ภิรมย์รัก
กุลสตรี!

รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง
หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ นั้นไม่เป็นกุลสตรี
หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง
แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้
หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษ
ต่อแต่นี้ไปก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด!

หากภาวนาไปไม่พ้นสามวัน
คนที่เธอไม่อยากพบเจออีกในชาตินี้ กลับมาเป็นอาจารย์ของเธอเอง
คราวนี้คงต้องฟังแลกเชอร์ว่าด้วย “ความเป็นกุลสตรี” เสียจนหูชาแน่ๆ
เธอต้องหาทางหนีสถานเดียว!

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
ยิ่งพยายามหนีให้ไกลจากดวงตาสีดำคูคมนั้นเท่าไหร่
กลับยิ่งเหมือนอีกฝ่ายจะไล่ตามมาไม่ปล่อยเสียอย่างนั้น!

Tags: ย้อนยุค,ศิษย์,อาจารย์,ท่านชาย,ท่านหญิง,ความรัก,พีเรียด

ตอน: บทที่ 11 [75%]

“คุณมนต์ณัฐ” แวววรรณอุทานเสียงไม่เบานัก “เพลงนี้เพลงเปิดฟลอร์ เจ้าของงานอย่างคุณควรจะอยู่กลางฟลอร์แล้วไม่ใช่หรือคะ?”

“เจ้าของงานไม่ได้มีแต่ผมคนเดียวนี่ครับ แล้วตอนแรกผมก็ไม่อยากเต้นรำด้วย แต่พอดีเห็นหญิง...ง่า...คุณ วันนี้คุณดูงดงามมาก ดังนั้นจะให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงได้ไหม?”

ดวงตาหยาดเยิ้มของหญิงสาว แม้จะเจือด้วยแววไว้ตัวอยู่บ้าง ทว่าประกายตากลับชม้ายชวนเชิญไม่น้อย

...ก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่ มนต์ณัฐเป็นเจ้าภาพงาน การที่เขาควงเธอเต้นรำกลับจะทำให้ผู้คนหันมาสนใจเธอมากขึ้น ส่วนท่าน
ชาย...เธอโดดเด่นเสียขนาดนั้น อย่างไรเสียท่านก็ต้องได้เห็นแน่ๆ

แวววรรณวางมือนุ่มลงบนมือใหญ่ที่เผยอรับ ก่อนจะปล่อยร่างอรชรให้อีกฝ่ายนำการเคลื่อนไหวบนฟลอร์ลีลาศ คู่ชายหนุ่มหญิงสาวที่งดงามสมกันทำให้คนที่อยู่รายล้อมต่างจ้องมองด้วยความชื่นชม บางคู่ก็ค่อยเคลื่อนตัวออกห่าง ยามนี้จึงกลายเป็นว่า บุตรชายท่านรัฐมนตรีผู้เป็นเจ้าของงานทั้งคู่ต่างพาสตรีในอ้อมแขนของตนเองล่องลอยพลิ้วไหวอยู่กลางลานเต้นรำ ท่ามกลางเสียงแว่วหวานของดนตรี และแสงไฟสีทองทอประกายระยิบระยับ

ท่านหญิงองค์น้อยหทัยกระตุกวูบเมื่อหมุนองค์ตามจังหวะดนตรีแล้วกลับต้องเผชิญกับสหาย ‘ทั้งคู่’
มนต์ณัฐ...กับแวววรรณ?

ชั่วจังหวะกระพริบเนตร หม่อมเจ้าหญิงอรกัญญามองเห็นประกายตาวูบหนึ่งในดวงตาสีเข้มของบุรุษผู้เป็นสหายสนิท พร้อมกับรอยยิ้มที่ทรงแปลความหมายไม่ออก ทว่ากลับทำให้ทรงรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งวรกายบอบบาง

คู่เต้นรำที่โดดเด่นที่สุดทั้งสองต่างเข้าใกล้และถอยห่างด้วยชั้นเชิงที่ไม่มีใครยอมใคร และเมื่อจังหวะหนึ่งที่ต้องหมุนตัวฝ่ายหญิง สองพี่น้องสุทธาธิกรก็สบตากัน

มนต์ชัยเผยอริมฝีปากบางออกอย่างยั่วเย้า นัยน์ตาของเขามองไม่พลาดแน่ที่เห็นแววขุ่นเคืองบางอย่างปรากฎอยู่ในตาน้องชาย...

...คล้ายๆ จะเป็นความอิจฉาล่ะนะ...

ชายหนุ่มจงใจก้มลงใกล้พักตร์งามที่หลุบเนตรลงต่ำไม่กล้าสบสายตาด้วย พร้อมกับกระซิบแผ่ว “ฝ่าบาท ประเดี๋ยวเตรียมตัวนะกระหม่อม”

คำพูดประหลาดทำให้ดวงเนตรงามเบิกกว้างเล็กน้อย แต่ก่อนที่ท่านหญิงอรกัญญาจะทันได้รับสั่งถาม มนต์ชัยก็แย้มริมฝีปากเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน ชั่วจังหวะเหวี่ยงร่างคู่เต้นให้ถอยออกไป มือใหญ่กลับปล่อยหัตถ์เล็กบาง ส่งให้วรองค์งดงามหมุนองค์คล้ายมาลีกำลังคลี่กลีบสยาย สวนทางกับมาลีอีกดอกหนึ่งซึ่งร่อนถลามาในอ้อมแขนของเขาแทน

มนต์ชัยยิ้มกว้างขึ้น ดวงตาเหลือบมองแวววรรณที่ยังคงมีสีหน้างุนงงเล็กน้อยอย่างเปี่ยมไปด้วยเลศนัย

นิลเนตรงดงามเบิกกว้างด้วยความตกพระทัยที่หัตถ์ขององค์เองหลุดมือจากคู่เต้น แต่ไม่ทันที่ท่านหญิงอรกัญญาจะทำเช่นไรต่อ บั้นพระองค์คอดกิ่วกลับถูกอ้อมแขนอบอุ่นคว้าเอาไว้มั่น พาเต้นต่ออย่างนุ่มนวล ขัดกับดวงตาที่ดังจะคุด้วยแสงไฟกองหนึ่งในนั้น

ตุ๊กตาแก้วเจียระไนของพระสหายรับสั่งสุรเสียงแผ่ว “ณัฐ”

“ทำไมไม่รอหม่อมอยู่ตรงที่หม่อมบอกให้รอล่ะ?” น้ำเสียงอีกฝ่ายไม่อาจปิดความไม่พอใจได้มิดเม้น “หม่อมตามไปหา ไม่เห็นฝ่าบาทก็ตกใจแทบตาย ใครจะรู้ว่าเผลอแวบเดียวจะมาเต้นรำกับพี่ชายหม่อมเสียแล้ว”

ริมโอษฐ์สีหวานเผยอออกเล็กน้อยคล้ายต้องการรับสั่งสิ่งใด แต่ก็ไม่ทันประโยคฉุนเฉียวถัดไปของเขาที่เอ่ยต่อเนื่องทันควัน

“รู้อย่างนี้ไม่ห่วงเสียล่ะก็ดี”

“ก็ไม่ได้บอกให้ใครต้องห่วงนี่!”

สุรเสียงที่เคยอ่อนหวานกร้าวขึ้นเล็กน้อย พอๆ กับพระอารมณ์ที่โลดขึ้นด้วยโทสะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ห่วง? นี่เขาเห็นหม่อมเจ้าหญิงอรกัญญา นฤบดินทราทิศย์เป็นเด็กสาวที่เพิ่งจะรู้จักการสมาคมสังคมอย่างนั้นหรือ? คนที่จะต้องคอยมีเชฟเพอโรนควบคุมเวลาออกงาน?

แล้วการกระทำของเขาก็สมกับที่พูดออกมาว่าเป็นห่วงเหลือเกินนี่ เพียงรุจิรดาคล้อยหลังไปไม่ถึงห้านาทีกระมัง คนที่เอ่ยออกมาเต็มปากเต็มคำว่าเป็นห่วงพระองค์ก็นั่งอยู่ไม่ติดที่ ลุกหนีทิ้งให้พระองค์ประทับอยู่เพียงลำพังเสียอย่างนั้น!

คนอย่างมนต์ณัฐ สุทธาธิกร ทรีตผู้หญิงอย่างนี้เองหรือเล่า?

ยิ่งดำริก็หทัยก็ยิ่งร้อนรุ่มด้วยโทสะ ทว่าด้วยมารยาทที่ถูกฝึกมาอย่างดีให้สมกับเป็นราชนิกูลทำให้ท่านหญิงอรกัญญาเพียงเบี่ยงองค์เองออกจากอ้อมแขนแข็งแรงของเพื่อนชาย หมายพระทัยว่าเขาจะต้องปล่อยพระองค์เป็นแน่

มนต์ณัฐทั้งขุ่นเคืองทั้งไม่เข้าใจ สำเนียงกระแทกกระทั้นอย่างนั้นเขาไม่เคยได้ยินจากวรองค์บอบบางเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งอีกฝ่ายมาดิ้นรนขัดขืนทั้งที่ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเขายิ่งยอมให้ไปไม่ได้

ดังนั้นสิ่งที่ชายหนุ่มกระทำจึงกลับเป็นตรงกันข้ามกับที่อีกฝ่ายหนึ่งดำริเอาไว้ มนต์ณัฐกระชับอ้อมแขนที่บั้นพระองค์เอาไว้แน่น เหนี่ยวให้วรกายอรชรเข้ามาจนชิดตัว ดนตรีอ้อยอิ่งเป็นทำนองน่าภิรมย์คล้ายจะช่วยส่งเสริมให้การใกล้ชิดนั้นดูเป็นไปอย่างไม่น่าเกลียด ใบหน้าคมสันก้มลงต่ำ กระซิบแผ่วเข้ากับกรรณบอบบางอย่างเชื่องช้า

“อ้อ! เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่าความเป็นห่วงของเราไม่มีค่าเสียแล้วหรือนี่ มันก็จริงอยู่” น้ำเสียงทุ้มต่ำเปลี่ยนมาเป็นระคนกลั้วหัวเราะ ทั้งที่คนพูดไม่ได้รู้สึกขบขันเลยแม้แต่นิดเดียว “ฝ่าบาทก็ไม่ได้เป็นเด็กไม่เจนสังคม ถึงไม่มีหม่อมก็คงมีผู้ชายอื่นๆ มารองบาทอยู่แล้ว อย่างพี่ชายหม่อมนั่นปะไร เพียงได้พบพักตร์แค่ครั้งเดียวก็ถึงขั้นขอเต้นรำด้วย ทั้งที่เขาน่ะแทบจะได้ฉายาว่าฤาษี ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกเสียด้วยซ้ำ จุ๊ๆ อย่าดิ้นซิกระหม่อม ประเดี๋ยวก็จะได้ตกเป็นขี้ปากคนอื่นเสียหรอก ว่าคู่เต้นรำคู่นี้เขามีเรื่องกันจนฝ่ายหญิงถึงกับต้องแยกออกไป ยิ่งถ้าเกิดใครจำได้ หรือรดามองอยู่มุมใดมุมหนึ่งนะ...”

ริมโอษฐ์บางเผยอค้างน้อยๆ ด้วยความนึกไม่ถึงว่าเขาจะกระซิบคำพูดร้ายกาจเช่นนี้ออกมาได้ พักตร์งามแอร่มเพียงจะข่มจันทร์เพ็ญซีดขาวสลับแดงก่ำ บ่งบอกว่ายามนี้ทรงกริ้วเขาถึงที่สุด

ในที่สุดหลังจากเวลาผ่านไปได้เนิ่นนานในความรู้สึกของคนทั้งคู่ ท่านหญิงอรกัญญาจึงรับสั่งเสียงเย็นเยียบ...เย็น...เสียจนมนต์ณัฐรู้สึกใจหาย “ไม่ต้องกลัวหรอก หญิงไม่ทำให้ณัฐขายหน้าแน่ๆ แล้วก็ไม่ต้องกลัวรดาจะเข้าใจผิดด้วยว่าณัฐทรีตหญิงไม่ดีพอ ไม่ว่าเมื่อไหร่หญิงก็ไม่มีทางว่าร้ายณัฐอยู่แล้ว!”

“หญิงอร...”

ชายหนุ่มกระซิบแผ่ว ความรู้สึกบางอย่างที่ซับซ้อนเหลือเกินในหัวใจทำให้เอ่ยออกไปได้แค่นั้น ครั้นดนตรีดำเนินมาถึงจังหวะหมุนตัวอีกครา และเป็นจังหวะเดียวที่เขาอยู่ใกล้คู่เต้นคนอื่น สายพระเนตรเจ็บช้ำที่ฉายชัดเตือนให้เขารั้งปลายหัตถ์น้อยเอาไว้

...แต่ไม่ทัน

ระยะห่างเพียงปลายนิ้วแตะถึงกัน ทว่าท่านหญิงคนงามกลับหมุนองค์ออกไปไกลขึ้นพร้อมกับดันแผ่นหลังของหญิงสาวคนอื่นที่บังเอิญหมุนตัวตามจังหวะเพลงมาใกล้ อีกฝ่ายหันมามองพระองค์ชั่วแวบก่อนจะเปลี่ยนเส้นทาง ร่อนถลาไปอยู่ในอ้อมแขนของบุตรชายคนเล็กแห่งสกุลสุทธาธิกรอย่างยินดี ในขณะที่องค์เองก็หมุนวรองค์เข้าหาอ้อมแขนของคู่เต้นรำคนใหม่ ร่างสูงโปร่งที่ดูแล้วน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าของวันเกิดรับหัตถ์บอบบางที่ท่านหญิงอรกัญญายื่นประทานแล้วจึงพาเคลื่อนตัวออกไปเรื่อยๆ ตามจังหวะดนตรี

“สวัสดีครับ เลดี้แสนสวยท่านนี้ ผมวิศรุต เพื่อนคณะเดียวกับณัฐครับ”

ดวงพักตร์งามแฉล้มของท่านหญิงอรกัญญาสว่างไสวไปด้วยรอยแย้มสรวล “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”

มนต์ณัฐเหม่อมองไปทางคู่เต้นรำทั้งสองที่กำลังเคลื่อนผ่านไกลออกไปเรื่อยๆ เสียงหัวเราะต่อกระซิกสดใสแว่วมาก่อนแผ่วจาง ชายหนุ่มกัดกราม ใบหน้าขรึมลงอย่างไม่รู้ตัว จนหญิงสาวคู่เต้นต้องส่งเสียงเรียกให้ออกมาจากภวังค์

“อุ้ย! คุณมนต์ณัฐ คุณบีบมือดิฉันแน่นไปหน่อยนะคะ”

เขาเอ่ยขอโทษแผ่วเบา ร่างยังเคลื่อนไหวตามจังหวะดนตรี ทว่าดวงใจจะเลื่อนลอยไปที่ใดนั้น...

...เขาไม่ทราบได้จริงๆ



รุจิรดากระพริบตาด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นสีพระพักตร์ของอาจารย์ผิดปกติ ท่านชายอดุลย์วิทย์ในยามนี้พักตร์เผือดซีดจนน่ากลัว หญิงสาวขยับตัวด้วยความอึดอัด ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาทั้งสิ้น

รอจนได้ยินเสียงฝีเท้าจากห้องด้านข้างที่ย่ำหนักๆ จากไปแล้ว ขนงเข้มที่ขมวดชิดติดกันจึงค่อยคลายออกมาบ้าง สีพระพักตร์ขุ่นข้องจนเกือบจะทุกข์ตรมทำให้หญิงสาวเกือบจะเอ่ยถามถึงความในใจของผู้เป็นอาจารย์ ทว่าท่านชายกลับเหลียวพักตร์มาหาเธอเสียก่อน

“ออกไปจากที่นี่กันเถอะ”

รับสั่งสั้นๆ เพียงเท่านั้นแล้วดำเนินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว รุจิรดาที่ยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ได้จึงได้แต่ตามเสด็จไปอย่างงงงัน นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อพบกับแสงสีพร่างพราวบริเวณงานอีกครั้ง ท่านชายทรงก้าวยาวๆ ตัดสนามแทบจะเป็นวิ่ง ร้อนถึงลูกศิษย์สาวที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยต้องรีบก้าวให้ทัน ความว้าวุ่นในหทัยที่เผยออกมาจากแววเนตรเพียงชั่วครู่ที่เธอได้เห็นทำให้รุจิรดากล้าพอที่จะยุดชายสูทของอีกฝ่ายไว้โดยเร็ว

“ฝ่าบาท!”

ดวงเนตรสีเดียวกับรัตติกาลข้างแรมที่คล้ายจะลุกจ้าด้วยเพลิงกาฬบางอย่างทำให้หญิงสาวชะงักงัน ทว่ามือน้อยยังไม่ยอมปล่อยชายฉลองพระองค์ เธอไม่เคยเห็นหม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ลืมองค์แสดงอาการเช่นนี้มาก่อน และการที่ทรงแสดงออกเช่นนี้ก็ทำให้เธอเสียขวัญ

ไม่ว่าจะทรงได้ยินอะไรมาก็ตาม หากมันเป็นสิ่งที่ทำให้ทรงหวั่นไหวถึงขนาดที่ทำให้ท่านชายต้องเผยพระอารมณ์ที่แท้จริงให้ผู้กระทำได้เห็นย่อมจะไม่เป็นการดีแน่

รุจิรดาตัดสินใจ เธอจะไม่ยอมให้ใครรู้ ‘จุดอ่อน’ ของอาจารย์เด็ดขาด

“ฝ่าบาท...อาจารย์เพคะ” หญิงสาวกลืนน้ำลาย แข็งใจทูลต่อ “พักตร์ฝ่าบาทตอนนี้...ไม่ใช่สีหน้าที่จะให้ใครเห็นได้นะเพคะ”

หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์นิ่งงัน ก่อนจะหลับเนตรลงชั่วครู่ และเมื่อดวงเนตรคมกริบลืมขึ้นอีกครา ท่านชายที่มีพระพักตร์สงบเฉยเจือรอยสรวลน้อยๆ ก็กลับมาอีกครั้ง โอษฐ์หยักได้รูปแย้มเล็กน้อยพลางรับสั่ง “แล้วตอนนี้ล่ะ ดีพอที่จะออกไปพบหน้าผู้คนได้หรือยัง?”

บางอย่างในแววเนตรที่เปล่งแสงระยับนั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า รุจิรดาผงกศีรษะน้อยๆ “เป็นอาจารย์คนเดิมของหม่อมฉันแล้วล่ะเพคะ”

“งั้นดีล่ะ” รับสั่งต่อมาเจือรอยสรวลอย่างมีเลศนัย “อาจารย์ ‘ของเธอ’ ตอนนี้คงต้องขอตัวไปหาท่านรัฐมนตรีก่อนนะ นี่ก็ดึกแล้ว คงต้องไปบอกลาท่านล่ะ”

“เพคะ”

รุจิรดาเสหลบสายตาไปทางอื่นยามที่รับสั่งคำว่า ‘อาจารย์ของเธอ’ ถูกกระแสสรวลอ่อนๆ ทำให้หันกลับมาสบเนตรพราวนั้นอีกครา “ถ้าอย่างนั้นจะปล่อยมือจากสูทของฉันได้หรือยัง”

“อ๊ะ! ขอประทานอภัยเพคะ!” มือน้อยรีบปล่อยสูทตัวงามคล้ายกับสิ่งที่ถืออยู่เป็นของร้อน เรียกรอยแย้มสรวลจากอีกฝ่ายกว้างขึ้นไปอีก วรองค์สูงสง่าเริ่มเดินอีกครั้งพร้อมกับมีร่างโปร่งบางของหญิงสาวตามไปด้วยต้อยๆ

ไม่ใช่ว่าเธอจะตามอาจารย์ไปหรอกนะ เพียงแค่ทางเดินมันทางเดียวกันเท่านั้นเอง

“อดุลย์! พี่ชายอดุลย์จริงๆ ด้วย!”

น้ำเสียงคุ้นหูที่เพิ่งได้ยินมาไม่นานทำให้หนึ่งองค์กับหนึ่งคนชะงักพร้อมกัน ครานี้สีพระพักตร์ของท่านชายอดุลย์วิทย์กลับเย็นเยียบลงจนคนยืนข้างๆ ตกใจ

ร่างงามของหม่อมเจ้าหญิงปทมวรรณดำเนินเข้ามาอย่างรวดเร็ว หัตถ์เรียวมีแก้วแชมเปญสีหวาน นัยเนตรพราวพรายจับจ้องวรองค์สูงใหญ่อย่างยินดี “โอ้ เดียร์! ดีใจจังเลยที่ได้พบชายอดุลย์อีกครั้ง”

เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น กรอ้อนแอ้นบอบบางของอีกฝ่ายก็คล้องเข้ากับกรของหม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์อย่างแนบเนียน ผู้มาใหม่เหลือบแลมาที่รุจิรดาอย่างไม่ได้ให้ความสนใจนัก แต่เมื่อเห็นว่าเป็นหญิงสาวคนเดียวกับที่ขนิษฐาของ ‘คนรู้จักเก่า’ ให้การปกป้องเป็นนักหนาก็ชะงักงัน ดวงเนตรที่เขียนขอบไว้คมกริบหรี่ลงด้วยความนัยบางอย่าง

“อ้อ เกือบลืมแน่ะ! ว่าจะถามทีเดียวว่าสตรีสาวน่ารักคนนี้เป็นใครหรือคะ? คงเป็นคนสำคัญมาก อดุลย์จึงมอบสร้อยของหญิงให้เธอใส่ในงานวันนี้”

รุจิรดาขยับตัวอย่างอึดอัด จะหนีหน้าไปเสียตอนนี้ก็ไม่ได้ แต่จะรอฟังคำตอบจากอาจารย์...ก็แปลกที่เธอไม่อยากฟังอีก

มือน้อยแตะไปที่สร้อยคอเส้นงาม หลุบดวงตาลงต่ำอย่างไม่อยากมองสิ่งใดให้แสลงตาทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นกิริยาแนบชิดสนิทสนมอย่างสาวสมัยใหม่ที่อีกฝ่ายแสดงออก หรือดวงเนตรแฝงรอยร้าวรวดที่เธอจับสังเกตเห็นได้แม้ในยามนี้

“เธอเป็นลูกศิษย์ของผมและเป็นเพื่อนของหญิงอร สร้อยเส้นนั้นเป็นผมเองที่ให้เธอยืม”

“อ้อ...” ท่านหญิงปทมวรรณลากปลายสุรเสียงยาวคล้ายจะล้อเลียน “อย่างนี้นี่เอง หญิงนึกไปเสียไกล ว่าบางทีอดุลย์อาจจะลืมหญิงไปเสียแล้วจึงประทานสร้อยเส้นนี้ให้คนอื่น แท้จริงแล้วมันก็ยังเป็นสร้อย ‘ของหญิง’ อยู่อย่างเดิมนั่นเอง ไปค่ะ อดุลย์ ได้ไปคุยกับท่านรัฐมนตรีช่วยหรือยังคะ ไปกับวรรณดีกว่าค่ะ”

“อาจารย์เพคะ” รุจิรดาเอ่ยเสียงเรียบ “หม่อมฉันขอตัวไปหาท่านหญิงอรกัญญาก่อนนะเพคะ บังคมเพคะ ท่านหญิง”

ไม่รอให้ใครเอ่ยอะไรอีก รุจิรดาก็เร่งฝีเท้าก้าวยาวๆ ให้ไกลจากร่างของชายหล่อสาวงามคู่นั้นโดยไม่หันกลับไปมองอีก

ปล่อยให้คนที่ดูจะ ‘สนิทสนม’ กันเสียมากมายคุยกันให้สมอุราทั้งคู่เถอะ!

หญิงสาวเดินมาจนถึงขอบฟลอร์เต้นรำอย่างรวดเร็ว ดนตรีท่อนสุดท้ายแผ่วจางไปในอากาศ ร่างโปร่งบางยืนนิ่ง เหม่อมองความงดงามเบื้องหน้าคล้ายถูกมนต์สะกด ทว่าสิ่งที่ปรากฎในสายตากลับมิใช่คู่เต้นรำที่ต่างพากันเคลื่อนคล้อยอย่างงดงามยามลีลาศ แต่กลับเป็นร่างระเหิดระหงในชุดสีไพลินน้ำงาม กับวรองค์สูงสง่าที่มีนิลเนตรคมกริบ

รุจิรดาสั่นศีรษะเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลใสหรี่ลงเมื่อพยายามข่มความขุ่นข้องบางอย่างในอกให้เป็นปกติ

ไม่! เธอ – ไม่ – ได้ – อยาก – รู้ – เรื่อง – ของ – อาจารย์ แม้แต่นิดเดียว!

หญิงสาวกระพริบตาอีกครั้งเมื่อเห็นร่างบอบบางในชุดสีชมพูอ่อนเดินเกือบจะเป็นวิ่งออกมาจากฟลอร์ เกือบจะปล่อยให้ร่างน้อยนั้นผ่านตนเองไปแล้วเมื่อจำได้ว่าร่างนั้นคือตุ๊กตาแก้วเจียระไนของเธอเอง

“หญิงอร!”

น้ำเสียงตื่นตกใจของรุจิรดาทำให้ท่านหญิงอรกัญญาชะงักงัน พักตร์งดงามเหลียวมาช้าๆ เมื่อสบสายตากับสหาย หญิงสาวก็อุทานแผ่ว

“หญิงอร...เป็นอะไรเพคะ?”

“รดา...”

ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ฝีเท้าร้อนรนก็ดังตามมาติดๆ รุจิรดาหันไปมองก็เห็นเพื่อนหนุ่มของตนเองที่มีสีหน้าเคร่งขรึมเดินตรงมา

...ไม่ได้การแล้ว...

หญิงสาวอ้าปาก กำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงส้นสูงที่เดินฉับๆ ตรงมาด้วยความคล่องแคล่ว

“อ้าว มาอยู่ที่นี่กันทั้งสามเกลอเลยเชียว” น้ำเสียงแวววรรณเริงรื่น “เต้นรำเมื่อครู่สนู๊ก...สนุกจังนะคะ เดี๋ยวรอจังหวะเร็วๆ แล้วค่อยไปเต้นอีกรอบดีกว่า ว่าแต่ ไม่เห็นเธอเต้นรำเลยนี่ รดา? หรือว่ายังเต้นไม่เป็นจ๊ะ?”

สีหน้าแวววรรณคล้ายสนุกสนานกับความอึดอัดตรงหน้า รุจิรดาขยับจะเอ่ย แต่บุรุษอีกคนหนึ่งก็เดินตามมาสมทบพอดี

ดวงตาสีน้ำตาลใสมองคนมาใหม่อย่างสนใจ ดวงหน้าที่คลับคล้ายคลับคลามนต์ณัฐทำให้เธอเดาว่าน่าจะเป็นญาติฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งของเขาเป็นแน่

เพื่อนชายของเธอเหลือบมองพี่ชายของตนเองด้วยแววตาประหลาด ก่อนเอ่ย “ขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักอย่างเป็นทางการ นี่พี่ชายผม บุตรชายคนโตของท่านรัฐมนตรี มนต์ชัย สุทธาธิกร หนุ่มนักเรียนนอกอนาคตไกลที่กำลังจะเข้าประจำกระทรวงในเร็ววันนี้ พี่ชัย นี่เพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัยของผมเอง รุจิรดา นฤมาศบดินทร์ แวววรรณ วรรณวิจักษณ์ บุตรสาวท่านรัฐมนตรีคลัง นี่...หม่อมเจ้าหญิงอรกัญญา นฤบดินทราทิตย์”

ไม่รู้ว่าอุปาทานไปเองหรือเปล่า แต่แปลก...น้ำเสียงของมนต์ณัฐยามที่เอ่ยพระนามเต็มของท่านหญิงองค์น้อยฟังดูกระด้างชอบกล และท่านหญิงอรกัญญา ถ้าดูไม่ผิด พักตร์งามก็คล้ายจะเผือดสีลงเช่นเดียวกัน

รุจิรดาเริ่มจับความไม่ชอบมาพากลในบรรยากาศได้รางๆ ร่างโปร่งบางขยับเข้าไปใกล้ตุ๊กตาแก้วเจียระไนของตนเองเล็กน้อย ก่อนคว้าหัตถ์เย็นเฉียบ ชื้นด้วยพระเสโทมาจับเอาไว้แน่น

นิ้วหัตถ์เรียวเกาะเกี่ยวกลับมาแน่นอย่างขอบคุณ

ชายหนุ่มผู้มาใหม่ส่งยิ้มอ่อนๆ ให้กับหญิงสาวทั้งสาม ดวงตาแวววาวหยุดนิ่งอยู่ตรงวรองค์บางนานกว่าคนอื่นชั่วครู่ “ยินดีที่ได้รู้จัก ‘ตัวจริง’ เพื่อนๆ นายนี่มีแต่คนหน้าตาดีทั้งนั้นเลยนะ”

ท้ายประโยคมนต์ชัยหันไปพูดกับน้องชายตนเอง แล้วจึงหันกลับมาพิจารณารุจิรดาด้วยดวงตาเปล่งประกาย “คุณรุจิรดานี่ใช่น้องสาวของพันตำรวจโทดนัย นฤมาศบดินทร์หรือเปล่าครับ”

รุจิรดาแย้มน้อยๆ “ค่ะ คุณรู้จักพี่ชายดิฉันด้วยหรือคะ?”

“เขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมเชียวล่ะครับ ตอนที่อยู่มัธยมต้นด้วยกัน” ชายหนุ่มค้อมศีรษะให้น้องสาวเพื่อนเล็กน้อย ดวงตาดำสนิทหม่นแสงลง “ตอนที่รู้ข่าวอุบัติเหตุของเขา...ผมเสียใจจริงๆ ตอนนั้นผมทำมหาบัณฑิตอยู่ในช่วงสุดท้าย มาไม่ได้จริงๆ ไม่คิดเลยว่าเขาจะด่วนจากไปอย่างนี้ คุณเป็นน้องสาวของเขา เท่ากับเป็นน้องสาวของผมด้วย มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เลยนะครับ”

“ขอบคุณค่ะคุณมนต์ชัย” หญิงสาวพึมพำอย่างซาบซึ้ง

“เรียกผมว่าพี่ชัยเถอะ ผมก็จะเรียกคุณว่าน้องรดาเหมือนกัน ดีไหม?”

ริมฝีปากบางเผยยิ้มกว้าง “ค่ะ พี่ชัย รดาฝากตัวด้วยนะคะ”

“กลายเป็นการพบหน้าพี่น้องกันไปเสียอย่างนั้น” น้ำเสียงสูงของแวววรรณเอ่ยขัดอย่างขำขัน “ดีจังเลยนะ รดา มีพี่ชายเป็นบุตรชายท่านรัฐมนตรีเนี่ย อีกหน่อย...”

“อยู่นี่เอง ทั้งสองคน”

สุรเสียงทุ้มของหม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ทำให้แวววรรณเงียบเสียงไปในบันดล หญิงสาวหันไปหาวรองค์สูงสง่าที่ไร้เงาหม่อมเจ้าหญิงคนงามเดินเข้ามาสมทบพร้อมยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อย “พี่ชายดุลย์ กราบบังคมเพคะ”

ท่านชายทรงพยักพักตร์ทักทายกลับ ก่อนหันมาหาขนิษฐาที่ยืนนิ่ง พักตร์เซียวอย่างเห็นได้ชัด แววเนตรกังขาหันมามองรุจิรดาปราดหนึ่ง แล้วจึงรับสั่ง “นี่ก็ดึกแล้ว เห็นทีจะได้เวลากลับแล้วกระมัง ว่าอย่างไรหญิงอร รุจิรดา?”

ตุ๊กตาแก้วเจียระไนของรุจิรดาแย้มสรวลฝืดเฝื่อน “จริงด้วยค่ะ นี่ก็ดึกแล้ว พรุ่งนี้หญิงมีเรียนเช้าด้วย รดา...”

“มาด้วยกันก็กลับด้วยกันสิเพคะ” หญิงสาวยิ้มหวาน หันมาหาเจ้าภาพทั้งสอง “พี่มนต์ชัย ณัฐ ถ้าอย่างไรเราขอตัวก่อนนะ สุขสันต์วันเกิดอีกครั้งนะณัฐ และพี่มนต์ชัย ยินดีที่ได้กลับบ้านค่ะ”

สุทธาธิกรคนพี่ค้อมศีรษะรับอย่างนุ่มนวล ต่างจากคนน้องที่ยังคงสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย แวววรรณรีบเอ่ย “หม่อมฉันก็ว่าจะกลับเลยเหมือนกันเพคะพี่ชายดุลย์ ถ้ายังไง...”

“กลับด้วยกันเสียเลยสิ แวววรรณ” หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์รับสั่งชวนสุรเสียงกังวาน “ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องขอตัวก่อน ให้สุภาพสตรีเขาได้พักผ่อนเสียทีนะ อ้อ ไม่ต้องเดินไปส่งก็ได้ เราบอกให้คนรถมารอเรียบร้อยแล้ว รับรองแขกในงานไปเถอะ”

“กระหม่อม”

ชายหนุ่มสองพี่น้องค้อมศีรษะน้อมส่งเสด็จพร้อมกัน เมื่อลับร่างวรองค์สูงพร้อมกับกลุ่มหญิงสาวแล้ว มนต์ณัฐก็หันมาขึงตาใส่พี่ชายตนเอง แล้วเดินเข้าไปในงานอย่างมึนตึง

มนต์ชัยยิ้มเยือน ดวงตาฟุ้งไปด้วยรอยขำขันอยู่อย่างนั้น

.........................................

ตอนนี้ยาวมาก ขอแบ่งพาร์ทลงอีกทีหลังเที่ยงคืนนะคะ ^_^



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ธ.ค. 2557, 21:27:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ธ.ค. 2557, 21:28:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 1462





<< บทที่ 11 [50%]   บทที่ 11 [100%] >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account