เทหน้าตักรักนางมารร้าย (ฉบับรีไรท์ ทำ e-book)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 13/1
“ยินดีด้วยค่ะพี่ต้อ พี่อ้อย รีบๆ ปั๊มต้ออ้อยจูเนียร์ออกมาให้ปุ่นแกล้งไวๆ ด้วยนะคะ” ความที่สนิทสนมกันดี
ปุณยวีร์จึงกล่าวอวยพรกึ่งๆ แซวไปด้วยขณะยื่นกล่องของขวัญที่เธอและภควัตหุ้นกันซื้อให้คู่บ่าวสาวที่ยืนต้อนรับแขกอยู่ตรงซุ้มดอกไม้หน้าทางเข้าไปภายในบริเวณจัดเลี้ยงงานฉลองมงคลสมรส
“จัดไปอย่าให้เสีย เดี๋ยวคืนนี้พี่กับพี่อ้อยจะบรรจงปั้น เอากี่คนดีสองดีไหม แต่สิบเอ็ดก็ดีนะตั้งทีมฟุตบอลได้เลย” วัชระยิ้มหน้าบานรับมุกโดยไม่มีอาการขัดเขินก่อนจะหันไปพยักพเยิดกับคนข้างกายซึ่งต้องร่วมภารกิจ ‘ปั้น’ ต้ออ้อยจูเนียร์ร่วมกันกับเขา
“ใสเจียเสียใจย่ะว่าที่คุณพ่อ คืนนี้ว่าที่คุณแม่คงไม่ว่างปั้นเพราะติดงานฉีกซองนับเงินมือเป็นระวิง” สุพรรษาเมินหน้าปฏิเสธทันควัน
“โหพี่อ้อย เก็บไว้นับวันหลังก็ได้มั้ง เงินนะคะไม่ใช่แกงกะทิถึงทิ้งไว้ข้ามวันแล้วจะบูด” ปุณยวีร์ว่าเสียงกลั้วหัวเราะ
“สงสัยว่างานนี้น้ำยาพี่ต้อได้บูดก่อนแกงกะทิแหงๆ” เป็นฟารีดาที่เพิ่งก้าวเข้ามาสมทบให้ความเห็นขึ้นบ้าง
“ไอ้เฟย์! เอาอีกแล้วนะเอ็ง เดี๋ยวตัดสิทธิ์ไม่ให้ออกมารับช่อดอกไม้จากเจ้าสาวเลย” คนที่มีแววว่าน้ำยาจะบูดก่อนได้ใช้งานชี้หน้าคาดโทษเสียงขุ่น
สาวห้าวยักไหล่ “เหอะ! แค่ช่อดอกไม้ใครเขาสนกัน ถ้าโยนเจ้าบ่าวลงมาให้ก็ว่าไปอย่าง เนอะปุ่น”
ปุณยวีร์ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธนอกจากจะหันไปหัวเราะกับภควัตที่ยืนอยู่ข้างๆ
“มาๆ มาถ่ายรูปได้แล้ว เป็นสาวเป็นแส้มัวมาพูดจาสองแง่สองง่ามอยู่ได้ หัดดูตัวอย่างสุภาพบุรุษคนข้างๆ บ้าง” สุพรรษารีบตีระฆังพักยกเพราะคู่กัดฝีปากเอกทำท่าว่าจะฉะกันยาวก่อนจะยกมือส่งสัญญาณให้ตากล้อง “ปุ่นไปยืนข้างพี่ต้อเลยไปอย่ามายืนตรงนี้เดี๋ยวคนอื่นได้สับสนพอดีว่าคนไหนเจ้าสาวคนไหนแขกรับเชิญ ปุ้นกับเฟย์มายืนข้างๆ พี่” ไม่ลืมบล็อกตำแหน่งเพื่อให้ตัวเองดูเจิดจรัสที่สุดตามประสาคนเป็นเจ้าสาว
“โหย พี่อ้อยใจร้ายอะ บอกไม่ให้ปุ่นแต่งตัวเกินหน้าเกินตาปุ่นก็อุตส่าห์จัดแบบจืดที่สุดแล้วยังจะผลักไสกันอีก แล้วไล่ปุ่นมาอยู่ข้างพี่ต้อก็ต้องไล่พี่ปุ้นมาด้วยสิคะ จะยึดเอาไว้เองได้ไง พี่ปุ้นเป็นคนของปุ่นนะ” แม้จะเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายดีแต่จะให้ยอมง่ายๆ มันก็ไม่ใช่วิสัย
“ยึดแล้วยึดเลยไม่ยกให้ย่ะ เผื่อบางทีจะมีคนเข้าใจผิดว่าปุ้นเป็นเจ้าบ่าวของพี่” สุพรรษาเองก็ไม่ยอมง่ายๆ เหมือนกันทั้งยังเข้าไปกระแซะภควัตแล้วยิ้มยั่ว แต่พอช่างภาพให้สัญญาณจะกดชัตเตอร์เท่านั้นแหละเธอก็รีบกลับไปควงแขนเจ้าบ่าวตัวจริงแล้วยิ้มแบบที่เลือกแล้วว่าหวานที่สุดสวยที่สุดให้กล้อง
“ขอบใจมากทุกคน เดี๋ยวพี่ฝากพาสาวๆ เข้าไปในงานด้วยนะปุ้น อยากนั่งตรงไหนเลือกเอาเองตามใจชอบ พวกเรามากันหลายคนแล้ว” วัชระว่าพลางตบไหล่ชายหนุ่มรุ่นน้อง
ภควัตยิ้มรับ “ถ้างั้นพวกผมเข้าไปข้างในก่อนนะครับ” แล้วเขาก็แตะข้อศอกปุณยวีร์และพยักหน้าให้ฟารีดาชักชวนกันเข้าไปภายในบริเวณจัดงาน ซึ่งคู่บ่าวสาวได้เลือกใช้สวนสวยของรีสอร์ตมีชื่อแห่งหนึ่งแทนการจัดในห้องแกรนด์บอลรูมตามโรงแรมอย่างที่คู่แต่งงานทั่วไปนิยมกัน ชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสามเดินยังไม่ทันถึงโต๊ะภควัตก็ถูกเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งมาโฉบตัวไปก่อนจึงเหลือเพียงปุณยวีร์กับฟารีดาเดินไปด้วยกัน
“ฉายเดี่ยวเหรอคะพี่เฟย์ น่าเสียดายอุตส่าห์เปลี่ยนลุคจัดเต็มซะขนาดนี้ น่าจะควงหนุ่มมาด้วยสักคน” นานๆ ถึงจะมีโอกาสได้เห็นสาวห้าวรุ่นพี่สลัดกางเกงทิ้งแล้วสวมชุดกระโปรงสักทีปุณยวีร์จึงอดแซวไม่ได้
“แค่แต่งหญิงคนก็ฮือฮาจะแย่แล้ว ถ้าขืนควงผู้ชายมาด้วยมีหวังถูกเจ๊อ้อยสั่งลดโบนัสปลายปีโทษฐานที่บังอาจแย่งซีนแกแหงๆ” แขวะเจ้าบ่าวซึ่งๆ หน้าไปแล้วครั้นพออยู่ลับหลังฟารีดาก็หันมาแขวะเจ้าสาวบ้าง “ว่าแต่เราเถอะ จงใจจืดแต่จริงๆ ไม่จืดอย่างนี้คงถูกเจ๊แกล็อบบี้ไว้ล่ะสิ” ไม่ใช่แค่ถามยังหรี่ตามองคล้ายจับผิดอีกด้วย
เจ้าของใบหน้าใสจนดูเหมือนไม่ได้แต่งหน้าหากก็ใช่ว่าจะซีดเซียวจนดูไม่ได้ยิ่งมีริมฝีปากสีแดงสดอย่างเป็นธรรมชาติด้วยแล้วต่อให้ไม่ได้แต่งเลยก็ยังดูไม่น่าเกลียดซึ่งสวมเสื้อซีทรูเปิดไหล่สีเทอร์ควอยซ์ทับเดรสชีฟองตัวสั้นเหนือเข่าลายดอกสีฟ้าแซมเหลืองเข้ากับ ‘ธีม’ ดอกไม้บานของงานทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “ล็อบบงล็อบบี้อะไรกันคะพี่เฟย์ ไม่มีสักหน่อย ปุ่นก็มีมารยาทรู้กาลเทศะเหมือนกันว่าไม่ควรทำตัวเด่นเกินหน้าเจ้าสาว”
“อ๋อเหรอ…” ฟารีดาลากเสียงยาว “ผู้หญิงเรานี่น่ากลัวจริงๆ เหอะ!” ทำท่าขนลุกประกอบ
“อ๊าววว ไหงถึงกล่าวหากันเองแบบนี้ล่ะคะ”
“งั้นเรากล้าพูดไหมว่าวันนี้ไม่ได้แต่งหน้าเลย” เมื่อคำตอบที่ได้คืออาการอ้ำอึ้งพูดไม่ออกฟารีดาก็รุกต่อ “พี่รู้หรอกน่าว่าเทรนด์แต่งหน้ามันมีหลายแบบ นี่คงแต่งลุคชอนซงอี*ล่ะสิ จงใจให้ดูเหมือนไม่ได้แต่งหน้าแต่จริงๆ ก็แต่งนั่นแหละ ไม่เน้นตาเน้นแก้ม กรีดตาแค่กระจุ๋มกระจิ๋มพอเป็นพิธี แต่งานปากต้องมา”
“รู้ลึกรู้จริง อธิบายได้เป็นฉากๆ แบบนี้ตัวเองก็ทำเหมือนกันล่ะสิ เหอะ! แถมงานปากยังมาเต็มกว่าปุ่นอีก ช่างกล้านะพี่เฟย์สีส้มแปร๋นเลย”
คนซึ่งทาปากสีส้มเข้ากันกับเดรสสั้นลายดอกสีส้มอมชมพูยักไหล่ “ไม่ได้หรอก งานนี้มีแต่เสือสิงห์กระทิงแรดแถมด้วยกูปรี” พูดแล้วก็ทำคอหด “เฮ่อออ ตัวร้ายๆ ทั้งนั้น ลูกกวางน้อยอย่างพี่ก็ต้องรู้จักพลิกแพลงหาวิธีป้องกันตัวเอง แต่ขนาดจัดเต็มมาอย่างนี้แล้วยังเกือบจะถูกนางสิงห์ฆ่าตายตั้งแต่หน้างาน”
“พี่เฟย์ใจร้าย ปุ่นไม่เคยแต่งตัวมาเพื่อฆ่าใครสักหน่อย ก็แค่แต่งตามสไตล์ตัวเองเท่านั้น” ว่าเสียงกระเง้ากระงอดอย่างไม่ยอมรับกับฉายา ‘นางสิงห์’ ที่สาวห้าวรุ่นพี่ตั้งให้
“จ้า พี่เชื่อ ลองคุณหนูปุ่นจัดเต็มจริงๆ ผู้หญิงคนอื่นๆ คงได้ตายกันเป็นแถบๆ รีบเดินเถอะเดอะแก๊งของเราโบกมือเรียกกันใหญ่แล้ว” พยักพเยิดไปทางโต๊ะที่มีเพื่อนร่วมงานหลายคนนั่งรวมตัวกันอยู่พลางโบกมือตอบ
“ทำไมถึงมาพร้อมป้าเฟย์ได้ล่ะปุ่น พี่ปุ้นของเราบอกจะไปรับไม่ใช่เหรอ” ก้องภพถามขึ้นทันทีที่เดินไปถึงโต๊ะ
“พี่ปุ้นก็ไปรับนั่นแหละค่ะ แต่เพิ่งถูกพี่อ๋อมมาโฉบไปเมื่อกี้ ปุ่นกับพี่เฟย์เจอกันตรงหน้างานก็เลยเดินเข้ามาด้วยกัน แล้วอะไรกันล่ะคะพี่หวานปุ่นจะนั่งเลื่อนเก้าอี้ออกทำไม แกล้งกันซึ่งๆ หน้าเลยนะ” หันไปต่อว่าวนิดาหน้ามุ่ยเพราะจู่ๆ ก็เลื่อนเก้าอี้ที่เธอกำลังจะหย่อนก้นลงไปนั่งออกไป
“ไม่ได้ตรงนี้ห้ามนั่ง ไปนั่งข้างชินโน่นไป” วนิดาบอกพลางกอดเก้าอี้ตัวนั้นไว้เอาแน่น
“แล้วทำไมปุ่นจะนั่งเก้าอี้ตัวนี้ไม่ได้ล่ะ” ปุณยวีร์ไม่ยอมง่ายๆ ยังไงเธอก็ต้องรู้เหตุผลก่อน
อนุพงษ์ถอนหายใจ “ถือว่าสงเคราะห์ป้าแกเถอะ ถ้าขืนปุ่นมานั่งขนาบข้างมีหวังป้าแกดับ โอ๊ย…”
วนิดาหยิกหมับเข้าที่พุงกะทิของคนพูดจาแทงใจดำ “ป้า! เหอะ! ปากดีนักนะไอ้อ้วน!” จากนั้นก็หันมาขว้างค้อน ใส่คนที่ยังไม่มีเก้าอี้นั่ง “ไอ้เราจะจัดเต็มก็เกรงใจพี่อ้อยเลยลดเหลือแค่ครึ่ง ลืมคิดถึงยัยเด็กหน้าใสที่ทาแค่ปากก็ออร่ากระจายฆ่ากันตายคาที่ อ๊าย! พี่โกรธจริงๆ ทั้งปุ่นทั้งแก้ว ย้ายไปนั่งโต๊ะอื่นเลยไป”
“โกรธเบ้าหน้าตัวเองดีกว่ามั้ยแก” ฟารีดาอดไม่ได้แขวะขึ้นบ้าง
“ไอ้เฟย์! ฉันยังไม่ได้ด่าแกเลยนะโทษฐานที่วันนี้แต่งสวยเกินหน้าฉัน นี่แน่ะ!” ก้อนน้ำแข็งในกระติกถูกส่งไปปะทะหน้าอกสาวห้าวที่วันนี้ริอ่านแต่งตัวสวยผิดปกติทันควัน
ฟารีดาส่ายศีรษะพลางใช้มือปัดๆ รอยชื้นบนเสื้อ “ถ้ายังคิดจะประทุษร้ายกันอีกคราวหน้าก็เปลี่ยนที่ด้วยนะแกอย่าพุ่งเป้ามาที่อก รู้ไหมว่าฉันต้องใช้ความพยายามโกยเท่าไหร่กว่าจะอึ๋มได้ขนาดนี้ เสียของหมด”
เจอวาจาห่ามๆ ของสาวห้าวเข้าไปเลยได้ฮาครืนกันเกือบทั้งโต๊ะ ยกเว้นก็แต่ตรัยกับก้องภพที่กำลังยกแก้วเหล้า ขึ้นจิบพอดีเลยโชคร้ายสำลักจนน้ำหูน้ำตาไหล
“อ้าว! อะไรอีกล่ะ อย่าบอกนะว่าแม้แต่คุณก็กลัวดับจนไม่ยอมให้ฉันนั่งใกล้อีกคน” ยืนเมื่อยมาตั้งนานไม่ได้นั่งสักทีปุณยวีร์จึงอดโมโหไม่ได้เมื่อเห็นชินพัตต์ขยับเก้าอี้ลุกขึ้นจังหวะเดียวกับที่เธอกำลังจะแทรกตัวเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ เขา
วิศวกรมาดนิ่งถอนหายใจ “ระดับนี้แล้วไม่มีกลัวหรอกเรื่องดับ แค่มีน้ำใจลุกขึ้นมาขยับไอ้นี่” มือใหญ่เลื่อนกระถางดอกไม้ซึ่งผูกโบสวยงามหนึ่งในพร็อบประกอบงานเลี้ยงที่ถูกวางติดกับเก้าอี้ตัวที่ว่างออกไป “เชิญครับ”
ปูณยวีร์ยักไหล่ “ขอบใจ”
“เอาน้ำเปล่าใช่ไหม” เขาถามขณะเลื่อนแก้วเปล่าตรงหน้าเธอไปให้ตรัยที่อยู่ใกล้กับกระติกน้ำแข็งและเครื่องดื่ม อันประกอบไปด้วยน้ำเปล่า น้ำหวาน และน้ำเมา
“ไม่เอา ขอโค้กดีกว่า ออกแรงเดินมาตั้งไกลต้องเติมน้ำตาลให้เลือดหน่อย”
“กินของหวานเยอะๆ เดี๋ยวหน้าก็เหี่ยวก่อนวัยหรอก”
“อ๊ายยย หยาบคาย! พูดออกมาได้ไงยะคำว่าเหี่ยวนี่”
“อ๊าววว ก็ผมพูดเรื่องจริง ถ้าไม่เชื่อก็ถามแก้วดูสิ คุณเธอไม่ยอมดื่มน้ำอัดลมดื่มแต่น้ำเปล่าก็เพราะกลัวเรื่องเหี่ยวนี่แหละ อะให้คิดอีกทีว่าจะเอาน้ำเปล่าหรือโค้ก”
“ยืนยันคำตอบเดิมว่าโค้กย่ะ เหอะ! ระดับนี้ไม่กลัวหรอกเรื่องเหี่ยว”
“หึ! ไม่กลัวแต่ทนฟังไม่ได้”
“พูดมาก! เอาโค้กมาได้แล้วฉันหิว” และพออีกฝ่ายส่งแก้วมาให้ปุณยวีร์ก็ยกดื่มรวดเดียวหมดแก้วสมกับที่ปากบอกว่ากระหายน้ำก่อนจะหยิบตะเกียบตรงหน้าขึ้นมาแกะพลาสติกที่ห่อหุ้มออกเพื่อจะใช้คีบออเดิร์ฟหน้าตาดูน่ารับประทานหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นขาหมูสไลด์ ขนมจีบ กุ้งกระบอก ฯลฯ ซึ่งถูกจัดวางอย่างสวยงามอยู่บนถาดกลางโต๊ะ หากทำท่าไหนไม่รู้ตะเกียบอันหนึ่งถึงหลุดมือตกลงไปอยู่บนยอดหญ้าข้างๆ ขาเก้าอี้จนต้องร้อง “โอ๊ะ!”
“ซุ่มซ่าม!” เสียงสรรเสริญลอยลมมากระทบหูทันใด
คนซุ่มซ่ามหันขวับเตรียมจะฉะกลับเต็มที่แต่แล้วก็ต้องชะงักเพราะตะเกียบคู่ใหม่ที่ยังมีห่อพลาสติกหุ้มอยู่ถูกยื่นมาตรงหน้า “เอาไปใช้ก่อนสิ ยังใหม่อยู่ผมยังไม่ได้แกะ”
“อ้าว แล้วคุณล่ะ”
“ผมยังไม่หิว คุณเอาไปใช้ได้เลย”
ปุณยวีร์พยักหน้า “คุณให้เองนะ ถ้างั้นก็ Arigato Gozaimasu” บอกขอบคุณเป็นภาษาญี่ปุ่นสมกับเป็นล่ามแล้วก็รับตะเกียบมาคีบกุ้งกระบอกส่งเข้าปาก นาทีนี้เธอหิวเกินกว่าจะคิดเกรงใจใครแถมพนักงานเสิร์ฟก็อยู่ไกลด้วย ในเมื่อเขาเสนอมาแล้วก็ต้องสนองเสียหน่อย
“อืม กุ้งอร่อยดี ชิมดูไหมเดี๋ยวฉันคีบให้” แต่แล้วมือเล็กที่ยื่นออกไปก็ชะงักค้างกลางอากาศเมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตะเกียบที่กำลังจะใช้คีบอาหารให้อีกฝ่ายนั้นตัวเองได้ใช้ไปแล้ว “เอ่อ คุณถือรึเปล่า” เมื่อคำตอบที่ได้คือรอยยิ้มและอาการสั่นหน้าทำนองบอก ‘ไม่ถือ’ เธอก็ไม่รอช้าคีบกุ้งกระบอกอีกชิ้นมาวางบนจานให้เขา “เอ้า เดี๋ยวออเดิร์ฟจะหมดก่อนตะเกียบคู่ใหม่จะมา ถ้าคุณอยากกินอะไรก็บอกนะ ฉันจะคีบให้”
“ขอบคุณครับ เชิญคุณตามสบายเลย เดี๋ยวผมค่อยกินอาหารชุดต่อไป” ชินพัตต์ตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม บางที… เขาก็ไม่นึกอยากสนใจอะไรทั้งนั้น ใครจะมองจับผิดยังไงก็ช่างมัน ขอให้ได้ทำตามหัวใจบ้าง แม้จะแค่เล็กน้อยก็ยังดี
“ต๊ายยย ดูนางทำ เคยได้รับเชิญไปงานแต่งงานบ้างไหมนั่นถึงไม่รู้จักมารยาทใส่เดรสสีขาวมาแข่งกับเจ้าสาว”
เสียงอุทานอย่างหัวเสียของวนิดาเรียกสายตาทุกคู่ของสมาชิกในโต๊ะให้หันมองตาม และเจ้าของเรือนร่างโปร่งระหงใน
เดรสเกาะอกสีเบจจางๆ จนเกือบขาวกระโปรงด้านหน้าสั้นด้านหลังยาวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นโยษิตา สาวนักการตลาดเพื่อนร่วมงานจากบริษัทเดียวกันนั่นเอง หญิงสาวเดินเข้ามาในงานพร้อมกันกับอรพินท์ที่วันนี้สวมแม็กซี่เดรสเกาะอกลายดอก
สีโอลด์โรสแลดูสวยหวานปนเซ็กซี่ เรียกสายตาจากหนุ่มๆ ได้ทั้งงาน
“มองโลกในแง่ร้ายไปปะแก ฉันว่าเจ๊อ้อยอาจจะหยิบการ์ดเชิญไปงานมิลานแฟชั่นวีคสลับกับการ์ดแต่งงานให้นางก็ได้มั้ง”
ปุณยวีย์หลุดหัวเราะเสียงดัง “ไม่ยักรู้ว่าพี่เฟย์เป็นสาวคิดบวกตัวแม่ งั้นถ้าเกิดพี่อ้อยหยิบถูกเป็นการ์ดแต่งงานจริงๆ นางจะไม่ทรงราตรียาวลากหางมาเลยเหรอคะ”
“เหอะ! เราก็คิดบวกพอกันนั่นแหละ” ฟารีดาแขวะกลับ “หวังก็แต่ว่าทางรีสอร์ตจะเกลี่ยสนามได้เรียบพอนะ เล่นล่อตึกมาขนาดนั้น พี่ล่ะเสียวแทนนางจริงๆ พูดเลย”
“เสียวเพราะลุ้นว่านางจะตกตึกเมื่อไหร่ใช่ไหมพี่เฟย์”
“สู่รู้!” ฟารีดาสวนกลับ และคำตอบทำนองไม่ปฏิเสธนั้นก็เรียกเสียงหัวเราะจากสมาชิกทุกคนในโต๊ะ
“แก้วว่าพี่เฟย์กับคุณปุ่นคิดเบาๆ หน่อยก็ดีนะคะ หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง และใครคนหนึ่งในโต๊ะนี้ก็เป็นเพื่อนเก่าแก่… ของเธอคนนั้น” กีรฎาเปรยขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ
ปุณยวีร์แสร้งเบิกตาโตคล้ายเพิ่งนึกได้ “เออใช่ นางเป็นเพื่อนเก่าแก่ของคนที่แก่ที่สุดและมืดที่สุดในโต๊ะเรานี่นะ”
“จะแช่งชักหักกระดูกหรือสรรเสริญนินทาใครก็เชิญตามสบายเถอะครับคุณผู้หญิง อย่าลากกระผมเข้าไปเกี่ยวด้วยเลย” ก้องภพตอบกลับเสียงละเหี่ย
ปุณยวีร์ยักไหล่ “อันนี้ก็ไม่รู้สินะคะ คงต้องแล้วแต่แก้ว” ดูจากใบหน้าเรียบตึงของวิศวกรสาวแล้วแน่ใจได้เลยว่าวันหยุดวันนี้วิศวกรผิวเข้มมีงานเข้า!
“ปุ่น…” เสียงทุ้มนุ่มฟังคุ้นหูดังขึ้นเหนือศีรษะ
“พี่ปุ้น” ปุณยวีร์เงยหน้าขึ้นไปส่งยิ้มให้เจ้าของร่างสูงที่ท้าวแขนทั้งสองข้างกับเก้าอี้ของเธอคล้ายกับโอบกอดกันไว้กลายๆ
“ได้ทานอะไรบ้างหรือยังคะ” / “ปุ่นทานอะไรบ้างหรือยังครับ” เขาและเธอเอ่ยขึ้นแทบพร้อมกัน
ปุณยวีร์ยิ้มกว้าง “ทานแล้วค่ะทุกอย่างที่เสิร์ฟเลย อร่อยมาก” ดวงตาคู่กลมโตเขม้นมองคนที่ถูกโฉบหายไปเสียตั้งนาน “แต่ดูเหมือนพี่ปุ้นจะหนักไปทางดื่มรึเปล่าคะ ทั้งหน้าทั้งคอแดงโร่เลย”
ภควัตยกมือขึ้นเกาท้ายทอยพลางยิ้มเจื่อนๆ “หือ แดงมากเลยเหรอ แค่สามแก้วเองนะ”
“ตั้งสามแก้วแล้วก็เพลาๆ ลงหน่อยนะคะ เกิดคุณตำรวจอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำตั้งด่านขึ้นมาแล้วจะยุ่ง”
“รับบัญชาครับผมคุณผู้หญิง” ภควัตตอบล้อเลียน
“โอย ชะ… ช่วย ด้วย” ฟารีดายกมือกุมหน้าอกทำท่าคล้ายกับจะขาดใจตาย
“พี่เฟย์เป็นอะไรครับ! พี่เฟย์!” ตรัยอุทานเสียงดัง
อนุพงษ์ส่ายศีรษะ “ทำกระต่ายตื่นตูมไปได้เจ้าเต้ ไอ้เฟย์มันแค่น้ำตาลขึ้น”
“อ้าวพี่เฟย์เป็นเบาหวานเหรอครับ ถ้าน้ำตาลขึ้นงั้นก็แย่สิ พี่เฟย์มีอินซูลินไหมล่ะครับรีบเอามาฉีดสิ”
อนุพงษ์กุมขมับ “เอากับมันสิ บอกขนาดนี้แล้วยังซื่อได้อีก ไอ้พี่เฟย์มันน้ำตาลขึ้นเพราะคู่โน้น” พยักพเยิดไปทางคู่วิศวกรกับล่ามสาวที่โชว์หวานจนเป็นที่อิจฉา
“โห แอ็คติ้งขนาดส่งชื่อเข้าชิงออสการ์ได้เลยอย่างนี้พี่ก็ยอมให้ผมซื่อเถอะครับ” ตรัยบ่นอุบพลางค้อนเคืองว่าที่ดารานำฝ่ายหญิงที่ตอนนี้หันไปสวมบทบาท ‘เชลล์ชวนกิน’
“จะยืนอีกนานไหม ทำไมไม่ลากเก้าอี้มานั่งด้วยกันวะ หรือจะไปไหนอีก” ก้องภพส่งคำถามให้คนเป็นเพื่อนที่ยืนซ้อนหลังเก้าอี้ของล่ามสาวมาได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว
ภควัตไม่ได้ตอบเป็นคำพูด แต่ดวงตาคู่เรียวรีกำลังสอดส่ายมองหาเก้าอี้ว่างอย่างที่วิศวกรผิวเข้มแนะนำ
“พี่ปุ้นนั่งตรงนี้ก็ได้ครับ” คนที่เงียบเสียงไปนานราวกับไม่มีตัวตนอยู่ในโต๊ะเลื่อนเก้าอี้ออกแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงท่ามกลางสายตาสงสัยของสมาชิกทั้งโต๊ะ “ผมจะไปนั่งกับไอ้พวกโน้นมันเรียกตั้งนานแล้ว” พยักพเยิดไปที่โต๊ะซึ่งตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งใกล้ๆ กับเวทีอันประกอบไปด้วยสมาชิกชายล้วนก่อนจะผละจากไปทันทีโดยไม่สนใจรอคำตอบรับหรือปฏิเสธจากใคร
TBC...
* ชอนซงอี ชื่อนางเอกซีรีส์เกาหลีเรื่อง You Who came from the stars
ขอบคุณ คุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามอ่านเรื่อยมานะคะ โดยเฉพาะคุณ sai , sunflower, zephyr ที่ฝากคอมเมนท์เป็นกำลังใจ พบกันอีกครั้งวันอาทิตย์นะคะ
ปุณยวีร์จึงกล่าวอวยพรกึ่งๆ แซวไปด้วยขณะยื่นกล่องของขวัญที่เธอและภควัตหุ้นกันซื้อให้คู่บ่าวสาวที่ยืนต้อนรับแขกอยู่ตรงซุ้มดอกไม้หน้าทางเข้าไปภายในบริเวณจัดเลี้ยงงานฉลองมงคลสมรส
“จัดไปอย่าให้เสีย เดี๋ยวคืนนี้พี่กับพี่อ้อยจะบรรจงปั้น เอากี่คนดีสองดีไหม แต่สิบเอ็ดก็ดีนะตั้งทีมฟุตบอลได้เลย” วัชระยิ้มหน้าบานรับมุกโดยไม่มีอาการขัดเขินก่อนจะหันไปพยักพเยิดกับคนข้างกายซึ่งต้องร่วมภารกิจ ‘ปั้น’ ต้ออ้อยจูเนียร์ร่วมกันกับเขา
“ใสเจียเสียใจย่ะว่าที่คุณพ่อ คืนนี้ว่าที่คุณแม่คงไม่ว่างปั้นเพราะติดงานฉีกซองนับเงินมือเป็นระวิง” สุพรรษาเมินหน้าปฏิเสธทันควัน
“โหพี่อ้อย เก็บไว้นับวันหลังก็ได้มั้ง เงินนะคะไม่ใช่แกงกะทิถึงทิ้งไว้ข้ามวันแล้วจะบูด” ปุณยวีร์ว่าเสียงกลั้วหัวเราะ
“สงสัยว่างานนี้น้ำยาพี่ต้อได้บูดก่อนแกงกะทิแหงๆ” เป็นฟารีดาที่เพิ่งก้าวเข้ามาสมทบให้ความเห็นขึ้นบ้าง
“ไอ้เฟย์! เอาอีกแล้วนะเอ็ง เดี๋ยวตัดสิทธิ์ไม่ให้ออกมารับช่อดอกไม้จากเจ้าสาวเลย” คนที่มีแววว่าน้ำยาจะบูดก่อนได้ใช้งานชี้หน้าคาดโทษเสียงขุ่น
สาวห้าวยักไหล่ “เหอะ! แค่ช่อดอกไม้ใครเขาสนกัน ถ้าโยนเจ้าบ่าวลงมาให้ก็ว่าไปอย่าง เนอะปุ่น”
ปุณยวีร์ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธนอกจากจะหันไปหัวเราะกับภควัตที่ยืนอยู่ข้างๆ
“มาๆ มาถ่ายรูปได้แล้ว เป็นสาวเป็นแส้มัวมาพูดจาสองแง่สองง่ามอยู่ได้ หัดดูตัวอย่างสุภาพบุรุษคนข้างๆ บ้าง” สุพรรษารีบตีระฆังพักยกเพราะคู่กัดฝีปากเอกทำท่าว่าจะฉะกันยาวก่อนจะยกมือส่งสัญญาณให้ตากล้อง “ปุ่นไปยืนข้างพี่ต้อเลยไปอย่ามายืนตรงนี้เดี๋ยวคนอื่นได้สับสนพอดีว่าคนไหนเจ้าสาวคนไหนแขกรับเชิญ ปุ้นกับเฟย์มายืนข้างๆ พี่” ไม่ลืมบล็อกตำแหน่งเพื่อให้ตัวเองดูเจิดจรัสที่สุดตามประสาคนเป็นเจ้าสาว
“โหย พี่อ้อยใจร้ายอะ บอกไม่ให้ปุ่นแต่งตัวเกินหน้าเกินตาปุ่นก็อุตส่าห์จัดแบบจืดที่สุดแล้วยังจะผลักไสกันอีก แล้วไล่ปุ่นมาอยู่ข้างพี่ต้อก็ต้องไล่พี่ปุ้นมาด้วยสิคะ จะยึดเอาไว้เองได้ไง พี่ปุ้นเป็นคนของปุ่นนะ” แม้จะเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายดีแต่จะให้ยอมง่ายๆ มันก็ไม่ใช่วิสัย
“ยึดแล้วยึดเลยไม่ยกให้ย่ะ เผื่อบางทีจะมีคนเข้าใจผิดว่าปุ้นเป็นเจ้าบ่าวของพี่” สุพรรษาเองก็ไม่ยอมง่ายๆ เหมือนกันทั้งยังเข้าไปกระแซะภควัตแล้วยิ้มยั่ว แต่พอช่างภาพให้สัญญาณจะกดชัตเตอร์เท่านั้นแหละเธอก็รีบกลับไปควงแขนเจ้าบ่าวตัวจริงแล้วยิ้มแบบที่เลือกแล้วว่าหวานที่สุดสวยที่สุดให้กล้อง
“ขอบใจมากทุกคน เดี๋ยวพี่ฝากพาสาวๆ เข้าไปในงานด้วยนะปุ้น อยากนั่งตรงไหนเลือกเอาเองตามใจชอบ พวกเรามากันหลายคนแล้ว” วัชระว่าพลางตบไหล่ชายหนุ่มรุ่นน้อง
ภควัตยิ้มรับ “ถ้างั้นพวกผมเข้าไปข้างในก่อนนะครับ” แล้วเขาก็แตะข้อศอกปุณยวีร์และพยักหน้าให้ฟารีดาชักชวนกันเข้าไปภายในบริเวณจัดงาน ซึ่งคู่บ่าวสาวได้เลือกใช้สวนสวยของรีสอร์ตมีชื่อแห่งหนึ่งแทนการจัดในห้องแกรนด์บอลรูมตามโรงแรมอย่างที่คู่แต่งงานทั่วไปนิยมกัน ชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสามเดินยังไม่ทันถึงโต๊ะภควัตก็ถูกเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งมาโฉบตัวไปก่อนจึงเหลือเพียงปุณยวีร์กับฟารีดาเดินไปด้วยกัน
“ฉายเดี่ยวเหรอคะพี่เฟย์ น่าเสียดายอุตส่าห์เปลี่ยนลุคจัดเต็มซะขนาดนี้ น่าจะควงหนุ่มมาด้วยสักคน” นานๆ ถึงจะมีโอกาสได้เห็นสาวห้าวรุ่นพี่สลัดกางเกงทิ้งแล้วสวมชุดกระโปรงสักทีปุณยวีร์จึงอดแซวไม่ได้
“แค่แต่งหญิงคนก็ฮือฮาจะแย่แล้ว ถ้าขืนควงผู้ชายมาด้วยมีหวังถูกเจ๊อ้อยสั่งลดโบนัสปลายปีโทษฐานที่บังอาจแย่งซีนแกแหงๆ” แขวะเจ้าบ่าวซึ่งๆ หน้าไปแล้วครั้นพออยู่ลับหลังฟารีดาก็หันมาแขวะเจ้าสาวบ้าง “ว่าแต่เราเถอะ จงใจจืดแต่จริงๆ ไม่จืดอย่างนี้คงถูกเจ๊แกล็อบบี้ไว้ล่ะสิ” ไม่ใช่แค่ถามยังหรี่ตามองคล้ายจับผิดอีกด้วย
เจ้าของใบหน้าใสจนดูเหมือนไม่ได้แต่งหน้าหากก็ใช่ว่าจะซีดเซียวจนดูไม่ได้ยิ่งมีริมฝีปากสีแดงสดอย่างเป็นธรรมชาติด้วยแล้วต่อให้ไม่ได้แต่งเลยก็ยังดูไม่น่าเกลียดซึ่งสวมเสื้อซีทรูเปิดไหล่สีเทอร์ควอยซ์ทับเดรสชีฟองตัวสั้นเหนือเข่าลายดอกสีฟ้าแซมเหลืองเข้ากับ ‘ธีม’ ดอกไม้บานของงานทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “ล็อบบงล็อบบี้อะไรกันคะพี่เฟย์ ไม่มีสักหน่อย ปุ่นก็มีมารยาทรู้กาลเทศะเหมือนกันว่าไม่ควรทำตัวเด่นเกินหน้าเจ้าสาว”
“อ๋อเหรอ…” ฟารีดาลากเสียงยาว “ผู้หญิงเรานี่น่ากลัวจริงๆ เหอะ!” ทำท่าขนลุกประกอบ
“อ๊าววว ไหงถึงกล่าวหากันเองแบบนี้ล่ะคะ”
“งั้นเรากล้าพูดไหมว่าวันนี้ไม่ได้แต่งหน้าเลย” เมื่อคำตอบที่ได้คืออาการอ้ำอึ้งพูดไม่ออกฟารีดาก็รุกต่อ “พี่รู้หรอกน่าว่าเทรนด์แต่งหน้ามันมีหลายแบบ นี่คงแต่งลุคชอนซงอี*ล่ะสิ จงใจให้ดูเหมือนไม่ได้แต่งหน้าแต่จริงๆ ก็แต่งนั่นแหละ ไม่เน้นตาเน้นแก้ม กรีดตาแค่กระจุ๋มกระจิ๋มพอเป็นพิธี แต่งานปากต้องมา”
“รู้ลึกรู้จริง อธิบายได้เป็นฉากๆ แบบนี้ตัวเองก็ทำเหมือนกันล่ะสิ เหอะ! แถมงานปากยังมาเต็มกว่าปุ่นอีก ช่างกล้านะพี่เฟย์สีส้มแปร๋นเลย”
คนซึ่งทาปากสีส้มเข้ากันกับเดรสสั้นลายดอกสีส้มอมชมพูยักไหล่ “ไม่ได้หรอก งานนี้มีแต่เสือสิงห์กระทิงแรดแถมด้วยกูปรี” พูดแล้วก็ทำคอหด “เฮ่อออ ตัวร้ายๆ ทั้งนั้น ลูกกวางน้อยอย่างพี่ก็ต้องรู้จักพลิกแพลงหาวิธีป้องกันตัวเอง แต่ขนาดจัดเต็มมาอย่างนี้แล้วยังเกือบจะถูกนางสิงห์ฆ่าตายตั้งแต่หน้างาน”
“พี่เฟย์ใจร้าย ปุ่นไม่เคยแต่งตัวมาเพื่อฆ่าใครสักหน่อย ก็แค่แต่งตามสไตล์ตัวเองเท่านั้น” ว่าเสียงกระเง้ากระงอดอย่างไม่ยอมรับกับฉายา ‘นางสิงห์’ ที่สาวห้าวรุ่นพี่ตั้งให้
“จ้า พี่เชื่อ ลองคุณหนูปุ่นจัดเต็มจริงๆ ผู้หญิงคนอื่นๆ คงได้ตายกันเป็นแถบๆ รีบเดินเถอะเดอะแก๊งของเราโบกมือเรียกกันใหญ่แล้ว” พยักพเยิดไปทางโต๊ะที่มีเพื่อนร่วมงานหลายคนนั่งรวมตัวกันอยู่พลางโบกมือตอบ
“ทำไมถึงมาพร้อมป้าเฟย์ได้ล่ะปุ่น พี่ปุ้นของเราบอกจะไปรับไม่ใช่เหรอ” ก้องภพถามขึ้นทันทีที่เดินไปถึงโต๊ะ
“พี่ปุ้นก็ไปรับนั่นแหละค่ะ แต่เพิ่งถูกพี่อ๋อมมาโฉบไปเมื่อกี้ ปุ่นกับพี่เฟย์เจอกันตรงหน้างานก็เลยเดินเข้ามาด้วยกัน แล้วอะไรกันล่ะคะพี่หวานปุ่นจะนั่งเลื่อนเก้าอี้ออกทำไม แกล้งกันซึ่งๆ หน้าเลยนะ” หันไปต่อว่าวนิดาหน้ามุ่ยเพราะจู่ๆ ก็เลื่อนเก้าอี้ที่เธอกำลังจะหย่อนก้นลงไปนั่งออกไป
“ไม่ได้ตรงนี้ห้ามนั่ง ไปนั่งข้างชินโน่นไป” วนิดาบอกพลางกอดเก้าอี้ตัวนั้นไว้เอาแน่น
“แล้วทำไมปุ่นจะนั่งเก้าอี้ตัวนี้ไม่ได้ล่ะ” ปุณยวีร์ไม่ยอมง่ายๆ ยังไงเธอก็ต้องรู้เหตุผลก่อน
อนุพงษ์ถอนหายใจ “ถือว่าสงเคราะห์ป้าแกเถอะ ถ้าขืนปุ่นมานั่งขนาบข้างมีหวังป้าแกดับ โอ๊ย…”
วนิดาหยิกหมับเข้าที่พุงกะทิของคนพูดจาแทงใจดำ “ป้า! เหอะ! ปากดีนักนะไอ้อ้วน!” จากนั้นก็หันมาขว้างค้อน ใส่คนที่ยังไม่มีเก้าอี้นั่ง “ไอ้เราจะจัดเต็มก็เกรงใจพี่อ้อยเลยลดเหลือแค่ครึ่ง ลืมคิดถึงยัยเด็กหน้าใสที่ทาแค่ปากก็ออร่ากระจายฆ่ากันตายคาที่ อ๊าย! พี่โกรธจริงๆ ทั้งปุ่นทั้งแก้ว ย้ายไปนั่งโต๊ะอื่นเลยไป”
“โกรธเบ้าหน้าตัวเองดีกว่ามั้ยแก” ฟารีดาอดไม่ได้แขวะขึ้นบ้าง
“ไอ้เฟย์! ฉันยังไม่ได้ด่าแกเลยนะโทษฐานที่วันนี้แต่งสวยเกินหน้าฉัน นี่แน่ะ!” ก้อนน้ำแข็งในกระติกถูกส่งไปปะทะหน้าอกสาวห้าวที่วันนี้ริอ่านแต่งตัวสวยผิดปกติทันควัน
ฟารีดาส่ายศีรษะพลางใช้มือปัดๆ รอยชื้นบนเสื้อ “ถ้ายังคิดจะประทุษร้ายกันอีกคราวหน้าก็เปลี่ยนที่ด้วยนะแกอย่าพุ่งเป้ามาที่อก รู้ไหมว่าฉันต้องใช้ความพยายามโกยเท่าไหร่กว่าจะอึ๋มได้ขนาดนี้ เสียของหมด”
เจอวาจาห่ามๆ ของสาวห้าวเข้าไปเลยได้ฮาครืนกันเกือบทั้งโต๊ะ ยกเว้นก็แต่ตรัยกับก้องภพที่กำลังยกแก้วเหล้า ขึ้นจิบพอดีเลยโชคร้ายสำลักจนน้ำหูน้ำตาไหล
“อ้าว! อะไรอีกล่ะ อย่าบอกนะว่าแม้แต่คุณก็กลัวดับจนไม่ยอมให้ฉันนั่งใกล้อีกคน” ยืนเมื่อยมาตั้งนานไม่ได้นั่งสักทีปุณยวีร์จึงอดโมโหไม่ได้เมื่อเห็นชินพัตต์ขยับเก้าอี้ลุกขึ้นจังหวะเดียวกับที่เธอกำลังจะแทรกตัวเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ เขา
วิศวกรมาดนิ่งถอนหายใจ “ระดับนี้แล้วไม่มีกลัวหรอกเรื่องดับ แค่มีน้ำใจลุกขึ้นมาขยับไอ้นี่” มือใหญ่เลื่อนกระถางดอกไม้ซึ่งผูกโบสวยงามหนึ่งในพร็อบประกอบงานเลี้ยงที่ถูกวางติดกับเก้าอี้ตัวที่ว่างออกไป “เชิญครับ”
ปูณยวีร์ยักไหล่ “ขอบใจ”
“เอาน้ำเปล่าใช่ไหม” เขาถามขณะเลื่อนแก้วเปล่าตรงหน้าเธอไปให้ตรัยที่อยู่ใกล้กับกระติกน้ำแข็งและเครื่องดื่ม อันประกอบไปด้วยน้ำเปล่า น้ำหวาน และน้ำเมา
“ไม่เอา ขอโค้กดีกว่า ออกแรงเดินมาตั้งไกลต้องเติมน้ำตาลให้เลือดหน่อย”
“กินของหวานเยอะๆ เดี๋ยวหน้าก็เหี่ยวก่อนวัยหรอก”
“อ๊ายยย หยาบคาย! พูดออกมาได้ไงยะคำว่าเหี่ยวนี่”
“อ๊าววว ก็ผมพูดเรื่องจริง ถ้าไม่เชื่อก็ถามแก้วดูสิ คุณเธอไม่ยอมดื่มน้ำอัดลมดื่มแต่น้ำเปล่าก็เพราะกลัวเรื่องเหี่ยวนี่แหละ อะให้คิดอีกทีว่าจะเอาน้ำเปล่าหรือโค้ก”
“ยืนยันคำตอบเดิมว่าโค้กย่ะ เหอะ! ระดับนี้ไม่กลัวหรอกเรื่องเหี่ยว”
“หึ! ไม่กลัวแต่ทนฟังไม่ได้”
“พูดมาก! เอาโค้กมาได้แล้วฉันหิว” และพออีกฝ่ายส่งแก้วมาให้ปุณยวีร์ก็ยกดื่มรวดเดียวหมดแก้วสมกับที่ปากบอกว่ากระหายน้ำก่อนจะหยิบตะเกียบตรงหน้าขึ้นมาแกะพลาสติกที่ห่อหุ้มออกเพื่อจะใช้คีบออเดิร์ฟหน้าตาดูน่ารับประทานหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นขาหมูสไลด์ ขนมจีบ กุ้งกระบอก ฯลฯ ซึ่งถูกจัดวางอย่างสวยงามอยู่บนถาดกลางโต๊ะ หากทำท่าไหนไม่รู้ตะเกียบอันหนึ่งถึงหลุดมือตกลงไปอยู่บนยอดหญ้าข้างๆ ขาเก้าอี้จนต้องร้อง “โอ๊ะ!”
“ซุ่มซ่าม!” เสียงสรรเสริญลอยลมมากระทบหูทันใด
คนซุ่มซ่ามหันขวับเตรียมจะฉะกลับเต็มที่แต่แล้วก็ต้องชะงักเพราะตะเกียบคู่ใหม่ที่ยังมีห่อพลาสติกหุ้มอยู่ถูกยื่นมาตรงหน้า “เอาไปใช้ก่อนสิ ยังใหม่อยู่ผมยังไม่ได้แกะ”
“อ้าว แล้วคุณล่ะ”
“ผมยังไม่หิว คุณเอาไปใช้ได้เลย”
ปุณยวีร์พยักหน้า “คุณให้เองนะ ถ้างั้นก็ Arigato Gozaimasu” บอกขอบคุณเป็นภาษาญี่ปุ่นสมกับเป็นล่ามแล้วก็รับตะเกียบมาคีบกุ้งกระบอกส่งเข้าปาก นาทีนี้เธอหิวเกินกว่าจะคิดเกรงใจใครแถมพนักงานเสิร์ฟก็อยู่ไกลด้วย ในเมื่อเขาเสนอมาแล้วก็ต้องสนองเสียหน่อย
“อืม กุ้งอร่อยดี ชิมดูไหมเดี๋ยวฉันคีบให้” แต่แล้วมือเล็กที่ยื่นออกไปก็ชะงักค้างกลางอากาศเมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตะเกียบที่กำลังจะใช้คีบอาหารให้อีกฝ่ายนั้นตัวเองได้ใช้ไปแล้ว “เอ่อ คุณถือรึเปล่า” เมื่อคำตอบที่ได้คือรอยยิ้มและอาการสั่นหน้าทำนองบอก ‘ไม่ถือ’ เธอก็ไม่รอช้าคีบกุ้งกระบอกอีกชิ้นมาวางบนจานให้เขา “เอ้า เดี๋ยวออเดิร์ฟจะหมดก่อนตะเกียบคู่ใหม่จะมา ถ้าคุณอยากกินอะไรก็บอกนะ ฉันจะคีบให้”
“ขอบคุณครับ เชิญคุณตามสบายเลย เดี๋ยวผมค่อยกินอาหารชุดต่อไป” ชินพัตต์ตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม บางที… เขาก็ไม่นึกอยากสนใจอะไรทั้งนั้น ใครจะมองจับผิดยังไงก็ช่างมัน ขอให้ได้ทำตามหัวใจบ้าง แม้จะแค่เล็กน้อยก็ยังดี
“ต๊ายยย ดูนางทำ เคยได้รับเชิญไปงานแต่งงานบ้างไหมนั่นถึงไม่รู้จักมารยาทใส่เดรสสีขาวมาแข่งกับเจ้าสาว”
เสียงอุทานอย่างหัวเสียของวนิดาเรียกสายตาทุกคู่ของสมาชิกในโต๊ะให้หันมองตาม และเจ้าของเรือนร่างโปร่งระหงใน
เดรสเกาะอกสีเบจจางๆ จนเกือบขาวกระโปรงด้านหน้าสั้นด้านหลังยาวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นโยษิตา สาวนักการตลาดเพื่อนร่วมงานจากบริษัทเดียวกันนั่นเอง หญิงสาวเดินเข้ามาในงานพร้อมกันกับอรพินท์ที่วันนี้สวมแม็กซี่เดรสเกาะอกลายดอก
สีโอลด์โรสแลดูสวยหวานปนเซ็กซี่ เรียกสายตาจากหนุ่มๆ ได้ทั้งงาน
“มองโลกในแง่ร้ายไปปะแก ฉันว่าเจ๊อ้อยอาจจะหยิบการ์ดเชิญไปงานมิลานแฟชั่นวีคสลับกับการ์ดแต่งงานให้นางก็ได้มั้ง”
ปุณยวีย์หลุดหัวเราะเสียงดัง “ไม่ยักรู้ว่าพี่เฟย์เป็นสาวคิดบวกตัวแม่ งั้นถ้าเกิดพี่อ้อยหยิบถูกเป็นการ์ดแต่งงานจริงๆ นางจะไม่ทรงราตรียาวลากหางมาเลยเหรอคะ”
“เหอะ! เราก็คิดบวกพอกันนั่นแหละ” ฟารีดาแขวะกลับ “หวังก็แต่ว่าทางรีสอร์ตจะเกลี่ยสนามได้เรียบพอนะ เล่นล่อตึกมาขนาดนั้น พี่ล่ะเสียวแทนนางจริงๆ พูดเลย”
“เสียวเพราะลุ้นว่านางจะตกตึกเมื่อไหร่ใช่ไหมพี่เฟย์”
“สู่รู้!” ฟารีดาสวนกลับ และคำตอบทำนองไม่ปฏิเสธนั้นก็เรียกเสียงหัวเราะจากสมาชิกทุกคนในโต๊ะ
“แก้วว่าพี่เฟย์กับคุณปุ่นคิดเบาๆ หน่อยก็ดีนะคะ หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง และใครคนหนึ่งในโต๊ะนี้ก็เป็นเพื่อนเก่าแก่… ของเธอคนนั้น” กีรฎาเปรยขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ
ปุณยวีร์แสร้งเบิกตาโตคล้ายเพิ่งนึกได้ “เออใช่ นางเป็นเพื่อนเก่าแก่ของคนที่แก่ที่สุดและมืดที่สุดในโต๊ะเรานี่นะ”
“จะแช่งชักหักกระดูกหรือสรรเสริญนินทาใครก็เชิญตามสบายเถอะครับคุณผู้หญิง อย่าลากกระผมเข้าไปเกี่ยวด้วยเลย” ก้องภพตอบกลับเสียงละเหี่ย
ปุณยวีร์ยักไหล่ “อันนี้ก็ไม่รู้สินะคะ คงต้องแล้วแต่แก้ว” ดูจากใบหน้าเรียบตึงของวิศวกรสาวแล้วแน่ใจได้เลยว่าวันหยุดวันนี้วิศวกรผิวเข้มมีงานเข้า!
“ปุ่น…” เสียงทุ้มนุ่มฟังคุ้นหูดังขึ้นเหนือศีรษะ
“พี่ปุ้น” ปุณยวีร์เงยหน้าขึ้นไปส่งยิ้มให้เจ้าของร่างสูงที่ท้าวแขนทั้งสองข้างกับเก้าอี้ของเธอคล้ายกับโอบกอดกันไว้กลายๆ
“ได้ทานอะไรบ้างหรือยังคะ” / “ปุ่นทานอะไรบ้างหรือยังครับ” เขาและเธอเอ่ยขึ้นแทบพร้อมกัน
ปุณยวีร์ยิ้มกว้าง “ทานแล้วค่ะทุกอย่างที่เสิร์ฟเลย อร่อยมาก” ดวงตาคู่กลมโตเขม้นมองคนที่ถูกโฉบหายไปเสียตั้งนาน “แต่ดูเหมือนพี่ปุ้นจะหนักไปทางดื่มรึเปล่าคะ ทั้งหน้าทั้งคอแดงโร่เลย”
ภควัตยกมือขึ้นเกาท้ายทอยพลางยิ้มเจื่อนๆ “หือ แดงมากเลยเหรอ แค่สามแก้วเองนะ”
“ตั้งสามแก้วแล้วก็เพลาๆ ลงหน่อยนะคะ เกิดคุณตำรวจอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำตั้งด่านขึ้นมาแล้วจะยุ่ง”
“รับบัญชาครับผมคุณผู้หญิง” ภควัตตอบล้อเลียน
“โอย ชะ… ช่วย ด้วย” ฟารีดายกมือกุมหน้าอกทำท่าคล้ายกับจะขาดใจตาย
“พี่เฟย์เป็นอะไรครับ! พี่เฟย์!” ตรัยอุทานเสียงดัง
อนุพงษ์ส่ายศีรษะ “ทำกระต่ายตื่นตูมไปได้เจ้าเต้ ไอ้เฟย์มันแค่น้ำตาลขึ้น”
“อ้าวพี่เฟย์เป็นเบาหวานเหรอครับ ถ้าน้ำตาลขึ้นงั้นก็แย่สิ พี่เฟย์มีอินซูลินไหมล่ะครับรีบเอามาฉีดสิ”
อนุพงษ์กุมขมับ “เอากับมันสิ บอกขนาดนี้แล้วยังซื่อได้อีก ไอ้พี่เฟย์มันน้ำตาลขึ้นเพราะคู่โน้น” พยักพเยิดไปทางคู่วิศวกรกับล่ามสาวที่โชว์หวานจนเป็นที่อิจฉา
“โห แอ็คติ้งขนาดส่งชื่อเข้าชิงออสการ์ได้เลยอย่างนี้พี่ก็ยอมให้ผมซื่อเถอะครับ” ตรัยบ่นอุบพลางค้อนเคืองว่าที่ดารานำฝ่ายหญิงที่ตอนนี้หันไปสวมบทบาท ‘เชลล์ชวนกิน’
“จะยืนอีกนานไหม ทำไมไม่ลากเก้าอี้มานั่งด้วยกันวะ หรือจะไปไหนอีก” ก้องภพส่งคำถามให้คนเป็นเพื่อนที่ยืนซ้อนหลังเก้าอี้ของล่ามสาวมาได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว
ภควัตไม่ได้ตอบเป็นคำพูด แต่ดวงตาคู่เรียวรีกำลังสอดส่ายมองหาเก้าอี้ว่างอย่างที่วิศวกรผิวเข้มแนะนำ
“พี่ปุ้นนั่งตรงนี้ก็ได้ครับ” คนที่เงียบเสียงไปนานราวกับไม่มีตัวตนอยู่ในโต๊ะเลื่อนเก้าอี้ออกแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงท่ามกลางสายตาสงสัยของสมาชิกทั้งโต๊ะ “ผมจะไปนั่งกับไอ้พวกโน้นมันเรียกตั้งนานแล้ว” พยักพเยิดไปที่โต๊ะซึ่งตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งใกล้ๆ กับเวทีอันประกอบไปด้วยสมาชิกชายล้วนก่อนจะผละจากไปทันทีโดยไม่สนใจรอคำตอบรับหรือปฏิเสธจากใคร
TBC...
* ชอนซงอี ชื่อนางเอกซีรีส์เกาหลีเรื่อง You Who came from the stars
ขอบคุณ คุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามอ่านเรื่อยมานะคะ โดยเฉพาะคุณ sai , sunflower, zephyr ที่ฝากคอมเมนท์เป็นกำลังใจ พบกันอีกครั้งวันอาทิตย์นะคะ
พนาศิลป์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ม.ค. 2558, 11:38:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ม.ค. 2558, 11:38:37 น.
จำนวนการเข้าชม : 1411
<< ตอนที่ 12 | ตอน 13/2 >> |
sunflower 9 ม.ค. 2558, 14:43:42 น.
สงสารชิน
สงสารชิน
sai 9 ม.ค. 2558, 20:03:56 น.
ตาชินจัง น่าสงสารจริงๆ
ตาชินจัง น่าสงสารจริงๆ
Zephyr 10 ม.ค. 2558, 18:22:40 น.
ชินนนน ชิ้นนนนนนน
นายจะลุกไปไหน
จะแมนทำไม้ๆๆๆๆ ตอนนี้ ฮะๆๆๆๆ
นั่งๆไปเถอะน่า อีตานี่ เดี๋ยวแป้บก็เขวแล้ว
เชื่อสิๆๆๆๆ อ้ายยยยย ขัดใจที่สุดดด
ชินนนน ชิ้นนนนนนน
นายจะลุกไปไหน
จะแมนทำไม้ๆๆๆๆ ตอนนี้ ฮะๆๆๆๆ
นั่งๆไปเถอะน่า อีตานี่ เดี๋ยวแป้บก็เขวแล้ว
เชื่อสิๆๆๆๆ อ้ายยยยย ขัดใจที่สุดดด