ภิรมย์รัก
กุลสตรี!

รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง
หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ นั้นไม่เป็นกุลสตรี
หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง
แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้
หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษ
ต่อแต่นี้ไปก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด!

หากภาวนาไปไม่พ้นสามวัน
คนที่เธอไม่อยากพบเจออีกในชาตินี้ กลับมาเป็นอาจารย์ของเธอเอง
คราวนี้คงต้องฟังแลกเชอร์ว่าด้วย “ความเป็นกุลสตรี” เสียจนหูชาแน่ๆ
เธอต้องหาทางหนีสถานเดียว!

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
ยิ่งพยายามหนีให้ไกลจากดวงตาสีดำคูคมนั้นเท่าไหร่
กลับยิ่งเหมือนอีกฝ่ายจะไล่ตามมาไม่ปล่อยเสียอย่างนั้น!

Tags: ย้อนยุค,ศิษย์,อาจารย์,ท่านชาย,ท่านหญิง,ความรัก,พีเรียด

ตอน: บทที่ 11 [100%]

“งานวันนี้ใหญ่โตดีจริง คงเป็นที่ร่ำลือกันในวงสังคมอีกนานแน่”

แวววรรณเอ่ยทำลายความเงียบในรถ ร่างงามในชุดราตรีสีน้ำเงินเข้มนั่งอยู่ข้าง ‘คนขับรถกิติมศักดิ์’ ที่นิ่งเงียบมาตลอดเส้นทาง

“ว่าแต่เสียดายจังนะที่ไม่เห็นรดาบนฟลอร์เต้นรำ ไม่เป็นไรนะ ประเดี๋ยวถ้าฉันว่างๆ จะสอนเธอบ้าง ถ้าเผื่อมีโอกาสได้มางานสังคมชั้นสูงอย่างนี้อีกจะได้เต้นเป็น ไม่ไปยืนเป็นไม้ประดับอยู่รอบนอก ดีไหม?”

ข้อเสนอที่ ‘เหมือนจะดี’ ทำให้รุจิรดายิ้มเย็น ทว่าไม่ทันได้ตอบอะไรออกไปอีกฝ่ายก็เอ่ยต่อ “หญิงอรก็เหมือนกัน ไม่ได้เห็นหญิงอรเต้นรำหลายเพลงติดต่อกันอย่างนี้สักที วันนี้เห็นทีคงสนุกมากกระมัง คุณมนต์ชัยเขาก็น่ารักดีนะ เป็นผู้ใหญ่ อนาคตไกลด้วย เทียบกับมนต์ณัฐแล้วคนนี้ดูเป็นโล้เป็นพายกว่ามากทีเดียว รดามีมนต์ณัฐแล้ว มนต์ชัยก็ถือว่าเป็นผู้ชายที่น่าสนใจไปเลยนะฝ่าบาท”

“หญิง...ไม่ทราบ...”

“แหม...ไม่ทราบได้อย่างไรคะ ดูเขาเครซี่ท่านออก น่ารักจะตาย เป็นผู้ชายที่ครบเครื่องดีจัง ทั้งหน้าตา ชาติตระกูล ความร่ำรวย เนี่ย...ดูอย่างรดาสิฝ่าบาท” แวววรรณหันมาหาเธออย่างรวดเร็ว “มนต์ณัฐน่ะเขาดูสนิทสนมกับรดามาก สองคนนี้เขาดูชอบๆ กันจะตาย ฝ่าบาทก็ต้องคิดบ้างแล้วนะเพคะ ผู้ชายที่จะมาเป็นเขยขวัญของนฤบดินทราทิตย์น่ะ คุณสมบัติ รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติอย่างน้อยก็ต้องสมน้ำสมเนื้อกัน จริงไหม?”

ท่านหญิงอรกัญญาเบือนพักตร์หนีไม่ตอบคำ ทว่าหทัยดวงน้อยกลับแปลบปลาบเกินทนไหว

แม้แต่แวววรรณยังดูออกเลยว่าณัฐชอบรดา...เขาจะเก็บงำความรู้สึกนั้นเอาไว้บ้างสักหน่อยไม่ได้หรือ?

“คุณแวววรรณก็พูดเกินไปนะคะ” น้ำเสียงรุจิรดาเย็นเยียบ ยิ่งเห็นพักตร์ของเพื่อนสนิทซีดราวกับกระดาษขาวก็ยิ่งเดือดดาล “ดิฉันกับมนต์ณัฐไม่ได้คิดอกุศลอะไรอย่างที่ ‘บางคน’ คิดแน่นอน ส่วนพี่มนต์ชัย ดิฉันเห็นว่าเธอก็เป็นสุภาพบุรุษดี และไม่ได้ทำท่าทีอะไรเกินกว่าหน้าที่สุภาพบุรุษพึงกระทำด้วย มิตรภาพนะคะ...ไม่ได้จำกัดที่เพศ ดิฉันเห็นว่าเป็นการล้าหลังเหลือเกินที่จะมองว่าหญิงและชายไม่อาจจะมีมิตรภาพอันบริสุทธิ์ใจให้กันได้ คุณแวววรรณว่าจริงไหมคะ?”

“นี่...”

“ถึงแล้วล่ะ แวววรรณ”

รับสั่งเรียบๆ ของหม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ทำให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ตอนหน้าเบิกดวงตาโต “อ้าว ไม่ใช่ว่าฝ่าบาทจะไปส่งแม่...รดาก่อนหรือเพคะ”

“ฉันไม่ได้บอกอย่างนั้นนะ”

“ถ้าอย่างนั้น...” ใบหน้าหวาดแฉล้มที่ตกแต่งไว้งามหันมาหาคนที่นั่งคู่กับท่านหญิงอรกัญญาพลางเอ่ยเสียงแข็ง “รดาจะลงด้วยกันไหม ประเดี๋ยวฉันจะให้คนรถขับไปส่งเธอที่บ้าน”

รุจิรดาอ้าปากจะปฏิเสธ แต่กลับไม่ทันสุรเสียงทุ้มที่เอ่ยขัด “ไม่จำเป็นหรอก ฉันจะไปส่งรุจิรดาเอง”

“แต่...”

“หม่อมฉันกลับเองเพคะ”

สองเสียงของสองสาวประสานกันขึ้นมาทันที เรียกให้แววเนตรของหม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์วาบขึ้นในความมืดฉับพลัน “ฉันจะไปส่งเธอเอง และฉันไม่ได้เปิดโอกาสให้เธอโต้แย้งได้นะ”

สุรเสียงแฝงแววเฉียบขาดทำให้ทั้งสองเงียบลงไปแต่โดยดี แวววรรณเปิดประตูรถลงไปยืนอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ที่แม้จะอยู่ในเงามืดเสียครึ่ง รุจิรดาก็อยากจะนิยามใหม่เสียว่าเป็น ‘คฤหาสน์’ มากกว่า ร่างระหงของหญิงสาวกระพุ่มมือไหว้คนมาส่งอย่างอ่อนหวาน พลางเอ่ย “ทรงกรุณาเหลือเกินที่มาส่งหม่อมฉันเพคะ กู๊ดไนท์ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะเพคะหญิงอร รดา”

หม่อมเจ้าหญิงอรกัญญาพยักพักตร์น้อยๆ เช่นเดียวกับรุจิรดาที่เพียงค้อมศีรษะลงต่ำ แต่เมื่อเหลือบขึ้นมองอีกครั้งก็ใจหายวาบกับดวงตาเข้มจัดของอีกฝ่ายที่มองมาตรงๆ ไม่หลบเลี่ยง

โรสรอยซ์คันงามแล่นไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความเงียบ กระทั่งจู่ๆ ท่านหญิงองค์น้อยก็รับสั่งขึ้น “รดาจ๋า”

“เพคะ?”

“พรุ่งนี้รดาไม่มีเรียนเช้าไม่ใช่หรือ?”

“ใช่เพคะ ทำไมหรือ?”

“หญิงอยาก...อยากให้รดาค้างอยู่กับหญิงสักคืนหนึ่งได้ไหม?”

สุรเสียงเครือน้อยๆ ทำให้หญิงสาวว้าวุ่น เมื่อหันไปสบกับดวงเนตรคมที่ทอดมาจากกระจกมองหลังก็ชะงัก

“นี่ก็ดึกแล้ว ค้างอยู่ที่นั่นก็ดีเหมือนกัน ที่บ้านมีโทรศัพท์หรือเปล่า โทรไปบอกที่บ้านไว้เสีย”

ทั้งพี่ทั้งน้องรับสั่งเสียอย่างนี้ รุจิรดาจึงได้แต่รับคำเสียงเบา ในใจทั้งขันทั้งเคือง

ไม่บังคับก็เหมือนบังคับล่ะงานนี้




เกือบสองยามแล้วกว่าที่ตุ๊กตาแก้วเจียระไนจะบรรทมหลับ รุจิรดาถอนหายใจอย่างหนักอก ร่างโปร่งบางในชุดนอนตัวยาวที่ต้องหยิบยืมจากท่านหญิงอรกัญญาออกจะสั้นอยู่บ้างเมื่อมาอยู่บนตัวของหญิงสาว มือเรียวค่อยๆ ปาดน้ำใสที่ยังหลงเหลืออยู่บนปรางนวลออกแผ่วเบาอย่างไม่ต้องการรบกวนคนที่เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว

ทันทีที่เข้ามาถึงวัง ท่านชายก็ทรงจัดแจงให้เธอโทรศัพท์ไปหาที่บ้าน คราแรกทรงบอกว่าจะรับสั่งกับผู้ปกครองของเธอเอง แต่รุจิรดารีบห้ามเอาไว้ เกรงจะเป็นเรื่องใหญ่โตเสียเปล่า อีกอย่าง...เธอยังไม่อยากให้ใครรู้ทั้งนั้นว่า ‘ผู้ปกครอง’ ของตนเองเป็นใคร แม้แต่อาจารย์เองก็ตาม

หญิงสาวเดินออกมาจากห้องบรรทมของสหายสนิทอย่างใจลอยอยู่บ้าง ร่างโปร่งบางเดินลงบันไดด้วยฝีเท้ากระเผลกเล็กน้อย เธอไม่ค่อยชินกับรองเท้าส้นสูง เมื่อต้องใส่นานๆ จึงถูกรองเท้ากัดเสียเจ็บ

ค่อยๆ เดินกระเผลกไป พลางคิดถึงสุรเสียงร้าวรานของเพื่อนไปด้วย

“หญิงไม่เข้าใจ” รับสั่งทั้งที่หยาดน้ำใสร่วงจากเนตรสวย “หญิงทำผิดอะไร รดา...เขาถึงทำท่าทาง น้ำเสียงอย่างนั้นใส่หญิง เป็นตัวเขาเองไม่ใช่หรือที่ทิ้งให้หญิงอยู่คนเดียว เดินหายไปไหนก็ไม่รู้ แล้วพอพี่ชายเขามาขอหญิงเต้นรำ จะให้หญิงปฏิเสธอย่างไร พอมาถึงก็มาทำท่าหงุดหงิดใส่หญิง หาว่าเสียแรงที่เป็นห่วง! เป็นห่วง! ดูสิรดา เขาบอกมาได้ว่าเป็นห่วงหญิง ทั้งที่จริงคนที่เขาเป็นห่วงก็คือรดานั่นแหละ!”

จำได้ว่าตนเองได้แต่ปลอบโยนให้ตุ๊กตาตัวน้อยหยุดกรรแสงได้อย่างยากเย็น ฟังสุรเสียงสั่นระริกที่พรั่งพรูความน้อยพระทัยในตัวเพื่อนชายเพียงคนเดียวออกมาจนสิ้น

แต่ที่แน่ๆ เมื่อฟังเหตุการณ์ทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว รุจิรดาก็ได้แต่ยิ้มกับตนเองอย่างขันๆ

โธ่เอ๋ย...ณัฐเอ้ย...ไม่รู้อะไรเลยแท้ๆ

ไม่รู้กระทั่งว่าใจตัวเองแท้จริงแล้วอยู่กับใครด้วยซ้ำ

แต่เพราะเธอทำให้หญิงอรต้องร้องไห้ เรื่องอะไรฉันจะทำให้เธอสมหวังง่ายๆ ล่ะ

“ณัฐมันบ้า หญิงอร” จำได้ว่าตัวเองตอบกลับไปอย่างนั้น น้ำเสียงแฝงเลศนัย ทว่าท่านหญิงที่ยังกรรแสงอยู่จับร่องรอยไม่ได้ “ฟังหม่อมฉันนะ หม่อมฉันไม่รู้หรอกว่าณัฐชอบหม่อมฉันจริงหรือเปล่า แต่หากถามหม่อมฉัน หม่อมฉันตอบได้เลยว่าไม่จริง หัวใจณัฐไม่ได้อยู่ที่หม่อมฉันเลยจนนิดเดียว”

“แต่ว่าณัฐเขา...”

“อย่างที่ทูลเมื่อครู่นั่นแหละเพคะ ณัฐมันบ้า” รุจิรดายังคงย้ำ “สมองกับหัวใจ บางทีก็ให้ผลลัพธ์อะไรออกมาไม่ตรงกันหรอกนะเพคะ หม่อมฉันบอกได้เพียงว่า ณัฐใช้สมองยามที่บอกว่าชอบหม่อมฉัน แต่กับหัวใจ...เขาไม่เคยสำรวจตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียวว่าหัวใจเขายามนี้อยู่ที่ใคร”

“หญิงไม่เข้าใจ”

สุรเสียงแผ่วเบาแฝงรอยว้าวุ่นทำให้หญิงสาวยิ้มกว้าง “หญิงอรไม่เข้าใจน่ะถูกต้องแล้ว แต่หากทรงเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ ‘หม่อมเจ้าหญิงอรกัญญา’ จะทรงเข้าใจแน่นอน”

“ทำไมล่ะ?” ชลเนตรหยุดไหลไปแล้วยามที่เนตรงามจ้องเป๋ง คล้ายเด็กน้อยยามอยากรู้อยากเห็นมาที่สหายสนิท “ทำไมหญิงต้องเป็นคนอื่นถึงจะเข้าใจล่ะรดา?”

“ก็เพราะว่า...ความรู้สึกบางอย่าง หากเป็นคู่กรณี มักจะเหมือนมีอะไรมาบังตาเอาไว้น่ะสิเพคะ” ร่างโปร่งบางเอ่ยอย่างซุกซน ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม “เอาล่ะ นอนเถอะเพคะ ดึกแล้ว หากเชษฐาของฝ่าบาทรู้ว่าหม่อมฉันชวนคุยเสียดึกถึงเพียงนี้ หม่อมฉันถูกเทศนาแน่ๆ”

ท่านหญิงองค์น้อยทอดองค์ลงบรรทมอย่างว่าง่าย เพียงครู่เดียว ความง่วง ความอ่อนเพลียที่ได้ผจญมาทั้งวัน และการกรรแสงต่อเนื่องก็ทำให้ทรงหลับไหลไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้คนปลอบนอนตาค้าง จนต้องลุกขึ้นมาหาน้ำดื่มยามดึก ดับความว้าวุ่นในหัวใจให้หมดสิ้นไปเสีย

ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของเธอเองสักหน่อย ไม่ว่าสร้อยเพชรเส้นงามที่ยามนี้ถูกส่งคืนให้กับเจ้าของแล้วจะเคยเป็นของหม่อมเจ้าหญิงปทมวรรณจริงหรือไม่ ไม่ว่าสิ่งที่ทำให้อาจารย์ผู้ทรงเก็บงำความรู้สึกไว้ได้ดีเสมอเปลี่ยนสีพระพักตร์ได้จะเป็นเรื่องใด เธอก็ไม่อยาก...ไม่อยากที่จะรับรู้ทั้งนั้น

ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรที่จะรู้เลยแม้แต่น้อย...

แล้วดูทีรึ เจ้าน้องหลับไปเรียบร้อยแล้ว เจ้าพี่กลับยังสุนทรี เปิดจานเสียงฟังเสียอย่างนั้น

รุจิรดาชะงัก เมื่อได้ยินเสียงดนตรีแผ่วเบาและแสงสว่างอ่อนจางที่ลอดออกมาจากบานประตูซึ่งแง้มเปิดอยู่เล็กน้อย หญิงสาวตั้งท่าจะเดินเลี่ยงไปเสียหากไม่ได้ยินสุรเสียงทุ้มจากด้านในรับสั่งขึ้นมาเสียก่อน

“รุจิรดาหรือ? เข้ามาสิ”

ร่างโปร่งบางขมวดคิ้ว ท่าเจ้าของห้องจะทรงคิดว่าเธอมาเข้าเฝ้ากระมัง...หญิงสาวกลืนน้ำลายเล็กน้อยก่อนทูลตอบ

“คือ...หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจมารบกวนนะเพคะ หม่อมฉันกำลังจะลงไปหาน้ำดื่ม...”

“เข้ามาก่อน”

รับสั่งนุ่มเบาทว่าแฝงรอยเฉียบขาดทำให้อีกฝ่ายหมดถ้อยคำปฏิเสธ รุจิรดาเดินเข้าไปในห้อง มองไปยังจุดที่มีแสงสว่างเพียงจุดเดียว...นั่นคือโต๊ะทรงอักษรของหม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์เอง

ความรู้สึกคล้ายๆ จะขนลุกค่อยซ่านซึมเข้าไปทั่วทั้งร่างตามสายพระเนตรของเจ้าของห้องที่กำลังทอดมองมา ยามนี้อาจารย์อยู่ในฉลองพระองค์เตรียมบรรทม หญิงสาวกระพริบตาปริบๆ เสมองไปยังหน้าต่างที่มีแสงนวลของเดือนเพ็ญลอดเข้ามา ไม่ได้รู้เลยว่ากิริยานั้นทำให้เนตรนิลทั้งคู่ตรึงอยู่กับตนเองอย่างไม่อาจไถ่ถอนออกไปได้

และหรือบางที...ก็ไม่อยากไถ่ถอนจากไปเสียแล้ว...

แสงจันทร์ที่อาบไล้ดวงหน้านวลผ่อง ระเรื่อยมาจนถึงลำคอระหง เส้นผมดำขลับหยักศกน้อยๆ ตลอดจนร่างโปร่งบางในชุดนอนสีหวานของขนิษฐา สะกดให้หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ทอดเนตรนิ่ง นานเสียจนลูกแก้วสีน้ำตาลใสคู่นั้นหันกลับมาอย่างอึดอัด

“ทรงต้องการรับสั่งอะไรกับหม่อมฉันหรือเพคะ”

“เรื่องหญิงอร ฉันอยากฝากเธอ”

แม้จะไม่รับสั่งอะไรออกมา หญิงสาวก็รับรู้ถึงเนื้อสารที่ทรงใช้สายพระเนตรสื่ออย่างเต็มหัวใจ รุจิรดาแย้มริมฝีปากน้อยๆ ยามทูล “หญิงอรเธอน่ารักเพคะ ไม่ว่าอยู่ใกล้ใคร ก็คล้ายมีอำนาจประหลาดที่ทำให้คนอื่นทำได้เพียงรักและทะนุถนอมเธอเหมือนตุ๊กตาแก้วเจียระไนทั้งนั้น”

สีพระพักตร์ขรึมของอาจารย์ค่อยคลายลงบ้าง “ขอบใจเธอมาก ฉันดีใจที่เธอเป็นเพื่อนที่ดีของน้องฉัน”

“หม่อมฉันก็ดีใจที่มีเพื่อนที่ดีเหมือนหญิงอรเพคะ”

“แล้วเรื่องมนต์ณัฐ...เพื่อนชายคนสนิทของเธอ...”

บางอย่างในสุรเสียงเรียบเฉยนั้นทำให้เธอหันมามองพักตร์คมคายเต็มตา แววเนตรคล้ายจะหยั่งท่าทีอะไรบางอย่างทำให้หญิงสาวเอ่ยออกไปอย่างอดไม่ได้

“ณัฐกับหม่อมฉันน่ะไม่ได้มีอะไรกันจนนิดเดียวเพคะ เราสองคนมีแต่มิตรภาพที่บริสุทธิ์ใจให้กันเท่านั้น”

“เธอยืนยันแทนได้กระทั่งตัวมนต์ณัฐเองหรือ?”

“หม่อมฉันยืนยันแทนณัฐได้เพคะ เพราะหม่อมฉันรู้ว่าณัฐเขาเข้าใจผิด”

“เอ๊ะ อย่างไรกัน?”

สุรเสียงที่บอกแววฉงนจริงๆ ทำให้หญิงสาวต้องอรรถาธิบายอย่างช่วยไม่ได้ “ณัฐอาจจะนึกว่าเขาชอบหม่อมฉัน แต่จริงๆ แล้วเขา...ชอบคนอื่นเพคะ”

“เธอคิดว่าใครกัน?”

“ก็...” รุจิรดาอ้าปาก พระนามของท่านหญิงอรกัญญาติดอยู่ที่ริมฝีปากแล้วเมื่อหญิงสาวเสมองไปทางอื่นเสีย พลางบ่ายเบี่ยง “หม่อมฉันยังไม่แน่ใจนักเพคะ แต่ที่แน่ๆ หม่อมฉันน่ะไม่ได้คิดอะไรกับณัฐเลยจนนิดเดียว”

แปลก...ไม่รู้ทำไมแววเนตรคมกริบของอาจารย์ถึงพราวระยับขึ้นมาเสียอย่างนั้น...คล้ายกับทรงเจอเรื่องถูกพระทัยเสียแหลือเกินอย่างนั้นแหละ

เอาเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว เธอคงกลับได้แล้วกระมัง

“ทรงมีเรื่องอะไรจะรับสั่งอีกไหมเพคะ?”

ถามไปแล้ว ดวงตาสีน้ำตาลใสก็ทอดไปจับอยู่ตรงแก้วใบเล็กที่ยังคงมีคราบสีน้ำตาลเข้มติดอยู่บ้างตรงโต๊ะทรงพระอักษร ทันใดนั้นหญิงสาวก็เอ่ยขึ้นอีก คราวนี้ด้วยน้ำเสียงแหลมสูง “เสวยกาแฟอีกแล้วหรือเพคะ?”

หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์เกือบจะแย้มสรวล “ถ้าฉันดื่ม?”

ริมฝีปากบางยื่นนิดๆ ด้วยความไม่พอใจ “ไม่ใช่กงการอะไรของหม่อมฉันหรอกเพคะ แต่หม่อมฉันน่ะไม่อยากให้หญิงอรต้องเป็นห่วงฝ่าบาทเรื่องนี้”

“อ้อ ก็มีแค่หญิงอรเท่านั้นสินะที่เป็นห่วงฉัน?”

“หม่อมฉันเชื่อเพคะ ว่ามีอีกหลายคนที่เป็นห่วงฝ่าบาท” น้ำเสียงหญิงสาวเจือรอยประหลาดที่ตนเองก็ไม่อาจบอกได้ว่ามันคืออะไร “อย่างเช่นคุณแวววรรณ หรือคนอื่นๆ”

“คนอื่นๆ คงไม่รวมถึงเธอด้วยกระมัง?” คราวนี้สุรเสียงนุ่มแฝงแววเย้าแหย่คล้ายเจอเรื่องสนุก ทำให้คนฟังขัดหูเสียจนโพล่งออกไป

“ทำไมจะไม่รวมล่ะเพคะ ถ้าหม่อมฉันไม่...”

ตายล่ะ! รดา พูดอะไรออกไปน่ะ...

ร่างโปร่งบางชะงักนิ่ง เธอจะทูลท่านว่าอะไรน่ะ? ถ้าเธอไม่ห่วงก็คงไม่เจ้ากี้เจ้าการอย่างนี้กับท่านหรือ? แล้วตกลงเธอเจ้ากี้เจ้าการกับท่านไปแล้วหรือ? ถือสิทธิ์อะไรกันล่ะ?

“ไม่อะไร...รุจิรดา”

ดวงเนตรคมกริบเปล่งประกายงดงามยามจ้องมองมาที่เธอ นี่เธอกำลังตาฝาดใช่ไหมที่เห็นวรองค์สูงนั่นกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้...

“หืม...ไม่อะไร...รดา ทำไมไม่พูดให้จบประโยค”

เป็นครั้งแรกที่รับสั่งเรียกชื่อเธอว่า ‘รดา’ ไม่ใช่ ‘รุจิรดา’

บางอย่างในอกกำลังเต้นระรัวจนเธอกลัวเสียเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงนั้น ใบหน้าสาวน้อยร้อนผ่าว หันรีหันขวางไม่กล้าสบเนตรคมที่จ้องมองนิ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตนเองเป็นกวางที่กำลังตัวสั่นสะท้านใต้แววตาพยัคฆ์เสียอย่างนั้น

คนตรงหน้าของเธอคืออาจารย์ คือหม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ที่ยังคงพักตร์เรียบเฉย ท่วงท่าเคร่งขรึมองค์เดิมไม่เปลี่ยน
ทว่าบางอย่าง...เหมือนจะไม่เหมือนเดิม...

ร่างโปร่งบางถอยหลังอย่างควบคุมตนเองไม่อยู่ แต่ข้อเท้าที่เจ็บแปลบขึ้นมาทำให้หญิงสาวก้าวสะดุด ร่างซวนเซไปด้านหลังเล็กน้อย...

...ก่อนหัตถ์หนาจะคว้าต้นแขนของเธอเอาไว้มั่น แล้วเหนี่ยวร่างบอบบางเข้ามาแทบชิด

กลิ่นอาฟเตอร์เชฟหอมอ่อนจางและไออุ่นจากอ้อมอุระกว้างทำให้ใบหน้าน้อยแดงก่ำ ดีใจเหลือแสนที่แสงไฟในห้องนั้นสลัวเสียจนเธอสามารถซ่อนใบหน้าเรื่อด้วยเลือดฝาดเอาไว้ได้มิดเม้น เข็มนาฬิกาคล้ายหยุดเดินไปโดยสิ้นเชิงเมื่อรุจิรดาได้ยินเสียงอบอุ่นอยู่ใกล้...ใกล้เสียจนรู้สึกถึงปัสสาสะกระทบผิวเนื้อแผ่วเบา

“ฉันรู้มาว่าเธอไม่ได้เต้นรำในงานเลี้ยง”

“หม่อมฉัน...” น้ำเสียงหญิงสาวตะกุกตะกัก “...เต้นรำได้ไม่คล่องเท่าไหร่เพคะ ไม่อยากขายหน้าคนอื่น เลยไม่เต้นดีกว่า”

“ถ้าอย่างนั้น...จะให้เกียรติเต้นรำกับฉันได้ไหม? รดา”

ไม่รอคำตอบจากคนในอ้อมกร ท่านชายอดุลย์วิทย์ค่อยขยับองค์เชื่องช้า นำหญิงสาวให้เคลื่อนตัวตามจังหวะดนตรีอ่อนหวาน กรแข็งแรงเหนี่ยวเอวบางเข้ามาใกล้จนเกือบชิด หัตถ์อีกข้างช้อนประคองมือน้อยเอาไว้อย่างอ่อนโยน พาร่างโปร่งบางลอยเลื่อนคล้ายกำลังอยู่บนฟลอร์กว้าง

When the girl in your arms is a girl in your heart,

Then you've got everything

When you're holding the dream, you can dream when you hold,

You're as rich as a king

หัวใจดวงน้อยของคนฟังสั่นสะท้าน ได้แต่หลับตา ปล่อยให้ท่านชายพาตนเองล่องลอย ดั่งอยู่ในฝันหวาน

“รดา...”

“เพคะ?”

รออยู่เนิ่นนานในความรู้สึก ทว่าท่านชายกลับไม่รับสั่งออกมาเสียที รุจิรดาขมวดคิ้ว อดรนทนไม่ได้จนต้องเงยหน้าขึ้นสบเนตรคมที่จ้องมาอยู่ก่อนแล้ว

ตาต่อตาประสานกันนิ่ง ดวงเนตรหนึ่งฉายประกายลึกซึ้งเกินหยั่ง ดวงตาอีกคู่พยายามค้นคว้า ‘บางอย่าง’ ที่เห็นได้เลือนรางในเนตรคมคู่นั้น

So hold her tight and never let her go

day and night let her know you love her so.

With the love of your life, spend a lifetime of love

Make her young forevermore

พักตร์หล่อเหลาเลื่อนลงมาใกล้ทีละน้อย เนตรพราวระยับจับจ้องไปยังลูกแก้วสีน้ำตาลใสที่เหมือนต้องมนต์บางอย่างให้ไม่อาจหลบเลี่ยงไปที่ใดได้ หัวใจดวงน้อยสั่นระรัวจนเธออยากยกมือขึ้นกุมอก ทว่าหัตถ์หนายังคงพันธนาการเธอเอาไว้มั่น

ดวงตาอ่อนใสดังลูกกวางพริ้มลงอย่างไม่อาจควบคุมยามที่พักตร์คมคายเลื่อนลงมาแทบชิด ลมอุ่นจนเกือบร้อนไล้ปะทะแก้มนวลแผ่วเบา หญิงสาวมองไม่เห็นแววเนตรลึกซึ้งที่จับจ้องอยู่ตรงริมฝีปากอิ่ม ไม่เห็นร่องรอยข่มพระทัยหนักหน่วงมิให้เผลอองค์เลื่อนริมโอษฐ์หยักงามลงแตะแต้มผิวหน้า หรือแม้แต่เรียวปากสีกุหลาบที่อยู่ห่างเพียงชั่วลมหายใจกั้น

มีเพียงเสียงเต้นไม่เป็นจังหวะของหัวใจตนเอง และเสียงคล้ายทอดถอนพระทัยที่ส่งให้ปัสสาสะแผ่วพรูกระทบนวลแก้ม และใบหูอ่อนบางเท่านั้น

เนิ่นนาน...ดั่งกาลเวลาได้หยุดนิ่งลงไปแล้ว กว่าที่ท่านชายจะรับสั่งออกมาอีกครั้ง “ขอบใจมาก รดา”

หญิงสาวไม่อาจเค้นเสียงตอบรับออกไปได้จริงๆ

จวบจนหยุดเต้นรำ อ้อมกรแน่นหนานั้นจึงคลายออก พร้อมกับสุรเสียงทุ้มนุ่มที่ดังขึ้นอย่างปกติ “ไปเถอะ ฉันจะไปส่งเธอที่ห้อง”

พูดจบ วรองค์สูงก็หันกลับ ก่อนดำเนินออกจากห้องทรงงานด้วยฝีพระบาทที่ออกจะเร็วเกินปกติไปสักหน่อย รุจิรดาเดินตามไปอย่างเงียบๆ จนถึงหน้าห้องของท่านหญิงอรกัญญา จึงทรงเอื้อมหัตถ์ไปเปิดประตูให้ ร่างโปร่งบางค้อมศีรษะเล็กน้อยยามเดินผ่านวรองค์สูงใหญ่เข้าไปในห้อง แต่ก่อนที่จะทรงปิดประตู สุรเสียงทุ้มกังวานก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“รดา...”

“เพคะ?”

“ราตรีสวัสดิ์ ขอให้เธอฝันดี”

“ขอให้ฝ่าบาทฝันดี ราตรีสวัสดิ์เพคะ”

พักตร์คมคายประดับรอยยิ้มอย่างเก๋ ก่อนจะหับประตูลงแผ่วเบา รุจิรดาเดินไปล้มตัวนอนลงบนเตียงคล้ายคนที่ยังไม่ตื่นจากฝัน ทว่าต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินรับสั่งค่อยๆ แผ่วเบาของคนที่บรรทมอยู่ข้างกาย

“รดา...ยังไม่หลับหรือ?”

“หม่อมฉันลงไปหาน้ำดื่มน่ะเพคะ”

หม่อมเจ้าหญิงอรกัญญาเหลือบมองเหยือกแก้วเจียระไนที่เห็นได้ชัดว่าน้ำในนั้นหมดแล้วแล้วพยักพักตร์น้อยๆ อย่างรับทราบ “อ้อ อย่างนี้นี่เอง”

“บรรทมเสียเถิดเพคะ พรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้า”

“อืม...”

ท่านหญิงองค์น้อยรับสั่งอย่างว่าง่าย นิลเนตรงามหลับพริ้ม ก่อนจะรับสั่งออกมาอีกครั้งทั้งๆ หลับเนตรอย่างนั้น

“รดาจ๊ะ...”

“เพคะ?”

“...ไม่มีอะไร นอนเสียเถอะ”

อีกฝ่ายส่งเสียงแผ่วเบาที่ไม่รู้ว่าจะแปลความหมายได้เป็นอย่างไร ทว่าตุ๊กตาแก้วเจียระไนกลับแย้มโอษฐ์น้อยๆ ในเงาสลัวของรัตติกาล

จะทักว่าได้กลิ่นอาฟเตอร์เชฟของพี่ชาย ก็กลัวสหายสนิทจะนอนไม่หลับด้วยความอายล่ะนะ


เห็นท่า...นายหญิงแห่งวังนฤบดินทราทิตย์คงใกล้จะได้ฤกษ์เปลี่ยนตัวจริงๆ แล้วกระมัง...



.............................................

จบอีเว้นท์งานเลี้ยงวันเกิดมนต์ณัฐแล้ว เย้!

เป็นตอนที่ยาวที่สุด และหวานที่สุดเท่าที่เคยเขียนเลยค่ะ



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ธ.ค. 2557, 00:40:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ธ.ค. 2557, 00:40:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 1657





<< บทที่ 11 [75%]   บทที่ 12 [30%] >>
lovemuay 26 ธ.ค. 2557, 06:50:38 น.
หวานจริงๆตอนนี้ อิอิ


Jiab 26 ธ.ค. 2557, 09:34:39 น.
เขิลลลลลเน้ออ อิอิอิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account