ตะวันต้องลม
เขาคิดมาเสมอว่าทุกอย่างที่เกิดกับน้องชายเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น!
และเธอต้องรับผิดชอบ เขาจะทำให้คาสโนวี่อย่างเธอรักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น
เธอคือเป้าหมายที่เขาต้องพิชิต
แม้ว่าตะวันดวงนี้จะเป็นตะวันที่ร้อนแผดเผา และไม่ได้ความรักมาง่ายๆ
แต่ลมอย่างเขาก็ไม่หวั่น เขาจะเป็นลมพายุที่พัดกลุ่มเมฆมาบดบังแสงตะวันของเธอให้ได้!
เมื่อดึงตะวันคล้อยต่ำลงได้เมื่อไหร่ เขาจะปล่อยเธอทิ้งร่วงลงสู่พื้นดิน
และเธอต้องรับผิดชอบ เขาจะทำให้คาสโนวี่อย่างเธอรักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น
เธอคือเป้าหมายที่เขาต้องพิชิต
แม้ว่าตะวันดวงนี้จะเป็นตะวันที่ร้อนแผดเผา และไม่ได้ความรักมาง่ายๆ
แต่ลมอย่างเขาก็ไม่หวั่น เขาจะเป็นลมพายุที่พัดกลุ่มเมฆมาบดบังแสงตะวันของเธอให้ได้!
เมื่อดึงตะวันคล้อยต่ำลงได้เมื่อไหร่ เขาจะปล่อยเธอทิ้งร่วงลงสู่พื้นดิน
Tags: อนิล วาดตะวัน วิฬุร ดราม่าโรแมนติก
ตอน: บทที่ 3
ไร่ปอเทืองกำลังออกดอกเหลืองอร่ามเต็มทุ่ง รอเวลาในการไถกลบเพื่อลงแปลงปลูกพืชใหม่ เป็นเวลาปรับหน้าดินที่เหมาะในช่วงอากาศเย็นๆ ที่ปลูกพืชชนิดอื่นไม่ค่อยขึ้นเพราะอยู่ในช่วงแล้ง วาดตะวันปั่นจักรยานที่เช่ามาจากรีสอร์ทปั่นผ่านไร่ปอเทืองตรงไปยังลานขนาดย่อมที่มีดอกฟอร์เก็ตมีนอต ดอกพิทูเนีย ดอกเยอร์บีร่า ดอกผีเสื้อ จัดตามกระถางเล็กๆ วางไว้ตรงมุมต่างๆ ตรงลาน มีซุ้มไม้ดัดเป็นรูปผลไม้ ม้านั่งยาวที่มีผู้คนมาจับจองกัน
ตอนปีใหม่ที่นี่คงจะมีผู้คนหลั่งไหลมาไม่น้อย วาดตะวันไม่ได้สันทัดเรื่องธุรกิจทำนองนี้นัก เธอถนัดกินเที่ยวเสียมากกว่า เวลามาที่นี่ก็มักจะได้เข้าพักที่บ้านหลังใหญ่ที่อยู่ด้านในสุดของไร่ ไม่ค่อยได้มาสัมผัสชีวิตอย่างนี้เท่าไหร่ ถ้าวิฬุรมาด้วย เขาคงไม่ยอมให้เธอมาในฐานะแค่ ‘นักท่องเที่ยว’ แน่ๆ
วาดตะวันหยุดเมื่อลงเนินมาตรงลานกว้าง เลือกจะจูงจักรยานเดินไปช้าๆ เธอคิดถึงวิฬุร ไม่รู้ว่าป่านนี้ผู้ชายขี้งอนคนนั้นจะไปหลบอยู่ที่ไหน
ขาเรียวยาวเตะขาตั้งจักรยาน แล้วเดินไปนั่งยังม้านั่งยาวที่ว่างอยู่ข้างกระถางดอกผีเสื้อ ตัวดอกสีชมพูด้านในขอบขาว เป็นแฉกคล้ายขี้ดินสอไม้มาต่อติดเติมสีลงไป แต่ให้สัมผัสนุ่มมือมากกว่าอยู่ตรงหน้า นิ้วยาวแตะลงไปด้วยความคิดถึง วิฬุรเคยบอกกับเธอว่า
‘เราอยากเป็นผีเสื้อนะ โบยบิน อิสระ แต่ก็คงเป็นได้แค่ดอกผีเสื้อ อยู่ในกระถาง เป็นในสิ่งที่คนอื่นอยากให้เป็น’
“แล้วตอนนี้นายโบยบินอยู่ที่ไหนนะฝน”
หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ กระชับเสื้อกันหนาวตัวบางสีดำที่ใส่ติดตัวออกมาจากที่พักให้แนบตัวมากขึ้น แม้เวลาจะบ่ายคล้อย ที่นี่ก็ยังเย็นสบาย อุณหภูมิสิบต้นๆ เหมาะกับเธอที่ชื่นชอบที่เย็นๆ อยู่แล้ว
“พี่วาดก็มาเหรอครับ” เสียงห้าวทุ้มดังอยู่เบื้องหน้า วาดตะวันเงยหน้าขึ้นเพื่อพบกับใบหน้าของเด็กรุ่นน้องในวงการ หน้าอ่อนเยาว์เสมอของกบินทร์หลอกลวงอายุจริงที่เกินยี่สิบห้าปีไปปีสองปีแล้วได้จนน่าอิจฉา นายแบบรุ่นน้องที่เธอรู้จักเมื่อเกือบสามปีก่อน เคยแม้กระทั่งรับงานคู่บินไปถ่ายแบบถึงประเทศอังกฤษ เคยสร้างข่าวคบหลอกๆ ด้วยกัน แต่ทุกอย่างล้วนมีสาเหตุ
“มาที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกันใช่ไหม”
กบินทร์นั่งลงตรงเก้าอี้ม้านั่งยาว ไหล่ลู่ตก “พี่วาดรู้เรื่องฝนแล้วใช่ไหมครับ”
“เรื่องอะไร” ท่าทีเอื่อยเฉื่อยลอยชายหายไป แทนที่ด้วยความกระตือรือร้นอยากจะรู้
หนุ่มรุ่นน้องแหงนหน้ามองฟ้า ถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า ความกลัดกลุ้มในใจก็ไม่ได้คลายหายไปไหน มือหนาจำต้องกุมเข้าหากันเอง บีบไว้แน่นก่อนจะตอบ
“พี่ฝนเข้าโรงพยาบาล อาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ”
“อะไรนะ!”
“ไม่แปลกหรอกครับที่พี่วาดจะไม่รู้ ผมเองต้องตามสืบหาเอาจากพนักงานในโรงแรม พวกเขาเองก็ถูกสั่งให้เก็บข่าวเงียบ พอดีผม...”
มือเนียนยกห้ามก่อนที่กบินทร์จะร่ายยาวไปมากกว่านี้ หน้าตาคนฟังซีดเผือด พอคำนวณระยะเวลาที่เกิดเหตุได้ว่าน่าจะตรงกับช่วงที่เธอติดงานถ่ายแบบ แล้ววิฬุรส่งข้อความมาตัดพ้อ
“เกิดอะไรขึ้นกับฝน”
“คุณฝนตกลงไปในสระน้ำ หัวฟาดกับก้นสระครับ”
อากาศที่เย็นสบายเมื่อครู่แปรผันเป็นความยะเยือก หนาวจับขั้วหัวใจ วาดตะวันรู้สึกมึนงง และตั้งตัวไม่ติด ดวงตาเหม่อไม่ได้มองหยุดที่ใด หัวใจของเธอมีความรู้สึกผิดรุมกระหน่ำทำร้าย เพื่อนอย่างเธอแย่จริงๆ ที่เกิดเรื่องกับเพื่อนขนาดนี้ยังไม่รู้
“ฝนไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม” คนที่เคยเก็บความรู้สึกได้ดีเยี่ยมเวลานี้กลับแสดงความอ่อนแอออกมา วาดตะวันกอดตัวเองไว้แน่น หลายครั้งหลายคราที่พยายามข่มความรู้สึกต้องห้ามในใจแต่ไม่เคยสำเร็จ ที่จริงเธอเองก็หลงรักความอ่อนโยนของวิฬุร หลงรักมาตลอด แต่ก็ได้แค่หลอกตัวเองว่าเธอคิดอย่างนั้นกับเขาไม่ได้ เธอทำได้แค่เพื่อนที่ดีคนหนึ่งของเขา
กบินทร์ก็เคยเป็นหนึ่งในคนที่เข้ามาหาเธอ และบอกว่าตัวเองหลงรักวิฬุรอย่างไร หญิงสาวเคยหวงวิฬุรกับใครต่อใครไปเรื่อย บอกว่าคนนั้นไม่ดีพอ จนมาเจอกบินทร์ เป็นครั้งแรกที่เธอแนะนำคนอื่นให้วิฬุร แต่ใครเลยจะรู้ว่านอกจากวิฬุรไม่มองกบินทร์ กลับไปแอบคบกับหนุ่มไฮโซอีกคนแทน
เพราะงาน ความรู้สึกไม่ซื่อนั้นจึงเกือบถูกลบเลือนหายไป ถ้าในวันนี้วิฬุรยังปลอดภัยดี การกลัวสูญเสียเขาไปก็คงไม่สำแดงออกมา ใช่เธอเป็นเพียงผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวคนหนึ่ง เธอจะไม่ปล่อยให้วิฬุรเป็นอะไรไปเป็นอันขาด ถ้าเธอไม่อนุญาต เขาก็ห้ามตาย!
“เขาเข้าไอซียูอยู่หลายวันครับ พอออกมาพักฟื้นได้ ก็เคลื่อนย้ายมาที่จังหวัดนี้ ผมพยายามตามหาในโรงพยาบาลก็ยังไม่พบ เลยคิดว่าบางทีฝนอาจจะอยู่ที่นี่”
คำตอบทุกอย่างกระจ่างชัด วาดตะวันนึกถึงน้ำเสียงห่างเหินของเพชรี ท่าทางแปลกๆ ที่อนิลแสดงออกมา ทุกอย่างประจวบเหมาะ พวกเขาอาจจะคิดว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่วิฬุรมีสภาพอย่างนี้ก็ได้
พวกเขาอาจเกลียดเธอไปแล้ว
“ถึงว่าสิ” ริมฝีปากสีซีดยิ้มเนือย แค่นหัวเราะกับตัวเองที่ไม่ได้เรื่องเลย โชคดีเท่าไหร่ที่เธอคิดไม่ซื่อกับวิฬุรไปฝ่ายเดียว คนอย่างเธอแม้แต่เพื่อนก็ยังเป็นให้ดีไม่ได้ อย่าได้หวังเป็นคนรักของใคร
“เธอคงเหนื่อยมากเลยนะ พยายามเพื่อนายฝนขนาดนี้” วาดตะวันแตะไหล่รุ่นน้อง บีบไว้เพื่อต้องการถ่ายทอดกำลังใจให้อีกฝ่าย จริงๆ คือเธอเองก็ต้องการความมั่นใจที่จะมีใครอีกคนอยู่ข้างๆ เธอในเวลาที่เลวร้ายนี้ “ถ้านายฝนหายดี ฉันจะช่วยเธอเต็มที่ ผู้ชายเฮงซวยคนนั้นคงจะทำอะไรให้ฝนเสียใจ”
“มีข่าววงในออกมาว่าเขาจะแต่งงานกับลูกสาวของเจ้าสัวครับ”
มือที่บีบไหล่กบินทร์บีบแรงขึ้นด้วยความเคียดแค้น วาดตะวันมาได้สติก็เพราะเสียงของกบินทร์ที่ร้องโอ๊ย หน้าเหยเก มือบางจึงรีบปล่อยทันควัน
“ขอโทษทีนะ”
“ไม่เป็นไรครับ” กบินทร์บีบนวดไหล่ตัวเองไปมา
“จากนี้พวกเราต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าฝนเป็นยังไงบ้าง ฉันถ่วงเวลาให้เธอไปสืบข้อมูลได้นะ”
วาดตะวันพยายามยิ้ม ทั้งที่อยากตีหน้าเครียด ร่างของผู้ชายตัวโตที่เดินตรวจงานอยู่ที่แปลงสตรอเบอร์รี่ที่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร มีบ้างที่เขาจะหันมามองกัน ด้วยสายตายะเยือกทีเดียว
สายตาอย่างนั้นที่ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ ปกติคนอย่างอนิลว่าเข้าหายากแล้ว ในเวลาที่เขามีเรื่องเข้าใจเธอผิดเพิ่มขึ้น วาดตะวันไม่อยากจะนึกเลย ว่าเธอต้องทำอย่างไรถึงจะเรียกหาความไว้วางใจจากทั้งอนิล และเพชรีได้ เรื่องความลับ หรือความจริงของวิฬุร เธอจะรอให้เขามาบอกกับครอบครัวด้วยตัวเองเท่านั้น
เวลานี้เธอก็ได้แต่ภาวนา ขออย่าให้เพื่อนที่เธอรักอย่าได้เป็นอะไรมากเลย ส่วนคนที่ทำให้วิฬุรเป็นอย่างนี้ เธอจะไล่คิดบัญชีทีหลัง!
มาไม่ทันไรก็หว่านเสน่ห์ใส่ผู้ชายไปทั่ว
อนิลเห็นภาพวาดตะวันจับไหล่ผู้ชายหน้าอ่อนคนนั้นเต็มสองตา เขาไม่รู้หรอกว่าพวกนั้นสนทนากันด้วยเรื่องอะไร แต่ในไร่ลมฝน ที่มีน้องชายเขานอนหลับใหลอยู่ในที่พัก ปากบอกมาหาวิฬุร แต่การกระทำกลับ...
มือหนากำแน่นด้วยความโกรธ เขาเกลียดผู้หญิงรักไม่จริงเป็นทุนเดิม ยิ่งมาพบผู้หญิงที่มาทำลายน้องเขา เขาก็ยิ่งเกลียดเป็นเท่าทวี
รถจักรยานั่นมาตามเนิน มีเสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งนำทางมา ร่างระหงหุ่นสวยดูไม่เข้ากับจักรยานแบบเสือภูเขาที่เจ้าตัวเลือกมาเท่าไหร่ อนิลพยายามไม่มองไม่สนใจ แต่ก็ห้ามสายตาไว้ไม่ได้ตลอด สุดท้ายก็ยังหันไปมอง กระทั่งสบตาดำวาวคู่นั้น เขาเหมือนจะเห็นแววร้อนใจ แต่เพียงเจ้าหล่อนกะพริบตาไปทีหนึ่ง ร่องรอยนั้นก็เลือนหาย พานให้เขาคิดว่าตัวเองอาจจะตาฝาด
คนอย่างวาดตะวันเคยร้อนใจด้วยเรื่องอะไรด้วยหรือไง
“เย็นนี้ฉันไปหาคุณป้าได้ไหม”
“คงไม่ได้” ดวงตาเย็นชาไม่ปิดบังยามที่รู้ว่าอีกฝ่ายมาด้วยเรื่องของใคร “แม่พี่ไม่ว่าง”
วาดตะวันจอดจักรยานข้างๆ คนตัวโต ไม่ได้ตั้งขาตั้ง เดินจูงข้างเขา เพราะรู้ว่าอนิลกำลังพยายามเดินหนี “ฉันซื้อของมาฝากคุณป้าเขาด้วย แต่ฉันลืมไปว่าเอาใส่ไว้ท้ายรถ คุณพาฉันไปเอารถทีได้ไหม ฉันอยากไปทำธุระอีกหลายๆ ที่ด้วย”
“เพื่อนพี่เพิ่งโทรมาบอกว่าเด็กในอู่ที่เพิ่งมาใหม่ถอยรถลูกค้าคนอื่นมาชน คงต้องซ่อมอีกนาน”
อนิลหันหลังไปยิ้มมุมปากสาแก่ใจ วาดตะวันต้องมีโกรธ มีเจ็บใจบ้างแหละน่าที่รถสวยราคาแพงขนาดนั้นโดนเสย
“ช่างรถมันเถอะค่ะ ก็แค่รถ”
ร่างสูงที่ยืนอยู่เกือบหน้าคะมำสะดุดยอดหญ้า ดีที่เขาข่มความตระหนกตกใจไว้ได้ทันท่วงที อดใจไม่ไหวที่จะหันมามองคนข้างๆ ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องหน้าเขาอยู่ คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางสิ่ง
“มาที่นี่ขาดเหลืออะไรไหม”
“พี่ลมต้อนรับฉันดี เหมือนที่ฝนเคยต้อนรับฉันเลยล่ะค่ะ ทุกอย่างสะดวกสบายดี ถ้าฝนรู้ ฝนต้องดีใจมากแน่ๆ ที่พี่ลมดูแล ‘เพื่อน’ ของเขาดีขนาดนี้” วาดตะวันโยนหินถามทางเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของอนิล เมื่อพบประกายกร้าวในแววตาเขา เธอก็ยิ่งมั่นใจ
พวกเขาคิดว่าเธอเป็นแฟนของวิฬุร และอาจคิดว่าเธอเป็นสาเหตุที่ทำให้วิฬุรบาดเจ็บ
“แต่นายฝนคงดีใจมากแน่ๆ ที่เห็น ‘แฟน’ เขาหว่านเสน่ห์ใส่ผู้ชายไปทั่ว”
วาดตะวันหน้าชาดิก อนิลไม่พูดตรงๆ ว่าใครคือแฟนของวิฬุร แต่จงใจจ้องหน้าหญิงสาว หนักกว่าการชี้หน้าตะโกนเรียกชื่อเธอเสียอีก สายตาคมกริบยิ่งกว่ามีดที่ลับคม มันกระหน่ำกรีดใจเธอยิ่งกว่าอะไร ขอเพียงหากเธอเคยมีโอกาสได้เป็น ‘แฟน’ กับวิฬุรจริง เธออาจรู้ใจตัวเองได้เร็วกว่านี้ ไม่ใช่เมินเฉยความรัก และไม่ศรัทธามัน
ไม่ใช่ความผิดของพ่อแม่หรอกที่มีความรักขาดกลางในช่วงที่เธอกำลังโต แต่เป็นเธอเองที่ไม่ยอมก้าวข้ามความรู้สึกเหล่านั้นออกมา ขังตัวเองอยู่ในกรงที่เรียกว่า...ปฏิเสธความรัก
“พี่ลมคิดว่าฉันหน้าด้านมาที่นี่ใช่ไหมคะ”
“พี่ไม่ได้พูดอย่างนั้นสักคำ” อนิลบรรยายไม่ถูกว่าตนควรดีใจไหมที่ในที่สุดวาดตะวันก็รู้ตัวว่าเขาว่าอะไรเจ้าหล่อนไปบ้าง แต่ต้องไม่ใช่อาการน้อมรับโดยสงบแบบนี้
“ขอโทษนะคะ แต่ฉันรักฝนจริงๆ ฉันเองก็เพิ่งรู้”
ร่างผอมเพรียว เหมือนลมพัดมาวูบแรงๆ จะปลิวพัดตกเขาไปได้เดินจากไป ทิ้งให้อนิลรู้สึกคว้าง ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ได้แต่ย้ำเตือนว่าผู้หญิงมีมารยามากมายแค่ไหน คำว่า ‘รัก’ ที่เบาเหมือนเสียงลมพัดอยู่ข้างหู ไมได้มีค่าอะไร และน้องชายเขาก็ไม่ควรมาได้ยิน
เพิ่งรู้...หลังจากทำร้ายไปแล้ว ความผิดก็ไมได้ลดลง
เพชรีเช็ดตัวให้กับร่างที่นอนหลับใหลบนเตียงด้วยมืออันสั่นเทา วิฬุรเหมือนคนที่หลับใหลไปเฉยๆ เพียงแค่ยังไม่ตื่น เธอยังหวังเต็มเปี่ยมว่าวิฬุรจะตื่นขึ้นมา แม้ว่าที่จริงสิ่งที่มากกว่าความหวังจะคือความกลัว แต่นางก็ยังจะหวัง
ร่างที่นอนบนเตียงถูกจับพลิกเพื่อไม่ให้เกิดอาการกดทับ เพชรีไม่อยากให้เวลาที่ลูกตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองแขนขาลีบเดินไม่ได้ ต่อให้เวลาทั้งวันเธอต้องอยู่กับลูกออกไปไหนไม่ได้ เธอก็พร้อมแลกเวลาทั้งหมดที่มี
สายยางให้อาหารและน้ำเกลือยังคงให้อย่างต่อเนื่อง คนเป็นแม่มองภาพลูกชายที่ช่างออดอ้อนในภาพเหนือเตียงเทียบกับร่างสลบใสลตรงหน้าก็ได้แต่สูดจมูกแรงๆ อยากเอาตัวเองไปนอนตรงนั้นเพื่อแลกชีวิตกันเหลือเกิน
“ลูกต้องอดทน เข้มแข็งให้มากๆ นะฝน” เพชรีก้มลงไปแตะริมฝีปากบนหน้าผากเนียนของลูกชาย นางยกอ่างน้ำกับผ้าเช็ดตัวออกมาจากในห้อง เพื่อพบว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งยืนสง่าอยู่กลางบ้าน สายตาของแขกเลื่อนมองของในมือเพชรี และถึงกับพูดไม่ออก
“เธอมาทำไม!”
ร่างของหญิงกลางคนสั่นเทิ้ม หน้าตาเขียวคล้ำไปด้วยความโกรธ นางลืมเลือนความรู้สึกที่ครั้งหนึ่งเคยเอ็นดูวาดตะวัน หลงรักเหมือนลูกเต้าไปจนหมดสิ้น
“มาหาฝนค่ะ คุณป้าคะ ฝนเป็นอะไร”
“อย่ามานับญาติกับฉัน!” อ่างกระเบื้องถูกขว้างทิ้งลงพื้นอย่างแรงด้วยอารมณ์ที่ปะทุในอก วาดตะวันไม่ทันหลบก็รู้สึกว่ามีเศษกระเบื้องชิ้นหนึ่งลอยละลิ่วมาบาดตรงผิวแก้มบนหน้าเป็นแนวขวาง อาการเจ็บลึกไม่ทันทำให้เธอตกใจ ภาพผู้หญิงที่ย่ำเท้าเปล่าผ่านเศษกระเบื้องที่ตนเองขว้างแตกกำลังดาหน้ามาหาเธอทำให้วาดตะวันต้องพุ่งตัวออกไปห้ามไว้ และกลายเป็นเธอที่ทรุดฮวบลงกองกระเบื้องนั้น มือจับรั้งผู้ใหญ่ไว้ไม่ให้ก้าวเข้ามา ในขณะที่อีกมือของเพชรีก็ยกฟาดตัวเธอไม่ยั้ง
“นังผู้หญิงใจร้าย ยังมีหน้าขึ้นมาที่นี่อีกเหรอ จะหัวเราะเยาะที่ลูกฉันโง่ใช่ไหม หรือจะมาสมเพช ขอให้รู้สักวันลมจะตื่นขึ้นมา และเขาจะตาสว่าง ที่คนอย่างเธอไปพ้นๆ จากชีวิตเขาได้”
วาดตะวันข่มความเจ็บ กลั้นไว้สุดกำลังให้ตัวเองไม่ร้องออกมา หากมันจะพอทำให้เพชรีได้ระบายความคั่งแค้น ความโกรธได้บ้าง เวลานี้เพชรีโกรธจนมองไม่เห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งรุดหน้าย่องเข้ามาในบ้าน กบินทร์สบตากับเธอแวบหนึ่งราวกับจะถามว่าให้ช่วยไหม แต่วาดตะวันกลับเบือนหนี และเลือกที่จะกำข้อมือของเพชรีไว้ให้แน่นขึ้น เกรงว่าอีกฝ่ายจะบุ่มบ่ามเข้ามาเหยียบเศษกระเบื้องเป็นเพื่อนเธอ
“ฉันไม่น่าหลงไว้ใจว่าเธอเป็นแฟนที่ดีของฝนเลย ฉันไม่เคยเชื่อว่าข่าวเสียๆ หายๆ ที่เจอตามข่าว ยังเคยแก้ข่าวให้เธอเวลาเพื่อนฉันมาวิจารณ์ ตอนนี้พวกนั้นคงเห็นฉันเป็นตัวตลกไปแล้ว”
“ฉันขอโทษค่ะคุณป้า”
คำว่าขอโทษทำให้เพชรียิ่งเดือดดาล มือบางฟาดเพียะไปบนหน้าเนียนของวาดตะวัน แรงของมือทำให้มุมปากวาดตะวันมีเลือดไหลซิบ หญิงสาวเจ็บจนชา ไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป เธอคิดว่าสิ่งเหล่านี้ที่เธอต้องเผชิญ คือบทลงโทษของเพื่อนคนหนึ่งที่ควรได้รับ
“เกิดอะไรขึ้น!” อนิลเอะใจตั้งแต่เห็นจักรยานของวาดตะวันปั่นมาทางบ้านใหญ่ แล้วยังไม่กลับออกมา จึงรีบตามมา และเป็นดังคาด สภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงของวาดตะวัน และเศษกระเบื้องที่บาดฝ่าเท้าเปล่าจนเลือดออก ไหนจะยังบาดแผลบนหน้า ที่ปราศจากรอบเปียกชื้น หญิงสาวเพียงแค่เม้มปากแน่น ไม่ปริปากร้องออกมา
“พอแล้วครับแม่ พอแล้ว” อนิลรีบเข้ามาดึงมารดาออกไปให้ห่างจากวาดตะวัน สภาพผู้หญิงสวยสง่าที่เคยดึงดูดใครต่อใครได้ทั่วนั้นบัดนี้ดูไม่ได้เลยสักนิด
“มันขึ้นมาหยามแม่!”
“คุณจะขึ้นมาทำไม!”
วาดตะวันไม่รู้ว่าจะปลอบใจเพชรีให้คลายว่าเธอมาดี หรือจะตอบอนิลว่าเธอขึ้นมาเพราะอยากรู้เรื่องวิฬุร แต่ถึงจะพูดอะไรไปเสียงของเธอก็คงไร้น้ำหนัก ไม่มีใครอยากรับฟัง หญิงสาวพยายามลุกขึ้น มือก็พลันวางลงไปยังเศษกระเบื้อง จนต้องนิ่วหน้า ความเจ็บตรงฝ่าเท้าทำให้เธอไม่รู้ว่าจะลุกวางเท้าแบบไหนถึงจะเจ็บน้อยที่สุด มันระบมไปทั้งเท้าได้แต่เขยกขึ้นยืนเพื่อเห็นรอยเลือดเป็นปื้นบนพื้น
โชคดีที่เธอทันเห็นว่ากบินทร์ออกไปทางประตูหลังบ้านก่อนที่อนิลจะเข้ามา อย่างน้อยๆ เขาก็คงจะรู้แล้วว่าวิฬุรเป็นอะไร เจ็บแค่นี้สำหรับเธอถือว่าเล็กน้อยเท่านั้น
ร่างระหงยืนโงนเงนได้สักพัก เท้าที่ลงน้ำหนักผิดทำให้เศษกระเบื้องจมลึกเข้าไปในฝ่าเท้าก็ตั้งท่าจะทรุดลงกับพื้นอีกครั้ง ครั้งนี้อนิลไวพอที่จะพุ่งมารวบเอวบางไว้แน่น และช้อนขึ้นอุ้มเพื่อกันหญิงสาวเดินๆ ล้มๆ ให้เขารำคาญตาอีก
ผู้หญิงคนนี้ถูกแม่เขาทำร้ายไม่น้อย ยังไม่มีเสียงร้องออกมาสักแอะ
“แค่ไม่ร้องโอดครวญไม่ได้หมายความว่าคุณจะแข็งแกร่งหรอกนะ”
อนิลหงุดหงิดกับตัวเองที่มาสนใจผู้หญิงที่เขาตั้งปณิธานแรกเริ่มว่าจะเกลียด ได้แต่มองตรงไปข้างหน้า พาเดินออกไปจากบ้าน สั่งแม่บ้านที่ยืนล้าลังด้านนอกให้เข้าไปเก็บกวาดเศษซากกระเบื้อง และเตรียมกล่องปฐมพยาบาลไปให้เขาที่บ้านด้วย
หญิงสาวไม่อยากร้องไห้ เพราะถ้าร้องออกมา น้ำตาอาจจะหยุดไหลไม่ได้ ความอ่อนแอของเธอไม่ใช่ไม่มี มันมีมากเสียจนเธอต้องข่มไว้ด้วยภาพของความแข็งแกร่ง การแสดงออกว่าเธอไม่เป็นอะไร
เธอไม่ชอบให้ใครใช้สายตาสงสาร หรือสมเพช เท่านี้เธอก็สมเพชตัวเองมากพอแล้ว
“หน้าคุณมีแผลเป็น อาจมีผลกับงานของคุณ”
“นี่อาจเป็นเรื่องดีที่ฉันจะออกหนีจากวงการมายาพ้น”
วาดตะวันถือโอกาสหลุบเปลือกตาปิดลงด้วยความโล่งอก ระคนเจ็บปวด ยามนี้ทั้งตัว โดยเฉพาะเท้าเจ็บจนคิดว่าเธอต้องเดินไม่ได้ไปอีกพักใหญ่ อย่างไรที่นี่ก็ใกล้สถานที่ที่วิฬุรอยู่ เธอยังรู้ความเป็นไปของเขาได้บ้าง
อากาศลมเย็นยามพระอาทิตย์ใกล้ลาลับฟ้ามีความยะเยือกต่อผิวกายกว่าเดิม หญิงสาวห่อตัวเข้าหากัน ปากสีสวยเริ่มซีด อนิลกระชับอ้อมแขนไว้ เดินข้ามรั้วเตี้ยที่อยู่ติดกันกับบ้านใหญ่ ก้าวฉับๆ ตรงไปยังบ้านไม้ชั้นเดียวที่ออกแบบง่ายๆ มีระเบียงยื่นออกมาจากตรงประตู ดอกไม้หลากหลายพันธุ์ปลูกไว้รอบบ้าน
กลิ่นหอมอ่อนของดอกมะลิดึงสติที่เหลือน้อยนิดของวาดตะวันขึ้นมา ข้างกอมะลิที่กำลังผลิดอกส่งกลิ่นหอมจรุงมีกอดอกผีเสื้อกอใหญ่อยู่ หญิงสาวยิ้มอ่อน รำพึงก่อนจะหลับตาลงด้วยความอ่อนเพลีย
“คิดถึงฝนจัง”
ก้าวยาวๆ ของอนิลหยุดลง ชายหนุ่มก้มมองใบหน้าสีซีดของวาดตะวันเพื่อจะค้นคว้าหาความนัยที่อีกฝ่ายว่าไว้ แต่เขาไม่พบความรู้สึกใดๆ ใบหน้าสงบหลับพริ้ม ขนตางอนยาว บนหน้าบวมเป่งจากฝ่ามือแม่เขาที่กำลังขึ้นรอยแดงชัด หรือจะแก้มอีกข้างที่มีรอยบาดมีเลือดซึมออกมาไม่หยุด
เจ็บขนาดนี้...ยังมีหน้าคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเองอีก
อนิลไม่รู้เลยว่าเวลานี้เขาควรเชื่อตัวเอง หรือเชื่อวาดตะวัน สิ่งที่วาดตะวันเพียรแสดงออกมา หรือการพูดถึงวิฬุรครั้งแล้วครั้งเล่า มันทำให้เขาเริ่มเชื่อ
หรือที่จริง วาดตะวันเป็น ‘เพื่อน’ ของวิฬุร และไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้วิฬุรมีอาการเจ้าชายนิทราอย่างในตอนนี้ หรือถ้าเธอเป็นคนทำจริง มีเหตุผลอะไรที่กลับมาอีก ที่นี่ไม่ได้ต้อนรับเธออย่างดีแน่นอน เธอก็ออกจะฉลาด เรื่องแค่นี้ทำไมถึงคิดไมได้
แต่ว่าถ้าเกิดวาดตะวันไม่ใช่คนทำร้ายวิฬุรจริง ดวงตาของอนิลทอดมองบาดแผลทั่วตัววาดตะวัน หลังจากวางลงบนโซฟานุ่ม สีหน้าเริ่มกลัดกลุ้ม
บาดแผลพวกนี้ไม่เท่ากับว่าเธอได้รับมันไปทั้งที่ไร้ความผิดหรอกหรือ
..........................................................
คุณ โอชิน วิฬุรคนเดียว รอบด้านได้รับผลกระทบกันหมดเลย วาดตะวันเป็นตัวละครที่อารมณ์จะลึกกว่าพี่น้องคนอื่นๆ เลยค่ะ วิธีการรับมือก็จะเป็นแบบตัวเอง ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
ขอบคุณนักอ่านเงาทุกท่านด้วยค่ะ ^^
ตอนปีใหม่ที่นี่คงจะมีผู้คนหลั่งไหลมาไม่น้อย วาดตะวันไม่ได้สันทัดเรื่องธุรกิจทำนองนี้นัก เธอถนัดกินเที่ยวเสียมากกว่า เวลามาที่นี่ก็มักจะได้เข้าพักที่บ้านหลังใหญ่ที่อยู่ด้านในสุดของไร่ ไม่ค่อยได้มาสัมผัสชีวิตอย่างนี้เท่าไหร่ ถ้าวิฬุรมาด้วย เขาคงไม่ยอมให้เธอมาในฐานะแค่ ‘นักท่องเที่ยว’ แน่ๆ
วาดตะวันหยุดเมื่อลงเนินมาตรงลานกว้าง เลือกจะจูงจักรยานเดินไปช้าๆ เธอคิดถึงวิฬุร ไม่รู้ว่าป่านนี้ผู้ชายขี้งอนคนนั้นจะไปหลบอยู่ที่ไหน
ขาเรียวยาวเตะขาตั้งจักรยาน แล้วเดินไปนั่งยังม้านั่งยาวที่ว่างอยู่ข้างกระถางดอกผีเสื้อ ตัวดอกสีชมพูด้านในขอบขาว เป็นแฉกคล้ายขี้ดินสอไม้มาต่อติดเติมสีลงไป แต่ให้สัมผัสนุ่มมือมากกว่าอยู่ตรงหน้า นิ้วยาวแตะลงไปด้วยความคิดถึง วิฬุรเคยบอกกับเธอว่า
‘เราอยากเป็นผีเสื้อนะ โบยบิน อิสระ แต่ก็คงเป็นได้แค่ดอกผีเสื้อ อยู่ในกระถาง เป็นในสิ่งที่คนอื่นอยากให้เป็น’
“แล้วตอนนี้นายโบยบินอยู่ที่ไหนนะฝน”
หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ กระชับเสื้อกันหนาวตัวบางสีดำที่ใส่ติดตัวออกมาจากที่พักให้แนบตัวมากขึ้น แม้เวลาจะบ่ายคล้อย ที่นี่ก็ยังเย็นสบาย อุณหภูมิสิบต้นๆ เหมาะกับเธอที่ชื่นชอบที่เย็นๆ อยู่แล้ว
“พี่วาดก็มาเหรอครับ” เสียงห้าวทุ้มดังอยู่เบื้องหน้า วาดตะวันเงยหน้าขึ้นเพื่อพบกับใบหน้าของเด็กรุ่นน้องในวงการ หน้าอ่อนเยาว์เสมอของกบินทร์หลอกลวงอายุจริงที่เกินยี่สิบห้าปีไปปีสองปีแล้วได้จนน่าอิจฉา นายแบบรุ่นน้องที่เธอรู้จักเมื่อเกือบสามปีก่อน เคยแม้กระทั่งรับงานคู่บินไปถ่ายแบบถึงประเทศอังกฤษ เคยสร้างข่าวคบหลอกๆ ด้วยกัน แต่ทุกอย่างล้วนมีสาเหตุ
“มาที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกันใช่ไหม”
กบินทร์นั่งลงตรงเก้าอี้ม้านั่งยาว ไหล่ลู่ตก “พี่วาดรู้เรื่องฝนแล้วใช่ไหมครับ”
“เรื่องอะไร” ท่าทีเอื่อยเฉื่อยลอยชายหายไป แทนที่ด้วยความกระตือรือร้นอยากจะรู้
หนุ่มรุ่นน้องแหงนหน้ามองฟ้า ถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า ความกลัดกลุ้มในใจก็ไม่ได้คลายหายไปไหน มือหนาจำต้องกุมเข้าหากันเอง บีบไว้แน่นก่อนจะตอบ
“พี่ฝนเข้าโรงพยาบาล อาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ”
“อะไรนะ!”
“ไม่แปลกหรอกครับที่พี่วาดจะไม่รู้ ผมเองต้องตามสืบหาเอาจากพนักงานในโรงแรม พวกเขาเองก็ถูกสั่งให้เก็บข่าวเงียบ พอดีผม...”
มือเนียนยกห้ามก่อนที่กบินทร์จะร่ายยาวไปมากกว่านี้ หน้าตาคนฟังซีดเผือด พอคำนวณระยะเวลาที่เกิดเหตุได้ว่าน่าจะตรงกับช่วงที่เธอติดงานถ่ายแบบ แล้ววิฬุรส่งข้อความมาตัดพ้อ
“เกิดอะไรขึ้นกับฝน”
“คุณฝนตกลงไปในสระน้ำ หัวฟาดกับก้นสระครับ”
อากาศที่เย็นสบายเมื่อครู่แปรผันเป็นความยะเยือก หนาวจับขั้วหัวใจ วาดตะวันรู้สึกมึนงง และตั้งตัวไม่ติด ดวงตาเหม่อไม่ได้มองหยุดที่ใด หัวใจของเธอมีความรู้สึกผิดรุมกระหน่ำทำร้าย เพื่อนอย่างเธอแย่จริงๆ ที่เกิดเรื่องกับเพื่อนขนาดนี้ยังไม่รู้
“ฝนไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม” คนที่เคยเก็บความรู้สึกได้ดีเยี่ยมเวลานี้กลับแสดงความอ่อนแอออกมา วาดตะวันกอดตัวเองไว้แน่น หลายครั้งหลายคราที่พยายามข่มความรู้สึกต้องห้ามในใจแต่ไม่เคยสำเร็จ ที่จริงเธอเองก็หลงรักความอ่อนโยนของวิฬุร หลงรักมาตลอด แต่ก็ได้แค่หลอกตัวเองว่าเธอคิดอย่างนั้นกับเขาไม่ได้ เธอทำได้แค่เพื่อนที่ดีคนหนึ่งของเขา
กบินทร์ก็เคยเป็นหนึ่งในคนที่เข้ามาหาเธอ และบอกว่าตัวเองหลงรักวิฬุรอย่างไร หญิงสาวเคยหวงวิฬุรกับใครต่อใครไปเรื่อย บอกว่าคนนั้นไม่ดีพอ จนมาเจอกบินทร์ เป็นครั้งแรกที่เธอแนะนำคนอื่นให้วิฬุร แต่ใครเลยจะรู้ว่านอกจากวิฬุรไม่มองกบินทร์ กลับไปแอบคบกับหนุ่มไฮโซอีกคนแทน
เพราะงาน ความรู้สึกไม่ซื่อนั้นจึงเกือบถูกลบเลือนหายไป ถ้าในวันนี้วิฬุรยังปลอดภัยดี การกลัวสูญเสียเขาไปก็คงไม่สำแดงออกมา ใช่เธอเป็นเพียงผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวคนหนึ่ง เธอจะไม่ปล่อยให้วิฬุรเป็นอะไรไปเป็นอันขาด ถ้าเธอไม่อนุญาต เขาก็ห้ามตาย!
“เขาเข้าไอซียูอยู่หลายวันครับ พอออกมาพักฟื้นได้ ก็เคลื่อนย้ายมาที่จังหวัดนี้ ผมพยายามตามหาในโรงพยาบาลก็ยังไม่พบ เลยคิดว่าบางทีฝนอาจจะอยู่ที่นี่”
คำตอบทุกอย่างกระจ่างชัด วาดตะวันนึกถึงน้ำเสียงห่างเหินของเพชรี ท่าทางแปลกๆ ที่อนิลแสดงออกมา ทุกอย่างประจวบเหมาะ พวกเขาอาจจะคิดว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่วิฬุรมีสภาพอย่างนี้ก็ได้
พวกเขาอาจเกลียดเธอไปแล้ว
“ถึงว่าสิ” ริมฝีปากสีซีดยิ้มเนือย แค่นหัวเราะกับตัวเองที่ไม่ได้เรื่องเลย โชคดีเท่าไหร่ที่เธอคิดไม่ซื่อกับวิฬุรไปฝ่ายเดียว คนอย่างเธอแม้แต่เพื่อนก็ยังเป็นให้ดีไม่ได้ อย่าได้หวังเป็นคนรักของใคร
“เธอคงเหนื่อยมากเลยนะ พยายามเพื่อนายฝนขนาดนี้” วาดตะวันแตะไหล่รุ่นน้อง บีบไว้เพื่อต้องการถ่ายทอดกำลังใจให้อีกฝ่าย จริงๆ คือเธอเองก็ต้องการความมั่นใจที่จะมีใครอีกคนอยู่ข้างๆ เธอในเวลาที่เลวร้ายนี้ “ถ้านายฝนหายดี ฉันจะช่วยเธอเต็มที่ ผู้ชายเฮงซวยคนนั้นคงจะทำอะไรให้ฝนเสียใจ”
“มีข่าววงในออกมาว่าเขาจะแต่งงานกับลูกสาวของเจ้าสัวครับ”
มือที่บีบไหล่กบินทร์บีบแรงขึ้นด้วยความเคียดแค้น วาดตะวันมาได้สติก็เพราะเสียงของกบินทร์ที่ร้องโอ๊ย หน้าเหยเก มือบางจึงรีบปล่อยทันควัน
“ขอโทษทีนะ”
“ไม่เป็นไรครับ” กบินทร์บีบนวดไหล่ตัวเองไปมา
“จากนี้พวกเราต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าฝนเป็นยังไงบ้าง ฉันถ่วงเวลาให้เธอไปสืบข้อมูลได้นะ”
วาดตะวันพยายามยิ้ม ทั้งที่อยากตีหน้าเครียด ร่างของผู้ชายตัวโตที่เดินตรวจงานอยู่ที่แปลงสตรอเบอร์รี่ที่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร มีบ้างที่เขาจะหันมามองกัน ด้วยสายตายะเยือกทีเดียว
สายตาอย่างนั้นที่ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ ปกติคนอย่างอนิลว่าเข้าหายากแล้ว ในเวลาที่เขามีเรื่องเข้าใจเธอผิดเพิ่มขึ้น วาดตะวันไม่อยากจะนึกเลย ว่าเธอต้องทำอย่างไรถึงจะเรียกหาความไว้วางใจจากทั้งอนิล และเพชรีได้ เรื่องความลับ หรือความจริงของวิฬุร เธอจะรอให้เขามาบอกกับครอบครัวด้วยตัวเองเท่านั้น
เวลานี้เธอก็ได้แต่ภาวนา ขออย่าให้เพื่อนที่เธอรักอย่าได้เป็นอะไรมากเลย ส่วนคนที่ทำให้วิฬุรเป็นอย่างนี้ เธอจะไล่คิดบัญชีทีหลัง!
มาไม่ทันไรก็หว่านเสน่ห์ใส่ผู้ชายไปทั่ว
อนิลเห็นภาพวาดตะวันจับไหล่ผู้ชายหน้าอ่อนคนนั้นเต็มสองตา เขาไม่รู้หรอกว่าพวกนั้นสนทนากันด้วยเรื่องอะไร แต่ในไร่ลมฝน ที่มีน้องชายเขานอนหลับใหลอยู่ในที่พัก ปากบอกมาหาวิฬุร แต่การกระทำกลับ...
มือหนากำแน่นด้วยความโกรธ เขาเกลียดผู้หญิงรักไม่จริงเป็นทุนเดิม ยิ่งมาพบผู้หญิงที่มาทำลายน้องเขา เขาก็ยิ่งเกลียดเป็นเท่าทวี
รถจักรยานั่นมาตามเนิน มีเสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งนำทางมา ร่างระหงหุ่นสวยดูไม่เข้ากับจักรยานแบบเสือภูเขาที่เจ้าตัวเลือกมาเท่าไหร่ อนิลพยายามไม่มองไม่สนใจ แต่ก็ห้ามสายตาไว้ไม่ได้ตลอด สุดท้ายก็ยังหันไปมอง กระทั่งสบตาดำวาวคู่นั้น เขาเหมือนจะเห็นแววร้อนใจ แต่เพียงเจ้าหล่อนกะพริบตาไปทีหนึ่ง ร่องรอยนั้นก็เลือนหาย พานให้เขาคิดว่าตัวเองอาจจะตาฝาด
คนอย่างวาดตะวันเคยร้อนใจด้วยเรื่องอะไรด้วยหรือไง
“เย็นนี้ฉันไปหาคุณป้าได้ไหม”
“คงไม่ได้” ดวงตาเย็นชาไม่ปิดบังยามที่รู้ว่าอีกฝ่ายมาด้วยเรื่องของใคร “แม่พี่ไม่ว่าง”
วาดตะวันจอดจักรยานข้างๆ คนตัวโต ไม่ได้ตั้งขาตั้ง เดินจูงข้างเขา เพราะรู้ว่าอนิลกำลังพยายามเดินหนี “ฉันซื้อของมาฝากคุณป้าเขาด้วย แต่ฉันลืมไปว่าเอาใส่ไว้ท้ายรถ คุณพาฉันไปเอารถทีได้ไหม ฉันอยากไปทำธุระอีกหลายๆ ที่ด้วย”
“เพื่อนพี่เพิ่งโทรมาบอกว่าเด็กในอู่ที่เพิ่งมาใหม่ถอยรถลูกค้าคนอื่นมาชน คงต้องซ่อมอีกนาน”
อนิลหันหลังไปยิ้มมุมปากสาแก่ใจ วาดตะวันต้องมีโกรธ มีเจ็บใจบ้างแหละน่าที่รถสวยราคาแพงขนาดนั้นโดนเสย
“ช่างรถมันเถอะค่ะ ก็แค่รถ”
ร่างสูงที่ยืนอยู่เกือบหน้าคะมำสะดุดยอดหญ้า ดีที่เขาข่มความตระหนกตกใจไว้ได้ทันท่วงที อดใจไม่ไหวที่จะหันมามองคนข้างๆ ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องหน้าเขาอยู่ คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางสิ่ง
“มาที่นี่ขาดเหลืออะไรไหม”
“พี่ลมต้อนรับฉันดี เหมือนที่ฝนเคยต้อนรับฉันเลยล่ะค่ะ ทุกอย่างสะดวกสบายดี ถ้าฝนรู้ ฝนต้องดีใจมากแน่ๆ ที่พี่ลมดูแล ‘เพื่อน’ ของเขาดีขนาดนี้” วาดตะวันโยนหินถามทางเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของอนิล เมื่อพบประกายกร้าวในแววตาเขา เธอก็ยิ่งมั่นใจ
พวกเขาคิดว่าเธอเป็นแฟนของวิฬุร และอาจคิดว่าเธอเป็นสาเหตุที่ทำให้วิฬุรบาดเจ็บ
“แต่นายฝนคงดีใจมากแน่ๆ ที่เห็น ‘แฟน’ เขาหว่านเสน่ห์ใส่ผู้ชายไปทั่ว”
วาดตะวันหน้าชาดิก อนิลไม่พูดตรงๆ ว่าใครคือแฟนของวิฬุร แต่จงใจจ้องหน้าหญิงสาว หนักกว่าการชี้หน้าตะโกนเรียกชื่อเธอเสียอีก สายตาคมกริบยิ่งกว่ามีดที่ลับคม มันกระหน่ำกรีดใจเธอยิ่งกว่าอะไร ขอเพียงหากเธอเคยมีโอกาสได้เป็น ‘แฟน’ กับวิฬุรจริง เธออาจรู้ใจตัวเองได้เร็วกว่านี้ ไม่ใช่เมินเฉยความรัก และไม่ศรัทธามัน
ไม่ใช่ความผิดของพ่อแม่หรอกที่มีความรักขาดกลางในช่วงที่เธอกำลังโต แต่เป็นเธอเองที่ไม่ยอมก้าวข้ามความรู้สึกเหล่านั้นออกมา ขังตัวเองอยู่ในกรงที่เรียกว่า...ปฏิเสธความรัก
“พี่ลมคิดว่าฉันหน้าด้านมาที่นี่ใช่ไหมคะ”
“พี่ไม่ได้พูดอย่างนั้นสักคำ” อนิลบรรยายไม่ถูกว่าตนควรดีใจไหมที่ในที่สุดวาดตะวันก็รู้ตัวว่าเขาว่าอะไรเจ้าหล่อนไปบ้าง แต่ต้องไม่ใช่อาการน้อมรับโดยสงบแบบนี้
“ขอโทษนะคะ แต่ฉันรักฝนจริงๆ ฉันเองก็เพิ่งรู้”
ร่างผอมเพรียว เหมือนลมพัดมาวูบแรงๆ จะปลิวพัดตกเขาไปได้เดินจากไป ทิ้งให้อนิลรู้สึกคว้าง ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ได้แต่ย้ำเตือนว่าผู้หญิงมีมารยามากมายแค่ไหน คำว่า ‘รัก’ ที่เบาเหมือนเสียงลมพัดอยู่ข้างหู ไมได้มีค่าอะไร และน้องชายเขาก็ไม่ควรมาได้ยิน
เพิ่งรู้...หลังจากทำร้ายไปแล้ว ความผิดก็ไมได้ลดลง
เพชรีเช็ดตัวให้กับร่างที่นอนหลับใหลบนเตียงด้วยมืออันสั่นเทา วิฬุรเหมือนคนที่หลับใหลไปเฉยๆ เพียงแค่ยังไม่ตื่น เธอยังหวังเต็มเปี่ยมว่าวิฬุรจะตื่นขึ้นมา แม้ว่าที่จริงสิ่งที่มากกว่าความหวังจะคือความกลัว แต่นางก็ยังจะหวัง
ร่างที่นอนบนเตียงถูกจับพลิกเพื่อไม่ให้เกิดอาการกดทับ เพชรีไม่อยากให้เวลาที่ลูกตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองแขนขาลีบเดินไม่ได้ ต่อให้เวลาทั้งวันเธอต้องอยู่กับลูกออกไปไหนไม่ได้ เธอก็พร้อมแลกเวลาทั้งหมดที่มี
สายยางให้อาหารและน้ำเกลือยังคงให้อย่างต่อเนื่อง คนเป็นแม่มองภาพลูกชายที่ช่างออดอ้อนในภาพเหนือเตียงเทียบกับร่างสลบใสลตรงหน้าก็ได้แต่สูดจมูกแรงๆ อยากเอาตัวเองไปนอนตรงนั้นเพื่อแลกชีวิตกันเหลือเกิน
“ลูกต้องอดทน เข้มแข็งให้มากๆ นะฝน” เพชรีก้มลงไปแตะริมฝีปากบนหน้าผากเนียนของลูกชาย นางยกอ่างน้ำกับผ้าเช็ดตัวออกมาจากในห้อง เพื่อพบว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งยืนสง่าอยู่กลางบ้าน สายตาของแขกเลื่อนมองของในมือเพชรี และถึงกับพูดไม่ออก
“เธอมาทำไม!”
ร่างของหญิงกลางคนสั่นเทิ้ม หน้าตาเขียวคล้ำไปด้วยความโกรธ นางลืมเลือนความรู้สึกที่ครั้งหนึ่งเคยเอ็นดูวาดตะวัน หลงรักเหมือนลูกเต้าไปจนหมดสิ้น
“มาหาฝนค่ะ คุณป้าคะ ฝนเป็นอะไร”
“อย่ามานับญาติกับฉัน!” อ่างกระเบื้องถูกขว้างทิ้งลงพื้นอย่างแรงด้วยอารมณ์ที่ปะทุในอก วาดตะวันไม่ทันหลบก็รู้สึกว่ามีเศษกระเบื้องชิ้นหนึ่งลอยละลิ่วมาบาดตรงผิวแก้มบนหน้าเป็นแนวขวาง อาการเจ็บลึกไม่ทันทำให้เธอตกใจ ภาพผู้หญิงที่ย่ำเท้าเปล่าผ่านเศษกระเบื้องที่ตนเองขว้างแตกกำลังดาหน้ามาหาเธอทำให้วาดตะวันต้องพุ่งตัวออกไปห้ามไว้ และกลายเป็นเธอที่ทรุดฮวบลงกองกระเบื้องนั้น มือจับรั้งผู้ใหญ่ไว้ไม่ให้ก้าวเข้ามา ในขณะที่อีกมือของเพชรีก็ยกฟาดตัวเธอไม่ยั้ง
“นังผู้หญิงใจร้าย ยังมีหน้าขึ้นมาที่นี่อีกเหรอ จะหัวเราะเยาะที่ลูกฉันโง่ใช่ไหม หรือจะมาสมเพช ขอให้รู้สักวันลมจะตื่นขึ้นมา และเขาจะตาสว่าง ที่คนอย่างเธอไปพ้นๆ จากชีวิตเขาได้”
วาดตะวันข่มความเจ็บ กลั้นไว้สุดกำลังให้ตัวเองไม่ร้องออกมา หากมันจะพอทำให้เพชรีได้ระบายความคั่งแค้น ความโกรธได้บ้าง เวลานี้เพชรีโกรธจนมองไม่เห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งรุดหน้าย่องเข้ามาในบ้าน กบินทร์สบตากับเธอแวบหนึ่งราวกับจะถามว่าให้ช่วยไหม แต่วาดตะวันกลับเบือนหนี และเลือกที่จะกำข้อมือของเพชรีไว้ให้แน่นขึ้น เกรงว่าอีกฝ่ายจะบุ่มบ่ามเข้ามาเหยียบเศษกระเบื้องเป็นเพื่อนเธอ
“ฉันไม่น่าหลงไว้ใจว่าเธอเป็นแฟนที่ดีของฝนเลย ฉันไม่เคยเชื่อว่าข่าวเสียๆ หายๆ ที่เจอตามข่าว ยังเคยแก้ข่าวให้เธอเวลาเพื่อนฉันมาวิจารณ์ ตอนนี้พวกนั้นคงเห็นฉันเป็นตัวตลกไปแล้ว”
“ฉันขอโทษค่ะคุณป้า”
คำว่าขอโทษทำให้เพชรียิ่งเดือดดาล มือบางฟาดเพียะไปบนหน้าเนียนของวาดตะวัน แรงของมือทำให้มุมปากวาดตะวันมีเลือดไหลซิบ หญิงสาวเจ็บจนชา ไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป เธอคิดว่าสิ่งเหล่านี้ที่เธอต้องเผชิญ คือบทลงโทษของเพื่อนคนหนึ่งที่ควรได้รับ
“เกิดอะไรขึ้น!” อนิลเอะใจตั้งแต่เห็นจักรยานของวาดตะวันปั่นมาทางบ้านใหญ่ แล้วยังไม่กลับออกมา จึงรีบตามมา และเป็นดังคาด สภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงของวาดตะวัน และเศษกระเบื้องที่บาดฝ่าเท้าเปล่าจนเลือดออก ไหนจะยังบาดแผลบนหน้า ที่ปราศจากรอบเปียกชื้น หญิงสาวเพียงแค่เม้มปากแน่น ไม่ปริปากร้องออกมา
“พอแล้วครับแม่ พอแล้ว” อนิลรีบเข้ามาดึงมารดาออกไปให้ห่างจากวาดตะวัน สภาพผู้หญิงสวยสง่าที่เคยดึงดูดใครต่อใครได้ทั่วนั้นบัดนี้ดูไม่ได้เลยสักนิด
“มันขึ้นมาหยามแม่!”
“คุณจะขึ้นมาทำไม!”
วาดตะวันไม่รู้ว่าจะปลอบใจเพชรีให้คลายว่าเธอมาดี หรือจะตอบอนิลว่าเธอขึ้นมาเพราะอยากรู้เรื่องวิฬุร แต่ถึงจะพูดอะไรไปเสียงของเธอก็คงไร้น้ำหนัก ไม่มีใครอยากรับฟัง หญิงสาวพยายามลุกขึ้น มือก็พลันวางลงไปยังเศษกระเบื้อง จนต้องนิ่วหน้า ความเจ็บตรงฝ่าเท้าทำให้เธอไม่รู้ว่าจะลุกวางเท้าแบบไหนถึงจะเจ็บน้อยที่สุด มันระบมไปทั้งเท้าได้แต่เขยกขึ้นยืนเพื่อเห็นรอยเลือดเป็นปื้นบนพื้น
โชคดีที่เธอทันเห็นว่ากบินทร์ออกไปทางประตูหลังบ้านก่อนที่อนิลจะเข้ามา อย่างน้อยๆ เขาก็คงจะรู้แล้วว่าวิฬุรเป็นอะไร เจ็บแค่นี้สำหรับเธอถือว่าเล็กน้อยเท่านั้น
ร่างระหงยืนโงนเงนได้สักพัก เท้าที่ลงน้ำหนักผิดทำให้เศษกระเบื้องจมลึกเข้าไปในฝ่าเท้าก็ตั้งท่าจะทรุดลงกับพื้นอีกครั้ง ครั้งนี้อนิลไวพอที่จะพุ่งมารวบเอวบางไว้แน่น และช้อนขึ้นอุ้มเพื่อกันหญิงสาวเดินๆ ล้มๆ ให้เขารำคาญตาอีก
ผู้หญิงคนนี้ถูกแม่เขาทำร้ายไม่น้อย ยังไม่มีเสียงร้องออกมาสักแอะ
“แค่ไม่ร้องโอดครวญไม่ได้หมายความว่าคุณจะแข็งแกร่งหรอกนะ”
อนิลหงุดหงิดกับตัวเองที่มาสนใจผู้หญิงที่เขาตั้งปณิธานแรกเริ่มว่าจะเกลียด ได้แต่มองตรงไปข้างหน้า พาเดินออกไปจากบ้าน สั่งแม่บ้านที่ยืนล้าลังด้านนอกให้เข้าไปเก็บกวาดเศษซากกระเบื้อง และเตรียมกล่องปฐมพยาบาลไปให้เขาที่บ้านด้วย
หญิงสาวไม่อยากร้องไห้ เพราะถ้าร้องออกมา น้ำตาอาจจะหยุดไหลไม่ได้ ความอ่อนแอของเธอไม่ใช่ไม่มี มันมีมากเสียจนเธอต้องข่มไว้ด้วยภาพของความแข็งแกร่ง การแสดงออกว่าเธอไม่เป็นอะไร
เธอไม่ชอบให้ใครใช้สายตาสงสาร หรือสมเพช เท่านี้เธอก็สมเพชตัวเองมากพอแล้ว
“หน้าคุณมีแผลเป็น อาจมีผลกับงานของคุณ”
“นี่อาจเป็นเรื่องดีที่ฉันจะออกหนีจากวงการมายาพ้น”
วาดตะวันถือโอกาสหลุบเปลือกตาปิดลงด้วยความโล่งอก ระคนเจ็บปวด ยามนี้ทั้งตัว โดยเฉพาะเท้าเจ็บจนคิดว่าเธอต้องเดินไม่ได้ไปอีกพักใหญ่ อย่างไรที่นี่ก็ใกล้สถานที่ที่วิฬุรอยู่ เธอยังรู้ความเป็นไปของเขาได้บ้าง
อากาศลมเย็นยามพระอาทิตย์ใกล้ลาลับฟ้ามีความยะเยือกต่อผิวกายกว่าเดิม หญิงสาวห่อตัวเข้าหากัน ปากสีสวยเริ่มซีด อนิลกระชับอ้อมแขนไว้ เดินข้ามรั้วเตี้ยที่อยู่ติดกันกับบ้านใหญ่ ก้าวฉับๆ ตรงไปยังบ้านไม้ชั้นเดียวที่ออกแบบง่ายๆ มีระเบียงยื่นออกมาจากตรงประตู ดอกไม้หลากหลายพันธุ์ปลูกไว้รอบบ้าน
กลิ่นหอมอ่อนของดอกมะลิดึงสติที่เหลือน้อยนิดของวาดตะวันขึ้นมา ข้างกอมะลิที่กำลังผลิดอกส่งกลิ่นหอมจรุงมีกอดอกผีเสื้อกอใหญ่อยู่ หญิงสาวยิ้มอ่อน รำพึงก่อนจะหลับตาลงด้วยความอ่อนเพลีย
“คิดถึงฝนจัง”
ก้าวยาวๆ ของอนิลหยุดลง ชายหนุ่มก้มมองใบหน้าสีซีดของวาดตะวันเพื่อจะค้นคว้าหาความนัยที่อีกฝ่ายว่าไว้ แต่เขาไม่พบความรู้สึกใดๆ ใบหน้าสงบหลับพริ้ม ขนตางอนยาว บนหน้าบวมเป่งจากฝ่ามือแม่เขาที่กำลังขึ้นรอยแดงชัด หรือจะแก้มอีกข้างที่มีรอยบาดมีเลือดซึมออกมาไม่หยุด
เจ็บขนาดนี้...ยังมีหน้าคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเองอีก
อนิลไม่รู้เลยว่าเวลานี้เขาควรเชื่อตัวเอง หรือเชื่อวาดตะวัน สิ่งที่วาดตะวันเพียรแสดงออกมา หรือการพูดถึงวิฬุรครั้งแล้วครั้งเล่า มันทำให้เขาเริ่มเชื่อ
หรือที่จริง วาดตะวันเป็น ‘เพื่อน’ ของวิฬุร และไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้วิฬุรมีอาการเจ้าชายนิทราอย่างในตอนนี้ หรือถ้าเธอเป็นคนทำจริง มีเหตุผลอะไรที่กลับมาอีก ที่นี่ไม่ได้ต้อนรับเธออย่างดีแน่นอน เธอก็ออกจะฉลาด เรื่องแค่นี้ทำไมถึงคิดไมได้
แต่ว่าถ้าเกิดวาดตะวันไม่ใช่คนทำร้ายวิฬุรจริง ดวงตาของอนิลทอดมองบาดแผลทั่วตัววาดตะวัน หลังจากวางลงบนโซฟานุ่ม สีหน้าเริ่มกลัดกลุ้ม
บาดแผลพวกนี้ไม่เท่ากับว่าเธอได้รับมันไปทั้งที่ไร้ความผิดหรอกหรือ
..........................................................
คุณ โอชิน วิฬุรคนเดียว รอบด้านได้รับผลกระทบกันหมดเลย วาดตะวันเป็นตัวละครที่อารมณ์จะลึกกว่าพี่น้องคนอื่นๆ เลยค่ะ วิธีการรับมือก็จะเป็นแบบตัวเอง ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
ขอบคุณนักอ่านเงาทุกท่านด้วยค่ะ ^^
ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ม.ค. 2558, 08:06:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ม.ค. 2558, 08:06:31 น.
จำนวนการเข้าชม : 1143
<< บทที่ 2 | บทที่ 4 >> |
โอชิน 5 ม.ค. 2558, 23:51:52 น.
เจอหนักเลยน้อวาด..นี่แค่ทางกาย..ทางใจไม่รู้พี่ลมจะเล่นหนักหนากว่านี้หรือเปล่า เอาใจช่วยน้องวาดค่า สู้ๆ
เจอหนักเลยน้อวาด..นี่แค่ทางกาย..ทางใจไม่รู้พี่ลมจะเล่นหนักหนากว่านี้หรือเปล่า เอาใจช่วยน้องวาดค่า สู้ๆ