ตะวันต้องลม
เขาคิดมาเสมอว่าทุกอย่างที่เกิดกับน้องชายเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น!
และเธอต้องรับผิดชอบ เขาจะทำให้คาสโนวี่อย่างเธอรักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น
เธอคือเป้าหมายที่เขาต้องพิชิต
แม้ว่าตะวันดวงนี้จะเป็นตะวันที่ร้อนแผดเผา และไม่ได้ความรักมาง่ายๆ
แต่ลมอย่างเขาก็ไม่หวั่น เขาจะเป็นลมพายุที่พัดกลุ่มเมฆมาบดบังแสงตะวันของเธอให้ได้!
เมื่อดึงตะวันคล้อยต่ำลงได้เมื่อไหร่ เขาจะปล่อยเธอทิ้งร่วงลงสู่พื้นดิน
และเธอต้องรับผิดชอบ เขาจะทำให้คาสโนวี่อย่างเธอรักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น
เธอคือเป้าหมายที่เขาต้องพิชิต
แม้ว่าตะวันดวงนี้จะเป็นตะวันที่ร้อนแผดเผา และไม่ได้ความรักมาง่ายๆ
แต่ลมอย่างเขาก็ไม่หวั่น เขาจะเป็นลมพายุที่พัดกลุ่มเมฆมาบดบังแสงตะวันของเธอให้ได้!
เมื่อดึงตะวันคล้อยต่ำลงได้เมื่อไหร่ เขาจะปล่อยเธอทิ้งร่วงลงสู่พื้นดิน
Tags: อนิล วาดตะวัน วิฬุร ดราม่าโรแมนติก
ตอน: บทที่ 2
บทที่ 2
.....................................................
รถต้องอยู่ทำสีราวๆ อาทิตย์หนึ่ง วาดตะวันอยากเอ่ยปากตัดใจ และกลับไปซ่อมเองที่กรุงเทพฯ แต่ก็ปฏิเสธน้ำใจที่อนิลแสดงไม่ไหว การมาที่นี่ก็ถือซะว่ามาพักร้อน มาหาเพื่อนที่หายเงียบไปแทนแล้วกัน
“น้องวาดรู้จักกับฝนนานแล้วใช่ไหมครับ”
“ไม่ต้องเรียกว่าน้องหรอกค่ะ” ฉันไม่ใช่น้องคุณ วาดตะวันยิ้มมุมปาก แต่ก็ยอมตอบต่อไป “ไม่นับคนในครอบครัว ฝนถือเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันค่ะ”
“แค่เพื่อน?” น้ำเสียงเข้มกดต่ำ มือกำรอบพวงมาลัยแน่นขึ้น ปฏิกิริยาเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในความสนใจของวาดตะวัน หญิงสาวยังคงยืนยันอย่างชัดเจน ทุกสิ่งอย่างที่เธอว่ามาล้วนเป็นความจริง
“ถ้าไม่ใช่เพื่อน แล้วจะเป็นอะไรล่ะคะ”
อนิลหันขวับมามองใบหน้านวลเนียน ที่มีความมั่นใจอยู่เต็มเปี่ยม คางเชิดสูงเสมอจนกลายเป็นนิสัยเคยก้มต่ำ หรือมีความสำนึกในสิ่งที่ตัวเองกระทำบ้างไหม นอกจากไม่สำนึกว่าตัวเองได้ทำความผิดอะไรไว้ ยังมีหน้ากลับมาเหยียบหัวใจของน้องชายเขาถึงที่ ชายหนุ่มกัดฟันกรอด อยากบีบคอขาวให้แหลกคามือ แต่หากจบลงอย่างนั้น เรื่องมันก็ออกจะง่ายดายเกินไป
“อย่างนั้นเหรอครับ”
วาดตะวันหรี่ตามองพี่ชายเพื่อน เธอรู้สึกว่าท่าทางเป็นมิตรที่เขาแสดงออกมันดูมีลับลมคมในอย่างประหลาด แต่นั่นไม่ใช่ธุระกงการอะไรที่เธอจะมาหาคำตอบ เขาจะเป็นมนุษย์สองหน้า ตลบตะแลงอย่างไรก็ช่างเขาสิ เธอไม่ได้ข้องเกี่ยวลึกซึ้งอะไรกับเขาอยู่แล้ว
“ฉันติดต่อฝนไม่ได้เลย ฝนเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“พี่นึกว่าวาดจะรู้ดีอยู่แล้ว”
“ถ้ารู้ ฉันคงไม่ขึ้นมาถึงที่นี่ทั้งที่งานยุ่งรัดตัวหรอกค่ะ”
อนิลหัวเราะหึ เขาอยากจะปรบมือให้กับการแสดงเป็นเพื่อนใจกว้างของวาดตะวันเหลือเกิน หากเขาไม่รู้ว่าที่จริงในมือวาดตะวันมีมีดที่พร้อมจ้วงแทงอยู่ด้านหลัง เขาคงจะประทับใจเธอได้ไม่ยาก
ถนนสองข้างเป็นถนนร่มรื่น ต้นไม้ใหญ่หลายสิบปีขึ้นเต็มสองข้างทางแน่นขนัด ดอกไม้สีสันสวยงามกำลังผลิดอกและบางดอกก็ปลิดปลิวร่วงจนเต็มถนน มีทั้งสีเหลือง ชมพูผสมกันไป บรรยากาศสงบ นานๆ มีรถสักคันสวนมาทำให้วาดตะวันชื่นชมทัศนียภาพเบื้องหน้าอย่างติดใจ ช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูเทศกาลท่องเที่ยว บนถนนจึงไม่ต้องแย่งกันใช้ แตกต่างจากกรุงเทพฯ ที่คงจะมีแค่เวลาวันหยุดยาวที่ถนนที่นั่นจะโล่ง
“อยู่กรุงเทพฯ คงไม่มีถนนแบบนี้หรอกใช่ไหม”
คิ้วเรียวสวยสีน้ำตาลเข้มเลิกขึ้นข้างหนึ่ง เธอหยัดกายนั่งตัวตรง ผินหน้าไปหาคนขับก่อนจะอธิบายเสียงหวานเกินเหตุ
“ฉันก็นึกว่าพี่ลมจะรู้อยู่แล้วนะคะ” วาดตะวันย้อนประโยคที่อนิลพูดไว้ก่อนหน้าได้หน้าตาเฉย
คนถูกย้อนชะงัก อยากจะโต้อะไรคือกลับไปบ้างรถของเขาก็มาถึงทางเข้ารีสอร์ท ‘ลมฝน’ เสียก่อน ซุ้มดัดที่ใช้ไม้ดัดเลื้อยใบเขียวขึ้นจนทั่วซุ้ม ด้านบนเป็นป้ายไม้สลักอย่างสวยงามเป็นคำว่า ‘ลมฝน’
มีร้านกาแฟตั้งอยู่ตรงปากทางใต้ร่มไม้ใหญ่ รถหลายคันจอดอออยู่หน้าร้าน วาดตะวันยิ้มรับกับความนิยมของที่นี่ มีรถลางนำเที่ยวจอดรอลูกค้าอยู่ที่ป้ายรถหน้ารีสอร์ท รอเคลื่อนไปด้านใน เธอไปท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่จะไปในเรื่องของการทำงาน ขนาดน้องสาวที่ตอนนี้มาดูแลธุรกิจโรงแรมของครอบครัวเต็มตัว ยังพ่วงกับการเป็นสัตวแพทย์ประจำเกาะกลางทะเล กับสามีที่ดูแลกิจการที่นั่น เวลาเธอจะไปเกาะ ‘พาน’ นั้นที ก็ต้องไปด้วยโครงการต่างๆ มีเวลาไปกลับตายตัว ไม่อย่างนั้นจะถูกเขียนจันทร์ ไม่ก็เจ้าลูกขุน น้องของรักษ์ชาติสามีของเขียนจันทร์รั้งไว้ให้อยู่ยาว
คิดมาถึงตรงนี้ ริมฝีปากที่มักเม้มตรง ไม่ก็ยิ้มพอเป็นมารยาทขยายกว้างขึ้น อนิลเพิ่งเคลื่อนรถมาถึงหน้าละแวกเรือนพักที่ตั้งห่างกันอย่างเป็นระเบียบ เป็นบ้านดินที่ได้รับการตกแต่งระบายสีด้วยรูปดอกไม้รอบๆ บ้าน เรือนที่เขาจอดเป็นหลังที่ใหญ่สุดในสิบกว่าหลังที่มี ชายหนุ่มหันมามองแขกที่นั่งสบายในรถ บนหน้าประดับรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็น
รอยยิ้มที่ดูไร้พิษภัย และออกมาจากใจจริงๆ อนิลกระตุกยิ้มมุมปาก ไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น มือหนาจงใจทุบลงไปบนแตรรถให้เกิดเสียงดัง วาดตะวันเพียงกะพริบตา ไมได้สะดุ้งอย่างที่อนิลอยากเห็น
“ขอโทษทีครับ มือพี่ไปโดน”
“เจ็บไหมคะ” วาดตะวันยิ้มกลับไป สวนกับน้ำเสียงที่แสร้งว่าห่วงใย เธอสัมผัสได้ว่าท่าทางเป็นมิตรที่อนิลแสดงออก มีบางสิ่งบางอย่างที่เธออ่านไม่ออกซ่อนไว้อยู่ และเธอไม่โง่ที่จะไม่ระแวงเขา
“ไปเถอะครับ ถึงแล้ว”
ร่างสูงตัดบทลงจากรถ มือกำไว้แน่น วาดตะวันมักยั่วให้เขาโมโหได้ตลอด ท่าทางที่เหมือนกุหลาบสวยแต่ไม่ได้ลิดหนามออก ทำให้เธอดูสง่ายิ่งขึ้นไปอีก อนิลยิ่งนึกยิ่งหงุดหงิด เริ่มเข้าใจว่าทำไมใครต่อใครถึงได้หลงเสน่ห์ผู้หญิงร้ายคนนี้
เป็นดอกไม้ที่น่าเชยชม แต่ก็อันตราย ไม่รู้ว่าจะโดนหนามอาบพิษทิ่มตำเมื่อไหร่ น้องชายเขาถึงได้หนีเสน่ห์พรรค์นี้ไม่พ้น แล้วก็เจ็บปางตายจนถึงตอนนี้ ความเลือดเย็นของวาดตะวันทำให้อนิลขยะแขยงตัวเจ้าหล่อนเพิ่มขึ้น
วาดตะวันปล่อยให้อนิลขนของสัมภาระของเธอไปโดยไม่คิดช่วย หญิงสาวปรายตามองเขาที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยยามที่ไม่ได้สนทนากับเธอ ร่างสูงดูมั่นคง เขาคงไม่รู้ตัวว่าการทำดีผิดวิสัยของเขาที่เธอรู้มาจากวิฬุรดูจะทำให้เขา ‘มีปัญหา’ ในสายตาเธอ ต้องยามนี้ที่หน้าตาจริงจัง ดวงตาดุๆ ตอนนี้ต่างหาก
อนิลหันมามองเมื่อรู้ตัวว่าถูกจับสังเกต แต่วาดตะวันไม่สะดุ้งสะเทือนใดๆ ยังมีหน้าเดินไปหยุดรอยังที่พัก หลังตรงแน่วอย่างเป็นธรรมชาติ
“วาดไม่มีงานที่กรุงเทพฯ เหรอครับ”
นิ้วเรียวยาวยกขึ้นทาบริมฝีปากสีแดง หัวเราะเสียงแหลมในคอ “หนีงานค่ะ ไว้ให้ฉันเห็นว่าฝนสบายดี ฉันถึงจะกลับไป”
“ฝนชอบเอาเรื่องวาดมาเล่าให้แม่พี่ฟังบ่อยๆ...ไม่รู้จักก็เหมือนรู้จัก”
ท้ายประโยคน้ำเสียงของอนิลแข็งขึ้น วาดตะวันเองก็รู้สึกได้ เธอเพ่งมองอีกฝ่าย อยากรู้ว่าเขารู้จักเธอในด้านไหนกัน จะว่าไปแม้แต่ป้าเพชรีที่แต่ก่อนเอ็นดูเธอไม่ต่างจากลูก เวลาท่านลงมาเยี่ยมวิฬุรก็หิ้วของมากมายมาฝากเธอยังแสดงความเย็นชาออกมาผ่านน้ำเสียงตอนรับโทรศัพท์ไม่กี่วันก่อน
เกิดอะไรขึ้น...วาดตะวันอยากถามคำถามนี้ออกไปใจจะขาด แต่จากท่าทางอนิลแล้ว เธอรู้สึกว่าถามไปก็ไร้ประโยชน์เปล่า
“นายฝนนะนายฝน ทีเรื่องพี่ลม กลับเอาแต่บอกว่าดุ บ้างาน พูดไม่เก่ง ไม่เห็นจะจริงเลย น้ำใจพี่ลมมากขนาดเสียเวลามายุ่งอยู่กับฉันตั้งหลายชั่วโมง ถามเรื่องโน่นนี่กับฉันอีก ยิ้มบ่อยไป...จริงไหมคะ”
ยิ่งวาดตะวันสาธยายอนิลมากเท่าไหร่หน้าตาที่เคยอ่อนก็เริ่มตึง ชายหนุ่มจ้องเขม็งคนพูด อยากตะคอกแล้วสั่งให้หุบปาก แต่ก็รู้ว่าจะเข้าทางวาดตะวันเกินไป หญิงสาวอยากยั่วให้เขาหลุดมาดแย่ๆ ที่ว่ามา...เขารู้
“นายฝนขี้โกหก”
วาดตะวันหลุดหัวเราะ พยักหน้ารับสิ่งที่อนิลว่ามา “ฉันถึงต้องมาหาคนขี้โกหกหน่อย” อาการชะเง้อชะแง้มองหาของหญิงสาวจุดรอยยิ้มวาววับเอาเรื่องของอนิล
ใครกันแน่ที่โกหก คนโกหกหลอกลวง ไม่ใช่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาหรือไง
“นายฝนไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกครับ”
“ทำไมพี่ลมไม่บอกฉันให้ไวกว่านี้”
“พี่เห็นวาดตั้งใจขับรถมาตั้งหลายชั่วโมง คงไม่ได้อยากจะกลับลงไปง่ายๆ”
อาการหงุดหงิดที่วาดตะวันแสดงออกมาทำให้อนิลครื้นเครงได้ไม่น้อย ปากสีสวยอ้าเตรียมจะด่า แต่ก็หุบฉับด้วยสติที่ควบคุมไว้ได้ทัน
“แล้วฝนไปไหนคะ ฝนส่งข้อความตัดพ้อมาให้ฉัน แล้วก็โทรเข้ามาหลายสิบสาย ฉันรับไม่ทัน เพราะว่าติดงานเดินแบบ ไม่คิดว่านายฝนจะน้อยใจ ไม่รู้งอนไปหลบอยู่ที่ไหนแล้ว เป็นผู้ชายแท้ๆ ถึงจะ...” วาดตะวันปิดปาก เธอเกือบหลุดความลับสำคัญของวิฬุรออกไปอยู่แล้วเชียว พอเห็นว่าอนิลกำลังรอฟังอยู่ เธอก็เสเปลี่ยนเรื่อง
“วันนี้รบกวนพี่ลมมากพอแล้ว ขอบคุณนะคะ”
“ ’เพื่อนรัก’ น้องชาย พี่ต้องดูแลให้ดี” น้ำเสียงเข้มย้ำตรงคำว่าเพื่อนรัก อนิลรู้สึกรับไม่ได้ที่อีกฝ่ายโกหกเรื่องราวได้เป็นตุเป็นตะขนาดนี้
“ไม่ต้องดูแลมากก็ได้ค่ะ” วาดตะวันบอกปัดความหวังดีทุกอย่าง “ฉันโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ พี่ลมเอาเวลาไปดูแลนายฝนมากๆ ก็พอค่ะ บางทีเพื่อนอย่างฉันก็ให้เวลาเขาได้ไม่มากพอ หากพี่ลมจะเปิดใจคุยกับฝนดูบ้าง ทุกๆ เรื่อง พี่ลมอาจจะเข้าใจฝนมากขึ้น”
เรื่องในครั้งนี้อาจจะผิดตรงที่เธอไม่มีเวลาให้เพื่อน แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ครอบครัวของวิฬุรก็มีส่วนผิดไม่ต่างกัน ในเวลาที่วิฬุรมีปัญหา วิฬุรนึกถึงเธอ แต่กลับไม่คิดถึงครอบครัว หรือว่า...เรื่องที่วิฬุรมีปัญหาในครั้งนี้ จะเกี่ยวข้องกับ ‘ใคร’ คนนั้น
“น้องพี่ พี่ดูแลได้ อาจจะดีกว่าเพื่อนของเขาก็ได้” อนิลตอบเสียงขุ่น เขากำลังถูกผู้หญิงจอมหลอกลวงคนหนึ่งสั่งสอน
วาดตะวันไม่เถียง แต่เลือกใช้สายตามองพี่ชายของเพื่อนว่าเขานั้น...ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย
“เดี๋ยวตอนเย็นฉันจะไปไหว้คุณป้านะคะ ถ้าฉันไม่รู้ข่าวคราวนายฝนจากที่นี่ ก็ต้องไปตั้งต้นใหม่ที่กรุงเทพฯ นายฝนไม่เคยโกรธฉันได้นานหรอกค่ะ”
หญิงสาวกอดอก ยืนรออยู่ตรงประตู คอยให้เจ้าของรีสอร์ทมาจัดการให้ อนิลล้วงโทรศัพท์ออกมากดต่อสายหาคนในรีสอร์ท ปล่อยให้แขกยืนกวาดตามองรอบๆ เป็นการฆ่าเวลา ส่วนตัวเองแม้ปากจะสั่งการกับปลายสาย แต่เขาก็รู้สึกว่าถูกท่าทีที่ผ่อนคลายขึ้นของวาดตะวันหลอกลวงอย่างไรไม่รู้ เขายอมรับว่าวาดตะวันเป็นผู้หญิงที่มองได้ไม่เบื่อ
“รอสักครู่นะครับ”
“เกรงใจจังค่ะ”
ทั้งสองยิ้มให้กัน แต่เป็นรอยยิ้มที่ต่างฝ่ายต่างมองออกว่ารอยยิ้มนั้นลามไปไม่ถึงดวงตา
“นายกุญแจมาแล้วครับ” ร่างของเด็กหนุ่มหัวเกรียนมาพร้อมเสียงกริ๊งๆ ของจักรยาน กางเกงนักเรียนสีน้ำตาลเปื้อนดินแดงที่ฟุ้งเพราะรีบปั่นมา และเพียงแค่เห็นแขกของนาย ลิลิธก็ตาโตเท่าไข่ห่าน
“คุณวาด!”
“นึกว่าจะจำกันไมได้ซะแล้วนายโม่ง สูงขึ้นหรือเปล่า”
ลิลิธหัวเราะแหะๆ ร่างของตัวเองไม่ได้สูงขึ้นกว่าสองปีที่แล้วเท่าไหร่นัก “ผมคงต้องพกความฝันเก็บแล้วล่ะครับคุณวาด ส่วนสูงไม่อำนวย”
“คิดมากน่า ทีนี้หมุนตัวให้ฉันดูหน่อย” วาดตะวันควงนิ้วกลางอากาศ ส่งเสียงจิ๊ๆ กับหุ่นที่ดูหนาขึ้น ถึงลิลิธจะสูงไม่ถึงร้อยแปดสิบอย่างที่เธอเคยว่าไว้ แต่เขาก็คงออกกำลังกายไม่น้อย แขนเขาก็อยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ ไม่เหมือนพวกกล้ามปูในเมืองกรุงส่วนใหญ่ ที่เน้นกล้ามใหญ่เทอะทะอย่างกับท่อนไม้หนา รอยยิ้มพึงใจประดับบนหน้าก่อนที่จะหันไปถาม ‘นาย’ ของลิลิธ
“พี่ลมว่าโม่งเป็นยังไง ฉันว่าหุ่นเขาไม่เลวเลยนะ”
ลิลิธยิ้มหน้าบาน อวดฟันเรียงสวย แต่ก็ต้องรีบหุบยิ้มเมื่อพบใบหน้าดุจัดของผู้เป็นนายที่กำลังมองมา เด็กหนุ่มได้แต่เดินไปหลบหลังวาดตะวันที่ตอนนี้ดูน่าเข้าใกล้กว่า
“เขาเป็นเด็กดี”
“อย่างนี้ยิ่งต้องสนับสนุน” วาดตะวันเมินเฉยกับสายตาดุของอนิล เขาจะหวงเด็กในปกครองไปเพื่ออะไร ในเมื่ออนาคตงามๆ ส่งบันไดมารอแทบเท้าแล้ว “ไว้เดี๋ยวค่อยคุยกันนะ”
“นายลงไปช่วยลุงสมดูแลการส่งสินค้าคืนนี้ด้วย กว่าจะกลับก็วันอาทิตย์ ทำได้ใช่ไหม” อนิลถามก่อนที่ลิลิธจะได้ตบปากรับคำแขกสาวของรีสอร์ท หน้าตาเด็กหนุ่มม่อยลง พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ส่งกุญแจบ้านพักให้อนิล และเดินคอตกกลับไปประจำจักรยาน ส่งสายตาละห้อยไปให้วาดตะวัน แล้วตัดใจปั่นจากไปตามทางเดิมที่มา
วาดตะวันมองคนบ้าอำนาจอย่างไม่สบอารมณ์ เขาออกจะคล้ายกับรักษ์ชาติอยู่บ้าง แต่คนๆ นี้ดูๆ ไปกลับแย่ยิ่งกว่า รักษ์ชาติเคยพยายามเก็บนิสัยเสียของตัวเองอยู่พักหนึ่งเพื่อง้อเขียนจันทร์น้องสาวเธอ แต่ก็ทำได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง มีแต่ทำให้รอบข้างหมั่นไส้ลูกกะตา สุดท้ายก็เหมือนเดิม คิดอะไร ไม่ชอบอะไรก็พูดออกไป ไม่มีสองหน้า...ตรงข้ามกับอนิล
น้องเขยเธอดูดีขึ้นมานิดหนึ่งทีเดียว ต้องขอบคุณรักษ์ชาติที่ทำให้เธอรู้วิธีรับมือคนนิสัยแปรปรวนแบบนี้ การไม่สนใจเป็นวิธีที่เธอใช้มาจนชิน
อนิลรอดูว่าวาดตะวันจะระเบิดลงไหมที่เขาจงใจขัดใจเจ้าหล่อน แต่ก็พบเพียงความปกติ วาดตะวันไม่ยกเรื่องลิลิธขึ้นมาสนทนาอีก ซ้ำยังกล่าวขอบคุณเขาเสียเสียงหวานจ๋อย
เสน่ห์พรรค์นี้ใช้ได้กับคนอื่น...ยกเว้นเขา
ชายหนุ่มเดินกลับไปที่รถ หน้าตาบูดบึ้ง ไม่รู้ว่าจะจัดการกับผู้หญิงร้ายกาจคนนี้อย่างไร แต่ก่อนจะค้นหาวิธีจัดการ เขาต้องรั้งวาดตะวันไว้ที่นี่ก่อน ผู้หญิงคนนี้จะกลับไปทั้งที่ไม่ได้ชดเชยกับสิ่งที่ทำกับวิฬุรอย่างนั้นน่ะเหรอ ดูท่าเจ้าหล่อนจะนึกว่าเข้ามาในสวนสวยธรรมดา ที่นี่ซ่อนเสือตัวใหญ่อย่างเขาไว้ยังไม่รู้ตัว
มือหนาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกเบอร์ของอู่ซ่อมรถ หน้าตาเคร่งเครียดผ่อนคลายขึ้น ริมฝีปากคลายเป็นรอยยิ้มสาแก่ใจ ยามถ่ายทอดคำสั่งไปให้เพื่อนรักที่เป็นเจ้าของอู่
“รื้อรถคันที่ฉันส่งซ่อมวันนี้ทีสิ”
“รื้อ!”
“ฉันจะรับผิดชอบเอง ทำได้ไหม”
“แค่ซ่อนก็พอมั้งไอ้ลม เสียดายว่ะ รถสวยขนาดนี้ แกแค้นอะไรคุณเขาก็อย่ามาลงที่รถ”
คนสั่งการหน้านิ่งขรึม “นี่แกหลงเสน่ห์ผู้หญิงคนนี้อีกคนแล้วหรือไง”
“คนสวยๆ มีผู้ชายที่ไหนไม่ชอบวะ ยกเว้นว่าคนๆ นั้นจะไม่ใช่ผู้ชาย เขายังคุยเรื่องเครื่องรถแข่งกับฉันรู้เรื่องเลย ผู้หญิงคุยสนุกอย่างนี้ไม่ชอบก็บ้าแล้ว”
อนิลชักหงุดหงิดกับเสน่ห์ของวาดตะวันที่ฟุ้งใส่หัวใจใครต่อใครไปทั่ว ผู้หญิงที่เป็นข่าวกับหนุ่มๆ ให้นักข่าวขุดคุ้ยได้ตลอดเวลาอย่างนี้มีดีอะไร ถ้าเขาคิดทำลายชื่อเสียงวาดตะวันจริง แค่ปล่อยข่าวเรื่องน้องชายเขาก็จบเรื่อง แต่เขาไม่เอาน้องมาขายกินเด็ดขาด การจะทำผู้หญิงสักคนให้เจ็บปวดมีแค่ทางเดียว ทำให้เจ็บปวดใจ
“รื้อ แล้วค่อยเอามาประกอบใหม่ ฉันอยากรั้งวาดตะวันไว้ที่นี่...สักพัก”
“สักพักแล้วมันนานแค่ไหน แกคิดจะทำอะไรไอ้ลม” ผลิใบชักไม่วางใจ
“ผู้หญิงคนนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้นายฝนเป็นอย่างในตอนนี้ไง”
“เฮ่ย! แกแน่ใจเหรอวะ”
‘สุดท้ายวาดก็ทิ้งเรา’ ประโยคนี้ที่น้องชายกดส่งไปหาวาดตะวันลอยวนเวียนอยู่ในหัวมิรู้ลืม ประโยคที่วาดตะวันบอกว่าวิฬุร ‘ตัดพ้อน้อยใจ’ แต่ทำไมเขาถึงคิดว่าประโยคนั้นมันมากกว่านั้น มันคือความเสียใจหลังจากถูกทอดทิ้งต่างหาก
“เออ ฉันไม่เคยแน่ใจเรื่องไหนเท่าเรื่องนี้”
ประตูห้องนอนห้องหนึ่งในเรือนไม้กึ่งดินกึ่งปูน เพดานสูงเพิ่งจะปิด หน้าตาอิดโรยของสตรีวัยกลางคนเดินออกมา ร่างผอมบางที่ผอมจนเห็นกระดูกขึ้นสร้างความเจ็บปวดแก่ลูกชายที่ต้องทนพบเห็น แม้เพชรีจะพยายามสร้างรอยยิ้มบนหน้ายามเห็นเขาทุกครั้ง แต่ก็ปกปิดรอยช้ำในดวงตา หรือขอบตาที่บวมเป่งไม่ได้
แม่ของเขาร้องไห้ให้กับเรื่องนี้มามากพอแล้ว
“น้องเป็นไงบ้างครับ”
“ฝนแค่หลับไป พรุ่งนี้ฝนอาจจะตื่นขึ้นมา” เพชรีพูดประโยคนี้เหมือนที่พูดมาตลอดทุกวันให้อนิลฟัง ที่จริงนางต้องการเตือนใจตัวเอง มากกว่าเหตุผลใดอื่น
เกือบสามสัปดาห์ที่วิฬุรหลับไป แรกที่เกิดเหตุในกรุงเทพฯ วิฬุรอาการหนักกว่านี้มาก ต้องอยู่ห้องไอซียูถึงสามวัน อาการห้าสิบห้าสิบ กว่าจะผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมาได้ เพชรีไม่ทันได้หายใจให้โล่งปอดก็แทบล้มตึงอีกเมื่อหมอบอกว่าลูกชายของเธอมีสิทธิ์ที่จะเป็นเจ้าชายนิทราสูง
เธอเคยสูญเสียพ่อของวิฬุรไปแล้วเมื่อสิบกว่าปีก่อน จะให้ทำใจยอมรับการสูญเสียลูกชายอีกคนได้อย่างไร ลูกชายของนางยังไม่ได้แต่งงาน ยังมีเวลาชีวิตอีกมาก มากมายกว่านางนัก
ชีวิตนี้เพชรีขอแลกทุกสิ่งอย่าง เพื่อลูกชายจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง วิฬุรเป็นผู้ชายอ่อนโยน ไม่เคยคิดทำร้ายใคร แล้วทำไมถึงต้องมาประสบพบเจอกับความโชคร้ายอย่างนี้
“ผู้หญิงคนนั้นเขามาที่นี่ครับ”
เพชรีเงยหน้าขึ้น ประกายตาแข็งกร้าวขณะส่งเสียงเกรี้ยวกราดออกมาว่า
“ยังมีหน้ามาเหยียบที่นี่อีกหรือไง ผู้หญิงคนนี้หน้าด้านหน้าทนเกินไปแล้ว!”
“แม่ปล่อยให้ผมจัดการเขาเองเถอะครับ”
“อย่าไปยุ่งกับเขา ไล่เขาออกไป นายฝนคงไม่อยากให้ใครมาเป็นแบบเขาอีก” ถึงเพชรีจะผิดหวัง และพาลเกลียดวาดตะวันไปแล้ว แต่ความรู้สึกเก่าๆ ที่เคยเห็นวิฬุรยิ้มแย้ม สนุกสนานกับวาดตะวันทำให้นางทำร้ายคนที่ลูกรักไม่ลงจริงๆ แค่อย่าพบเจอกันอีกตลอดชีวิตก็พอ
“ไม่ครับ วาดตะวันต้องรับผิดชอบ”
“ลมอย่าดูถูกผู้หญิงคนนั้น แม่กลัวลมจะเป็นเหมือนกับฝน ขนาดแม่ยังเคยรักเคยเอ็นดูเขามาตั้งมาก แล้วดูสิ่งที่เขาทำกับลูกชายแม่สิ” เพชรีพูดเสียงเครือ ให้เกิดเรื่องเลวร้ายกับอนิลอีกคน เห็นทีนางจะต้องกลายเป็นฆาตกรไปฆ่าวาดตะวันแน่
อนิลเม้มปากแน่น เขาจะไม่ยอมให้สิ่งที่แม่กลัวเกิดขึ้นเด็ดขาด แม่ก็แค่กลัวเขาจะหลงเสน่ห์ มารยาของวาดตะวัน ในเมื่อเขารู้ทันอยู่ก่อนแล้ว หลุมมาขุดอยู่ตรงหน้า ยังจะโง่กระโดดลงไปอีกอย่างนั้นหรือไง
ถ้าเขายังรักวาดตะวันได้อีก เขาก็โง่เต็มที!
....................
ตอบเมนท์ไว้ที่ตอนก่อนนะคะ สำหรับตอนที่แล้ว ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
.....................................................
รถต้องอยู่ทำสีราวๆ อาทิตย์หนึ่ง วาดตะวันอยากเอ่ยปากตัดใจ และกลับไปซ่อมเองที่กรุงเทพฯ แต่ก็ปฏิเสธน้ำใจที่อนิลแสดงไม่ไหว การมาที่นี่ก็ถือซะว่ามาพักร้อน มาหาเพื่อนที่หายเงียบไปแทนแล้วกัน
“น้องวาดรู้จักกับฝนนานแล้วใช่ไหมครับ”
“ไม่ต้องเรียกว่าน้องหรอกค่ะ” ฉันไม่ใช่น้องคุณ วาดตะวันยิ้มมุมปาก แต่ก็ยอมตอบต่อไป “ไม่นับคนในครอบครัว ฝนถือเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันค่ะ”
“แค่เพื่อน?” น้ำเสียงเข้มกดต่ำ มือกำรอบพวงมาลัยแน่นขึ้น ปฏิกิริยาเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในความสนใจของวาดตะวัน หญิงสาวยังคงยืนยันอย่างชัดเจน ทุกสิ่งอย่างที่เธอว่ามาล้วนเป็นความจริง
“ถ้าไม่ใช่เพื่อน แล้วจะเป็นอะไรล่ะคะ”
อนิลหันขวับมามองใบหน้านวลเนียน ที่มีความมั่นใจอยู่เต็มเปี่ยม คางเชิดสูงเสมอจนกลายเป็นนิสัยเคยก้มต่ำ หรือมีความสำนึกในสิ่งที่ตัวเองกระทำบ้างไหม นอกจากไม่สำนึกว่าตัวเองได้ทำความผิดอะไรไว้ ยังมีหน้ากลับมาเหยียบหัวใจของน้องชายเขาถึงที่ ชายหนุ่มกัดฟันกรอด อยากบีบคอขาวให้แหลกคามือ แต่หากจบลงอย่างนั้น เรื่องมันก็ออกจะง่ายดายเกินไป
“อย่างนั้นเหรอครับ”
วาดตะวันหรี่ตามองพี่ชายเพื่อน เธอรู้สึกว่าท่าทางเป็นมิตรที่เขาแสดงออกมันดูมีลับลมคมในอย่างประหลาด แต่นั่นไม่ใช่ธุระกงการอะไรที่เธอจะมาหาคำตอบ เขาจะเป็นมนุษย์สองหน้า ตลบตะแลงอย่างไรก็ช่างเขาสิ เธอไม่ได้ข้องเกี่ยวลึกซึ้งอะไรกับเขาอยู่แล้ว
“ฉันติดต่อฝนไม่ได้เลย ฝนเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“พี่นึกว่าวาดจะรู้ดีอยู่แล้ว”
“ถ้ารู้ ฉันคงไม่ขึ้นมาถึงที่นี่ทั้งที่งานยุ่งรัดตัวหรอกค่ะ”
อนิลหัวเราะหึ เขาอยากจะปรบมือให้กับการแสดงเป็นเพื่อนใจกว้างของวาดตะวันเหลือเกิน หากเขาไม่รู้ว่าที่จริงในมือวาดตะวันมีมีดที่พร้อมจ้วงแทงอยู่ด้านหลัง เขาคงจะประทับใจเธอได้ไม่ยาก
ถนนสองข้างเป็นถนนร่มรื่น ต้นไม้ใหญ่หลายสิบปีขึ้นเต็มสองข้างทางแน่นขนัด ดอกไม้สีสันสวยงามกำลังผลิดอกและบางดอกก็ปลิดปลิวร่วงจนเต็มถนน มีทั้งสีเหลือง ชมพูผสมกันไป บรรยากาศสงบ นานๆ มีรถสักคันสวนมาทำให้วาดตะวันชื่นชมทัศนียภาพเบื้องหน้าอย่างติดใจ ช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูเทศกาลท่องเที่ยว บนถนนจึงไม่ต้องแย่งกันใช้ แตกต่างจากกรุงเทพฯ ที่คงจะมีแค่เวลาวันหยุดยาวที่ถนนที่นั่นจะโล่ง
“อยู่กรุงเทพฯ คงไม่มีถนนแบบนี้หรอกใช่ไหม”
คิ้วเรียวสวยสีน้ำตาลเข้มเลิกขึ้นข้างหนึ่ง เธอหยัดกายนั่งตัวตรง ผินหน้าไปหาคนขับก่อนจะอธิบายเสียงหวานเกินเหตุ
“ฉันก็นึกว่าพี่ลมจะรู้อยู่แล้วนะคะ” วาดตะวันย้อนประโยคที่อนิลพูดไว้ก่อนหน้าได้หน้าตาเฉย
คนถูกย้อนชะงัก อยากจะโต้อะไรคือกลับไปบ้างรถของเขาก็มาถึงทางเข้ารีสอร์ท ‘ลมฝน’ เสียก่อน ซุ้มดัดที่ใช้ไม้ดัดเลื้อยใบเขียวขึ้นจนทั่วซุ้ม ด้านบนเป็นป้ายไม้สลักอย่างสวยงามเป็นคำว่า ‘ลมฝน’
มีร้านกาแฟตั้งอยู่ตรงปากทางใต้ร่มไม้ใหญ่ รถหลายคันจอดอออยู่หน้าร้าน วาดตะวันยิ้มรับกับความนิยมของที่นี่ มีรถลางนำเที่ยวจอดรอลูกค้าอยู่ที่ป้ายรถหน้ารีสอร์ท รอเคลื่อนไปด้านใน เธอไปท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่จะไปในเรื่องของการทำงาน ขนาดน้องสาวที่ตอนนี้มาดูแลธุรกิจโรงแรมของครอบครัวเต็มตัว ยังพ่วงกับการเป็นสัตวแพทย์ประจำเกาะกลางทะเล กับสามีที่ดูแลกิจการที่นั่น เวลาเธอจะไปเกาะ ‘พาน’ นั้นที ก็ต้องไปด้วยโครงการต่างๆ มีเวลาไปกลับตายตัว ไม่อย่างนั้นจะถูกเขียนจันทร์ ไม่ก็เจ้าลูกขุน น้องของรักษ์ชาติสามีของเขียนจันทร์รั้งไว้ให้อยู่ยาว
คิดมาถึงตรงนี้ ริมฝีปากที่มักเม้มตรง ไม่ก็ยิ้มพอเป็นมารยาทขยายกว้างขึ้น อนิลเพิ่งเคลื่อนรถมาถึงหน้าละแวกเรือนพักที่ตั้งห่างกันอย่างเป็นระเบียบ เป็นบ้านดินที่ได้รับการตกแต่งระบายสีด้วยรูปดอกไม้รอบๆ บ้าน เรือนที่เขาจอดเป็นหลังที่ใหญ่สุดในสิบกว่าหลังที่มี ชายหนุ่มหันมามองแขกที่นั่งสบายในรถ บนหน้าประดับรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็น
รอยยิ้มที่ดูไร้พิษภัย และออกมาจากใจจริงๆ อนิลกระตุกยิ้มมุมปาก ไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น มือหนาจงใจทุบลงไปบนแตรรถให้เกิดเสียงดัง วาดตะวันเพียงกะพริบตา ไมได้สะดุ้งอย่างที่อนิลอยากเห็น
“ขอโทษทีครับ มือพี่ไปโดน”
“เจ็บไหมคะ” วาดตะวันยิ้มกลับไป สวนกับน้ำเสียงที่แสร้งว่าห่วงใย เธอสัมผัสได้ว่าท่าทางเป็นมิตรที่อนิลแสดงออก มีบางสิ่งบางอย่างที่เธออ่านไม่ออกซ่อนไว้อยู่ และเธอไม่โง่ที่จะไม่ระแวงเขา
“ไปเถอะครับ ถึงแล้ว”
ร่างสูงตัดบทลงจากรถ มือกำไว้แน่น วาดตะวันมักยั่วให้เขาโมโหได้ตลอด ท่าทางที่เหมือนกุหลาบสวยแต่ไม่ได้ลิดหนามออก ทำให้เธอดูสง่ายิ่งขึ้นไปอีก อนิลยิ่งนึกยิ่งหงุดหงิด เริ่มเข้าใจว่าทำไมใครต่อใครถึงได้หลงเสน่ห์ผู้หญิงร้ายคนนี้
เป็นดอกไม้ที่น่าเชยชม แต่ก็อันตราย ไม่รู้ว่าจะโดนหนามอาบพิษทิ่มตำเมื่อไหร่ น้องชายเขาถึงได้หนีเสน่ห์พรรค์นี้ไม่พ้น แล้วก็เจ็บปางตายจนถึงตอนนี้ ความเลือดเย็นของวาดตะวันทำให้อนิลขยะแขยงตัวเจ้าหล่อนเพิ่มขึ้น
วาดตะวันปล่อยให้อนิลขนของสัมภาระของเธอไปโดยไม่คิดช่วย หญิงสาวปรายตามองเขาที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยยามที่ไม่ได้สนทนากับเธอ ร่างสูงดูมั่นคง เขาคงไม่รู้ตัวว่าการทำดีผิดวิสัยของเขาที่เธอรู้มาจากวิฬุรดูจะทำให้เขา ‘มีปัญหา’ ในสายตาเธอ ต้องยามนี้ที่หน้าตาจริงจัง ดวงตาดุๆ ตอนนี้ต่างหาก
อนิลหันมามองเมื่อรู้ตัวว่าถูกจับสังเกต แต่วาดตะวันไม่สะดุ้งสะเทือนใดๆ ยังมีหน้าเดินไปหยุดรอยังที่พัก หลังตรงแน่วอย่างเป็นธรรมชาติ
“วาดไม่มีงานที่กรุงเทพฯ เหรอครับ”
นิ้วเรียวยาวยกขึ้นทาบริมฝีปากสีแดง หัวเราะเสียงแหลมในคอ “หนีงานค่ะ ไว้ให้ฉันเห็นว่าฝนสบายดี ฉันถึงจะกลับไป”
“ฝนชอบเอาเรื่องวาดมาเล่าให้แม่พี่ฟังบ่อยๆ...ไม่รู้จักก็เหมือนรู้จัก”
ท้ายประโยคน้ำเสียงของอนิลแข็งขึ้น วาดตะวันเองก็รู้สึกได้ เธอเพ่งมองอีกฝ่าย อยากรู้ว่าเขารู้จักเธอในด้านไหนกัน จะว่าไปแม้แต่ป้าเพชรีที่แต่ก่อนเอ็นดูเธอไม่ต่างจากลูก เวลาท่านลงมาเยี่ยมวิฬุรก็หิ้วของมากมายมาฝากเธอยังแสดงความเย็นชาออกมาผ่านน้ำเสียงตอนรับโทรศัพท์ไม่กี่วันก่อน
เกิดอะไรขึ้น...วาดตะวันอยากถามคำถามนี้ออกไปใจจะขาด แต่จากท่าทางอนิลแล้ว เธอรู้สึกว่าถามไปก็ไร้ประโยชน์เปล่า
“นายฝนนะนายฝน ทีเรื่องพี่ลม กลับเอาแต่บอกว่าดุ บ้างาน พูดไม่เก่ง ไม่เห็นจะจริงเลย น้ำใจพี่ลมมากขนาดเสียเวลามายุ่งอยู่กับฉันตั้งหลายชั่วโมง ถามเรื่องโน่นนี่กับฉันอีก ยิ้มบ่อยไป...จริงไหมคะ”
ยิ่งวาดตะวันสาธยายอนิลมากเท่าไหร่หน้าตาที่เคยอ่อนก็เริ่มตึง ชายหนุ่มจ้องเขม็งคนพูด อยากตะคอกแล้วสั่งให้หุบปาก แต่ก็รู้ว่าจะเข้าทางวาดตะวันเกินไป หญิงสาวอยากยั่วให้เขาหลุดมาดแย่ๆ ที่ว่ามา...เขารู้
“นายฝนขี้โกหก”
วาดตะวันหลุดหัวเราะ พยักหน้ารับสิ่งที่อนิลว่ามา “ฉันถึงต้องมาหาคนขี้โกหกหน่อย” อาการชะเง้อชะแง้มองหาของหญิงสาวจุดรอยยิ้มวาววับเอาเรื่องของอนิล
ใครกันแน่ที่โกหก คนโกหกหลอกลวง ไม่ใช่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาหรือไง
“นายฝนไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกครับ”
“ทำไมพี่ลมไม่บอกฉันให้ไวกว่านี้”
“พี่เห็นวาดตั้งใจขับรถมาตั้งหลายชั่วโมง คงไม่ได้อยากจะกลับลงไปง่ายๆ”
อาการหงุดหงิดที่วาดตะวันแสดงออกมาทำให้อนิลครื้นเครงได้ไม่น้อย ปากสีสวยอ้าเตรียมจะด่า แต่ก็หุบฉับด้วยสติที่ควบคุมไว้ได้ทัน
“แล้วฝนไปไหนคะ ฝนส่งข้อความตัดพ้อมาให้ฉัน แล้วก็โทรเข้ามาหลายสิบสาย ฉันรับไม่ทัน เพราะว่าติดงานเดินแบบ ไม่คิดว่านายฝนจะน้อยใจ ไม่รู้งอนไปหลบอยู่ที่ไหนแล้ว เป็นผู้ชายแท้ๆ ถึงจะ...” วาดตะวันปิดปาก เธอเกือบหลุดความลับสำคัญของวิฬุรออกไปอยู่แล้วเชียว พอเห็นว่าอนิลกำลังรอฟังอยู่ เธอก็เสเปลี่ยนเรื่อง
“วันนี้รบกวนพี่ลมมากพอแล้ว ขอบคุณนะคะ”
“ ’เพื่อนรัก’ น้องชาย พี่ต้องดูแลให้ดี” น้ำเสียงเข้มย้ำตรงคำว่าเพื่อนรัก อนิลรู้สึกรับไม่ได้ที่อีกฝ่ายโกหกเรื่องราวได้เป็นตุเป็นตะขนาดนี้
“ไม่ต้องดูแลมากก็ได้ค่ะ” วาดตะวันบอกปัดความหวังดีทุกอย่าง “ฉันโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ พี่ลมเอาเวลาไปดูแลนายฝนมากๆ ก็พอค่ะ บางทีเพื่อนอย่างฉันก็ให้เวลาเขาได้ไม่มากพอ หากพี่ลมจะเปิดใจคุยกับฝนดูบ้าง ทุกๆ เรื่อง พี่ลมอาจจะเข้าใจฝนมากขึ้น”
เรื่องในครั้งนี้อาจจะผิดตรงที่เธอไม่มีเวลาให้เพื่อน แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ครอบครัวของวิฬุรก็มีส่วนผิดไม่ต่างกัน ในเวลาที่วิฬุรมีปัญหา วิฬุรนึกถึงเธอ แต่กลับไม่คิดถึงครอบครัว หรือว่า...เรื่องที่วิฬุรมีปัญหาในครั้งนี้ จะเกี่ยวข้องกับ ‘ใคร’ คนนั้น
“น้องพี่ พี่ดูแลได้ อาจจะดีกว่าเพื่อนของเขาก็ได้” อนิลตอบเสียงขุ่น เขากำลังถูกผู้หญิงจอมหลอกลวงคนหนึ่งสั่งสอน
วาดตะวันไม่เถียง แต่เลือกใช้สายตามองพี่ชายของเพื่อนว่าเขานั้น...ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย
“เดี๋ยวตอนเย็นฉันจะไปไหว้คุณป้านะคะ ถ้าฉันไม่รู้ข่าวคราวนายฝนจากที่นี่ ก็ต้องไปตั้งต้นใหม่ที่กรุงเทพฯ นายฝนไม่เคยโกรธฉันได้นานหรอกค่ะ”
หญิงสาวกอดอก ยืนรออยู่ตรงประตู คอยให้เจ้าของรีสอร์ทมาจัดการให้ อนิลล้วงโทรศัพท์ออกมากดต่อสายหาคนในรีสอร์ท ปล่อยให้แขกยืนกวาดตามองรอบๆ เป็นการฆ่าเวลา ส่วนตัวเองแม้ปากจะสั่งการกับปลายสาย แต่เขาก็รู้สึกว่าถูกท่าทีที่ผ่อนคลายขึ้นของวาดตะวันหลอกลวงอย่างไรไม่รู้ เขายอมรับว่าวาดตะวันเป็นผู้หญิงที่มองได้ไม่เบื่อ
“รอสักครู่นะครับ”
“เกรงใจจังค่ะ”
ทั้งสองยิ้มให้กัน แต่เป็นรอยยิ้มที่ต่างฝ่ายต่างมองออกว่ารอยยิ้มนั้นลามไปไม่ถึงดวงตา
“นายกุญแจมาแล้วครับ” ร่างของเด็กหนุ่มหัวเกรียนมาพร้อมเสียงกริ๊งๆ ของจักรยาน กางเกงนักเรียนสีน้ำตาลเปื้อนดินแดงที่ฟุ้งเพราะรีบปั่นมา และเพียงแค่เห็นแขกของนาย ลิลิธก็ตาโตเท่าไข่ห่าน
“คุณวาด!”
“นึกว่าจะจำกันไมได้ซะแล้วนายโม่ง สูงขึ้นหรือเปล่า”
ลิลิธหัวเราะแหะๆ ร่างของตัวเองไม่ได้สูงขึ้นกว่าสองปีที่แล้วเท่าไหร่นัก “ผมคงต้องพกความฝันเก็บแล้วล่ะครับคุณวาด ส่วนสูงไม่อำนวย”
“คิดมากน่า ทีนี้หมุนตัวให้ฉันดูหน่อย” วาดตะวันควงนิ้วกลางอากาศ ส่งเสียงจิ๊ๆ กับหุ่นที่ดูหนาขึ้น ถึงลิลิธจะสูงไม่ถึงร้อยแปดสิบอย่างที่เธอเคยว่าไว้ แต่เขาก็คงออกกำลังกายไม่น้อย แขนเขาก็อยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ ไม่เหมือนพวกกล้ามปูในเมืองกรุงส่วนใหญ่ ที่เน้นกล้ามใหญ่เทอะทะอย่างกับท่อนไม้หนา รอยยิ้มพึงใจประดับบนหน้าก่อนที่จะหันไปถาม ‘นาย’ ของลิลิธ
“พี่ลมว่าโม่งเป็นยังไง ฉันว่าหุ่นเขาไม่เลวเลยนะ”
ลิลิธยิ้มหน้าบาน อวดฟันเรียงสวย แต่ก็ต้องรีบหุบยิ้มเมื่อพบใบหน้าดุจัดของผู้เป็นนายที่กำลังมองมา เด็กหนุ่มได้แต่เดินไปหลบหลังวาดตะวันที่ตอนนี้ดูน่าเข้าใกล้กว่า
“เขาเป็นเด็กดี”
“อย่างนี้ยิ่งต้องสนับสนุน” วาดตะวันเมินเฉยกับสายตาดุของอนิล เขาจะหวงเด็กในปกครองไปเพื่ออะไร ในเมื่ออนาคตงามๆ ส่งบันไดมารอแทบเท้าแล้ว “ไว้เดี๋ยวค่อยคุยกันนะ”
“นายลงไปช่วยลุงสมดูแลการส่งสินค้าคืนนี้ด้วย กว่าจะกลับก็วันอาทิตย์ ทำได้ใช่ไหม” อนิลถามก่อนที่ลิลิธจะได้ตบปากรับคำแขกสาวของรีสอร์ท หน้าตาเด็กหนุ่มม่อยลง พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ส่งกุญแจบ้านพักให้อนิล และเดินคอตกกลับไปประจำจักรยาน ส่งสายตาละห้อยไปให้วาดตะวัน แล้วตัดใจปั่นจากไปตามทางเดิมที่มา
วาดตะวันมองคนบ้าอำนาจอย่างไม่สบอารมณ์ เขาออกจะคล้ายกับรักษ์ชาติอยู่บ้าง แต่คนๆ นี้ดูๆ ไปกลับแย่ยิ่งกว่า รักษ์ชาติเคยพยายามเก็บนิสัยเสียของตัวเองอยู่พักหนึ่งเพื่อง้อเขียนจันทร์น้องสาวเธอ แต่ก็ทำได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง มีแต่ทำให้รอบข้างหมั่นไส้ลูกกะตา สุดท้ายก็เหมือนเดิม คิดอะไร ไม่ชอบอะไรก็พูดออกไป ไม่มีสองหน้า...ตรงข้ามกับอนิล
น้องเขยเธอดูดีขึ้นมานิดหนึ่งทีเดียว ต้องขอบคุณรักษ์ชาติที่ทำให้เธอรู้วิธีรับมือคนนิสัยแปรปรวนแบบนี้ การไม่สนใจเป็นวิธีที่เธอใช้มาจนชิน
อนิลรอดูว่าวาดตะวันจะระเบิดลงไหมที่เขาจงใจขัดใจเจ้าหล่อน แต่ก็พบเพียงความปกติ วาดตะวันไม่ยกเรื่องลิลิธขึ้นมาสนทนาอีก ซ้ำยังกล่าวขอบคุณเขาเสียเสียงหวานจ๋อย
เสน่ห์พรรค์นี้ใช้ได้กับคนอื่น...ยกเว้นเขา
ชายหนุ่มเดินกลับไปที่รถ หน้าตาบูดบึ้ง ไม่รู้ว่าจะจัดการกับผู้หญิงร้ายกาจคนนี้อย่างไร แต่ก่อนจะค้นหาวิธีจัดการ เขาต้องรั้งวาดตะวันไว้ที่นี่ก่อน ผู้หญิงคนนี้จะกลับไปทั้งที่ไม่ได้ชดเชยกับสิ่งที่ทำกับวิฬุรอย่างนั้นน่ะเหรอ ดูท่าเจ้าหล่อนจะนึกว่าเข้ามาในสวนสวยธรรมดา ที่นี่ซ่อนเสือตัวใหญ่อย่างเขาไว้ยังไม่รู้ตัว
มือหนาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกเบอร์ของอู่ซ่อมรถ หน้าตาเคร่งเครียดผ่อนคลายขึ้น ริมฝีปากคลายเป็นรอยยิ้มสาแก่ใจ ยามถ่ายทอดคำสั่งไปให้เพื่อนรักที่เป็นเจ้าของอู่
“รื้อรถคันที่ฉันส่งซ่อมวันนี้ทีสิ”
“รื้อ!”
“ฉันจะรับผิดชอบเอง ทำได้ไหม”
“แค่ซ่อนก็พอมั้งไอ้ลม เสียดายว่ะ รถสวยขนาดนี้ แกแค้นอะไรคุณเขาก็อย่ามาลงที่รถ”
คนสั่งการหน้านิ่งขรึม “นี่แกหลงเสน่ห์ผู้หญิงคนนี้อีกคนแล้วหรือไง”
“คนสวยๆ มีผู้ชายที่ไหนไม่ชอบวะ ยกเว้นว่าคนๆ นั้นจะไม่ใช่ผู้ชาย เขายังคุยเรื่องเครื่องรถแข่งกับฉันรู้เรื่องเลย ผู้หญิงคุยสนุกอย่างนี้ไม่ชอบก็บ้าแล้ว”
อนิลชักหงุดหงิดกับเสน่ห์ของวาดตะวันที่ฟุ้งใส่หัวใจใครต่อใครไปทั่ว ผู้หญิงที่เป็นข่าวกับหนุ่มๆ ให้นักข่าวขุดคุ้ยได้ตลอดเวลาอย่างนี้มีดีอะไร ถ้าเขาคิดทำลายชื่อเสียงวาดตะวันจริง แค่ปล่อยข่าวเรื่องน้องชายเขาก็จบเรื่อง แต่เขาไม่เอาน้องมาขายกินเด็ดขาด การจะทำผู้หญิงสักคนให้เจ็บปวดมีแค่ทางเดียว ทำให้เจ็บปวดใจ
“รื้อ แล้วค่อยเอามาประกอบใหม่ ฉันอยากรั้งวาดตะวันไว้ที่นี่...สักพัก”
“สักพักแล้วมันนานแค่ไหน แกคิดจะทำอะไรไอ้ลม” ผลิใบชักไม่วางใจ
“ผู้หญิงคนนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้นายฝนเป็นอย่างในตอนนี้ไง”
“เฮ่ย! แกแน่ใจเหรอวะ”
‘สุดท้ายวาดก็ทิ้งเรา’ ประโยคนี้ที่น้องชายกดส่งไปหาวาดตะวันลอยวนเวียนอยู่ในหัวมิรู้ลืม ประโยคที่วาดตะวันบอกว่าวิฬุร ‘ตัดพ้อน้อยใจ’ แต่ทำไมเขาถึงคิดว่าประโยคนั้นมันมากกว่านั้น มันคือความเสียใจหลังจากถูกทอดทิ้งต่างหาก
“เออ ฉันไม่เคยแน่ใจเรื่องไหนเท่าเรื่องนี้”
ประตูห้องนอนห้องหนึ่งในเรือนไม้กึ่งดินกึ่งปูน เพดานสูงเพิ่งจะปิด หน้าตาอิดโรยของสตรีวัยกลางคนเดินออกมา ร่างผอมบางที่ผอมจนเห็นกระดูกขึ้นสร้างความเจ็บปวดแก่ลูกชายที่ต้องทนพบเห็น แม้เพชรีจะพยายามสร้างรอยยิ้มบนหน้ายามเห็นเขาทุกครั้ง แต่ก็ปกปิดรอยช้ำในดวงตา หรือขอบตาที่บวมเป่งไม่ได้
แม่ของเขาร้องไห้ให้กับเรื่องนี้มามากพอแล้ว
“น้องเป็นไงบ้างครับ”
“ฝนแค่หลับไป พรุ่งนี้ฝนอาจจะตื่นขึ้นมา” เพชรีพูดประโยคนี้เหมือนที่พูดมาตลอดทุกวันให้อนิลฟัง ที่จริงนางต้องการเตือนใจตัวเอง มากกว่าเหตุผลใดอื่น
เกือบสามสัปดาห์ที่วิฬุรหลับไป แรกที่เกิดเหตุในกรุงเทพฯ วิฬุรอาการหนักกว่านี้มาก ต้องอยู่ห้องไอซียูถึงสามวัน อาการห้าสิบห้าสิบ กว่าจะผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมาได้ เพชรีไม่ทันได้หายใจให้โล่งปอดก็แทบล้มตึงอีกเมื่อหมอบอกว่าลูกชายของเธอมีสิทธิ์ที่จะเป็นเจ้าชายนิทราสูง
เธอเคยสูญเสียพ่อของวิฬุรไปแล้วเมื่อสิบกว่าปีก่อน จะให้ทำใจยอมรับการสูญเสียลูกชายอีกคนได้อย่างไร ลูกชายของนางยังไม่ได้แต่งงาน ยังมีเวลาชีวิตอีกมาก มากมายกว่านางนัก
ชีวิตนี้เพชรีขอแลกทุกสิ่งอย่าง เพื่อลูกชายจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง วิฬุรเป็นผู้ชายอ่อนโยน ไม่เคยคิดทำร้ายใคร แล้วทำไมถึงต้องมาประสบพบเจอกับความโชคร้ายอย่างนี้
“ผู้หญิงคนนั้นเขามาที่นี่ครับ”
เพชรีเงยหน้าขึ้น ประกายตาแข็งกร้าวขณะส่งเสียงเกรี้ยวกราดออกมาว่า
“ยังมีหน้ามาเหยียบที่นี่อีกหรือไง ผู้หญิงคนนี้หน้าด้านหน้าทนเกินไปแล้ว!”
“แม่ปล่อยให้ผมจัดการเขาเองเถอะครับ”
“อย่าไปยุ่งกับเขา ไล่เขาออกไป นายฝนคงไม่อยากให้ใครมาเป็นแบบเขาอีก” ถึงเพชรีจะผิดหวัง และพาลเกลียดวาดตะวันไปแล้ว แต่ความรู้สึกเก่าๆ ที่เคยเห็นวิฬุรยิ้มแย้ม สนุกสนานกับวาดตะวันทำให้นางทำร้ายคนที่ลูกรักไม่ลงจริงๆ แค่อย่าพบเจอกันอีกตลอดชีวิตก็พอ
“ไม่ครับ วาดตะวันต้องรับผิดชอบ”
“ลมอย่าดูถูกผู้หญิงคนนั้น แม่กลัวลมจะเป็นเหมือนกับฝน ขนาดแม่ยังเคยรักเคยเอ็นดูเขามาตั้งมาก แล้วดูสิ่งที่เขาทำกับลูกชายแม่สิ” เพชรีพูดเสียงเครือ ให้เกิดเรื่องเลวร้ายกับอนิลอีกคน เห็นทีนางจะต้องกลายเป็นฆาตกรไปฆ่าวาดตะวันแน่
อนิลเม้มปากแน่น เขาจะไม่ยอมให้สิ่งที่แม่กลัวเกิดขึ้นเด็ดขาด แม่ก็แค่กลัวเขาจะหลงเสน่ห์ มารยาของวาดตะวัน ในเมื่อเขารู้ทันอยู่ก่อนแล้ว หลุมมาขุดอยู่ตรงหน้า ยังจะโง่กระโดดลงไปอีกอย่างนั้นหรือไง
ถ้าเขายังรักวาดตะวันได้อีก เขาก็โง่เต็มที!
....................
ตอบเมนท์ไว้ที่ตอนก่อนนะคะ สำหรับตอนที่แล้ว ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ม.ค. 2558, 11:11:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ม.ค. 2558, 17:31:14 น.
จำนวนการเข้าชม : 1176
<< บทที่ 1 | บทที่ 3 >> |
โอชิน 4 ม.ค. 2558, 14:00:15 น.
มาปูเสื่อรอค่า..นึกว่าวิรุฬไปไม่กลับ..อ้อ..ที่แท้แค่เจ้าชายนิทราหรือค่ะ..ดีๆดูไม่โหดร้ายไปหน่อย..มาต่อเร็วๆนะคะอยากรู้ว่าพี่ลมจะจัดการแก้แค้นน้องวาดยังไง
มาปูเสื่อรอค่า..นึกว่าวิรุฬไปไม่กลับ..อ้อ..ที่แท้แค่เจ้าชายนิทราหรือค่ะ..ดีๆดูไม่โหดร้ายไปหน่อย..มาต่อเร็วๆนะคะอยากรู้ว่าพี่ลมจะจัดการแก้แค้นน้องวาดยังไง