จุมพิตนิทรา
"หากได้พบเธอแค่เพียงในฝัน ฉันก็ปรารถนาจะหลับใหลไปชั่วกาล"

นราภัทร วิศวกรคอมพิวเตอร์สาวมั่นที่ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยเชื่อเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ
แต่หลังจากไปไหว้พระตรีมูรติ เธอก็ได้พบกับคนที่มาเปลี่ยนแปลงชีวิตเธอ
"เขา" ทำให้เธอยิ้ม ทำให้เธอหัวเราะ ทำให้เธอมีความสุขได้
แต่ "เขา" อยู่แต่ในความฝันของเธอเท่านั้น
นราภัทรแค่ฝันไป? หรือ เขาคือเนื้อคู่ที่สวรรค์ประทานลงในให้?

Tags: โรแมนติก,ดราม่า,ความฝัน,รักในฝัน

ตอน: บทที่ 3/1

3

นราภัทรวางเป้และกระเป๋าใส่แลปทอปไว้บนโต๊ะทำงานในเวลาแปดโมงเช้าพอดี ก่อนถึงเวลาเข้างานครึ่งชั่วโมง เธอกะจะลงไปยังโรงอาหารเพื่อซื้อกาแฟเย็นสักแก้วมาดื่ม แล้วค่อยลุยงานที่คั่งค้างอยู่ แต่โทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้นเสียก่อน เพราะตั้งเสียงเรียกเข้าพิเศษเอาไว้ หญิงสาวจึงรู้ทันทีว่าใครโทร. มาจึงรีบกดรับสาย

“สวัสดีค่ะ หม่าม้า วันนี้มีอะไรเหรอคะ โทร. มาแต่เช้าเชียว”

“ไม่มีธุระอะไรแล้วโทร. มาไม่ได้หรือไงยะ” เสียงแว้ดๆ ของมารดาดังเข้ามาในสาย ทำเอาลูกสาวหน้าเบ้ รู้ตัวว่าพลาดไปเสียแล้ว ถ้าแม่อารมณ์ขึ้นง่ายขนาดนี้แปลว่าอาจจะทะเลาะกับพ่อด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องมาอีกแน่ๆ เลย

“ได้สิคะหม่าม้า หนูถามเพราะเห็นว่ามันผิดจากเวลาปกติที่หม่าม้าจะโทร. มาตอนเย็นๆ ต่างหาก” นราภัทรเอาน้ำเย็นเข้าลูบไว้ก่อน

“ฉันต้องรีบโทร. มาดักแกไว้ก่อนน่ะสิ แม่คนงานเยอะ ธุระเยอะ เดี๋ยวจะไปรับนัดใครเขาไว้ก่อน อาทิตย์นี้กลับมาบ้านด้วยนะยะ” คนเป็นแม่บอกจุดประสงค์ออกมาแต่ไม่วายกระทบกระเทียบบุตรสาวเล็กน้อย เพราะเวลาอยากจะนัดให้ลูกสาวมาหาทีไร ก็มีอันให้ติดงานโน้นงานนี้เสียทุกที

หญิงสาวรีบคว้าปฏิทินตั้งโต๊ะขึ้นมาดูพลางขมวดคิ้ว อันที่จริงแล้วสัปดาห์นี้เธออยากนอนแผ่หลาอยู่ที่ห้องมากกว่า ส่วนสัปดาห์หน้ามีนัดไปเลี้ยงส่งคนในฝ่ายที่จะลาออกไปแต่งงานที่หัวหิน ก็จะกลับบ้านไปหาแม่ไม่ได้อีก และถัดไปอีกสองสัปดาห์ก็ติดอบรมวันเสาร์ด้วย...ถ้าไม่กลับบ้านไปหาแม่สัปดาห์นี้ อย่าหวังว่าหูของเธอจะได้อยู่อย่างสงบสุขเลย

“ไม่ว่างหรือไง” เพราะลูกสาวเงียบไป อมรรัตน์จึงถามขึ้น

“ได้ค่ะหม่าม้า ไม่มีปัญหาค่ะ” นราภัทรรีบตอบ บางทีเธอก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่ไม่ค่อยได้กลับบ้านนัก แต่ถ้ากลับไปก็ต้องทะเลาะกับแม่เรื่องคู่ครองอีก ดังนั้นเพื่อความปรองดองสมานฉันท์ในครอบครัว เธอจึงเลือกจะกลับบ้านน้อยลงแทน ผลคือทะเลาะกันน้อยลง แต่ก็กลายเป็นว่าเธอทำให้พ่อกับแม่เหงาอีก พอบอกให้แม่เลิกพูดเรื่องคู่ครองสักที แม่ก็ยอมเลิกให้ แต่ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น วันไหนที่แม่ได้คุยกับเพื่อนซึ่งอวดว่ามีหลานน่ารัก ลูกเขยซื้อของให้ แม่ของเธอก็จะกลับมาพูดเรื่องเดิมๆ ทุกทีไป

“แล้วไป แล้วนี่เป็นไงบ้าง กินข้าวหรือยัง” เมื่อนราภัทรไม่ขัดข้อง นางอมรรัตน์ก็อารมณ์ดีขึ้นเป็นเท่าตัว มีแก่ใจถามไถ่ทุกข์สุขของลูกสาว

“กินแล้วค่ะ หม่าม้ากับปะป๊าล่ะคะ กินหรือยัง” ฟังน้ำเสียงของแม่ที่อ่อนลงก็พอจะคาดเดาได้ว่าหายอารมณ์เสียแล้ว หญิงสาวค่อยโล่งอกขึ้นมาหน่อย เพราะไม่อยากทะเลาะกับแม่ตั้งแต่เช้า ซึ่งจะทำให้เธอเซ็งไปทั้งวัน และอาจจะเผลอทำกรรมหนักด้วยการโต้เถียงบุพการีจนท่านความดันขึ้นได้

“แปดโมงแล้วก็ต้องกินแล้วสิ อยู่ที่ทำงานแล้วใช่ไหม”

“ค่า อยู่แล้วค่า”

“ใกล้จะได้เวลาทำงานแล้วนี่ แล้วหมู่นี้เป็นยังไงบ้าง ยังปวดไมเกรนอยู่ไหม”

“ช่วงนี้สบายดีค่ะหม่าม้า ไม่ค่อยปวดไมเกรนแล้ว แล้วหม่าม้ากับปะป๊าไม่เจ็บไม่ป่วยอะไรใช่ไหมคะ”

“สบายใจได้ ฉันกับปะป๊าของแกยังแข็งแรง จะวางสายแล้ว ขับรถกลับบ้านก็ระวังๆ ด้วยล่ะ วางแล้ว” เพราะสมประสงค์แล้ว และลูกสาวก็อยู่ดีไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย อมรรัตน์จึงไม่คุยต่อให้เปลืองค่าโทรศัพท์

“ค่ะ หม่าม้า บายค่ะ” หญิงสาวกดตัดสาย ก่อนจะหยิบปากกามาทำเครื่องหมายในปฏิทินว่าวันเสาร์อาทิตย์สัปดาห์นี้จะกลับบ้าน
นราภัทรถอนหายใจเล็กน้อย คาดหวังว่าวันหยุดทั้งสองวันนี้จะเป็นวันหยุดที่ทำให้เธอได้ผ่อนคลายบ้าง ได้กลับไปที่บ้านและไม่ต้องทะเลาะกับแม่ให้เหนื่อยใจ

หลังจากซื้อกาแฟเสร็จยังมีเวลาเหลืออีกเกือบ 15 นาทีก่อนเริ่มงาน นราภัทรจึงเข้าเว็บไซต์ไปดูข่าวและเรื่องราวที่น่าสนใจรอบวันเพื่อไม่ให้ตกเทรนด์ ก่อนจะสะดุดตากับโฆษณาชวนดูนิทรรศการศิลปะ หญิงสาวมองรูปวาดเล็กๆ ในหน้าจอซึ่งเป็นรูปม้ายูนิคอร์นสีขาวแล้วบังเกิดความสนใจเป็นอย่างมาก จึงอ่านต่อว่าเปิดแสดงถึงวันไหนบ้าง แล้วก็พบว่า นิทรรศการนี้จัดแสดงที่แกลเลอรีใจกลางเมือง เปิดช่วงสิบโมงเช้าถึงหนึ่งทุ่ม และเหลือเวลาจัดแสดงอีกแค่สามวันเท่านั้นสามวันที่เหลือนี้ วันพุธกับวันศุกร์เธอติดประชุม ไม่รู้ว่าจะเลิกตอนไหน วันพฤหัสบดีก็มีงานตรวจสอบระบบรออยู่อีก ไม่ได้กลับตามเวลาปกติแน่ๆ สรุปแล้วเธอไม่ว่างไปดูเลยสักวัน

นราภัทรมองปฏิทินแล้วก็กลับมามองที่โฆษณาในเว็บไซต์ตาละห้อย

‘อดไปอีกแล้วสินะเรา’

หญิงสาวฟุบไปกับโต๊ะทำงานสักครู่ ก่อนจะลุกขึ้นมาตบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อรวบรวมสมาธิใหม่ ไม่ให้ความรู้สึกเซ็งๆ เข้ามารบกวนสมาธิในการทำงาน เมื่อตั้งสติได้แล้วจึงเปิดตารางงานเพื่อเช็กว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง โดยไม่ลืมเช็กอีเมลว่ามีใครมาส่งอีเมลมานัดไว้หรือเปล่า

ตามนัดหมายมีเขียนไว้ว่า วันนี้ต้องไปประชุมที่ตึกใหม่สองหัวข้อทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่าย หญิงสาวอารมณ์ดีขึ้นทันที เพราะวันนี้ทั้งวันเธอจะไม่ต้องเจอน้องเอจอมงกกับพี่บีช่างตื๊ออีก มีข่าวดีๆ แบบนี้เข้ามาหน้าตาของนราภัทรก็สดชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถึงขนาดเตรียมเอกสารไปประชุมเรื่องความเสี่ยงในตอนเช้าไปฮัมเพลงเบาๆ ไป ครั้นเอกสารครบหมดแล้ว หญิงสาวก็นำใส่เป้ เตรียมลุกไปตึกใหม่ก่อนเวลาเก้าโมงเช้า

“อ้าว! นั่นพี่น้ำจะไปไหนคะ” น้องเอซึ่งนั่งอยู่โต๊ะตรงข้ามกับนราภัทรถามขึ้น

“ไปตึกใหม่ มีประชุมที่นั่นทั้งเช้าแล้วก็บ่ายเลย คงไม่เข้ามาตึกนี้แล้ว”

“แต่หนูนัดคนอื่นไปแล้วนะคะว่า วันนี้ตอนเช้าเราจะประชุมทำเอกสารของฝ่ายกัน”

“หือ” นราภัทรจำไม่ได้ว่าเอมอรนัดเธอตอนไหน ในอีเมลก็ไม่ขึ้นเตือนเลยว่ามีใครส่งจดหมายเชิญประชุม

“หนูส่งจดหมายแจ้งพี่ไปแล้วนะ” เอมอรยังยืนกรานหนักแน่น

นราภัทรขมวดคิ้วแล้ววางเป้ลง ก่อนจะเปิดคอมพิวเตอร์แล้วหยิบสมุดที่จดตารางการทำงานมาพลิกดูซ้ำ ก็ไม่พบบันทึกว่ามีนัดหมายประชุมทำเอกสาร เมื่อเปิดอีเมลขึ้นดูอีกครั้งก็ไม่พบเช่นกันว่ามีจดหมายแจ้งเตือนให้เข้าประชุม

“เมื่อวานไม่เห็นมีจดหมายที่เอส่งมาให้พี่เลย”

เอมอรชะโงกหน้าไปดูหน้าจอก่อนจะพึมพำออกมา “หนูว่าหนูส่งจดหมายให้พี่แล้วนะ สงสัยตกหล่นแน่เลย”

นราภัทรกลอกตา รู้สึกระอาอีกฝ่ายที่ทำงานสะเพร่าแล้วพลอยทำให้เธอมีปัญหาไปด้วย

‘จะอยู่ทำเอกสารของฝ่ายหรือว่าจะไปประชุมกับฝ่ายอื่นดีนะ’

นราภัทรดูนาฬิกาแล้วเห็นว่าใกล้เวลานัดแล้วจึงปิดคอมพิวเตอร์ ยัดสมุดใส่เป้เตรียมเดินออกไป

“เอ๊ะ! พี่น้ำจะไม่อยู่ประชุมงั้นเหรอคะ”เอมอรตาโต

“ก็ใช่น่ะสิ ทำไมเอไม่ส่งอีเมลมาบอกพี่เมื่อวานล่ะ เพราะไม่มีจดหมายมา พี่เลยนัดคนอื่นไปแล้ว มาตอนนี้จะให้ผิดนัดเขาได้ยังไง” นราภัทรพยายามกลั้นความโกรธเอาไว้ ข่มใจส่งเสียงเรียบๆ ออกไป

“แต่ว่าถ้าพี่น้ำไม่อยู่แล้วเอกสารจะทำยังไงล่ะคะ ในนี้ก็มีแค่พี่คนเดียวที่ทำรายงานส่งขึ้นไปแล้วไม่ถูกตีกลับมาน่ะ แล้วรายงานก็ต้องรีบส่งให้พี่ตาดูด้วย พี่ตาจะเรียกดูพรุ่งนี้แล้วนะคะ” เอมอรไม่ขอโทษสักคำ แต่ทำสีหน้ากังวลเพราะกลัวรายงานจะเสร็จไม่ทันแล้วจะถูกภวิตาตำหนิเอาได้

นราภัทรเหลือกตาขึ้นมองเพดานอย่างเหนื่อยหน่าย เป็นเพราะเธอทำเอกสารให้บ่อยๆ ก็เลยกลายเป็นว่าไม่มีใครในฝ่ายรวบรวมข้อมูลทั้งหมดและเรียบเรียงขึ้นมาใหม่ให้เป็นภาษาทางการได้ ก็เลยต้องพึ่งพาเธอในการทำเอกสารทุกครั้งไป

“นะ...พี่น้ำอยู่ทำเอกสารของฝ่ายก่อนเถอะค่ะ ถ้าไม่เสร็จมีหวังโดนว่ายกฝ่ายแน่”

“แล้วจะให้ยกเลิกนัดฝ่ายอื่นน่ะนะ” นราภัทรเอ่ยถามเพื่อให้เอมอรตระหนักถึงความสำคัญของการนัดหมายคนอื่นแล้วไปยกเลิกกะทันหันดูบ้างโดยไม่ต้องการคำตอบ แต่ปรากฏว่าเอมอรกลับพยักหน้า

“อื้อ ยกเลิกเขาไปเถอะค่ะ มาทำตรงนี้ก่อนดีกว่า”

นราภัทรอยากจะทึ้งผมตัวเองนัก เธอโกรธจัดจนพูดอะไรไม่ออก หลังจากชั่งน้ำหนักดูว่างานไหนที่มีกำหนดส่งด่วนกว่ากันแล้ว หญิงสาวก็ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ ก่อนจะโทร. ไปอีกตึกเพื่อเลื่อนวันประชุม และกล่าวขอโทษขอโพยยกใหญ่ที่มาบอกอย่างฉุกละหุกในอีกสิบนาทีก่อนจะเข้าประชุมแบบนี้

หลังจากนั้นหญิงสาวก็ร่วมประชุมฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบตึง แม้จะไม่ได้กลายร่างเป็นยักษ์ แต่คนในฝ่ายต่างก็รู้ดีว่าเธออารมณ์เสีย เพราะไม่มีพูดเล่นหยอกล้อกับใครทั้งนั้น และถ้างานยังเดินไปอย่างอืดอาดยืดยาด พวกเขาก็กลัวว่านราภัทรจะองค์ลงอาละวาดกลางที่ประชุม จี้ความผิดเรียงตัวให้เดือดร้อนกันไปทุกราย ด้วยเหตุนี้ทำให้รายงานของฝ่ายที่ทำท่าจะชักช้าและยืดเยื้อเดินไปไวกว่าที่ตั้งใจมาก...ทว่านราภัทรก็ไม่ได้อารมณ์ดีขึ้นเลยทั้งวัน

……………………………..

นราภัทรผลักประตูกระจกเข้าไปในตัวอาคาร อากาศเย็นจากด้านในทำให้หญิงสาวสดชื่นขึ้นมาก เพราะข้างนอกอุณหภูมิยังสูงอยู่ แม้ว่าพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้วก็ตาม ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ไม่มีพนักงานอยู่สักคน หญิงสาวประหลาดใจนิดหน่อย แต่เพราะนี่เป็นนิทรรศการที่ให้ชมฟรี จึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด พนักงานจึงอาจไม่อยู่เฝ้าตลอดเวลาก็เป็นได้ มีสมุดเยี่ยมชมวางไว้บนโต๊ะ หญิงสาวจึงลงชื่อเข้าเยี่ยมชมนิทรรศการไว้แล้วหยิบโบรชัวร์ออกมาดู ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องจัดนิทรรศการหมายเลขสอง

นี่เป็นนิทรรศการจัดแสดงภาพวาดสีน้ำมันบนผืนผ้าใบภายใต้คอนเซปต์ ‘ความบริสุทธิ์’ ศิลปินตีความจากคำว่าบริสุทธิ์ แล้ววาดภาพออกมาตามทัศนคติของตน มีภาพทั้งหมด 24 ภาพวางเรียงรายกันในห้อง ไฮไลต์ของงานอยู่ที่ภาพม้ายูนิคอร์นซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด และจัดแสดงไว้เป็นภาพสุดท้ายตรงทางออก

ภาพแรกเป็นภาพเด็กหญิงชาวต่างชาติผู้มีเรือนผมสีทองเปล่งประกายสวยงาม สวมมงกุฎดอกไม้ เธอสวมชุดกระโปรงขาว ยื่นดอกไม้มาข้างหน้าเสมือนว่ากำลังยื่นดอกไม้ให้ผู้ชมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส นัยน์ตาสีฟ้าสวยเปี่ยมไปด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์ นราภัทรชอบภาพนี้มาก มันทำให้เธอรู้สึกว่าโลกใบนี้ยังมีเรื่องที่งดงามอยู่ และรอให้มนุษย์ค้นหาให้เจอเท่านั้น

นราภัทรค่อยๆ เดินชมไปทีละภาพอย่างไม่รีบร้อน สองเท้าก้าวเอื่อยๆ มองดูผลงานที่เหล่าจิตรกรรังสรรค์ขึ้น เหมือนว่าเธอได้หลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งที่ปราศจากความวุ่นวายในชีวิต กระทั่งมาถึงปลายทางที่แสดงสามภาพสุดท้าย หญิงสาวก็เหลือบเห็นชายคนหนึ่งยืนหันหลังให้เธออยู่ที่ภาพสุดท้าย นราภัทรชะงักไปเพราะไม่คิดว่ามีคนอื่นอยู่ในนี้ด้วย แล้วชายคนนั้นก็หมุนตัวกลับมา…

หญิงสาวแทบไม่เชื่อสายตา เธอยกมือขึ้นชี้เขาอย่างเสียมารยาท “อ๊ะ! คุณอีกแล้ว”

ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ ดูเหมือนจะประหลาดใจไม่แพ้กัน แต่แล้วเขาก็ยิ้มกว้างที่ทำให้โลกนี้สว่างไสวขึ้นมา
“เจอกันอีกแล้วนะครับ”

นราภัทรตาพร่าไปชั่วขณะเมื่อเขาหันมายิ้มให้

ภาพวาดขนาดใหญ่รูปยูนิคอร์นสีขาวนวลอันงามสง่าในท่วงท่ายกสองขาหน้าขึ้นเหมือนจะเผ่นโผนโจนทะยานออกมา ท่ามกลางทะเลเมฆที่ไล่สีฟ้าอ่อนเข้มสร้างมิติจนดูราวกับเมฆจริงที่ลอยอยู่บนฟากฟ้า แสงสีทองซึ่งอาบไล้อยู่ริมขอบเมฆชวนให้คิดถึงสรวงสวรรค์อันเป็นที่อยู่ของเหล่าเทพเทวาทั้งหลาย

...และชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าภาพก็คล้ายกับทูตสวรรค์ที่หลุดออกมาจากภาพวาดไม่มีผิด

..............................
ตอบเมนท์

คุณ ใบบัวน่ารัก

- ในฝันกินข้าวก็อิ่มน้า หมายถึง รู้สึกว่าอิ่ม....
เพราะขณะที่เราหลับสนิท สมองของเราจะทำงานตามเนื้อหาของความฝัน สมองส่วนไหนก็ถูกกระตุ้นก็จะทำงานเสมือนจริง ประมาณนี้จ้า (ตอบซะวิทย์สุดๆ)



ท้องฟ้า
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ธ.ค. 2557, 04:02:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ธ.ค. 2557, 04:04:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 1002





<< บทที่ 2/2   บทที่ 3/2 >>
ใบบัวน่ารัก 9 ธ.ค. 2557, 08:35:50 น.
เจอกันอีกแล้ว ตัวเปนๆหรือฝันไป
หรืออย่างไง
มีเด็กกที่ทำงานแบบนี้ น่าด่ามาก มาจิกใช้งานเรา
งานมันก็ไม่ทำ ดักตบเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account