หะบีบี้...สุดที่รักของผม
หะบีบี้ น้องนุจสุดท้องแห่งตระกูลโสพณพสุธ
จะทำเช่นไร...
เมื่อการกลับสู่บ้านเกิดกลายกลับตาลปัตร
เป็นบ้านหลังอื่นที่ไม่เคยมีใครรู้ว่ามีอยู่จริงบนโลกนี้
"ดินแดนที่ไม่มีปรากฏบนแผนที่โลก"
ปรากฏแก่สายตา...
"คนแปลกหน้า" เธอคือคนแปลกหน้าสำหรับคนบนดินแดนนี้
และคนบนดินแดนนี้ก็คือ คนแปลกหน้าสำหรับเธอเช่นกัน
คนแปลกหน้าอย่างเธอจะต้องทำเช่นไรในดินแดนใหม่...
เมื่อการกลับสู่อ้อมอกพ่อแม่พี่น้องกลายกลับเป็นความว่างเปล่า
และเขา...คือ 'ภัยคุกคาม!'
ที่กำลังก่อกวนหัวใจเธอนับแต่วินาทีแรกที่ได้เจอ...
เขา...ผู้เป็น...อัศวินขี่ม้าขาวในฝันของเธอมาตลอด...
คนที่เธอเฝ้ารอคอยว่าจะได้เจอในความจริงสักครั้ง...
หากความจริงที่เจอ...กลับพลิกผันชีวิตเธอไปตลอดกาล...
Tags: รักโรแมนติก เพ้อฝัน ความลี้ลับ วิทยาศาสตร์ มุสตอฟา หะบีบี้ โสภณพสุธ
ตอน: บทที่ 4 หัวใจเดียวกัน
หลังจากควบม้าสีขาวคู่กายมาไกลตัดผ่านทะเลทรายในบางช่วง
จนมาถึงราวป่าริมหน้าผาสูงชัน ซึ่ง ณ บริเวณนี้จะอยู่ห่างจากบ้านของเขา
โดยใช้เวลาเดินทางด้วยม้าเกือบครึ่งวัน
เพื่อพาเธอมาดูซากของนกเหล็กและซากชีวิตที่ดับสูญไปกับเศษซากดังกล่าว…
ใบหน้าที่มีผ้าปิดหน้ากันลมกันเศษทรายซึ่งยังนั่งอยู่บนหลังม้า
มองภาพหญิงสาวที่กำลังยืนร้องไห้กลางสายฝนดั่งคนสิ้นใจ…
ยืนอยู่นานตั้งแต่ฝนยังไม่ลงเม็ดจนบัดนี้ฝนหนาเม็ดแล้ว
หากร่างบางยังคงปักหลักอยู่ที่เดิมไม่ยอมไปไหน…
ตอนที่เขานำร่างเธอออกมาจากซากดังกล่าวในตอนนั้น
เธอยังไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ…ซึ่งเธอคือชีวิตเดียวที่รอด…รอดมาได้ราวกับปาฏิหาริย์…
ซ้ำยังมิได้บาดเจ็บหรือมีบาดแผลใดๆ…ทั้งๆที่ซากนกเหล็กแทบดูไม่ได้
ส่วนผู้คนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันกับเธอนั้นต่างมีสภาพที่ไม่น่ามอง ชวนให้หดหู่ใจ…
เขาเองยังแปลกใจที่ตอนนั้นนึกอยากจะมาสำรวจพื้นที่แถวนี้พอดี
จึงถือโอกาสควบม้าออกมา…และก็เป็นความบังเอิญอีกเช่นกัน
ที่เขาได้เห็นตอนที่เจ้านกเหล็กดังกล่าวพุุ่งทะยานลงมากระแทกพื้น
ตรงริมหน้าผาสูงชันพร้อมกับเสียงดังราวกับกัมปนาทก้องป่า…
เสียงร้องโหยหวนเล็ดลอดออกมาอย่างที่เขาไม่เคยได้พบได้เห็น
หรือได้ยินมาก่อนในชีวิต…
วินาทีนั้นเขารู้สึกใจหายวาบ…หัวใจกระตุกอย่างหาสาเหตุไม่ได้
ไม่เข้าใจว่าเหตุใดที่ทำให้ตัวเขาเองหลงลืม ไม่รู้ตัว
พาร่างของตัวเองไปยังเศษซากดังกล่าวโดยปราศจากความหวาดกลัวใดๆ
เพื่อไปยังตรงส่วนปีกของมันที่ไฟยังมิได้ลุกไหม้แล้วก็ได้พบหญิงสาวที่มีผ้าคลุมศีรษะ
และผ้าปิดหน้ากำลังหลับตาพริ้ม…
เขาจึงตรงเข้าไปหาราวกับมีแรงดึงดูด…
สิ่งแรกที่ทำคือยกมือของเธอเพื่อค้นหาชีพจร…
ก่อนจะพยายามงัดเธอออกมาจากเศษซากดังกล่าวซึ่งมิง่ายเลย…
หลังจากนั้นจึงนำร่างเธอมาวางไว้ตรงริมลำธารใส…
เช็ดหน้าให้เธอและสำรวจบาดแผลบนร่างกาย…หากก็ไม่พบสิ่งใดที่น่าเป็นห่วง…
เขาจึงกลับไปยังเศษซากดังกล่าวเพื่อสำรวจหาผู้ที่ยังรอดชีวิต…
หากก็ไม่พบว่ามีใครรอดอีก...ทุกชีวิตดับสูญไปพร้อมๆกับนกเหล็กนั่น
มีเพียงเศษซากทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์…
และตอนนี้ เธอก็ดูจะร้องไห้หนักเมื่อต้องมาเจอกับภาพดังกล่าว
พร้อมกลิ่นคาวคลุ้งและเน่าเหม็นอบอวนไปทั่วบริเวณ…
แต่ดูเหมือนร่างบางจะไม่อนาทรกับกลิ่นของมันเลยแม้แต่น้อย…
เธอยังคงยืนตัวสั่นร้องไห้ท่ามกลางสายฝนและเสียงฟ้าร้อง…ไม่ยอมขยับกาย…
ชายหนุ่มที่เฝ้าอดทนมองภาพนั้นอยู่นานก็ถึงกับหมดสิ้นความอดทนอีกต่อไป…
เขาตวัดขาลงจากม้าคู่ใจแล้วเดินไปหาเธอ…ก้าวไปยืนซ้อนด้านหลังของร่าง
ที่กำลังสั่นเทา เสียงร้องไห้ปิ่มจะขาดใจแข่งกับเสียงฝนนั้นดูบาดหัวใจ
คนฟังอยู่ไม่น้อย จนเขาต้องดึงร่างบางเข้ามากอดเอาไว้
หมายจะปลอบประโลม…
“อย่างไรเสีย…เจ้าก็ยังมีข้า…ต่อไปนี้…ข้าจะดูแลปกป้องเจ้าเอง…
ได้โปรดอย่าร้องไห้อีกเลย…ข้าขอร้อง…มีอะไรเจ้าพูดกับข้า
ระบายกับข้าว่าเจ้ารู้สึกอย่างไร…ข้าจะฟังเจ้าทุกคำ…ขอเพียงเจ้า
จะไม่ดื้อไม่ทำร้ายตัวเองอีก…”
หะบีบี้ที่รู้สึกอ้างว้าง เคว้งคว้าง เหน็บหนาวและสิ้นหวังเมื่อแทบหมดสิ้นหนทาง
กลับคืนสู่บ้านที่จากมา…ก็หันมาหาเจ้าของอ้อมกอดก่อนจะกอดเขาเอาไว้แน่น
ราวกับต้องการหลักยึดเหนี่ยวดั่งเขานั้นคือไม้หลักสุดท้ายในชีวิต…
ซบใบหน้าลงตรงอกแกร่งนั่นพร้อมกับพรั่งพรูถ้อยคำออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง…
อ่อนระโหยโรยแรง…
“ข้าเหนื่อย ข้าท้อ ข้าหมดแรง…หมดแล้ว…หมดสิ้นทุกอย่าง
ไม่รู้…ไม่รู้จะไปทางไหน…” ชายหนุ่มก้มลงมองหัวทุยสวยได้รูป
ที่ตอนนี้ผ้าคลุมศีรษะของเธอเปียกแนบไปกับศีรษะก่อนจะยกมือขึ้น
ลูบเพื่อจะปลอบประโลมหัวใจที่กำลังปวดร้าวของเธอให้คลายทุกข์โศก
“จำไว้ว่าเจ้ายังมีข้า…ข้านี่ไงจะดูแลเจ้า…จะช่วยเจ้า...จะไม่ทอดทิ้งเจ้า
นิ่งเสียเถิด…นิ่งเสีย…” ถ้อยคำอันแสนอ่อนโยนนั้นทำให้กายและใจ
ที่เหน็บหนาวพลันอบอุ่นได้อย่างประหลาด…
“เรากลับกันเถิด…กลับบ้านของเรากัน…ลืมเจ้านกเหล็กนี่เสีย…
ลืมภาพพวกนี้เสียให้หมด…แล้วมาเริ่มต้นใหม่…ที่นี่…”
หะบีบี้อยากจะปฏิเสธออกไป เพราะนั่นมิใช่สิ่งที่เธอต้องการ…
สิ่งที่เธอต้องการคือ การกลับบ้านของเธอ…บ้านที่เธอจากมา…
หากก็รู้ดีว่าตอนนี้มันคงเป็นไปได้ยากเหลือเกิน…เธอคงต้องติด
อยู่ในดินแดนนี้ไปอีกนานแค่ไหนก็สุดจะหยั่งรู้…
จึงยอมให้เขาประคองพาขึ้นม้าแล้วพากลับบ้านโดยไม่ขัดขืน…
ตอนนี้ชีวิตของเธอคงต้องฝากไว้กับเขาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป
ในเมื่อเธอคือ…ชายาของเขา!
หลังจากอาบน้ำเสร็จแต่งกายด้วยชุดของสตรีที่มารดาของเขา
นำมาด้วยเมื่อวานนั้น หะบีบี้ก็อดสำรวจชุดเดรสตัวยาวถึงตาตุ่ม เข้ารูปสีขาว
ตรงปลายประโปรงมีสีชมพูเข้มที่เธอสวมใส่เข้ากับผ้าคลุมฮิญาบสีชมพูไม่ได้
เพราะนับว่าผู้ที่ออกแบบตัดเย็บชุดดังกล่าวนั้นมีฝีมือไม่น้อยเลย…
นับว่าเป็นเลิศเลยเห็นจะได้ เพราะมิใช่แค่เพียงฝีมือตัดเย็บ
หากฝีมือในการปักลวดลายลงบนผ้าก็งดงามจนหญิงสาวลูบไปตามตัวชุด
ที่มีการปักดิ้นและมุกประดับเป็นลวดลายอย่างชื่นชม…
แล้วอดยกมือขึ้นทาบลำคอที่มีสร้อยคอทองคำขาวเส้นเล็ก
ก่อนจะแตะจี้รูปหัวใจเพชรสีชมพู ของขวัญที่ผู้เป็นย่าเป็นผู้มอบให้
ในวันสำเร็จการศึกษาของเธอ…
รวมทั้งต่างหูทองคำขาวสองข้างซึ่งเป็นรูปหัวใจเพชรสีชมพู
เข้าชุดกับสร้อยคอซึ่งบิดามารดาของเธอบอกว่ามัน
เป็นตัวแทนของพ่อและแม่ ห้ามทำข้างหนึ่งข้างใดหาย…
และวันนั้นท่านทั้งสองก็เป็นผู้ช่วยกันสวมมันให้กับเธอคนละข้าง
อย่างพร้อมเพรียงกัน หะบีบี้จดจำภาพเหล่านั้นได้ไม่เคยลืมเลือน
ก่อนจะแตะตรงกำไลข้อมือที่ทำจากทองคำขาวฝังเพชรสีชมพูเม็ดเล็กหกเม็ด
รอบกำไลซึ่งพี่ๆทั้งหกของเธอร่วมกันลงขันสั่งทำให้เป็นของขวัญ
เข้าชุดกับสร้อยคอและต่างหูในวันนั้นเช่นกัน…
และยังมีของขวัญจากบรรดาพี่เขยและพี่สะใภ้อีก…
หากทั้งหมดนั้นเธอมิได้นำติดตัวมาด้วย…
มีเพียงแค่เครื่องประดับสี่ชิ้นเท่านั้นที่ติดกายเธอมา
…และดูเหมือนมันจะเข้ากับชุดที่เธอสวมใส่เสียด้วยสิ
จึงก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขวาขึ้นมองแหวนทองคำขาวที่มีเพชรสีชมพูเม็ดเล็กๆน่ารักสามเม็ด
ที่ดูจะเข้าชุดกับเครื่องประดับที่ติดกายเธอมาอย่างบังเอิญ…เหมือนจงใจ…
หะบีบี้ลูบหัวแหวนพลางมองตัวเองในกระจกเงาพร้อมรอยยิ้ม…
ก่อนจะยกผ้าคลุมที่พาดบ่าขึ้นปิดศีรษะ
ยังไม่ทันได้ตวัดปลายผ้าปกปิดลำคอและเนินอกที่โผล่พ้นออกมานอกอาภรณ์
ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู หะบีบี้จึงกดปุ่มเปิดประตูเมื่อได้ยินเสียงของเขา
เรียกอยู่หน้าห้อง
เขาเดินเข้ามาหาเธอในห้องพร้อมรอยยิ้มและดวงตาที่จ้องมองเธออย่างไม่วางตา…
สายตาที่เหมือนจะสะกดใจเธอเอาไว้ให้อยู่ตรงนั้น
“เห็นเจ้าเงียบไป ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่สบาย…” ว่าพลางยกหลังมือ
ขึ้นอังหน้าผากของหะบีบี้…ก่อนจะถอนใจอย่างโล่งอก…
“อยู่กับข้าไม่เห็นจำเป็นที่เจ้าจะต้องปกปิดมิดชิดเลย…
เพราะตอนนี้สถานะระหว่างเจ้ากับข้ามันเปลี่ยนไปแล้ว...”
ว่่าแล้วเขาก็ปลดผ้าฮิญาบของเธอลงคลุมไหล่แทน…
“เจ้ามีเครื่องประดับพวกนี้ด้วยหรือ…ทำไมข้ามิเคยสังเกตเห็น…”
ชายหนุ่มมองสร้อยคอโดยเฉพาะจี้ของมันที่เตะตาเขาเป็นที่สุด
ก่อนจะไล่สายตาไปที่ต่างหูและกำไลข้อมือเข้าชุดของหะบีบี้แล้วขมวดคิ้ว…
“เป็นของขวัญล้ำค่าจากคนในครอบครัวของข้า…ในวันที่ข้าสำเร็จการศึกษา…
สร้อยเส้นนี้จากคุณย่าของข้า” หะบีบี้วางมือลงบนจี้สร้อยคอ
“ส่วนต่างหูทั้งสองข้างนี้จากพ่อและแม่ของข้า…
แล้วกำไลข้อมือนี้ บรรดาพี่ๆของข้าร่วมกันมอบให้ข้า…
ท่านเห็นเพชรสีชมพูรูปหัวใจหกเม็ดนี้มั้ย…นี่แหล่ะหัวใจทั้งหกจากพี่ๆของข้า…”
พูดแล้วน้ำตาก็พาลจะไหล…หะบีบี้เพิ่งค้นพบว่าตัวเองช่างเป็นคนอ่อนไหวเสียเหลือเกิน…
ยิ่งยามที่อยู่ต่อหน้าเขา หัวจิตหัวใจของเธอไม่ยอมเข้มแข็งเลย…
“บนเครื่องประดับทั้งสี่ชิ้นนี้ มีหัวใจของเพชรสีชมพูเก้าดวง
หัวใจของคนในครอบครัวข้า…” น้ำเสียงของคนพูดเริ่มสั่นเครือ
“เจ้าบอกว่านี่คือรูปหัวใจหรือ…” ว่าพลางเขาก็ยกข้อมือของหญิงสาวขึ้นมา
จับจ้องไปยังเพชรเม็ดเล็กๆนั่น…
“มันคือรูปหัวใจ…” หะบีบี้บอก
“ข้าเพิ่งรู้ว่ารูปหัวใจเป็นเช่นนี้เอง…” เขาช้อนสายตาขึ้นมอง
เจ้าของกำไลข้อมือนั้น…
“สวย…ปราณีต…งดงาม…เพชรก็น้ำงาม…” เขาเปรยออกมา
เมื่อพิจารณาเครื่องประดับดังกล่าว
“ข้าอาจไม่เก่งในเรื่องนี้…แต่ท่านแม่ของข้าชำนาญนัก…
เพราะท่านเป็นผู้คิดและทำแหวนวงนี้ขึ้นมาเพื่อเจ้าสาวของข้า…”
แล้วเขาก็เปลี่ยนจากกำไลข้อมือหันมาจับจ้องที่แหวนบนนิ้วก้อยของเธอ
“และท่านก็เป็นผู้คิดและตัดเย็บชุดเจ้าสาวที่เจ้าสวมเมื่อวานนี้
ท่านทำเองทุกอย่างทุกขั้นตอน…ทำเสร็จพอดี…เจ้าก็มาถึง…ทันได้สวมใส่”
หะบีบี้เบิกตามองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ…
“นานหรือไม่กว่าท่านแม่ของท่านจะเตรียมมันจนเสร็จ…”
“นานมาก…เพราะท่านทำไปเรื่อยๆ…ไม่ได้เร่งรีบ…เหมือนที่ข้า
ก็มิได้เร่งรีบที่จะแต่งงาน…แล้วชุดท่ี่เจ้ากำลังสวมใส่อยู่ตอนนี้
ท่านแม่ของข้าก็ตัดเย็บด้วยมือของท่านเอง…เจ้าชอบหรือไม่…”
หะบีบี้พยักหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย…
“ข้าชอบ…และ…และอยากขอบคุณท่านแม่ของท่านเหลือเกิน”
“เรียกท่านแม่ของข้าว่าท่านแม่เถิด…ข้าไม่ถือ…ท่านแม่เอง
ก็คงจะยินดีมากถ้าเจ้าจะเรียกท่านว่าท่านแม่เหมือนที่ข้าเรียก…”
หะบีบี้ก้มหน้าหลุบสายตาที่จ้องมองมา…สายตาคู่นั้นของเขา
ที่จับจ้องมาทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก หัวใจยิ่งสั่นหวั่นไหว…
“ท่านแม่จะอยู่กับเราที่นี่จนกว่าเจ้าจะชิน…และจนกว่าเจ้าจะได้
เรียนรู้วิถีชีวิตของผู้คนที่นี่…” อีกครั้งที่เขาทำให้เธอประหลาดใจ
“ปกติท่านแม่ของท่านพักอยู่ที่ใดหรือ…” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง
“บ้านของท่านตาของข้า…ต้ังแต่ท่านพ่อเสีย ท่านแม่ก็กลับ
ไปอยู่ที่บ้านเดิมของท่านก่อนที่ท่านจะเข้าพิธีสมรสกับท่านพ่อ”
“อยู่ไกลหรือไม่ท่าน…” ชายหนุ่มพยักหน้า
“ไกล…ไกลนัก…ต้องใช้เวลาเกือบสองวันในการเดินทางด้วยม้า”
หะบีบี้กลอกตาไปมาก่อนจะถามไปว่า
“ทำไมท่านแม่ถึงไม่อยู่กับท่านเล่า…” แล้วเธอก็ได้เห็นเขาแย้มยิ้ม
“ท่านแม่ไม่โปรดที่จะอยู่ที่นี่นักดอก เพราะที่นี่มีแต่บุรุษที่เอาแต่เล่าเรียน
และทำงานหนัก…ไม่มีสตรีให้พูดคุยหยอกเย้าด้วย…ท่านเหงาก็เลยขอกลับไปอยู่
กับบรรดาสตรีเสียดีกว่า…แล้วข้าก็เห็นด้วย…ยามคิดถึง
ข้าก็จะควบม้าไปหา…หากก็มิอาจไปได้บ่อยครั้งนัก…”
ยิ่งเขาพูดเธอก็ยิ่งงงและสงสัยเพิ่มขึ้น…
“ทำไมที่นี่ถึงมีแต่บุรุษ…”
“เพราะที่นี่คือสถานที่สำหรับบุรุษ…มีสถานศึกษาสำหรับบุรุษ มีการงานสำหรับบุรุษ…”
“แล้วสถานที่สำหรับสตรีเล่า…”
“มี…ห่างจากที่นี่ไปอีกไกล…เอาไว้เมื่อมีโอกาสข้าจะพาเจ้า
ไปเที่ยวชมผังเมืองของดินแดนนี้…แล้วถึงตอนนั้นเจ้าจะเข้าใจ…
เพราะถึงข้าจะอธิบายในตอนนี้เจ้าก็จะไม่เข้าใจ…เจ้าต้องไปเห็นกับตาของเจ้าเอง…”
หากก็ยังมิคลายสงสัยในสิ่งที่ข้องใจ
“แล้วข้าสมควรจะอยู่ท่ีนี่หรือ…ในเมื่อข้าคือสตรีและที่นี่คือที่สำหรับบุรุษ…”
ชายหนุ่มกุมมือบางเอาไว้ขณะตอบว่า
“เจ้าคือชายาของข้า ข้าอยู่ที่ใด เจ้าก็จักต้องอยู่ที่นั่น…”
หะบีบี้กำลังคิดว่า…บางทีเธออาจไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับเขาก็ได้นี่
เขาสามารถให้เธอไปพักอาศัยกับมารดาของเขาในที่สำหรับบรรดาสตรี…
หากเขาก็เหมือนจะรู้เท่าทันความคิดของเธออีกจนได้
“ไม่มีวิธีใดจะดีสำหรับเจ้าและข้าได้เท่ากับการแต่งงานกันอีกแล้ว…
เจ้าเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาด ย่อมจะเข้าใจในสิ่งที่ข้าเลือกทำ…”
หะบีบี้พยักหน้ารับรู้และเข้าใจ…
“ท่านบอกว่าจะช่วยข้าตามหาประตูบานนั้น…” หะบีบี้ไม่คิด
จะถอดใจเรื่องกลับบ้าน…
“หากมันคือความสุขของเจ้า…ข้าจะพยายามช่วยเจ้า…”
“แม้มันอาจจะเป็นไปได้ยากอย่างนั้นหรือ…เมื่อข้าไม่มีพาหนะ
ที่จะกลับไปได้อีกแล้ว…ถ้าในวันนั้นท่านไม่ได้ช่วยข้าเอาไว้
ชะตากรรมของข้าก็คงไม่ต่างจากผู้คนเหล่านั้น...ไม่ต่างจากนกเหล็กนั่น”
หะบีบี้ปรึกษาเขาด้วยแววตาหวาดหวั่น แม้จะไม่ได้สิ้นหวังเสียทีเดียว
หากก็อดไม่ได้ที่จะหวาดหวั่น…
“ข้านี่ไง…พาหนะของเจ้า…แม้ไม่ใช่พาหนะที่ดีเลิศ…
แต่ข้าก็ยินดีและจะพยายามหาทางพาเจ้าไปส่งยังฝั่งฝันของเจ้า…”
หะบีบี้มองใบหน้าอันหล่อเหลาของเขากับแววตาจริงใจคู่นั้น
ด้วยความซาบซึ้งตรึงใจ…แม้จะเคยแอบคิดดูแคลนว่าเขานั้นหรือ
จะมีปัญญาหรือความสามารถอะไรที่จะพาเธอกลับไปยังดินแดนที่จากมาได้…
หากยามนี้…ความจริงใจของเขาทำให้หัวใจที่อ่อนล้้าของเธอเริ่มมีพลัง…
“นักปราชญ์เคยกล่าวไว้ว่า…อย่ายอมแพ้…เมื่อเจ้าทำสิ่งใดแล้ว
ไม่ประสบความสำเร็จ แต่จงทำมันซ้ำๆอีกหลายครั้ง…
น้ำฝนมันสามารถที่จะเจาะผาหินให้เป็นรูได้
มันไม่ใช่เพราะความรุนแรงหรือพละกำลัง…แต่ด้วยการทำซ้ำๆ…”
ชายหนุ่มกล่าวถ้อยคำที่หมายจะปลอบโยนและให้กำลังใจ
ทั้งเธอและทั้งตัวเองไปด้วย…ก่อนจะยกมือขึ้นลูบเส้นผมนั้นเบาๆ
ขณะพูดคำคมของเชค มุฮัมหมัด มุตะวัลลีย์ อัชชะอ์รอวีย์ว่า
"เมื่ออัลลอฮ์ได้พรากสิ่งที่ท่านไม่คาดคิดว่าท่านนั้นจะสูญเสียมันไป...
อีกไม่นาน…พระองค์ก็จะทรงมอบสิ่งที่ท่านไม่คาดคิด
ว่าท่านจะมีโอกาสได้ครอบครองมันให้กับท่านเช่นเดียวกัน "
หะบีบี้ช้อนตาขึ้นมองคนพูดแล้วแย้มยิ้มออกมา…
เขาช่างสรรหาถ้อยคำมาเสริมสร้างขวัญกำลังใจให้กับเธอได้เสมอ…
ยิ่งรอยยิ้มกับสายตาคู่นั้นอีกเล่า…แล้วอย่างนี้เธอจะรอดพ้นจากเขาไปได้อย่างไร…
คงต้องมีสักวันที่เธอเผลอหลวมตัวหลวมใจไปกับเขาเป็นแน่…
ซ้ำยังแอบกระซิบถามตัวเองในใจอยู่เลยว่า
ถ้าเกิดเธอพบประตูบานนั้นขึ้นมาตอนนี้…เธอจะยินดีคืนกลับบ้าน
โดยทิ้งเขาเอาไว้ที่นี่ได้หรือไม่…
ตอนนี้คำตอบของเธอต่างจากวันแรกที่มาถึงดินแดนนี้เสียแล้ว…
เพราะเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าจะยอมจากเขาไปได้จริงๆ…
หากลึกๆก็ยังคิดถึงทุกคนที่จากมาเหลือเกิน
แต่เอาเถิด…ตอนนี้ เวลานี้ หัวใจเธอเหน็บหนาวเกินกว่าจะปฏิเสธ
กองไฟอันแสนอบอุ่นตรงหน้าอย่างเขาได้…
“เจ้าหยุดคิดทุกอย่างเสียเถิด…” ชายหนุ่มเห็นสีหน้าท่าทางไม่สู้ดีของคนตรงหน้า
จึงกดไหล่ทั้งสองข้างของหะบีบี้ให้นั่งลงบนเตียง…
“ตอนนี้ข้าอยากให้เจ้าคิดแต่เพียงว่า…เจ้าอยากจะทำอะไรที่นี่
อยากหัดขี่ม้า อยากหัดเลี้ยงแกะ หรืออยากหัดปลูกข้าว…
อยากทอผ้า อยากทำเครื่องปั้นดินเผา…หรืออยากจะปลูกดอกไม้งาม”
หะบีบี้มองคนที่เข้าใจหาข้อเสนอมาให้เธอได้ตื่นเต้นเล่น
ก่อนจะสะดุดใจกับข้อเสนอที่ถูกเอ่ยถึงเข้าอย่างจัง
“เมื่อครู่ท่านบอกว่า…หัดปลูกข้าวหรือ…ชีวิตข้าไม่เคยปลูกข้าวเลย
เขาปลูกกันอย่างไรหรือ…พี่เขยของข้าปลูกแต่ต้นไม้ใบหญ้า
ไม่เห็นเคยปลูกข้าว…ข้าว่า…ข้าอยากลองปลูกข้าวดู…มันคงสนุกพิลึก”
ชายหนุ่มแย้มย้ิมเมื่อเห็นว่าตนทำสำเร็จ เพราะสีหน้าท่าทางของคนตรงหน้า
เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่…
“แต่มาลองตรองดูดีๆ…ข้าก็อยากลองทำมันทั้งหมดที่ท่านว่ามา…
แต่…ท่านคงไม่เชื่อแน่ๆว่าอันที่จริงแล้วข้าไม่ค่อยเอาไหนเท่าไหร่
ชอบทำให้งานผู้อื่นวุ่นวาย…ท่านอาจจะปวดหัวเพราะข้าก็เป็นได้…”
ชายหนุ่มยกมุมปากเพียงนิด…
“พรุ่งน้ีเจ้าเตรียมตัวไว้สำหรับไปเรียนรู้การปลูกข้าวเถิด…
เพราะเรากำลังจะเริ่มปลูกข้าวกันพอดี…” หะบีบี้ตาโต ชี้นิ้วมาหาตัวเอง
ก่อนจะชี้ไปยังเขาขณะพูดย้ำว่า
“เรา?” ชายหนุ่มพยักหน้าพร้อมคำยืนยันหนักแน่น
“เจ้ากับข้าอย่างไรเล่า…”
“นี่ท่านปลูกข้าวด้วยหรือ…”
ชายหนุ่มตรงหน้ายังมีอะไรที่เธอคาดไม่ถึงอีกหรือเปล่านะ
ดูเขาจะกลายเป็นปริศนาให้เธอต้องขบคิดอยู่ตลอดเวลา...
ผู้นำสูงสุดกับการปลูกข้าว มันดูจะไปด้วยกันไม่ได้สักเท่าไหร่เลย...
เขาเป็นผู้นำประเภทไหนกันนะ
...ช่างน่าพิศวงเสียจริงท่านมุสตอฟา ชัยนุลอะบีดีน...ผู้เป็นสวามีของบีบี้
“ดูเจ้าจะประหลาดใจกับการที่ข้าปลูกข้าวได้…ถ้าเช่นนั้น
เจ้าคงต้องเตรียมใจไว้สำหรับความประหลาดใจเอาไว้มากๆ…”
ใบหน้าสดชื่นของเขากับถ้อยคำที่บ่งบอกว่าเขาไม่ได้พูดเล่น
ทำเอาคนฟังประหลาดใจขึ้นมาจริงๆ
“หวังว่าที่นี่จะไม่มีควาย…” หะบีบี้นึกภาพควายกลางทุ่งนาในภาพสารคดี
ที่เธอเคยดูผ่านช่องสารคดีมา…จึงเปรยออกมาด้วยภาษาไทยด้วยความเคยชิน
ทำเอาคนที่ได้ยินถึงกับทำหน้างงงวย
“เจ้าพูดอะไรที่เป็นปริศนาให้ข้าต้องขบคิดอีกแล้ว…”
ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างเอ็นดู และรอยยิ้มเอ็นดูของเขาทำเอาคนรับถึงกับยิ้มแป้น…
“ก็ข้าไม่รู้นี่ว่าภาษาบ้านท่านเรียกเจ้าสัตว์มีเขาตัวดำๆแบบนั้นว่าอะไร…
แต่ถึงมันจะตัวดำ หากใครๆก็ว่ามันใจดี…ซื่อๆ…”
ว่าแล้วหะบีบี้ก็ฉีกยิ้มอย่างอารมณ์ดี ไม่วายฮัมเพลงขณะลุกขึ้นยืน
แล้วเดินไปยังด้านนอก กะจะออกไปเดินเล่นนอกถ้ำหรือบ้านของเขาเสียหน่อย…
“ใครกันที่ทำให้ฉันรัก…ใครกันที่มาอยู่ในความฝัน…
คนที่ฉันคิดถึงอยู่ทุกวัน…ก็ใครคนนั้นฉันเรียกเธอ…
ความรักหน้าตาประมาณไหน…ความรักจะใจดีแบบเธอไหม…
เก็บซ่อนความรักไม่ใกล้ไม่ไกล…หน้าอกข้างซ้ายตรงใจของเธอ…”
(เพลง รักฉันเรียกว่าเธอ โดย Kamikaze)
ชายหนุ่มที่ได้ฟังน้ำเสียงใสๆ หากไม่อาจเข้าใจความหมายของถ้อยคำ
ที่เธอขับร้องออกมาได้ จึงเดินตามมาติดๆเพื่อไขข้อข้องใจ
“แล้วภาษาบ้านเจ้าที่เจ้ากำลังขับร้องออกมาเป็นบทเพลงทำนองแปลกๆเล่า
มันหมายความว่าอย่างไร…” หะบีบี้หันมายักคิ้วยิ้มยั่วเขา…เรื่องอะไรจะแปลให้ฟังเล่า…
“ไม่บอกดอก…” พูดจบก็เดินหน้าระรื่นพร้อมเสียงใสๆขับขานบทเพลงนั้น…
“ความรักหน้าตาประมาณไหน…ความรักจะใจดีแบบเธอไหม…”
ถ้าชายหนุ่มรู้ว่าเหตุที่ทำให้หญิงสาวนึกถึงบทเพลงนี้ขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วนได้นั้น
มาจากความใจดีของสัตว์ที่มีเขาตัวดำๆที่เธอเพิ่งบอกเขาไปว่ามันใจดีและซื่อๆนั้น…
คนที่กำลังเดินตามหลังเธอไล่หลังมาอาจขวิดเธอเอาได้ถ้าได้รู้ความหมายของเพลง
ที่เธอร้องอยู่…
…เธอไม่ได้ว่าเขาเป็นควาย…แต่เพราะความใจดีและซื่อๆของควาย
ที่ใครๆพูดถึงทำให้เธอนึกถึงความใจดีของเขาขึ้นมาด้วยต่างหาก…
แล้วก็เพราะความใจดีของเขานี่แหล่ะที่ทำให้เธอรู้สึกรักเขาเพิ่มขึ้นมาอีกโข…
หะบีบี้รู้สึกโล่งที่สุดที่ได้ระบายความในใจออกไปต่อหน้าเขา…
แม้เขาจะไม่เข้าใจมันเลยก็ตามเถอะ…แต่เธอก็ได้บอกเขาไปแล้วนี่นา
สารภาพตรงหน้าออกไปเลยด้วย…ใจกล้าซะไม่มีเรา…
…นี่แหล่ะสตรีศรีสยามของคุณย่าอะมานีล่ะ…
“แอบปักใจไปในดอกไม้ แอบบอกรักไปกับสายลม…
บอกไปแล้ว…ก็ไม่รู้…เธอจะรู้รึเปล่า…”
เสียงใสยังคงกวนประสาทคนไม่รู้ตัวว่าโดนบอกรักผ่านเสียงเพลงไปเรื่อยๆ
จนถึงพื้นที่โล่งภายใต้ร่มเงาไม้ใหญ่มากมายที่มีชิงช้าผูกเอาไว้คอยท่า
ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะล่วงรู้…
“รักเธอ…มันรักเธอ…คือรักเธอ…คำนี้มันยังเป็นของเธอ…”
หะบีบี้นั่งลงบนชิงช้าตัวยาวซึ่งทำมาจากแผ่นหินราบเรียบถูกผูกโยง
ด้วยเชือกขนาดใหญ่กับต้นไม้ที่มีกิ่งก้านแข็งแรง
ชิงช้าตัวนี้ทำให้เธออดคิดไปถึงชิงช้าที่พ่อของเธอผูกไว้ในสวนที่บ้านมิได้…
ชิงช้าตัวนั้น ไม่ว่าลูกคนใดของพ่อก็รักและผูกพันกันทั้งนั้น…
เธอเองก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าที่ตรงนี้มีชิงช้าก็เมื่อครู่นี้เอง…เธอจึงเดินมาทางนี้…
และเพียงไม่นานเขาก็เดินมาถึงแล้วถือวิสาสะนั่งลงข้างๆเธอ…
หะบีบี้ไม่เอ่ยคำใดนอกจากจะเอียงคอวางศีรษะอิงต้นแขนแข็งแรงของเขา…
“ข้ารู้สึกสับสน…มากๆ…”
เธออยากรักเขาพอๆกับไม่อยากรักเขา…
เธออยากอยู่ที่นี่พอๆกับอยากกลับบ้าน…นี่เธอกำลังเป็นอะไรไป…
นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าความสับสน…
หะบีบี้ลอบถอนใจยาว…มือใหญ่อีกข้างที่ว่างอยู่ยกขึ้นลูบศีรษะ
ที่แนบกับลำแขนของเขาแล้วยิ้มออกมา…
“เมื่อครู่เห็นเจ้ายังร้องเพลงเสียงสดใสยั่วแหย่ข้าอยู่เลย…
ทำไมอยู่ๆเจ้าถึงมานั่งทำหน้าเศร้าอีกแล้ว…เจ้านี่เหมือนเด็กเสียจริง…”
แสงแดดอ่อนๆตอนบ่ายคล้อยลงต่ำ ทำให้หะบีบี้หวนคิดถึงวันวาน…
“ข้าก็อยากกลับไปเป็นเด็กนะท่าน…” หะบีบี้เปรยเสียงเบาหวิว…
และเหมือนเขาจะไม่เคยเอะใจเลยว่าช่วงหลังๆมานี้เธอพยายามปรับภาษาโบราณของเขา
ด้วยการสอดแทรกลักษณะการพูดแบบใหม่แทรกเข้าไปในบทสนทนาเสมอ
ซ้ำยังมีบ้างที่เขาเองก็เผลอใช้ประโยคแบบเดียวกันกับเธอด้วย...
“เป็นเด็กขี้แยน่ะหรือ…ข้าว่าอย่าเลย…” หะบีบี้แย้มยิ้มกับคำหยอกเอิน
“งั้นข้าจะร้องเพลงอีก…ท่านจะนั่งฟังข้าร้องเพลงอีกสักเพลงได้ไหม…
ข้าอยากระบาย เพราะนอกจากร้องเพลงกับร้องไห้แล้ว
ข้าก็ไม่รู้จะระบายทางไหน ถ้าท่านไม่อยากฟังข้าร้องไห้
ท่านก็คงต้องอดทนฟังเสียงข้าร้องเพลงที่ท่านไม่เข้าใจแล้วละ…”
หะบีบี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหงาๆปนเศร้าแกมหยอกน้อยๆ
ทำเอาคนที่นั่งให้เธอแอบอิงถึงกลับไม่กล้าปฏิเสธ…ซ้ำยังนึกเอ็นดูน้อยๆ
“เอาสิ…ข้าเองก็ไม่ได้รังเกียจเสียงเจ้า…ออกจะชอบ…มันฟังดูแปลกๆดี”
คนฟังค้อนปะหลับปะเหลือกกับถ้อยสุดท้ายของเขา…ก่อนจะพ่นลมหายใจ…
วินาทีต่อมา เสียงใสๆปนเศร้าๆเหมือนเด็กที่กำลังหลงทางก็ดังขึ้นด้วยบทเพลงญี่ปุ่น…
เพลง Tomorrrow’s way ของ Yui ซึ่งมีเนื้อหาเพลงที่โดนใจเธอ…
“Ima wo kowashite shimaitai
Ima ni sugaritsuite itai
Jibun no koto wa wakaranai
(ตอนนี้ฉันอยากจะพังทลายมันลงไป
ตอนนี้ฉันอยากจะยึดติดมันเอาไว้
ฉันไม่เข้าใจตัวเองเลย)
Yarinaoseru hazu nai yo
Shiranai machi ni kakurete mitemo
Mado goshi ni tada
Ima wo omou
(ฉันหวังที่จะสามารถเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง
แม้ฉันจะพยายามซ่อนตัวอยู่ในเมืองที่ไม่คุ้นเคยก็ตาม
ตอนนี้ฉันคิดถึงทุกสิ่งที่อยู่พ้นบานหน้าต่างนั้นออกไป)
Nigedashitai shoudou kara
Nigedasu made no koujitsu ni mayou
(ฉันอยากจะวิ่งหนีจากสิ่งรุมเร้าทั้งหลาย
ความคลางแคลงใจทำให้ฉันสับสนจวบจนวิ่งหนีออกมา)
Chigireta kikou wo tadoreba
Ano koro ni datte modoreru
Itsuka no shounen mitai ni
(ถ้าฉันไล่ตามความฝันที่ถูกฉีกทิ้งออกเป็นเสี่ยงๆ
ฉันคงสามารถย้อนกลับไปยังช่วงเวลานั้น
เหมือนอย่างเด็กๆในตอนนั้นสินะ)
Kanaeru tame umarete kita no
Osanaki hibi ni egaita uchuu
I’m a baby nakitaku mo naru
Te ni ireru tame no itami nara so good
(ฉันเกิดมาเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในจักรวาลนี้
หลับตาลงนึกย้อนถึงเมื่อตอนที่ยังเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ
ฉันเป็นเพียงทารก
ที่อยากจะร้องไห้ออกมา
ให้ความเจ็บปวดนำพามันไป…ดีมั้ยนะ?)
Ikiru koto ga tatakai nara
Kachimake mo shikata ga nai koto
Sonna koto kurai wakatte iru yo
(ถ้าชีวิตฉันเกิดมาเพื่อต่อสู้ฟันฝ่า
ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็เป็นเรื่องธรรมดา (เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้)
ฉันเข้าใจดี)
Nakidashitai shougeki kara
Hashiridashita asu e to kodou ga sawagu
(หัวใจของฉันถูกบดละเอียด
จากเรื่องที่ทำให้ฉันอยากจะร้องไห้
จนไม่สามารถควบคุมตัวเองให้วิ่งไปยังวันพรุ่งนี้ได้อีก)
Massugu ni ikite yukutai
Tada massugu ni ikite itai
Ano hi no shounen mitai ni
(ฉันอยากจะมีชีวิตอยู่ด้วยความจริงใจ
เหมือนอย่างเด็กๆในวันนั้นสินะ)
Kanaeru tame umarete kita no
Osanaki hibi ni kanjita kokyuu
I’m a baby nakitaku mo naru
Te ni ireru tame no itami nara so good
(ฉันเกิดมาเพื่อที่จะมีชีวิตเพื่อลมหายใจนี้
ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงเด็กเล็กๆ
ฉันเป็นเพียงทารก
และอยากจะร้องไห้ออกมา
ให้ความเจ็บปวดนำพามันไป…ดีมั้ยนะ?)
Dareka no kotoba ni tsumadzukitakunai
Madowasaretakunai
(ฉันไม่อยากจบลงอย่างผิดพลาด
เพราะคำพูดของใครบางคน
ฉันไม่อยากจะถูกทำให้สับสนอีกต่อไป)
Ashita mo kitto kagayaite iru
Osanaki hibi ni modoranakute ii
(แน่นอนว่ารุ่งขึ้นจะต้องสดใสอีกครั้ง
มันจะดีขึ้นแม้ว่าจะไม่ย้อนกลับไปยังวันวาน)
Tomorrow’s way of my life kowagari
Dakedo hikikaesenai michi ni tatteru
(ฉันเป็นเพียงคนขี้ขลาดบนหนทางแห่งอนาคตของชีวิตฉันเอง
แต่ฉันจะยืนหยัดเพื่อแก้ไขมัน (ฉันไม่สามารถหันกลับไปได้อีกแล้ว))
Kanaeru tame umaretekita no
Osanaki hibi ni egaita uchuu
(ฉันเกิดมาเพื่อที่จะมีชีวิตเพื่อลมหายใจนี้
ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงเด็กเล็กๆในจักรวาล)
I’m a baby naitari shinai
Te ni ireru tame no itami nara so good…”
(ฉันเป็นเพียงทารก
แต่ฉันจะไม่ร้องไห้เพียงเพื่อให้ได้ในสิ่งท่ีต้องการ
ถ้าสิ่งนี้คือความเจ็บปวด มันก็ดีนะ…)
“ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าพูดได้ ร้องเพลงได้ สื่อสารได้หลายรูปแบบ…
เพราะแบบนี้กับก่อนหน้านี้ดูจะไม่เหมือนกัน…” หะบีบี้แย้มยิ้ม
ให้กับคนที่ช่างสังเกตช่างจดช่่างชำและช่างคิด
ในขณะที่น้ำตาคลอเบ้าเพราะอินกับเนื้อหาเพลงที่เพิ่งร้องจบไป…
“ท่านไม่อยากรู้หรือว่าเพลงที่ข้าร้องไปเมื่อครู่มันหมายความว่าอย่างไร…”
“ถ้าเจ้าอยากให้ข้ารู้…ข้าก็อยากจะฟัง…”
อุ้ย…คนอะไรน่ารักเป็นบ้าเลย...
หะบีบี้แทบอยากจะแยกเขี้ยวงับลำแขนล่ำๆของเขา
ที่เธอเอาศีรษะแนบอยู่ด้วยความหมั่นเขี้ยว…
“งั้นข้าจะบอกท่าน…” แล้วหะบีบี้ก็เอ่ยความหมายของบทเพลงให้เขาฟังทั้งหมด
อย่างตรงไปตรงมา…
และเมื่อเขาฟังจบ ความเงียบก็เข้าปกคลุมพื้นที่อยู่ครู่ใหญ่
ก่อนจะยกลำแขนขึ้นตวัดอ้อมด้านหลังเธอแล้วโอบศีรษะของเธอเข้าหาอกกว้าง…
แล้วใช้มือลูบไล้เส้นผมเธอเล่น
“เจ้ารู้สึกเช่นนั้นหรือ…” หะบีบี้พยักหน้า
“ข้ารู้สึกสับสนและหวาดหวั่นกับบนหนทางไปสู่อนาคตของตัวเอง…
เหมือนเด็กๆอย่างที่ท่านว่า…”
เขาไม่พูดคำใด นอกจากจับเส้นผมของเธอมาม้วน
“แต่ข้าจะพยายามไม่ร้องไห้เหมือนเด็กๆที่เมื่อต้องการสิ่งใดแล้ว
ก็ใช้น้ำตาเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการให้ท่านต้องรำคาญใจอีก…
ข้าจะพยายามนะท่าน…” เขาหันหน้ามาแล้วก้มลงฝังจมูกและปาก
ลงตรงกลางกระหม่อมของเธอแล้ววางคางสากๆของเขาเกยไว้อย่างนั้น
“มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้…ทุกคนถูกสร้างมาในสภาพที่อ่อนแอ…
แม้จะพยายามเข้มแข็งเช่นไร…หากเราก็ยังคงต้องการการพึ่งพา…
ไม่ผิดดอกที่เจ้าอยากจะร้องไห้ในยามที่รู้สึกว่ากำลังเผชิญหน้า
กับสิ่งที่ทำให้เจ้าสับสน…แต่ข้าหวัง…หวังอยากให้เจ้าเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้งอย่างสดใส…”
หะบีบี้ยกแขนขึ้นตวัดโอบเอวสอบของเขาจากทางด้านหลัง
…เขาช่างเป็นผู้ชายที่ทำให้เธออุ่นใจได้อย่างไม่น่าเชื่อเลย…
“ท่านเคยเป็นเหมือนข้าไหม…ที่เมื่อรู้ว่าโลกนี้ไม่ได้น่าอยู่สักเท่าไหร่
แล้วอยากจะกลับเข้าไปอยู่ในท้องแม่อีกครั้ง…”
คำถามนั้นทำเอาคนฟังถึงกับหัวเราะน้อยๆออกมา…
“ไม่ดอก…เพราะข้ารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้…เรากลับไปที่เดิมไม่ได้…
โลกในท้องแม่นั้นเป็นอย่างไรเราก็จำไม่ได้…" หะบีบี้ย่นจมูกอย่างลืมตัว
เพราะคนอย่างเขาน่ะดูจริงจังน่ะสิ นึกถึงแต่ความจริงอยู่ทุกลมหายใจ
พอเธอพูดอะไรที่มันเหมือนจะเพ้อฝัน เขาก็ทำเสียงเหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็ก
ที่พูดเรื่องเพ้อเจ้อ...โธ่...นี่เขาคงไม่เคยได้ยินคำพูดที่ว่า
...จินตนาการสำคัญกว่าความรู้...ล่ะสิ
"ตอนเราจากมาเราก็ไม่อาจกำหนดวันจากโลกนั้นมาได้…
โลกที่มีการกินอยู่ขับถ่ายไม่เหมือนกับเราในตอนนี้…
ซึ่งก็เหมือนกับโลกนี้…โลกนอกท้องแม่…ที่เราเองก็มีการกินอยู่ขับถ่ายอีกแบบ
และเราก็ไม่อาจรู้วันที่จะจากไปได้…" นั่นไง...เขากำลังอธิบายโลกแห่งความจริง
ให้เธอฟัง...แต่แปลกที่น้ำเสียงของเขามันช่างดูน่าฟังเหลือเกิน...
บุรุษที่มีน้ำเสียงไพเราะน่าฟังเช่นนี้ หากหลงไปในดินแดนเธอ ไม่กลายเป็นนักพูด
ก็อาจจะถูกจับไปเทสต์เสียง เพื่อพากย์การ์ตูนหรือไม่ก็พากย์หนัง
แต่หน้าตาหล่อๆแบบนี้ เธอว่าน่าจะโดนฉุดไปเป็นนายแบบ ดารา
แล้วเผลอๆอาจยัดเยียดให้ไปหัดร้องเพลงเพ่ือจะได้ปั้นให้เป็นนักร้องด้วยอีกทาง
คาดว่า...เขาคงจะดังไม่น้อยแน่ๆ...
แค่คิดว่าจะพาเขาไปอยู่ด้วยที่ดินแดนที่เธอจากมา...เธอก็ไม่อยากจินตนาการเลยว่า
เขาจะตกอยู่ในสภาพใดและจะน่าสงสารขนาดไหน...คิดแล้วก็ทำไม่ลง...เฮ้อ...
"และเมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว เราก็จะกลับมาไม่ได้อีกเช่นกัน…
หรือถ้ากลับมาได้ก็คงไม่ใช่ในสภาพเดิม
ต่อให้เราอยากจะกลับมาแก้ไขสิ่งใดๆที่ทำเอาไว้ที่นี่ เราก็ทำไม่ได้อีกแล้ว…
พระเจ้าให้สิทธิ์เราแค่ลมหายใจถึงลูกกระเดือก
หลังจากนั้นเราก็จะถูกตัดขาดจากการกระทำทุกอย่างในโลกนี้ลง…
การกระทำและสำนึกหลังจากนั้นมันไม่มีผลอีกแล้ว…
เจ้าไม่เห็นดอกหรือว่าไม่มีมนุษย์คนใดท่ีตายไปแล้ว
จะกลับมาที่นี่ในสภาพเดิมได้อีก…เหมือนกับที่เราเอง
ก็ไม่สามารถกลับไปอยู่ในท้องแม่ได้อีกเช่นกัน…”
หะบีบี้พยักหน้ารับรู้ในสิ่งที่เขาบอก…และนั่นทำให้เธออดคิดถึงดินแดนที่เธอจากมาไม่ได้…
เรื่องที่เคยแอบคิดว่าอยากจะพาเขากลับไปอยู่ด้วยนั้นคงต้องพับเอาไว้
เพราะตอนนี้เธอเองก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่า เธอจะได้กลับไปที่นั่นอีก…
หรือว่าเธอจะถูกตัดขาดจากที่นั่นไปแล้ว
…ประตูบานนั้นถูกปิดลงอย่างถาวรแล้วใช่ไหม...
คิดมาถึงตรงนี้น้ำตาก็พาลจะไหลอีกระลอก…
เธอว่า...จินตนาการชักเริ่มน่ากลัวว่าความรู้แล้วละ...
“หรือเจ้าเสียใจที่ไม่ได้กลับไปอยู่ในท้องแม่ ทั้งๆที่เจ้าก็รู้ดีว่า
สภาพของเจ้าโตเกินกว่าจะกลับไปอยู่ในนั้นได้อีกแล้ว…
ทั้งๆที่เจ้าเองก็ไม่เคยจำได้เกี่ยวกับโลกใบนั้นที่เจ้าจากมาด้วยซ้ำ...
และในเมื่อโลกนี้มันช่างกว้างขวางกว่าโลกในท้องแม่เสียอีก...”
หะบีบี้ปล่อยให้น้ำตากลิ้งลงมาอย่างไม่อาจห้ามได้อีกต่อไป…
แม้ปากจะบอกว่าจะพยายาม หากสุดท้ายใจเธอก็ร้าวระบมเกินกว่าจะต้านทาน…
“แต่ข้า…ข้าจำได้ว่าดินแดนที่ข้าจากมานั้นเป็นอย่างไร…
และทุกคนที่ข้ารักก็อยู่ที่นั่น…และข้ายังหวังที่จะกลับไปนะท่าน…
ข้ายังหวังจะกลับไปหาทุกคนที่นั่นเสมอ…”
ชายหนุ่มจึงรวบร่างบางเข้าสู่อ้อมกอด…ฝังจุมพิตตรงหน้าผากเนิ่นนาน
ก่อนจะผละออกมา…
“เจ้าจงจำไว้เถิด…ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันไหน…ก็ต้องมีสักวันที่เราต้องจากกันใช่หรือไม่…
วันที่ความตายมาเคาะประตูเรียก…วันนั้น…เจ้าก็ต้องเดินทางไปเพียงลำพังเช่นกัน…
ไม่มีพ่อแม่พี่น้องหรือคนที่เจ้ารักติดตามเจ้าไปด้วยได้ดอก…
แม้จะไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น…แม้จะอาลัยอาวรณ์ หากเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้มิใช่หรือ…
เราต่างก็ทำอะไรมิได้ดอก…เพราะเราไม่ใช่เจ้าของชีวิตของเราหรือของชีวิตใดๆ…
เราไม่มีอำนาจมากพอจะทำเช่นนั้นได้…”
หะบีบี้ตัวสั่นสะท้านกับความจริงจากปากของเขา…
“แม้แต่ตัวข้าเอง…ก็คงไม่อาจอยู่เคียงข้างเจ้าให้เจ้าได้พึ่งพาไปได้ตลอด
ข้ารู้เพียงแค่วันที่ข้าเกิดมา แต่ไม่รู้วันตายของตัวเอง เจ้าเองก็ไม่รู้...
ไม่มีใครรู้...ดังนั้น…เจ้าอย่ายึดข้าเป็นที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่เพียงผู้เดียว…
หรือแม้แต่จะยึดตัวเจ้าเองเอาไว้เป็นที่พึ่งก็มิอาจยึดไปได้ตลอดรอดฝั่ง…
แต่จงยึดพระเจ้าเป็นที่พึ่งเถิด…เพราะพระองค์คือที่พึ่งที่แท้จริง…
เป็นเจ้าชีวิตของทุกสรรพสิ่งและไม่มีวันดับสูญ…พระองค์เท่านั้นที่มีอยู่จริง!”
หะบีบี้สะอื้นไห้โดยปราศจากเสียงร้องคร่ำครวญ…
“เมื่อไหร่ข้าจะชิน…ข้าไม่อยากรู้สึกเช่นนี้เลยท่าน…มันเจ็บปวดเกินไป”
ชายหนุ่มเข้าใจว่ายามที่เธอรื่นเริงสดใสให้เห็นนั้นแท้จริงแล้ว
เธอไม่เคยลืมความเจ็บปวดจากการพลัดพรากได้เลย…
“เมื่อเจ้ายอมรับความจริงที่เจอได้…”
“ข้าก็อยากจะทำให้ได้…แต่มัน…มันไม่ง่ายเลย…ข้าไม่เคยเตรียมใจ
มาเพื่อจะพบเจอสิ่งนี้มาก่อนเลย…” หะบีบี้สารภาพทั้งน้ำตาอาบแก้ม
โดยที่คนที่กำลังกอดหาได้ช่วยซับมันให้ไม่…
“แต่เจ้ายังโชคดีอยู่มาก…มากกว่าหลายชีวิตที่จากไปพร้อมกับนกเหล็กนั่น…
โชคดีที่เจ้ายังมีวันนี้อยู่…แม้เมื่อวานจะแย่…แม้วันพรุ่งนี้จะดูน่ากลัว…
แต่เจ้ายังโชคดีที่มีวันนี้…เจ้ายังมีสิทธิ์เลือกที่จะอยู่กับวันนี้อย่างไร…
ทำไมเจ้าไม่อยู่กับวันนี้…แล้วทำวันนี้ให้ดีที่สุด”
ชายหนุ่มปลอบประโลมด้วยคำพูดที่อาจจะไม่ได้ถูกใจคนฟังนัก
หากเขาก็ไม่อยากเสแสร้งแกล้งพูดให้เธอไขว้เขวไปจากความเป็นจริง
“ท่านไม่เคยเจออย่างข้า…ท่านจะเข้าใจได้อย่างไรว่าข้าเจ็บปวดแค่ไหน”
ชายหนุ่มลอบถอนหายใจก่อนจะดันร่างบางออกห่างเพื่อให้เผชิญหน้ากัน สบตากัน…
“ทำไมข้าจะไม่เคยเจอ…ท่านปู่ ท่านย่า ท่านตา ท่านยาย
ท่านพ่อ ท่านอา ท่านน้า และอีกหลายชีวิตที่จากข้าไปโดยไม่ย้อนกลับมา…
ข้าเป็นคนอาบน้ำศพห่อศพให้พวกเขา ข้าเป็นคนละหมาดให้พวกเขา
ข้าเป็นคนขุดหลุม แบกพวกเขาเหล่านั้นไปยังสุสาน
วางร่างอันไร้วิญญาณของพวกเขาลงหลุมแล้วเอาดินกลบกับมือ…
ขอพรให้พวกเขามีความสุขในหลุมฝังศพ…มีความสุขในอีกโลกนึงที่พวกเขาต้องไปเผชิญ…
แล้วก็เดินหันหลังกลับมาโดยทิ้งร่างของพวกเขาเอาไว้ที่นั่น…
และถ้ามีโอกาสข้าก็จะไปที่นั่น…ไปเพื่อจะได้ระลึกว่า
วันนึงข้าก็ต้องไปนอนอยู่ที่นั่นไม่ต่างกัน…”
แววตาของคนพูดไหววูบ หากวินาทีต่อมามันก็กลับมานิ่งสงบเช่นเดิม…
“ไม่ว่าจะศพของอัล-หะบี๊บ ศพของผู้นำที่เก่งกาจหรือศพของยาจก…
ก็จะถูกฝังรวมกันที่นั่นเหมือนกัน…
ความตายคือสิ่งเดียวที่ทำให้มนุษย์เท่าเทียมกันหมด…
คือเมื่อตายก็ไร้สิ้นทุกอย่างที่เคยมีมา
ความตาย ความพลัดพรากมีไว้ให้เราได้เรียนรู้…ได้ระลึกถึง…
คนฉลาดที่สุดก็คือคนที่นึกถึงความตายอยู่เสมอ…
แล้วเรียนรู้ที่จะเตรียมตัวเพื่อชีวิตหลังความตาย…”
หะบีบี้รู้แล้ว รู้ซึ้งแล้วว่าเขาคือคน คนที่มีเลือดเนื้อเหมือนๆกันกับเธอ…
ไม่ใช่หินผาหรือท่อนไม้
หญิงสาวผละจากชิงช้าที่นั่งอยู่แล้วทรุดเข่าลงตรงหน้าเขา
ยกแขนทั้งสองรวบเอวของเขาที่นั่งอยู่บนชิงช้าเอาไว้
แล้วซบหน้าลงตรงหน้าท้องของเขา…
“ข้าขอโทษ…ข้ามันโง่เอง…ข้ามันคนพาล”
ชายหนุ่มส่ายหน้า วางมือลงบนผมสีน้ำตาลเข้มนุ่มสลวย
ที่ไม่เหมือนใครในดินแดนนี้พร้อมรอยยิ้มเอ็นดู
“ข้าไม่ถือสาเจ้าดอก…ลุกขึ้นเถิด…” หะบีบี้ส่ายหน้าไหวๆ
ในขณะที่ยังซุกหัวแนบกับลำตัวของเขา แขนก็โอบรอบเอวเขาเอาไว้เสียแน่น
ชายหนุุ่มมองท่าทางนั้นอย่างเอ็นดู…
ชักอยากถามนักว่าอายุอานามของเธอนั้นจะสักเท่าไหร่
อย่างไรเขาก็ไม่เคยอยากเป็นพ่อของเธอ…
และไม่อยากให้เธอมองเขาเป็นพ่อของเธอแม้แต่นิดเดียว…
“ถ้าเจ้าไม่ยอมลุก เห็นทีข้าคงต้องอุ้มเจ้าเข้าห้องนอนเสียแล้ว…
แม้ตะวันจะยังไม่ทันตกดินก็ตาม…”น้ำเสียงราวกับเสือที่กำลังข่มขู่ลูกกวาง…
เอ๊…หรือว่าลูกแมวจอมซนกำลังข่มขู่ลูกปาดนั้นของเขาทำเอาลูกปาดอย่างหะบีบี้
ที่เกาะหนึบไม่ยอมปล่อยถึงกับผวาถอยกรูดกระโดดออกห่างไปสามก้าวทันที
ราวกับติดสปริง
“ไม่ใช่ข้าไม่ชอบให้เจ้าทำแบบเมื่อครู่…เพียงแต่อยากเตือนเจ้าว่าข้ามีหัวใจ
มีเลือดมีเนื้อเหมือนเจ้า…และข้าเป็นบุรุษที่ไม่อยากทำผิดข้อสัญญาต่อเจ้า…
แต่ถ้าเจ้าเต็มใจข้าก็ยินดี…” หะบีบี้หน้าเปลี่ยนสีทันทีรู้สึกร้อนผะผ่าว
ทำหน้าไม่ถูกขึ้นมาเสียดื้อๆเมื่อเจอเข้ากับแววตาสื่อความหมายลึกซึ้งของเขา…
อารมณ์เศร้าหดหู่เมื่อครู่หายหมดเม่ือเจอเข้ากับสายตาคู่นั้น…
และเมื่อเขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างที่เล็กกว่าที่กำลังยืนจ้องเขาอยู่
อย่างไม่ยอมขยับไปไหนก็สะดุ้งโหยงก่อนจะรีบสาวเท้าหนีทันทีที่ได้สติ…
หากชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าอยากจะแกล้งจึงรีบสาวเท้าตามติด…
เมื่อประชิดตัวได้เขาก็รีบคว้าร่างบางแล้วยกช้อนตัวขึ้นอุ้ม
เสียงหวีดร้องดังขึ้นก่อนจะสงบลงเมื่อเขาก้มลงขู่ชิดริมฝีปาก…
แล้วพากลับเข้าบ้าน เพียงไม่นานก็วางเธอลงบนเตียงนอน…
หะบีบี้ใจสั่นระรัว กระถดตัวหนีไปอยู่ตรงหัวเตียงอีกฟากนึง…
“อย่านะท่าน…ข้า…ข้า…” เสียงนั้นดูตะกุกตะกัก
ลิ้นพันกันจนไม่รู้จะพูดอะไรก่อนอะไรหลัง สมองมันดูจะวุ่นวายเรียบเรียงประโยคไม่ทัน…
จึงทำได้แค่อ้าปากค้าง เบิกตาโต…
ชายหนุ่มตีหน้าขรึมแสร้งทำไม่สนใจท่าทางเหมือนลูกกวางระวังภัยนั่นของเธอนิ่ง
“ข้า…ข้าอะไร…เจ้ากำลังจะบอกข้าว่า…เจ้ายอมข้าแล้วใช่หรือไม่…”
หะบีบี้โคลงศีรษะ สะบัดหน้าไปมา…ชายหนุ่มโน้มตัวเข้าไปหา
เหมือนเสือที่กำลังเยื้องย่างคลานขึ้นเตียงก่อนจะใช้ขาหน้าตะปบแขนข้างนึงของเหยื่อเอาไว้…
หะบีบี้หลับปาปี๋ไม่อยากสบตาคมกริบคู่นั้น…พยายามกระถดตัวและหัวออกห่าง
อย่างบ่ายเบี่ยงสุดฤทธิ์…จังหวะหัวใจตอนนี้ถ้าเทียบแรงสั่นสะเทือนคงเกิน 10 ริกเตอร์…
เพราะตอนนี้หัวใจเธอเต้นระรัวสั่นโยกกำลังถล่มจะทะลายในไม่กี่วินาที
เพื่อไปหลอมรวมกับปอดและหลอดลมเสียแล้ว…สังเกตจากลมหายใจที่ติดๆขัดๆ…
และเหมือนแรงสั่นสะเทือนจะลามไปถึงส่วนอื่นๆของร่างกาย…
มือเท้าก็โดนลูกหลงไปด้วย…ไม่ช้าไม่นานคาดการณ์ได้ว่าสึนามิ
จะขึ้นฝั่งครอบคลุมทุกพื้นที่เอาไว้อย่างมิต้องสงสัยแน่
…นี่มันแผ่นดินไหวใต้น้ำชัดๆ…มานิ่งๆเงียบๆแต่อนุภาพเหนือความคาดหมาย…
“แก้มเจ้าเลอะขนาดนี้เลยหรือ…” เสียงนั้นทำเอาคนที่กำลังหลับปาปี๋ถึงกับลืมตาปรือ
อึ้งอยู่สามวินาที ก่อนจะกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่
เมื่อเห็นแววตาขี้เล่นของเขาที่จ้องมองมา…
“เหมือนหน้าลูกแมวยามที่ท่านแม่ลืมอาบน้ำให้สามวัน…”
คนที่หน้าเหมือนลูกแมวลืมอาบน้ำให้สามวันยกมือขึ้นแตะแก้มตัวเอง
รู้สึกเหนียวเหนอะ…จึงสำนึกได้ในทันทีว่าเธอร้องไห้มาก่อนหน้านี้
และตอนนี้หน้าตาคงมอมแมมดูไม่ได้แน่ๆ…เขาถึงได้มองเธอ
เหมือนเห็นเป็นตัวตลกแบบนี้…
“ท่านก็เปิดทางให้ข้าสิ…ข้าจะได้ไปล้างหน้าล้างตา…” หะบีบี้รีบบอกออกไป…
ลิ้นเกือบพันกันอีกรอบ…มองคนที่ปิดทางเข้าออกของเธอด้วยลำแขนทั้งสองของเขา
ที่กางกั้นขังเธอเอาไว้แน่นหนา…
หน้าที่มีทั้งเคราที่ตัดเรียบร้อยแต่ถ้าหากแตะสัมผัสผิวเธอเมื่อไหร่
มันต้องทำให้เธอจั๊กจี้ไม่น้อยแน่ๆ อีกทั้งดวงตาคมกริบก็ใกล้เสียจนเห็นขนตายาวงอน
ซ้ำยังได้ยินลมหายใจจากจมูกโด่งๆนั่นที่ห่างจากผิวแก้มของเธอแค่เส้นยาแดงผ่าแปด…
ทำให้เพิ่งมีโอกาสได้สังเกตเห็นไรหนวดของเขาใกล้ๆแบบนี้แล้วรู้สึกหายใจติดขัด…
สงสัยหลอดลมของเธอต้องมีปัญหาต่อเน่ืองจากแรงสั่นสะเทือน 10 ริกเตอร์
ก่อนหน้านี้แน่
…เฮ้อ…ผู้ชายอะไรผิวสวยเนียนสีขาวอมแดง แปลกตาจนพาลทำให้หัวใจเธอ
เต้นโครมครามอีกรอบเมื่อเกิดอัพเตอร์ช็อคตามติด…ไปไหนไม่รอด…
ไม่ช้าแมวหน้ามอมต้องโดนทับแบนแต๊ดแต๋แน่คราวนี้
…ครั้นจะให้ถอยก็สุดซอยแล้ว…
แล้วทำไมต้องหันมาเหลือบมองปากเธอด้วย…
ไม่เอานะ ครั้งก่อนนั้นทำเอาเธอเก็บไปฝันต่อจนตื่นมายังอายตัวเองไม่หาย…
ฝันเจอเสือเจอหมีเจองูยังไม่ชวนขนลุกซู่เท่าฝันเจอเขาเลื้อยมานอนข้างๆ
แล้วรัดเธอซะหายใจไม่ออกเลย…
นั่นแค่ฝันนะ…ถ้าเรื่องจริงล่ะก็…บีบี้ไม่อยากจะคิดเลยค่ะคุณย่าขา…
ท่าทางเขาตอนนี้เหมือนจะกลืนกินบีบี้เข้าท้องแล้วค่อยย่อยทีหลัง
ได้ทั้งตัวเลยนะคะคุณย่าขา…ตัวเขาไม่ได้ดำและมีเกล็ดน่ากลัวเหมือนงูก็จริง…
แต่ว่า เขาเลื้อยเก่งมากเลยค่ะคุณย่า…
และกำลังหาทางรัดบีบี้ด้วย…แล้วถ้าโดนทับ บีบี้จะแบนมั้ยคะ…
คุณย่าว่างูยักษ์จะเขมือบแมวหน้าตามอมแมมมั้ยคะ…
“ดวงตาก็ช้ำ…”ปากเขาวิจารณ์ขณะที่ดวงตาเขาไม่ได้สำรวจดวงตาเธอเลย…
โน่นเลย เหลือบมองปากเธอ
และเพราะนั่นแหล่ะจึงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เธอจนคำพูดมาจนบัดนี้…
ไม่กล้าขยับปาก…และพอเขาก้มลงมาอีกนิด
จากที่ถอยไม่ได้แล้วหะบีบี้ก็เลือกที่จะหลบไปทางขวาทันที
ทำให้ริมฝีปากของเขาปัดป่ายตรงแก้มมอมๆของเธอแทน…
ก่อนจะฝังจมูกลงบนพวงแก้มมองๆอีกครั้งอยากถนัดถนี่และจงใจ…
และเมื่อเขาตั้งใจจะสร้างความเสมอภาคให้กับแก้มอีกข้าง
หะบีบี้ก็รีบร้องห้ามทันที…
“ไม่เอา…หิวข้าวแล้ว…” หะบีบี้หาเสียงตัวเองเจอในที่สุด…
เธอรู้สึกหิวจริงๆนะ เพราะว่าเริ่มได้กลิ่นหอมๆของอะไรบางอย่างแตะจมูก…
และนั่นทำให้คนที่คิดจะแกล้งถึงกับหัวเราะน้อยๆในลำคอ
ก่อนจะผละออกมาพร้อมรอยยิ้มอวดฟันขาวสะอาด…
“สงสัยท่านแม่จะเป็นผู้ปรุงเสียเอง…”
“ถ้าเช่นนั้น…ข้าจะไปช่วยท่่าน…” หะบีบี้ได้โอกาสก็รีบกระโจนลงจากเตียงอีกฟากทันที…
“นั่นเจ้าจะไปไหน…” หญิงสาวชะงักกึกเมื่อก้าวถึงประตู
“ก็…ไปช่วยท่านแม่ปรุงอาหาร…”
“ล้างหน้าล้างตาเสียก่อนเถิด…หน้าตาเจ้าตอนนี้อาจทำให้ท่านแม่
หมดอารมณ์ทำอาหารเอาได้…”เหมือนที่ท่านก็หมดอารมณ์ใช่มั้ยล่ะ…
หะบีบี้จึงค้อนคนที่หาเรื่องแกล้งเธอก่อนจะเดินเนิบนาบเข้าห้องน้ำไป
ทิ้งให้คนข้างหลังมองตามไปจนสุดสายตาพร้อมรอยยิ้ม…
“เห็นเจ้ามีความสุขแล้วแม่โล่งใจ…” เสียงนั้นดังขึ้นเมื่อร่างของชายหนุ่ม
เดินออกมาจากห้อง…ร่างสูงเลยเดินเข้าไปหามารดา
แล้วก้มลงหอมแก้มท่านก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา…
“ปกติลูกก็มีความสุขอยู่เสมอ…” ผู้เป็นมารดาโคลงศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“สุขเสมอแต่ไม่สุขเท่าตอนนี้ดอก…” ชายหนุ่มยอมรับว่าเขามีความสุข
มากกว่าปกติเมื่อมีเธอก้าวเข้ามาในชีวิต…
“ท่านแม่ก็ทราบ…ว่าลูกรอยคอยนางมานาน…นอกจากท่านแม่แล้ว...
ทั้งหัวใจลูกไม่เคยมีสตรีใดในนั้นยกเว้นนาง...”
ผู้เป็นมารดาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มบาง…
“แต่เจ้าจะแน่ใจได้หรือว่านางจะไม่ทิ้งเจ้าทิ้งพวกเราไป…”
เมื่อเห็นสีหน้าของบุตรชายสลดลงแม้เพียงนิด
หากผู้เป็นมารดาก็เข้าใจเลยหยุดเสีย
“เอาเถิด…เมื่อเจ้าเจอนางแล้วก็ขอให้รักษาเวลาดีๆที่มีอยู่ให้ดีที่สุดเถิด…
เรื่องของวันข้างหน้าอย่าไปคิดกังวลอันใดเลย มันไม่มีประโยชน์…”
ชายหนุ่มพยักหน้าน้อยๆก่อนจะแตะแขนมารดา
แล้วชวนท่านไปยังห้องครัว…
...โปรดติดตามตอนต่อไป....
มาให้กันติดๆเลยค่ะ...ประตูมิติก็อีกเรื่องนึง...ปริศนาของดินแดนใหม่
ก็อีกเรื่องหนึ่ง...ปริศนาของคุณสามีก็เรื่องใหญ่...
คิดไปคิดมา...ลูกปาดน้อยคงเวียนหัวไม่น้อยล่ะค่ะงานนี้...อิอิอิ...
ตอนหน้า...เช่นเคย...มีปริศนาใหม่มาให้หะบีบี้หัวใจวายเล่น...
คราวนี้มาดูกันค่ะว่าลูกปาดจะเป็นลมไปอีกรึเปล่า...
เรื่องอยากกลับเข้าท้องแม่นั้น เกิดมาจากหลานสาวตัวน้อยค่ะ
เขาถามว่าถ้าเขาอยากกลับเข้าท้องแม่ จะต้องทำไง...555
ทำท่าจะชวนเจ้าน้องชายกลับเข้าท้องแม่พร้อมๆกันด้วยนะคะ...เหอๆ
ก็เลยอธิบายเขาไปคล้ายๆที่พระเอกเขาอธิบายนั่นแหล่ะค่ะ...
แต่เป็นเวอร์ชั่นสำหรับเด็กไม่กี่ขวบ...
เห็นเงียบไป ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ด้วย...คงคิดว่าหมดหวังแน่ๆ...
เห็นแล้วเอ็นดู เลยนำมาเขียนให้อ่านกันค่ะ...
เด็กๆมักมีจินตนาการบรรเจิดเสมอเลยว่ามั้ยคะ...อิอิ
...คุยกับนักอ่านจากตอนที่แล้วค่ะ...
1.คุณคิมหันตุ์...ตอนหน้ามีให้เขินและช็อกอีกนิดหน่อยค่ะ...อิอิ
2.คุณตุ๊งแช่...สามตอนแต่งนั้นไม่เร็วเท่า เจอกันสองวันแต่งน้า...
ตอนรุ่นพ่อรุ่นแม่นั้น เจอกันสองครั้งแต่ง...555
เรื่องอายุรอให้เป็นปริศนาต่อไปค่ะ...เพราะตอนหน้ามีอีกปริศนานึง
ที่มาเพื่อจะบอกว่า หากคิดจะมีชีวิตอยู่บนดินแดนนี้ จงปล่อยเรื่องอายุให้เป็น
เพียงอากาศธาตุไปเถิด...เพราะคนอ่านอาจมึนยิ่งกว่าการคำนวณอายุน้าาาาา...
ส่วนว่าตอนที่เหลือนั้นอุปสรรคล้วนๆมั้ย...ไม่น่าจะใช่นะคะ...
แต่ถ้าถามว่าดราม่ามั้ย...นิดหน่อยเองค่ะสำหรับเรื่องนี้...ออกแนวเพ้อเสียส่วนใหญ่
ตามคอนเซ็ปต์เเดิม...แต่พอถึงคิวดราม่า แน่นอนว่าคงมีคนน้ำตาไหลพรากแน่ๆ...555
อย่างน้อยก็คนเขียนหนึ่งละ...
3.คุณomelate...ขอบคุณค่ะสำหรับรอยยิ้มกว้างๆที่ส่งมาให้เต่าโย...^^
4.คุณแว่นใส...เรื่องราวมีอีกเยอะมากค่ะ...ต้องมาดูวิธีการปลูกข้าวของบีบี้ค่ะ
เพราะรายนั้นเกิดมาเห็นข้าวก็ตอนที่มันนอนอยู่ในจานแล้ว...
5.คุณnapt...นั่นน่ะสิคะ...ลูกปาดกระโดดได้ไกลขนาดนี้
ไม่แน่ใจว่าจะหาเรื่องกระโดดข้ามไปมิติอื่นอีกรึเปล่า...ต้องมารอดูกันค่ะ...
มุสตอฟาคือพระเอกในฝันของเต่า...แม้เต่าจะยังตัดใจจากหมอดานีสสุดที่รัก
กับหมอรังไม่ค่อยจะได้สักเท่าไหร่นัก...อิอิอิ...เ
พราะถ้าถามว่าพระเอกที่เต่าเคยเขียนมาคนใดโดนใจเต่าที่สุด...
เห็นจะเป็นมุสตอฟา อัศวินขี่ม้าขาวของลูกปาดคนนี้แหล่ะค่ะ...เหอๆ
6.คุณkonhin...หายหน้าจากเต่าไปนานกลับมาให้เต่าชื่นใจแล้ว...เย้ เย
เรื่องนี้กะจะให้หวานค่ะ...แต่ไม่ค่อยแน่ใจดีกรีความหวานว่าจะมีสักกี่หยด...อิอิ
สุดท้ายไม่ท้ายสุด...
ขอบคุณนักอ่านทุกท่าน ทุกไลค์ ทุกกำลังใจมากๆนะคะ
...รักษาสุขภาพนะคะ...
"เต่าโย"
yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ธ.ค. 2557, 01:20:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ธ.ค. 2557, 01:20:09 น.
จำนวนการเข้าชม : 3397
<< ปฐมบท | บทที่ 11 ข้าวลิง >> |
konhin 25 ธ.ค. 2557, 05:07:32 น.
หวานๆน้าาา เค้าชอบ
หวานๆน้าาา เค้าชอบ
คิมหันตุ์ 25 ธ.ค. 2557, 11:53:48 น.
น่ารักและอบอุ่นมากๆค่าาาชอบๆ. อยากมีคนแก่แบบนี้จุงเบยอยากรุ้อายุด้วยยยยอิอิ
น่ารักและอบอุ่นมากๆค่าาาชอบๆ. อยากมีคนแก่แบบนี้จุงเบยอยากรุ้อายุด้วยยยยอิอิ
ตุ๊งแช่ 25 ธ.ค. 2557, 13:17:28 น.
รอดไปได้อีกวัน บีบี้จะรอดได้กี่วันนี่ รอดูข้าวของลูกปาดจะงอกไหมน้อ
รอดไปได้อีกวัน บีบี้จะรอดได้กี่วันนี่ รอดูข้าวของลูกปาดจะงอกไหมน้อ
แว่นใส 25 ธ.ค. 2557, 13:58:50 น.
เคยทำนานะ แต่ตอนนี้ทำเองไม่เป็นแล้ว 55555
เคยทำนานะ แต่ตอนนี้ทำเองไม่เป็นแล้ว 55555
omelate 25 ธ.ค. 2557, 20:16:32 น.
เริ่มเวียนหัวแทนปาดน้อย 555
เริ่มเวียนหัวแทนปาดน้อย 555
napt 26 ธ.ค. 2557, 08:22:03 น.
ตอนนี้ครบรส ทั้งได้คติเตือนใจ ทั้งเขิน ทำเอาเพ้อถึงหนวดเคราและขนตางอนๆเลยทีเดียว
ตอนนี้ครบรส ทั้งได้คติเตือนใจ ทั้งเขิน ทำเอาเพ้อถึงหนวดเคราและขนตางอนๆเลยทีเดียว