เทหน้าตักรักนางมารร้าย (ฉบับรีไรท์ ทำ e-book)

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 12

“มีอะไรหรือเปล่าวะ” ภควัตเปิดประโยคถามคนที่อยู่ดีๆ ก็มีน้ำใจอยู่รอเปิดประตูรั้วทำให้เขาไม่ต้องเสียเวลาลงจากรถไปเลื่อนเปิดมันด้วยตัวเองซึ่งกำลังเดินเข้าบ้านตามหลังเขามาติดๆ

“อะไรวะ” ก้องภพทำไขสือ “ประโยคแรกแกควรจะบอกขอบใจฉันมันถึงจะถูก ไม่สำนึกบุญคุณกันเลยนี่หว่า”

คนไม่สำนึกบุญคุณถอนหายใจ “เออ ขอบใจก็ได้โว้ย ตกลงว่าไม่มีอะไรใช่ไหม ดี ดึกแล้วจะรีบไปนอน” บอกก่อนจะเดินผ่านโซฟามุ่งหน้าตรงไปที่บันไดเตรียมขึ้นไปยังห้องพักชั้นบน

“เฮ้ย! เดี๋ยวก่อนสิวะ เออๆ มีก็ได้โว้ย” ในที่สุดคนท่ามากก็ต้องยอมรับว่า ‘มีเรื่อง’ จริงๆ

“ตกลงว่ามีเรื่องอะไร” ภควัตถามขึ้นอีกครั้งหลังจากทั้งเขาและคนที่อุตส่าห์คอยอยู่นั่งลงบนโซฟาเรียบร้อยแล้ว

“กับปุ่น แกจริงใจกับน้องเค้ามากแค่ไหน”

เจอคำถามยิงตัดขั้วหัวใจแบบนี้ภควัตถึงกับอึ้งไปพัก ดวงตาคู่เรียวรีเสมองเมินไปอีกทางขณะที่ปากถามกลับไปว่า “แกหมายความว่ายังไง”

“ฉันก็หมายความอย่างที่พูด” ก้องภพตอบเสียงเรียบก่อนจะไหวไหล่น้อยๆ “ใช่ว่าฉันจะดูถูกแกว่าแกหลอกน้องเค้าหรอกนะ ฉันแค่ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่แกพูดแกทำอยู่ตอนนี้มันตรงกับความต้องการในหัวใจของแกจริงๆ หรือเปล่า ยัยเด็กนั่นน่ะแม้จะร้ายกาจไปบ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะเลวเกวจนคบไม่ได้ ตรงกันข้ามเค้าทั้งดีและน่ารักมากๆ ซึ่งแกน่าจะรู้ดีกว่าใครๆ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าแกจะหวั่นไหวหรือเผลอใจ และก็เป็นเรื่องนี้นี่แหละที่ฉันอยากรู้ สำรวจหัวใจตัวเองให้ดีว่ากับปุ่นแกรู้สึกยังไงกันแน่ ที่รับเค้าเข้ามาเป็นเพราะแกเอ็นดูเค้าและเค้าก็เครซี่แกมากแค่นั้นหรือเปล่า แล้วกับคนในอดีต… ที่ตอนนี้ตัวแกเองยังหนีไม่พ้น หัวใจแกล่ะหนีเค้าพ้นแล้วเหรอ ตัดใจจากเค้าได้แล้วหรือไง ยัยปุ่นไม่ใช่นางฟ้าใจดีที่มีคทาเอาไว้สะบัดปัดเป่าความทุกข์ให้มนุษย์ผู้ชายอกหักรักคุดนะโว้ย ไปล้อเล่นกับหัวใจของล่ามจอมมารเข้าระวังเถอะ เดี๋ยวจะไม่ตายดี และถึงแม้น้องเค้าจะร้ายแต่เค้าก็มีหัวใจไม่ต่างอะไรกับแก ถ้าไม่ได้รักกันจริงก็ปล่อยเค้าไปเถอะอย่าดันทุรังดึงเค้าเอาไว้เลย เพราะถ้ายิ่งถลำลึกลงไปทั้งที่มันไม่ใช่ก็รังแต่จะเจ็บหนักกันเปล่าๆ แถมยังไม่ใช่แค่คนสองคนด้วย”

ชาย หนุ่มผิวเข้มร่ายออกมาเสียยืดยาวก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาตรงไปยังบันไดขึ้นไปยังห้องพักชั้นบนทิ้งภควัตไว้เพียงลำพังบน โซฟาในห้องรับแขก







“เอาไงดีล่ะเรา ฮึ!เจ้าเข้ม” ปุณยวีร์ทรุดตัวลงนั่งยองๆ ข้างสุนัขที่เธอได้ช่วยเหลือไว้จากอุบัติเหตุรถชนเมื่อสามเดือนก่อนซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสแถมยังเป็นขี้เรื้อนเรื้อรังจนต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลสัตว์นานหลายเดือน ถึง ตอนนี้บาดแผลจากอุบัติเหตุของเจ้าเข้มหายสนิทแล้วจะเหลือก็เพียงแผลขี้เรื้อนที่ยังเป็นๆ หายๆ หากสัตวแพทย์ก็อนุญาตให้พาออกจากโรงพยาบาลสัตว์ได้เธอจึงมารับมันเพื่อจะนำกลับไปดูแลเองโดยไม่ได้โทร.บอกภควัตก่อนกะว่าพอจัดการ เรื่องต่างๆ เรียบร้อยแล้วค่อยโทร.บอกให้เขามารับ หากพอถึงเวลาโทร.ไปแล้วกลับติดต่ออีกฝ่ายไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาปิดเครื่อง ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ หรือว่าเขาติดธุระสำคัญอะไร

ล่ามสาวลูบหัวเจ้าสี่ขาไปมาก่อนจะหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาอีกครั้ง “สงสัยคงต้องทนลำบากหน่อยแล้วล่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอกเนอะ เจ็บหนักกว่านี้ยังผ่านมาได้เลยนี่นา” พูดกับเจ้าเพื่อนยากข้างกายยิ้มๆ ก่อนจะสไลด์หน้าจอทัชสกรีนจัดการต่อสายไปยังใครคนหนึ่งที่น่าจะว่างพอมารับเธอกับมันกลับไปยังอพาร์ตเมนท์ได้

รอเพียงไม่นานใครคนนั้นก็มาถึงพร้อมกับพาหนะที่ไม่เหมือนกับที่แกเคยใช้อยู่ในทุกๆ วัน

“อ้าวลุง รถเสียเหรอคะถึงได้นั่งตุ๊กๆ มา ทำไมเมื่อกี้ถึงไม่บอกปุ่นล่ะ” ปุณยวีร์เอ่ยปากถามคุณลุงคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่เธอใช้บริการอยู่เป็นประจำซึ่งเพิ่งก้าวลงจากสามล้อเครื่องตรงเข้ามาหาเธอและเจ้าเข้ม

“ไม่ได้เสียหรอกครับ แต่เพราะคุณปุ่นบอกว่าให้มารับเจ้าเข้มกลับไปด้วยลุงเลยต้องเรียกตุ๊กๆ มาให้ ถึงมอเตอร์ไซค์ลุงจะบรรทุกทั้งคุณปุ่นและเจ้าเข้มไหว แต่ลุงไม่แน่ใจว่าตอนที่รถวิ่งกลางถนนเจ้าเข้มมันจะตื่นกลัวขึ้นมาหรือเปล่าเกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาน่ะครับ”

ปุณยวีร์พยักหน้า “ใช่สินะ ปุ่นก็ลืมคิดถึงข้อนี้ไปเลย ขอบคุณนะคะลุง”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ลุงคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างยิ้ม “ไงวะเจ้าเข้ม ได้มาอยู่ชุบตัวในโรงหมอดูหล่อขึ้นจมเลยนะเอ็ง นี่ถ้าแผลขี้เรื้อนหายหมดล่ะก็สาวๆ ติดตรึมแหงๆ” แกว่าแล้วก็ลูบหัวอดีตสุนัขจรจัดที่เคยมีแผลขี้เรื้อนจนขนร่วงหมดทั้งตัว หากตอนนี้แลดูมีสุขภาพดีขึ้นมากขนก็เริ่มขึ้น และถ้าได้รับการดูแลดีอย่างนี้เรื่อยไปอีกไม่นานมันก็คงหายดีเป็นสุนัขที่ใครๆ เห็นก็ต้องนึกเอ็นดู

“แล้วคุณปุ่นจะพามันไปอยู่ที่ไหนครับ ที่อพาร์ตเมนท์เขายอมให้เลี้ยงได้ด้วยเหรอ” ลุงคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างถามขึ้นอีกครั้งขณะช่วยจูงเชือกพาเจ้าเข้มไปขึ้นสามล้อเครื่อง

“ทีแรกเขาก็ไม่ยอมหรอกค่ะ ปุ่นต้องขอร้องอ้อนวอนตั้งนานแน่ะ สุดท้ายเลยต้องทำทีพูดว่ากำลังมองหาทาวเฮาส์เล็กๆ อยู่จะได้เลี้ยงเจ้าเข้มได้สะดวก เขาเลยยอมให้พามันไปอยู่ได้แต่ห้ามเด็ดขาดไม่ให้เข้าไปเพ่นพ่านภายในตึก ค่อยยังชั่วหน่อยเนอะเจ้าเข้มเนอะ คิดว่าจะต้องเร่ร่อนแล้วเรา แต่ไม่เป็นไรหรอกอีกเดี๋ยวพี่ก็จะพาไปส่งบ้านให้อยู่กับคุณป้า ทีนี้ล่ะสบายแฮรับรองว่าอ้วนเป็นหมูแน่ๆ” คนเป็นพี่ปิดท้ายประโยคด้วยเสียงหัวเราะ

“อ้าว ตกลงคุณปุ่นจะเป็นพี่เหรอครับ ลุงคิดว่าจะเป็นแม่ซะอีก หลงพูดกับเจ้าเข้มตั้งนานว่ามันโชคดีที่ได้มาเจอกับพ่อแม่หน้าตาดีแถมยังใจบุญทั้งคู่”

“หือ? แม่เลยเหรอคะลุง” ดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วเบิกกว้างยิ่งขึ้น “ปุ่นเป็นแม่ ถ้างั้นใครกันล่ะคะที่เป็นพ่อ พี่ปุ้นเหรอคะ” ถามต่ออย่างนึกสนุกและค่อนข้างแน่ใจว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาว่า ‘ใช่…’






“เอ๊… เจ้าเข้มนี่อยู่นิ่งๆ สิ ถ้าไม่ให้ทายาจะหายได้ยังไงล่ะฮึ! นิ่งๆ ก่อนนะอีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว ถ้าไม่ดื้อไม่เกเรพี่จะซื้อฟุตลองให้สองอันเลยเอ้า น่าอีกนิดเดียวเองนะ อย่าให้เสียชื่อพี่สิ พี่หน้าตาดีเว่อร์ออกอย่างนี้แล้วน้องจะซกมกเป็นขี้เรื้อนได้ยังไง เสียชื่อพี่หมดไม่รู้เหรอ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าอายเขาตาย…”

เสียงใสฟังคุ้นหูที่บ่นบ้าอะไรไม่รู้ทำให้ชินพัตต์ที่วันนี้อยู่ในคราบของ ‘ปีศาจแดง’ * ซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นจากการเตะฟุตบอลเรียกเหงื่อกับเพื่อนร่วมงานทั้งในแผนกและต่างแผนกที่สนามในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่พักผ่อนหย่อนใจยอดนิยมของคนในชุมชนชะงักฝีเท้า ดวงตาคู่คมอดมองหาที่มาของเสียงไม่ได้ แล้วเขาก็เห็น เป็นเธอ… จริงๆ

เสียงนั้นยังคงบ่นเจื้อยแจ้วเรื่อยไปหากก็ไร้วี่แววเคืองขุ่นขณะที่มือเล็กก็สาละวนป้ายยาตามเนื้อตัวของเจ้าสี่ขาไปด้วย
ล่ามมหาภัย นิสัยแสบเป็นทิงเจอร์แถมยังหลงตัวเองสุดๆ กับหมาจรจัดขี้เรื้อนที่โชคชะตาสุดรันทด ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่มีอะไรเข้ากันได้เลย หากภาพที่ประจักษ์ชัดอยู่ในครรลองสายตาของเขาตอนนี้คือ เธอกับเจ้าสี่ขาอยู่ด้วยกันแถมยังดูรักกันดีอีกด้วย

รอยยิ้มบางผุดขึ้นมาบนใบหน้าคมคายตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แต่พอเธอเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาก็เกลื่อนอารมณ์แทบไม่ทันแล้ว
ชินพัตต์ถอนหายใจอย่างยอมรับในชะตากรรม คนไม่มีสิทธิ์อย่างเขาจะทำอะไรได้ดีไปกว่ามองอยู่ห่างๆ หรือแอบมองยามที่เธอเผลอตัวเท่านั้น… ครั้นแล้วเขาก็ต้องอึ้งสุดจะบรรยาย เมื่อคนที่เห็นหน้ากันทีไรก็มีแต่หาเรื่องไม่ก็ถลึงตาเชิด หน้าใส่ หากมาคราวนี้ดวงหน้าใสกลับแย้มยิ้มกระจ่าง…

ไม่ใช่หรอกมั้ง… เธอคงไม่ได้ยิ้มให้เขาหรอก สิ่งที่เห็นเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น!

วิศวกรหนุ่มพยายามสะกดจิตตัวเองไม่ให้หลงมัวเมาไปกับภาพเบื้องหน้าแล้วเมินมองไปอีกทาง ถ้าขืนมองนานกว่านั้นมีหวังถูกดึงดูดลึกเข้าไปจนหาทางออกไม่เจอแหงๆ

“นี่คุณ! ทำแบบนี้มันหมายความว่าไงฮะ!” เสียงขุ่นเขียวอย่างที่เคยได้ยินอยู่เป็นประจำกระชากถามพร้อมกับร่าง บางที่พรวดพราดก้าวเข้ามาขวางทางทำเอาชินพัตต์ต้องเบรกเท้าจนหัวแทบคะมำ

‘เป็นแค่ภาพลวงตาจริงๆ ด้วย’ เขาบอกกับตัวเองก่อนจะขยับเลี่ยงไปอีกทางโดยไม่พูดอะไร

“เอ๊ะ! คุณนี่ มันจะเกินไปแล้วนะ” อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยเขาไปยังเข้ามาขวางทางไว้เหมือนเดิม

วิศวกรหนุ่มกลอกตาถามเสียงเพลียว่า “อะไรอีกล่ะครับคุณผู้หญิง ผมทำอะไรผิดไม่ทราบครับ”

ยังจะมีหน้ามาพูดประชดอีก เหอะ! “ฉันอุตส่าห์ยิ้มให้แล้วคุณทำเมินใส่ฉันทำไม นี่แหละความผิดของคุณ อย่าบอกนะว่าจนป่านนี้คุณก็ยังแค้นฝังหุ่นไม่เลิก ฉันเลี้ยงไอติมคุณไปตั้งแท่งหนึ่งเพื่อไถ่โทษแล้วนะยังไม่พออีกเหรอ ต้องการอะไรอีก? พูด! ผู้ชายบ้าอะไรไม่รู้เอาใจยากเหลือเกิน ฮึ่ย!” ปุณยวีร์กอดอกเม้มปากทำแก้มพองอย่างไม่สบอารมณ์

ผู้ชายบ้า! ทำหน้าราวกับว่ากำลังพบเจอกับเรื่องราวมหัศจรรย์พันลึก “คุณยิ้มให้ผม?” ถามเสียงสูง

“ก็แหงสิ ตรงนี้มีคุณกับฉันแค่สองคน ถ้าไม่ยิ้มให้คุณแล้วฉันจะยิ้มให้ใคร หรือมีวิญญาณเกาะอยู่บนไหล่ติดตามคุณไปทุกหนทุกแห่งหรือไง แล้วทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไงไม่ทราบยะ เห็นมนุษย์ต่างดาวเหรอ” ถามท่าทางเอาเรื่อง

“ทุกทีเจอหน้ากันมีแต่แยกเขี้ยวใส่ อยู่ๆ ก็เกิดจะเฮี้ยนมายิ้มให้ใครจะไม่แปลกใจล่ะ” ชินพัตต์บ่นอุบ

“เอ๊ะ! คุณนี่ยังไม่เลิกอีกนะ” ปุณยวีร์แหวเสียงเขียว

“ขอโทษครับ” คนที่ทำท่าว่าแค้นไม่เลิกบอกเสียงอ่อน

ปุณยวีร์ยักไหล่ “ยกโทษให้ก็ได้”

“ตกลงว่าคุณจะเลี้ยงมันเหรอ” ชินพัตต์พยักพเยิดไปทางเจ้าเพื่อนยากสี่ขาที่ตอนนี้ออกไปวิ่งเล่นกลางสนามหญ้ากว้างกับเพื่อนๆ ของมัน

“อืม”

“ที่อพาร์ตเมนท์เขายอมเหรอ หรือว่าคุณจะหาที่พักใหม่”

“ก็ที่อพาร์ตเมนท์นั่นแหละ ฉันขอร้องเจ้าของกับคนดูแลแล้ว แต่เขาให้เวลาไม่เกินสามเดือนห้ามพามันขึ้นไปเพ่นพ่านบนตึกเด็ดขาด จริงๆ ฉันก็กะจะให้เจ้าเข้มอยู่ที่นี่ไม่นานหรอกถ้าหาเวลาว่างได้เมื่อไหร่ฉันจะพามันไปอยู่ที่บ้าน”

วิศวกรมาดนิ่งพยักหน้า “เย็นแล้วนะคุณไม่กลับเหรอ” ไม่บอกเปล่าเขายังยื่นสมาร์ทโฟนมาให้ดูเวลาที่หน้าจอชัดๆ อีกด้วย
“จริงด้วยสิ นั่งเล่นจนลืมเวลาเลย งั้นฉันกลับก่อนดีกว่า” ว่าแล้วปุณยวีร์ก็ผละไปเรียกเจ้าเข้ม “คุณมีอะไรหรือเปล่า” เธอถามคนที่ยังยืนอยู่ที่เดิมหลังจากเธอแยกตัวไปเรียกเจ้าเพื่อนยากสี่ขาและจูงมันกลับมาด้วยกันแล้ว

“คุณกินข้าวเย็นหรือยัง ไม่กินก่อนแล้วค่อยกลับล่ะ” ไม่เชิงเอ่ยชวน เขาเพียงเปรยถามและเสนอทางเลือก

เธอนิ่งคิดสักครู่ก่อนจะส่ายศีรษะ “ไม่ดีกว่า พาเจ้าเข้มมาด้วยไม่ค่อยสะดวกน่ะ”

“ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่ คุณก็ซื้อไส้กรอกให้มันกินแล้วหาที่ผูกมันไว้สักแป๊ปนึงใกล้ๆ กับร้านข้าวก็ได้ แถว
อพาร์ตเมนท์คุณไม่ค่อยมีร้านข้าวด้วย หรือคุณจะกลับไปเวฟอาหารแช่แข็งกินกันตายอีกมื้อหนึ่ง ถ้าลดได้ก็ลดบ้างเถอะของแบบนั้นน่ะ ดูสารรูปตัวเองบ้าง” พูดดีได้ไม่เท่าไหร่ชินพัตต์ก็กลับมารวนอีกครั้ง

ปุณยวีร์ยกมือขึ้นเท้าสะเอว “นี่! ตกลงจะไม่ญาติดีกันใช่ไหมชาตินี้”

คนพูดจาวอนหาเรื่องยักไหล่แล้วคว้าเชือกเจ้าเข้มมาถือไว้เองเพราะคนเป็นเจ้าของมัวแต่มีอารมณ์? เลยเผลอตัวถือเอาไว้เพียงหลวมๆ “มาด้วยกันดีกว่าเจ้าเข้ม เดี๋ยวจะเลี้ยงฟุตลองสี่อันเลย อยู่กับเจ้านายแกจะได้กินหรือเปล่าก็ไม่รู้ บอกแต่จะเลี้ยงยังไม่ทันได้เลี้ยงเลยจะพากลับซะแล้ว หลอกหมาชัดๆ เลยเนอะเจ้าเข้มเนอะ” ว่าแล้วเขาก็จูงเชือกพาเจ้าสี่ขาตรงไปยังร้านสะดวกซื้อที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนนฝั่งตรงข้ามและใกล้ๆ กันนั้นก็เป็นทะเลร่มหลากสีของเหล่าพ่อค้าแม่ขาย ซึ่งมีนัดกันทุกวันเสาร์และอาทิตย์นำของจิปาถะทั้งของกินของใช้มาตั้งเรียงรายให้ลูกค้าได้เลือกซื้อและเลือกชม

ปุณยวีร์ยืนอึ้งอ้าปากหวอมองตามลูกน้องที่แปรพักตร์สะบัดหางวิ่งตามคู่ปรับในตำนานไปต้อยๆ โดยไม่สนใจเธอเลย และกว่าจะรู้ตัวทั้งคนและหมาก็ไปไกลแล้วเธอจึงได้แต่สวดมนต์เจริญพรตามหลังก่อนจะก้าวตามไปเพราะไม่มีทางเลือก





“คุณจะสั่งอะไรเพิ่มหรือเปล่า” ชินพัตต์ถามขึ้นมาหลังจากเขาและปุณยวีร์จัดการส่งลูกชิ้นหมูปิ้งจานใหญ่ ข้าวมันไก่ บัวลอย ตบท้ายด้วยชาดำเย็นลงกระเพาะหมดเรียบร้อยแล้ว

ล่ามสาวส่ายศีรษะ “ไม่ล่ะ แค่นี้ก็อิ่มจนท้องจะแตกแล้ว”

“งั้นผมไปจ่ายตังค์ก่อนนะเดี๋ยวมา” เขาเลื่อนเก้าอี้แล้วลุกขึ้นจะไปชำระค่าอาหาร

“อ้าวเดี๋ยวก่อนสิคุณ เอาของฉันไปด้วย เท่าไหร่อะ ลูกชิ้นร้อยนึงก็คนละห้าสิบ ข้าวมันไก่สามสิบห้า บัว…”

“ไม่เป็นไรมื้อนี้ผมเลี้ยงเอง” ชินพัตต์พูดขัดขึ้นมาก่อนเธอจะกดเครื่องคิดเลขในสมองเสร็จเสียอีก

“เลี้ยง? เนื่องในโอกาสอะไรล่ะ” ปุณยวีร์ยังไม่วายมากเรื่อง

คนบอกจะเลี้ยงถอนหายใจ “แค่เลี้ยงข้าวมื้อหนึ่งจะต้องคิดหาโอกาสอะไรให้วุ่นวาย เลี้ยงเพราะอยากเลี้ยงไม่ได้เหรอครับ” ท้ายประโยคเจือสำเนียงประชด

“ไม่ได้” คนคิดวุ่นวายตอบกลับทันควัน “ถ้าผู้ชายจ่ายตังค์แปลว่าคู่นั้นต้องเป็นแฟนกัน แต่เราสองคนไม่ใช่”

“อ้าว แล้วทีตอนนั้นที่คุณจ่ายค่าไอติมให้ผมล่ะ อืม ผู้ชายจ่ายแสดงว่าเป็นแฟนกัน งั้นผู้หญิงจ่าย… ไม่หมายความว่าเราเป็น…” ชินพัตต์ละเอาไว้ในฐานที่เข้าใจพลางแย้มยิ้ม ดวงตาคู่คมที่ทอดมองมาทอประกายพราวระยับ

ปุณยวีร์ถลึงดวงตาคู่กลมโตข่มกลับ “ครั้งนั้นฉันจ่ายเพราะต้องการจะไถ่โทษคุณ เพราะงั้นไม่นับย่ะ เหอะ! อุตส่าห์พูดให้ฟังแค่ครึ่งเดียวยังคิดเอาเองได้อีก รู้มากชะมัด” เธอว่าอย่างไม่สบอารมณ์

คนรู้มากกลอกตา “โอเค ผมกับคุณไม่ได้เป็นอะไรกัน (เน้นย้ำชัดเจน ไม่ได้บอกใครหรอก นอกจากตัวเอง) ถ้างั้นก็อเมริกันแชร์ จ่ายส่วนของคุณมาก็แล้วกัน ตรรกะบ้าบออะไรไม่รู้” ไม่วายบ่นอุบท้ายประโยค

“เอ้า หนึ่งร้อยยี่สิบบาทพอดี”

ชินพัตต์ยังไม่ยอมยื่นมือออกมารับเงิน “ยังไม่ครบ บัวลอยคุณสั่งพิเศษต้องเพิ่มอีกสิบบาท จ่ายมาเลย” เขากระดิกนิ้ว

จากที่เคยทำตัวเป็นป๋าบอกจะเลี้ยงข้าวกันมาถึงตอนนี้แค่สิบบาทเขาก็ยังไม่ยอมให้กระเด็นออกจากกระเป๋า แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อเป็นเธอเองที่ต้องการแบบนี้ สุดท้ายเลยได้แต่ก้มหน้าคุ้ยหาเหรียญสิบในกระเป๋าอย่างแค้นเคือง “ฉันไม่มีเหรียญ คุณทอนมาก็แล้วกัน” จำต้องยื่นธนบัตรใบละยี่สิบบาทให้แทนเพราะค้นจนทั่วแล้วไม่มีเหรียญสิบ ส่วนเหรียญอื่นๆ ที่มีก็ไม่ครบสิบบาทอีก

ชินพัตต์เบะปากยักไหล่ “ผมไม่มีทอน ถ้าได้ไม่ครบร้อยสามสิบบาทผมก็ไม่รับ เอาเป็นว่าคุณติดหนี้ผม แล้วถ้าคุณยังไม่รู้ผมก็จะบอกให้คุณรู้ไว้ ติดหนี้ถึงจะแค่ไม่กี่บาทก็ต้องชำระคืนนะครับ ไม่งั้นก็ต้องเจอกันชาติแล้วชาติเล่าเพราะยังใช้หนี้ไม่ครบ”

ได้ทียกเอาตรรกะของตัวเองมาเกทับกลับบ้างก่อนจะผละไปชำระค่าอาหารทั้งหมดทันที ปล่อยให้คนที่ยังไม่ได้จ่ายเงินส่วนของตัวเองอ้าปากค้างและกว่าจะคิดได้ว่าควรจะไปแลกเหรียญกับพ่อค้าหรือแม่ค้าสักคน อีกฝ่ายก็ชำระค่าอาหารเรียบร้อยและตรงไปแก้มัดเจ้าเข้มที่ถูกผูกเอาไว้กับต้นไม้แล้ว เธอจึงต้องรีบผุดลุกขึ้นเพราะไม่แน่ใจว่าเขาจะเล่นแง่อะไรอีก

“หนี้ที่ติดอยู่เดี๋ยวฉันค่อยใช้คืนให้วันหลัง ส่งเจ้าเข้มมาได้แล้วฉันจะกลับ” ปุณยวีร์บอกเสียงเริ่มเจือรอยขุ่น

“แล้วคุณจะกลับยังไง เดิน?” นอกจากจะไม่ยอมยื่นเชือกที่ผูกติดกับปลอกคอของเจ้าสี่ขามาให้แล้วชินพัตต์ยังจะตั้งคำถามกลับมาอีก

“ก็เดิน… สิ” ท้ายประโยคบอกเสียงแผ่วเพราะเพิ่งสำนึกได้ว่าขามาตัวเองมาทางลัด หากขากลับจะย้อนไปทางเดิมมันก็เสี่ยงไปหน่อยเพราะมันเป็นถนนเส้นเล็กๆ ที่ใช้ลัดเลาะไปในซอยซึ่งค่อนข้างเปลี่ยวและตอนนี้ก็ดึกแล้ว ถ้าจะเดินอ้อมไปตามถนนใหญ่ก็ไม่ใช่ใกล้ๆ เลย ที่นี่ไปถึงอพาร์ตเมนท์ที่พักระยะทางยาวเป็นกิโล

“หรือว่าจะนั่งตุ๊กๆ”

‘เออ ใช่! ตุ๊กๆ ไง’ ครั้นพอหันมองไปทางคิวรถสามล้อเครื่อง ปุณยวีร์ก็ทันได้เห็นแค่ไฟท้ายของรถคันสุดท้ายในคิวที่เพิ่งวิ่งจากไป

“ไม่รู้ว่าตุ๊กๆ คันต่อไปจะมาถึงเมื่อไหร่ ดึกแล้วกลับด้วยกันสิ รถผมจอดอยู่ทางโน้น” ชินพัตต์เอ่ยชวนขึ้นมาง่ายๆ ก่อนจะจูงเชือกเจ้าเข้มก้าวนำไป

แล้วคนที่เคยคิดวุ่นวายก็เดินตามหลังวิศวกรมาดนิ่งไปโดยไม่มากเรื่องอย่างที่เคย เหตุผลไม่ใช่แค่เรื่องเวลาและยานพาหนะเท่านั้น หากเพราะเธอเพิ่งรู้มาว่าเขาเองก็เป็นห่วงและเอ็นดูเจ้าสี่ขาไม่น้อยเลย...




“หือ? แม่เลยเหรอคะลุง ปุ่นเป็นแม่ ถ้างั้นใครกันล่ะคะที่เป็นพ่อ พี่ปุ้นเหรอคะ” ตอนที่ถามลุงคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างตอนนั้นเธอแน่ใจจริงๆ นะว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาว่า ‘ใช่’ หากคำตอบที่ได้ยินกลับเป็น

“ใช่คุณปุ้นซะที่ไหนล่ะครับ ฝ่ายนั้นแค่ให้เงินผมพาเจ้าเข้มไปโรงพยาบาลแค่นั้นแล้วก็ไม่ได้กลับมาดูดำดูดีอีกเลย จริงๆ เงินที่ให้ก็ไม่พอค่ารักษาหรอกนะครับ โชคดีที่วันนั้นลุงได้คุณชินอาสาขับรถไปส่งให้เลยไม่ต้องลำบากอุ้มเจ้าเข้มนั่งมอเตอร์ไซค์แถมยังออกเงินค่ารักษาส่วนเกินให้อีก หลังจากนั้นคุณชินยังไปเยี่ยมเจ้าเข้มบ่อยๆ นี่ถ้าคุณปุ่นไม่ตัดสินใจเอาเจ้าเข้มไปเลี้ยง ก็คงเป็นคุณชินนั่นแหละที่จะรับอุปการะมัน”




แม้คำตอบที่ได้ยินจากลุงคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างตอนนั้นฟังแล้วยากที่จะเชื่อ หากตอนนี้ปุณยวีร์ไม่หลงเหลือข้อสงสัยใดๆ อีก เพราะได้ประจักษ์ชัดด้วยสองตาของตัวเอง แล้วดูเอาเถอะเขากำลังจะให้เจ้าเข้มขึ้นไปนั่งข้างในรถยนต์โดยไม่คิดที่จะเอาอะไรไปปูรอง!

“เดี๋ยวก่อนเข้ม อยู่ตรงนี้ก่อนนะ อย่าเพิ่งขึ้นไป” ปุณยวีร์รีบก้าวเร็วๆ แล้วคว้าเชือกจูงเจ้าสี่ขามาถือไว้เอง
ชินพัตต์ไม่ว่าอะไรมีเพียงสายตาแทนคำถามที่ส่งกลับมา

“รถคุณไม่มีผ้าเก่าๆ หรือกระดาษหนังสือพิมพ์มาปูรองบ้างเหรอ ให้ขึ้นไปเลยแบบนี้เดี๋ยวเบาะก็เป็นรอยหมดหรอก”

เจ้าของรถถอนหายใจคล้ายเบื่อหน่ายก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดกระโปรงหลังรถแล้วหยิบทั้งผ้าและกระดาษหนังสือพิมพ์ออกมาปูรองทั้งที่พื้นและเบาะ “แบบนี้โอเคหรือยังครับ”

ปุณยวีร์ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธเป็นคำพูด ที่เธอทำคือส่งเจ้าสี่ขาขึ้นไปนั่งบนเบาะแล้วกำชับ “นั่งดีๆ ล่ะ ห้ามเอาเล็บไปเกาเบาะจนเป็นรอยเด็ดขาดเลยนะรู้ไหม”

“คุณจะนั่งคอยดูแลกำกับเจ้าเข้มที่เบาะหลังก็ได้นะ” วิศวกรหนุ่มบอกก่อนจะเปิดประตูเข้าประจำตำแหน่งคนขับ

คนที่เคยมากเรื่องไม่ยอมนั่งเบาะหน้าคู่กันกับชินพัตต์ดีๆ เมื่อหลายเดือนที่แล้วยืนลังเลอยู่ข้างรถสักครู่ก่อนจะดึงประตูรถด้านข้างคนขับให้เปิดออกแล้วแทรกตัวเข้าไปนั่งดึงเข็มขัดนิรภัยออกมาคาดเรียบร้อยพร้อมที่จะออกเดินทางในทันทีไม่มีปัญหา กลับเป็นชายหนุ่มเจ้าของรถที่ทำท่าจะมีปัญหาขึ้นมาบ้าง

“เอ่อ แต่ผมไม่เอาตุ๊กตาวู… เอ้ย! ไม่ใช่สิตาโตๆ แบบนี้ต้องตุ๊กตาบลายธ์เท่านั้นสินะ แหม ก็ผมเป็นผู้ชายไม่ค่อยจะคุ้นกับตุ๊กตานี่ครับ” เขารีบแก้คำเมื่อถูกรังสีอำมหิตจากดวงตาคู่กลมโตพุ่งเข้าใส่ หากประกายระยับที่สะท้อนออกจากดวงตาคู่คมนั่นก็บอกชัดว่าคนพูดหาได้สำนึกไม่!

“จะเป็นตุ๊กตาวูดู ตุ๊กตาบลายธ์ หรือตุ๊กตาบ้าบอที่ไหนก็ช่างเถอะ ฉันไม่สนใจ ฉันเป็นแค่ผู้หญิงที่มีมารยาทรู้กาลเทศะคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้เป็นตุ๊กตาหน้ารถของใคร”

ปุณยวีร์เชิดหน้าบอกชัดเจน แล้วชินพัตต์ก็ตอบรับด้วยการกดปุ่มสตาร์ทเหยียบคันเร่งให้ล้อทั้งสี่พารถเคลื่อนที่ออกไป ใบหน้าคมคายเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มราวกับเด็กชายตัวเล็กๆ ที่เพิ่งได้รับคำสัญญาจากผู้ใหญ่ว่าจะพาไปเที่ยวสวนสัตว์




“ขอบใจมากนะ” ปุณยวีร์บอกกับคนที่ไม่เพียงแต่ขับรถมาส่งถึงที่อพาร์ตเมนท์เท่านั้น หากเขายังอุตส่าห์เอาเจ้าเข้มไปผูกติดไว้กับต้นไม้ข้างๆ ป้อมยามที่เธอเคยผูกมันไว้ประจำให้อีกด้วย

“ไม่เป็นไร แค่นี้เอง” ชินพัตต์ตอบกลับง่ายๆ

“ที่ฉันขอบใจไม่ใช่แค่เรื่องวันนี้เท่านั้นหรอก ฉันขอบใจแทนเจ้าเข้มที่วันนั้นคุณช่วยพามันไปส่งโรงพยาบาลแถมยังออกค่ารักษาให้ด้วย ว่าไปแล้วคุณดีกับมันมากกว่าฉันซะอีก วันนั้น… นอกจากโวยวายว่าจะช่วยมันแล้วฉันก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ถ้าไม่ได้เจอคุณเจ้าเข้มคงแย่”

“ไม่หรอก ถ้ามันไม่เกเรมากัดคุณก่อน ก็คงจะเป็นคุณนั่นแหละที่พามันไปส่งโรงพยาบาล”

“คุณเห็นด้วยเหรอ”

“บังเอิญน่ะ”

ปุณยวีร์พยักหน้า “จะยังไงก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่าฉันขอบใจที่อย่างน้อยคุณก็ไม่รังเกียจหมาขี้เรื้อนอย่างเจ้าเข้ม แต่อีกไม่เกินหนึ่งเดือนคุณนับวันรอได้เลยนะ ฉันรับรองว่าคุณจะได้เห็นเจ้าเข้มโฉมใหม่ไฉไลสุดๆ สมกับที่มีลูกพี่เป็นล่ามสาวสุดเริ่ดอย่างฉันแน่ๆ” ท้ายประโยคพูดชมตัวเองหน้าตาเฉย

ชินพัตต์หัวเราะพลางส่ายศีรษะ “โอเค แล้วผมจะนับวันรอ งั้นผมกลับล่ะ”

“อืม ขับรถดีๆ” ปุณยวีร์ยิ้มพลางโบกมือให้





ชินพัตต์ตบไฟเลี้ยวชะลอความเร็วลงแล้วเบนรถเข้าจอดข้างทางหลังเลี้ยวรถออกจากซอยซึ่งเขาได้ขับเข้าไปส่งล่ามสาวและเจ้าสี่ขาเพื่อนยากของเธอ ทั้งเครื่องยนต์และร่างกายของเขาไม่ได้มีปัญหาอะไร หากส่วนที่มีน่าจะเป็นหัวใจ… ที่อยากจะซึมซาบดื่มด่ำช่วงเวลาและความรู้สึกที่เขามีโอกาสได้ใช้ร่วมกันกับเธอให้ยาวนานที่สุด ดวงตาคู่คมจับจ้องไปที่เบาะข้างคนขับซึ่งตอนนี้ร้างไร้เงาผู้ใดจับจอง

ตุ๊กตาหน้ารถ… อย่างนั้นหรือ เขาเองก็ไม่นึกสนใจเหมือนกัน เพราะที่หัวใจของเขาต้องการคือผู้หญิงคนหนึ่ง… คนที่จะอยู่ข้างเคียงกัน จับมือเดินไปด้วยกันกับเขาทั้งในยามสุขและยามทุกข์ หากตอนนี้มันสายไปเสียแล้ว เขาไม่มีสิทธิ์อะไรแล้ว ใบหน้าคมคายผุดยิ้มเศร้า เอาเถอะ… ขอเพียงได้อยู่ในโลกใบเดียวกันกับเธอ ได้เฝ้ามองใบหน้าใสกระจ่างนั้นแย้มยิ้มอย่างเป็นสุข แค่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

...TBC...

สวัสดีปีใหม่ค่ะ นักอ่านที่น่ารักทุกท่าน ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดี มีแต่เรื่องราวดีๆ สนุกสนานรื่นเริง สุขภาพแข็งแรงกันทุกคนนะคะ

วันนี้เอานิยายตอนใหม่มาฝากเหมือนเคย หวังว่าจะกดเข้ามาอ่านกันต่อไปนะคะ ขอบคุณ คุณkonhin คุณตามหาฝัน คุณZephyr ที่ฝากคอมเมนท์ไว้ให้ ช่วยอยู่เป็นเพื่อนติดตามกันต่อไปนะคะทุกคน คิดเห็นอย่างไรก็อย่าลืมบอกกล่าวกันด้วย^^



พนาศิลป์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ม.ค. 2558, 14:49:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ม.ค. 2558, 14:49:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 1215





<< ตอนที่ 11/2   ตอนที่ 13/1 >>
sai 1 ม.ค. 2558, 17:49:21 น.
ตามอ่านอยู่นะคร้าบบบ


sunflower 1 ม.ค. 2558, 20:33:28 น.
พี่ชิน น่ารักกกกก


Zephyr 3 ม.ค. 2558, 09:00:16 น.
ชินจะน่ารักไปไหนจ้ะ ละลายๆๆๆๆ
ปุ่นนางละลายบ้างยัง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account