ภิรมย์รัก
กุลสตรี!

รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง
หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ นั้นไม่เป็นกุลสตรี
หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง
แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้
หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษ
ต่อแต่นี้ไปก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด!

หากภาวนาไปไม่พ้นสามวัน
คนที่เธอไม่อยากพบเจออีกในชาตินี้ กลับมาเป็นอาจารย์ของเธอเอง
คราวนี้คงต้องฟังแลกเชอร์ว่าด้วย “ความเป็นกุลสตรี” เสียจนหูชาแน่ๆ
เธอต้องหาทางหนีสถานเดียว!

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
ยิ่งพยายามหนีให้ไกลจากดวงตาสีดำคูคมนั้นเท่าไหร่
กลับยิ่งเหมือนอีกฝ่ายจะไล่ตามมาไม่ปล่อยเสียอย่างนั้น!

Tags: ย้อนยุค,ศิษย์,อาจารย์,ท่านชาย,ท่านหญิง,ความรัก,พีเรียด

ตอน: บทที่ 11 [50%]

บทที่ 11


เห็นกันอยู่เมื่อครู่นี้เอง ตอนนี้ไปไหนซะแล้วล่ะ...

รุจิรดาบ่นพึมพำในใจ ยิ่งหงุดหงิดที่ไม่เข้าใจตนเองว่าจะตามหม่อมเจ้าหญิงคนงามมาถึงสวนกว้างใกล้คฤหาสน์หลังงามนี้ด้วยเหตุใด

ปกติหากเพียงต้องการรู้เรื่องอะไร เธอย่อมมีวิธีการที่ดีกว่าการเดินดุ่มเข้าไปถามเจ้าของเรื่องเองอยู่แล้ว แต่อะไรบางอย่าง...อาจจะเป็นแววเนตรคู่นั้น หรือกิริยาที่กริ้วโกรธเสียเหลือเกินของหม่อมเจ้าหญิงปทมวรรณที่มีนัยยะโดยตรงต่อสร้อยเส้นงาม ที่ทำให้รุจิรดาระงับความหวั่นไหวที่พลุ่งขึ้นในอกไม่อยู่

หญิงสาวยืนนิ่งงันอยู่ข้างคฤหาสน์หลังงาม เมื่อครู่เพียงเธอเหลียวมองทางอื่นเพียงแวบเดียว เมื่อหันกลับมา วรองค์โปร่งบางที่แต่งองค์อย่างเก๋ก็หายไปจากสายตาเสียแล้ว จะกลับไปหาเพื่อนทั้งสองตอนนี้ก็ไม่ได้ เพราะที่เธอเดินออกมานี่ ส่วนหนึ่งก็เพื่อจะให้ตุ๊กตาแก้วเจียระไนของเธอกับเพื่อนหนุ่มได้คุยกันสองคนบ้าง รุจิรดาคิดว่าไม่ผิดอะไร เมื่อรอบข้างก็ใช่ว่าจะร้างไร้ผู้คน
กลายเป็นตัวเธอเองที่เคว้งคว้างไม่รู้จะไปแห่งหนใดดีเสียแล้ว

ร่างโปร่งบางในชุดสวยขยับเท้าออกเดินผ่านสุมทุมพุ่มไม้ที่จัดไว้อย่างงดงามเป็นระเบียบ ไหนๆ ก็เดินมาทางที่เขาจัดอาหารเอาไว้แล้ว ก็ถือโอกาสหาอะไรรองท้องเสียดีกว่า หญิงสาวเดินเตร่เข้าไปหาซุ้มอาหารที่จัดวางของว่างกระจุ๋มกระจิ๋มอย่างงดงามชนิดที่จัดกันในปาร์ตี้ค็อกเทล เธอเอื้อมมือไปหยิบจานใบน้อยเมื่อปลายนิ้วเรียวสัมผัสกับนิ้วมือใครบางคน

ใบหน้านวลแอร่มเงยขึ้นอย่างรวดเร็วพอกันกับที่อีกฝ่ายหนึ่งสบสายตากับเธอพอดี

“คุณแวววรรณ...”

อีกฝ่ายหรี่ดวงตาที่แต่งไว้เสียคมสวยเล็กน้อย “เธอนั่นเอง”

วันนี้ ‘พระสหายใหม่’ ของหม่อมเจ้าหญิงอรกัญญาแต่งตัวเสียงดงาม แต่ที่งามที่สุดในร่างนั้นเห็นทีจะเป็นสร้อยที่มีจี้เพชรส่องประกายระยับอยู่ตรงเนินอกขาวผ่องนั้น บุตรสาวของท่านรัฐมนตรีเห็นแล้วเหยียดริมฝีปากออกน้อยๆ ถึงไม่เข้าขั้นยาจก แต่ก็มีน้อยเสียจนน่าเวทนา น่าเกลียดนักที่เผยอตนขึ้นมาเสมอตัวด้วยหญิงอร!

รุจิรดาก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงทักทายอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปหยิบของว่างตามที่ตั้งใจไว้แต่ต้น ทว่าอีกฝ่ายกลับเดินเข้ามาใกล้พลางเอ่ยถาม “หญิงอรกับท่านชายดุลย์ล่ะ ไม่ได้มาด้วยกันหรือ?”

“ท่านชายคงยังรับสั่งกับผู้ใหญ่ในงานกระมังคะ ส่วนหญิงอรอยู่กับมนต์ณัฐ” ปากเอ่ย มือที่กะจะหยิบของว่างอีกสักอย่างก็ละอย่างเสียมิได้ รุจิรดาตัดบทเสียด้วยการถอยห่าง ทำท่าว่าจะไปดูเครื่องดื่มต่อขณะที่เสียงแหลมเล็กของแวววรรณดังก้องขึ้น

“ต๊าย นี่หล่อนกำลังจะทำอะไร จับคู่หญิงอรกับมนต์ณัฐหรือ?”

น้ำเสียงกล่าวหาเจือเหยียดหยันทำให้รุจิรดาหันมามองอย่างอดไม่ได้ “ดิฉันไม่ได้จับคู่ให้ใคร เราทั้งสามเป็นเพียงมิตรที่ดีต่อกันเท่านั้น กรุณาอย่าเข้าใจผิด”

“ไม่ให้เข้าใจผิด อย่างนั้นที่เธอเข้าไปขลุกอยู่กับท่านชายในห้องทรงงานหลายวัน ปล่อยให้น้องนางของท่านและผู้ชายอยู่ด้วยกันสองต่อสองนี่จะให้เข้าใจว่าอย่างไรล่ะ รุจิรดา? ถ้าไม่ใช่ว่าเธออยากบำเพ็ญตนเป็นเทพอุ้มสมเขาทั้งคู่"

ดวงตาสีน้ำตาลใสกระจ่างวูบ ความรู้สึกขุ่นเคืองหลายอย่างที่กำลังระงับมิให้ระบายออกถูกสตรีที่แต่งกายงดงามด้วยชุดราตรีสีน้ำเงินสดกวนตะกอนให้ฟุ้งจนอดไม่ได้

ฉันไม่ได้อยากมีเรื่องหรอกนะ แต่ถ้าคุณอยากฉันก็จะเป็นคู่มือให้สักตั้งหนึ่ง

“ดิฉันไม่ได้อยากจะเล่นบทแม่สื่อแม่ชักหรอกค่ะ อย่างน้อยก็คงไม่เท่ากับใครบางคนที่พยายามให้ดิฉันจับคู่กับมนต์ณัฐจนต้องออกปากพูดทุกครั้งที่เห็นพวกเราสามคนเป็นแน่”

“นี่หล่อนกำลังว่าใคร?” น้ำเสียงแวววรรณเริ่มขุ่นเขียว ดวงตาจ้องเขม็งมาที่ร่างโปร่งบางซึ่งสูงกว่าเล็กน้อย “เห็นว่าหญิงอรโปรดตัวเองเข้าหน่อยก็กล้าว่าคนอื่นเขาไปทั่วแล้วอย่างนั้นหรือ?”

ยิ่งฟังยิ่งหน่าย รุจิรดาตั้งใจจะก้าวถอยออกไปเสีย ไม่อยากต่อปากต่อคำกับสตรีผู้นั้นอีก ก็พอดีกับแวววรรณที่เหลือบมองไปยังฟลอร์เต้นรำ ซึ่งบัดนี้กำลังบรรเลงเพลงวอซ์ลหวานกังวาน เปิดโอกาสให้หนุ่มสาวพากันจับคู่เต้นรำด้วยท่วงท่างดงามเกินบรรยาย หญิงสาวกระพริบตาอีกทีเมื่อเห็นเงาร่างเล็กบางทว่าไว้สง่าของสหายสนิทกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในอ้อมแขนของใครบางคนที่ดูคุ้นตา ริมฝีปากบางแต้มสีหวานยกเยื้อนขึ้นทันใด

“โอ้ เสียใจด้วยนะรุจิรดา ถึงแม้เธอจะพยายามจับคู่ หรือไม่พยายามก็เถอะ ตอนนี้หญิงอรกลับกำลังเต้นรำอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งซะแล้ว ไม่ใช่มนต์ณัฐเสียด้วย”

จริงของแวววรรณ นัยน์ตาสีน้ำตาลใสจ้องมองไปที่ฟลอร์เต้นรำโดยเร็ว ร่างน้อยที่กำลังหมุนตัวพลางแย้มสรวลอย่างสดใสนั่นใช่อรกัญญาแน่แล้ว แล้วบุรุษผู้นั้นก็ไม่ใช่เพื่อนชายเจ้าของวันเกิดเสียด้วย ยิ่งพอเหลือบมองไปโดยรอบก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของมนต์ณัฐ ทำให้หญิงสาวรู้สึกขัดเคืองอยู่ในใจ

ณัฐนะณัฐ เราอุตส่าห์ฝากท่านหญิงเอาไว้ ตัวก็รับปากเสียดิบดี แล้วทีอย่างนี้กลับหายจ้อย!

มือเรียวขาววางจานของว่างลงอย่างหมดอยาก ก่อนเอ่ยปากเรียบๆ “ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”

ไม่อยู่รอให้อีกฝ่ายได้ทักท้วง รุจิรดาก็เดินลิ่ว ลัดเลาะบุรุษและสตรีซึ่งล้วนแต่แต่งกายงดงามเหมาะสมกับการสมาคมกลับไปตามทางเก่า ปัญหาเรื่องเจ้าของเก่าสร้อยเพชรและบุรุษผู้มีมันเป็นกรรมสิทธิ์แก่ตนในเวลานี้ถูกปัดไปอยู่ซอกมุมหนึ่งของหัวใจ ตอนนี้เธอเป็นห่วงสถานการณ์ของเพื่อนเสียมากกว่า

...รับปากอาจารย์เอาไว้ด้วยสิว่าจะคอยอยู่เป็นเพื่อนหญิงอร ใครจะคิดว่าพอเธอจะไว้ใจคนอื่นบ้างก็กลายมาเป็นเสียอย่างนี้

...ประเดี๋ยวพี่ชายเขาจะได้มาเล่นงานฉันเข้าปะไร!




ร่างงามในชุดสีน้ำเงินที่ปักดิ้นเงินระยับไปทั้งตัวริมฝีปากบิดเบ้อย่างขัดใจเมื่อเห็นว่ารุจิรดาเดินจากไปอย่างรวดเร็ว แต่ครั้นแล้วเธอก็ยักไหล่ เลิกสนใจหญิงสาวคนนั้นแล้วหันกลับมามองหาร่างสูงโปร่งของหม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์บ้าง
สงสัยคงประทับอยู่กับกลุ่ม ‘ผู้ใหญ่’ ในงานเสียละกระมัง

แวววรรณพยายามมองหาวรองค์สูงสง่าซึ่งเป็นเชษฐาของสหายสนิท หวังใจว่าจะให้พระองค์ได้ยลโฉมตนเองในชุดเดรสอย่างเก๋ที่สั่งจากห้องเสื้อชื่อดัง วันนี้เธอแต่งตัวงดงาม เพื่อให้ทรงมองเห็นบ้างว่าแวววรรณคนนี้สวยสง่า และมิได้เป็นเด็กอย่างที่เคยรับสั่งประทานด้วยความเอ็นดูแล้ว

ไม่รู้ว่าเนิ่นนานเท่าใดที่ความรู้สึกเคารพบูชาต่อตัวหม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์กลายเป็นความรักที่ทำให้แวววรรณ บุตรีของนักการเมืองผู้มีอนาคตไกลมิเคยหันเหให้ความสนใจแก่ชายใดอีกเลย คุณแม่ของเธอรับรู้ความในใจของบุตรสาวมาโดยตลอด จึงคอยสนับสนุนให้เธอสนิทกับหญิงอรมากขึ้น จะได้เป็นการกันข้อครหาเวลาเธอเหยียบย่างเข้าไปในวังนฤบดินทราทิตย์

แต่ก็เพียงเท่านั้น...ความพยายามของเธอเกือบจะเรียกได้ว่าสูญเปล่า เมื่อท่านชายพระองค์นั้นพระทัยแข็งดุจเหล็กกล้า ยิ่งเมื่อทรง ‘อกหัก’ จากพระคู่หมั้นที่ละทิ้งท่านไปอย่างง่ายดาย ก็เสมือนว่าหทัยของบุรุษผู้นั้นปิดตายสิ้นเสียทุกประตูแล้ว...

...และเธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นผู้ทลายประตูนั้นให้ราบไปกับมือ

ดวงตาดำขลับราวนิลเม็ดงามสอดส่ายมองตามร่างบุรุษทั้งหลายในงานอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยๆ เมื่อเธอเห็นว่าท่านคุยธุระทั้งหลายเสร็จ เมื่อไปแสดงตัว ณ เบื้องพระพักตร์ ท่านชายคงจะประทานโอกาส ชวนเธอเต้นรำบ้าง นัยน์ตาหวานซึ้งหรี่ลงอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นเงาร่างของใครบางคนในสูทสีเทาอ่อน สูงโปร่งเท่ากับองค์ท่านชายอดุลย์วิทย์ แวววรรณเตรียมจะก้าวเข้าไปหา ทว่าข้อมือกลับถูกคว้าไว้แน่น

มือหนาร้อนผ่าวที่จับข้อมือน้อยของเธอปล่อยทันควันเมื่อหญิงสาวหันไปมองด้วยดวงตาเข้มดุ มนต์ณัฐก้มศีรษะลงอย่างเก้อเขินเล็กน้อย ทว่านัยน์ตาคู่นั้นกลับจ้องใบหน้างดงามไม่กระพริบ

ไม่หลบตาแม้สักนิดเมื่อเอ่ย “คุณแวววรรณ จะกรุณาให้เกียรติเต้นรำกับผมได้ไหมครับ?”






“เอ๊ะ แล้วตาณัฐหายไปไหนเสียล่ะนี่”

รุจิรดาเหลือบมองไปทั่วบริเวณที่จำได้ว่าทิ้งให้เพื่อนทั้งคู่รออยู่อย่างร้อนรนเล็กน้อย เมื่อมองทางใดก็ไม่เห็นสหายตัวแสบ หญิงสาวก็ทรุดนั่งลงอย่างหงุดหงิด

จะไปตามความลับเรื่องสร้อยก็เหลว พอกลับมาหาเพื่อนก็หายไปอีก คุณพ่อคุณแม่ พี่ดนัยเจ้าขา รดาล่ะเหนื่อยจริงๆ!

รุจิรดาถอนหายใจเสียเฮือกหนึ่ง เอาเถอะ ของขวัญก็ให้แล้ว งานเลี้ยงดำเนินไปได้พอสมควรแล้ว ประเดี๋ยวเธอก็จะได้พักแล้ว...คิดถึงของขวัญริมฝีปากอิ่มก็แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย เจ้าของวันเกิดคงปลาบปลื้มของขวัญจากท่านหญิงอรกัญญาน่าดู เพราะตุ๊กตาแก้วเจียระไนตั้งใจเลือกเฟ้นของขวัญอยู่เป็นนาน สีพระพักตร์ แววพระเนตรในยามนั้น...หากเธอเป็นมนต์ณัฐ คงจะต้องขอความรักจากสตรีผู้อ่อนโยนองค์นี้อย่างเร็วเลยทีเดียว

ร่างโปร่งบางคิดอย่างใจลอยอยู่บ้าง มือตั้งใจจะคว้าแก้วทรงสูงที่บรรจุน้ำหวานขึ้นดื่มแก้กระหาย แต่ปลายนิ้วกลับพลาดไปปัดถูก ทำให้แก้วเนื้อบางนั้นตกลง คว่ำเอาของเหลวที่มีอยู่ในนั้นลงสู่ตักของรุจิรดาทันที

“อ๊ะ...”

หญิงสาวอุทานเสียงไม่เบานัก ทำให้คนสองสามคนที่ยืนอยู่บริเวณนั้นหันมามองอย่างตกใจแกมขบขันเล็กน้อยเมื่อมองเห็นสภาพทุลักทุเลของเธอได้ถนัดถนี่ รุจิรดารีบออกเดินอย่างรวดเร็ว เหลียวซ้ายแลขวาเพื่อหาบริกรสักคนที่จะสามารถบอกได้ว่าห้องน้ำไปทางไหน ให้เธอได้ล้างตัวและชุดงามๆ จากคราบน้ำหวานนี้เสียให้หมด สองขาก้าวยาวๆ อย่างรีบร้อน จึงไม่ทันเห็นเงาร่างสูงที่เดินใกล้เข้ามาแล้วชนเข้าอย่างจัง

“อุ้ย! ขอ...ขอประทานอภัยเพคะ!”

ซวย! อย่างนี้เขาเรียกซวยซับซวยซ้อน รับฝากน้องสาวเขาแล้วทำน้องเขาหาย ไม่พอยังมาเจอพี่ชายในสภาพอิหลักอิเหลือกอย่างนี้อีก!

เนตรคมกริบของท่านชายอดุลย์วิทย์ปรายมองเงาร่างโปร่งบางของลูกศิษย์ ใบหน้านวลแอร่มที่ปกติเชิดขึ้นสูงไม่กลัวสายพระเนตรกลับก้มงุด มือเรียวทั้งสองข้างจับชายกระโปรงสีอ่อนแน่น เผยให้เห็นคราบสีด่างบนผ้าได้ถนัดตา

สุรเสียงทุ้มนุ่มดังขึ้น “ทำอะไรอยู่ รุจิรดา แล้วหญิงอรเล่า?”

รุจิรดาเหลือบมองพักตร์คมคายที่ยามนี้อยู่ใต้เงามืดเพียงนิด ก่อนทูลตอบเสียงค่อย “ท่านหญิง...เต้นรำอยู่เพคะ”

ไม่รู้ว่าสำหรับพี่ชายแสนหวงที่ห้ามไปหมดกระทั่งการออกกำลังกายเล็กๆ น้อยๆ อย่างอาจารย์ของเธอ จะโกรธาสักปานใดที่รู้ว่าน้องนางออกไปลีลาศบนฟลอร์ให้เสียเหงื่อโดยที่ไม่ทันได้ห้ามปรามเลยแม้แต่น้อย

ทว่านัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนต้องรีบเงยขึ้นทันควันเมื่อได้ยินรับสั่งต่อมา “อ้อ...”

“อะไรคือ ‘อ้อ’ เพคะ?”

น้ำเสียงตกใจนั้นทำให้ทรงแย้มโอษฐ์เล็กน้อย รู้สึกสำราญอย่างไม่ได้รู้สึกมานานแสนนานแล้ว “ ‘อ้อ’ เป็นไม้ล้มลุกชนิดหนึ่ง มีรสหวาน เป็นอาหารให้ช้างได้ นำมาทำน้ำตาลได้ หรืออีกอย่างหนึ่ง ‘อ้อ’ หมายถึง...”

“หม่อมฉันทราบเพคะว่า ‘อ้อ’ หมายถึงอะไร” ลูกศิษย์สาวทูลอย่างแง่งอนโดยไม่รู้ตัวสักนิด คิ้วเรียวขมวดน้อยๆ คล้ายถูกแกล้ง “หม่อมฉันหมายความถึงที่ทรงอุทานเมื่อครู่ว่า ‘อ้อ’ ทรงตอบรับเฉยๆ ทั้งที่หม่อมฉันทูลว่าท่านหญิงทรงลีลาศอยู่นี่หรือเพคะ?”

“อย่างงั้นสิ มางานแบบนี้ จะเต้นรำสักเพลงสองเพลงไม่เห็นจะแปลก”

รุจิรดาอ้าปากค้าง ใบหน้าเหรอหรา “อ้าว...”

ทีอย่างนี้บอกไม่เห็นแปลก แล้วใครกันที่หวงน้องสาวชนิดที่ถ้าอุ้มเดินแทนได้คงทำไปแล้วน่ะ!

“อะไรคือ ‘อ้าว’ ล่ะ?”

สุรเสียงนุ่มแฝงรอยหยอกเย้าที่ทำให้รุจิรดาถึงกับต้องสบสายพระเนตรอบอุ่นอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นแววสำราญในเนตรคู่คม เธอก็อดที่จะถอนหายใจเล็กๆ ไม่ได้

ถูกหยอก ก็ดีกว่าถูกโกรธล่ะนะ ถึงแม้จะดูแปลกหน่อยที่ทรงหยอกใครเป็นด้วยก็เถอะ

“ไม่มีอะไรเพคะ ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวนะเพคะ”

“จะรีบไปไหนล่ะ” ท่านชายขยับองค์ขวางทางเดินของอีกฝ่าย แววพระเนตรฉงน แต่เมื่อดำริถึงรอยด่างบนกระโปรงตัวสวยได้ นิลเนตรก็คลายความสนเท่ห์ลง “จะไปล้างกระโปรงที่เปื้อนหรือ? เปื้อนอะไรน่ะ น้ำหวาน? หรือค็อกเทล?”

“น้ำหวานเพคะ หม่อมฉันกำลังจะเดินหาห้องน้ำพอดี ไม่ทราบว่าทรงรู้ทางบ้างไหมเพคะ?”

วรองค์สูงโปร่งขยับองค์แล้วดำเนินไป เป็นสัญญาณแกมบังคับให้อีกฝ่ายต้องเดินตามอย่างไม่อาจขัดขืน “จริงๆ แล้วฝ่าบาทไม่ต้องลำบากไปส่งหม่อมฉันก็ได้นะเพคะ”

“คฤหาสน์หลังนี้ใหญ่โตประหนึ่งเขาวงกต เดี๋ยวเธอก็หลงอีกหรอก ขนาดวังฉันเล็กกว่านี้เธอยังหลงได้เลย นับประสาอะไรกับ...”

“เป็นพระกรุณาที่ทรงนำทางแก่หม่อมฉันเพคะ หม่อมฉันซาบซึ้งมากจริงๆ”

หญิงสาวชิงเอ่ยเสียงขรึมราวกับยอมรับโดยดุษฎี น้ำเสียงแฝงรอยแง่งอนทำให้อีกฝ่ายแย้มโอษฐ์กว้างมากขึ้น

...ไม่นึกว่าการแหย่ลูกศิษย์ตัวเองให้โกรธจะเป็นเรื่องสนุกถึงเพียงนี้นี่นะ

ร่างโปร่งบางเดินตามวรองค์สูงสง่าไปอย่างเงียบๆ ท่านชายอดุลย์วิทย์ดำเนินลัดเลาะพุ่มไม้คล้ายต้องการเลี่ยงสายตาของแขกผู้ร่วมงานคนอื่น จนเมื่อใกล้ถึงห้องน้ำ ก็ทรงเบี่ยงองค์ออกด้านข้าง แล้วผายหัตถ์เปิดทางให้อีกฝ่ายอย่างขันๆ

รุจิรดาช้อนสายตามองวงพักตร์หล่อเหลาที่ยามนี้คล้ายกลับไปเป็นหนุ่มน้อยได้อย่างประหลาด แววเนตรพราวระยับรื่นเริงทำให้เธออดที่จะคลี่ริมฝีปากรับไม่ได้ หญิงสาวค้อมศีรษะ ถอนสายบัวเล็กน้อยก่อนเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว แว่วสุรเสียงทุ้มกังวานไล่หลังตามมา “จัดการธุระเธอเสียให้เรียบร้อยนะเด็กน้อย ฉันจะอยู่รอแถวๆ นี้ล่ะ”

ดูเอาเถอะ รับสั่งอย่างกับเธอเป็นเด็กจะหลงทางเอาง่ายๆ จริงๆ นั่นแหละ!

คนถูกเหมาว่าเป็นเด็กน้อยรีบชำระล้างคราบที่เปื้อนกระโปรงออกอย่างรวดเร็ว เมื่อสำรวจความเรียบร้อยของตนเองในกระจกกว้างในห้องน้ำแล้วก็ได้แต่นิ่งงัน...

มิใช่เพราะมองเห็นรูปโฉมตนเอง แต่เพราะนัยน์ตาคู่นั้น...

ดวงตาพราวระยับอย่างเปี่ยมสุขคู่นี้เป็นของเธอจริงหรือ ประกายเพชรเม็ดงามบนเนินอกยิ่งเสริมให้ประหนึ่งมีดวงดาวนับพันถักทอส่องแสงอยู่ในแก้วตาสีน้ำตาลใสคู่นี้ ยิ่งรำลึกถึงผู้ให้ซึ่งประทับอยู่ไม่ไกล ความอ่อนหวานซาบซ่านบางอย่างก็เอ่อล้นในทรวง

“บ้าแล้ว รุจิรดา เธอฟุ้งซ่านเสียแล้ว คิดอะไรไม่เข้าทีเลย”

ดวงหน้าผ่องใสเบนสายตาออกจากกระจกเสียทันควันเพราะรู้สึกได้ถึงความร้อนที่แล่นขึ้นสู่ผิวแก้ม บริเวณที่ถูกหัตถ์อุ่นหนาแตะต้องตรงท้ายทอยและบนปอยผมยังคงผ่าวร้อนดั่งทรงประทับตราเอาไว้เมื่อทรงสวมสร้อยเส้นนี้ประทานให้...

สร้อยที่ไม่รู้ว่าประวัติความเป็นมามีฉันใดกันแน่...

นัยน์ตาหวานซึ้งหม่นลงเล็กน้อย ก่อนจะก้าวออกไปจากห้องน้ำ

แล้วถูกแรงของใครบางคนฉุดรั้งเข้าไปในห้องแสนคับแคบด้านข้าง พร้อมกับปิดประตูทันควัน!

รุจิรดาเบิกตากว้าง เกือบจะกรีดร้องออกมาแล้วเมื่อได้กลิ่นอาฟเตอร์เชฟที่คุ้นจมูกกรุ่นขึ้น กระไอร้อนจากวรองค์สูงใหญ่แนบชิดเมื่อหัตถ์ข้างหนึ่งทาบปิดริมฝีปากนุ่มเอาไว้แน่น อีกข้างกลับโอบกอดร่างน้อยเข้าแนบอุระ

หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์?

เนตรสีเดียวกับรัตติกาลคู่นั้นมีแวววาบขึ้นเพียงชั่วขณะ ก่อนจะละหัตถ์จากใบหน้าอ่อนใสนั้นเมื่อเห็นแววรำลึกได้ในดวงตาสีน้ำตาลของอีกฝ่าย ดรรชนีเรียวถูกยกขึ้นแทบชิดโอษฐ์เมื่อรับสั่งแสนเบาราวกระซิบว่า

“อย่าเพิ่งออกไป มีคนมา”

“แล้ว...เหตุใดจึงออกไปไม่ได้ล่ะเพคะ?”

คิ้วเรียวขมวดจนชิด รู้สึกประหวั่นในอกเมื่อยังรับรู้ถึงความร้อนจากวรองค์สูงที่ยังไม่ยอมคลายอ้อมกรออกจากร่างเธอ

แววเนตรคมปลาบเป็นเพียงคำตอบเดียวที่ท่านชายส่งมาให้ ก่อนที่จะทรงขยับเข้าไปใกล้ประตูมากขึ้น รุจิรดาได้ยินเสียงฝีเท้าของคนสองคนแว่วเข้ามาใกล้ ก่อนจะหยุดสนทนากันด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

ขณะที่เธอยังจับต้นชนปลายไม่ถูก และยังพะวักพะวงกับความใกล้ชิดสนิทแนบในสถานการณ์แปลกประหลาด อาจารย์ของเธอกลับขมวดขนงแน่น ริมโอษฐ์เม้มสนิทอย่างขรึม ส่วนแววเนตร...โอ เธอไม่รู้จะต้องขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองมากมายสักเพียงไรหากตนเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์มีแววเนตรวาววับเฉกนั้น

ชั่ววินาทีนั้นรุจิรดาจึงรู้ได้ว่าอาจารย์ไม่เคยกริ้วเธอจริงเลยสักครั้ง

ทว่าหญิงสาวกลับสงสัย

แล้วใครกันที่ทำให้ท่านชายกริ้วถึงปานนี้หนอ...






ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ธ.ค. 2557, 02:29:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ธ.ค. 2557, 02:29:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 1578





<< บทที่ 10 [70%] + บางตอนของนิยายอีกเรื่องค่ะ   บทที่ 11 [75%] >>
wind 17 ธ.ค. 2557, 01:44:10 น.
หายไปนานจนเราต้องไล่อ่านใหม่เลยค่ะ ^^


ปณัชญา 25 ธ.ค. 2557, 21:51:49 น.
ขอโทษที่ให้รอนะค้า ตอนนี้จะกลับมาอัพแล้วเน้อ ^_^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account