จุมพิตนิทรา
"หากได้พบเธอแค่เพียงในฝัน ฉันก็ปรารถนาจะหลับใหลไปชั่วกาล"

นราภัทร วิศวกรคอมพิวเตอร์สาวมั่นที่ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยเชื่อเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ
แต่หลังจากไปไหว้พระตรีมูรติ เธอก็ได้พบกับคนที่มาเปลี่ยนแปลงชีวิตเธอ
"เขา" ทำให้เธอยิ้ม ทำให้เธอหัวเราะ ทำให้เธอมีความสุขได้
แต่ "เขา" อยู่แต่ในความฝันของเธอเท่านั้น
นราภัทรแค่ฝันไป? หรือ เขาคือเนื้อคู่ที่สวรรค์ประทานลงในให้?

Tags: โรแมนติก,ดราม่า,ความฝัน,รักในฝัน

ตอน: บทที่ 4/2

นราภัทรมองผู้คนที่ทยอยออกจากห้องประชุมอย่างประหลาดใจ ปกติแล้วพอมีประชุมกับเหล่าดอกเตอร์ทีไร ไม่เคยได้กลับก่อนสองทุ่ม แต่หนนี้ไม่รู้มีอะไรดลใจ การประชุมบอร์ดบริหารเพื่อเสนอโครงการต่างๆ จึงราบรื่นมาก ดอกเตอร์ทั้งหลายไม่ค่อยมีข้อแนะนำซักถาม ส่วนใหญ่พยักหน้าแล้วยอมให้ผ่าน ทั้งที่ปกติหากมีจุดผิดพลาดเล็กน้อยจะเถียงกันยาวเป็นชั่วโมง แถมยังเลิกก่อนเวลาไปถึงหนึ่งชั่วโมง ตั้งแต่เธอทำงานที่นี่มา นี่เป็นหนแรกที่ได้เลิกงานก่อนห้าโมงเย็น นราภัทรเชื่อว่าหากวันนี้จะมีหิมะตกในเมืองไทย เธอก็จะไม่แปลกใจเลย

‘ได้กลับบ้านก่อนหนึ่งชั่วโมง ไปทำอะไรดีนะเรา’

ภาพยูนิคอร์นสีขาวอันงดงามโผนทะยานกลางทะเลเมฆสีฟ้าผุดขึ้นมาในห้วงความคิด

หญิงสาวแทบไม่ต้องใคร่ครวญอีกเลย เธอมองนาฬิกาแล้วรีบคำนวณเวลาทันที ถ้าเธอรีบขับรถเสียหน่อย น่าจะไปถึงแกลเลอรีใจกลางเมืองก่อนหนึ่งทุ่มซึ่งเป็นเวลาปิดทำการ จึงรีบเก็บข้าวของทันใด

นราภัทรเกิดอยากรู้ขึ้นมาว่า นิทรรศการภาพวาดนั้นจะเหมือนอย่างที่เธอฝันไว้หรือไม่ ถ้าไม่เหมือนกับที่เธอฝัน ก็แปลว่าเมื่อวานเธอทำเรื่องบ้าๆ ลงไปแล้วนั่นเอง

“น้องน้ำริน ไปกินข้าวเย็นกันไหม เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง” พอออกจากห้องมาได้ นราภัทรก็ถูกบริพัทธ์ประกบอย่างไม่ทันตั้งตัว

“ขอโทษค่ะพี่บี ไว้โอกาสหน้าแล้วกันเนอะ วันนี้น้ำมีธุระพอดีเลย” หญิงสาวพยายามพูดไม่ให้เขาเสียน้ำใจ ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าหากไม่มีคนอื่นในฝ่ายไปด้วย เธอจะไม่ไปกินข้าวกับเขาสองต่อสองเด็ดขาด เดี๋ยวเขาจะเผลอคิดไปว่าเธอมีใจให้

“งั้นเหรอ” ท่าทางบริพัทธ์เสียดายมากเพราะเขาทำท่าจะเอ่ยปากต่อ แต่นราภัทรจึงชิงตัดบทก่อน

“ขอโทษค่ะพี่บี น้ำขอตัวก่อนนะคะ” ว่าแล้วนราภัทรก็จ้ำอ้าวไปกดลิฟต์ทันที แต่ดูเหมือนจะไม่ทันใจเลยเดินลงบันไดไปเสียเลย เนื่องจากห้องประชุมอยู่แค่ชั้นสามเท่านั้น

บริพัทธ์มองตามหลังเธอไปอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรีบร้อนขนาดนั้น


แม้ว่าในช่วงเย็นวันศุกร์จะรถติดวินาศสันตะโรแค่ไหน แต่นราภัทรก็มาถึงแกลลอรีใจกลางเมืองได้ในเวลา 6 โมง 45 นาที เหลืออีกแค่ 15 นาทีเท่านั้นแกลเลอรีก็จะปิดทำการแล้ว

พนักงานของแกลเลอรีซึ่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์นึกไม่ถึงว่าจะมีคนมาดูภาพวาดในอีกสิบกว่านาทีสุดท้ายเหมือนกัน

“นิ...ทรรศการห้องหมายเลขสองยัง...ดูได้อยู่หรือเปล่าคะ” หญิงสาวเอ่ยถามติดๆ ขัดๆ เพราะเหนื่อยหอบจากการวิ่งหน้าตั้งจากลานจอดรถมายังตัวอาคาร

“ได้ค่ะ รีบหน่อยนะคะ อีกแค่ 10 นาทีที่นี่ก็จะปิดแล้วค่ะ” พนักงานแกลเลอรีดูนาฬิกาข้อมือดูแล้วชี้ไปที่ห้องจัดนิทรรศการ โดยลืมให้นราภัทรเซ็นชื่อในสมุดเยี่ยม

ได้ยินดังนั้นวิศวกรสาวก็รีบสาวเท้ายาวๆ เดินไปยังห้องนิทรรศการหมายเลขสอง เมื่อเข้ามาได้ ภาพแรกที่เห็นคือภาพเด็กหญิงผมสีทองยื่นดอกไม้ให้อย่างที่เธอฝันไว้ นราภัทรชะงักไปเล็กน้อย ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง

ทั้งๆ ที่ไม่เคยมาที่นี่มาก่อน แล้วนิทรรศการนี้ก็ลงภาพไว้โฆษณาแค่ภาพม้ายูนิคอร์นกรอบเล็กๆ ภาพเดียวเท่านั้น แล้วทำไมเธอถึงได้รู้ล่ะว่าภาพแรกที่เห็นจะเป็นภาพอะไร ภาพต่อๆ ไปนั่นก็ด้วย...ภาพที่สองเป็นภาพเนินหิมะสีขาว มีต้นไม้เล็กๆ ออกดอกสวยงามอยู่ต้นหนึ่ง ภาพที่สามเป็นภาพทิวทัศน์ผืนฟ้ากว้างใหญ่และทุ่งหญ้าสีเขียว...

เหมือนในฝันทุกประการเลย!

ระหว่างที่ฉงนสนเท่ห์อยู่นั้น นราภัทรก็ต่อไปเรื่อยๆ ตามทางเดินที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสีขาว ก่อนจะไปหยุดยังบริเวณก่อนเข้าช่วงสุดท้าย...หัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ อดไม่ได้ที่จะคาดหวังให้มีใครคนหนึ่งรออยู่ที่ปลายทาง แต่เมื่อโผล่หน้าไปมองก็พบเพียงความว่างเปล่า ปราศจากเงาคนที่เธอค้นหาอยู่

ความตื่นเต้นจางหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน หญิงสาวหัวเราะออกมาเบาๆ ในเสียงหัวเราะสั้นๆ นั่นมีความผิดหวังแฝงอยู่

เธอเดินไปหยุดยืนหน้าภาพวาดม้ายูนิคอร์น ก่อนจะงึมงำออกมาอย่างไม่รู้ตัว “คุณมีตัวตนจริงๆ หรือเปล่านะ”

นราภัทรยืนนิ่งอยู่หน้าภาพนั้นจนกระทั่งเจ้าหน้าที่เดินมาแจ้งว่าหมดเวลาแล้ว เธอจึงเดินออกมาโดยมีเป้าหมายต่อไปที่ร้านหนังสือต้นอักษร แต่แล้วก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสาวเสียก่อน จึงเปลี่ยนทิศไปยังสถานที่นัดใหม่แทน

.........................................

นราภัทรนั่งมองเพื่อนสาวอยู่ในร้านเหล้าแห่งหนึ่งในตรอกข้าวสาร ซึ่งตอนนี้กำลังคว้าแก้วเหล้ายกขึ้นดื่มอั้กๆ

ใจจริงแล้วนราภัทรไม่อยากแตะต้องแอลกอฮอล์นักจึงไม่อยากมาที่นี่ แต่เพราะน้ำเสียงของพชิรดาฟังแล้วเศร้าๆ เธอจึงไม่อยากปล่อยเพื่อนไว้คนเดียว กลัวจะเกิดเรื่องหากพชิรดาไปเมาหัวทิ่มโดยไม่มีใครดูแล

เย็นวันศุกร์ คนในร้านค่อนข้างมาก แต่เพราะพชิรดามาจองไว้ก่อนแล้วจึงไม่ต้องรอที่ว่าง บนโต๊ะมีขวดเหล้าและถังน้ำแข็งวางไว้แล้ว นราภัทรประเมินจากปริมาณเหล้าที่เหลืออยู่เกือบเต็มขวด คิดว่าเพื่อนเพิ่งดื่มไปได้ไม่เท่าไร แต่บนโต๊ะไม่มีอาหารเลย เธอจึงสั่งสปาเกตตีเบคอนผัดพริกแห้งกับเปาะเปี๊ยะกุ้งสดซอสส้มมาดับเสียงครวญครางของท้องเธอก่อนแล้วสั่งเครื่องดื่มเป็นน้ำอัดลม เพราะเธอขับรถมาจึงมีข้ออ้างที่จะไม่ต้องดื่มเหล้า และแม้ว่าพชิรดาจะอยากได้คนดื่มเป็นเพื่อน แต่ก็ไม่ได้คะยั้นคะยอเพื่อน

“เกิดอะไรขึ้น” นราภัทรเริ่มเรื่องระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ แม้พชิรดาจะแต่งหน้ามาอย่างดี แต่เพื่อนสนิทอย่างนราภัทรก็มองออกว่าก่อนหน้านี้เจ้าตัวคงร้องไห้มา

พชิรดาซึ่งมีสีหน้าหมองเศร้าไม่ตอบคำถาม แต่กลับย้อนถามว่า “ฉันมันไม่ดีตรงไหนวะน้ำ ทำไมพวกผู้ชายที่ฉันคบด้วยแต่ละคนถึงหาคนรักเดียวใจเดียวไม่ได้เลย”

นราภัทรถอนหายใจหนักๆ ในแง่ของความเป็นเพื่อนแล้ว ข้อเสียของพชิรดามีสองข้อคือเอาแต่ใจกับโมโหร้าย นอกนั้นแล้วพชิรดาก็เป็นคนดีคนหนึ่ง นิสัยก็ดี ไม่ทำตัวเป็นคุณหนูเจ้ายศเจ้าอย่าง ไม่งั้นนราภัทรคงทนคบไม่ได้แน่ และความที่เป็นคนสวยจึงมีคนเข้ามาจีบพชิรดามากมาย แม้จะประกาศตัวว่ามีคนรักแล้วก็ตาม แต่พชิรดาก็ไม่เคยนอกใจคนรักที่คบหาอยู่สักครั้ง เป็นเรื่องแปลกจริงๆ ที่พชิรดาโดนคนรักนอกใจอยู่ทุกครั้งไป

“เพราะฉันแก่เหรอ ถึงสู้อีเด็กนั่นไม่ได้” หญิงสาวเริ่มฟูมฟาย

“เฮ้ยๆ อายุแค่จะสามสิบเท่านั้นเอง อย่ามาพูดเหมือนอายุสักหกสิบหน่อยเลย” นราภัทรไม่เห็นด้วย

“ไม่ใช่แค่ ฉันกับแกเกือบจะสามสิบแล้วต่างหาก ตั้งสามสิบ!” พชิรดาแย้งขึ้นมาด้วยอาการประสาทเสียพร้อมกับย้ำให้เพื่อนสาวรู้ตัวด้วยว่า กำลังจะย่างเข้าสู่เลขสามแล้ว แต่นราภัทรไม่สะดุ้งสะเทือน

“ฉันว่าแกเลิกมองอายุแล้วมามองตัวเองดีกว่านะ แกยังสาว แถมยังเป็นสาวสวยด้วย แกจบปริญญาโท ฐานะทางการเงินก็ดี ทำไมต้องไปคิดเปรียบเทียบกับเด็กนักศึกษาไร้หัวคิดบางคนที่ชอบแย่งแฟนชาวบ้านล่ะ เราดีอยู่แล้วจะเอาตัวเองไปเทียบกับของเสียๆ ทำไม ฉันเห็นแกนิ่งมาได้ตั้งสองสัปดาห์ ก็นึกว่าตัดชัชได้แล้วซะอีก ทำไมวันนี้จิตตกซะได้ล่ะ” นราภัทรวิจารณ์คู่กรณีของเพื่อนสาวอย่างไม่มียั้ง

“วันนี้เป็นวันครบรอบที่คบกัน แล้วชัช...ก็มาขอคืนดีพร้อมกับแหวนแต่งงาน” พชิรดาตอบเสียงอ่อยๆ

วิศวกรสาวเบิกตาโต “มันทำกับแกไว้ขนาดนั้นอ้ะนะ ยังกล้ามาหาแกอีกเหรอ”

“อือ ชัชมาบอกว่าเขาผิดไปแล้ว เขาแค่หลงผิดไปชั่ววูบ” พชิรดาตอบอย่างซังกะตาย

“นี่แกคงไม่ได้กินหญ้าใช่ไหม แพรว”

พชิรดาเหลือกตาค้อนใส่เพื่อนหนึ่งทีก่อนจะตอบ “ฉันไม่ได้กินหญ้า เพียงแต่ว่า...ฉันก็จะสามสิบแล้วนะแก จริงๆ ปลายปีนี้ก็ว่าจะคุยเรื่องแต่งงาน ฉันรักเด็ก แกก็รู้ ฉันอยากมีลูกช่วงนี้ ไม่อยากมีลูกตอนแก่น่ะ”

“นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะกลับไปคืนดีกับผู้ชายที่ ‘นอกใจ’ แกตั้งแต่ยังไม่แต่งงานหรอกนะ” นราภัทรย้ำตรงจุดสำคัญ

“ใช่...ไม่ใช่เหตุผลเลย ไม่ใช่แม้แต่นิดเดียว” สาวสวยหมวยเอ็กซ์เบ้ปากแล้วสะอื้นออกมา ก่อนจะปล่อยให้น้ำตาไหลอาบสอง
แก้ม “แต่พอฉันไปไหนก็เห็นแต่ภาพที่เคยไปกับชัช เคยทำอะไรร่วมกับเขา เขาพูดอะไรไว้ วางแผนอนาคตของเราไว้ว่ายังไง บอกว่าจะมีลูกกี่คน แต่พออีเด็กนั่นเข้ามา ทุกอย่างก็พังทลายหมด”

พชิรดายกสองมือขึ้นปิดหน้าร่ำไห้

นราภัทรรู้สึกว่าโชคดีที่เลือกที่นั่งหัวมุมซึ่งไม่ค่อยมีคนผ่านไปผ่านมานัก

“แกจะโทษแต่ฝ่ายหญิงอย่างเดียวก็ไม่ถูกนะ ถ้าผู้ชายไม่เล่นด้วย มันก็ไม่เกิดกรณีที่ทำให้แกช้ำใจหรอก”

“แต่ถ้าไม่มีมัน ป่านนี้ฉันอาจจะกำลังนั่งเลือกชุดแต่งงานอยู่ก็ได้”

“แล้วแกก็แต่งงานไปกับคนที่แกคิดว่าเขาดีจริง พอแกเป็นภรรยาของเขาแล้ว ค่อยพบว่าเขาเจ้าชู้หลายใจ ฟันเด็กฝึกงานงั้นเหรอ อันที่จริงมีเด็กนี่เข้ามาก็ดีนะ แกจะได้เห็นลายที่ผู้ชายของแกซ่อนไว้ มีคนที่หนึ่งได้ ก็ต้องมีคนที่สองได้ เชื่อฉันไหมว่าสันดานเจ้าชู้น่ะมันไม่มีทางหยุดกันได้ง่ายๆ หรอก”

พชิรดาเอาแต่ร้องไห้ ไม่ตอบกลับมาสักคำ

“ฉันรู้ว่าแกร้อนรนอยากรีบมีสามี เพราะตัวแกเองขีดเส้นตายไว้ว่าสามสิบฉันต้องแต่งงาน สามสิบเอ็ดฉันจะมีลูก แต่บางครั้งชีวิตคนเราก็ไม่เป็นไปอย่างที่ปรารถนาเสมอหรอกแพรว ถ้าแกอยากจะกลับไปหาชัช เพื่อให้เขาทำให้แกสมปรารถนาตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในชีวิตก็ตามใจแกแล้วกัน ฉันไม่อยากจะชี้นำอะไรมากมาย โตๆ กันแล้ว คิดเองแล้วกันว่า ถ้าเกิดเจอผู้หญิงบนเตียงแฟนแกอีก จะเป็นยังไง”

“ยิงมันให้ตายคาเตียงทั้งคู่” พชิรดาเงยหน้ามองเพื่อนสาวตาขวาง

ได้ฟังคำตอบแล้วนราภัทรก็ถอนหายใจพลางส่ายหน้า ถึงจะรู้ว่าเอาเข้าจริงพชิรดาคงไม่ทำถึงขั้นฆ่าแกงกัน แต่เรื่องเลือดตกยางออกคงมีแน่

“เฮ้อ ยังไม่เจอเหตุการณ์จริงก็กะจะก่อคดีขึ้นมาเสียแล้ว ในเมื่อมันมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้น แกจะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงทำไม ติดคุกมันคุ้มเหรอ กับอีแค่ชีวิตผู้หญิงผู้ชายเลวๆ คู่หนึ่ง สู้แกอยู่เป็นโสดให้ผู้ชายมารุมจีบเล่นยังดีกว่า แกอยู่ในฐานะเลือกได้นะแพรว ตอนนี้ก็ยังมีเวลา จะแต่งงานทั้งทีทำไมต้องแต่งกับผู้ชายที่เป็นของเหลือเดนจากยายเด็กฝึกงานนั่นด้วย” ปากบอกว่าไม่อยากชี้นำ แต่นราภัทรก็เน้นข้อเสียของฝ่ายชายเต็มๆ

“เมื่อกี้แกถามว่าตัวแกเองไม่ดีตรงไหน ฉันในฐานะที่คบกับแกมานานมากขอบอกเลยว่า นอกจากโมโหร้ายเกินไป แกเป็นแกแบบนี้ก็โอเคแล้ว แทนที่จะถามว่าตัวเองไม่ดีตรงไหน แกมองชัชใหม่แล้วถามตัวเองว่า แกเป็นผู้หญิงที่ดีขนาดนี้ แล้วชัชดีพอหรือยังสำหรับแก”

“น้ำ ฉันรักแกจัง” เพื่อนสาวมองนราภัทรด้วยความซาบซึ้งใจ บางทีเธอคงอยากได้ยินใครสักคนบอกว่า เธอเองก็ดีอยู่แล้ว ไม่ใช่ผู้หญิงมีข้อด้อยจนถูกคนรักนอกใจบ่อยๆ

นราภัทรยื่นทิชชูให้เพื่อนหลายแผ่นก่อนจะถามใหม่ “ตกลงชัชดีพอสำหรับแกเหรอ”

“ไม่! ฉันไม่เอาคนนอกใจมาทำสามีเด็ดขาด” พชิรดาหยิบทิชชูมาซับน้ำตาแล้วสั่งน้ำมูกตบท้าย

“อื้อ ก็มีคำตอบแล้วนี่ ดังนั้นต่อไปก็เลิกคิดถึงอดีต เดินหน้าสู่อนาคตใหม่ที่สวยงามกว่าเก่าก็พอ” วิศวกรสาวเอื้อมมือไปตบไหล่เพื่อนรักที่นั่งตรงข้ามเบาๆ

“แล้วถ้าฉันไม่ได้แต่งงานล่ะ” สาวหมวยเงยหน้าขึ้นถาม แอบกังวลว่าท้ายสุดแล้วตัวเองจะไม่มีสามี

“เดี๋ยวฉันอยู่บนคานเป็นเพื่อนแกเอง ไม่เหงาแน่นอน”

พชิรดาคว้ามือเพื่อนรักไปกุมเอาไว้ “น้ำ แกแต่งงานกับฉันเถอะ”

“ไอ้บ้า ดื่มไปไม่กี่แก้วก็เมาซะแล้ว” นราภัทรว่าเข้าให้แล้วตีหน้าผากของเพื่อนสาวเบาๆ

“แกแมนแบบนี้ ฉันหวั่นไหวนะ” พชิรดาเริ่มอารมณ์ดีจนพูดเล่นได้

“เสียใจจริงๆ ที่ฉันไม่หวั่นไหวไปกับความขาวสวยหมวยเอ็กซ์ของแก”

“ฉันสวยขนาดนี้ ยังไม่ดีพอสำหรับแกตรงไหนฮะน้ำ”

เพราะเห็นว่าเพื่อนสาวกลับมาพูดเล่นได้แล้ว นราภัทรจึงหัวเราะออกมาพร้อมกับชี้ทางไปห้องน้ำ

“เลิกพูดเล่นแล้วไปเข้าห้องน้ำไป เช็ดหน้าเช็ดตาซะ ดีนะที่มาสคารากันน้ำ ไม่งั้นป่านนี้หน้าแกเละแล้ว”

“เออว่ะ แย่แล้ว หน้าฉันกลายเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย” พชิรดานึกขึ้นได้จึงรีบหยิบกระเป๋าถือขึ้นมาแล้วกระวีกระวาดไปห้องน้ำ

บริกรนำอาหารที่สั่งไว้มาเสิร์ฟพอดี นราภัทรไม่รอเพื่อน ตักกินก่อนเลยพลางคิดว่า เสาร์อาทิตย์นี้น่าจะชวนพชิรดาไปค้างที่บ้านต่างจังหวัดด้วย จะได้ไม่ฟุ้งซ่านแบบนี้อีก และยังได้เปลี่ยนบรรยากาศไปในตัว พาไปไหว้พระด้วยก็น่าจะดี ถือโอกาสให้เพื่อนไหว้เอาฤกษ์เอาชัยก่อนเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ปราศจากผู้ชายหลายใจ

ระหว่างนั้นนราภัทรก็เปิดโทรศัพท์ขึ้นมาดู แต่ไม่มีสายเรียกเข้าจากเด็กหนุ่มที่ชื่อบอยเลย

...................................................

กว่าจะจัดการงานบ้านเสร็จเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงบ่ายแล้ว นราภัทรถึงได้หอบเอาเพื่อนสาวไปบ้านเกิดที่จังหวัดฉะเชิงเทราด้วยกัน แม้พชิรดาจะเคยไปบ้านของนราภัทรแล้ว แต่เธอก็รู้สึกมีความสุขที่ได้ไปในที่ที่ไม่มีความทรงจำร่วมกับคนรักเก่า และอาจด้วยคำพูดของนราภัทรเมื่อคืนทำให้พชิรดาสดชื่นขึ้นมาก ดูเหมือนจะพร้อมกับการตั้งต้นชีวิตใหม่

วิศวกรสาวขับรถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่เข้ามาจอดใต้ถุนบ้านในเวลาประมาณเกือบบ่ายสี่โมงเย็น

บ้านของนราภัทรเป็นบ้านเรือนไทยใต้ถุนสูง ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยคุณย่า ได้ต่อเติมขยับขยายจนเรือนมีขนาดใหญ่ขึ้นในรุ่นของนายสินผู้เป็นบิดาของเธอ เนื่องจากสมัยก่อนชุมชนที่นี่สัญจรทางเรือ จึงหันหน้าตัวเรือนออกไปทางแม่น้ำ ต่อมามีการตัดถนนขนานกับแม่น้ำ บ้านของนราภัทรจึงหันหลังให้ถนนไป

นราภัทรลงจากรถมาพร้อมกับเพื่อนสาว ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร สุนัขพันทางสองตัวก็เห่าใส่พร้อมวิ่งตะบึงมาหาแล้วตะกายขึ้นบนตัวเธอกับเพื่อนสาว

“มอม แต้ม หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” นราภัทรส่งเสียงเอ็ด แต่สุนัขทั้งคู่ยังคงตะกายขาหน้าใส่พร้อมทั้งส่ายหางดิกๆ ด้วยความยินดีปรีดา หญิงสาวส่ายหัวอย่างอ่อนใจเล็กน้อย จำได้ว่าตอนที่เอาทั้งคู่มาเลี้ยงนั้นอยากได้สุนัขดุไว้เฝ้าบ้าน แต่พอเลี้ยงไปนานเข้า ลูกสุนัขที่คิดว่าจะดุก็กลับกลายเป็นสุนัขที่เป็นมิตรกับคนแปลกหน้าทุกคนไปเสียได้ ใครมาก็ตะกายใส่ กระดิกหางให้ ไม่มีเสี้ยวของความน่ากลัวเลยสักนิด

พอถูกดุ สุนัขทั้งสองตัวจึงสงบเสงี่ยมขึ้นหน่อย แต่หางยังส่ายอย่างระริกระรี้อยู่ดี

ชายสูงวัยอายุราว 60 ปีสวมเสื้อม่อฮ่อม พาดผ้าขาวม้าบนบ่าในมือถือกรรไกรตัดกิ่งไม้ เดินออกมาจากในสวนสมุนไพรข้างบ้าน
“ก็ว่าไอ้มอมไอ้แต้มมันเห่าใครกัน ที่แท้ไอ้น้ำนี่เอง”

“สวัสดีค่ะปะป๊า” สองสาวรีบยกมือไหว้พร้อมกัน

“อ้าว แพรวมาด้วยเหรอเนี่ย ไม่เห็นม้าเขาบอกเลย”

“หนูมาเที่ยวกะทันหันค่ะ พอรู้ว่าน้ำกลับบ้าน หนูเลยตามมาด้วย ช่วยเลี้ยงข้าวหนูสักสองสามมื้อนะค้าน้าสิน” ถึงแม้พชิรดาจะมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย แต่เธอก็ไม่มีทีท่ารังเกียจบิดาของเพื่อนที่เป็นชาวสวนเลยแม้แต่น้อย

“เลี้ยงน่ะเลี้ยงอยู่แล้ว กินให้หมดแล้วกัน มากี่ทีก็เห็นกินข้าวแค่สองจาน”

“โห สองจานก็เยอะแล้วนะคะน้าสิน”

“มาทั้งทีมันต้องกินสามจานสิ แบบไอ้น้ำมันไง”

คุณหนูแพรวแอบเหล่หน้าท้องเพื่อนแล้วว่า “รายนี้เขากินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนนี่นา”

นราภัทรยิ้มเผล่พลางยักคิ้วให้แล้วว่า “เขาเรียกพรสวรรค์เว้ย”

“เขาเรียกว่าระบบเผาผลาญขี้โกงต่างหากย่ะ แกทำงานนั่งโต๊ะทั้งวัน ออกกำลังกายก็ไม่ค่อยได้ออก กินเยอะยังจะไม่อ้วนอีก แบบนี้มันขี้โกงเกินไปแล้ว” พชิรดาย่นจมูกใส่เพื่อนสนิท

คนขี้โกงยักไหล่ ไม่ต่อปากต่อคำให้เพื่อนสาวหมั่นไส้กว่าเดิม แล้วถามบิดาว่า “ปะป๊า แล้วหม่าม้าไปไหนคะ อยู่บนบ้านเหรอ”

“ไม่อยู่หรอก ม้าแกออกไปตั้งแต่ตอนสิบเอ็ดโมงแล้ว เห็นว่าจะไปนั่งคุยกับคุณนายยุวดีในเมืองโน่นน่ะ ดูสิ ป่านนี้ยังไม่กลับเลย สงสัยจะคุยเพลินซะละมั้ง โทร. ไปตามหน่อยซิ”

นราภัทรรับคำ กำลังจะหยิบโทรศัพท์มาโทร. หามารดา แต่ชะงักเสียก่อนเมื่อรถคันใหญ่แล่นมาจอดหน้าบ้าน แล้วมารดาของเธอก็ลงมาจากรถ จากนั้นผู้ชายคนหนึ่งก็ตามลงมา พร้อมกับช่วยนางอมรรัตน์หิ้วตะกร้าใส่ของสดจำพวกเนื้อสัตว์และผักหลายชนิด ก่อนเดินตามนางอมรรัตน์มาติดๆ

“อุ๊ย! น้ำรินอยู่พอดีเลย มาไหว้พี่เขาสิลูก” นางอมรรัตน์เปิดประตูรั้วมาเห็นลูกสาวอยู่หน้าบ้านก็ตาเป็นประกายวาววับด้วยความยินดี

ผู้เป็นลูกสาวไม่ทันสังเกตอะไร รีบวิ่งออกมารับมารดาทันที ส่วนพชิรดาเดินตามเพื่อนสาวออกมาทีหลัง ทิ้งระยะห่างอยู่หลายเมตร

“นี่น้ำรินลูกสาวคนเดียวของน้าเองจ้ะ น้ำริน นี่ตาฟ้า นภดล ลูกชายคุณนายยุวดี เพื่อนม้าเอง”

“ค่ะ สวัสดีค่ะพี่นภดล” นราภัทรยกมือไหว้ตามคำสั่งของมารดา ก่อนจะรับตะกร้ามาจากมือชายหนุ่ม

“สวัสดีครับน้องน้ำริน เรียกพี่ว่าฟ้าเฉยๆ ก็พอครับ ไม่ต้องเรียกเต็มยศดีกว่า พี่เคยได้ยินแม่น้องพูดถึงน้องหลายครั้ง ในที่สุดก็ได้เจอตัวจริงเสียที”

เมื่อนราภัทรได้ยินเสียงของนภดลก็ชะงัก นิ่งไปเล็กน้อย เพราะเสียงของเขาคล้ายกับเสียงผู้ชายที่เธอฝันถึงอยู่บ่อยๆ จากที่แต่เดิมไม่ได้ใส่ใจสังเกตอะไรในตัวผู้ชายคนนี้ นราภัทรก็กลับมองเขาเต็มตา

ฟ้าหรือนภดลเป็นผู้ชายสูงโปร่ง ผิวขาว ดวงตาเรียว สวมแว่นกรอบเงิน ไว้ผมตัดสั้น หน้าตาดีในแบบคนที่มีเชื้อสายจีน ท่าทางดูภูมิฐานไม่น้อย นอกจากเสียงของเขาแล้ว เธอก็ไม่สะดุดใจอะไรในตัวเขาอีก

หญิงสาวถาม “พูดถึงแง่ไหนคะ แง่ดีหรือแง่ร้าย”

“ก็บอกว่าน้องน้ำรินเป็นเด็กดี เชื่อฟังพ่อแม่ และไม่เคยทำให้ผิดหวังน่ะครับ”

“แหมดีจัง ตอนแรกนึกว่าถูกนินทาเสียแล้ว”

“ฉันจะไปนินทาแกทำไมยะ” ว่าแล้วคุณแม่ก็ซัดเข้าให้หนึ่งเผียะ

“โอ๊ย! เจ็บนะหม่าม้า” นราภัทรทำแก้มป่องใส่มารดา

บางทีหญิงสาวก็คิดว่าการที่เธอชอบทำร้ายคนรอบตัวนี่ต้องมาจากกรรมพันธุ์ทางฝั่งมารดาแน่นอน

“คุณน้าเขามีแต่ชมว่าน้องน้ำรินเป็นคนเก่ง น่ารัก นิสัยดี กตัญญูรู้คุณ”

มีคนเรียกเธอว่า ‘น้องน้ำริน’ เพิ่มขึ้นอีกคนแล้ว นราภัทรเกิดความรู้สึกขัดแย้งในใจ เพราะเธอชอบเสียงของนภดล แต่ไม่ชอบคำเรียกขานแบบนี้ แต่เห็นว่าเธอคงจะได้พบอีกฝ่ายไม่บ่อยเท่าไร เลยพยายามปัดความคิดนั้นออกไป

“หม่าม้าของน้ำโฆษณาเกินจริงแล้วค่ะ”

“ถ่อมตัวอยู่หรือเปล่าครับเนี่ย”

“ลูกสาวน้ามันเขินน่ะ เออนี่ ฟ้าอยู่กินข้าวกับน้าก่อนสิ ไหนๆ ก็ได้เจอกันสักที” นางอมรรัตน์ชวนอย่างกระตือรือร้นที่สุด

‘เขิน ไม่ใช่นะ’ นราภัทรนิ่งไป ไม่ขัดมารดา

“ต้องขอโทษด้วยครับคุณน้า ผมคงอยู่กินข้าวด้วยไม่ได้ นี่ก็เริ่มเย็นแล้ว ผมขอตัวกลับบ้านก่อนนะครับคุณน้า ไปแล้วครับน้าสิน” ชายหนุ่มมองนาฬิกาข้อมือเล็กน้อยก่อนจะยกมือไหว้ลานางอมรรัตน์ แล้วยกมือไหว้นายสินที่อยู่ไกลที่สุด

แม้จะเสียดายมาก แต่นางอมรรัตน์ก็ไม่ได้รั้งชายหนุ่มเอาไว้ “เสียดายจัง ไปดีมาดีนะ ขอบใจที่มาส่งน้านะจ๊ะฟ้า”

“ครับ ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เรื่องเล็กน้อย” นภดลพูดแล้วหันมาทางนราภัทร “แล้วเจอกันใหม่นะครับ น้องน้ำริน ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“อ่า...ค่ะ ยินดีเช่นกันค่ะ” นราภัทรรับคำพร้อมยิ้มให้

นภดลยิ้มตอบก่อนจะขึ้นรถแล้วขับจากไป

นางอมรรัตน์มองส่งชายหนุ่มด้วยความปลื้มปีติ พอหันกลับมาจึงเห็นเพื่อนลูกสาวซึ่งเดินมาถึงบริเวณที่นางยืนอยู่พอดี
“อ๊ะ! แพรวมาด้วยเหรอลูก โทษที น้าไม่ทันได้มอง”

พอมารดาเพื่อนว่ามาดังนี้ พชิรดาก็ปั้นหน้าแป้นแล้น ซ่อนความคิดในใจเอาไว้หลังจากรู้สึกระแคะระคายพฤติกรรมของนางอมรรัตน์กับนภดล

“ไม่เป็นไรค่า นี่วันนี้หนูรอกินอาหารฝีมือน้ารัตน์อยู่นะ ซื้อของมาเยอะเลย จะทำอะไรให้หนูกินมั่งเนี่ย”

“ก็ว่าจะทำอะไรง่ายๆ อย่างผัดผักกระเฉดไฟแดง แกงป่าไก่ ลาบปลากะพง”

“นี่ง่ายแล้วเหรอหม่าม้า” นราภัทรขัดคอขึ้น เธอคิดว่าเมนูแต่ละอย่างไม่ได้ทำง่ายๆ อย่างที่มารดาว่ามาเลย ทั้งที่ปกติเวลาเธอกลับมาเยี่ยมบ้าน เมนูแต่ละอย่างดูจะเป็นอะไรที่พื้นบ้านกว่านี้ อย่างเช่นน้ำพริกผักต้ม แต่ทำไมวันนี้กับข้าวดูเลิศหรูก็ไม่รู้
คนเป็นมารดาหันมาค้อน “ฉันว่ามันง่ายก็ง่ายสิยะ”

“ลาภปากหนูจริงๆ เลย” พชิรดาขัดตาทัพก่อนที่การวิวาทจะเกิดขึ้น และเข้าไปประจ๋อประแจ๋นางอมรรัตน์ ชวนคุยต่ออย่างกะหนุงกะหนิง จนลูกสาวตัวจริงซึ่งยืนถือตะกร้าของสดอยู่บ่นงึมงำ

“ใครเป็นลูกกันแน่เนี่ย”

เมื่อพชิรดากับนราภัทรหิ้วของมาเก็บในห้องนอนของนราภัทรแล้ว พชิรดาก็เปิดประเด็น

“ฉันสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างละแก”

“หือ อะไร” นราภัทรที่เตรียมจะออกไปช่วยมารดาทำกับข้าวเลี้ยงแขกถามขึ้น

สาวหมวยหรี่ตาลงพลางยิ้มกริ่มแล้วว่า “ว่าที่สามีแกปรากฏตัวแล้ว!”

นราภัทรมองเพื่อนอย่างระอา ตอบสั้นๆ ว่า “เพ้อเจ้อ” แล้วเปิดประตูออกไป

พชิรดาแลบลิ้นใส่บานประตูพร้อมกับตะโกนขึ้นมา “ไม่เชื่อก็ตามใจ”

.....................................

วันจันทร์ไม่ว่างมา ขออภัยด้วยจ้า ^^

ตอบเมนท์ -- ขอบคุณที่มาเมนท์ให้นะคะ --

คุณ ใบบัวน่ารัก

- หมายเลขที่ท่านเรียกไม่มีการตอบรับ หรือยังไม่เปิดใช้บริการ ....รออ่านๆ ดูซิ จะได้เจอกันไหม๊

คุณ โอชิน

- มาต่อแล้ว ฝากเมนท์ให้ด้วยน้า



ท้องฟ้า
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ธ.ค. 2557, 04:12:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ธ.ค. 2557, 04:12:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 1122





<< บทที่ 4/1   บทที่ 5/1 >>
โอชิน 16 ธ.ค. 2557, 17:08:15 น.
นางเอกเรายังคงน่ารักแบบแมนๆตามเคย..ฉันจะอยู่บนคานเป็นเพื่อนแก..แมนมากอะ..ขึ้นเลขสามเพื่อนเราหนีหายไปหาสามีกันหม๊ด..ไม่เห็นเพื่อนเราแมนอย่างนู๋นำ้เล้ย..ชอบค่ะ..น่ารักเหมือนเดิม


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account