...คาสบลังก้า...ดารัลฟาเดล...(จบแล้วค่ะ)
สืบเนื่องมาจากเรื่อง "อะรูซะตี...เจ้าสาวของผม"
เรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวของลูกสาวสุดหวงของหมอดานีส
กับนาดา โดยเรื่องราวของคุณพ่อเมื่ิอครั้งก่อนนั้น
จะเป็นแนา "แต่งก่อนจีบ"
แต่สำหรับรุ่นลูกแล้ว จะเป็นแนว "จีบก่อนแต่ง"
ต้องมาคอยดูกันค่ะว่า จะจีบกันอย่างไร แล้วคุณหมอดานีส
ที่ต้องมารับบทบาทเป็นพ่อของลูกทั้งเจ็ดจะตกอยู่ในสภาพเช่นไร..
แล้วนาดาจะเป็นแม่แบบไหน...
เรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศของเมือง
"คาสบลังก้า" หรือ "อัดดารัลบัยฎออ์"
ซึ่งแปลว่า..."บ้านสีขาว"
ดินแดนในฝันดั่งต้องมนต์เสน่หาแห่งโมร็อกโก...
กับดินแดนอันแสนอบอุ่นด้วยไอรักแห่งแดนอาทิตย์อุทัย...
พบกับเขาและเธอ...
...ดารัล...ฟาเดล...
หญิงสาวที่หัวใจเปี่ยมล้นไปด้วยความรักความอบอุ่น
จากครอบครัวอันแสนสุขและน่ารัก...
ชีวิตที่มีพร้อมทุกอย่าง ไม่เคยต้องการสิ่งใดอีกแล้ว
เพราะเธอพอใจทุกอย่างที่มีมาตลอด
จนเมื่อเจอกับเขา...ที่นั่น "คาสบลังก้า"
เขาทำให้เธอไม่อาจลบลืมมนต์เสน่หาของที่นั่นได้เลย
ไม่ว่าจะยามหลับหรือตื่น...
กับ
ชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยรูปเปลือกที่สวยงามสมบูรณ์
หากภายในใจนั้นยังคงโหยหาไออุ่นแห่งรักจากใครสักคน
มาเติมเต็มหัวใจกำพร้าของเขา...
แล้วเธอคือผู้ที่เขาค้นพบว่ามีทุกอย่างที่เขากำลังต้องการอยู่
ดังนั้น...ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร เขาก็จะปล่อยเธอ
ไปไม่ได้โดยเด็ดขาด!
เรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวของลูกสาวสุดหวงของหมอดานีส
กับนาดา โดยเรื่องราวของคุณพ่อเมื่ิอครั้งก่อนนั้น
จะเป็นแนา "แต่งก่อนจีบ"
แต่สำหรับรุ่นลูกแล้ว จะเป็นแนว "จีบก่อนแต่ง"
ต้องมาคอยดูกันค่ะว่า จะจีบกันอย่างไร แล้วคุณหมอดานีส
ที่ต้องมารับบทบาทเป็นพ่อของลูกทั้งเจ็ดจะตกอยู่ในสภาพเช่นไร..
แล้วนาดาจะเป็นแม่แบบไหน...
เรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศของเมือง
"คาสบลังก้า" หรือ "อัดดารัลบัยฎออ์"
ซึ่งแปลว่า..."บ้านสีขาว"
ดินแดนในฝันดั่งต้องมนต์เสน่หาแห่งโมร็อกโก...
กับดินแดนอันแสนอบอุ่นด้วยไอรักแห่งแดนอาทิตย์อุทัย...
พบกับเขาและเธอ...
...ดารัล...ฟาเดล...
หญิงสาวที่หัวใจเปี่ยมล้นไปด้วยความรักความอบอุ่น
จากครอบครัวอันแสนสุขและน่ารัก...
ชีวิตที่มีพร้อมทุกอย่าง ไม่เคยต้องการสิ่งใดอีกแล้ว
เพราะเธอพอใจทุกอย่างที่มีมาตลอด
จนเมื่อเจอกับเขา...ที่นั่น "คาสบลังก้า"
เขาทำให้เธอไม่อาจลบลืมมนต์เสน่หาของที่นั่นได้เลย
ไม่ว่าจะยามหลับหรือตื่น...
กับ
ชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยรูปเปลือกที่สวยงามสมบูรณ์
หากภายในใจนั้นยังคงโหยหาไออุ่นแห่งรักจากใครสักคน
มาเติมเต็มหัวใจกำพร้าของเขา...
แล้วเธอคือผู้ที่เขาค้นพบว่ามีทุกอย่างที่เขากำลังต้องการอยู่
ดังนั้น...ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร เขาก็จะปล่อยเธอ
ไปไม่ได้โดยเด็ดขาด!
Tags: หวานซึ้งโรแมนติก ดราม่า โมร็อกโก คาสบลังก้า ทะเลทรายซาฮาร่า ดารัล ฟาเดล โสภณพสุธ
ตอน: บทที่ 26 ไม่มีใครแทนที่เธอ
เป็นอีกคืนที่ฟาเดลมิอาจข่มตาให้หลับลงได้…
เพราะทุกครั้งที่แผ่นหลังสัมผัสที่นอน
ภาพคืนวันเก่าก่อนที่มีเธออยู่ด้วยกันก็ย้อนกลับมา
กลิ่นหอมของเธอยังคงติดอยู่ตามหมอนที่เขาไม่ยอมให้ใครเอาไปซัก…
หลายครั้งที่เผลอหลับไปก็ต้องตื่นผวาคว้าได้แค่เพียงเงาของเธอ…
แล้วให้คิดถึงคนไกล คนที่ดีที่สุด
แม้จะมีหลายครั้งที่เขาต้องแยกนอนกับเธอ
หากก็ไม่เคยรู้สึกทรมานทั้งกายและใจเท่ากับการจากกันในครั้งนี้เลย…
ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปยังหน้าต่างบานเดิมที่เขากับเธอมายืนมองดู
บรรยากาศข้างนอกด้วยกัน…ท่ามกลางความมืดมิด
เขามองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากภาพของเธอ
“ป่านนี้เธอจะเป็นอย่างพี่รึเปล่านะน้องรัล…คงปวดร้าวเหมือนกันใช่มั้ย…”
ฟาเดลพึมพำไปกับสายลมและความมืด…
“พรุ่งนี้พี่ต้องเข้าพิธีสมรสกับนายิกาแล้วนะน้องรัล…พี่รู้ว่าเขาจะต้อง
ส่งภาพงานแต่งไปให้เธอดูแน่ๆ…ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจ…
พี่ขอให้น้องรัลเข้มแข็ง เปี่ยมด้วยพลัง…มีจิตแจ่มใส…
เพราะน้องรัลของพี่ไม่เหมือนใคร…พี่มั่นใจว่าน้องรัลจะผ่านทุกอย่าง
ไปได้ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง…”
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจก่อนจะเดินไปยังเตียงนอน
หยิบกล่องของขวัญจากนายิกาขึ้นมาแล้วหยิบเส้นผมของดารัลขึ้นมาแนบแก้ม
กลิ่นหอมของมันยังกรุ่นอยู่จนฟาเดลอดไม่ได้ที่จะสูดดม
แล้วคิดไปถึงเจ้าของเส้นผมนุ่มมือน้ี…
เขาเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเส้นผมที่ไม่ได้อยู่บนศีรษะนั้นดูไร้ชีวิตชีวา
ไม่นุ่มมือเท่ากับตอนที่มันอยู่บนศีรษะสวยได้รูปของดารัล…
สุดท้าย ชายหนุ่มก็เผลอหลับไปโดยที่ยังคงกอดเส้นผมที่ถูกรวบเอาไว้
ไม่ยอมวางมือ…ดานีสที่รู้สึกเป็นห่วงลูกเขยขึ้นมาจึงแย้มประตูที่ไม่ได้ล็อกเข้ามาดู…
แล้วก็ได้แต่มองภาพนั้นนิ่งนาน
ภาพที่เขาเองก็ไม่อาจจะบรรยายถึงความรู้สึกของตัวเองออกมาได้…
นาดาที่เดินเข้ามายืนดูอยู่ใกล้ๆจึงกุมมือสามีเอาไว้พร้อมกับกระซิบเสียงเบาๆ
พอให้ได้ยินกันแค่สองคนว่า
“พรุ่งนี้…ได้เวลาเดินทางแล้วนะคะ…คุณควรจะพักเอาแรงเสียหน่อย
เรายังมีอะไรอีกเยอะที่ต้องจัดการกัน…”
“แล้วจะปล่อยให้อดีตลูกเขยของเธอตกอยู่ในสภาพแบบนี้รึน้ำค้าง…
เธอไม่มีวิธีอื่นๆที่พอจะช่วยเขาได้บ้างเลยเหรอ…เธอน่ะคิดเก่ง
วางแผนเก่งกว่าฉันนะน้ำค้าง…อย่าบอกนะว่าเธอหมดปัญญาซะแล้ว
เธอกับแม่ของฉันรวมหัวกันแล้วได้ผลลัพธ์ออกมาอย่างนี้หรือ…”
นาดาแอบลอบถอนใจและอดดีใจไม่ได้ที่สามีดูจะเป็นห่วงเป็นใยลูกเขย
ที่เขามักจะเขม่นอยู่บ่อยๆขึ้นมา…
“ตอนนี้คงต้องปล่อยไปก่อนค่ะ…
สำหรับน้ำค้างแล้ว ฟาเดลยังเป็นลูกเขยอยู่ค่ะ
เพราะว่าเขายังไม่เคยเอ่ยคำว่าหย่ากับลูกสาวของน้ำค้างแม้แต่คำเดียว…
ไม่เคยบอกว่าหย่ากับน้องรัล…ไม่เคยปริปากออกมา หัวใจเขาก็ปฏิเสธเรื่องหย่า
ดังนั้น ตามหลักศาสนาแล้ว การหย่าระหว่างสองคนนี้ยังไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำไปค่ะ…
น้องรัลยังคงเป็นภรรยาของฟาเดลอยู่…และฟาเดลก็ยังคงเป็นลูกเขยของเราอยู่ค่ะ…
ซึ่งการแต่งงานที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ก็ใช้ไม่ได้ตามหลักศาสนาซะด้วย…
สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นต้องการจริงๆเขาจะไม่มีวันได้ไปหรอกค่ะคุณหมอ…
น้ำค้างถึงบอกว่านายิกาแพ้ลูกสาวเราตั้งแต่ยกแรกไงคะ…
ตอนนที่พูดน่ะน้ำค้างไม่ได้พูดด้วยแรงอารมณ์นะคะ แต่พูดเรื่องจริงล้วนๆ…
ไม่เชื่อคุณหมอก็คอยดูต่อไปสิคะ…” ดานีสหันมาสบตาภรรยา
ที่อยู่กินกันมานานจนเข้าใจ
“หลักการอื่นน่ะเขาจะหย่าขาดกันอย่างไรไม่รู้
แต่หลักการอิสลามน่ะ…ถ้าจะหย่ากัน ก็ต้องให้สามีเป็นฝ่ายบอกหย่่า
ด้วยวาจาและด้วยหัวใจพร้อมๆกันต่อหน้าภรรยาและพยาน
ที่มีคุณธรรมอย่างน้อยสามคน…วาจาที่กล่าวออกไปต้องตรงกันกับใจ
การหย่าจึงจะใช้ได้ผล…นี่ไงคะที่น้ำค้างเชื่อว่าฟาเดลไม่ได้ทำเบากับเรื่องเหล่านี้…
และคนอวดเก่งอย่างนายิกาก็คงไม่มีวันเข้าใจอะไรแบบนี้แน่…
ฟาเดลถึงได้กล้าทำกล้าตัดสินใจแบบนั้น…
น้ำค้างไม่โทษเขา เพราะถ้าคุณหมอตกอยู่ในสถานการณ์เหมือนเขา
น้ำค้างก็จะให้คุณหมอทำแบบเขาเหมือนกัน…”
“แต่งานแต่งวันพรุ่งนี้คงเป็นข่าวครึกโครมแน่ๆ…เชื่อฉันสิน้ำค้าง
เขากะจะโปรโมทเรื่องนี้ออกไปอยู่แล้ว…”
ดานีสยังไม่วายกังวลถึงวันพรุ่งนี้ก่อนจะจูงมือพาภรรยากลับห้อง…
“ถ้าอย่างนั้น คุณหมอก็ค่อยรอดูฝีมือน้ำค้างก็แล้วกัน…
ที่เขาบอกว่าหัวเราะทีหลังดังกว่าน่ะมันเป็นยังไง คุณหมอจะได้เห็น…”
ดานีสยิ้มได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ต่อไปลูกเขยของเธอก็คงหมดเนื้อหมดตัวแล้วนะ…
ได้ข่าวว่าหลังจากพิธีแต่งงาน จะมีการให้เซ็นโอนทรัพย์สินด้วยนี่…”
นาดาหันมายิ้มให้ดานีสแล้วบอกว่า
“ตอนที่น้ำค้างหอบเสื้อผ้าไปอยู่กับคุณหมอที่ญี่ปุ่นน่ะ
ตอนนั้นน้ำค้างก็ไม่ได้มีทรัพย์สมบัติอะไรติดตัวเลยนะคะ แถมยังมีหนี้ มีภาระอีก
แต่ตระกูลโสภณพสุธก็เลี้ยงดูน้ำค้างและครอบครัวน้ำค้างมาอย่างดี
แค่ลูกเขยกับปู่และย่าของเขา คุณหมอคงเลี้ยงดูปู่เสื่อได้หรอก…”
ดานีสส่ายหน้า
“ไม่เหมือนกันหรอก…เพราะนั่นน่ะลูกเขยที่ฉันชังน้ำหน้านะ…
แถมยังเคยเตือนเธอเอาไว้แล้วว่า หน้าตามันนั่นแหล่ะ
จะนำความเดือดเนื้อร้อนใจมาให้ลูกเรา…แล้วผิดที่ไหน…หล่อเกินจนได้เรื่อง…”
“คุณหมอนี่ช่างเป็นผู้ชายที่ปากกับใจไม่ตรงกันเลย…ไม่เอาละ
จะกลับไปนอนเก็บแรงเอาไว้ตามหาลูก…ป่านนี้ไม่รู้จะกินจะอยู่
จะหลับจะนอนอย่างไร…” แล้วแววตาของคนเป็นแม่ก็ไหววูบ
แม้จะพยายามตั้งสติสักแค่ไหน แต่ความห่วงใยที่มีต่อลูกนั้นไม่ได้ลดลงเลย…
แต่เพราะเชื่อและศรัทธา…ใช่…ศรัทธาต้องมีบ้าง!
ภาพงานแต่งงานระหว่างฟาเดลกับนายิกาถูกเผยแพร่ไปตามสื่อหลายแขนง
ภาพที่เจ้าสาวในชุดสีขาวบริสุทธิ์ยืนเคียงข้าง
เจ้าบ่าวที่หล่อเหลาปานเทพบุตรในชุดสีขาวเช่นกัน ถูกนำมาเสนอต่อหน้าของดารัล…
หญิงสาวเพียงมองรูปถ่ายและภาพวิดิโอผ่านเครื่องมือสื่อสารขนาดจิ๋ว
ที่ผู้คุ้มกันเธอนำมาให้ดูด้วยแววตาราบเรียบ ไร้ความรู้สึกใดๆ…
หากต้องมาสะดุดหูกับประโยคต่อมา
“พรุ่งนี้เราคงต้องเคลื่อนย้ายกัน…” ดารัลจ้องมองคนพูดนิ่ง
พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกเอาไว้…
“งานนี้…คุณคงได้ทัวร์รอบโลกแน่ๆ…” ความรู้สึกของดารัลตอนนี้
ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่คาดหวังไว้กำลังจะหลุดลอยไปอีกครั้ง…
“คราวนี้ที่ไหน แล้วฉันต้องแสดงบทเป็นใครอีกล่ะคะ…”
“คุณจะอยากรู้ไปทำไม…” ชายวัยกลางคนที่แต่งตัวดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า
เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าแฝงแววตาดูถูกเอาไว้ไม่มิด
“อย่างน้อยก็จะได้เตรียมใจเอาไว้…” อีกฝ่ายยักไหล่ข้างขวายิ้มให้จำเลยตรงหน้า
“ปานามา…รู้จักมั้ย…ปานามา…ส่วนบทบาทของคุณก็คือ…นักท่องเที่ยว…”
“ขอบคุณท่ีคราวนี้ฉันไม่ต้องกลายเป็นภรรยาใครที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน…
แล้วชื่อใหม่ล่าสุดล่ะคะ”คนตรงหน้าวางพาสปอร์ตหรือหนังสือเดินทาง
พร้อมวีซ่าเข้าประเทศเป็นคำตอบ
ดารัลเปิดดูพาสปอร์ตเล่มที่สองนับจากออกเดินทางจากประเทศโมร็อกโกมา
“มีสซีส วาเนสซ่า ริชช์ สัญชาติไทย…”
ดารัลเอ่ยขณะร่ายดูประวัติล่าสุดของตัวเองในหน้าแรกของหนังสือเดินทางปลอม
ก่อนจะกระตุกมุมปากเหมือนจะแย้มยิ้มกับสถานะของตัวเอง
แล้วเลิกคิ้วสูงเมื่อพูดกับชายกลางคน
“Divorce แม่ม่ายหรือ?…”
“ใช่…เพิ่งหย่าขาดจากสามีนามว่า ราฟาเอล แรนส์ ชาวอิตาลี…
แล้วได้รับเงินจากการแบ่งมรดกกับสามีก่อนจะเดินทางมาเที่ยวปานามา
ส่วนฉันคือญาติสนิท…พันตา…จำไว้ว่าต่อไปนี้ฉันคือ พันตา
ถ้าเธอเรียกชื่อฉันผิดล่ะก็…ฉันจะจับเธอใส่ถุงโยนคลองปานามาแน่”
ชายกลางวัยกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แววตาดุดัน
หากดารัลกลับยิ้มแย้มพร้อมพยักหน้า
“ค่ะ…คุณพันตา…”
“อ้อ…และก็จำไว้ด้วยว่าเธอเป็นลูกครึ่งไทย-ปานามา…
พ่อเป็นลูกครึ่งไทย-อิตาเลียน ส่วนแม่เธอคือชาวปานามา…
จะได้รู้ว่าทำไมถึงชื่อและนามสกุลแบบนั้น…” ดารัลพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มเช่นเดิม
“ค่ะ…จะจำไว้ว่า พ่อฉันมีเลือดอีกครึ่งนึงเป็นสีเดียวกับสามี…
และฉันกำลังกลับไปเที่ยวแผ่นดินบ้านเกิดของแม่…
โดยมีญาติที่เป็นคนไทยติดตามไปด้วยชื่อพันตา…
จำง่ายเพราะชื่อคล้ายๆกับทศกันฐ์ดี วีรกรรมก็พอๆกัน…”
คนฟังมีสีหน้าพออกพอใจ แม้จะถูกเหน็บแนมไปบ้างก็ตาม
จนเอ่ยชมคนตรงหน้าที่เข้าใจอะไรง่ายๆว่า
“ดี…ที่เข้าใจอะไรได้ง่ายแบบนี้…แต่ผมคงต้องบอกว่าเสียใจ
ที่ไม่มีกองทัพวานรของพระรามมาช่วยคุณได้เหมือนนางสีดา”
ดารัลระบายยิ้มออกกว้างเมื่อนึกถึงสถานภาพของตัวเอง
“ผ่านมายังไม่ถึงสองสัปดาห์ ฉันก็ต้องเป็นแม่ม่ายที่หย่าขาดสามีถึงสามคนไปแล้ว…
รู้สึกว่าพวกคุณเข้าใจสร้างประวัติเพื่อตอกย้ำฉันเรื่องนี้ซะเหลือเกินนะคะ…
ถ้าต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงอีก ฉันขอเป็นสาวโสดบ้าง
คงไม่ขอกันเกินไปหรอกนะคะ…”
ชายกลางวัยหัวเราะในลำคอเมื่อได้ยินประโยคแกมหยิกแกมหยอกนั่น
ของหญิงสาวตรงหน้าที่ดูจะไม่เคยอนาทรต่อสิ่งใด
พร้อมจะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ตลอด…
“นึกว่าคุณจะพอใจสถานภาพที่เป็นอยู่ซะอีก…
คิดในแง่ดีสิว่านี่คือโอกาสที่จะทำให้คุณได้เที่ยวไปรอบโลกโดยไม่ต้องเสียตังค์
แม้แต่สตางค์แดงเดียว…แถมมีคนคอยคุ้มครองตลอดเส้นทาง”
พูดจบชายกลางวัยก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องของดารัลทันที…
ก่อนจะชะงักขานิดนึงเมื่อได้ยินเสียงใสจากคนข้างหลังว่า
“ฉันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นแม่ม่ายเลยค่ะ…
คุณเองก็คงเข้าใจความรู้สึกของฉันดี…เพราะต่อให้ลูกเมียของคุณจะไม่ได้อยู่
กับคุณแล้ว แต่เมื่อรักระหว่างคุณและพวกเขายังคงอยู่ไม่ได้จากไปไหน
คุณก็เลยรู้สึกว่าตัวเองยังมีพันธะผูกพันธ์อยู่ดี…ว่ามั้ยคะ…
คุณการุณ ปรัชญาธร…”
เขาหยุดก็จริงหากก็ไม่ได้หันมามองเธอ
แล้ววินาทีต่อมาเขาก็ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง...โดยที่ดารัลรู้ดีว่า
เธอได้สะกิดแผลเก่าของเขาเข้าให้แล้ว…และแน่นอน เธอตั้งใจ!
ณ คฤหาสถ์หลังงามที่หญิงสาวหมายปองมานาน
และบัดนี้มันก็ตกมาอยู่ในมือของเธอ ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวเจ้าของคฤหาสถ์ดังกล่าว…
แต่มันน่าเจ็บใจยิ่งนักที่นอกจากเขาจะไม่แยแสเธอแล้ว
เขายังปลีกตัวไปนั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานตลอด
ขนาดคืนส่งตัวเข้าหอ เขาก็ปล่อยให้เธอนอนรอเก้อ…
นายิกากำหมัดแน่น มองไปรอบๆห้องหอก่อนจะสบถออกมาด้วยสีหน้าเหยเก…
“นี่หรือห้องหอของฉัน…”
“คุณเรียกฉันมามีอะไรรึเปล่าคะ…”
คนรับใช้คนสนิทที่เธอพามาจากเมืองไทยเอ่ยขึ้นเมื่อก้าวเข้ามาในห้อง
“ไปหากุญแจห้องทุกห้องในคฤหาสถ์หลังนี้มาให้ฉันหน่อย ย้ำนะว่าทุกห้อง…”
เมื่อได้รับคำสั่งแล้วก็รีบกุลีกุจอออกไปทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายมา
ก่อนจะกลับมาอีกครั้งด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“คุณฟาเดลเป็นคนถือครองคนเดียวค่ะ…ถ้าคุณต้องการ…เอ่อ…”
นายิกาโบกมือ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจัดการเอง…ว่าแต่ที่นี่มีอะไรหรือใคร
ยังอยู่รกหูรกตาอีกบ้างรึเปล่า…” นายิกาถามคนสนิท
หลังจากที่เธอมีคำสั่งให้ฟาเดลไล่บอดีการ์ด
และคนที่เกี่ยวข้องกับเขาและดารัลออกไปให้หมด
ไม่เว้นแม้แต่ปู่กับย่าของเขาที่ต่อต้านการกระทำของเธออย่างสุดโต่ง
จนบัดนี้ เธอเองยังไม่แน่ใจว่าที่นี่ยังมีขวากหนามชิ้นใดหลงเหลืออยู่อีกบ้าง
“ไม่มีแล้วค่ะ มีแต่เฉพาะคนของเราเท่านั้น…” คำว่า ‘คนของเรา’
ทำให้หญิงสาวยิ้มเยื้อนด้วยสีหน้าแววตาพอใจ
“ดี…จะได้ไม่มีอะไรมาคอยขัดหูขัดตาฉันอีก…แล้วรู้มั้ยว่าคุณฟาเดลไปไหน
ตั้งแต่ตื่นมาฉันยังไม่เห็นหน้าเขาเลย…” แม้จะอายแสนอายกับการถูกปฏิเสธ
หากหญิงสาวก็ยังอยู่รู้การเคลื่อนไหวของสามีในนาม
“ออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าตรู่ค่ะ เห็นบอกว่าจะไปทำงาน…”
นายิกาเหยียดปาก…
“ฮึ…ทำงาน…ดี…แล้วจะได้รู้กัน!” หญิงสาวกัดฟันข่มความคับแค้นใจเอาไว้…
ฟาเดลกลับเข้าบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยมีดารัลมาคอยยืนรับเขาตรงประตูทางเข้าเป็นประจำ
พร้อมถามเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน อ่อนโยนว่าทำงานมาเหนื่อยมั้ย
หลังจากนั้นก็จะคอยเอาอกเอาใจ หาน้ำเย็นๆ ขนมสูตรใหม่ๆมาให้ชิม
อร่อยถูกปากบ้าง ไม่ถูกปากบ้าง รสชาติแปลกๆไปบ้าง
หากก็ทำให้เขาพอใจกับการพยายามทำอะไรๆเพื่อเขามาเสมอ…
ทั้งช่วยปัดเป่าความเหนื่อยล้าทั้งทางกายและทางใจให้ผ่อนคลาย
…ทว่า บัดนี้…ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด…เมื่อไม่มีเธอ!
ชายหนุ่มทอดถอนใจ เดินเข้าบ้านไปด้วยสีหน้าอ่อนล้าแทบหมดเรี่ยวแรงจะก้าวเดิน
ไม่รู้จะไปทางไหนดี ตอนนี้เหมือนเขาอยู่ตัวคนเดียวในโลก
ความเป็นจริงไม่ปรานี…ไม่มีเธอ เธอไม่ได้อยู่ที่นอร์เวย์
อย่างที่สันนิษฐานกันเอาไว้อีกต่อไปแล้ว…เธอไปแล้ว
ไปพร้อมๆกับความหวังครั้งใหม่ของเขา…แม้เธอจะทิ้งความหวังเอาไว้ให้
แต่เขาก็เริ่มจะไม่มั่นใจว่า เขาจะไล่ตามเงาของเธอทัน…
ชายหนุ่มเดินไปก็มองไปรอบๆตัวบ้านที่เงียบเหงา…ไร้ชีวิตชีวา
ทุกซอกทุกมุมของบ้านยังคงประดับประดาไปด้วยงานฝีมือของเธอ
เมื่อก่อนเขายังอดแปลกใจไม่ได้ว่าหลังจากกลับจากทะเลทรายแล้ว
ดูเธอจะขยันทำงานฝีมือต่างๆจนดูผิดหูผิดตาไปมาก…
หากบัดนี้ เขารู้แล้วว่า ในกรอบรูปที่มีผลงานของเธอนั้นบ่งบอกถึงสถานที่สำคัญๆ
ในแต่ละประเทศ…ข้างหลังภาพจะมีชื่อบอกสถานที่ของประเทศต่างๆเขียนเอาไว้…
ซึ่งผลงานเหล่านี้ อาจเป็นกุญแจในการตามหาตัวเธอได้ในภายหลัง…
เพียงแค่เธอจะกระซิบบอกรายละเอียดบางอย่างมาบ้างให้เขาหรือเนเนตได้รู้…
เขาก็ยินดีจะตามหาเธอ ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินเขาก็จะทำ!...
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ใจเขาก็ชื่นขึ้นมา ฟาเดลพาร่างกายเดินไปยังห้องชั้นบน
หยิบกุญแจห้องนอนของเขากับดารัลขึ้นมา
แล้วไขประตูเข้าไปและไม่ลืมที่จะล็อกประตูห้อง…ก่อนจะกวาดตา
มองดูห้องแห่งความทรงจำระหว่างเขาและเธอ
ทุกอย่างในห้องยังวางอยู่ที่เดิม…ภาพเธอยังวางอยู่ที่เก่า…
เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆของเธอก็ยังคงอยู่ในที่ที่มันเคยอยู่…
แม้แต่ผ้าม่านหรือผลงานที่เธอนำมาตกแต่งไว้ในห้อง
ก็ยังคงอยู่ในที่ของมัน…ทุกอย่างยังคงอยู่ ไม่เว้นแม้กระทั่ง
ร่องรอยของความรู้สึก ร่องรอยของความผูกพัน…
“ห้องนี้คือห้องของเรา และพี่จะไม่ยอมให้เขาเข้ามาถือครองมันได้
ถ้าพี่ยังหายใจอยู่…” ว่าพลางทรุดกายอันอ่อนระโหยโรยแรงลงบน
ที่นอนก่อนจะเหยียดกายลง…หลับตาฝันถึงภาพของเธอที่สละตักนุ่มนิ่ม
เป็นหมอนให้เขา มีนิ้วเรียวคอยเกลี่ยผมให้ นวดขมับและศีรษะให้
พร้อมด้วยเสียงใสๆที่คอยเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนให้ฟัง
อย่างไม่รู้เบื่อ…แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ช่วยเสนอแนวทางแก้ไข
ปัญาหาที่เขาคาดไม่ถึงให้อยู่เสมอ…ใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มกระจ่างใส…
ดวงตาที่เหมือนแก้วเจียรไนทอดมองเขาด้วยความรักและภักดีคู่นั้น…
มันอาจจะเป็นแค่ภาพวันเก่าก่อน แต่มันก็ช่วยให้เขาได้หายใจได้…
ต่อลมหายใจของเขาไปได้อีกวัน…
แล้วสิ่งที่เขากังวลอีกอย่างก็มาถึง เมื่อน้ำเสียงเกรี้ยวกราดของผู้หญิง
ที่เขาเคยมองเห็นถึงความสวยงามเพียบพร้อมสมบูรณ์
ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยชื่นชมในความสมบูรณ์แบบนั้น
หากเมื่อได้เห็นสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ข้้างในของเธอแล้ว
มันก็พลอยทำให้เปลือกของเธอหมดความสวยงามลงได้อย่างน่าเหลือเชื่อ…
“ฉันต้องการกุญแจทุกห้องของที่นี่…”
“คุณจะเอาไปทำไม…”
“ก็ตอนนี้ฉันเป็นเจ้าของ…มันจะแปลกตรงไหนถ้าฉันจะอยากได้
กุญแจของห้องต่างๆในคฤหาสถ์หลังนี้…หรือคุณยังคิดว่าที่นี่เป็นของคุณอยู่…
ทั้งๆที่คุณเองก็เซ็นยกมันให้ฉันแล้ว…”
ฟาเดลลอบถอนใจ เหนื่อยหน่ายกับหญิงสาวตรงหน้าจนสุดจะทานตน
“ทั้งๆที่คุณได้ไล่เจ้าของบ้านอย่างปู่กับย่าของผมออกไปจากที่นี่แล้ว
อย่างนั้นใช่มั้ย…”
พักหลังๆมานี้ ฟาเดลถูกบังคับให้แทนตัวเองว่า ‘ผม’
และเรียกแทนเธอว่า ‘คุณ’ เพื่อเป็นการยกย่องให้เกียรติภรรยาคนใหม่
ไม่ให้ใช้คำว่า ‘ฉัน’ กับ ‘เธอ’ เพราะคนตรงหน้าเขาบอกว่าฟังแล้วมันแสลงหู…
เธอไม่ชอบ…
“หยุดเรียกร้องสักทีเถอะนายิกา...เพราะมันทำให้ผมเริ่มหมดความอดทน
กับคนอย่างคุณขึ้นมา…” นายิกาแสยะยิ้ม
“ก็แล้วทำไมต้องเก็บไว้ด้วยล่ะ…ก็แค่กุญแจ…”
“ได้…ผมจะให้คุณก็ได้…แต่คุณต้องรักษาสัญญากับผมข้อหนึ่ง…”
หญิงสาวมองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้วางใจนัก
“อะไร?”
“ห้ามคุณเข้าไปยุ่งอะไรในห้องนั้น…” ว่าพลางก็ชี้ไปยังห้องชั้นบน…
และยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ
“ทำไม…ห้องนั้นมันมีอะไร…คุณถึงได้ดูหวงนัก…”
“ก็ไม่มีอะไร…ผมแค่อยากขอคุณเอาไว้ห้องนึง จะได้มั้ย…”
นายิกาพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ฟาเดลจึงเดินไปยังห้องทำงานเปิดลิ้นชักออก
หยิบพวงกุญแจพวงใหญ่ให้หญิงสาวเจ้าของบ้านคนใหม่
โดยที่คนรับไปไม่มีทางรู้ว่า เขาได้ปลดกุญแจของห้องดังกล่าว
เก็บเอาไว้ใกล้ตัวเสมอ…
“อย่าบอกนะว่าห้องนั้น เป็นห้องหอของคุณกับดารัล…”
คนถามมีแววเอาเรื่องอยู่ไม่น้อย
“ใช่…ปล่อยให้มันปิดตายไปเถอะ…อย่าไปยุุ่งกับมันอีกเลย
เพราะถ้าคุณอยากจะเริ่มต้นใหม่กับผม ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งกับห้องนั้น”
“แล้วถ้าฉันไม่เชื่อคุณล่ะ…” หญิงสาวยิ้มท้า
“ก็เห็นทีว่าคุณคงต้องข้ามศพผมไปก่อน…รอให้ผมตายก่อนเถอะนายิกา…
และผมพูดจริงทำจริง!” ฟาเดลเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียง
และแววตาจริงจังอย่างที่ทำให้คนมองถึงกับขนลุก…
หญิงสาวเลยทำเป็นยักไหล่เดินออกไปจากห้อง ท้ิงให้ฟาเดล
มองตามแผ่นหลังนั้นด้วยแววตาเหนื่อยหน่าย…
ก่อนจะก้มมองข้อความเมื่อเห็นมือถือของเขากะพริบ…
‘หลังจากค้นบ้านหลังนั้นอีกครั้ง ฉันเจอข้อความที่คุณรัลทิ้งไว้ให้
หลังกรอบรูปผลงานชิ้นล่าสุดของเธอ ตอนนี้ฉันกำลังมุ่งหน้าไปปานามา…
คุณช่วยแกะรอยมิสซิส วาเนสซ่า ริชช์ เชื้อสายไทย ลูกครึ่งไทย-ปานามา
ที่หย่าขาดจากสามีที่ชื่อราฟาเดล แรนส์
กับคนไทยที่ชื่อ พันตา นารากรให้ที…ขอด่วนที่สุด…แล้วติดต่อกลับด้วย…’
ฟาเดลอ่านข้อความนั้นแล้ว พร้อมกับจดรายละเอียดบางอย่างที่สำคัญ
ลงในสมุดบันทึกเล่มเล็กที่เขาพกติดตัวตลอด
ก่อนจะลบข้อความดังกล่าวทันที
ดารัลมองสถานที่ใหม่ที่มีอากาศและภูมิประเทศไม่ได้แตกต่าง
ไปจากเมืองไทยนัก ทั้งๆที่อยู่กันคนละซีกโลกด้วยซ้ำ…
และโชคดีสำหรับเธอที่ที่นี่มีกล้วยให้เธอกินทุกวันและทุกมื้อ…
“เพิ่งรู้ว่าคุณชอบกล้วย…” ชายกลางวัยเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นจำเลย
ที่ไม่ได้ทำตัวเหมือนผู้ต้องขังกำลังกินกล้วยด้วยสีหน้าสำราญเบิกบาน…
ขัดกับสถานภาพของตัวเองอย่างสิ้นเชิง
“ข้าวลิงบางทีก็อร่อยกว่าข้าวคนนะคะ…” น้ำเสียงขี้เล่นนั้น
ทำเอาคนฟังถึงกับส่ายหน้า…
“แต่ถ้าไม่อยากตาย คนก็ควรจะกินข้าวคน…”
น้ำเสียงที่เหมือนจะเจือความห่วงใยนั้นทำให้ดารัลมองคนคุมขังเธอ
อย่างพิจารณาให้เห็นถึงข้างในก่อนจะสุมวางเปลือกกล้วยกองๆเอาไว้
“ผ่านมาแค่ครึ่งวันฉันเล่นกินกล้วยไปสองหวีแบบนี้…
คุณคงไม่คิดว่าฉันจะหิวตายได้หรอกนะ…ให้กินหมดเครือในวันเดียวฉันก็กินไหว
ถ้าคุณจะซื้อยกเครือแล้วนำมาแขวนเอาไว้ให้ฉันตรงหน้าต่างห้องน่ะนะ…
รับรองว่าฉันจะไม่เซ้าซี้อยากกินอย่างอื่นเลยละ…
เพราะฉันก็ไม่ได้อยากตาย…อย่างน้อยฉันก็กำลังรอดูอยู่ว่า
พวกคุณจะย้ายฉันไปที่ไหนต่อจากนี้อีก…เที่ยวฟรี อาหารฟรี…
โดยเฉพาะกล้วยของปานามา…อร่อยกว่ากล้วยที่อื่นๆอีก
ฉันเลิกแปลกใจแล้วละ ว่าทำไมกล้วยจึงเป็นพืชเศรษฐกิจของที่นี่…”
ว่าพลางก็ยื่นกล้วยส่งไปให้คนตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มสดใส…
คนมองส่ายหน้าให้กับรอยยิ้มจริงใจนั่น…ดารัลจึงเปลี่ยนเป็นปอกเปลือกกล้วย
เข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆเสียเอง...
“คุณนี่แปลกคนแท้ๆ…ผมไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนเหมือนคุณเลย…”
“ภรรยาคุณล่ะ…เขาเป็นคนยังไง…ทำไมถึงทำให้คุณรักเขามาก
ถึงขนาดไม่ยอมให้ใครมาแทนที่…หวังว่าคงไม่ใช่ผู้หญิงแปลกๆ
อย่างฉันหรอกใช่มั้ย…” น้ำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่นั่นทำให้คนที่กำลังตั้งหน้า
จะต่อว่าคนที่สะกิดแผลเก่าเขาถึงกับสบถอย่างหัวเสียแทน
“บางทีการได้พูดออกมาบ้าง…มันก็ดีเหมือนกันนะ…”
“คงไม่ดีนักหรอก ถ้าคนที่คุยด้วยคนนั้นคือคุณ…”
ชายกลางวัยมองผู้ด้อยอาวุโสกว่าอย่างรู้เท่าทัน
“นั่นก็เรื่องของคุณ…แต่ความลับไม่มีในโลกหรอก…”
ชายกลางวัยมองหญิงสาวที่ก้มหน้าก้มตากินกล้วยแล้วกระตุกมุมปากเพียงนิด
ก่อนจะตีหน้าขรึมเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองเขา
“สงสัยกล้วยที่นี่จะอร่อยอย่างคุณว่าจริงๆ…”
“ก็แล้วจะมัวสงสัยอยู่ทำไม…กินดูสิ จะได้หายสงสัย…”
ไม่พูดเปล่า ดารัลยื่นกล้วยในมือให้เขาสองลูกพร้อมพยักหน้า
เชื้อเชิญราวกับกำลังโฆษณาสินค้าเกรดเอของตัวเองอยู่
เขาจึงรับมาทั้งๆที่ปกติไม่เคยชื่นชอบผลไม้ชนิดนี้มาก่อนเลยในชีวิต
แล้วอดไม่ได้ที่จะนึกถึงใครอีกคนไม่ใช่สิ ต้องสองคนที่ชอบกินกล้วย
และดูท่าทางมีความสุขกับการกินกล้วยเหมือนกับหญิงสาวตรงหน้า…
“ไม่ว่าจะฉันหรือคุณหรือใครๆ เราต่างก็มีเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้”
ดารัลเอ่ยประโยคนั้นขึ้นมาเมื่อเห็นคนที่กำลังกินกล้วยดูตาลอย
เหมือนใจลอยไปถึงที่ที่ไกลเกินเธอจะก้าวไปถึง…
แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการที่เธอมานั่งกินกล้วยอย่างเอร็ดอร่อยอยู่อย่างนี้หรอก
ถ้าเป็นน้องสาวอย่างหะบีบี้ก็คงจะไม่แปลกอะไร
เพราะรายนั้นชอบกล้วยเป็นชีวิตจิตใจตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว…
แต่เป็นเพราะเรื่องที่เธอไม่สามารถควบคุมได้นั่นแหล่ะ
ที่ทำให้เธอต้องพึ่งพากล้วย…จนอดแปลกใจไม่ได้ว่า
กล้วยกลับเป็นอาหารชนิดเดียวที่ทำให้เธอกินได้โดยไม่อาเจียนแสดงพิรุธออกมา…
และหากเริ่มมีอาการดังกล่าว…กล้วยก็สามารถช่วยเธอได้มาก
นี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เธอรักผลไม้ชนิดนี้ขึ้นมาทั้งๆที่เมื่อก่อน
เธอก็ออกจะเฉยๆ…แม้ไม่โปรดปรานนักหากก็ไม่ได้รังเกียจ
จนเดี๋ยวนี้เอง…ที่เธอทั้งชอบทั้งโปรดปรานกว่าอาหารชนิดใดๆ…
‘หรือว่าลูกของเราจะชอบกล้วยคะพี่ฟาเดล…
แต่ก็ไม่รู้ว่าจะปิดเรื่องลูกไปได้สักแค่ไหน ในเมื่อลูกเราก็ดูจะโตวันโตคืน…
อีกไม่นานน้องรัลก็คงท้องยื่นสมใจพี่ละ…’
นึกไปก็เผลอยกมือทาบหน้าท้องตัวเองไปด้วยไม่ได้
ทำให้คนที่ถูกเรียกให้ตื่นจากภวังค์เมื่อครู่มองภาพนั้นอย่างสงสัย
และดารัลก็เหมือนจะรู้ตัวว่าได้เผลอแสดงพิรุธไป จึงพูดขึ้นว่า
“สงสัยกินกล้วยมากไปหน่อย ปวดห้องน้ำเลยค่ะ…
งั้นฉันขอตัวเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ…”
ว่าพลางทำหน้าเหยเก มือก็กุมหน้าท้องไปด้วย ก่อนจะลุกขึ้นไปยังห้องน้ำ…
แต่ก็ยังได้ยินเสียงของเขาตามหลังมา
จนทำให้เท้าที่กำลังก้าวอยู่เกือบสะดุดหกล้ม
“หวังว่าเรื่องที่คุณกำลังควบคุมอยู่ตอนนี้
จะไม่ทำให้คุณกินได้เฉพาะกล้วยหรอกนะ!!!”
ดารัลกลืนน้ำลายลงคอดังเฮือก เสียวสันหลังวาบ…
เธอไม่ควรประมาทชายกลางคนผู้นี้ในเรื่องนี้…
และประโยคต่อมาคือคำตอบ…
“เมียผมเขาไม่เคยชอบกินกล้วย ออกจะเกลียดกล้วยด้วยซ้ำ
แต่พอเขาตั้งท้อง เขาก็เริ่มชอบกล้วย มีความสุขกับการกินกล้วย
ผมต้องไปตามหาซื้อกล้วย บางครั้งก็หาไม่ได้ ทำเอาเมียผมหงุดหงิด
จะกินผมแทน…ผมก็เลยลองปลูกกล้วยตรงบริเวณข้างบ้านดู…
เอาต้นที่มันโตแล้วมาปลูกด้วยนะ...เพื่อจะได้ผลไวๆทันใจเมีย...
และกล้วยน่ะปลูกไม่นานก็ออกลูกให้เก็บกินแล้ว…ปลูกก็ง่าย
และผมก็ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเที่ยวควานหาซื้อกล้วยตามตลาดอยู่บ่อยๆอีกต่อไป
เมียผมก็ดูจะชอบกล้วย กินแล้วอารมณ์ดีทั้งวัน…เหมือนคุณตอนนี้”
ดารัลอมยิ้มหันมาทางคนเล่าทันที เรื่องที่คิดจะไปห้องน้ำนั้น
ถูกลืมไปเสียสนิท
“แต่มาเลิกกินกล้วยเอาก็ตอนหลังคลอดลูก…กลับสู่สภาพเดิมเหมือนก่อนตั้งท้อง…
ผมก็เลยคิดว่ากล้วยที่ปลูกเอาไว้ตั้งมากมายคงเป็นหมันก็งานนี้แหล่ะ
เพราะตัวผมเองก็ไม่ได้โปรดปรานผลไม้ชนิดนี้นัก…
เลยเอาไปแจกชาวบ้านแถวนั้นแทน...
แต่โชคดี เพราะหลังจากนั้นเพียงไม่กี่เดือน
ลูกชายผมก็กลายเป็นเด็กชอบกินกล้วย…เขาดูมีความสุขกับการกินกล้วย…
กินแล้วอารมณ์ดี ไม่กวน ไม่งอแง
ถ้ามีกล้วยแล้วล่ะก็ เขาไม่ร้องขออะไรเลย…
บางวันกินจนนอนท้องกลมคลานไปไหนไม่รอดก็มี…
ผมเลยตัดกล้วยทั้งเครือมาวางไว้ให้เขาหยิบกินได้สะดวก
กล้วยก็จะทะยอยสุกเรื่อยๆ ลูกสุดท้ายสุกเมื่อไหร่
วันนั้นล่ะคือวันที่ผมต้องตัดมาวางไว้ให้ใหม่
บางทีก็มาวางไว้หลายเครือ เพราะผมเอากล้วยหลายชนิดมาปลูก…
เขาก็สนุกกับการเลือกกิน…ผมเลยไม่ต้องเปลืองตังค์ซื้อขนมให้เขานัก
โชคดีที่เขาเป็นเด็กกินง่าย...แม้จะเลี้ยงไม่ง่ายนัก...”
สีหน้าและแววตาของคนเล่าดูมีความสุขจนดารัลอดมอง
อย่างประหลาดใจไม่ได้
“เขาคงเป็นแก้วตาดวงใจของคุณ…” ถ้อยคำน้ันทำให้คนที่กำลัง
เล่าความหลังไปยิ้มไปถึงกับชะงักค้างที่รู้ตัวว่าได้เผลอพูดอะไรออกไป
“ถ้าอยากเล่าก็เล่าเถอะค่ะ…ฉันจะพยายามทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี…”
คนเล่าสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆแล้วพ่นลมหายใจออกมาเมื่อเอ่ยว่า
“โชคร้ายที่แม่ของเขาอ่อนแอ…หลังคลอดลูกได้ไม่ถึงสองปี
เขาก็จากเราสองพ่อลูกไปด้วยโรคที่เกิดจากรังสีนิวเคลียร์ที่รั่วไหล
จากเหตุแผ่นดินไหวตอนที่เขาทำงานในโรงงานแห่งหนึ่ง…
แม้จะไม่มากพอจะแสดงอาการในทันที…
แต่พอรู้ผมก็พาเขากลับบ้านเกิด และไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี
ที่รู้ว่าเรากำลังจะมีลูกด้วยกัน…และลูกก็ได้รับผลกระทบจากแม่ของเขา
ตั้งแต่อยู่ในท้องของแม่เขาด้วย…ผมเองก็พยายามหาเงินมารักษาเขาอย่างสุดชีวิต…
แต่…ก็ไม่อาจยื้อยุดเขาเอาไว้ได้…ต้องปล่อยเขาไปหาแม่เขาอยู่ดี…”
น้ำเสียงของคนเล่าเหมือนคนที่กำลังรู้สึกผิด
…ใช่…แววตาของเขาบอกเธอเช่นนั้น...
“ถ้าตอนนั้นผมขยันมากกว่านี้อีกหน่อย มีเงินมากมายอย่างทุกวันนี้
ไม่ปล่อยให้เมียต้องไปทำงานที่นั่น เธอก็คงไม่จากไปก่อนเวลา…
ลูกก็คงไม่ต้องทรมานกับโรคร้ายที่รุมเร้าเขาอยู่ตลอดเวลาเกือบสิบปี…
เขาเป็นลูกชายที่กินง่าย ไม่ดื้อ ไม่ซน เชื่อฟังก็จริง แต่เพราะเขาเป็นโรค
ที่ต้องดูแลอย่างระมัดระวัง...มันจึงไม่ง่ายเลยที่พ่ออย่างผมในตอนนั้น
จะมีปัญญาช่วยเหลือดูแลเขาได้เต็มที่...เงินคือความจำเป็นสูงสุด...”
ดารัลตาโต ยกมือขึ้นทาบอก คนเล่าจึงหันมายิ้มนิดๆ
ให้หญิงสาวที่ดูจะตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“นี่หรือคะ ที่เป็นเหตุผลให้คุณเลือกเดินเส้นทางสายนี้…
คุณพยายามหาเงินในทางที่ผิดเพื่อปกป้องชีวิตลูกของคุณอย่างนั้นหรือ…
แม้จะต้องฆ่าคนอื่นเพื่อยื้อชีวิตลูกของคุณ คุณก็พร้อมจะทำอย่างนั้นหรือ”
คนฟังพ่นลมหายใจออกมา…
“คนเราใช่จะมีทางให้เลือกเดินนักหรอกคุณ…และบางครั้ง
เมื่อเลือกแล้วก็ถอยหลังกลับไปแก้ไขหรือคิดจะเปลี่ยนแปลงอะไรต่อไปไม่ได้อีกด้วย…
เวลาที่ไร้ซึ่งความหวัง เราก็นึกวูบนึงว่าอยากจะแหวกกฎของสังคมขึ้นมา…
คนจนไม่มีคนมองเห็น...ความหิวไม่เข้าใครออกใครหรอกคุณ...
จุดมุ่งหมายของผมตอนน้ันคือเงินมาดูแลรักษาลูกน้อยให้เติบโต...
ยอมเอาชีวิตทั้งหมดเป็นเดิมพัน…และไม่มีอะไรที่จะแพงเท่าของฟรี…”
ดารัลถึงกับขมวดคิ้วกับถ้อยคำสุดท้ายของเขา
“คุณติดหนี้บุญคุณเขาหรือ…” คนถูกถามเงยหน้าขึ้นสบตาของดารัล
แล้วกระตุกยิ้มที่มุมปาก…
“คุณเป็นคนอย่างนี้นี่เอง…ฉลาด…และพยายามทำความเข้าใจผู้อื่น…
ไม่เลือกว่าคนๆนั้นจะเป็นมิตรหรือศัตรู…” ดารัลส่ายหน้า
“มนุษย์ก็คือมนุษย์…ผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น…ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด
แค่รู้จักสำนึกเท่านั้น…สำนึกแล้วกลับเนื้อกลับตัวและเริ่มแก้ไขใหม่…
เริ่มต้นใหม่ได้ทั้งนั้น” ชายกลางวัยส่ายหน้าไปมา
“อย่ากล่อมผมเลย…มันใช้ไม่ได้ผลหรอก…” ดารัลลอบถอนใจ
“ฉันไม่คิดว่าอย่างนั้นหรอกนะ…แค่รู้สึกว่ามันดูจะไม่คุ้มกันเลย
ที่คุณจะเอาชีวิตทั้งชีวิตที่เหลือของคุณมาขายให้กับคนที่ไม่มีค่าแบบนั้น…
ต่อให้เขามีบุญคุณต่อคุณสักแค่ไหนก็เถอะ...” ชายกลางวัยส่ายหน้า
“จริงๆแล้วเขาก็ไม่เลวจนไร้ค่าขนาดนั้นนักหรอก…
คนเราย่อมมีเหตุผลต่อการกระทำ...ต่อการตัดสินใจกันทั้งนั้น…
และผมคิดว่าผมเข้าใจเขานะ…” ดารัลพ่นลมหายใจออกมา
“คุณยังมีโอกาส…ตราบเท่าที่ลมหายใจยังไม่ถึงลูกกระเดือก…”
ชายกลางวัยโคลงศีรษะ
“มันสายไปแล้วล่ะคุณ…ที่จะกลับไปเป็นคนดีอย่างเดิม…
ถ้าไม่ก้าวต่อไปก็ตาย…ไม่มีถนนสายไหนให้เราย้อนกลับไปได้หรอก
ถึงจะสำนึกได้แล้วไง…โทษของผมน่ะ…ไม่ตายในคุกก็ต้องหลบซ่อนตัวอยู่อย่างนี้
และผมไม่คิดจะไปนอนกินข้าวแดงในคุกหรอกนะ…”
ดารัลจึงเลือกที่จะปลอบคนตรงหน้าว่า
“ขนาดฉันคุณยังเปลี่ยนประวัติได้เลย…ทำไมคุณไม่เปลี่ยนมันให้ตัวคุณเองบ้างล่ะ…”
เท่านั้นแหล่ะ เธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากคนที่เธอหมายจะปลอบ
เสียงของเขา รอยยิ้มของเขาราวกับจะเย้ยหยัน
“เพราะผมยังอยู่บนถนนเส้นนี้อยู่น่ะสิถึงได้รอดอยู่อย่างนี้
ถ้าออกไปจากถนนเส้นนี้เมื่อไหร่ ผมก็คงไม่ต่างจากลูกแกะ
ที่จะถูกสุนัขจิ้งจอกนับพันตัวตามไล่ล่าและแทะเนื้อหนังอย่างสนุุก…
นี่มันคือกฎ กฎที่เป็นสากลเหมือนกันสำหรับคนบนถนนสายนี้…”
ดารัลพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้วบ้าง
“ฉันรู้ว่าทุกที่ทุกสถาบันย่อมมีกฎ…แต่ฉันเชื่อว่ากฎของพระเจ้านั้นศักดิ์สิทธิ์ที่สุด…
ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขไปตามอารมณ์หรือตามใจของใคร
และฉันเองก็ยึดกฎดังกล่าวมาตลอด…เมื่อฉันทำอะไรผิดกฎของพระองค์…
ต่อให้คนทั้งโลกจะไม่เห็นความผิดนั้น แต่ฉันกับพระองค์รู้ดี…
และพระองค์รักผู้ที่รู้สำนึกและรู้จักแก้ไข
พระองค์ให้อภัยทุกๆความผิด แม้ความผิดนั้นจะสูงเท่าภูเขา
หากคนผู้นั้นเข้าหาพระองค์ด้วยหัวใจนอบน้อมและสำนึกผิดอย่างแท้จริง
ผิดบาปที่ว่าใหญ่เทียมเขาพระองค์ก็จะอภัยให้…
และจะตอบแทนสวรรค์ในโลกหน้าอันนิรันดร์ให้ด้วย…
คุณไม่ต้องการอยู่ในสวนสวรรค์ของพระองค์หรือ…
เพียงแค่สำนึกผิดและกลับเนื้อกลับตัว…
คุณก็รู้มิใช่หรือว่าวันนึงเราทุกคนที่เกิดมาก็ต้องตายกันทั้งนั้น…
การตายที่เต็มไปด้วยหัวใจที่สำนึกผิดจะช่วยปลดปล่อยคุณจากความผิดบาปที่แล้วมา…”
ดารัลมองคนตรงหน้านิ่ง เขาเองก็นิ่งจนน่าใจหาย…
แล้วเธอก็ได้ยินเสียงถอนใจยาวจากเขา…
“ดูคุณจะกล่อมผมเสียอยู่หมัด…” ดารัลส่ายหน้า
“เปล่าเลย...เพียงแต่คุณไม่ใช่คนจิตแข็งกระด้างเหมือนเจ้านายคุณ…
คุณเคยเป็นคนจิตใจดี คุณรักเมีย รักลูก…และยอมทำผิดเพราะต้องการปกป้องลูก…
แต่ฉันอยากให้คุณคิด…ว่าคนที่คุณกำลังเล็งปืนฆ่า
คนๆนั้นเขาก็มีครอบครัว มีลูก มีเมียที่เขารักและต้องการปกป้องเหมือนคุณ…
ไม่ต่างกันเลย…ต่อให้เขาจะเป็นศัตรูขวางทางของคุณหรือของเจ้านายคุณก็ตาม…”
ดารัลหยุดเพื่อสูดลมหายใจเข้าปอดเรียกความมั่นใจ
“ซึ่งสุดท้ายแล้ว คุณก็ไม่สามารถยื้อชีวิตลูกของคุณเอาไว้ได้อยู่ดี...
นั่นเพราะชีวิตลูกของคุณไม่ได้อยู่ในอุ้งมือคุณอย่างแท้จริง
แต่อยู่ในความคุ้มครองของพระเจ้า…พระองค์กำหนดเอาไว้แล้วว่า
เขาจะอยู่ในโลกนี้ได้ถึงเมื่อไหร่…เมื่อถึงเวลาต้องไป เขาก็ต้องไปอยู่ดี...
ถ้าคุณจะรู้สึกผิดต่อลูกและเมียที่คุณไม่อาจปกป้องเขาได้
เพราะตัวคุณเองในตอนนั้นจนเกินไป…ไม่มีเงิน...
แล้วทำไมคุณถึงไม่รู้สึกผิดบ้าง ที่เอาเงินบาปจากการฆ่าพ่อของเด็กคนอื่นๆ
มารักษาลูกของคุณให้มีชีวิตรอด…คุณไม่คิดหรือว่าเด็กที่ขาดพ่อเขาจะเป็นอย่างไร…
อย่างน้อยลูกฉันก็กำลังจะไม่มีพ่อให้อุ้มชูเลี้ยงดู…
และฉันเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าจะมีโอกาสได้ดูแลเขาไปอีกนานแค่ไหน…
เราต่างก็ไม่รู้อะไรเลย…
แต่ที่เรารู้ก็คือ เราจะทำให้ดีที่สุด ทำในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดเพื่อเขา…
เมื่อสุดทาง สุดกำลังแล้ว…เราก็คงต้องปล่อย…
คุณเองถึงไม่อยากปล่อยให้ลูกตายไปต่อหน้าต่อตา
แต่คุณก็ไม่มีอำนาจจะยื้อยุดได้ สุดท้ายก็ต้องปล่อยลูกคุณไปอยู่ดี…
เราก็ไม่ได้แตกต่างกันนักหรอก…
ตอนนี้เงินทองของฉัน ชื่อเสียง อำนาจหรือบารีใดๆที่ฉันสั่งสมมา
ก็ยากที่จะช่วยอะไรฉันกับลูกให้ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูกได้มากนัก…
ซึ่งคุณก็เห็นแล้ว…" ดารัลปาดน้ำตาที่เอ่อท้นออกมา เธอสู้ไม่ร้องไห้มาตลอด
แต่พอพูดถึงลูก พูดถึงเด็ก กลับอ่อนไหวได้โดยง่ายดาย...
ก่อนจะสูดน้ำมูกแล้วพูดต่อไปอีกว่า
"ดังนั้น…เงินไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้คุณสูญเสียเมียและลูกไป…
แต่เพราะมันคือกำหนดจากผู้ที่เป็นเจ้าของชีวิตทุกชีวิตต่างหาก…
แต่คุณ…คุณสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตไปบนเส้นทางใด…
คุณมีสิทธิ์เลือก…พระเจ้าให้สิทธิ์นี้แก่มนุษย์ทุกคน…
และทุกคนก็จะได้รับผลตามที่ได้เลือกและปฏิบัติเอาไว้...”
ชายกลางวัยนิ่งงันไปชั่วขณะ…ก่อนจะสบัดหน้า
“ผมไม่น่ามานั่งฟังอะไรเพ้อเจ้อจากคุณเลยจริงๆ…”
จบประโยคเขาก็รีบเดินหนีไป…หากดารัลกลับยื้อยุดเอาไว้ด้วยคำพูดที่ว่า
“คุณจะบอกเรื่องลูกฉันกับเขามั้ย…” ชายกลางวัยหยุดเท้าลง
“ทำไม…กลัวหรือ”
“ฉันก็แค่ผู้หญิงธรรมดาคนนึงที่หวังอยากให้ลูกปลอดภัย…”
ชายกลางวัยพยักหน้า
“ง้ันคุณก็ทำหน้าที่ของคุณต่อไป…”
เท่านั้น เท่านั้นเองที่ทำให้ดารัลถึงกับยิ้มกว้างออกมา…
…ชายคนนี้ไม่ใช่คนเหี้ยมโหด…เธอมองเขาไม่ผิดจริงๆ…
…และเขาอาจจะเปลี่ยนมาช่วยเธอได้ในที่สุด…
แม้ว่าประวัติของเขาที่เธอเคยให้เนเนตสืบมาก่อนหน้านี้จะผิดเพี้ยน
ไปจากที่ได้ยินออกมาจากปากของเขาเมื่อครู่ไปบ้างก็ตาม
แต่ก็นับว่าเธอคาดเดาไม่ผิดว่าชายกลางวัยผู้นี้ไม่ได้มีความเหี้ยมอย่างผู้เป็นนาย…
และโชคดีที่ได้ทางโน้นส่งคนสนิทอย่างชายผู้นี้มาคุมตัวเธอเป็นกรณีพิเศษ…
เธอไม่ได้แค่หวังความเชื่อเหลือจากเขาเพื่อเอาตัวรอดตามลำพัง
หากเธอเองก็หวังอยากให้เขารอดพ้นจากความโสมมของโคลนตมเน่าเหม็น
ที่ฉุดรั้งชีวิตเขาเอาไว้ด้วย...
....โปรดติดตามตอนต่อไป.....
ดังนั้น...คนเราจึงจะตัดสินกันแค่เผินๆ เห็นจะไม่ได้เสียแล้ว...
ใครจะคิดล่ะคะ ว่าแค่กล้วย จะทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องกล้วยๆได้...ฮ่าๆๆ
ตอนหน้ามาลุ้นฉากสำคัญกันค่ะ...
...ขอคุยกับนักอ่านจากคอมเม้นท์ตอนที่แล้วจ้า...
1.คุณร้อยวจี...งานนี้เห็นจะเป็นกล้วยเสียแล้วที่ช่วยชีวิตดารัลและลูกน้อย...ฮ่าๆ
2.คุณตุ๊งแช่...ยังค่ะ ดารัลยังไม่ตาย...ยังกินกล้วยได้สบายๆอยู่เลย...
แค่แก้มช้ำ ไม่มีผมบนหัวเท่านั้นเอง...อิอิอิ...
แต่ต่อไปก็ไม่รับประกันนะคะว่าจะไม่เสียโฉม...เฮะๆ...ส่วนฟาเดลนั้น
เขาก็กำลังพยายามอยู่ค่ะ...แต่โดนแม่มดเมดูซ่าสาปให้กลายเป็นก้อนหิน
ไปแล้วรึไงก็ไม่รู้ค่ะ...เลยไปไหนไม่รอด...
3.คุณแว่นใส...งานนี้ได้กล้วยค่ะ...ไม่แน่ว่าเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ก็อาจจะเป็นไปได้
อย่างที่แม่ของดารัลว่าไว้ค่ะ...ว่าลูกสาวของตนนั้นชนะนายิกาตั้งแต่ยกแรก
เห็นๆอยู่ว่า...ตัวร้ายยังไม่รู้ตัวว่าแพ้...เลยได้แต่กระหยิ่มยิ้มย่อง...
เพราะตัวเองที่คิดจะกินฟาเดลก็ได้แต่อ้าปากค้าง...ส่วนดารัลได้กินทุกอย่างที่อยากกิน
แม้แต่กล้วยก็มีคนหามาให้ถึงปากเลยนะ...แถมได้เที่ยวอีก...
4.คุณnapt...ต้องรอดูตอนหน้าค่ะ...มีฉากสำคัญเลยทีเดียว...
5.คุณปลาวาฬสีน้ำเงิน...ขอบคุณค่ะที่เข้ามาส่งกำลังใจให้เต่าโย...
มาต่อให้กันแล้วนะคะ...เรื่องนี้ใกล้จบแล้วค่ะ...จะพยายามมาให้บ่อยๆ
เท่าที่จะทำได้จ้า...
สุดท้ายไม่ท้้ายสุด...
ขอบคุณนักอ่านทุกท่าน ทุกกำลังใจ ทุกไลค์นะจ๊ะ
...รักษาสุขภาพนะคะ...
"เต่าโย"

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ธ.ค. 2557, 21:42:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ธ.ค. 2557, 21:42:28 น.
จำนวนการเข้าชม : 3487
<< บทที่ 25 ร้ายแรงริษยา | บทที่ 27 เรื่องกล้วย กล้วย >> |

ปลาวาฬสีน้ำเงิน 3 ธ.ค. 2557, 22:51:15 น.
555 เรื่อง กล้วย กล้วย แต่สนุกมากค่ะ ผูกโยงเรื่องราว ได้สนุกและชอบมาก ตอนพรรณาเรื่องพระเจ้า ซาบซี้ง ค่ะ (ปลื้มเลย)
555 เรื่อง กล้วย กล้วย แต่สนุกมากค่ะ ผูกโยงเรื่องราว ได้สนุกและชอบมาก ตอนพรรณาเรื่องพระเจ้า ซาบซี้ง ค่ะ (ปลื้มเลย)


napt 3 ธ.ค. 2557, 23:54:04 น.
ชอบที่เขียนเกี่ยวกับความศรัทธาต่อพระเจ้าเหมือนกันค่ะ บางเรื่องไม่เคยรู้มาก่อนเลย อ่านแล้วได้ความรู้เพิ่มขึ้น
ชอบความฉลาดและการพลิกหาแง่มุมดีๆในแต่ละเหตุการณ์ของน้องรัล หวังว่าจะได้กลับบ้านไวๆนะคะ
รอลุ้นตอนหน้าค่ะ จะมีฉากสำคัญอะไรน๊อ
ชอบที่เขียนเกี่ยวกับความศรัทธาต่อพระเจ้าเหมือนกันค่ะ บางเรื่องไม่เคยรู้มาก่อนเลย อ่านแล้วได้ความรู้เพิ่มขึ้น
ชอบความฉลาดและการพลิกหาแง่มุมดีๆในแต่ละเหตุการณ์ของน้องรัล หวังว่าจะได้กลับบ้านไวๆนะคะ
รอลุ้นตอนหน้าค่ะ จะมีฉากสำคัญอะไรน๊อ


แว่นใส 4 ธ.ค. 2557, 08:49:42 น.
ตอนนี้สงสารฟาเดลแฮะ ทุกคนถูกไล่ออกจากชีวิตหมด อยู่กับยัยบ้าอะไรก็ไม่รู้ ปวดหัวใจเนอะ
ตอนนี้สงสารฟาเดลแฮะ ทุกคนถูกไล่ออกจากชีวิตหมด อยู่กับยัยบ้าอะไรก็ไม่รู้ ปวดหัวใจเนอะ

ตุ๊งแช่ 4 ธ.ค. 2557, 10:09:30 น.
ดารัล มีสติมากๆๆ ฟาเดลใกล้สติแตกแล้วมั้ง ตัวร้ายอีกตัวถอยแล้วเหรอค่ะ
ดารัล มีสติมากๆๆ ฟาเดลใกล้สติแตกแล้วมั้ง ตัวร้ายอีกตัวถอยแล้วเหรอค่ะ