...คาสบลังก้า...ดารัลฟาเดล...(จบแล้วค่ะ)
สืบเนื่องมาจากเรื่อง "อะรูซะตี...เจ้าสาวของผม"
เรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวของลูกสาวสุดหวงของหมอดานีส
กับนาดา โดยเรื่องราวของคุณพ่อเมื่ิอครั้งก่อนนั้น
จะเป็นแนา "แต่งก่อนจีบ"
แต่สำหรับรุ่นลูกแล้ว จะเป็นแนว "จีบก่อนแต่ง"
ต้องมาคอยดูกันค่ะว่า จะจีบกันอย่างไร แล้วคุณหมอดานีส
ที่ต้องมารับบทบาทเป็นพ่อของลูกทั้งเจ็ดจะตกอยู่ในสภาพเช่นไร..
แล้วนาดาจะเป็นแม่แบบไหน...
เรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศของเมือง
"คาสบลังก้า" หรือ "อัดดารัลบัยฎออ์"
ซึ่งแปลว่า..."บ้านสีขาว"
ดินแดนในฝันดั่งต้องมนต์เสน่หาแห่งโมร็อกโก...
กับดินแดนอันแสนอบอุ่นด้วยไอรักแห่งแดนอาทิตย์อุทัย...
พบกับเขาและเธอ...
...ดารัล...ฟาเดล...
หญิงสาวที่หัวใจเปี่ยมล้นไปด้วยความรักความอบอุ่น
จากครอบครัวอันแสนสุขและน่ารัก...
ชีวิตที่มีพร้อมทุกอย่าง ไม่เคยต้องการสิ่งใดอีกแล้ว
เพราะเธอพอใจทุกอย่างที่มีมาตลอด
จนเมื่อเจอกับเขา...ที่นั่น "คาสบลังก้า"
เขาทำให้เธอไม่อาจลบลืมมนต์เสน่หาของที่นั่นได้เลย
ไม่ว่าจะยามหลับหรือตื่น...
กับ
ชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยรูปเปลือกที่สวยงามสมบูรณ์
หากภายในใจนั้นยังคงโหยหาไออุ่นแห่งรักจากใครสักคน
มาเติมเต็มหัวใจกำพร้าของเขา...
แล้วเธอคือผู้ที่เขาค้นพบว่ามีทุกอย่างที่เขากำลังต้องการอยู่
ดังนั้น...ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร เขาก็จะปล่อยเธอ
ไปไม่ได้โดยเด็ดขาด!
เรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวของลูกสาวสุดหวงของหมอดานีส
กับนาดา โดยเรื่องราวของคุณพ่อเมื่ิอครั้งก่อนนั้น
จะเป็นแนา "แต่งก่อนจีบ"
แต่สำหรับรุ่นลูกแล้ว จะเป็นแนว "จีบก่อนแต่ง"
ต้องมาคอยดูกันค่ะว่า จะจีบกันอย่างไร แล้วคุณหมอดานีส
ที่ต้องมารับบทบาทเป็นพ่อของลูกทั้งเจ็ดจะตกอยู่ในสภาพเช่นไร..
แล้วนาดาจะเป็นแม่แบบไหน...
เรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศของเมือง
"คาสบลังก้า" หรือ "อัดดารัลบัยฎออ์"
ซึ่งแปลว่า..."บ้านสีขาว"
ดินแดนในฝันดั่งต้องมนต์เสน่หาแห่งโมร็อกโก...
กับดินแดนอันแสนอบอุ่นด้วยไอรักแห่งแดนอาทิตย์อุทัย...
พบกับเขาและเธอ...
...ดารัล...ฟาเดล...
หญิงสาวที่หัวใจเปี่ยมล้นไปด้วยความรักความอบอุ่น
จากครอบครัวอันแสนสุขและน่ารัก...
ชีวิตที่มีพร้อมทุกอย่าง ไม่เคยต้องการสิ่งใดอีกแล้ว
เพราะเธอพอใจทุกอย่างที่มีมาตลอด
จนเมื่อเจอกับเขา...ที่นั่น "คาสบลังก้า"
เขาทำให้เธอไม่อาจลบลืมมนต์เสน่หาของที่นั่นได้เลย
ไม่ว่าจะยามหลับหรือตื่น...
กับ
ชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยรูปเปลือกที่สวยงามสมบูรณ์
หากภายในใจนั้นยังคงโหยหาไออุ่นแห่งรักจากใครสักคน
มาเติมเต็มหัวใจกำพร้าของเขา...
แล้วเธอคือผู้ที่เขาค้นพบว่ามีทุกอย่างที่เขากำลังต้องการอยู่
ดังนั้น...ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร เขาก็จะปล่อยเธอ
ไปไม่ได้โดยเด็ดขาด!
Tags: หวานซึ้งโรแมนติก ดราม่า โมร็อกโก คาสบลังก้า ทะเลทรายซาฮาร่า ดารัล ฟาเดล โสภณพสุธ
ตอน: บทที่ 27 เรื่องกล้วย กล้วย
เนเนตและลูกทีมอีกสี่คนซึ่งปลอมแปลงเอกสารเข้ามาในประเทศปานามา
เพื่อไม่ต้องการให้ทางฝ่ายตรงข้ามตรวจสอบการเคลื่อนไหวของพวกเธอได้…
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ได้ความร่วมมือจากฟาเดลและคนในตระกูลโสภณพสุธ
คอยให้ความสะดวกในทุกกระบวนการ…
และเพราะดารัลที่ทิ้งข้อความเอาไว้ทำให้พวกเธอสามารถแกะรอยได้แล้วในบางจุด…
แต่ยังหาพิกัดไม่เจอ…
แม้ปานามาจะไม่ใช่เมืองใหญ่และมีประชากรมากมายนัก ไม่ถึงสี่ล้านคนด้วยซ้ำไป
หากก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะงมหาคนในประเทศนี้
และยังต้องเฝ้าระวังเรื่องทำผิดกฎหมายด้วย…เนื่องจากที่นี่ไม่มีกฎส่งนักโทษกลับประเทศ
และคุกของที่นี่ก็ไม่ได้น่าพิสมัยเลยสักนิดเมื่อเทียบกับที่อื่นๆในโลก…
เนเนตและพรรคพวกจึงต้องระมัดระวังอย่างที่สุด…
หากก็เป็นอีกวันที่ต้องคว้าน้ำเหลว…
“อยู่ไหนนะคุณรัล…คุณอยู่ที่ไหน…” แล้วสักพักเธอก็ได้ยินเสียงมือถือ
“ว่าไงคุณ…”
“ได้เรื่องบ้างมั้ย…” เนเนตลอบถอนใจ
“ยังเลยค่ะ…หวังว่าคงจะไม่มีการเคลื่อนย้ายอีกนะคะ…”
หญิงสาวพ่นลมหายใจหนักและยาว…
“เมื่อเช้าฉันขอให้นายิกาติดต่อน้องรัลให้…และได้คุยกับน้องรัลแค่สองนาที…
เธอบอกฉันว่า…ชอบกล้วย…ซึ่งปกติน้องรัลไม่ได้ชอบกล้วยสักเท่าไหร่…
และยังบอกอีกว่า ปานามาเหมือนเมืองไทย…กล้วยที่ปานามาทำให้เขาคิดถึง
กล้วยที่บ้านเกิด เพราะที่บ้านเกิดปลูกกล้วยไว้มากมายหลายพันตาพันช่าง
และได้รับความการุณจากผู้คุม…ทำให้มีกล้วยกินประจำ…
เธอพอจะแกะรหัสลับของนายสาวเธอได้บ้างมั้ย…” เนเนตกระตุกคิ้ว
“คุณพิมพ์เป็นข้อความส่งมาให้ฉันเลย และคุณแน่ใจนะว่าไม่มีคำพูดใดตกหล่น…”
“แน่ใจสิ…ฉันรู้ว่าน้องรัลต้องส่งสารมาก็เลยพยายามฟังและพยายามจำ
เธอเชื่อความจำฉันได้…” ฟาเดลชี้แจงเสร็จก็วางหูแล้วรีบพิมพ์ข้อความ
ส่งไปให้เนเนตทันที…เพียงไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็ได้รับสายจากทางโน้นทันที…
“ฉันแกะไม่ออก…มันน่าจะเป็นรหัสทางภาษาไทยที่คุณสื่อสารกันสองคนรึเปล่า
คุณเขียนแปลมาให้ฉันเป็นอาหรับแบบนี้ ไม่น่าจะตรงเป้า
เอาเป็นว่าคุณพยายามแกะต่อไปได้มั้ย…
เพราะเท่าที่ฉันรู้มาคือ คุณรัลไม่ได้มีบ้านเกิดที่ปลูกกล้วย เธอเกิดที่ญี่ปุ่น…
แล้วที่เธอบอกว่าปานามาเหมือนเมืองไทยน่ะ ฉันเห็นด้วย
เพราะฉันก็เคยไปเที่ยวเมืองไทยมาแล้วพร้อมเจ้านายคนก่อนของฉัน…
ไม่ ไม่ ไม่…เธออาจจะหมายถึง เธอกำลังจะไปเมืองไทยก็ได้นะคุณ…”
เนเนตเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ถูกของเธอ น้องรัลเกิดที่ญี่ปุ่น และที่นั่นก็ไม่ได้มีกล้วย
และเป็นไปได้ว่าเธอกำลังไปเมืองไทย…”
“ดังนั้น บ้านเกิดที่เธอพูดถึงก็ไม่ใช่บ้านเกิดของเธอ
แต่น่าจะเป็นบ้านเกิดของใครสักคนที่ไทย…น่าจะมีชื่อของคนๆนั้นอยู่ในสาร
คุณลองนึกดู…ชื่อคนไทยในสารของเธอน่ะ…”
เมื่อโดนสะกิด ฟาเดลที่นั่งนึกถึงคำพูดของภรรยาซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาตลอดก็ดีดนิ้วเปาะ…
“พันตาไง…นายพันตานั่นไง…นายพันตาที่เป็นญาติสนิทคนไทย
ของวาเนสซ่าที่เธอให้ฉันหาข้อมูล…”
“ไม่ ไม่ พันตานั้นเป็นชื่อคนคุมตัวเธอต่างหาก…และเราก็ไม่รู้ว่า
ใครเป็นคนคุมตัวเธออยู่…พันตาน่ะ…ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของคนๆนั้นแน่…
คุณลองนึกอีกนิดว่ามีชื่ออะไรที่น่าจะส่อเค้าอีกบ้าง”
ฟาเดลนึกคิดไปมาอยู่ครู่ก่อนจะพึมพำประโยคท้ายๆออกมา
เพราะปกติแล้ว ภรรยาสาวของเขาจะเอาหัวกับท้ายเป็นสำคัญเวลา
ต้องการสื่อสารข้อมูลดังกล่าวกับเขาโดยตรง
แต่จะยึดตรงกลางประโยคเป็นสำคัญเมื่อจะสื่อสารกับเนเนต
“ความการุณจากผู้คุม…พอจะมีคนชื่อการุณบ้างมั้ย
ที่น่าจะเข้าเค้าน่ะเนเนต…เพราะเป็นประโยคสุดท้ายที่น้องรัลพูด
น่าจะสำคัญที่สุด…พอๆกับกล้วย…ที่ขึ้นต้นประโยคมา… ”
แม้ฟาเดลจะพูดสื่อสารกับเนเนตเป็นภาษาอาหรับ แต่คำว่าชื่อ การุณ
ที่ถูกทับศัพท์ทำให้หญิงสาวส่งเสียงดีใจออกมา
“ใช่…คุณรัลเคยให้ฉันหาประวัติคนที่เกี่ยวข้องกับนายิกาทุกคน
และการุณ ชื่อนี้ฉันจำได้แม่น เพราะว่า เขาคือคนสนิทใกล้ชิดกับตาเฒ่านั่น…
เขาชื่อ การุณ ปรัชญาธร…ประวัติของเขาอยู่ท่ีคุณนาดา
คุณไปขอจากท่านได้เลย…และบอกให้ท่านสืบลึกลงไปให้ด้วยนะ
เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เราคงต้องควานหาบ้านเกิดของนายนั่นกันแล้วล่ะ
ให้ใครไปรอฉันที่ประเทศไทยก่อนได้เลย…เพราะนายนั่นมีบ้านเกิดอยู่ที่เมืองไทยชัวร์…
แล้วยังไงถ้าคุณอยากช่วยเธอ…หาทางพาเจ้าสาวของคุณไปฮันนีมูนที่เมืองไทยสิ…
ฉันแนะนำ…งานนี้ฉันจะไม่ให้พลาดอีกแล้ว…เพราะตอนนี้
ก็คงช้าเกินไปสำหรับปานามา”
เนเนตพูดยาวกว่าครั้งไหน จนฟาเดลถึงกับอึ้งและพยายามเก็บข้อมูล
“เธอนี่เหลือเชื่อจริงๆเนเนต ฉันไม่ผิดหวังเลยที่จ้างเธอมาดูแลน้องรัล”
แล้วเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากปลายสาย นั่นยิ่งทำให้เขาประหลาดใจ
ผู้หญิงคนนี้ดีแต่ยิ้มและหัวเราะให้ดารัล กับเขานั้นแค่เห็นยิ้มที่มุมปากก็ว่ามากแล้ว
แต่นี่เล่นหัวเราะใส่หูโทรศัพท์ทางไกลให้เขาได้ยินเสียด้วย
“ฉันขอยกความดีความชอบให้ภรรยาคุณก็แล้วกัน…
อ้อ…ให้คุณนาดาช่วยสืบเรื่องเมียและลูกของเขา บ้านเกิดเมียเขา
ที่ที่เขาอยู่ก่อนจะมาทำอาชีพนี้ เอาให้หมดเลยนะคุณ…
เพราะตอนที่ฉันให้คนตามสืบน่ะ…นักสืบไม่ได้มีบารมีมากมาย
พอจะล้วงข้อมูลลึกขนาดนั้นมาให้ได้…เลยได้ข้อมูลแบบตื้นๆมา…
เอาเป็นว่า เมืองไทยคือเป้าหมายต่อไปของเรา…
ฉันจะหาเที่ยวบินไปเมืองไทยทันที…”
เมื่อสนทนาจบหญิสาวก็วางสายแล้วเดินไปถามราคากล้วยกับแม่ค้าในตลาดแถวนั้น
ก่อนจะชิมดูแล้วแบ่งให้ลูกน้องคนอื่นๆได้ชิมบ้าง
เมื่อกินไปสองลูกจึงเปรยออกมากับเพื่อนบอดีการ์ดสาวอีกคนว่า
“ฉันว่ากล้วยที่นี่อร่อยดีนะ…สงสัยคุณรัลคงชอบกล้วยของที่นี่
ถึงได้เพ้อถึงกล้วย…”
“แต่ฉันว่า…กล้วยน่าจะเป็นกุญแจดอกสำคัญมากกว่านะเนเนต…”
เพื่อนสาวตั้งข้อสังเกต
“ก็น่าจะอย่างนั้น…ว่าแต่ทำไมต้องกล้วย…” หญิงสาวพึมพำ
มองเศษเปลือกกล้วยในมือแล้วแกว่งไปมาอย่างใช้ความคิด
“หน่า ไปถึงเมืองไทยคงได้รู้กัน…ว่าแต่เราคงจะไม่กินกล้วยพวกนี้
เป็นอาหารเย็นหรอกนะ…” เพื่อนสาวล้อเจ้ามือที่ซื้อกล้วยให้กิน
“ก็แล้วจะกินอะไร…เราต้องรีบเดินทางต่อนะ…หนทางยังอีกยาวไกล
ไปกินบนเครื่องดีกว่ามั้ย ตอนนี้กินกล้วยรองท้องไปก่อน…
รับรองเสร็จจากงานนี้ฉันจะให้คุณรัลเลี้ยงมื้อใหญ่พวกเธอทั้งหมดเลย…”
สิ้นเสียงนั้นก็ได้ยินเสียงฮาดังออกมาจากทุกคน…ก่อนจะตามด้วยเสียงแซว
“ให้คุณรัลเลี้ยงหรอกรึ…นึกว่าเธอจะยอมควักตังค์เลี้ยงเองซะอีก…
ยังขี้เหนียวเหมือนเดิมนะเนเนต” คนขี้เหนียวตวัดสายตาคมดุใส่
ทำเอาทุกสรรพเสียงเงียบกริบ…
“ฉันมีแต่ลูกตะกั่ว ใครอยากกินก็พูดออกมา…” เท่านั้นแหล่ะ
ทุกคนก็ก้มหน้ามองกล้วยในมือแล้วเคี้ยวๆกลืนลงกระเพาะไป…
อย่างน้อยกล้วยมันก็ยังดีกว่าลูกตะกั่ว…หลังจากนั้นจึงไม่มีเสียงแซว
ให้ระคายเคืองหูลูกพี่ไปตลอดเส้นทาง…
ดารัลมองตัวบ้านไม้ยกพื้นหลังเก่าค่อนไปทางทรุดโทรมที่เธอถูกนำตัวมา…
ภายในบ้านไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ
เฟอร์นิเจอร์ที่ดูมีค่ามากที่สุดดูจะเป็นเตียงนอนที่ยังพอดูแข็งแรงอยู่
แม้จะมีสภาพไม่ได้แตกต่างไปจากไม้ที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวบ้าน
และเธอคาดเดาไม่ผิดสักนิด เมื่อหันไปรอบๆบริเวณบ้าน
ที่มีแต่ต้นกล้วยมากมายหลายสายพันธุ์ ทำให้สถานที่ดูรกครึ้ม…
เป็นส่วนตัว แถมยังอยู่ลึกเข้ามาจากถนนสายหลัก…
“บ้านเกิดคุณดูเงียบจัง…” ว่าพลางสอดส่ายสายตาหาที่นั่งที่พอจะนั่งได้
หากก็ไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง ดารัลจึงหย่อนก้นลงนั่งบนพื้นตรงชานบ้าน
ที่ได้รับการทำความสะอาดแล้ว อย่างน้อยบรรยากาศตรงนี้ก็ดูปลอดโปร่ง
มีลมพัดโชย ไม่อดอู้เหมือนภายในตัวบ้านนัก…
“เมื่อก่อนเคยมีชาวบ้านอยู่กันเยอะ…แต่หลายปีมานี้ก็อพยพไปอยู่ที่อื่นกันหมด…”
ดารัลหันมามองคนพูด ก่อนจะเลิกคิ้วสูง เพราะเธอแน่ใจว่า
นี่ไม่ใช่ที่สุดของคำตอบ
“โดนไล่ที่ละสิ…” คนฟังกระตุกยิ้มที่มุมปาก
“ดูคุณจะรู้ทันคนอื่นไปหมดเลยนะ…” ดารัลโคลงศีรษะ
“อย่าเรียกว่ารู้ทัน ต้องเรียกว่ารู้จักความเป็นคนของคนดีกว่า
คนก็อย่างนี้แหล่ะ…และคนอย่างคุณก็คงเจออะไรแย่ๆ
ได้รับมลพิษจากลมปากของคนแถวนี้มาก่อนใช่มั้ยล่ะ…
พอถึงจุดนึงก็เลยอยากกลับมาแก้แค้นคนพวกนั้นนิดๆหน่อยๆ ให้สะใจเล่น…
ยิ่งพอมีอำนาจพอที่จะจัดการกับใครหรืออะไรก็ได้ ก็ขอเอาเสียหน่อย
เพราะรู้สึกว่ารอให้คนพวกนี้โดนลงโทษจากพระเจ้าไม่ไหว ไม่ทันใจ
เลยขอใช้อำนาจที่มีลงทัณฑ์คนเหล่านั้นแทน…”
เป็นอีกครั้งที่ชายกลางคนที่บัดนี้แต่งกายเหมือนคนปกติทั่วไป
ไม่ได้สวมชุดหรูหราอะไรอย่างเคยถึงกับกระตุกยิ้มที่มุมปาก
“นอกจากจะช่างพูดแล้วยังช่างจินตนาการด้วย…”
“แล้วมีตรงไหนที่ฉันจินตนาการผิดไปจากของจริงบ้าง
คุณก็ช่วยแก้ให้ถูกด้วยแล้วกัน…ฉันก็แค่คาดเดาสุ่มมั่วไปงั้นเอง…”
คนที่เหมือนถูกคาดคั้นให้เล่าประวัติถึงกับหัวเราะฮึๆในลำคอ…
“จะอยากรู้ไปทำไม ความจริงน่ะบางทีก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าฟังนักหรอก
สู้ฟังนิทานหลอกเด็กก็ไม่ได้…” ดารัลหันมายิ้มให้เขาอย่างจริงใจ
ก่อนจะหันไปมองบรรดาลูกน้องของเขาที่เดินสำรวจสถานที่รอบๆ
บริเวณบ้านไปด้วย…
“ลูกน้องชุดใหม่เหรอ…ทำไมหน้าไม่คุ้น…” ดารัลเอ่ยถามขึ้น
“เข้าใจรู้จักสังเกตนี่…” คนถูกถามเอ่ยชม
“พวกนี้เป็นคนในท้องถิ่นนี่แหล่ะ…และเป็นคนที่เชื่อผมมากกว่าคนอื่น”
ดารัลหันมามองคนพูดด้วยแววตาคาดคั้น
“อย่ามองผมอย่างนั้นเลย…และก็เลิกหวังด้วยว่าจะรอด…
ที่ผมเลือกคนพวกนี้ก็เพราะคนพวกนี้สามารถแฝงตัวในพื้นที่นี้และรู้จักละแวกนี้ดี…
ไม่ใช่เหตุผลที่คุณพยายามเข้าข้างตัวเองหรอก
ผมไม่ใช่คนคิดคดทรยศผู้มีพระคุณ…” ดารัลถอนใจยาวต่อหน้าคนพูดอย่างเปิดเผย
คนที่ยืนเหมือนหุ่นเลยทรุดกายลงนั่งห้อยขาตรงระเบียงบ้าน
ห่างจากดารัลไปเกือบสองเมตร…ท่าทางของเขาดูสบายๆ
จนดารัลลอบยิ้มเมื่อรู้ว่าคนที่คุมตัวเธอเลือกที่นี่
เพราะอยากจะกลับมาระลึกความหลังนั่นเอง
…ทำให้เธอได้รู้ว่า คนผู้นี้เป็นคนเลือกสถานที่คุมขังเธอไม่ใช่ตาเฒ่านั่น…
“คุณรู้มั้ยว่าที่ญี่ปุ่นน่ะมีหญิงไทยไปขายบริการอยู่ไม่น้อยเลย ชาวพิลิปปินส์ก็เยอะ…
ตระกูลฉันเคยข้องเกี่ยวกับงานระหว่างประเทศ
และฉันเคยมีโอกาสได้พบเจอหญิงไทยที่ถูกจับได้ บางคนก็ตายอย่างอนาถ
กว่าจะพิสูจน์ศพหาที่มาที่ไปได้ ก็ใช้เวลาไม่น้อยเลย…
คุณรู้มั้ยว่าเหตุผลที่ฉันได้ยินจากปากพวกเธอเหล่านั้นคืออะไร…”
ดารัลหันมาเลิกคิ้วข้างนึงให้คนที่เธอกำลังสนทนาด้วย
“ถูกพ่อแม่ขายทอดตลาดมา…” เมื่อไม่ได้รับความสนใจจากอีกคน
ดารัลเลยถามเองตอบเองเสีย…
“เด็กสิบสี่สิบห้านะคุณ…ยังมองดูความสวยงามของโลกนี้ได้ไม่กี่ปี
ก็โดนพ่อแม่จับโยนลงเหวนรก…และที่ยอมเพราะคำว่า กตัญญูคำเดียว…
พ่อแม่จะได้กินอยู่สบาย…ฉันเองก็ไม่อยากจะประณามแต่เฉพาะคนขาย
อย่างเดียวหรอกนะ เพราะไอ้คนซื้อมันก็ไม่ได้มีศีลธรรมด้วยแหล่ะ…
กินมั่วไม่เลิก…ขนาดเด็กก็ไม่เว้น…มีเมียที่บ้านแล้วยังไม่พอ…
ส่วนคนขายก็ทำได้แม้กระทั่งเลือดในอก…”
ดารัลเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกทีเดียว…ยิ่งเมื่อนึกถึงภาพผู้หญิงที่ถูกล่อลวงมาขายตัว
เธอก็ยิ่งเกิดอารมณ์ทุกครั้งไป
…เธอขยะแขยงสังคมและผู้คนที่เห็นแก่ตัวแบบนั้นที่สุด
ในเมืองที่เปลือกนอกสวยงามดูศิวิไลอย่างญี่ปุ่นก็ยังมีมุมมืดดำที่น่ารังเกียจ
และโสมมจนน่าขยะแขยงอย่างที่คนภายนอกที่ไม่ได้เข้าไปสัมผัส
จะไม่มีทางได้เห็น…
“บางคนเขาก็เต็มใจ…ไม่ได้ถูกล่อลวงหรือถูกบังคับไปหรอกคุณ…”
เสียงของเขาดูราบเรียบค้านขึ้น ทำให้คนที่พูดคนเดียวถึงกับใจชื้น
ว่าเขายังฟังเธออยู่
“ก็เพราะถูกกรอกความคิดผิดๆใส่หัวเอาไว้น่ะสิ…และถ้าฉันเดาไม่ผิด
เมื่อก่อนคนแถบนี้ก็มีความคิดแบบน้ันใช่มั้ย…”
แล้วดารัลก็ได้เห็นคนที่นั่งนิ่งๆกำหมัดแน่น ใบหน้าที่เรียบอยู่แล้วก็ยิ่งตึงเข้าไปอีก…
…ดารัลรู้ประวัติว่าเขาเคยเดินทางไปทำงานที่ญี่ปุ่นและพบรักกับภรรยาที่นั่น…
แค่นั้นเธอก็พอเดาอะไรลางๆได้บ้างแล้ว…
แต่เมื่อได้ยินจากปากเขาว่าภรรยาของเขาได้รับผลจากรังสีนิวเคลียร์
เพราะทำงานในโรงงาน จึงทำให้เธอคาดผิดไปนิด…
แต่ก็คิดว่าหญิงสาวที่ถูกส่งไปญี่ปุ่นโดยส่วนใหญ่แล้วยากนักที่่จะถูกส่งไป
เพราะไปทำงานสุจริต ยิ่งหญิงไทย ยิ่งมีโอกาสสูงที่จะไปขายบริการ
มากกว่าจะไปทำงานอย่างอื่น…
“เธอโดนล่อลวงไป…แต่หนีเอาตัวรอดมาได้ตอนอยู่ที่ญี่ปุ่่น
แล้วก็หลบหนีหัวซุกหัวซุนจากการไล่ล่าของพวกนั้น
จนเราได้เจอกัน…ผมไปทำงานที่นั่นอย่างถูกต้องทุกอย่าง
เลยขอแต่งงานกับเธอที่สถานทูตไทยที่นั่น เราอยู่ด้วยกันที่นั่นต่อ
เพราะจะกลับบ้านเกิดเลยก็ไม่มีที่ให้ยืนนักหรอก…ผมเองก็เป็นแค่
เด็กช่างจนๆที่ทางโรงงานในเมืองไทยส่งตัวไปฝึกงานที่โน่น…”
ดารัลที่ได้รับคำตอบที่สงสัยถึงกับแปลกใจที่คนตรงหน้า
เหมือนจะให้ความไว้วางใจเธอมากขึ้น…
“พอคุณพาภรรยาคุณกลับมาอยู่ที่นี่ เลยเจอมลพิษจากลมปากคนใช่มั้ย…
ยิ่งภรรยาคุณเป็นโรคแปลกๆที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ก็เลยถูกตราหน้าและถูกปฏิบัติเลวๆจากคนในหมู่บ้านใช่รึเปล่าคุณ
เพราะเขาเหมารวมเธอไปด้วยว่าเป็นผู้หญิงอย่างว่าไปด้วย...”
คนถูกถามไม่พูดนอกจากพยักหน้า
…มีอะไรบางอย่างในตัวผู้หญิงคนนี้ที่ทำให้เขาไว้ใจ…
และทำให้เขาคิดถึงภรรยาและลูก…
และเรื่องราวที่เกี่ยวกับเธอและลูกนั้นไม่เคยหลุดจากปากของเขา
เขาได้แต่กดและเก็บมันเอาไว้กับตัวเองและตั้งใจจะฝังมันเอาไว้
แต่ผู้หญิงคนนี้กลับสะกิดมันขึ้นมา แล้วเหมือนกับว่าตอนนี้
มันกำลังพุ่งเหมือนน้ำในท่อประปาแตก…
“ไม่รู้จะเรียกว่าความบังเอิญหรือความตั้งใจของใครท่ี่ทำให้ผม
ได้เจอกับเธอและช่วยเหลือเธอที่ญี่ปุ่น
เธอกับผมเรารักกันมาก่อนที่ผมจะถูกส่งตัวไปญี่ปุ่น…
ตอนเห็นเธอไปตกระกำลำบากที่นั่น ผมยังแปลกใจอยู่เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ…
แล้วเธอไปโผล่อยู่ที่นั่นได้ยังไง…
กว่าจะช่วยเธอออกมาได้ เราสองคนก็ผ่านเรื่องร้ายๆมาด้วยกันมากมาย…
มากจนผมคิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีใครจะรักและจริงใจกับผมได้เท่าเธอผู้นั้นอีก…”
คนเล่ายิ้มตรงมุมปาก สายตานึกย้อนไปถึงวันวาน…
“แล้วก็จริง…ไม่มีผู้หญิงคนไหนเหมือนเธอ…เธอไม่ใช่คนแปลกเหมือนคุณ
ไม่ได้ฉลาดเหมือนคุณ ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย
และก็ไม่ได้สวยเด่นไปกว่าใคร แต่เธอมีหัวใจที่เข้มแข็ง
และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ร้ายต่างๆโดยไม่บ่นสักคำ
เหมือนคุณในตอนนี้…” พูดแล้วเขาก็หันมามองดารัลด้วยแววตาชื่นชม
ทำเอาดารัลถึงกับรู้สึกกระดากอายขึ้นมา…
“ขนาดวันสุดท้ายของเธอที่ผมก็รู้ดีว่าเธอต้องทุกข์ทรมานกับโรคนั้นมานานแค่ไหน…
แต่เธอก็ยังยิ้มได้…เธอไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญอย่างที่ผู้หญิงทั่วไปมักจะเป็นกัน…
เผชิญหน้ากับความตายที่รออยู่ด้วยรอยยิ้ม ผมเห็นเพียงรอยยิ้มสดใสจากเธอ…
เธอบอกให้ผมเข้มแข็ง…อย่าร้องไห้…ต้องทนฝืนต้องอยู่ให้ได้
ขอให้ผมเริ่มต้นใหม่กับคนอื่น…แววตาเธอมีแต่ความรักความจริงใจ”
ดารัลน้ำตาคลอโดยไม่รู้ตัว…และแอบรู้สึกผิดที่สะกิดแผลเก่าของเขา
ที่เขาคงต้องการฝังมันให้ลึกสุดใจออกมา…เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกผิด
ที่ใช้วิธีสะกิดแผลคนอื่นเพื่อหาจุดอ่อนแบบนี้…
“ผมถึงกับสาบานทั้งน้ำตาต่อหน้าเธอว่าจะขอรักเดียวแค่เธอไปจนสิ้นลมหายใจ…”
ดารัลยิ้มขณะที่น้ำตากลิ้งลงจากดวงตาระผิวแก้มโดยไม่มีเสียงสะอื้นใดๆหลุดรอดออกมา
“แล้วคุณก็ยังรักเธออยู่…น่าอิจฉาภรรยาคุณนะคะ…”
ดารัลเอ่ยด้วยน้ำเสียงและแววตาชื่นชม…
เธอได้กระเทาะเปลือกนอกของคนผู้นี้ออกจนเห็นเนื้อในของเขาแล้ว…
เนื้อในที่ไม่ได้น่ากลัวหรือน่าขยะแขยงเลย
ชายผู้นี้ซ่อนความอ่อนโยนอ่อนไหวเอาไว้ภายใต้เปลือกที่หยาบกระด้าง
“สามีคุณก็คงจะรักคุณมาก…เมื่อก่อนผมไม่เชื่อว่าผู้หญิงที่ปกปิดตัวเอง
ดูหัวโบราณอย่างคุณจะมัดใจสามีได้เมื่อเทียบกับความงามเฉิดฉายของคุณนายิกา
เธอพร้อมจะเดินเคียงบ่าเคียงไหล่เขาไปในทุกๆที่
ไม่เหมือนคุณที่ซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้าน…
แต่ตอนนี้ผมแน่ใจว่าหลานสาวเจ้านายผมเอาชนะคุณ
ด้วยการเอาชนะใจสามีคุณไม่ได้แน่
เธอแพ้ตั้งแต่คุณยอมเซ็นใบหย่าให้สามีที่คุณทั้งรักทั้งหวงแล้ว…
แพ้ตั้งแต่สามีคุณได้รู้ว่าที่คุณยอมทุกอย่างก็เพราะต้องการปกป้องลูกของคุณกับเขา…
แน่นอนว่าเขาจะไม่มีวันยกหัวใจให้ผู้หญิงคนไหนนอกจากคุณอีก…
เพราะคุณเชื่อเขา…ผู้ชายต้องการความเชื่อใจจากคนที่เขารักมากที่สุด…
และคุณก็ให้เขาได้แม้จะตกอยู่ในภาวะเสี่ยงขนาดนี้…
นับว่าเป็นการวางเดิมพันน่าประทับใจนะ…
และคุณเลือกทางเดินได้ดีกว่าผมในอดีตเสียด้วย…”
“แม้นว่าฉันจะหัวล้านหรือเสียโฉมอย่างนั้นหรือคะ…”
ดารัลถามพร้อมรอยยิ้มขี้เล่น
“มันเป็นเรื่องแปลกของคนที่มีความรักความผูกพันกันนะ
ที่เรื่องรูปร่างหน้าตาดูจะสำคัญน้อยลงเรื่อยๆ…
ความรักผมไม่ได้น้อยลงเลยแม้ความสวยสดงดงามของภรรยาจะหมดลงเรื่อยๆ
เพราะโรคภัยรุมกัดกินความสาวของเธอทีละนิดละน้อย…
ตอนเธอตาย…เธอมีแค่หนังหุ้มกระดูก…แต่ผมก็ยังกล้าสาบานต่อหน้าเธอ
ว่าจะรักเธอคนเดียวออกไปได้เลย…คุณว่าแปลกมั้ยล่ะ”
ดารัลพยักหน้าเห็นด้วย ขนาดเธอยังอยากให้สามีหล่อน้อยลงกว่านี้อีกนิด
เพื่อชีวิตคู่จะได้ราบรื่นขึ้น…เธอคิดว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่ถ้าเขาจะหล่อน้อยลงมา…
“ถ้าคุณไม่เหนื่อยที่จะรอ…เชื่อผมเถอะ…วันนึงคุณจะได้กลับไปอยู่กับสามีของคุณ…
เพราะคุณนายิกาคงทนไม่ได้หรอกถ้าไม่ได้รับความรักจากสามี…
ไม่มีผู้หญิงคนไหนทนได้ไม่ใช่เหรอ…”
ดารัลยิ้ม...เธอน่ะรู้จักผู้หญิงนะ…แม้จะไม่ได้รู้จักผู้หญิงหมดทั้งโลก…
แต่เธอก็รู้ดีว่า นายิกาต้องการสิ่งใด…และถ้าไม่ได้สิ่งนั้นมา หญิงผู้นั้นก็จะไม่ทนต่อไป...
และนายิกาก็ไม่น่าจะใช่ผู้หญิงประเภทช่างอดช่างทน เย็นเหมือนน้ำในลำธาร
ที่ไหลเอื่อย...
“หลานสาวเจ้านายคุณรักคนอื่นไม่เป็น…เขาไม่รู้วิธีแสดงความรัก
และไม่รู้ว่าจะทำให้คนอื่นรักเขาจากหัวใจได้อย่างไร…” คนฟังเลิกคิ้วสูง
“คุณรู้ ?” ดารัลพยักหน้า
“ดูเอาจากวิธีการที่เขานำมาใช้…”
“ทำไมคุณถึงคิดว่าวิธีนั้นจะใช้ไม่ได้ผล…”
“กับผู้ชายคนอื่นฉันไม่แน่ใจ แต่กับสามีฉัน มันใช้ไม่ได้ผลแน่ๆ…
ผู้ชายอย่างเขาไม่ใช่ผู้ชายที่มั่ว กินไม่เลือก เห็นของสวยของงาม
แล้วอดใจเอาไว้ไม่ไหวหรอกค่ะ…ไม่ใช่ว่าฉันพยายามยกย่องเขาต่อหน้าคุณหรอกนะ
แต่เพราะฉันรู้จักเขาในเรื่องนี้ดี…
เขาเป็นประเภทรักแล้วรักเลย…ไม่ใช่รักง่ายหน่ายเร็ว…
แล้วถ้าฉันเดาไม่ผิด เจ้านายคุณคงคิดแผนการแบบนี้ให้หลานสาวของเขานำมาใช้ล่ะสิ…”
คนฟังได้ยินถึงกับหันมาจ้องมองคนตรงหน้าอย่างคาดไม่ถึง…
“คนที่เคยผิดหวังในเรื่องความรักอย่างเจ้านายคุณน่ะคงมีแต่อคติ
และมีแต่ความหยิ่งผยองเพื่อข่มความผิดหวังเอาไว้ข้างใน…
ไม่แปลกที่เขาจะครอบงำหลานสาวของตัวเองได้จนนายิกากลายเป็นหุ่นยนต์ไร้หัวใจ
รักใครไม่เป็นแบบนั้น…จึงเชื่อว่าสิ่งใดที่ดีที่เหมาะสมกับเธอ ควรค่ากับคนอย่างเธอ
ก็ควรจะเป็นของเธอ…และพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา”
คราวนี้ดารัลที่เริ่มเมื่อยกับการนั่งพับเพียบกับพื้นไม้
ขยับกายไปนั่งริมระเบียงเพื่อจะได้ห้อยขาอย่างผู้คุมตัวเธอบ้าง
“เม่ือเธอคิดว่า ผู้ชายที่รักเดียวใจเดียวแบบน้ันคู่ควรกับผู้หญิงที่เพียบพร้อมอย่างเธอ
คนที่ไม่พร้อมจะยอมรับการหักหลังได้ เธอก็เลยพยายามไขว่คว้าเขา…
คว้าทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆนั้น ผู้ชายอย่างฟาเดลให้เธอไม่ได้…
แล้วเธอก็จะต้องเสียใจ และอาจจะเสียสูญ…”
ดารัลลอบถอนใจเมื่อเอ่ยมาถึงตรงจุดนี้…
“นายิกาไม่ได้แพ้ฉันหรือแพ้ใครๆ
เพราะจริงๆแล้วเธอแพ้ให้แก่ความปรารถนาของตัวเอง…เธอแพ้ใจตัวเอง แพ้ภัยตัวเอง…”
หญิงสาวยิ้มให้กับต้นกล้วยตรงหน้า ยิ้มให้กับผลของมันที่ดูน่ากิน
ก่อนจะพูดสรุปหลังจากพร่ามมาเนิ่นนานว่า
“เธอไม่รู้ว่าหัวใจคนนั้นเป็นอิสระ อยู่นอกเหนือความควบคุมของสมอง…
สมองสั่งอะไรมันไม่ได้ถ้ามันไม่ยอม…
และมันเป็นเนื้อก้อนเดียว ที่ถ้ามันดี ทุกอย่างก็จะดีด้วย
แต่ถ้ามันเสีย ทุกอย่างก็จะเสียหมด…
นี่แหล่ะค่ะ พลังอำนาจของหัวใจของเรา…ที่พระเจ้าได้ให้เอาไว้…”
คนฟังสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วระบายยิ้มออกมา
เป็นครั้งแรกในชีวิตหลังจากที่เขาหันหลังให้กับความดี
ที่ทำให้เขารู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจเช่นนี้
ชีวิตเขาผ่านความลำบากยากเข็ญจนมองไม่เห็นแสงสว่างของตะวัน
ในความคุ้นเคยที่มองออกไปจะเห็นเพียงท้องฟ้าครึ้มมืดมัวมาตลอด
สายลมที่่อ่อนไหวเช่นนี้เขาแทบไม่เคยได้สัมผัสทั้งๆที่เขาเคยอยู่
เคยหายใจ ณ ที่แห่งนี้มานาน…
หากเขากลับมองเห็นเพียงแต่ความมืดมน
เดินไปตามลำพังบนเส้นทางอย่างไร้จุดหมาย…ไร้ความฝัน
แม้จะมีทรัพย์สิน เงินทอง บริวารเพิ่มขึ้นมากมาย
หากก็ไร้คนรักคอยชื่นชมกับความสำเร็จเหล่านั้น…
นับตั้งแต่หันหลังให้กับความดี ความรักก็เหมือนจะบินหายไปทางหน้าต่าง
ก่อนที่หน้าต่างบานนั้นจะปิดลง…ปิดตายมาเนิ่นนาน
กักขังเขาเอาไว้ในอีกโลกนึง…ที่แห้งแล้ง…ไร้ชีวิตชีวา…
แต่เหมือนผู้หญิงคนนี้จะเปิดหน้าต่างบานนั้นออก
ทำให้เขามองเห็นลำแสงหนึ่งสาดส่องเข้ามา ทอแสงเป็นประกาย
ขับไล่ความมืดให้จางหายไป…
เขาเพิ่งรู้ตัวว่าโดนซ้อนแผน…เธอกระเทาะเปลือกเขาแล้วเอาทิงเจอร์ราดแผล
ล้างหัวใจเขา เอาความสกปรกมืดดำออกให้
แม้จะปวดแสบปวดร้อนในตอนแรกจนแทบทนไม่ไหว
หากบัดนี้…แผลนั้นถูกสมานด้วยยาที่ถูกกับโรค…
“คุณน่าจะเป็นหมอเหมือนพ่อของคุณ…” เขาเปรยออกมาพร้อมรอยยิ้ม
ที่ดูกระจ่างกว่าครั้งไหนๆ ทำให้ดารัลถึงกับมองด้วยความดีใจอย่างที่สุด
“ฉันไม่อยากพลั้งมือฆ่าคนน่ะสิ…เลยขอเป็นแค่เภสัชกรก็พอ…”
“ยาของคุณดูจะใช้ได้ผลนะ…”
“ถ้าคนป่วยไม่ดื้อยา หรือรังเกียจยา กลัวยา ขยะแขยงยา
ปัญหาในการให้ยาก็น้อยลง…” ดารัลตอบด้วยดวงหน้าดวงตาสดใส
เธอมองเห็นความหวัง…ใช่…นี่แหล่ะความหวังที่เธอเฝ้ารอ…
“วิธีให้ยาของคุณก็ดูจะทำให้คนไข้ไม่ดื้อยา…” ดารัลหัวเราะสดใส
เมื่อรู้สึกว่ากำลังโดนเหน็บ…
“คนไข้บางคนไม่รู้ตัวว่าป่วย…ไม่ยอมรับว่าป่วย…ก็ต้องหาวิธีให้ยาโดยไม่ให้เขารู้ตัว…
กว่าจะรู้ตัวเอาก็ตอนที่ยาออกฤทธิ์แล้ว
และแน่นอน…เขาจะไม่ฆ่่าคนที่ให้ยาเขา นอกจากจะขอบคุณเสียด้วยซ้ำ…
และสำหรับฉัน…ฉันต้องการแค่นั้นจริงๆ…”
ชายกลางวัยหันมายิ้มอย่างจริงใจให้กับผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าเขา
อยู่หลายรอบพร้อมกับพูดว่า
“ขอบคุณ…”
“เช่นกันค่ะ…เพราะถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่คุณ
ฉันอาจจะโดนฆ่าหั่นศพหมกกอกล้วยไปแล้ว…
อาจจะเป็นโชคดีของฉันหรืออาจเป็นเพราะฉันยังควรต้องอยู่บนโลกนี้ต่อไป…
เวลานั้นคงยังมาไม่ถึง…”
“ถูกของคุณ…คนอย่างคุณควรจะอยู่ต่อไป…” ชายกลางวัยเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เราไม่อาจตัดสินได้หรอกค่ะว่าใครควรอยู่ต่อไปหรือใครควรไปลงนรกเสียเดี๋ยวนี้…
ปล่อยให้มันเป็นการงานของพระเจ้าเถอะค่ะ
เพราะถ้าเรามัวแต่ไปก้าวก่ายการงานของพระองค์ แล้วละเลยหน้าที่ของตน…
เรานี่แหล่ะจะเดือดร้อนเสียเปล่าๆ…แบบเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง
แล้วยังเอากระดูกมาแขวนคอ…คุณว่ามั้ยคะ…”
ชายกลางวัยหัวเราะชอบใจกับการเปรียบเปรยสำนวนดังกล่าวของเธอ
ใช่แล้วล่ะ…การตัดสินชีวิตผู้อื่นของเขาที่ผ่านมา
นอกจากจะไม่ช่วยให้ชีวิตจิตใจของเขาดีขึ้นแล้ว มือเขากลับเปื้อนเลือด
หัวใจเขากลับมืดดำ แม้หลายคนที่เขาฆ่าไปจะสมควรตายสักแค่ไหนก็ตาม…
“คุณคงจะคิดถึงสามีคุณแล้วล่ะสิ…”
ชายกลางวัยหันมาแหย่หญิงสาวที่เขามองออกว่าต่อให้เข้มแข็งแค่ไหน
เธอก็ยังเป็นผู้หญิง
เพียงแค่เธอใช้สตินำทางเท่านั้น อารมณ์ต่างๆเลยถูกสติข่มเอาไว้
ไม่ให้มามีอิทธิพลเหนือเหตุผลและสติปัญญา…
“ถ้าฉันบอกว่าไม่ ก็ดูจะโกหกเกินไป…” ดารัลยอมรับหน้าตาย
“แต่คุณก็น่าจะรู้ว่าคุณยังกลับไปตอนนี้ไม่ได้…” ดารัลพยักหน้า
“ค่ะ…ไม่ใช่ตอนนี้…และฉันเต็มใจจะรอค่ะ…รอคอยการมาถึง…”
ชายกลางคนหัวเราะด้วยความสะใจ…
ที่สะใจนั้นเพราะรู้ว่าตัวเองได้ตกอยู่ในแผนการของผู้หญิงที่เด็กกว่าอยู่หลายปี
และไม่ใช่แค่เขา เจ้านายเขาก็โดนหญิงสาวผู้นี้ซ้อนแผนเข้าให้แล้ว
“ถ้าคุณจะเปลี่ยนใจ…ก็ยังไม่สายหรอกค่ะ…ฉันแบไต๋ให้คุณหมดแล้ว”
ชายกลางวัยโคลงศีรษะ
“ไม่หรอก…ผมเองก็อยากให้คนอย่างเจ้านายผมโดนสั่งสอนเสียบ้าง”
“ไม่คิดว่ามันคือการทรยศแล้วหรือคะ…”
ดารัลเลิกคิ้วสูงพร้อมรอยยิ้มเย้าแหย่อีกฝ่าย
“ไม่หรอก…ไม่อย่างนั้นครูที่ตีเด็กนักเรียนที่เกเรก็คงจะเป็นคนไม่ดี
กันหมดทั้งโลกแล้ว…” ดารัลยิ้มกับคำตอบที่ได้ ก่อนจะถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า
“แล้วคุณคิดว่าเขาจะมามั้ย…”
“สารที่คุณส่งไปให้สามีคุณภายในสองนาทีนั้น น่าจะเป็นคำตอบ…
คุณเองก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอ…ไม่น่าจะถามผมด้วยซ้ำ…”
แล้วก็จริงดังคาด…สองวันต่อมา
ชายชราก็ปรากฎกายขึ้น ณ บ้านไม้หลังเก่า…
“ว่าไง…สุขสบายดีมั้ย!” ดารัลที่กำลังนั่งอยู่ตรงริมระเบียงบ้าน
หันมามองเจ้าของเสียง ก่อนจะเปิดยิ้มทักทาย
“ที่นี่มีกล้วยให้กินไม่ขาด…บอดีการ์ดรักษาความปลอดภัยเป็นเยี่ยม
บรรยากาศดี หายใจโล่งจมูก ชุ่มปอด…ไม่มีเสียงรบกวน
นับว่าเป็นการพักผ่อนที่ดีทีเดียวค่ะ…” ชายชราได้ฟังถึงกับแสยะยิ้ม
“หวังว่าหลานสาวคุณเองก็คงมีความสุขดีนะคะ…”
“แน่นอน…เขากำลังนอนกอดคนรักและทรัพย์สมบัติ อำนาจ
ชื่อเสียง เกียรติยศ…ไม่เหมือนเธอหรอกดารัล…”
“ค่ะ ไม่เหมือนกัน เพราะแม้ฉันไม่ได้กอดคนรัก
แต่ก็ยังได้กอดหัวใจของเขาเอาไว้แนบแน่นทีเดียว…”
น้ำเสียงและแววตานั้นท้าทายจนทำให้ชายชรานึกไปถึงอะมานี…
เพราะไอ้สีหน้า ท่าทาง แววตาแบบนี้แหล่ะที่แกะออกมาจากผู้หญิงคนนั้น…
“มั่นใจเกินไปรึเปล่า…”
“ถ้าฉันไม่มั่นใจ ฉันจะไม่มีวันได้เห็นคุณในตอนนี้แน่ๆ…
เพราะถ้าคุณนายิกามั่นใจว่าตัวเองเอาพี่ฟาเดลอยู่จริง
ต่อให้ฉันจะไม่ถูกคุมตัวแบบนี้ ก็ไม่ใช่ปัญหามิใช่หรือคะ…
คุณยอมเสียคน เสียเวลา เสียเงินทองตั้งมากมายเพื่อให้ฉันได้เที่ยวรอบโลก เพื่ออะไร…
ถ้าไม่ใช่เพราะความไม่มั่นใจ
และที่คุณวิ่งเต้นมาหาฉันถึงที่นี่ ก็เพราะต้องการสร้างความมั่นใจ”
ชายชรามองหญิงสาวรุ่นหลานอย่างชิงชังคั่งแค้น
…แค้นใดก็ไม่สู้แค้นที่หญิงสาวผู้นี้เป็นลูกหลานของไอ้คนที่แย่งคนที่เขาหมายปองไป
ขนาดว่าเขาส่งมันไปลงนรกแล้วมันก็ยังส่งลูกหลานของมัน
ตามมาหลอกหลอนเขาได้อีก…
“งั้นก็น่าจะรู้ว่าฉันมาเพื่อเก็บเธอให้สิ้นซากล่ะสิ…”
ดารัลถึงกับลมหายใจสะดุดเมื่อได้ยินถ้อยคำนั้นเปล่งออกมา
จากผู้ที่นัยน์ตามีแต่ความคั่งแค้นราวกับไฟสุม…
“นายไม่ควรทำแบบนั้น…” ลูกน้องคนสนิทใกล้ชิดชายชรา
ผู้ที่ทำหน้าที่คุมตัวดารัลมาเกือบเดือนถึงกับตกใจเมื่อได้ยินแบบนั้น
“ทำไม…กะอีแค่ผู้หญิงน่ารำคาญคนนึง จะเก็บไว้ทำไม…”
“ผมไม่ฆ่าเด็กและผู้หญิง นายก็รู้…” ชายชรายิ้มเย็น
“ก็ใครว่าฉันจะให้แกลงมือฆ่านังผู้หญิงคนนี้ล่ะ…”
พูดจบก็ยกปืนในมือขึ้น เล็งเป้ามายังดารัลที่ยืนอยู่ตรงระเบียงบ้าน
สายลมยามเย็นพัดต้องแผ่นหลัง ทำให้เย็นวาบไปทั่วแนวสันหลัง…
...โปรดติดตามตอนต่อไป......
เจอกล้วยแก่(ไม่สุก)เข้าไป ปอกไม่ง่ายขึ้นมาทันตา...
เรื่่องกล้วย กล้วย ดูจะไม่ง่ายเหมือนปอกกล้วย(สุก)เข้าปากเสียแล้ว...เฮะๆ
จะโดนฆ่าทำปุ๋ยชีวภาพให้ต้นกล้วยหรือเปล่า มาดูกันต่อค่ะ...
ตอนหน้า ฉากสำคัญกว่ารออยู่น้าาาาาาาาาา...
...คุยกับนักอ่านจ้า...
1.คุณปลาวาฬสีน้ำเงิน...ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจที่มอบให้เต่า
เรื่องกล้วย กล้วย จริงๆค่ะ...แต่ตอนจบดันเจอกล้วยแก่น่ะสิ...
ใครปอกได้ก็เก่งเกินไปแล้ว..อิอิอิ
2.คุณnapt...ขอบคุณค่ะสำหรับคำชม...และกำลังใจ
ต้องมารอดูว่าดารัลจะพลิกแพลงสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ได้อย่างไร...
พระเอกเราเหมือนไม่ด้ายยยยยดั่งใจเลยใช่มั้ยคะ...
ปกติ ฉากแบบนี้พระเอกต้องโผล่ออกมาจากรูได้แล้ว...แต่ไม่โผล่เลย...
ไม่ไหวเจงๆ...ฟาเดล...
3.คุณแว่นใส...ตอนนี้เริ่มหมั่นไส้ในความเชื่องช้าของพระเอกขึ้นมา
แล้วใช่มั้ยคะ...เฮะๆ...
4.คุณตุ๊งแช่...ตอนนี้ดารัลก็ดารัลเถอะ...ปืนจ่อมาแบบนี้
จะครองสติได้มั้ย ต้องมาลุ้นกันค่ะ ไม่รู้ว่าจะสติแตกหรือปรอทแตกเนอะ
ส่วนฟาเดลนั้น น่าจะทุรนทุรายไม่น้อย เพราะปกติคนที่ต้องกังวล
จะเป็นคนที่ไม่อาจมองเห็นสภาพของคนรักได้ว่าเป็นแบบไหน...
น่าฉงฉานนะ....ส่วนเรื่องตัวร้ายอีกตัวนั้น หายหัวไปไหน
ต้องมารอดูกันค่ะ...^^
สุดท้ายไม่ท้ายสุด
มาให้ว่องให้ไว ให้กันติดๆ...อย่าลืมส่งเสียงมาให้กันบ้างนะคะ
ใครว่างๆส่งเสียงให้เต่าบ้างนะคะ...ไหนๆก็ปั่นมาจะถึงยอดตาลแล้ว
นักอ่านท่านใดที่เกรงใจไม่กล้าส่งเสียงแหบๆให้เต่าได้ยิน ส่งเสียงให้ได้ยินบ้างนะจ๊ะ
พลีสสสสสสสสสสส...
...รักษาสุขภาพนะคะ...
"เต่าโย"
yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ธ.ค. 2557, 15:59:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ธ.ค. 2557, 15:59:05 น.
จำนวนการเข้าชม : 3104
<< บทที่ 26 ไม่มีใครแทนที่เธอ | บทที่ 28 เธอผู้จุดประกายฝัน >> |
ร้อยวจี 4 ธ.ค. 2557, 16:14:43 น.
หวายๆๆๆ แล้วใครจะมาช่วยล่ะเนี่ย รอลุ้นค่ะ
หวายๆๆๆ แล้วใครจะมาช่วยล่ะเนี่ย รอลุ้นค่ะ
ตุ๊งแช่ 4 ธ.ค. 2557, 17:10:21 น.
ได้อ่านก่อนวันหยุด ดีจัง คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ แต่กระสุนไม่รู้ คนเรามันปลงและมีสติได้อย่างดารัล โลกคงน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ อ่านจบไหนบอกว่าตอนนี้สำคัญ ตรงไหนนิ พอเจอตบท้ายตอนหน้าสำคัญกว่า คนอ่านแทบตกเก้าอี้ ยอมแพ้คนเขียน สำนวนจริงๆ
ได้อ่านก่อนวันหยุด ดีจัง คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ แต่กระสุนไม่รู้ คนเรามันปลงและมีสติได้อย่างดารัล โลกคงน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ อ่านจบไหนบอกว่าตอนนี้สำคัญ ตรงไหนนิ พอเจอตบท้ายตอนหน้าสำคัญกว่า คนอ่านแทบตกเก้าอี้ ยอมแพ้คนเขียน สำนวนจริงๆ
saralun 4 ธ.ค. 2557, 17:58:53 น.
ลุ้นๆๆๆจะมีใครมาช่วยทันมั๊ย
ลุ้นๆๆๆจะมีใครมาช่วยทันมั๊ย
napt 4 ธ.ค. 2557, 21:34:18 น.
โอย โอย โอยยยยยย ตาแก่หัวดื้อเอ๊ยยยยยย
โอย โอย โอยยยยยย ตาแก่หัวดื้อเอ๊ยยยยยย
แว่นใส 4 ธ.ค. 2557, 23:02:05 น.
ตาแก่นี่ท่าจะไม่ตายดีนะเนี่ย
ตาแก่นี่ท่าจะไม่ตายดีนะเนี่ย
Pat 5 ธ.ค. 2557, 22:48:14 น.
หมดมุกแล้วจะยิงกันดื้อๆแบบนี้เลยเรอะตาเฒ่า ชิ
หมดมุกแล้วจะยิงกันดื้อๆแบบนี้เลยเรอะตาเฒ่า ชิ