หะบีบี้...สุดที่รักของผม
หะบีบี้ น้องนุจสุดท้องแห่งตระกูลโสพณพสุธ
จะทำเช่นไร...
เมื่อการกลับสู่บ้านเกิดกลายกลับตาลปัตร
เป็นบ้านหลังอื่นที่ไม่เคยมีใครรู้ว่ามีอยู่จริงบนโลกนี้
"ดินแดนที่ไม่มีปรากฏบนแผนที่โลก"
ปรากฏแก่สายตา...
"คนแปลกหน้า" เธอคือคนแปลกหน้าสำหรับคนบนดินแดนนี้
และคนบนดินแดนนี้ก็คือ คนแปลกหน้าสำหรับเธอเช่นกัน
คนแปลกหน้าอย่างเธอจะต้องทำเช่นไรในดินแดนใหม่...
เมื่อการกลับสู่อ้อมอกพ่อแม่พี่น้องกลายกลับเป็นความว่างเปล่า
และเขา...คือ 'ภัยคุกคาม!'
ที่กำลังก่อกวนหัวใจเธอนับแต่วินาทีแรกที่ได้เจอ...
เขา...ผู้เป็น...อัศวินขี่ม้าขาวในฝันของเธอมาตลอด...
คนที่เธอเฝ้ารอคอยว่าจะได้เจอในความจริงสักครั้ง...
หากความจริงที่เจอ...กลับพลิกผันชีวิตเธอไปตลอดกาล...
Tags: รักโรแมนติก เพ้อฝัน ความลี้ลับ วิทยาศาสตร์ มุสตอฟา หะบีบี้ โสภณพสุธ
ตอน: บทที่ 11 ข้าวลิง
เสียงนกร้องก้องฟ้าผสานเสียงคลื่นลมทำให้หะบีบี้รู้สึกตื่นตัวอีกครั้ง
ความนุ่มของผืนทรายที่อยู่ใต้ร่างกับผืนพรมทำให้ต้องพยายามทบทวนความทรงจำ
ว่าตัวเองมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ แล้วก็ต้องดีดตัวขึ้นทันที
ฟากฟ้ายังคงมืดอยู่ ทว่า เมื่อมองไปยังขอบฟ้าแลเห็นแสงสีแดง
หะบีบี้จึงรับรู้ได้ว่านาฬิกาประจำกายปลุกให้เธอตื่นขึ้นมาละหมาดนั่นเอง
จึงไม่มัวมานั่งอิดออดหยิบน้ำดื่มกับแปรงสีฝันที่ทำมาจากรากไม้ออกมาจากกระเป๋า
เพื่อใช้แปรงฟัน ก่อนจะลอบถอนใจเมื่อเห็นว่าน้ำดื่มใกล้จะหมดเต็มทีแล้ว…
แม้น้ำจะมีมากมายเต็มทะเลแต่มันดื่มไม่ได้นี่นา…
ดังนั้น…เธอต้องเร่งหาแหล่งน้ำดื่มที่สะอาด
สงสัยวันนี้เธอคงต้องหาทางขึ้นไปบนเขาลูกนั้นเสียแล้ว…
หะบีบี้คิดพลางมองไปยังเขาที่ติดกับทะเลที่ยังดูทะมึนสลัวรางอย่างหมายมาด…
เมื่อละหมาดเสร็จ เธอก็ค้นดูของใช้ในสัมภาระแล้วคลี่ยิ้มออกมา
เมื่อมันมีมีดอยู่ในฝักอย่างดี…
อย่างน้อย…เข้าป่าต้องมีมีด…ว่าแต่อาหารเช้าล่ะ…จะเป็นอะไรดี…
หะบีบี้มองไปยังโขดหินน้อยใหญ่ที่น้ำทะเลกำลังซัดสาด…
แววตาวาดหวังระยิบพราย…ดวงตะวันที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมายิ้มทักทายค่อยๆมอบแสง
ให้เธอได้เดินเข้าไปยังโขดหินดังกล่่าว…หวังว่ามันจะพอมีหอยนางรมให้กินบ้าง…
และไม่ผิดหวังเลย…ณ โขดหินดังกล่าวมีหอยนางรมเต็มไปหมด
มีแหล่งทำกินแบบนี้หายห่วง ส่วนเรื่องวิธีทำมาหากินนั้น
หะบีบี้ผู้นี้รู้ด้วยสัญชาตญาณล้วนๆละว่าต้องทำยังไงถึงจะได้กินมัน
ดังนั้นรอยยิ้มสดใสจึงฉายชัดบนใบหน้า
หญิงสาวมองอาหารเช้าบนโขดหินซึ่งเป็นหอยที่มีสองกาบ
กาบบนใหญ่กว่ากาบล่างที่ฝั่งตัวอยู่ในหินและตรงกาบล่างที่โค้งเว้านี่แหล่ะ
ที่ตัวหอยหวานนุ่มลิ้นติดอยู่…
รสชาติของหอยนางรมขึ้นอยู่กับแหล่งที่อาศัย
วันนี้ล่ะนักชิมหอยนางรมตัวยงอย่างเธอจะได้รู้สักทีว่าหอยนางรมที่นี่
จะอร่อยกว่าที่เธอเคยกินมาแล้วสักแค่ไหน…
เพราะเท่าที่สำรวจมาเมื่อวาน ทะเลที่นี่สะอาดทีเดียว
หะบีบี้มองหาอุปกรณ์แกะหอยแล้วก็เจอว่ามันนอนอยู่ไม่ไกลกันนัก
ฝรั่งอาจจะใช้มีดสำหรับแกะเปลือกมันโดยเฉพาะ
โดยที่เวลาแกะได้แล้วคมมีดดังกล่าวจะไม่ทำให้เนื้อหอยเสียรสชาติ
ซึ่งขณะแกะก็ต้องมีผ้ามารองเอาไว้…หลังจากนั้นก็ค่อยๆเลาะตัวหอยออกจากกาบ
อย่างประณีต พิถีพิถัน…
ส่วนคนไทยน่ะหรือ แสนจะสะดวกง่ายดายเพราะมีแกะสำเร็จรูปให้เรียบร้อยแล้ว…
ส่วนลูกผสมอย่างเธอไม่ค่อยเลือกวิธีเป็นการเฉพาะนัก ขึ้นอยู่กับสถานที่และเวลา…
โดยเฉพาะยามนี้…วิธีเดียวเท่านั้นที่จะกินมันได้ก็คือต้องใช้ความรุนแรง
จะมัวมาอหิงสามิได้แน่…
และแน่นอนว่ามันเป็นวิธีที่ค่อนข้างถึงพริกถึงขิงและรวดเร็วฉับไว
เพียงไม่กี่ทีที่เอาหินทุบลงไปตรงรอยแยกของเปลือกหอย
เธอก็สามารถแกะหอยนางรมออกมาลิ้มรสได้ด้วยมือเปล่าแล้ว
…ไม่เสียรสชาติด้วย…
“คูมาโมโตะชิดซ้าย…” หะบีบี้เอ่ยถึงพันธุ์หอยนางรมที่มีการเพาะเลี้ยง
ตามชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย โอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยมันมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่เกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่นซึ่งได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว
โดยภายหลังรัฐบาลญี่ปุ่นได้ขอพันธุ์ของมันไปเพาะเลี้ยงใหม่
หอยนางรมสายพันธุ์ดังกล่าวจะให้รสชาติเค็มและคล้ายเนยหน่อยๆ
ก่อนจะปิดท้ายด้วยรสและกลิ่นหอมหวาน คล้ายผลไม้…
“ถ้าได้น้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรเด็ดของพี่จาลัลล่ะก็…อร่อยเหาะ…”
มือที่ใช้หินทุบหอยไปชิมตัวหอยไปบ่นพึมพำถึงสูตรน้ำจิ้มของพี่ชาย
เพราะตัวหอยดูกลมสมส่วน อ้วนพีหน่อยๆ รสชาติเต็มปากเต็มคำ
เค็มแบบนุ่มนวลแต่ก็มีรสหวานคล้ายผลไม้ตระกูลแตง อุดมไปด้วยไกลโคเจน
กินสดๆแบบนี้ไม่มีกลิ่นเหม็นคาวเลยสักนิด…
“สุดยอดอาหารเช้า…” หญิงสาวมีสีหน้าเบิกบานสุดๆ
แม้การกินหอยสดๆเป็นอาหารเช้าจะไม่ค่อยเหมาะกับกระเพาะของเธอนัก
แต่ให้ทำไงได้…ตอนนี้เลือกไม่ได้แล้วนี่
จะเอาหอยนางรมไปทำเป็นข้าวต้มหอยรางรมก็ไม่มีข้าวสักเม็ด หม้อก็ไม่มี
เรื่องจะเอาไปทำซุป สตู แกงจืด หอยทอด ล้มเลิกกิจการทำมาหากินที่ว่าไปได้เลย…
การกินสดๆเช่นนี้แลที่จะพาให้อยู่รอดในสถานการณ์ล่อแหลมเช่นนี้…
แม้ใจจะอยากได้พริกขี้หนูสด กระเทียมและหอมแดงเจียว
กับน้ำจิ้มรสแซบของพี่ชายสักแค่ไหนในยามนี้ก็เถิด…
“ถ้าวันนี้ท่านกลับมาช่วยบีบี้สืบหาทางกลับบ้านนะ…
บีบี้จะแกะหอยนางรมไปทำข้าวต้มให้ท่านกินเลย…” หะบีบี้เปรยไปกับสายลมแสงแดด
…เธอไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะเอาเธอมาลอยทะเลไว้อย่างนี้ตลอดไป
คนอย่างนั้นใจร้ายกับเธอไม่ลงหรอก...
“ทำซุปหอยนางรมให้ซดด้วย…” หะบีบี้พึมพำกับตัวเองแล้วอดคิดถึงใบหน้าคมเข้ม
แววตานิ่งลึกกับหนวดเคราบนใบหน้าที่ตัดแต่งเรียบร้อยชวนมองนั่นขึ้นมาไม่ได้
…เธอแค่ไม่ชอบให้ใครมาดูถูก ดูหมิ่น เหยียดหยามความคิดเธอ
ว่ามันเป็นเพียงแค่ความเพ้อเจ้อ…แม้มันจะใกล้เคียงกับความเพ้อเจ้อแค่ไหนก็เถิด…
โดยเฉพาะเขา เธอรับไม่ได้เลยที่เขาพูดเหมือนดูถูกความคิดของเธอ…
แต่ยังไงเธอก็ไม่ท้อหรอกต่อให้เขาจะมองว่าสิ่งที่เธอคิดสิ่งที่เธอ
กำลังตามหามันจะดูเพ้อเจ้อแค่ไหนก็ตาม…
สำหรับเธอแล้ว ทุกอย่างเป็นไปได้ ขอแค่เราไม่หมดหวัง…
เธอจะทำให้มันกลายเป็นความจริงให้ได้…
ดังนั้นเมื่อกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว หะบีบี้จึงหาทางปีนไปบนเขา
เผื่อว่าบนนั้นจะมีแหล่งน้ำจืดบ้าง…
เดินมาลึกจวนตะวันอยู่ตรงศีรษะแล้วก็ไม่เจอ เจอแต่ลิงที่กำลังกินกล้วยอยู่
…แน่ะ…มีกล้วยให้กินด้วย…ขอกินด้วยคนสิ…
หญิงสาวมองไปรอบๆเพื่อหาต้นกล้วย…อาหารโปรดของลิงหรือผลไม้ยอดฮิตสำหรับเธอ…
ในบรรดาพี่น้องแล้วจะหาใครที่จะรักการกินกล้วยยิ่งชีพเท่าเธอไม่มีแล้ว…
ดังนั้นเมื่อเห็น ‘ข้าวลิง’ อยู่บนต้นที่สุกเหลืองไปครึ่งเครือแล้ว…
หะบีบี้จึงเดินไปหาเป้าหมายนั้นทันที…ลืมความเหน็ดเหนื่อยที่ดั้นด้นเข้าป่าหาน้ำจืดทันที
…อย่างน้อยไม่มีข้าวคนให้กิน ก็ยังดีที่มี ‘ข้าวลิง’ ให้กระเพาะย่อยแทนผนังของมันละ…
ทว่า…ต้นกล้วยที่ดินแดนนี้ทำไมมันสูงกว่าที่เธอเคยเห็นอยู่ไม่น้อยล่ะ
สาวร้อยเจ็ดสิบเซ็นติเมตรแหงนมองกล้วยบนเครือที่ห้อยโตงเตงระดับปลายเอื้อม…
“แค่เอื้อมอ่ะ…” หะบีบี้อุทธรณ์เสียงอ่อย…พยายามมองหาตัวช่วย
เห็นกล้วยต้นอื่นที่มีลิงปีนขึ้นไปบิดลูกมันมากินราวกับจะเย้ยเธอแล้วอยากจะทำตามมันบ้าง
แต่จะปีนยังไงได้เล่่า…นี่มันต้นกล้วยนะ
หะบีบี้พยายามคิดแล้วคิดอีก นึกถึงมีดขึ้นมา…
“ถ้าเราเอามีดปาดโคนเครือของมัน…มันก็จะร่วงมาทั้งเครือเลย
โอ้…ในที่สุดบีบี้ก็คิดออกแล้ว…”
แต่พอหยิบมีดขึ้นมา ระดับความสูงอย่างเธอก็ไม่พอจะเอามีดฟันเครือกล้วยให้ขาดได้นี่นา…
ถ้าเป็นมีดพร้าด้ามยาวๆก็ว่าไปอย่าง…
งั้นคงต้องหาไม้มาคาดมีดแล้วละ แต่ก็มาติดตรงที่ไม่มีเชือกผูกมีดไว้กับไม้อีก
…เฮ้อ…หะบีบี้ลอบถอนใจ ยังไงเที่ยงนี้เธอก็ต้องหาอะไรมาลูบท้องให้ได้…
ฉับพลันภาพที่ลิงกำลังใช้ลำตัวกอดต้นกล้วยแล้วรูดไถลลงมาจากต้น
พร้อมกล้วยในมือก็ทำให้หะบีบี้นึกวิธีที่ค่อนไปทางใช้ความรุนแรงแต่รวดเร็ว ฉับไว
ไม่ใช่แนวอหิงสาขึ้นมาได้ในบัดดล…
ความสูงหรือความสวยก็ไม่ใช่อุปสรรค ถ้าเราใช้ความรุนแรงเข้าต่อกร
“บีบี้จะล้มต้นกล้วยนี้ให้เป็นขวัญตาลิงเลยล่ะพ่อ…คอยดูฝีเท้าบีบี้นะ”
หะบีบี้หันไปสบตากับลิงตัวนั้นที่กำลังกินกล้วยเย้ยฟ้าท้าดินต่อหน้าต่อตาเธอ…
“หนอย…ถ้าฉันได้กล้วยมา อย่ามาง้อแล้วกัน…”
หะบีบี้ชี้หน้าคาดโทษลิงตัวนั้น…แล้วก้มลงสำรวจกางเกงผ้าฝ้ายที่สวมใส่อยู่
คำนวนขนาดต้นกล้วยแล้ว จึงตัดสินใจได้ว่า
…สามทีขาดท่อนแน่…
เธออาจจะเก่งเรื่องฝีไม้ลายมือในการต่อสู้ไม่เท่าพี่สาวคนโตอย่างพี่รัล
แต่เรื่องฝีเท้าแล้วล่ะก็หนักไม่น้อยหน้าพวกผู้ชายหรอก…
เพราะเธอถนัดใช้เท้ามากกว่าใช้อวัยวะส่วนอื่นของร่างกาย…
ยิ่งขายาวๆที่ได้กรรมพันธุ์มาจากฝั่งของบิดาแล้วล่ะก็
สามารถก้านคอผู้ชายสูงสองเมตรให้ล้มลงมานอนพับได้ก็แล้วกัน…
แล้วดังคาด สามทีที่เท้าเธอกระแทกกับต้นกล้วยโดยสองครั้งแรกเป็นการเตะ
ส่วนคร้ังที่สามเมื่อเห็นต้นของมันเปลี้ยแล้วก็กระโดดถีบ
แค่นั้นมันก็ล้มลงมามานอนแผ่ราบกับพื้น…
..ช่างเป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่มีปัญญาโต้กลับเอาเสียเลย
…เขาว่าอยากได้ลูกเสือต้องเข้าถ้ำเสือ
แต่ถ้าอยากได้ข้าวลิง ก็ต้องเตะต้นข้าวของลิงเย้ยลิงคืนแบบนี้แหล่ะ…
แล้วหะบีบี้ก็หันไปมองลิงตัวนั้นที่เอามือปิดตาแน่นก่อนจะกระโดดโหยงเหยง
วิ่งหนีไปอยู่อีกมุมนึงที่ไกลออกไปห้าเมตรทันที
ราวกับว่ากลัวจะโดนต้นกล้วยล้มทับตัวแบนแต๊ดแต๋…
หะบีบี้ได้แต่ยิ้มพลางส่ายหน้าอย่างเอ็นดูระคนหมั่นไส้มัน…
หลังจากนั้น หะบีบี้ก็ทำการพรากลูกพรากแม่ด้วยการใช้มีดตัดเครือกล้วย
แล้วลากมันออกมา…โชคดีที่เป็นกล้วยไข่ เครือไม่ใหญ่
แต่ลูกดกและอ้วนกลมน่ากินสุดๆ…ไอ้ที่เขียวๆอยู่ก็พอกินได้ด้วย…
นี่ถ้าเป็นกล้วยน้ำว้าเครือใหญ่ เธอคงลำบากในการเคลื่อนย้ายมันไม่น้อยแน่…
เมื่อได้กล้วยมาสมใจแล้ว หะบีบี้ก็นั่งราบลงกับพื้น
ปาดเหงื่อ บิดกล้วยออกมากินด้วยสีหน้าชื่นมื่น…
ไม่นานนักเจ้าลิงตัวนั้นก็ค่อยๆเขยิบย่างเข้าหาเธอเงียบๆทีละน้อยทีละนิด…
ทว่าหญิงสาวแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น…นั่งกินกล้วยหน้าตาเฉย
ซ้ำยังแกล้งโยนเปลือกกล้วยเยื้องไปทางด้านหลังซึ่งมีเจ้าลิงตัวนั้นอยู่…
“เห็นปีนต้นกล้วยเก่งนักนี่…ไปปีนเองสิ…โน้น”
หะบีบี้ไล่ลิงพลางชี้ไปที่ต้นกล้วยอีกต้นที่ลิงตัวนั้นปีนไปเก็บกล้วยมากินเย้ยเธอเมื่อกี้…
“นี่ข้าวมื้อเที่ยงของฉัน…ฉันไม่ให้กิน…” หะบีบี้คว้าเครือกล้วยหนีมือลิง
ทำเอาเจ้าลิงตัวนั้นได้แต่คว้าลมคว้าแล้งไปแทน…
ทว่าไม่นานนัก คนใจแข็งก็เริ่มใจอ่อน เลยยกข้าวเที่ยงให้มันไปลูกนึง
แต่เหมือนมันยังไม่ยอมอิ่มง่ายๆ หะบีบี้เลยยื่นให้มันอีกลูก
“อะไรเนี่ย ยื่นหาย ยื่นหาย เคี้ยวบ้างรึเปล่าเนี่ย…” หะบีบี้เอ็ดลิง
เพราะยื่นไปไม่ถึงสามวินาทีมันก็ยื่นมือมาขออีก…
นี่ขนาดว่ารวมเวลาปอกเปลือกด้วยแล้วนะเนี่ย…
“กลืนไอ้ที่อมไว้ที่เหนียงของแกเดี๋ยวนี้เลยนะ กลืนลงท้องไปเดี๋ยวนี้”
หะบีบี้สั่งเมื่อเห็นข้างแก้มลิงป่องก็รู้ได้ทันทีว่ามันมีวิธีตุนอาหารไว้ตรงกระพุ้งแก้ม
…ถึงว่าสิ ยื่นหาย ยื่นหาย…เพราะมันไม่ยอมกลืนลงท้องนี่เอง…
กะจะเอามาเคี้ยวกลืนทีหลังล่ะสิ…ฉลาดไม่เบาเลยนะเจ้าจ๋อ...
“นี่เห็นว่าไม่มีเพื่อนกินข้าวเที่ยงด้วยหรอกนะ…”
ว่าแล้วหะบีบี้ที่ยึดเครือกล้วยเอาไว้แน่นหนาในตอนแรก
ก็ยอมวางเครือกล้วยเอาไว้ตรงกลางระหว่างเธอกับลิง…
แล้วนั่งกินกล้วยด้วยกันกับมัน
…เอาน่า…แม้ต่างสายพันธุ์กันก็ใช่ว่าจะร่วมรับประทานอาหารเที่ยงด้วยกันไม่ได้เสียหน่อย…
ปาร์ตีข้าวลิงก็อร่อยแถมสนุกพิลึกเหมือนกันนะเนี่ย…
เมื่อกินกล้วยจนอิ่มหนำสำราญทั้งคนทั้งลิงแล้ว…
หะบีบี้ที่รู้สึกว่ากล้วยจะติดคอเลยหยิบกระบอกน้ำดื่มขึ้นมา
น้ำเหลือน้อยมากจนคิดว่าคงไม่ทำให้หายกระหายแน่ แต่ก็ต้องดื่ม
หากเมื่อหันไปพบกับเจ้าลิงที่นอนพุงกางพิงโขดหินอยู่จึงนึกได้ว่า
'เจ้าป่า' อย่างมันน่าจะรู้นะว่าที่นี่มีแหล่งน้ำรึเปล่า…
ลิงมันก็ต้องกินน้ำเหมือนๆคนนี่แหล่ะ…
“นี่…รู้มั้ยว่าน้ำอยู่ไหน…น้ำ…” หะบีบี้ทำท่าดื่มน้ำให้มันดู
แล้วชี้ไปที่น้ำ เจ้าลิงที่นิ่งมองมาฉีกปากเหมือนจะยิ้มให้…
“สรุปว่ารู้เรื่องมั้ย…ที่พูดไปอ่ะ…” หะบีบี้เปลี่ยนเป็นภาษาไทยบ้าง
แต่อยู่ๆก็เหมือนมันจะเข้าใจขึ้นมาหรืออย่างไรก็ไม่แน่ใจ
เมื่อมันเดินมาแตะมือเธอนิดๆ แล้วเดินนำเธอไป หะบีบี้แม้จะระแวงระวัง
หากก็จำต้องลองเชื่อใจมันดู…แล้วก็สมใจเมื่อเดินไปได้สักพักเธอก็ได้ยินเสียงน้ำตก…
“ว้าว…เสียงน้ำตกนี่นา…” หะบีบี้ตื่นเต้นทันที พลันหันไปส่งยิ้มให้ผู้นำทาง
“เจ้านี่แสนรู้จริงๆเลยนะ…ขอบใจมากๆ…ถือเสียว่าเราหายกันแล้วนะ…”
หะบีบี้ขอบคุณพลางยื่นกล้วยอีกลูกในกระเป่าที่เธอเก็บตุนเอาไว้กินเป็นมื้อเย็นนี้ส่งให้ลิง
ทว่ามันกลับเบือนหน้าหนี
“อิ่มแล้วทำเมินเชียวนะ…” หะบีบี้เชิดหน้า แล้วรีบเดินไปยังธารน้ำตก
โดยที่เจ้าลิงเดินตามมาด้วย…
“ขออาบน้ำหน่อยแล้วกัน ไม่ได้อาบมาหนึ่งวันแล้ว…”
ว่าพลางก็วางกระเป๋าเอาไว้แล้วปลดผ้าคลุมศีรษะออก
ก่อนจะลงไปอาบน้ำทั้งชุดอย่างนั้น…พอได้สัมผัสความเย็นของน้ำแล้วรู้สึกสดชื่น
กะปรี่กะเปร่าขึ้นมา…
แหงนหน้ามองไปรอบๆผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์
แม้จะดูลึกลับและรอบกายอาจจะดูน่ากลัว แต่ป่่าก็สวยงาม…
หญิงสาวสูดอากาศบริสุทธิ์ให้ชุ่มปอดก่อนจะดำผุดดำว่ายในน้ำใสไหลเย็นอย่างสนุก
จนได้ยินเสียงดังเหมือนอะไรบางอย่างกระโจนลงมาในน้ำ
เมื่อหันไปมองจึงพบว่าเป็นลิงตัวนั้น…
จึงอดแปลกใจไม่ได้ เพราะเท่าที่เธอรู้ลิงไม่ชอบน้ำนี่นา…
แต่รู้สึกว่าลิงตัวนี้จะชอบน้ำเนื่องจากตอนนี้มันว่ายน้ำเล่นห่างออกไปจากเธอ
เพียงไม่มากนัก
…เอาเถิด…อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ไม่เดียวดาย...มีลิงเป็นเพื่อน…
เมื่อเล่นน้ำจนพอใจแล้ว หะบีบี้ก็หยิบกระบอกน้ำมารองรับน้ำเก็บไว้ดื่มกินทั้งสองกระบอก…
เปลี่ยนชุดที่มีให้เปลี่ยนแค่ชุดเดียวในกระเป๋าก่อนจะนำชุดที่เปียกน้ำบิดๆ
แล้วม้วนเก็บไว้ด้านล่างสุดของกระเป๋า แล้วทำละหมาดใต้ต้นไม้
เมื่อเสร็จจากละหมาดก็หาทางเดินออกจากป่าตามรอยทาง
ที่เธอทำสัญลักษณ์เอาไว้ด้วยการใช้มีดบากและหักต้นไม้ไว้…
อย่างไรก็ต้องออกไปจากป่านี้ให้ทันก่อนตะวันตกดิน
และดูเหมือนเจ้าลิงตัวนั้นจะไม่ยอมทอดทิ้งเธอง่ายๆ เดินตามเธอต้อยๆมาตลอดทาง
“เจ้าไม่มีครอบครัวรึไงฮี…ถึงได้มาติดสอยห้อยตามข้าอยู่แบบนี้…”
หะบีบี้หันไปสื่อสารกับเจ้าลิงที่เธอก็รู้ว่ามันคงฟังไม่เข้าใจ…
ก่อนจะยิ้มให้มันแล้วเดินต่อไปอย่างระแวดระวังภัย
เพราะท่ามกลางป่าดงพงไพรแบบนี้ ย่อมมีสัตว์น้อยใหญ่
ยิ่งพวกที่ไม่มีขาอย่างงู กับพวกหน้าขนมีเขี้ยวอย่างเสือนั้น
เธอไม่อยากพบเจอนักหรอก…
ดังนั้น…เมื่อได้น้ำดื่มแล้วก็จงรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าท่ีจะเร็วได้…
แต่ดูเหมือนโชคจะไม่ค่อยดีนัก…เพราะเสียงสวบสาบที่ดังกระแทกหูนั้น
ทำให้ขนแขนของหะบีบี้ลุกชัน…หญิงสาวมองไปทางเจ้าลิงที่ดูจะมีท่าทีที่เปลี่ยนไปเหมือนกัน…
หะบีบี้จึงยื่นมือไปคว้ามือมันโดยอัตโนมัตก่อนจะออกวิ่งสุดแรงเกิด…
เธอไม่รู้หรอกว่าเป็นเสียงอะไร แต่จากลักษณะการย่างแบบนั้น
มันฟังดูเหมือนสัตว์ตัวใหญ่และมีสี่เท้า…
ซึ่งในป่าแบบนี้ สัตว์ใหญ่มีสี่เท้า ถ้าไม่ใช่ช้างก็คงจะใช่เสือ…
แต่ไม่ว่าจะอะไรขอโกยไว้ก่อนเถิด…
โดยลืมไปว่่าลืงที่เธอดึงมือลากจูงไปด้วยนั้นไม่ใช่คน
และมันก็สามารถปีนป่ายหรือโหนต้นไม้หนีเสือหรือสัตว์ร้ายได้เก่งกาจ
กว่าวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนแบบนี้แน่ แต่เมื่อถูกพันธนาการจากมือนาง
ลิงตัวนั้นก็ดูจะไม่ได้ต่อต้านอันใด วิ่งตามหยอยๆไปด้วยสีหน้าแตกตื่นไม่ต่างกัน…
กว่าจะออกจากป่ามาได้ ทั้งคนทั้งลิงแทบหมดแรง…
ดีที่หะบีบี้มีสติดีพอจะมองทางมองตำหนิที่เธอทำไว้ตามต้นไม้ไปด้วย…
เลยรอดออกมาได้…
บัดนี้ทั้งคนทั้งลิงเลยนั่งหมดแรงหอบแฮกๆอยู่บนผืนทรายขาว
สายลมที่พัดต้องกายทำให้เหงื่อที่โทรมกายแห้งเหือด หายร้อนหายเหนื่อย…
“นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว…เนอะ…” หันไปพูดกับเพื่อนยากที่นั่งอยู่ข้างๆ
หะบีบี้ยกน้ำขึ้นดื่มแก้กระหายก่อนจะส่งให้ลิงบ้าง หากมันกลับเบือนหน้าหนี…
“นับว่าเป็นการผจญภัยที่น่าระทึกใจดี…”
หะบีบี้หัวเราะน้อยๆออกมาก่อนจะกางแขนล้มตัวลงนอนแผ่หราลงบนผืนทรายทั้งอย่างนั้น…
หลับตานิ่ง ผ่อนหายใจเข้าออกราวกับโล่งอก…
…ใช่ว่าไม่เคยเดินป่า เพียงแต่ไม่เคยเดินป่าคนเดียวแบบนี้มาก่อน
คิดแล้วก็นึกถึงพี่ชายขึ้นมาอีกจนได้…พี่นาบีลของเธอคือคู่หูในการผจญภัยเสมอ…
ก่อนจะลืมตามองไปทางเจ้าลิงที่ตอนแรกแสนจะหมั่นไส้มัน
มาบัดนี้มันขยับฐานะมาเป็นเพื่อนยากของเธอสำเร็จแล้ว…
“เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ…” หะบีบี้หันไปทางเจ้าลิง
พูดเองเออเองเสร็จสรรพโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ด้วย…
หากมันก็ดูจะไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด
แถมพอตกเย็นระหว่างที่หะบีบี้ละหมาดอยู่ มันยังมีแก่ใจหอบไม้ฟืนมาให้เพิ่มเติม
หลังจากหะบีบี้หามารวมกันไว้ได้บ้างแล้ว
เมื่อหญิงสาวละหมาดเสร็จก็ตั้งใจว่าจะลองหาวิธีจับปลาด้วยมือเปล่าดู…
เพราะปลาที่นี่มากจนมันมานอนเกยอยู่บนผืนทราย
ดังนั้นเมื่อตอนน้ำลดระดับลง เธอกับเจ้าลิงก็วิ่งไล่จับปลาบนผืนทราย
ที่หนีกลับท้องทะเลไม่ทันตอนน้ำลดอย่างสนุกสนานทีเดียว…
ได้มาก็มาช่วยกันย่าง…แน่นอนว่ารอบนี้เธอใช้หินในการก่อไฟ…
เพราะในกระเป๋าสัมภาระไม่มีจำพวกไม้ขีดไฟหรืออะไรที่พอจะจุดไฟได้เลย…
สงสัยเขาจะนำติดตัวไปด้วยแน่ๆ เธอเลยต้องมาใช้วิธีเหมือนมนุษย์ยุคหินแบบนี้
แต่หะบีบี้เสียอย่าง...สำเร็จอยู่แล้ว…
ฉะนั้น…ต่อให้ไม่มีเขา เธอก็เอาตัวรอดได้…
“ท่านผู้นำดินแดนนี้ใจร้ายมาก เจ้ารู้รึเปล่า…เขาปล่อยข้าลอยแพ
เอามาลอยทะเลเฉยเลย…ป่านนี้แล้วยังไม่ยอมโผล่มาให้เห็นอีก…”
หะบีบี้ที่นั่งย่างปลาไปก็บ่นไปกับเจ้าลิงตัวนั้น
ก่อนจะพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกรุนแรงภายในอกท่ีอัดอั้นด้วยการเปลี่ยนเรื่องเสีย
“เจ้าอยากมีชื่อมั้ย…เดี๋ยวข้าตั้งให้นะ…”
“ชื่อ…มาดีดีมั้ย…มาดีในภาษาไทยไง…มาดีตรงข้ามกับมาร้าย
เพราะเจ้ามาดี…ข้าจะเรียกเจ้าว่ามาดีก็แล้วกัน…”
‘มาดี’ หันมามองคนตั้งชื่อให้อย่างงงๆในตอนแรก…
แต่พอหะบีบี้เรียกมันด้วยคำว่า ‘มาดี’ บ่อยขึ้นถี่ขึ้น
มันจึงจำต้องหันไปหาทุกที…จนเริ่มคุ้นชินกับคำว่า ‘มาดี’ ในที่สุด
และเมื่อปลาย่างสุก หะบีบี้ก็ยกข้าวลิงในกระเป๋าให้เจ้าลิงไปทั้งหมด
ส่วนเธอนั่งกินปลาย่างไป…จนกระทั่งพลบค่ำ เธอก็ชวนมันกลับไปยังซอกหินเดิม
ที่เธอใช้พักแรมเมื่อคืน…ก่อนจะทำพิธีละหมาด
และแน่นอน…เหตุการณ์เมื่อวานก็เกิดขึ้นเช่นเคย เงาดำทะมึนโผล่มาจากทะเล
แล้วย่างกรายขึ้นฝั่งมาชุมนุมกันให้เธอเห็นอีกแล้ว
หะบีบี้เร่ิมคุ้นชิน เจ้าลิงก็ดูจะไม่ได้แตกตื่นแต่อย่างใด…มันแค่นั่งอยู่บนโขดหินใหญ่นิ่งๆ…
คืนนี้จึงเป็นอีกคืนที่เธอต้องนอนหลับตาลงโดยที่ยังคงคิดถึงบ้าน คิดถึงคนในครอบครัว…
ก่อนหน้านั้นเธอเคยอบอุ่นกับความรักจากคนในครอบครัว แต่มาวันนี้สิ่งที่ดีๆกลับหายไป…
แต่ไม่ว่าจะเจ็บช้ำอย่างไรเธอก็จะต้องเข้มแข็ง…
“ท่านแม่จะเป็นอย่างไรบ้างนะ…”
หะบีบี้อดไม่ได้ที่จะคิดถึงสตรีผู้เป็นมารดาของสามีที่เอ็นดูเธอราวกับลูกสาวของท่าน
“ไม่รู้จะคิดถึงกันบ้างรึเปล่า…” พึมพำแล้วก็หลับตาลงข่มใจให้หลับ
โดยมีเจ้าลิงที่นั่งอยู่บนโขดหินลงมาหลบลมในซอกหินในไม่ช้า
กองไฟมอดลงเมื่อใกล้รุ่ง…
เช้าวันใหม่…หญิงสาวก็ออกมารับลมทะเล กินอาหารเช้าด้วยหอยนางรมเหมือนเมื่อวาน
แต่วันนี้โชคดีตรงที่ ‘เจ้ามาดี’ของเธอที่อยู่ๆหายไปบนเขา
แล้วกลับออกมาพร้อมกับผลไม้เต็มสองมือของมัน
…มีทั้งลูกมะปราง มะยงชิดที่มันหักมาเป็นพวงแถมด้วยลูกพุทราอีก…
หะบีบี้ยิ้มให้กับภาพน้ำจิตน้ำใจของเจ้าลิงเพื่อนยาก ก่อนจะชวนกันไปนั่งเล่นบนผืนทราย
กินผลไม้กับลิง มือนึงก็เขี่ยผืนทรายเล่น มองไปยังท้องทะเลกว้างแล้วถอนใจยาว
…ถ้าไม่มีเขาช่วย…เธอคงทำอะไรไม่ได้เลย…
เมื่อสำนึกได้เช่นนี้ หะบีบี้จึงแน่ใจแล้วว่าต่อให้รั้นแค่ไหนเธอก็คงไปถึงเป้าหมายไม่ได้…
เพราะเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี เกี่ยวกับทะเลแห่งนี้เลยดังเขาว่า…
ที่นี่ไม่ใช่ดินแดนที่เธอจากมา
ดังนั้น…ทางเดียวที่จะพาเธอไปถึงเป้าหมายได้ก็คือ เธอต้องง้อเขา!
…มาให้ง้อหน่อยเถอะนะท่านมุสตอฟา…ท่านอัล-หะบี๊บ...
“ไปโยนปลาดาวลงทะเลกันเถอะมาดี…” ว่าพลางชวนเจ้ามาดีเพื่อนยาก
ไปยังชายฝั่งทะเล หยิบปลาดาวขว้างลงไปในทะเล
“นั่นอะไรน่ะมาดี…” หะบีบี้อุทานเสียงหลงเมื่อเห็นอะไรบางอย่างผุดขึ้นกลางทะเล…
รูปร่างเหมือนผู้หญิง ไม่ใช่สิ…ต้องเรียกว่า 'นางยักษ์'เพราะตัวใหญ่มาก
หะบีบี้แพ่งสายตามองภาพดังกล่าวที่อยู่ไกลออกไปมากอย่างพินิจพิจารณา…
“หรือว่านางเงือก…” จิตสำนึกด้านนึงบอกเธอว่าเช่นนั้น
ส่วนอีกด้านพยายามค้านว่า
“เอ๊ะ…หรือว่าพะยูนกำลังให้นมลูก…” แต่ไม่ว่าจะอะไรก็ไม่มีใครให้คำตอบเธอได้…
เจ้้ามาดีไม่ได้สนใจ มันหยิบปลาดาวมาดูเล่น
“ข้าเริ่มกลัวนะมาดี…ไม่รู้ว่าไอ้ที่เห็นๆอยู่มันจะมาดีหรือว่ามาร้าย
เราควรจะอยู่ต่อหรือว่าถอยหลังเข้าป่าดี…”
หะบีบี้รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมากับภาพที่ผุดอยู่กลางทะเลนั่น…
เป็นเช่นดั่งที่เขาว่าไว้จริงๆว่าใต้ท้องทะเลกว้างแห่งนี้มีอะไรอีกมากมายที่เธอไม่รู้…
ยิ่งเขาพูดถึงความเหี้ยมโหดของมันไว้ด้วย หญิงสาวก็ยิ่งรู้สึกผวาขึ้นมา
…เขาไม่ได้ขู่แต่เขาต้องการเตือนเธอต่างหาก…
ทะเลที่สวยงามอาจซ่อนความร้ายกาจและโหดเหี้ยมเอาไว้อย่างเขาว่า…
ใช่…มันเป็นไปได้สูงมาก…
หะบีบี้เริ่มหันรีหันขวางมองไปรอบกาย…ภาวนาขอให้เขาปรากฏกายขึ้น ให้เขามาหาเธอ…
ต่อไปเธอจะพยายามไม่ดื้อกับเขา…จะพยายามเชื่อฟังเขาให้มากขึ้น…
และเหมือนคำอ้อนวอนของเธอจะได้ผลเมื่อหะบีบี้หันไปมองยังเบื้องหลัง
ชายร่างใหญ่ยักษ์ในชุดดำกำลังยืนตระหง่านเด่นสง่าอยู่บนผืนทรายห่างออกไปสิบเมตร…
หญิงสาวยืนนิ่งตะลึงงัน…ตาสบตาประสานกันและเหมือนเธอจะเห็นเขาพยักหน้าให้นิดนึง
เท่านั้นเอง หะบีบี้ก็โผวิ่งไปหาเขา เขาที่กำลังอ้าแขนรอรับเธอเข้าสู่อ้อมกอด…
กลิ่นหอมอ่อนๆอันคุ้นเคยกับอ้อมแขนแข็งแรงของเขา
สร้างความอุ่นใจให้เธอมากล้นจนซาบซ่านไปทั่วทั้งใจ
“เลิกซนเลิกดื้อแล้วหรือ…” เสียงทุ้มกังวานของเขาช่างน่าฟังยิ่งนัก
ราวกับว่ามันได้ปัดเป่าความหวาดหวั่นเมื่อครู่ให้หายไปได้อย่างน่าประหลาดใจ…
“ข้าขอโทษ…” หะบีบี้พูดได้แค่นั้นก็ปล่อยโฮออกมา…
ชายหนุ่มยกมือที่โอบกอดเธอไว้ข้างหนึ่งลูบหลังพลางกดคางตัวเอง
ลงกลางกระหม่อมของเธอก่อนจะเปลี่ยนเป็นฝังจมูกลงบนผ้าคลุมศีรษะนั่นของเธอ
“ท่านแม่คิดถึงเจ้ามากรู้หรือไม่…” เขาบอกเสียงนุ่ม
“หรือว่าได้ลิงเป็นเพื่อนแล้วลืมข้า ลืมท่านแม่ ลืมเนมากับเนนไปเสียแล้ว”
หะบีบี้ส่ายศีรษะ บอกเสียงอู้อี้ออกไปว่า
“ไม่ลืม…และคิดถึงมาก…” ชายหนุ่มยิ้มกว้างเผื่อแผ่ไปถึงเจ้าลิง
ที่ยืนไม่ห่างจากภรรยาของเขาด้วย…
“ไปเจอกันได้ยังไง…”
“อย่าบอกว่าท่านไม่รู้…” หะบีบี้ผละจากอกกว้างแล้วค้อนเขาวงใหญ่
“ไม่รู้สิ…ตอนนั้นข้าเห็นเพียงเจ้าวิ่งหนีข้าเตลิดแถมยังลากจูงเจ้าลิงไปด้วย…
ข้ากับเนนยังขำเจ้ากับเจ้าลิงตัวนั้นไม่หาย…ปกติแล้วเนนไม่เคยหัวเราะเสียงดังเลยเจ้ารู้มั้ย…
แต่ภาพนั้น ทำเสียเนนหัวเราะลั่นป่าเลยเชียวละ…ถ้ามีเสืออยู่แถวๆนั้นจริง
มันคงเตลิดเปิดเปิงหนีหายเพราะตกใจเสียงหัวเราะของเนนน่ันละ…”
น้ำเสียงของเขามีแววเย้าแหย่จนน่่าหมั่นไส้ยิ่งนัก
“สรุปว่า…ไอ้เสียงสวบสาบนั้นเป็นเสียงเท้าของนีมดอกหรือ…ข้าก็นึกไปว่า…”
“เจ้าเป็นสตรีที่ใช้จินตนาการนำหน้า…จนไม่คิดจะอยู่พิสูจน์ให้รู้เสียก่อน…
ว่าอะไรเป็นอะไร…”
“ใครจะอยู่รอพิสูจน์ เวลาแบบนั้นข้าคนนึงละที่จะไม่อยู่รอพิสูจน์อะไรทั้งนั้น…”
“เลยวิตกจริตหนีข้ากับนีมไปโดยไม่รอหรือแม้แต่จะเหลียวหลังมามองแม้แต่น้อย…”
เขายังเย้าเธอด้วยรอยยิ้มในดวงตา
“ส่วนเจ้าลิงน่ันก็ดูจะวิตกจริตตามเจ้าไปด้วย…เหมือนเป็นโรคติดต่อ”
หะบีบี้เบะปากย่นจมูกใส่เขาแล้วหันไปทางเจ้ามาดี
“มาดี…เพื่อนยากหรือสหายข้าชื่อมาดี…” หะบีบี้แนะนำเพื่อนยากให้เขาได้รู้จัก
“มาดี…นี่ท่านมุสตอฟา ชัยนุลอะบีดีน บิน อัซซิดดีก…
สามีผู้ทอดทิ้งข้าเอาไว้ที่นี่อย่างไรเล่า…คนใจร้ายที่ข้าพูดถึง…คือบุรุษผู้นี้ละ…”
เจ้าลิงฉีกยิ้มกว้างยามมองมาทางชายหนุ่มผู้มาใหม่…
“ชื่อเพราะนี่…แปลว่าอะไรหรือ…”
“มาดี…แปลว่าไม่ได้มาร้ายอย่างไรเล่าท่าน…ไม่ได้มาร้ายในภาษาท่าน
ท่านออกเสียงมาดีให้ข้าฟังหน่อยสิว่าชัดแค่ไหน…”
“มา-ดี…” สำเนียงของเขาชัดเจนอย่างเคย…ไม่ว่าเธอจะสอนจะพูดอะไรให้เขาฟัง
ดูเขาจะมีพรสรรค์ในการคัดลอกได้ดีเหลือเกิน…
“ใช่แล้ว…มาดี…”
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอพาสหายข้าไปอยู่ด้วยจะได้หรือไม่ท่าน…”
“แล้วเจ้ามาดีจะยอมไปด้วยหรือ…”
ถามพลางหันไปทางเจ้าลิงตัวนั้นก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา
“เจ้ามาดีดูจะชอบเจ้ามาก และก็ไม่ได้มีครอบครัว อยู่ตัวเดียว
เพราะพ่อแม่ตายไปแล้ว”
เขาเล่าราวกับว่าไปสืบประวัติมันมาเรียบร้อยแล้วนั่นแหล่ะ…
“ท่านรู้ได้อย่างไร…” หะบีบี้ขมวดคิ้วขณะสบตาเขา
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องรู้ดอกว่าข้ารู้ได้อย่างไร…เอาเป็นว่า
ข้าอนุญาตให้เจ้าพาสหายกลับไปด้วยได้…” เท่านั้นหะบีบี้ก็ยิ้มแก้มปริแล้ว…
และด้วยความดีอกดีใจที่ได้เขากลับคืนแถมยังได้สหายกลับบ้านด้วย
สาวเจ้าจึงโผเข้าซบอกกว้างวาดแขนรวบเอวเขาเอาไว้แน่น
“ท่านใจดีที่สุด…”
“จำได้ว่าเมื่อครู่เจ้าเพิ่งต่อว่าข้าไปว่าใจร้ายต่อหน้าเจ้ามาดี…”
“ก็ตอนนี้ท่านใจดีแล้วนี่…” ชายหนุ่มยิ้มอย่างเอ็นดู
“ข้าภูมิใจที่ได้รู้ได้เห็นว่าเจ้าเก่งและเอาตัวรอดได้ดีกว่าที่ข้าคิดไว้
ถ้าไม่หัวดื้อหัวรั้น…อยู่ในโอวาท…เจ้าคงน่ารักยิ่งกว่านี้หลายเท่านัก…”
มีชื่นชมให้อารมณ์ดีก่อนจะหักมุมให้ปวดใจในตอนท้าย
…มันน่าจะง้อมั้ยคนแบบนี้…
“หรือเจ้าเห็นเป็นอย่างไรเนมา…” เขาหันไปถามสหายที่อยู่ๆก็ปรากฏกายขึ้น…
ทำเอาหะบีบี้ตกใจก่อนจะปรับใจได้เนื่องจากพักหลังๆเจออะไรแบบนี้บ่อยๆจึงเริ่มคุ้นชิน…
“เนมาอยู่กับข้าตลอดหรือ…” หะบีบี้ถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ
และแทนคำตอบ
“ผู้ที่จุดกองไฟและนำปลามาจากท้องทะเลนั่นอย่างไรเล่า…”
“โธ่…เนมาหรอกหรือนี่…” หะบีบี้ครางออกมาอย่างคาดไม่ถึง
“แล้วท่านเล่า…ตอนนั้นท่่านอยู่แห่งหนใด…ท่านทิ้งข้าไปจริงๆใช่หรือไม่…”
หะบีบี้สบตามองเขานิ่ง
“ข้ามิได้ทอดทิ้งเจ้า…ไม่เลย…เพียงแต่ข้าต้องกลับไปจัดการภารกิจ
และเมื่อวานเนนส่งข่าวมาบอกว่าเพื่อนสนิทท่านแม่มาเยี่ยมเรา…
อยากเจอหน้าเจ้า…ตอนนี้พวกเขารอเจ้าอยู่บ้าน…”
เขาบอกกล่าวแล้วพาเธอไปยังเจ้านีม
"ท่านรู้หรือไม่ว่า...ที่ผุดอยู่กลางทะเลตอนนี้คืออะไร..." หะบีบี้
ไม่ลืมที่จะถามเขาพลางชี้ให้ดู คนถูกถามคลี่ยิ้มพร้อมอธิบาย
"นั่นคือสัตว์ทะเลที่เลี้ยงลูกด้วยนม...เวลาให้นมลูกตัวก็จะตั้งตรง
ดูไกลๆแบบนี้ก็คงไม่ต่างจากสตรีที่กำลังให้นมบุตรของนาง..."
"ไม่ได้น่ากลัวใช่หรือไม่..." เขาโคลงศีรษะ
"ไม่ดอก..."
"เหมือนปลาพะยูน...ดินแดนข้าเรียกว่าปลาพะยูน..." เขาเพียงพยักหน้ารับรู้
แล้วยกเธอขึ้นวางบนหลังม้า...
“สัมภาระข้า…” หะบีบี้ทักท้วง
“ปล่อยให้เนมาจัดการเถิด…เนมามีวิธีที่รวดเร็วยิ่งกว่าเจ้านัก”
“แล้วมาดี…มาดีมานี่สิ…” หะบีบี้เรียกสหายให้ขึ้นมานั่งด้วยกัน
“ข้าจะพามาดีไปเอง…” เนมาขันอาสา…
“มาดีอาจไม่สนิทกับท่านนักก็ได้เนมา…”
แทนคำตอบ เนมาหันไปมองสหายเพื่อนยากของเธอ
แล้วเจ้ามาดีก็ตามเนมาไปเก็บสัมภาระในเวลาไม่กี่วินาที
ซ้ำยังยอมนั่งม้าสีน้ำตาลไปกับเนมาอย่างว่าง่าย…
…มันง่ายดายขนาดนี้เลยหรือ…เนมาทำได้ยังไงน่ะ…
“ด้วยเวทมนต์…โน้มนำจิต…” เขากระซิบบอกเธอก่อนจะอธิบายเสริม
“เพียงกระซิบกระซาบ…เสียงที่หูไม่ได้ยิน รับรู้ได้ด้วยสัมผัสพิเศษ…”
“ผู้ที่มีจิตใจอ่อนแอกว่าย่อมพ่ายแพ้…เว้นเจ้า…เนมาทำอะไรจิตเจ้ามิได้
แต่ดูเหมือนเจ้าจะมีอิทธิพลต่อเนมาไม่น้อย…” หะบีบี้กระตุกคิ้ว
ถามเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“เป็นไปได้อย่างไร…ข้าไม่เคยทำอะไรเนมา…ข้าอยู่ของข้าเฉยๆ”
หะบีบี้รีบออกตัว อย่างเธอน่ะหรือจะโน้มนำจิตใจใครได้…
“ไม่เฉย…เนมาชอบเจ้า…ข้ามิเคยบังคับให้เขาติดตามเจ้า
เขาเต็มใจที่จะอยู่ดูแลเจ้า…และปรารถนาดีต่อเจ้าด้วยใจจริง…
เพราะเนมาเป็นสหายข้า มิได้เป็นทาสคอยรับใช้ข้า ที่นี่ไม่มีทาส…
เราอยู่ร่วมกัน ช่วยเหลือกันและกันด้วยน้ำใสใจจริง…”
“และเนมาจะไม่ใช้เวทมนต์ไปในทางที่ไม่ดี เจ้าไว้ใจเถิด…” เขากล่าวเสริม
“แล้วท่านเล่า…ท่านมีเวทมนต์หรือไม่…” หะบีบี้ชักจะเริ่มสงสัยตะหงิดๆ
เพราะเหมือนเขาจะหยั่งรู้ความนึกคิดของเธอเสมอ…
แล้วเขาก็ใช้รอยยิ้มบางๆพร้อมกับวางคางของเขาลงตรงบ่่าของเธอ
ลำแขนท้ังสองโอบเอวเธอไว้หลวมๆ
“ต่อให้มี มันก็คงทำอะไรเจ้ามิได้มิใช่หรือ…” เขาพูดเหมือนตัดพ้อ
“เพราะถ้าทำได้…ข้าคงสั่งให้เจ้ารักข้าแล้วลืมสิ้นทุกสิ่ง…
บังคับหัวใจเจ้าให้อยู่กับข้าที่นี่ไปตลอด…”
“ท่านทำได้…ข้ารู้ว่าถ้าท่านจะทำท่านก็ทำได้…เพียงแต่ท่านไม่ทำ
เพราะมันผิด…และที่สำคัญท่านไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบนั้นได้ลง…”
หะบีบี้เอ่ยราวกับอ่านใจเขาได้เช่นกัน…
ไม่เห็นต้องใช้เวทมนต์อันใด เธอก็รู้และแน่ใจด้วยซ้ำ
เพราะแค่ใช้หัวใจ…แค่นี้ก็รู้แล้วว่า เขาไม่มีวันทำแบบนั้นแน่…
เพราะเขามิใช่คนมักง่ายและเห็นแก่ตัวขนาดนั้น…
“ในเมื่อท่านหยั่งรู้ใจข้า…แต่ไม่คิดหักหาญน้ำใจข้า…
แค่นี้มันก็มากพอที่จะทำให้ข้ารู้แล้วว่า…ท่านไม่ใช่คนที่เห็นแก่ความสุขของตัวเอง…
และคนที่ชอบเรียกร้องโน่นนี่ก็เป็นข้า…ท่านคงรำคาญข้าไม่มากก็น้อยละ…”
หะบีบี้ชื่่นชมเขาพร้อมกับหันมาตำหนิตนเอง
“ไม่ดอก…ข้าไม่เคยนึกเบื่อหรือรำคาญเจ้าแม้แต่น้อย…
และข้าก็แสนจะเต็มใจให้เจ้าเรียกร้องจากข้าด้วย…อยากได้อะไร
ต้องการสิ่งใดขอให้บอกข้าเถิด…ถ้าข้าให้เจ้าได้…ข้าก็เต็มใจและยินดีเป็นอย่างยิ่ง…
ข้ามีความสุขที่จะให้…มีความสุขที่เห็นเจ้ามีความสุข…”
“แต่สองคืนที่ผ่านมาท่านทำให้ข้าร้องไห้เสียน้ำตา…ท่านรู้หรือไม่…”
หะบีบี้ตัดพ้อเขา
“เนมาบอกข้าแล้ว…แต่เจ้าเป็นคนออกปากไล่ข้าเองมิใช่หรือ…”
“ข้าไม่เชื่อดอกว่าท่านจะไม่รู้ว่าตอนนั้นข้าพูดไปเพราะอารมณ์”
“แต่มันก็ทำให้หัวใจข้าเจ็บปวด…ข้าคือมนุษย์หะบีบี้…” น้ำเสียงที่เขาใช้
เรียกขานชื่อของเธอนั้นดูอ่อนหวานยิ่งนัก...
“งั้นข้าขอโทษ…ข้าปากไม่ดีจริงๆ…นิสัยก็ไม่ดี…ท่านคงเป็นบุรุษที่โชคร้ายที่สุด
ในดินแดนเป็นแน่แท้ที่แต่งงานกับสตรีเช่นข้า…”
“ข้ายอมเป็นบุรุษที่โชคร้าย…”
และแล้วเขาก็ยอมรับออกมาซื่่อๆว่าเขาเป็นบุรุษที่โชคร้าย…
...โปรดติดตามตอนต่อไป....
เอา "ข้าวลิง" มาเสริฟจ๊ะ...
...คุยกับนักอ่านจากคอมเม้นท์ตอนที่แล้ว...
1.คุณkonhin...การสื่อสารของใจไปเร็วค่ะ...
และสามารถรับรู้ได้อย่างน่าประหลาด
2.คุณตุ๊งแช่...ไม่ได้แอบอยู่ตามซอกหินน้า...
แต่ควบม้ากลับบ้านไปจริงๆนั่นแหล่ะ...อิอิอิ
ตอนนี้ลูกปาดกลับมากระโดดเกาะท่านผู้นำเหนียวหนึบอีกแล้ว...ฮ่าๆ
3.คุณคิมหันตุ์...กล้าทิ้งไปจริงๆนะนั่น...
ก็ลูกปาดสมควรโดนดีซะบ้าง...555
4.คุณแว่นใส...จริงๆมารับเร็วแล้วแต่ลูกปาดกระโดดหนีป่าราบไปซะก่อน
เหอๆๆ...โชคดีได้ลิงเป็นเพื่อน...
5.คุณRightHand...กลับมาจริงๆค่ะ...จะทิ้งได้ยังไง
เมียทั้งคนเนอะ...แม้แต่สหายอย่างเนมายังทิ้งไปไม่ลงเลย...อิอิ
6.คุณHabibi...ขอบคุณค่ะสำหรับการติดตามและกำลังใจ...
มุสตอฟากลับมารับกลับวัง เย้ย กลับบ้านแล้วนะคะ...อิอิ
7.คุณnapt...ถ้าเรื่องนี้ได้ดารารับเชิญอย่างโดเรมอนมาด้วยก็ดีนะคะ
ลูกปาดจะได้กระโดดข้ามไปข้ามมาได้สะดวกหน่อย...
ไม่ต้องร้องไห้ขี้มูกโป่งเนอะ...อิอิอิ...แต่ถึงไม่มีโดเรมอน
แค่ท่านมุสตอฟาก็กินขาดแล้วค่ะ...ฮ่าๆๆๆ
สุดท้ายไม่ท้ายสุด...
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่คลิกเข้ามาอ่าน
ขอบคุณทุกๆไลค์ที่กดให้ชื่นใจ
ขอบคุณกำลังใจที่เข้ามาพูดคุยกันนะคะ
...รักษาสุขภาพนะคะ...
"เต่าโย"
yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ม.ค. 2558, 14:26:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ม.ค. 2558, 14:26:37 น.
จำนวนการเข้าชม : 2963
<< บทที่ 4 หัวใจเดียวกัน | บทที่ 13 ปฏิทินกับนาฬิกา >> |
คิมหันตุ์ 10 ม.ค. 2558, 15:42:23 น.
วุ้ยๆมีแอบงอนกันด้วย
วุ้ยๆมีแอบงอนกันด้วย
แว่นใส 10 ม.ค. 2558, 15:53:26 น.
ได้เพื่อนเพิ่มมาหนึ่ง กลับมาเจอคู่แข่งแย่งผู้นำหรือเปล่า
ได้เพื่อนเพิ่มมาหนึ่ง กลับมาเจอคู่แข่งแย่งผู้นำหรือเปล่า
napt 10 ม.ค. 2558, 19:04:52 น.
คนกะลิงคู่นี้เป็นมิตรภาพที่น่ารักมาก
คนกะลิงคู่นี้เป็นมิตรภาพที่น่ารักมาก
Habibi 10 ม.ค. 2558, 23:06:02 น.
เจ้าลิงแสนรู้จริงๆ ท่านมุสตอฟาคงจะมีเวทมนต์อ่านใจบีบีแน่เลย อิอิ เจอท่านมุสตอฟสวนกลับไปอย่างนั้นบีบียังคิดจะกลับบ้านอีกมั้ยน้อ.....
เจ้าลิงแสนรู้จริงๆ ท่านมุสตอฟาคงจะมีเวทมนต์อ่านใจบีบีแน่เลย อิอิ เจอท่านมุสตอฟสวนกลับไปอย่างนั้นบีบียังคิดจะกลับบ้านอีกมั้ยน้อ.....
konhin 11 ม.ค. 2558, 16:17:18 น.
ฮ่าๆๆ แอบคิดเหมือนกันว่าอาจจะแปลงร่างเป็นลิงมาหลอก หึๆๆ
ฮ่าๆๆ แอบคิดเหมือนกันว่าอาจจะแปลงร่างเป็นลิงมาหลอก หึๆๆ