หลังม่านเมฆ

Tags: สืบสวน โรแมนติก

ตอน: ---- (6) ----


กว่าจะถึงบ้านปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่ม ปณาลีลงจากรถอย่างรวดเร็วโดยไม่พูดกับกวินภพสักคำ ทิ้งให้เขามองตามตาละห้อย ผู้หญิงคนนี้โกรธแล้วหายยาก ดูอย่างครั้งที่แล้วนั่นไง ที่เขาแอบจุมพิตเธอเข้า เธอยังเคืองเขาไปหลายวันและต้องการให้เขาขอโทษ กว่าเขาจะตีมึนให้เธอหายโกรธได้ ก็ต้องเอาหลานฝาแฝดมาเป็นตัวช่วย ครั้งนี้เธออาจจะเกลียดเขาไปด้วย ไม่ใช่โกรธเพียงอย่างเดียว แต่เธอจะรู้ไหมว่าเขาก็เจ็บไม่แพ้กัน

กวินภพเข้าพักกับมารดาและพี่สาว วันรุ่งขึ้นยังมีเรื่องราวมากมายให้เขาต้องจัดการ ชายหนุ่มตรงเข้าห้องเพื่ออาบน้ำชำระร่างกาย อดไม่ได้ที่จะมองไปยังบ้านข้างๆ ไฟยังคงสว่างทุกมุมของบ้าน ทั้งภามและปรียาอาจจะรอปณาลีอยู่กระมัง

“พี่วุ้นไปไหนครับ ผมไปเคาะเรียก แต่ไม่ตอบรับ” กวินภพกลับลงมาชั้นล่างอีกครั้ง เจอทั้งมารดาและป้านั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้เป็นเพื่อนมากกว่าจะดูจริงจัง

“ไปอยู่กับแฝด เมื่อครู่ตอนวินไปอาบน้ำภามเขามาเรียกขอคนไปนั่งเป็นเพื่อนเจ้าแฝด หลับอยู่นั่นละ” ร่างสูงที่กำลังจะหย่อนตัวลงนั่งกลับยืดตัวตรงอีกครั้ง

“แล้วน้าภามกับน้าปุ้มไปไหนซะละครับ น้ำด้วย ผมส่งเขาเข้าบ้านเมื่อกี้” คราวนี้จริยาหันหน้ามาทางบุตรชาย

“ไปทำท่าไหนล่ะ ยัยน้ำปวดแขนจนต้องพากันไปหาหมออีกรอบ นี่ถ้าไม่ฉุกเฉินจริง เขาคงไม่มาเรียกบ้านเราหรอก สถานการณ์ตอนนี้มองหน้าใครไม่ค่อยติดเลย” กวินภพถอนหายใจ ยอมรับว่าเขาหนักมือไปหน่อย ปณาลีถึงเจ็บตัว

“ผมไปบ้านโน้นนะครับ” ไม่รอคำตอบก็เดินดุ่มๆ ออกมาจากบ้านก่อนมุดประตูเล็กๆ ระหว่างสองบ้านเข้าไปในบ้านของภาม

“หนักใจ” จริยาเปรยก่อนกุมหัวอย่างคนคิดหนัก

“จนตอนนี้จุ๋มก็ยังไม่อยากเชื่อเลยนะคะว่าหนึ่งจะทำแบบนั้น แต่หลักฐานที่เห็นมาก็ทำให้คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้จริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นครอบครัวเขาอาจไม่รู้ไม่เห็นด้วย แต่จะให้เราดีด้วยเหมือนเดิมมันก็ตะขิดตะขวงใจแปลกๆ”

“สงสารวัธน์ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ คนใกล้ตัวหักหลังมันเจ็บที่สุด” จารีพรน้ำตารื้น หลานชายที่เลี้ยงมากับมือตั้งแต่เกิด ต้องมาจบชีวิตอย่างน่าสงสาร

“สงสารน้ำเหมือนกันนะ เขาวิ่งเต้นเรื่องงานศพให้หลายอย่าง เลี้ยงเจ้าแฝดอย่างดี แต่ต้องมาเจอพายุอารมณ์ของนายวินเข้า รายนั้นคงกำลังเสียใจเรื่องน้อง”

“มันจะยังไงกันต่อไปละทีนี้ พี่มองๆ เหมือนเจ้าวินจะกระตุกเป็นพิเศษเวลาพูดถึงน้ำ ไม่ใช่ไปชอบเขาเข้าล่ะ แล้วที่พาเขาหายไปจากงานศพตั้งนานสองนาน กลับมาทางนั้นยังแขนระบมเสียอีก”

“พี่จ๋าคะ เราไม่เอาความเรื่องนี้ได้ไหมคะ สงสารอัณณ์กับอิชย์ แล้วสมมติว่านายวินเขาคิดอะไรกับน้ำจริงเหมือนที่พี่จ๋าสันนิษฐาน มันจะไม่ยุ่งเหยิงไปกันใหญ่หรือคะ” จารีพรปรายตามอง

“คดีอาญาคงจะไม่ได้มั้ง พี่เองก็ไม่มีความรู้เรื่องนี้มาก แต่ที่สำคัญวินคงไม่ยอมหรอก เขาติดต่อทุกอย่างไว้หมดแล้ว เผาวัธน์แล้วเขาคงเดินหน้าเต็มตัว ไม่ใช่พี่ไม่เสียใจนะจุ๋ม แต่คนตายแล้วฟื้นคืนมาไม่ได้ พี่เองก็คิดคล้ายๆ เธอ ให้มันจบตรงนี้ แต่กฏหมายกับกฏแห่งกรรมมันคนละประเด็น และพี่เกรงว่านายวินเขาแค้นน่าดูเชียว เขาคงไม่ปล่อยฆาตรกรลอยนวล”

“ถ้าเป็นหนึ่งจริงๆ จุ๋มอยากจะถามเขานะคะว่าทำไมถึงทำกันขนาดนี้ ไม่รักไม่ใยดีกันแล้วหรือไง ไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือที่ทำกับพ่อของลูกแบบนี้ คิดบ้างไหมว่าลูกจะรู้สึกยังไง จุ๋มคงไม่วิ่งเต้นเรื่องกฏหมายหรอกค่ะ เหนื่อยเกินไป แต่จุ๋มเชื่อว่าคนที่ทำบาปฆ่าคน ไม่มีใครตายดี ไม่มีใครอยู่อย่างสงบ บาปกรรมจะตามหลอกหลอนเขาไปชั่วชีวิต” คนเป็นแม่น้ำตารื้น เธอพยายามไม่แค้น พยายามไม่ชิงชัง แต่เธอไม่สามารถทำใจให้สบตาคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาได้เลย

ห้าทุ่มครึ่งโดยประมาณเมื่อภามนำรถกลับมาจอดหน้าบ้านอีกครั้ง ปณาลีก้าวลงมาจากที่นั่งด้านหลังคนขับ หญิงสาวยังอยู่ในชุดเดิมเมื่อตอนไปฟังสวด กวินภพลุกจากม้านั่งยาวที่หน้าบ้าน สาวเท้าเดินไปที่ทั้งสาม แต่เป้าสายตาของเขาอยู่ที่ปณาลี

“เป็นไงบ้างครับ” ถามภามกับปรียาเพราะรู้ว่าคนไข้คงไม่ตอบเขาแน่นอน

“แขนโดนกระแทกเลยเจ็บ หมอเอ็กซเรย์ดูไม่มีตรงไหนหักเพิ่ม ก็แค่ระวังอย่าให้ไปกระแทกอะไรอีก”

“แล้วขา?” นึกได้ว่าขาของเธอยังเจ็บเช่นกัน

“ไม่มีอะไรบุบสลายหรอกไม่ต้องกังวล ยังไม่ตายตกไปตามกันหรอก”

“น้ำ!” ภามกับปรียาอุทานลั่นออกมาพร้อมกัน ขณะที่กวินภพขบกรามแน่น ดวงตาวาว ปณาลีคิดว่าถ้าอยู่กันสองคน เขาคงจับเธอหักคอไปแล้วกระมัง

“เป็นยังไงบ้างน้ำ” กัทลีร้องถามขณะเดินออกมาจากตัวบ้าน

“ยังไม่ตายหรอกพี่วุ้น ปากยังดี เรากลับบ้านกันเถอะครับ ขอตัวนะครับน้าภาม น้าปุ้ม” กวินภพคว้ามือพี่สาวก่อนจะเดินเร็วๆ ไปยังทางเดิมตอนขามา

“วิน ใจเย็นลงหน่อยไหมเรา กระแทกกันไปมาอย่างนั้นมันจะเกิดประโยชน์อะไร น้ำเขาไม่รู้เรื่องด้วยนะ และเป็นเราที่ทำเขาเจ็บทั้งสองครั้ง”

“แต่เขาปากดี ยั่วโมโห”

“เออ แล้วเราล่ะไปทำอะไรเขา เขาจึงโมโหแล้วรวนเอา ใจเย็นๆ ตั้งหลักกันหน่อยไหม ตอนนี้ความรู้สึกกับเหตุผลมันตีกันยุ่งไปหมดแล้วนะวิน เราต้องยอมรับว่าบ้านเรากับบ้านนั้นใกล้ชิดกันมาก เรื่องนี้มันโยงใยกันจนน่ากลัว ตอนนี้เป็นหนึ่งจริงหรือเปล่าเราก็ยังไม่รู้ อาจจะเป็นอาเขาก็ได้ แต่วินคิดเหรอว่าทางน้าภาม น้าปุ้ม หรือน้ำเขารู้เห็นด้วย สมมติว่าเขาไม่รู้เห็น พี่ว่าเขาเองก็เจ็บ น้าภามกับน้าปุ้มเขาจะเจ็บแค่ไหนที่ลูกสาวเขาทำแบบนี้ น้ำล่ะจะเสียใจแค่ไหนที่พี่สาวฆ่าพี่เขยที่เขารัก จะเสียใจแค่ไหนที่รู้ว่าคนที่เขารักกลายเป็นฆาตรกร เขาเองก็กระอักกระอ่วนเหมือนกัน พี่ว่าที่น้ำอารมณ์ร้าย ยอกย้อนแบบนั้นอาจเป็นเพราะเขาเองกำลังเสียใจและสับสนไม่ต่างจากเรานะ”

กวินภพถอนหายใจยาว ก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นหญ้าในสวนข้างบ้าน เขาไม่อยากพกความอ่อนแอไปให้ผู้เป็นแม่และป้าเห็น

“ผมสงสารน้อง วัธน์เป็นคนดี เขารักหนึ่งมาก ไม่น่าต้องมาจบชีวิตแบบนี้เลย” กัทลีค่อยๆ หย่อนกายตามลงมา แขนทั้งสองข้างโอบกอดน้องชายไว้

“ฮื่อ พี่เข้าใจ พี่ก็รู้สึกไม่ต่างจากเรา วินาทีแรกที่รู้เรื่อง พี่อยากฆ่าคนที่มันทำกับวัธน์แบบนั้นเหมือนกัน วัธน์ไปทำอะไรให้ ทำไมต้องทำร้ายกันอย่างโหดเหี้ยมแบบนั้น แต่อย่าให้ความบุ่มบ่ามของเราไปทำลายความรู้สึกของคนอื่นเลย เกิดว่าหวยมันพลิกขึ้นมา ไม่ใช่คนที่เราคิด จะมาขอโทษขอโพยกันทีหลังมันก็ได้ แต่ความรู้สึกมันเสียไปแล้วนะ วินไม่กลัวน้ำจะไม่ให้อภัยวินเหรอ” คราวนี้กวินภพสบตาพี่สาวที่กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน

“แม่ก็ดูออก ป้าจ๋าก็ดูออก พี่คิดว่าพี่ก็ดูออกนะ วินชอบน้ำใช่ไหมล่ะ แล้วทำไมไปปากเสียใส่เขาแบบนั้น” กวินภพไม่พูดอะไร เขาเบนหน้าไปทางอื่นเสีย

“ได้ข่าวว่าวันที่สวดวันแรก วินก็ไปอาละวาดใส่หนึ่งจนน้ำต้องเจ็บตัว ไม่สงสารเขาเหรอ จะดำเนินคดี จะทำอะไรก็ทำ แต่อย่าทำร้ายความรู้สึกน้ำให้มากเลย สงสารเขานะ สมมุติว่าหนึ่งโดนจับ น้ำเขาคงเสียใจมาก”

“ผมก็ไม่อยากทำอะไรเขา แต่อย่ามาขวาง อย่ามากวนอารมณ์” กัทลีค้อนให้น้องชาย

“เออ ก็อย่าเอาตัวเองไปใกล้เข้าสิ เขาจะได้ไม่ขวาง ไม่กวน”
---------------------------------------------------------------------------------------------

ควันจากเมรุลอยต่ำลงพื้นยามที่กัทลีนำรูปและกระถางธูปเดินออกจากเมรุเพื่อนำกลับบ้าน เสียงซุบซิบดังมาจากผู้ร่วมงาน ‘เขาว่าควันลอยต่ำ แสดงว่าคนตายยังมีห่วง’ บางคนก็ว่าเพราะลมแรง ควันมันจะลอยสูงได้อย่างไร บางคนก็ว่าเพราะกวีวัธน์มีลูกตั้งสองคนเขาต้องมีห่วงเป็นธรรมดา แต่ที่ทำให้กัทลีเกือบร้องไห้ทั้งที่ตั้งใจไว้แล้วว่าวันนี้จะเข้มแข็งก็คือเสียงซุบซิบที่ว่า ‘เมียฆ่าผัวเอาสมบัติ ผัวที่ไหนจะไม่มีห่วงวะ แถมเขาว่ากันว่ายิงตั้งหกนัด’ กัทลีรีบสาวเท้าขึ้นรถที่มีคนขับรถรออยู่แล้วก่อนสั่งให้ออกรถอย่างรวดเร็ว

ปณาลีลากสังขารไม่เต็มร้อยของตัวเองมาส่งกวีวัธน์จนได้ แม้โบราณจะถือนักหนาว่าคนมีแผล คนป่วย ไม่สมควรมางานศพ แต่เธอกลับแหกความเชื่อทั้งหมดทั้งปวง ถ้าวันนี้เธอไม่มา เธอคงเสียใจไปอีกนาน กวีวัธน์คือเพื่อนคือพี่ที่เธอรักและเคารพเสมอมา หลับให้สายนะพี่วัธน์...

เพียงไม่นานแขกเหรื่อก็ทยอยกลับจนเกือบหมด เหลือญาติสนิทและเพื่อนฝูงที่ช่วยกับเก็บกวาดสถานที่ ภามและปวิตราเองก็อยู่ช่วยด้วยเช่นกัน ปณาลีจึงจำเป็นต้องอยู่ด้วยทั้งที่สภาพร่างกายไม่สามารถช่วยอะไรใครได้ เด็กแฝดทั้งสองคนเดินมาหาเธอก่อนจะจัดการหาเก้าอี้มาให้เธอนั่ง มองแล้วให้สงสารเด็กนัก ตั้งแต่วันที่รู้ว่ากวีวัธน์เสียไปแล้ว หลานฝาแฝดของเธอก็ซึมจนน่าใจหาย ทั้งสองคนไม่เคยร้อง แต่กลับซึมเซาจนน่ากลัว ปณาลีและทุกคนที่บ้านพยายามจะฟื้นฟูจิตใจของหลานๆ แต่เพราะตัวของเธอเองก็ยังหดหู่จนไม่สามารถทำให้ใครร่าเริงได้

“ไหวหรือเปล่า ให้คนไปส่งก่อนเอาไหม” เสียงทุ้มที่เอ่ยอยู่ไม่ไกลเรียกให้คนที่กำลังมองหลานเล่นกันเงียบๆ ให้เงยหน้ามอง

“ทำไมจะไม่ไหว สู้กับคนบ้ายังทำมาแล้วเลย” กวินภพยกมือเท้าสะเอว นี่แหละนะ ยั่วโมโห กวนอารมณ์ตลอดเวลา

“น้ำ! ที่ถามเพราะหวังดี” คราวนี้ปณาลีได้โอกาสพินิจเขาบ้าง ดวงตาของเขาเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย กวินภพคงยังไม่ลืมและไม่มีวันลืมภาพของกวีวัธน์ในวันที่เกิดเหตุ

“ไหวค่ะ เดี๋ยวกลับพร้อมพ่อ” ตอบเท่านั้นก่อนหันหน้าไปทางอื่น เมื่อตระหนักว่างานศพกำลังจะเสร็จแล้ว หลังจากนี้เขาคงดำเนินคดีตามกฏหมายต่อพี่สาวของเธอ ตามหลักฐานที่เขาอ้างว่ามีและน่าเชื่อถือ แน่นอนว่าพี่สาวของเธอยังไม่รู้เรื่อง พีรัชไม่ได้บอกเรื่องนี้ เขาตั้งใจจะช่วยหลานสาวอย่างสุดความสามารถอยู่แล้ว

จริงๆ แล้วกวินภพไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย คงกลัวจะเสียรูปคดี นอกจากเรื่องที่บอกว่าจะพยายามเอาอัณณ์กับอิชย์ไปให้ได้ เพราะมารดาไม่สามารถเลี้ยงดูได้ เท่านั้นก็น่าจะเพียงพอว่าเขากำลังบอกอะไรกับเธอ

“เดี๋ยวมีสวดมนต์เย็นที่บ้าน อย่าลืมไปล่ะ” ปณาลีไม่คิดจะตอบ กวินภพจึงได้แต่มองอีกครู่และผละจากไป เขาอยากจะทำอย่างที่กัทลีว่าอยู่หรอก อย่าพาตัวเข้าไปใกล้ จะได้ไม่ต้องถูกยั่วถูกกวน แต่มันทำได้เสียที่ไหน สายตาของเขาคอยแต่จะมองหาเธออยู่ร่ำไป

ตกเย็นปณาลีแวะมาฟังพระสวดที่บ้านของจริยา ตั้งแต่เกิดเรื่องและรู้ว่าทางบ้านของกวินภพสงสัยปวิตรา เธอยังไม่มีโอกาสเผชิญหน้าจริยากับจารีพรเลยสักครั้ง

“น้ำ ไม่ต้องทำหรอก เดี๋ยวจะเจ็บแขนขึ้นมาอีก ไปนั่งหน้าบ้านเถอะ” กัทลีรีบร้องบอกเมื่อเห็นปณาลีกำลังช่วยเก็บเก้าอี้หลังจากแขกเหรื่อทยอยกลับกันไปแล้ว

“ไม่เป็นไรค่ะพี่วุ้น ดีขึ้นมากแล้ว” แม้กัทลีจะไม่เห็นด้วย แต่ปณาลีกลับดื้อต่อไป เธอไม่อยากเจอกวินภพ เสร็จจากตรงนี้เธอคงจะแวบกลับบ้าน กัทลีทำเพียงส่ายหน้าก่อนจะถอยออกไป ปณาลีถอนหายใจเบาๆ ต่อแต่นี้ไปความสัมพันธ์ของทั้งสองบ้านคงไม่เหมือนเดิม ต่อแต่นี้เธอคงไม่ได้มาเดินเล่นในบ้านหลังนี้เหมือนแต่ก่อน เหมือนสมัยที่กวีวัธน์ยังอยู่

“ไปหน้าบ้าน แม่อยากคุยด้วย” แขนเล็กๆ ถูกคนที่ไม่รู้ว่ามาจากทางไหนดึงไว้เบาๆ เสียงทุ้มๆ ของเขาก็อยู่ไม่ห่างจากหูของเธอเลย เมื่อลองหันหน้าจึงรู้ว่าเขาประกบอยู่ด้านหลังของเธอนี่เอง ใกล้มากเสียด้วย

“ค่ะ คุณถอยออกไปก่อน” เพราะไม่รู้ว่าจะหลบหน้าคุณจริยาและจารีพรที่แสนดีทำไม ปณาลีจึงรับคำง่ายๆ ติดตรงที่เขาอยู่ใกล้เธอมากเกินไปจนเธอขยับไม่ได้เลย

“ถ้าไม่หยุดเรียกคุณ ขอบอกว่าจบไม่สวย!” เสียงนั้นกดต่ำ หญิงสาวไม่รู้ว่ากวินภพกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ไปตอนไหน วันแรกๆ ที่เจอกันเขาดูเป็นผู้ใหญ่และสุขุม แต่ช่วงหลังๆ มานี้เขาเจ้าเล่ห์นัก ชอบมาวุ่นวายกับเธอ บางครั้งอารมณ์แปรปรวนจนเธอตามไม่ทัน เรื่องชอบข่มขู่นั่นอีก เขาไปเอานิสัยแบบนั้นมาจากไหนกัน

“จะเรียกอะไรก็ช่างเถอะค่ะ น้ำจะไปพบป้าจุ๋ม หลีกด้วย” เขาไม่หลีก...และดูเหมือนจะขยับเข้ามาชิดกว่าเดิม ทั้งที่มันชิดกันมากจนไม่มีช่องว่างอยู่แล้ว ปณาลีฉุนขาด เธอหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้าเขาแล้วใช้แขนข้างที่ไม่เจ็บตีไปที่หน้าอกเขาติดๆ กันหลายที ลืมไปหมดว่ามีใครอยู่ตรงนั้นบ้าง

“ยุ่งอะไรกับน้ำนัก น้ำจะอยู่แบบนี้พูดแบบนี้ ใครจะทำไม พี่วินอยากทำอะไรก็ทำไปสิ แต่อย่ามาบังคับกันได้ไหม แค่นี้ก็อึดอัดจนจะอ้วกอยู่แล้ว” ปณาลีตะโกนออกมาเสียงดัง คนตัวโตยืนฟังไม่ถอยไปไหน เขากัดฟันกรอด เธออึดอัดจนจะอ้วกที่เขามายุ่งกับเธออย่างนั้นเธอ

“นึกว่าน้ำไม่เสียใจหรือไงที่พี่วัธน์ต้องมาตาย นึกว่าน้ำด้านชาจนไม่รับรู้เหรอว่าครอบครัวพี่วินสูญเสีย และเสียใจแค่ไหน น้ำรู้สึก น้ำเจ็บ แต่พี่วินยังคอยมากดดันอยู่ได้ว่าน้ำกับครอบครัวของน้ำจะต้องเจอกับอะไรบ้างหลังจากนี้ ทำไมล่ะ พี่วินแค้นมากจนต้องเอาคืนทั้งทางกฎหมายและความรู้สึกเลยใช่ไหม” ดวงตาคู่สวยมีน้ำตาคลอ แต่หญิงสาวบังคับไม่ให้มันไหลออกมา ปากสั่นระริก

“พี่ไม่เคยอยากทำให้น้ำเจ็บ แต่พี่อยากให้เราเหมือนเดิม พี่ไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้มันจบแบบไม่มีคนร้ายได้ พี่ต้องการเอาคนผิดมาลงโทษ”

“ก็ทำไปสิ!”

“ก็กำลังทำอยู่นี่ไง แต่ไม่ได้หมายความว่าพี่ต้องการให้น้ำเจ็บ เข้าใจไหม” คราวนี้กวินภพเสียงดังขึ้นบ้างจนปณาลีถึงกับเงียบ

“น้ำขอไปพบป้าจุ๋มนะคะ”

“พี่ถามว่าเข้าใจหรือเปล่า” เมื่อหญิงสาวไม่ให้คำตอบ กวินภพก็ไม่ปล่อยผ่านเช่นกัน ปณาลีค่อยๆ ช้อนตามองเขา

“จริงๆ คือน้ำไม่เข้าใจค่ะ ถึงได้บอกไงคะว่าพี่วินเชื่อยังไง อยากทำอะไรก็เชิญ น้ำไม่กล้าห้ามหรือเปลี่ยนความคิดพี่ เพราะน้ำไม่ใช่คนสูญเสีย ถ้าน้ำทำแบบนั้นพี่วินอาจเข้าไปใจไปว่าน้ำเข้าข้างพี่สาวตัวเอง หรือน้ำไม่ได้สูญเสียเหมือนครอบครัวของพี่ น้ำจึงไม่เข้าใจการกระทำของพี่ต่างๆ นานา เพราะฉะนั้นอยากทำ อยากเชื่อยังไงก็แล้วแต่พี่วินเถอะค่ะ อย่าพยายามให้น้ำเข้าใจในสิ่งที่น้ำจะไม่มีวันเข้าใจเลยค่ะ”

“...” เมื่อไม่มีคำตอบจากคนตัวโต หญิงสาวจึงเลี่ยงออกไปเงียบๆ หน้าตาของจริยาและจารีพรยังเศร้าหมองอยู่มาก แต่ไม่ได้มีท่าทีโกรธแค้นอย่างที่หญิงสาวนึกกลัว

“น้ำ ทางเราเองยังไม่รู้หรอกนะว่าความจริงมันคืออะไร ทุกอย่างว่ากันไปตามหลักฐานและกฎหมาย แต่ตัวป้าทั้งสองไม่ได้โกรธเคืองอะไรน้ำนะ รวมถึงพ่อกับแม่ของเราด้วย” ปณาลียิ้มน้อยๆ เป็นเชิงขอบคุณ

“พี่วินบอกว่าจะเอาอัณณ์กับอิชย์มาให้คุณป้าเลี้ยง ถ้าทางบ้านน้ำไม่ยอมอาจจะมีการฟ้องร้อง จริงๆ แล้วทั้งน้ำแล้วก็พ่อแม่ ไม่ได้มีอำนาจอะไรจะไปทักท้วง เพราะไม่ได้เป็นพ่อหรือแม่เด็ก อีกอย่างหากจะถึงขั้นฟ้องร้องกัน น้ำคงยอมค่ะ เพราะสงสารเด็กๆ แต่ที่สุดแล้วเด็กเขายังมีแม่ เขาไม่มีพ่อแล้ว ถ้าจะต้องไม่ได้อยู่กับแม่อีกคนคงแย่นะคะ แต่ให้ห้อมล้อมด้วยญาติมากแค่ไหนน้ำคิดว่ามันทดแทนกันไม่ได้”

“พี่คิดว่าพี่บอกน้ำแล้วนะว่าเพราะอะไร เด็กๆ ถึงต้องมาอยู่ที่นี่” เสียงทุ้มที่แทรกเข้ามาทำให้ปณาลีคอแข็งแต่ไม่ได้หันไปมองตามทิศทางของเสียง หญิงสาวลุกขึ้นยืนตัวตรง ยกมือทำความเคารพจริยากับจารีพร

“น้ำทราบแล้วค่ะ ถ้าพร้อมเมื่อไรก็ไปรับแล้วกันนะคะ ส่วนเรื่องแม่เด็กๆ จะยอมไหม คงต้องพูดกันเอาเอง ขอตัวค่ะ” ปณาลีสาวเท้าออกไปไม่เร็วนักตามที่สภาพร่างกายของตัวเองจะอำนวย

“ปณาลี!” ก้าวเดินช้าๆ ของหญิงสาวชะงัก กวินภพไม่เคยเรียกเธอด้วยชื่อจริงและลงเสียงหนักเช่นนี้

“พี่ยังยืนยันคำเดิมว่าสิ่งที่พี่ทำทุกอย่าง พี่ทำเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับน้องชายของพี่ เขาไม่เคยรังแกใคร เขาจึงไม่ควรต้องมาตายแบบนี้ พี่ไม่มีเจตนาหาเรื่องหรือทำให้ใครเจ็บ โดยเฉพาะน้ำ...” กัทลีเหลือบตามองแม่กับป้าที่นั่งนิ่งเหมือนถูกสาป แต่กระนั้นก็ยังคงได้เห็นว่าทั้งสองเหลือบมองตากันอยู่หลายครั้ง

“คนบ้านนี้ยังรู้สึกกับน้ำเหมือนเดิม และยังตอนรับน้ำเสมอ” ร่างบางขยับออกไปทันทีที่คิดว่ากวินภพพูดจบแล้ว ปณาลีบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร แต่หลายๆ อย่างที่ทับถมอยู่ในจิตใจเวลานี้เธอต้องการเวลาคิดและแยกแยะ บางทีเธออาจจะเข้าใจเขาบ้างก็ได้

“ทำไมไม่บอกเขาไปล่ะ ว่าพี่วินยังต้อนรับน้ำเสมอ” กวินภพตวัดสายตาดุๆ ไปยังกัทลี ก่อนถอนหายใจและทิ้งตัวลงนั่ง

“เขาไม่หนีไปไหนหรอก อยากคุยกับเขาเมื่อไรก็ไปหา ถ้าวินคิดว่าต้องหาคนผิดมาลงโทษให้ได้ และคนที่วินสงสัยคือหนึ่งกับอาอู๋ของเขา มันแน่นอนว่าต้องมีการกระทบกระทั่งกันระหว่างบ้านเรากับบ้านโน้น น้ำเขาคงไม่พอใจแน่ แต่วินต้องคอยอธิบายให้เขาเข้าใจ” จริยาตบบ่าลูกชายเพื่อให้กำลังใจ

“อีกอย่างคือ ถ้าวันหนึ่งเราพบว่าสิ่งที่เราสงสัย มันไม่ใช่ วินต้องยอมถอยเพื่อเดินหน้าใหม่ อย่าดื้อ อย่าทิฐิ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าเราโกรธเกลียดเขาเป็นการส่วนตัว แล้วตอนนั้นน้ำจะไม่มองหน้าวินอีกเลย และวินจะไม่ได้ตัวคนผิดที่แท้จริง”
------------------------------------------------------------------------------------------------

หลังจากเผากวีวัธน์แล้ว ปณาลีอยู่อย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่รู้วันไหนหลานที่น่ารักของเธอจะถูกพรากไป ไม่รู้วันไหนตำรวจจะเดินมาเคาะประตูบ้านและเชิญตัวพี่สาวของเธอ จิตใจของเธอดูเหมือนจะหดหู่เข้าไปทุกที เด็กแฝดดูร่าเริงขึ้น ความเป็นเด็กทำให้ไม่มีอะไรฝังอยู่ในใจนานนัก หากไม่มีสิ่งกระตุ้น ผู้ใหญ่ทุกคนพยายามไม่พูดเรื่องกวีวัธน์ เพื่อให้ในที่สุดเด็กๆ จะลืม กาลเวลาจะรักษาบาดแผลในใจ

‘อู๋เขามาคุยกับพ่อเมื่อวาน ว่าเขาเพิ่งบอกหนึ่งว่าทางบ้านนั้นสงสัยหนึ่ง และอาจมีการเชิญไปสอบปากคำ หนึ่งเขาช็อคพอสมควร คงไม่คิดว่าบ้านนั้นจะคิดแบบนั้น แค่เขาระหองระแหงกับวัธน์’

‘เขาสงสัยอาอู๋ด้วยนี่คะ เพราะอะไรพ่อทราบไหมคะ?’

‘อู๋เคยขู่จะฆ่าวัธน์ตอนที่ทั้งสองคนนี้ทะเลาะกันแรกๆ เพราะหนึ่งเขาไปร้องห่มร้องไห้กับอาเขาตลอด แล้วอู๋ก็รักเอ็นดูหนึ่งขนาดไหนเราก็รู้ นี่แหละนะ คนเราจะพูดจะจาอะไรต้องคิด อย่าเอาแต่คะนองปาก วันหนึ่งมันจะย้อนมาทำร้ายเรา’

ปณาลีหยุดยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นทั้งที่ผ้าของเด็กๆ ยังค้างอยู่ในมือ หญิงสาวหยุดงานเพียงสองวันหลังจากวันเผากวีวัธน์ ผ้าที่พันที่เท้าสามารถเอาออกได้ เธอกลับมาเดินเป็นปกติแล้ว แต่แขนยังต้องเข้าเฝือกต่อไป แต่กระนั้นหญิงสาวก็ทำงานได้เป็นปกติ ภามไปส่งไปรับทั้งน้าและหลานที่โรงเรียนทุกวัน เขายังไม่อยากให้คนแขนเจ็บต้องขับรถเอง

“เจ็บแขนเหรอน้ำ พี่ช่วยเอาไหม?” กัทลีร้องทักมาจากรั้วอีกฝั่ง ปณาลียิ้มให้

“เปล่าหรอกค่ะพี่วุ้น แค่เผลอคิดอะไรเพลิน เสื้อเด็กตัวนิดเดียว ตากมือเดียวได้ค่ะ เสื้อน้ำสิคะ แม่ต้องเป็นคนตากให้” กัทลีเดินย้อนไปทางประตูเชื่อม ก่อนแทรกกายเข้ามาในเขตรั้วของอีกบ้าน ค่อยๆ เดินมาทางหลังบ้านโดยมีปณาลีมองตาม

“พี่วุ้นยังไม่กลับไปทำงานเหรอคะ?” กัทลีส่ายหน้า

“พี่ลาออกจ้ะ” คราวนี้ปณาลีทำหน้าฉงน

“พี่ตัดสินใจลาออกทันที จริงๆ เกือบจะโดนปรับนะ เพราะพี่ไม่ได้บอกล่วงหน้า แต่พอบอสพี่รู้สาเหตุ พอดีกับมีเด็กฝึกงานที่เป็นผู้ช่วยพี่อยู่พอดี เลยทำแทนกันได้ บอสพี่เลยอนุมัติ”

“เสียใจด้วยจริงๆ นะคะพี่วุ้น น้ำยังไม่มีโอกาสพูดคำนี้เลยตั้งแต่เกิดเรื่อง”

“ไม่เป็นไรหรอก แม่กับป้าเขาเสียใจนะ แต่เขาปลงได้พอสมควร พี่เองเป็นลูกสาวเลยคิดว่ากลับมาเป็นกำลังใจให้แม่กับป้าแล้วก็นายวินเขาดีกว่า และจริงๆ แล้วพี่อยากรู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนทำ” พูดมาถึงตรงนี้ปณาลีกลับหน้าสลดจนกัทลีสังเกตได้ คนแก่วัยกว่าเอื้อมมือมากุมมือคนอ่อนวัยกว่าเบาๆ

“พี่ไม่ได้ปักใจเชื่อทั้งร้อยเหมือนที่นายวินเขาเชื่อหรอก แต่จะว่าไม่สงสัยเลยก็ไม่ใช่ เพราะหลักฐานและความน่าจะเป็นมันบ่งชี้แบบนั้น แต่สุดท้ายเราคงต้องสืบหากันไปเรื่อยๆ”

“น้ำเข้าใจค่ะ”

“เผื่อแผ่ความเข้าใจให้น้องชายพี่บ้างล่ะ หน้าหงิกเข้าไปทุกวันแล้ว” เท่านั้นปณาลีก็ถอนหายใจ เธอลองกลับมาคิดหลายวันก็พอเข้าใจการกระทำของเขาอยู่บ้าง แต่ความน้อยใจลึกๆ เป็นทิฐิที่กั้นเธอไว้จากเขา

“พี่วุ้นจะมาอยู่เป็นเพื่อนป้าจุ๋มเลี้ยงเด็กๆ เหรอคะ?”

“แม่กับป้าพี่คงเลี้ยงเจ้าแฝดไหว สบายๆ พี่จะไปทำร้านแทนวัธน์จ้ะ” คราวนี้ปณาลีไม่เข้าใจนัก กวีวัธน์มีหุ้นส่วน เธอเองไม่รู้เรื่องทางกฎหมายมากนัก แต่ให้เดา ร้านน่าจะเป็นเรื่องของหุ้นส่วนไม่ใช่หรือ

“พี่มีหุ้นอยู่ด้วยน่ะ ร้านแรกที่วัธน์เขาอยู่ประจำ พี่ไม่มีส่วนอะไร อันนั้นเขาทำกับเพื่อนของเขา แต่วัธน์ถือเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ เยอะกว่าใคร แต่ร้านที่วัธน์เปิดที่หน้าโรงเรียนประจำจังหวัด เขาชวนพี่ร่วม เพราะกลิ่นไม่ค่อยดีจากร้านเก่า เพื่อนจากร้านเก่าของเขามีหุ้นที่นี่น้อยมาก และร้านที่อยู่ตรงรีสอร์ทของวิน ตรงนั้นมีแค่เราสามคนพี่น้อง”

ปณาลีกระจ่างก็ตอนนี้ ปวิตราน่าสงสารอยู่เหมือนกัน ดูเหมือนพี่สาวของเธอจะเป็นคนนอกเหมือนที่เคยเปรย กวีวัธน์ไม่ได้ให้พี่ของเธอมีส่วนร่วมใดๆ เลย ขนาดกัทลีอยู่ไกลถึงสิงคโปร์ยังมีส่วน หญิงสาวไม่เคยถามไถ่ว่ากวีวัธน์จัดสรรเรื่องค่าใช้จ่ายในครอบครัวอย่างไร อย่างนี้ไม่เท่ากับปวิตราใช้เงินเดือนพยาบาลมาตลอดหรอกหรือ หากกวีวัธน์จะให้พี่สาวของเธอมีหุ้นส่วนสักนิด ปวิตราคงได้เงินปันผลอยู่มาก

“จริงๆ แล้วที่ดินร้านแรกเป็นของวัธน์ และเขาเขียนเป็นหนังสือคล้ายพินัยกรรมว่าหากเขาเป็นอะไรไปที่ตรงนั้นจะเป็นของพี่ นอกจากนี้วัธน์เขาเพิ่งโอ้นหุ้นที่ร้านแรกให้วินห้าสิบเปอร์เซ็นต์จากเจ็ดสิบ แล้วก็มาเกิดเรื่องนี่แหละ เหมือนเขารู้เนอะว่าอะไรจะเกิดขึ้น” แม้จะไม่ได้เป็นคนบ้าสมบัติ เพราะเธอเองก็เกิดมาในครอบครัวที่พร้อม แม้ไม่รวยแต่ไม่ขาด แต่อย่างนั้นปณาลียังอดคิดไม่ได้ ปวิตราเหมือนคนนอกจริงๆ เหมือนอย่างที่ครั้งหนึ่งพี่สาวของเธอเคยบ่นไว้ คำพูดของปวิตราที่เคยพูดว่าหากกวีวัธน์กับพี่สาวของเธอเลิกรากัน หรือเขามีอันเป็นไป พี่สาวของเธอจะไม่ได้อะไรเลย นั่นเป็นเรื่องจริงสินะ

“แล้วทำไมถึงสงสัยพี่หนึ่งละคะ ในเมื่อพี่หนึ่งไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการตายของพี่วัธน์” กัทลีดูเหมือนอึดอัดที่จะตอบ และปณาลีจับสังเกตได้

“วินเขามีหลักฐานและสมมติฐานที่น่าเป็นไปได้ เราพูดไม่ได้เดี๋ยวจะเสียรูปคดี” ปณาลีแค่นยิ้ม

“ไม่เป็นไรค่ะ ทางเราคงทำได้เพียงแค่รอ รอว่าเมื่อไรเขาจะมาเอาหลานไป รอว่าเมื่อไรตำรวจจะมาเคาะประตูเชิญเราไปโรงพัก รอด้วยความกลัว”

“มันไม่เกี่ยวกับน้ำ อย่าใช้คำว่าเราสิจ๊ะ” กัทลีรีบยืนขึ้นพร้อมโอบไหล่คนอ่อนวัยกว่า ปณาลีค่อยๆ หันมาสบตาช้าๆ

“พี่วุ้นรักพี่วัธน์ยังไง น้ำก็รักพี่สาวของน้ำอย่างนั้น น้ำเชื่อในตัวพี่หนึ่งค่ะ น้ำถึงใช้คำว่าเรา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น น้ำกับครอบครัวจะอยู่เคียงข้างพี่หนึ่งเสมอ”
---------------------------------------------------------------------------------------------------

มาแล้วจ้า พอดีจะกลับบ้าน คริสมาสต์-ปีใหม่ค่ะ เลยเอามาแถมให้อีก 1 ตอน และจะพบกันอีกทีหลังปีใหม่โน่นเลยนะคะ อย่าเพิ่งลืมพี่วินกะหนูน้ำนะคะ

วันนี้ยุ่งกับการเก็บงาน แพคของ ขออนุญาตไม่ตอบคอมเม้นต์นะคะ แต่อ่านหมดแล้ว ขอบคุณทุกคนค่ะ สำหรับตอนนี้ ติชมได้ตามสะดวกนะคะ...ขอบคุณค่ะ
---------------------------------------------------------------------------------------------------



น้ำแอปเปิ้ล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ธ.ค. 2557, 23:06:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ธ.ค. 2557, 23:06:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 2499





<< ---- (5) ----   ---- (7) ---- >>
ribbin 16 ธ.ค. 2557, 23:33:11 น.
ยิ่งอ่านก็ยิ่งสงสัย หลักฐานอะไรหนอที่ทำให้มั่นใจขนาดนี้


konhin 17 ธ.ค. 2557, 04:57:50 น.
คิดไม่ออกว่าเหตุการณ์มันหนักแบบฟ้องร้องกันแบบนี้ เรื่องจ้างวานฆ่าด้วย พระเอกกับนางเอกจะลงเอยกันได้ยังไง จะมองหน้ากันติดได้ยังไง จะถึงขั้นแต่งกันได้ยังไง ขนาดพี่สาวกับน้องชายแต่งด้วยความรักยังแยกทางกัน(ก่อนที่จะตาย) นี่เริ่มต้นด้วยเรื่องแบบนี้ นึกไม่ออก


กาซะลองพลัดถิ่น 17 ธ.ค. 2557, 05:52:15 น.
จะมุ่งประเด็นไปที่หุ้นส่วนที่เป็นเพื่อนก็ไม่น่าจะใช่แล้ว อาของน้ำก็มีเงาลาง ๆ ว่าอาจจะเป็นได้
แต่หนึ่งนี่ดิ นึกไม่ออกไม่น่าจะเป็นหนึ่ง......
เที่ยวให้สนุกขอให้มีความสุขกับครอบครัวนะคะ เดินทางปลอดภัยคะ


Zephyr 17 ธ.ค. 2557, 21:27:51 น.
ยิ่งอ่านยิ่งเครียดนะคะ ถ้าเรื่องดำเนินไป
สองคนนั้นจะรักกันยังไง จะลงเอยยังไง
ดำเนินคดี ต่อให้ไม่ใช่จัวเอง แต่นี่พี่น้องคนละฝั่ง
จะมองหน้ากันติดเหรอ รักกันไปแบบหวาดระแวง
มันจะเวิร์กเหรอคะ
หลักฐานบ่งชี้จริงจัง ถ้าเป็นหนึ่งจริง หดหู่นะคะ
ที่คนรักกันฆ่ากันเอง
ถ้าไม่ใช่ สงสารพี่วินเหมือนกีนที่จะหน้าแตก
แถมอาจโดนน้ำแหกอก


ผักหวาน 17 ธ.ค. 2557, 22:08:25 น.
ชอบหนูน้ำมากๆ ค่ะมีเหตุมีผลดี


น้ำแอปเปิ้ล 17 ธ.ค. 2557, 23:41:49 น.
ใจเย็นๆ กันนะคะ คิดว่าจะเครียดน้อยลงค่ะ และพี่วินเขาฉลาดกว่านั้น ไม่ดราม่าตลอดเรื่องค่ะ


RdoubleC 20 ธ.ค. 2557, 15:38:47 น.
คือ น่าจะมีการอธิบาย/บรรยายไว้หน่อยว่า ตั้งแต่กวินภพสงสัยหนึ่ง แต่ทำไมหนึ่งไม่รู้เรื่องเลย เพราะเขาก็แสดงออกขนาดนั้น(ผลักโดนน้ำที่งานศพ)

คือหนึ่งอยู่บ้านเดียวกันกับน้ำ(ถึงจะอยุ่หอพยาบาลก็เถอะ) แต่ไม่เอะใจอะไรสักอย่างเลยเหรอคะ


ใบบัวน่ารัก 14 ม.ค. 2558, 20:31:44 น.
อารมแรงทั้งคู่ น้ำเธอเป็นกระสอบทราย
หรือสีทนได้เนี่ย ช้ำแถมเดี้ยงใส่แผือกอีก


myfearless 17 ม.ค. 2558, 21:07:40 น.
รอตอนต่อไปอยู่นะค๊าาา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account