายุหกสิบห้าแล้วยังสวยแจ๋วอยู่เลย”

“อย่ามาทำปากหวานกับข้าเลยไอ้ทัศ”

“พูดจริงก็ไม่เชื่อ ป้านี่ชวยคุยเพลิน ผมเลยลืมแนะนำเลย นี่คุณ....”

“คุณ...ปาน...” ครั้งนี้เสียงเริ่มชัดขึ้น เสียงที่แผ่วปลายดังออกมาพร้อมกับสีหน้าที่ตื่นตกใจ และเป็นอาการที่ตกใจจนเหมือนกำลังช๊อก สังเกตจากใบหน้าของป้าแกที่ดูตกใจแบบสุด ๆ ที่เห็นหน้าเธอ

“เอ่อ....ป้าอ่อนผมจะแนะนำก่อนนะ นี่คุณปารณีย์ เธอเป็นแขกของคุณแพรที่บอกว่าจะมาพักที่ไร่ไงป้า” ใบหน้าของป้าอ่อนคลายลงเล็กน้อย ก่อนจะส่งยิ้มอย่างคนสูงอายุใจดีมาให้

“คุณปาครับ นี่ป้าอ่อน แกเป็นหัวหน้าแม่ครัวของไร่ เป็นแม่ครัวที่ทำอาหารอร่อยที่สุดในไร่ เชฟกระเหล็กที่ว่าแน่เจอป้าอ่อนรับรองต้องยกธงขาวขอยอมแพ้แน่ครับ” ปารณีย์ยิ้มและหันไปยกมือไหว้ผู้สูงอายุ

“สวัสดีค่ะป้าอ่อน ปาคงจะโชคดีได้กินฝีมือของป้าอ่อนนะคะ” ปารณีย์ยิ้มน้อยๆ ในขณะที่คนสูงอายุเริ่มเอ็นดูสาวสวยตรงหน้าที่ดูจริงใจเป็นกันเองไม่ถือตัว

“อย่าไปเชื่อไอ้ทัดมากเลยค่ะ เดี๋ยวป้าให้คนเอากระเป๋าไปเก็บให้ดีกว่าค่ะ นังสำลี เอากระเป๋าคุณเขาขึ้นไปเก็บทีสิ เดี๋ยวให้คนไปเตรียมของว่างให้คุณเขาด้วย” ป้าอ่อนหันไปมองเด็กผิวเข้มอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี ท่าทางดูคล่องแคล่ว ที่เดินเข้ามากุลีกุจอช่วยยกกระเป๋าให้

“เอาไปเก็บไหนล่ะป้า”

“คุณผู้หญิงให้คุณเขาพักห้องลีลาวดีไปก่อน แกก็เอาไปเก็บที่ห้องลีลาวดีนั่นแหละ” เด็กสำลีทำหน้าไม่แน่ใจ

“จะดีหรอป้า เกิดคุณภู...”

“คุณแพรเธอบอกคุณผู้หญิงมาแบบนี้ เจ้านายสั่งเอ็งก็ทำตามไม่ต้องถามหรอก ไป เอาไปเก็บได้แล้ว” และเด็กสำลีก็ยกกระเป๋าเธอเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างเถียงไม่ได้

“ตอนนี้ยังไม่มีใครกลับมาเลย โต๊ะอาหารจะจัดเสร็จตอนหกโมงตรง เชิญคุณปารณีย์ที่ห้องอาหารตอนหกโมงด้วยนะคะ ตอนนี้ระหว่างรอ เดี๋ยวป้าจะให้นายทัดพาคุณปาไปดูรอบ ๆ ก่อน เห็นว่าจะมาพักเป็นเดือน จะได้รู้ส่วนต่าง ๆ ของบ้านค่ะ คุณปาจะต้องชอบแน่นอนคะ”

“ขอบคุณค่ะ ปาเองจะได้สำรวจ เดี๋ยวเกิดเดินหลงขึ้นมาคงไม่ดีแน่”

“มาถึงบ้านใหญ่ไปจุดนี้ก่อนเลยครับ เอ่อ คุณปาเดินไปไหวไหมครับ” เหมือนทัศไนย์พึ่งจะนึกขึ้นได้ปารณีย์บาดเจ็บที่ข้อเท้า แม้จะไม่ได้ปวดมากเหมือนเมื่อวานแต่ก็กลัวจะกระเทือนจนเจ็บกว่าเดิม

“ฉันเดินได้ค่ะ” ทัศไนย์เดินนำไปโดยเดินช้า ๆ เพื่อไม่ให้ปารณีย์ต้องรีบเดิน ปารณีย์เดินตามทัศไนย์ไปหลังบ้าน ซึ่งมีเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างบ้านสองหลังคือบ้านใหญ่กับบ้านรับรองแขกที่เป็นเรือนไม้สองชั้นเล็ก ๆ ไม่ใหญ่โตเหมือนบ้านใหญ่ แต่ก็ไม่เล็กจนคับแคบซึ่งบ้านสองหลังมีสะพานเชื่อมต่อหากัน โดนชานระเบียงบ้านชั้นสองของบ้านเป็นสะพานยาวทอดไปลงที่หน้าเรือนรับรองหลังเล็ก ทัศไนย์เดินพาปารณีย์ขึ้นบันไดเชื่อมจากหน้าเรือนรับรองขึ้นไปยืนอยู่กลางสะพาน

“สวยจังค่ะ” ปารณีย์เอ่ยขึ้น บ้านใหญ่หลังนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ทำให้การมองจากมุมสูงตรงนี้สามารถมองเห็นรอบๆไร่ในส่วนล่างได้อย่างชัดเจน ไกลออกไปขึ้นสู่เขาเป็นไร่ชาที่ปลูกแบบขั้นบันได มีปลูกแปลงผักนานาพันธ์ ดูไปดูมาบ้านหลังนี้เหมือนตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขา รอบ ๆ เหมือนมีขุนเขาโอบล้อมทำให้รู้สึกสดชื่นต่างจากในเมืองลิบลับ

“ที่นี่เป็นจุดที่คุณภูชอบมานั่งครับ เพราะสามารถมองเห็นความเป็นไปรอบ ๆ ไร่ได้ อีกจุดหนึ่งก็ต้องข้างบนโน่น จุดนั่นเราจะมองเห็นอาณาจักรของภูปลายฟ้าได้ดีที่สุดครับ เพราะมันสูงทำให้มองทุกอย่างได้”

“ที่ดินที่เห็นทั้งหมดนี่เป็นของตระกูลดิเรกรัตน์ทั้งหมดเลยหรอคะ”

“ครับ คุณปาน่าจะเห็นสวนส้มระหว่างทางตั้งแต่ผ่านเข้าหมู่บ้านก่อนถึงหน้าไร่เรานะครับ นั่นก็เป็นผลผลิตของไร่ภูปลายฟ้า ที่ดินเกือบทั้งหมดตั้งแต่เราเลี้ยวเข้ามา ไร่สวนส่วนใหญ่ก็เป็นที่ของตระกูลดิเรกรัตน์ครับ”

“โห...รวยน่าดูเลยนะคะเนี่ย”

“แต่ก่อนภูปลายฟ้าก็มีอาณาเขตไม่มากหรอกครับ ก็มีแค่ส่วนของไร่บริเวณแถบล่างที่เห็นนี่แหละครับ แต่เพราะชาวบ้านเดือดร้อนขาดทุนจากช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้คุณภูเลยรับซื้อที่ดินที่ชาวบ้านเอามาขาย ดีกว่าให้ไปขายกับนายทุน แต่ถ้ามีเงินมาซื้อคืนคุณภูเธอก็คืนครับ”

“ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่ทางเลี้ยวเข้าเข้ามาทั้งหมดนี่ก็....”

“ครับ เป็นของไร่ภูปลายฟ้า ลามไปจนถึงไร่ชาบนเขาโน่นเลยครับ ที่นั่นมีพวกชาวเขาอยู่ด้วย เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ดินก็เป็นของพวกเขาแหละครับ แต่คนเรียนมาน้อย พอโดนหลอกนิดหน่อยก็เลยคล้อยตาม แต่โชคยังดีที่คุณภูแกเข้าไปเจรจากับนักธุรกิจพวกนั้นและขอซื้อคืนมาได้ คุณภูให้พวกชาวเขาพวกนั้นอยู่ต่อไป และให้พวกชาวเขาทำสวนทำไร่ เพื่อจะได้หาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง และไร่ชาก็เริ่มก่อเป็นรูปเป็นร่างอย่างที่เห็น พวกชาวเขาไม่ได้เรียกร้องขอที่ดินคืน แต่ขอให้อยู่มีที่ทำกินก็พอ เพราะถ้าเกิดเอาคืนไปพวกลูกหลานก็อาจจะเอาไปขายสู้ให้คุณภูเก็บไว้คงมีประโยชน์กว่าจะเอาคืน แต่คุณภูแกเองก็ไม่อยากได้ ก็เลยคืนบางส่วน ส่วนที่เป็นบ้านเรือนอาศัยให้ เพราะมันคงดูเหมือนคุณภูเขาโกง ถ้าเอาไปหมด”

“ถ้าอย่างนั้นที่ดินบนเขาเกือบทั้งลูกนั่นก็เป็นของดิเรกรัตน์สิค่ะ”

“ครับ เดี๋ยวว่างผมจะพาคุณปาชมทั่วไร่อีกครั้ง แต่ตอนนี้แค่มองดูไปก่อนครับ ถ้าเกิดโชคดีคุณอาจได้ขึ้นไปบ้านของคุณภูข้างบนเขา คุณปาจะต้องตะลึงแน่ครับ กับความยิ่งใหญ่ตระการตา”

“ขนาดไม่เห็นฉันยังตะลึงเลยคะ แล้วคุณภูของนายทัดนี่เขาเป็นคนยังไงหรอคะ ฉันเห็นใคร ๆ ก็พูดถึง แต่ดูจากที่นายทัดเล่าคงจะเป็นคนใจดีมาก ๆ แน่ ๆ เลยใช่ไหมล่ะ” ปารณีย์เอ่ย เพราะตั้งแต่รู้จักภุมรีมาเธอไม่เคยพบหน้าภูธเนศน้องชายของเขาเลย อาจเพราะภูธเนศไม่ใช่หนุ่มสังคมแบบพี่สาวหรือพี่ชาย วัน ๆ อยู่แต่ที่ไร่ ทำงานในไร เธอจึงไม่เคยพบเขาสักครั้ง บางทีเกือบจะได้พบแต่ก็คลาดกัน แต่เธอเห็นใคร ๆ ก็พูดถึงเขา เธอเองก็อยากจะเจอเขาสักครั้ง อยากเห็นคนที่ดูแลไร่ใหญ่ขนาดนี้ เขาคงจะเก่ง และดูน่าเกรงขามมาก เธอเองก็เป็นคนที่ชื่นชมคมเก่งอยู่แล้ว แต่เธอสงสัยทำไมชื่อของเขาไปซ้ำกับผู้ชายปากเสียคนนั้นได้นะ

“ก็เป็นคนใจดีนะครับ ดูเหมือนจะดุ จะโหดไปหน่อย พูดตรงไปนิด แต่ถ้ารู้จักจริง ๆ ก็จะรู้ครับว่าคุณภูแกเป็นใจดี มีน้ำใจ รักลูกน้อง ยุติธรรมสุด ๆ เอาไว้คุณเห็นก็รู้เองครับ” ปารณีย์พยักหน้ารับ พลางคิดถึงหน้าตาของภูธเนศคนเมื่อคืนขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ปารณีย์สะบัดหน้าไร่ความคิดและคิดว่ามันก็แค่บังเอิญมีคนชื่อเหมือนกัน ปารณีย์กวาดสายตามองไปรอบ ๆ พลันสายตาก็ไปสะดุดกับสวมดอกไม้สีขาวสะอาดตาที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก

“นายทัด สีขาว ๆ นั่นสวนดอกไม้ใช่ไหม”

“ครับ ที่นั่นเป็นเขตไร่ล้อมดาวครับ ไร่ของคุณปานวาด แต่ตอนนี้ที่นั่นเป็นของดิเรกรัตน์แล้วครับ ที่นั่นเป็นไฮไลท์ของไร่ล้อมดาวเลยนะครับ มีคนไปเจอมันเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนถางป่าแถวนั้น กุหลาบป่าสีขาวที่ผลิดอกดอกไม้บานสะพรุ่งไปทั่วทุ่ง ที่นั่นเหมือนสวนสวรรค์เลยครับ น่าเสียดายถ้าเปิดชมคงมีคนเห่มาดูแน่ ๆ ครับ แต่คุณภูเธอไม่อนุญาต น่าเสียดายจริง ๆ ถ้าคนได้เห็นที่สวย ๆ แบบนั้นก็คงดีครับ ขนาดคนงานในไร่ยังไม่มีใครกล้าไปที่นั่นเลยครับ”

“ทำไมล่ะคะ”

“อยู่ไปเดี๋ยวคุณก็คงรู้ครับ คุณมาได้จังหวะมากเลยครับ เพราะช่วงนี้จะมีงานสำคัญเยอะแยะ ทั้งงานวัดเกิดคุณผู้หญิงต้นเดือนหน้า เทศกาลเก็บเกี่ยวของไร่เรากลางเดือนหน้า”

“ถ้าฉันอยากลองไปที่นั่นต้องทำยังไงครับ” ปารณีย์ไม่ได้สนใจสิ่งที่ทัศไนยืกำลังพูด เธอยังเหม่อมองไปที่ทุ่งกุหลาบขาวหลังไร่ล้อมดาว ไม่รู้อะไรดลจิตดลใจ เธอไม่ใช่คนที่ชอบดอกกุหลาบหรอกนะ แต่อะไรบางอย่างบอกให้เธอไปที่นั่น

“เอ่อ...เอาไว้คุณรอคุณเพชรหรือไม่ก็คุณแพร พวกคุณ ๆ น่าจะพาคุณไปได้ แต่ทางที่ดีคุณไม่ต้องไปที่นั่นจะดีกว่านะครับ มันดีต่อตัวคุณมากกว่า"

"ทำไมคะ" ทัศไนย์ไม่รู็จะตอบอย่างไร ปารณีย์เป็นผู้หญิงที่มีคำพว่าทำไมเยอะมาก

"เอ่อ...คุณภูเธอไม่ชอบให้ใครไปยุ่งวุ่นวายที่นั่นสักเท่าไหร่ครับ"

"แล้ว..."

"ผมว่าลงไปดูรอบ ๆ บ้านดีกว่าครับ อีกตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาอาหารค่ำ” ปารณีย์มองทัศไนย์ที่เดินไปเหมือนไม่ค่อยอยากพูดสักเท่าไหร่เธอจึงได้แต่เดินตามและไม่ถามอะไรมาก เพราดูเหมือนขาจะไม่ค่อยอยากจะตอบคำถามของเธอ บางทีก็เลี่ยงโน่นเลี่ยงนี่

ทัศไนย์เดินพาปารณีย์สำรวจรอบ ๆ บ้าน ต้นไม้รอบ ๆ บ้านทำให้บ้านหลังนี้ดูร่มรื่นน่าอยู่ การที่มาอยู่ในวิถีชนบทกับบรรยากาศที่สดชื่นแบบนี้ทำให้ปารณีย์รู้สึกสดชื่น และรู้สึกว่าจิตใจสงบมากขึ้น ทัศไนย์เดินพาปารณีย์มาหลังเรือนรับรอง ข้างหลังขุดเป็นสระบัวเล็ก ๆ และตั้งศาลาไว้สำหรับนั่งเห็นใกล้กันมีแปลงดอกไม้เล็ก ๆ นานาพันธุ์

“แปลงดอกไม้พวกนี้เป็นของคุณผู้หญิง ถ้าไม่จำเป็นอย่างไปแตะจะดีกว่าครับ คุณผู้หญิงเธอปลูกเอง เธอหวงมากครับ แต่ถ้าว่าง ๆ คุณมานั่งเล่นแถวนี้ก็ได้ครับ” คุณผู้หญิงที่ทัศไนย์พูดถึงก็คือคุณนพนภา ภรรยาของพ่อเลี้ยงภูมินทร์ ท่านเป็นคนใจดีมาก แต่ไม่ค่อยชอบให้ใครเรียกแม่เลี้ยง ซึ่งเหตุผลส่วนตัวที่ปารณีย์เคยฟังภุมรีเม้าส์ให้ฟัง แม่เลี้ยงส่วนใหญ่ที่เห็นในละครเป็นพวกแม่ม่ายชอบกินเด็ก เธอไม่อยากมีภาพลักษณ์อย่างนั้น เหตุผลนี้เรียกรอยยิ้มจากปารณีย์ออกมาได้ดีเลยทีเดียว

“ไอ้ทัด” เสียงของหญิงสูงอายุดังมาจากด้านหลังปารณีย์ ทำให้ปารณีย์หันกลับไปมอง และเจ้าของเสียงก็ชะงักค้างเหมือนกลับตกตะลึง มือยกชี้หน้าของปารณีย์และเอ่ยชื่อหนึ่งขึ้นมาเสียงดัง

“คุณ....ปานวาด” ปารณีย์ขมวดคิ้ว เธอแน่ใจว่ามีคนมองเธอและช็อกแบบนี้ไม่ต่ำกว่าสองรอบแล้ว แล้วครั้งนี้ก็รอบที่สาม แถมชื่อที่แต่ละคนใช้เรียก ถ้าปารณีย์เดาไม่ผิดก็เป็นชื่อเดียวกัน ปารณีย์กำลังสงสัยอะไรบางอย่าง ทัศไนย์เห็นอาการนั้นก็เอ่ยขัดขึ้นมาก่อน

“คุณคนนี้เป็นแขกคุณแพรครับ ชื่อคุณปารณีย์ คนที่คุณแพรโทรมาบอกว่าจะมาพักไงครับ” สีหน้าคลายความกังวล แต่ก็ยังมีร่องรอยความกลัวฉายออกมาให้เห็น

“คุณปาครับนี่ป้าน้อม คนสนิทของคุณผู้หญิง ป้าแกรู้ทุกอย่างในไร่มีอะไรปรึกษาป้าแกได้ครัล” ปารณีย์ยิ้มและยกมือไหว้อย่างคนมีมารยาท ป้าน้อมยกมือรับไว้และยิ้มส่งให้

“ขอโทษจริง ๆ นะคะที่เสียมารยาท ป้าแก่แล้วหูตาเลยฝ้าฟาง ป้าแค่จะมาเชิญไปที่ห้องอาหาร ตอนนี้อาหารพร้อมแล้ว พวกคุณ ๆ ก็มากันแล้วค่ะ”

“ขอบคุณค่ะ คุณป้าช่วยนำปาไปที่ห้องอาหารได้ไหมคะ”

“อุ้ย ไม่ต้องเรียกคุณหรอกคะ เรียกป้าน้อมเถอะคะ คุณเป็นแขกของบ้านเท่ากับเป็นเจ้านาย เชิญเข้าบ้านดีกว่าค่ะ” ปารณีย์เดินตามป้าน้อมไปที่ห้องรับประทานอาหาร แต่ใครคนหนึ่งกลับรั้งเธอไว้เสียก่อน

“ปา” ปารณีย์ชะงัก และหันไปมองผู้ชายที่เรียกเธอด้วยชื่อที่ถูกต้อง หนุ่มหล่อร่างสูงสมาร์ตที่เดินมาหยุดตรงหน้าคือ เพชรหรือภูวดล ดิเรกรัตน์ เจ้าของโรงแรมภูปลายฟ้า โรงแรมดังระดับห้าดาวของเชียงใหม่ ซึ่งปัจจุบันภูปลายฟ้าขยายโรงแรมออกไปทั่วทุกจังหวัดภาคเหนือ รวมถึงภาคอื่น ๆ รวมถึงตอนนี้กำลังมีแพลนขยายไปในประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากเป็นนักธุรกิจแล้ว เขายังควบตำแหน่งพี่ชายของหัวหน้าเธอซึ่งก็คือภุมรี ซึ่งปัจจุบันเขาก็คือหวานใจของเพื่อนสาวเธออีกนั่นแหละ จะเป็นใครไปไม่ได้ก็แฟนของกิ่งฉัตรนั่นเอง ออร่าที่หล่อประกายออกมาทำให้ปารณีย์ยิ้ม กับความหล่อสะท้านโลกาของผู้ชายตรงหน้า แม้จะได้ไม่ได้เจอกันบ่อย ๆ เขายังคงหล่อน่าประทับใจเหมือนเดิม

“ยัยแพรโทรมาเล่าให้พี่ฟังว่าเราจะมา พี่เลยรีบกลับมาบ้านเลยนะ แล้วขาเป็นอะไรน่ะ ไม่เจอกันไม่เท่าไหร่ขาเป๋แล้วหรอ” ปารณีย์ยิ้ม

“ข้อเท้าพลิกค่ะ เลิกสนใจเท้าปา แล้วรีบไปห้องอาหารดีกว่าไหมคะ เดี๋ยวข้างในเขารอ แค่นี้ก็สายแล้ว” ภูวดลพยักหน้าและเดินเข้าไปช่วยพยุงปารณีย์ ซึ่งเธอว่ามันก็ไม่จำเป็นนะ เธอเดินได้ดีกว่าเมื่อวาน ต้องขอบคุณหลอดยาสมุนไพรของป้าอิงที่บรรเทามันจนทุเลา

“แม่ครับ” ภูวดลเอ่ยขึ้นทั้งโต๊ะหันมามองหนุ่มสาวสองคนที่เดินเข้ามา และสิ่งของที่แต่ละคนถือไหว้ในมือก็หลุดล่วงลงพื้นกันอย่างพร้อมเพียง

เคร้ง!!!

“ปาน....”

“เอ่อ...ดิฉันชื่อปารณีย์ รุ่งเรืองทรัพย์ค่ะ เรียกว่าปาก็ได้ค่ะ เป็นรุ่นน้องของพี่เพชรกับพี่แพรค่ะ” ปารณีย์ขัดเหตุการณ์ครั้งที่สี่ในรอบวัน ใบหน้าแต่ละคนกำลังคลางแคลงใจอะไรบางอย่าง แต่คนที่ตั้งสติคนแรกคือบุคคลที่นั่งหัวโต๊ะ เจ้าบ้านแห่งดิเรกรัตน์ พ่อเลี้ยงภูมินทร์ ดิเรกรัตน์ จ้าวอาณาจักรแห่งภูปลายฟ้านี่เอง ท่านหันมาส่งยิ้มอย่างคนใจดีให้ ปารณีย์ยกมือขึ้นไหว้ผู้ใหญ่สองคนที่นั่งอยู่ คุณนพนภาที่เริ่มตั้งสติได้ ใบหน้าสวยสง่าของสาววัยสี่สิบห้ามองหน้าเธอด้วยสายตาที่ปารณีย์ก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่รู้สึกถึงกระแสมึนตึงจากใบหน้าสวยสง่าที่ดูอารีย์นั่น

“เชิญนั่งตามสบายเลยนะหนู ไร่ภูปลายฟ้ายินดีต้อนรับ” ภูวดลปล่อยแขนออกเมื่อปารรีย์หยุดอยุ่ที่หน้าเก้าอี้ว่างแล้ว และตนก็เดินมานั่งทางขวามือของพ่อเลี้ยงภูมินทร์ ส่วนที่ข้างๆ พ่อเลี้ยงภูมินทร์ คือคุณนพนภา ภรรยาสุดรักของพ่อเลี้ยงภูมินทร์ และก่อนที่ปารณีย์จะได้สำรวจคนอื่น ๆ แต่เพราะสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องเธออยู่ ดวงตากลม ๆ ของเด็กหญิงที่เธอจะต้องช่วยดูแล แต่น่าแปลกที่ดวงตาคู่นั้นดูไม่เหมือนที่เธอเจอเมื่อครั้งก่อน และปารณีย์รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ กับดวงตาของเด็กหญิงปาริดาอย่างบอกไม่ถูก

“ก่อนมื้อค่ำ พี่จะขอแนะนำสมาชิกในบ้านให้ปารู้จักก่อนเลยนะ คนแรก ปาควรจะรู้จักไว้ คนสำคัญของไร่เราไม่รู้จักเชย พ่อเลี้ยงภูมินทร์ พ่อของพี่กับยัยแพร ปาจำได้ไหม” ปารณีย์พยักหน้า เพราะเคยเจอพ่อเลี้ยงภูมินทร์เมื่อวันเกิดครั้งก่อนที่มาเป็นเพื่อนภุมรี ปารณีย์ยกมือไหว้อีกครั้ง พ่อเลี้ยงภูมินทร์พยักหน้าเหมือนรับไหว้

“และที่นั่งอยู่ข้างพ่อเลี้ยงไม่รู้จักไม่ได้เหมือนกัน เพราะผู้หญิงที่สวยมาก ๆ คนนี้ คือคุณนพนภา แม่ของพี่กับยัยแพร เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในไร่ ไม่ต้องเรียกแม่เลี้ยง แม่พี่ไม่ชอบ” ปารณีย์ยกมือไหว้ ซึ่งคุณนพนภาหันมายกมือรับไหว้ และไม่ยอมหันมามองหน้าเธออีก ปารณีย์หันไปมองหน้าภูวดลที่ยิ้มนิด ๆ เหมือนอยากจะบอกว่าอย่าไปสนเลย

“พี่แนะนำอีกคนเลยนะ นี่น้องดาหลานสาวพี่เอง ยัยแพรบอกว่าปาจะมาช่วยดูน้องดา น้องดาคงดีใจ เห็นครั้งก่อนแพรบอกว่าน้องดาตามเราแจเลย” ปารณีย์หันไปยิ้มให้กันปาริดา แต่น้องดากับมองเธอนิ่ง ๆ ไม่ยิ้มให้เหมือนที่เจอกันครั้งก่อน ปารณีย์หุบยิ้มลงและมองภูวดลอีกครั้ง

“ส่วนนั่นปิ่นเป็นอาของน้องดา แล้วก็ยังขาดคนสำคัญของบ้านอีกคน แต่เกิดเรื่องที่ไร่นิดหน่อยก็เลยรีบไป เดี๋ยวค่ำ ๆ คงได้เจอ แนะนำตัวหมดแล้ว ตอนนี้เรากินข้าวกันเถอะ ดูท่าน้องดาจะหิวแล้ว” และมื้อค่ำก็เป็นไปอย่างไม่คล่องปากและท้อง ปารณีย์รู้สึกได้ว่าสายตาจับจ้องตลอดเวลา โดยเฉพาะดวงตาแป๋วแหววของเด็กตัวเล็กที่ยังคงมองเธอ

“ปาออกไปเดินย่อยอาหารกับพี่ไหม” ภูวดลเอ่ยขึ้น เมื่อรู้สึกได้ว่ารุ่นน้องสาวกำลังกดดันเพียงใดกับสายตาของเด็กตัวเล็กที่ยังจ้องมองรุ่นน้องของเขาตาไม่กระพริบ ปารณีย์ไม่รอช้าที่จะตอบรับคำชวน ภูวดลพาปารณีย์ขึ้นไปชั้นสอง เลือกเดินไปที่สะพานเชื่อม ปารณีย์นั่งลงที่เก้าอี้ตัวยาวที่ขาวที่ถูกนำมาวางไว้ให้นั่งเล่น

“ตอนแรกปาคิดว่าพี่เพชรยังไม่กลับจากภูเก็ตเสียอีก”

“พอดีพี่เคลียร์ปัญหาที่โน่นเสร็จพอดี ก็เลยกลับมาทันได้เจอเรานั่นแหละ เดี๋ยวก็ต้องเตรียมตัวไปสวิส ตอนนี้โรงแรมขยายสาขาไปไกลแล้ว ไม่มีเวลาพักเลยตอนนี้”

“หรอคะ ขยันจริงกลับมาก็ทำงานต่อเลย เงินก็เยอะพอจะไปขอไอ้กิ่งได้แล้ว จะเก็บเงินให้เยอะไปไหนอีกคะพี่เพชร ปาล่ะอิจฉาไอ้กิ่งที่อนาคตคงจะได้เป็นเศรษฐีนีเพราะมีสามีรวย” ปารณีย์ยิ้มและมองภูวดลที่ทำหน้าบึ้งขึ้นมา

“ก็ถ้าเค้ายอมแต่งพี่ก็คงไปขอแล้ว แต่เค้าบอกว่ารอเพื่อนเค้าก่อนนี่สิ จะให้พี่ทำยังไงดีล่ะยัยปา” ปารณีย์ยิ้ม กิ่งฉัตรรักเธอยังกับพี่น้องในสายเลือด และจะไม่ยอมมีความสุขจนกว่าเธอจะมีความสุข กิ่งฉัตรเคยพูดคำนี้กับเธอไว้ และกิ่งฉัตรก็ทำตามที่พูดจริง ๆ ภูวดลเคยพยายามพูดเรื่องแต่งงานหลายต่อหลายครั้ง เจ้าตัวก็เฉไฉไปซะทุกครั้ง

“พยายามอีกนิดสิคะ ตื้ออีกหน่อยเดี๋ยวมันก็ยอมแล้ว” ปารณีย์พูดและยิ้ม

“พอ ๆ เลิกพูดเรื่องกิ่งก่อนเลย กิ่งโทรมาเล่าให้พี่ฟังว่าเลิกกับไอ้หมอนั่นแล้วหรอ” คำถามที่สะกิดใจอย่างแรงทำให้ดวงตาที่หม่นแสงอยู่แล้วยิ่งหม่นหมอง ปารณีย์ไม่เอ่ยคำตอบออกมาเป็นคำพูด ทำเพียงพยักหน้าเป็นคำตอบ

“ถ้าพี่อยู่ตอนนั้นด้วย พี่จัดการไอ้หมอนั่นให้แล้ว เสียดายจริง แต่เราไม่ต้องไปเสียใจและเสียดายมันหรอก สวะพักนั้นคบต่อไปเราก็เจ็บ เจ็บตอนนี้ดีกว่ามาเจ็บทีหลัง บางทีเร็ว ๆ นี้ปาอาจจะได้เจอคนที่รักปาจริง ๆ ก็ได้”

“คงยากค่ะ จะได้เจอใครใหม่ ปาเข็ดแล้ว เลิกหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าจะมีรักแท้”

“อย่าพูดเหมือนไม่มีความหวังสิ อายุแค่นี้ยังเจอคนอีกเยอะ ไม่เอาแล้ว เปลี่ยนเรื่องดีกว่า เมื่อวันก่อนยัยแพรโทรมาบ่นใหญ่เลยว่าเราจะลาออก ฟาดงวงฟาดงาใส่คนอื่นจนคนอื่นพากันไม่กล้าพูดด้วย เราจะลาออกจริง ๆ สิ เรารักงานนี้ไม่ใช่หรอ”

“ค่ะ ปารักงานนี้ แต่ปาก็อยากจะเริ่มอะไรใหม่ ๆ ปาอยากจะลืมเรื่องเก่า ๆ บางทีการเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ อาจทำให้ปาดีขึ้นก็ได้นะคะ” ปารณีย์เอ่ยอย่างใจลอย

“ถึงกับลาออกจากงานเลยหรอ ขอลาพักร้อนสักสามเดือนก็ได้นะ เชื่อสิ ปาขอไอ้แพรมันก็ยอม เพราะปีหนึ่งปาไม่เคยหยุดงานเลย ลาสักสองสามเดือนจะเป็นไรไป พักผ่อนให้ดีขึ้นแล้วกลับไปทำงานต่อก็ได้”

“ตามจริงมันก็ไม่ใช่แค่นั้น ตอนนี้แม่อายุมากแล้วไม่มีใครดูแลร้านอาหาร ปาอยากช่วยแม่บ้างค่ะ ปาคิดไว้ตั้งนานแล้วแต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะออกเมื่อไหร่ แต่คิดว่าพอมาเจออะไรแบบนี้ปาคิดว่ามันอาจจะถึงเวลาแล้วก็ได้ ปาทบทวนหลายรอบแล้ว เอ่อ...ปาว่าเราข้ามเรื่องนี้ไปดีกว่าค่ะ”

“อยู่เรื่อยเลยนะเราน่ะ”

“ปามีคำถามค่ะ” ภูวดลพยักหน้ารับ

“ทำไมทุกคนมองหน้าปาแบบนั้นล่ะคะ หน้าปาประหลาดขนาดคนที่นี่ต้องมองเลยหรอคะ เหมือนแต่ละคนจะตกใจมากด้วยนะคะ”

“มันไม่ได้ประหลาดหรอก แต่ว่า....”

“พี่เพชร”



....ติดตามตอนต่อไป...



มันไม่ได้ประหลาดแต่ว่า.... แต่ว่าอะไรกันหนอ

ต้องรอติดตามกันในตอนหน้าค่ะ แล้วใครกันที่เข้ามาขัดพรุ่งนี้ต้องรอติดตามกัน

ขอบคุณที่เข้ามาติดตามนะคะ ฝากปริศนาในรอยรักไว้ด้วย เนื้อเรื่องกำลังจะเข้มข้น

และจะทวีความเข้มข้นขึ้นไม่อีกแน่นอนค่ะ แต่เข้มข้นยังไงอันนี้อุบไว้ก่อนยังบอกไม่ได้

ช่วยกันติดตาม และคอมเม้นส์ ติชม เป็นกำลังใจให้กันได้ ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ



พัชรีพร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ธ.ค. 2557, 12:50:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ธ.ค. 2557, 12:50:08 น.

จำนวนการเข้าชม : 960





<< ตอนที่ 2 เส้นทางสายฝน   ตอนที่ 4 ดั่งสวรรค์แกล้ง >>
แก้วจินดา 6 ธ.ค. 2557, 23:19:53 น.
เขาคือคุณภูใช่มะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account