ตะวันต้องลม
เขาคิดมาเสมอว่าทุกอย่างที่เกิดกับน้องชายเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น!

และเธอต้องรับผิดชอบ เขาจะทำให้คาสโนวี่อย่างเธอรักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น

เธอคือเป้าหมายที่เขาต้องพิชิต

แม้ว่าตะวันดวงนี้จะเป็นตะวันที่ร้อนแผดเผา และไม่ได้ความรักมาง่ายๆ

แต่ลมอย่างเขาก็ไม่หวั่น เขาจะเป็นลมพายุที่พัดกลุ่มเมฆมาบดบังแสงตะวันของเธอให้ได้!

เมื่อดึงตะวันคล้อยต่ำลงได้เมื่อไหร่ เขาจะปล่อยเธอทิ้งร่วงลงสู่พื้นดิน
Tags: อนิล วาดตะวัน วิฬุร ดราม่าโรแมนติก

ตอน: บทที่ 4

อนิลลงมือทำแผลเบื้องต้นให้วาดตะวันก่อนด้วยการเอาเศษกระเบื้องออก และห้ามเลือด เขามองบาดแผลตรงฝ่าเท้าเนียนเรียบของวาดตะวันยิ่งรู้สึกเป็นกังวล เขาไม่ได้อยากทำลายอนาคตของคนๆ หนึ่ง ถึงจะโกรธแค้นกันขนาดไหนก็ตาม เขารู้ว่าอาชีพของนางแบบ นอกจากทรวดทรงองค์เอวต้องเป๊ะแล้ว ฝ่าเท้าก็คือหัวใจ หุ่นที่ดีจะมีประโยชน์อะไรถ้าเดินไม่ได้

เสียงโทรศัพท์ของวาดตะวันดังขึ้น อนิลถือว่าเจ้าของของมันไม่มีสติพอจะกดรับ ช่วยไม่ได้ที่เขาต้องรับให้แทน ‘พี่เกี๊ยว’ เป็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา

หรือนี่จะเป็นโจทก์อีกคนหนึ่ง อนิลปิดปากเงียบเมื่อกดรับสาย

“น้องวาด พี่พยายามหาเบาะแสของฝนตามที่น้องวาดบอกแทบพลิกแผ่นดิน ตอนนี้พี่ได้ภาพจากกล้องวงจรปิดในโรงแรมในคืนเกิดเหตุของฝนแล้ว พี่ไม่ได้ไม่ทำอะไรเลยนะ ทีนี้น้องวาดก็กลับมาลงมาทำงานเถอะนะคะ”

วาดตะวัน ตามหาน้องชายเขา ความรู้สึกประหลาดที่ทำให้อนิลโกรธตัวเอง ตอนเกิดเรื่องกับวิฬุร เขาก็ปักใจเชื่อจากข้อความในโทรศัพท์ของน้อง และขวดยาที่เกลื่อนเต็มพื้นขอบสระ แม้จะตรวจไม่พบในร่างน้อง แต่เขาก็คิดว่าน้องเกิดเปลี่ยนใจกระโดดลงสระเพื่อทำร้ายตัวเองแทน เขาลืมคิดแม้กระทั่งเรื่องกล้องวงจรปิด

ถ้าวาดตะวันมีหลักฐาน มาทำให้เขาตาสว่างได้จริง แล้วอาการเจ็บตัวพวกนี้ เธอจะไม่เรียกร้องอะไรคืนบ้างหรือไง

“ผมเป็นพี่ชายของฝน ตอนนี้วาดอยู่กับผม คุณต้องเอาภาพจากกล้องวงจรปิดมาให้ผม ผมถึงจะอนุญาตให้คุณพบวาดได้”

“ทำไมน้องวาดไปอยู่กับคุณได้ เรียกน้องวาดมาคุยกับฉัน!” ฉันทยาโวยลั่น ได้ยินอีกฝ่ายทำเหมือนยื่นหมูยื่นแมวก็กลัวว่าวาดตะวันจะเป็นอันตราย

“นั่นไม่ใช่ประเด็น คุณไปรอผมอยู่ที่โรงพยาบาลจังหวัด... ผมจะพาวาดไปรักษาตัวที่นั่น ไม่ต้องถามอะไรมาก เดี๋ยวคุณก็ได้เจอวาด”

อนิลตัดบท เขากำลังกลัวความจริงที่ตัวเองปฏิเสธที่จะเชื่อ ในเมื่อเขาปักใจคิดว่าวาดตะวันเป็นคนผิดมาตลอด ถ้าทุกอย่างสรุปว่าเขาเข้าใจผิดไปเอง คำว่าโง่คงตราติดฝังอยู่ในหัวเขาไปตลอดชีวิต

ความโง่ของเขา ทำร้ายคนรักของน้องชายอย่างนั้นเหรอ

ปลายนิ้วหนาลูบไปบนรอยแผลบนแก้มใส หากเป็นผู้หญิงคนอื่นคนร้องโวยวาย รับไม่ได้ที่หน้าตัวเองมีบาดแผล และอาจตอบโต้แม่เขาไปบ้างแล้ว ไม่ใช่ปล่อยให้แม่เขาทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียว เหมือนยอมรับทุกความเป็นไป

จะก้มหน้ารับทำไม ถ้าไม่ได้ทำผิด

“สรุปคุณมีอะไรปิดบังกันแน่วาด มันทำให้คุณต้องยอมเจ็บตัวขนาดนี้เลยหรือไง”

“ฝน”

เสียงรำพึงเบาๆ ผ่านริมฝีปากซีดคล้ายตอบความคาใจของอนิล ชายหนุ่มยืดตัวสูงขึ้น เมฆหมอกในใจกำลังถูกสายลมที่มาพร้อมฝนชะล้างความมืดบอดของเขา


แสงเรืองๆ ทำให้วาดตะวันต้องหยีตา ภาพผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนม้านั่งยาวข้างกระถางต้นผีเสื้อที่กำลังอวดดอก มือหนาของชายคนนั้นแตะกลีบดอกสีชมพูขาวอย่างแผ่วเบา ก่อนที่มันจะกลายเป็นผีเสื้อโบยบินขึ้นไปบนฟ้าต่อหน้าต่อตา

‘ฝน’

หญิงสาวยืนห่างจากวิฬุรไม่กี่ก้าว เธอกลัวว่าหากเข้าไปใกล้เขากว่านี้อีกสักก้าว ร่างของวิฬุรจะสลาย และกลายเป็นผีเสื้อเหมือนดอกผีเสื้อดอกนั้น

ใบหน้าอ่อนโยนของวิฬุรกันมองมา รอยยิ้มจากใบหน้าดูดี ไม่ว่าจะคิ้วเข้มดำ ดวงตาคมคาย หรือจมูกคมสัน รูปหน้าของวิฬุรยังคงตรึงในใจเธอ และมันชัดกว่าทุกวัน ในวันที่เขาพร้อมหายไปจากชีวิตของเธอ

‘มาทำอะไรตรงนี้วาด’

‘ฉันต้องถามฝนมากกว่าว่ามาทำอะไรตรงนี้’

วิฬุรแหงนหน้ามองฟ้าสีคราม ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ‘เราก็ไม่รู้วาด ไม่รู้อะไรเลย’

‘ฉันตามหาฝนแทบแย่เลยรู้ไหม ฉันมาที่รีสอร์ทของฝน แล้วก็...’

วาดตะวันจำได้ ว่าเธอรู้ว่าวิฬุรหัวกระแทกก้นสระ และเขาอาการเป็นอย่างไรบ้างเธอก็ยังไม่รู้

‘ที่นี่สงบดีนะ’ เสียงของวิฬุรหยุดสิ่งที่วาดตะวันกำลังทบทวน

‘ไม่เลยฝน ที่นี่ไม่เหมาะอะไรกับนายเลย’

ของเหลวสีแดงค่อยๆ ไหลออกมาจากหน้าผาก วิรุฬหัวเราะเบาๆ ในคอ ดวงตาค่อยเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิง ‘วาดจะมาสนใจเราทำไม’

‘เราเป็นเพื่อนกันนะฝน’

มือบางพยายามไขว่คว้าไปข้างหน้า เธออยากดึงวิรุฬออกมาจากฝันร้ายนี้ด้วยกัน แต่เพียงแค่ปลายนิ้วของเธอสัมผัสกับปลายแขนเสื้อของวิฬุร ร่างของวิฬุรก็พลันแตกสลาย ละอองเล็กยิบย่อยจากกระจายรวมกันเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่กำลังกระพือปีกสีสดใสขึ้นไปด้านบน

หญิงสาวมองเห็นปากของผีเสื้อตัวนั้นเคลื่อนขยับ และคำพูดคำหนึ่งก็ก้องกังวานอยู่ในหัวสะท้อนไปมา

‘สุดท้ายวาดก็ทิ้งเรา’


อาการเจ็บแล่นไปทั่วร่าง โดยเฉพาะบริเวณฝ่าเท้าทั้งสองข้างที่ระบมจนเธอนึกอยากนอนนิ่งๆ ต่อไป เปลือกตาบางเปิดขึ้นก็ทำได้แค่มองเพดานสีขาว และกลิ่นยาที่ลอยอยู่ในห้อง ไม่ต้องทำหน้าพิศวงถามใครก็รู้ว่าเธอกำลังนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล

ภาพในความฝันที่มีวิฬุรอยู่ก็ขอให้เป็นเพียงภาพฝันร้ายที่เธอสร้างมันขึ้นมาในความคิดเอง วาดตะวันอยากจะหลับตาลงเพื่อพักผ่อนอีกสักหน่อย ใครบางคนก็ชะโงกหน้าเข้ามาอยู่ในสายตา โครงหน้าที่มีเค้าคล้ายกันกับวิฬุรแต่ต่างกันตรงดวงตาที่ดุกว่า ปากบางที่เม้มมากกว่าจะยิ้ม และรอยหนวดจางๆ เหนือริมฝีปาก คนอย่างวิรุฬไม่มีทางปล่อยให้หนวดสักเส้นบนหน้าตัวเองออกอวดสายตาชาวบ้าน

“พี่พาวาดมาโรงพยาบาล แผลมันคงอักเสบ เมื่อคืนนี้วาดก็ไข้ขึ้น”

“คุณไม่ปล่อยให้ฉันตายด้วยพิษไข้เลยล่ะคะ จะช่วยทำไม พวกคุณน่าจะสะใจที่เห็นฉันเป็นอะไรนะ”

อนิลนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง เขาไม่รู้ว่าทำไมความโกรธเกรี้ยวแต่เดิมจะค่อยๆ มอดลงไป เพียงเพราะเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเจ็บหนักจนลุกไม่ขึ้น...จากฝีมือแม่ของตัวเอง อย่างนั้นเหรอ

ไม้แข็งเลยกลายเป็นไม้อ่อนจนได้ “พี่ขอโทษแทนแม่พี่ด้วย”

“ฉันสมควรจะได้รับแล้วล่ะค่ะ”

“มีคนส่งภาพจากกล้องวงจรปิดที่โรงแรมในคืนเกิดเหตุของฝนมาให้พี่เมื่อคืนนี้ เขาบอกว่าพี่ต้องดู” อนิลชูแผ่นกล้องวงจรปิดขึ้นมา วาดตะวันลุกพรวดพราดจนต้องร้องโอย ฝ่าเท้าของเธออยากกับถูกกรีดซ้ำลงตรงแผลเดิม มือหนาเอื้อมมาแตะบ่าบอบบางไว้ ไม่ให้หญิงสาวเคลื่อนตัวไปมากกว่านี้

“เขาบอกว่าวาดสั่งให้เขาตามสืบเรื่องนี้ ฝากพี่บอกด้วยว่าวาดควรกลับไปทำงานได้แล้ว”

“พี่เกี๊ยว” วาดตะวันครางอย่างจนปัญญา ทำไมซีดีแผ่นนี้ไม่มาให้เร็วกว่านี้ ฉันทยาจะให้เธอใช้มือเดินแทนเท้าหรือไร ตอนนี้อย่าว่าแต่เดินแบบ แค่เดินปกติเธอยังเคลื่อนไหวลำบาก

“เขารออยู่ข้างนอกกับใครก็ไม่รู้อีกคน”

อนิลนึกถึงใบหน้าที่แทบรี่มาต่อยหน้าเขาทันทีที่เห็นหน้า หากว่าเขาจะไม่ได้พูดจาสุภาพกลับไป นายตำรวจคนนั้นคงจับเขาไปแล้ว

วาดตะวันมองเท้าสองข้างของตัวเองแล้วกลืนน้ำลายลงคอ เศษกระเบื้องพวกนั้นไม่รู้ว่าจะส่งผลเสียระยะยาวกับการเดินของเธอไหม แต่ถ้าส่งผลจริง เธอจะแก้ไขอะไรได้ ณ ตอนนั้นที่เข้าไปห้ามไม่ให้เพชรีเหยียบเศษกระเบื้อง เธอก็คิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว

“พี่ลมดูหรือยังคะ” เพราะอีกฝ่ายเรียกชื่อเธอ น้ำเสียงไม่เหลือร่องรอยคลางแคลง เธอจึงเบาใจลง

“พี่ไม่ยอมแจ้งเรื่องนี้กับตำรวจ เพราะปักใจมาตลอดว่าฝนจงใจจะทำร้ายตัวเอง ไม่คิดว่าเรื่องจะเป็นอย่างนี้”

“เป็นยังไงคะ”

“อุบัติเหตุ เขาลื่นล้ม”

อนิลไม่อยากเปิดภาพอุบัติเหตุนั้นซ้ำสอง เขาสงสารน้อง และก็สงสารตัวเองที่โง่ปักใจอะไรง่ายดาย ผู้หญิงคนหนึ่งถึงได้รับเคราะห์กรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อ

คนเพิ่งรู้สาเหตุการบาดเจ็บของวิฬุรทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดแรง ทำไมตอนวิฬุรถึงไม่ระวังตัวเองบ้าง

“ข้อความในมือถือที่ฝนส่งหาวาดสรุปคืออะไร พี่อยากรู้”

“ฉัน...” น้ำเสียงเบาเงียบ และใช้เวลาคิดไม่นาน เธอก็ตอบออกไปได้คล่อง “ก็ไม่รู้ค่ะ ฉันกำลังทำงานตอนที่ข้อความนี้ส่งมาพอดี พี่ลมไปตรวจเช็คเวลาทำงานของฉันก็ได้ ถ้าไม่ไว้ใจฉันก็ถามพี่เกี๊ยว ถ้าไม่ไว้ใจพี่เกี๊ยวก็ถามเจ้าของงาน ฉันไม่มีเจตนาจะหลบเลี่ยงฝนเลย”

“พี่เชื่อวาด”

เท่านั้น คำง่ายๆ ที่วาดตะวันรู้สึกว่ากว่าจะได้รับความไว้วางใจจากอนิลเธอต้องใช้พละกำลังทางความคิดไปไม่น้อย หญิงสาวมองดวงตาดุของอนิลกลับไป ทั้งที่อยากหลบเลี่ยง เพราะเธอกำลังโกหกเขาเรื่องที่บอกว่าไม่รู้ ในเมื่อตอนนี้เธอรู้เหตุผลที่วิฬุรส่งข้อความนั้นมาแล้ว

ฝนอยากระบายหลังถูกแฟนทิ้ง...หนีไปแต่งงาน เธอจะพูดออกไปได้อย่างไร ‘แฟน’ ของวิฬุรเป็นผู้ชาย

วาดตะวันยิ้มขื่น หากเธอย้อนเวลาได้จริง สมัยมัธยมเธอจะกลับไปทำให้วิฬุรหลงรัก ไปทำให้เขามองไม่เห็นใครอื่นนอกจากเธอ เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิด ถึงเธอจะทดสอบคนทั้งโลก เธอจะไม่มีวันทดสอบวิฬุร มันไม่ใช่แค่ความวางใจ แต่เพราะว่าที่จริงมันมีความรัก และชื่นชมในตัววิฬุรซ่อนอยู่ในใจของเธอ

“คุณป้ารู้หรือยังคะ”

“แม่พี่ไม่เชื่อหรอก”

“ฉันไม่แปลกใจสักนิด” วาดตะวันรู้ว่าอารมณ์ของเพชรีรุนแรงขนาดนั้น จะให้คืนความระแวงกลับมาจูบปากพูดดีเป็นไปไม่ได้เลย “แล้วใครคะ อีกคนที่พี่ลมบอกว่ามาพร้อมพี่เกี๊ยว”

“เขาบอกว่าวาดเห็นก็จะรู้เอง”

ใคร? วาดตะวันคิดแค่นั้นก็เลิกคิด ผู้ชายในชีวิตเธอมีมากมายจนนึกไม่ออกว่าใครจะมาหาเธอในช่วงที่เธอกำลังลำบาก ผู้ชายส่วนใหญ่ที่เข้ามาล้วนเต็มใจช่วยเธอ เอาใจเธอ แต่ก็หวังผล จบลงที่เตียงกันทั้งนั้น โชคดีที่เธอไม่ได้โง่ขนาดอ่านสายตากระหายหิวของพวกเขาไม่ออก

“วาดไม่ควรกลับขึ้นไปอีก” ถึงอนิลอยากรับผิดชอบอาการบาดเจ็บของวาดตะวันมากแค่ไหน แต่การส่งวาดตะวันไปอยู่ใกล้มารดาเขา ก็เท่ากับพาเธอไปให้ถูกตบตี ถูกทำร้ายอีก

“ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันเป็นเพื่อนของฝน จะมาทิ้งเพื่อนในยามที่เพื่อนเจ็บได้ยังไงกัน”

“เพื่อน?” อนิลทวนซ้ำเพื่อให้ตนเองแน่ใจ

“ฉันกับฝนไม่เคยบอกความสัมพันธ์สนิทสนมของพวกเราให้ใครรู้ชัดเจน แต่พวกเราเป็นแค่เพื่อนเท่านั้นค่ะ พวกเราใส่ใจ ห่วงกัน สนิทกัน แต่เกินกว่าเพื่อนไม่ได้”

อนิลเองก็มีสายตาอ่อนลง ท่าทางแข็งกร้าวอยากเอาคืนหมดไป แทนที่ด้วยความรู้สึกผิดท่วมท้น ที่ผ่านมาวิฬุรไม่เคยบอกว่าวาดตะวันมีสถานะใด เขาเองเคยถามว่าไม่โกรธเหรอที่วาดตะวันควงหนุ่มน้อยใหญ่ไปเรื่อย น้องของเขากลับยิ้ม แล้วตอบกลับมาว่า

‘วาดเขาก็แค่อยากทดสอบความเป็นสุภาพบุรุษของผู้ชายไปเรื่อย ผมก็หวังว่าสักวันเขาจะหยุด และพบใครโดยที่ไม่ต้องทดสอบให้เหนื่อยอีก’

‘ก็มีเราอยู่แล้วไง จะทดสอบทำไม’

‘เป็นผมไม่ได้หรอกพี่ลม สำหรับพวกเราทั้งคู่...เพื่อนที่ดีที่สุด คือสถานะระหว่างผมกับวาด’

เขาตีความคำว่า ‘เพื่อนที่ดีที่สุด’ ผิดมาตลอด

“สรุปเรื่องทั้งหมดพี่ลมต้องรับผิดชอบ ฉันเจ็บก็เพราะความเข้าใจผิด ฉันคงเดินแบบไม่ได้อีกพักใหญ่ ดีไม่ดี ถ้ารักษาไม่ดี อาจจะส่งผลกับการเดินแบบไปตลอดชีวิตของฉัน พี่ลมจะมาปัดภาระไม่ได้”

“วาด!” อนิลกดเสียงต่ำ เขาเริ่มเห็นอีกฝ่ายเป็นน้องนุ่ง แต่คงจะเป็นน้องที่อ่านออกยาก และไม่รู้ว่าในหัวคิดอะไรบ้าง บทจะแข็งไม่ยอมก็ค้านหัวชนฝา บทจะอ่อนเป็นไม้ล้มลุก ก็ยอมให้แม่เขาทุบตี ทำร้ายเข้าโรงพยาบาลโดยไม่ร้องสักกะนิด

วาดตะวันเป็นคนแบบไหน เห็นจะมีวิฬุรที่ดูจะรู้จักดีอยู่แค่คนเดียว...คนสองคนที่ปากบอกว่าไม่ใช่เพื่อน แต่รู้จักกันดี มากกว่าคนรักบางคู่เสียอีก

“พี่ไม่ตกลงอะไรในตอนนี้ทั้งนั้น”

“หรือเพราะว่าพี่ลมไม่มีความสามารถพอจะดูแลฉันกันแน่คะ ผู้หญิงคนหนึ่งพี่ลมจะปกป้องเขาจากแม่เขาไม่ได้หรือไง”

“พี่ไม่ใช่ผู้ชายที่จะให้วาดมาทดสอบเหมือนผู้ชายคนอื่น”

นางแบบสาวกระตุกยิ้มมุมปาก คิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้น แสดงออกถึงความเป็นต่อ “ฝนเล่าให้ฉันฟังว่าพี่ลมเคยมีบาดแผลเรื่องผู้หญิงมาก่อน”

ตอนนั้นเพราะวิฬุรเปรียบเปรยว่าเธอเป็นคนมีปมในใจเรื่องความรัก เรื่องผู้ชาย วิฬุรจึงเอ่ยกับเธอว่า

‘พี่ลมก็เป็นเหมือนกัน ตอนบ้านเราไม่เหลืออะไร ตอนนั้นพี่ลมยังเรียนไม่จบ แฟนที่คบกันตอนนั้นก็เลิกกับพี่ลมทันทีเพราะรับไม่ได้ ที่จู่ๆ บ้านเราจะมีหนี้ก้อนโต’

“ฉันจะไม่ทดสอบคนที่ยอมให้ฉันเข้าไปในหัวใจง่ายๆ แต่ถ้ายิ่งได้หัวใจของเขามายาก ฉันยิ่งอยากทดสอบขีดจำกัดของกำแพงคนๆ นั้นว่ามันสูงลิบลิ่วขนาดไหน” วาดตะวันโกหก เธอไม่ค่อยเล่นกับมนุษย์ใจแข็งเท่าไหร่ คนประเภทนั้นคล้ายกับเธอจนเกินไปและหากเป็นเขาที่เข้ามาในใจเธอได้ นั่นออกจะน่ากลัว เพราะเธอไร้ซึ่งหนทางในการรับมือ

แต่ที่พูดไปทั้งหมดก็เพื่อให้อนิลอมให้เธอกลับไปอยู่ในรีสอร์ทเท่านั้น

“อย่าทำอย่างนี้กับใครอีก วาดสัญญามาได้ไหม”

“อย่างนี้คืออย่างไหนคะ” หญิงสาวจงใจยิ้มหวานหยด กะพริบตาปริบ ให้ขนตางอนยาวแสนงามของตนดึงสายตาคมดุไว้ได้

อนิลยืดกายตรง เขาส่ายหน้าให้กับรอยยิ้มทรงเสน่ห์ของวาดตะวัน ขนาดบนหน้ามีรอยแผลอยู่ ก็ไม่ได้ทำให้ดวงตากลมโตลึกลับคู่นั้นลดเสน่ห์น้อยลงไป ผู้ชายกี่รายๆ ถึงได้ศิโรราบแทบเท้าเจ้าหล่อน

“อย่าทำ...” อนิลขมวดคิ้วคิด เพื่อจะให้วาดตะวันหยุดยิ้มหว่านเสน่ห์อย่างถาวร “หน้าหมายิ้มอีก”

รอยยิ้มหวานหายวับ วาดตะวันหันมองทางอื่นด้วยความอับอาย เสน่ห์ที่เธอเพียรสร้างถูกปากของพี่ชายเพื่อนรักของเธอเหยียบย่ำไม่มีชิ้นดี

ผู้หญิงสวยๆ ยิ้มให้ เขากลับเปรียบรอยยิ้มของเธอได้เหมือนคนที่ใช้ตาตุ่มมอง!


โดนพักงาน เกือบจะกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตของประกายพรึกแห่งจักรตรากูลไปเสียแล้ว นายตำรวจเช่นเขามักทำตัวงัดข้อกับพวกนักเลงโตบ่อยๆ ขอให้ขัดแข้งขัดขาได้นิดได้หน่อยมีแต่จะเพิ่มความภาคภูมิใจให้กับการงานของเขา แต่ก็ไม่ได้มีคนเห็นพร้อมต้องกันกับเขาสักเท่าไหร่นักหรอก คดีล่าสุดเกี่ยวกับโรงงานยาเสพติดในพื้นที่ของเขา เขาก็ไปทลายมา แต่คงทลายไปเจอตอใหญ่เข้า เจ้านายที่ยังอยากรักษาชีวิตลูกน้องอย่างเขาไว้จึงสั่งพักงาน ไม่ให้แตะต้องงานราชการไปพักใหญ่

และการมาจังหวัดทางเหนือ หลังถูกผู้จัดการของพี่สาวขอร้องให้มา ประกายพรึกก็คิดว่าตัวเองพบเรื่องเข้าอีกแล้ว

สตรีที่วัยไม่น่าเกินสามสิบต้นๆ แต่แต่งองค์ทรงเครื่องด้วยชุดผ้าไหม ใบหน้ามีเครื่องสำอางหนาจนดูมากกว่าอายุจริง บริเวณศีรษะขมวดผมไว้ และปักด้วยช่อดอกแก้วเล็กๆ ทุกอย่างดูปกติ เจ้าหล่อนยิ้มแย้มทักทายบรรดาหมอพยาบาล ที่ดูเกรงอกเกรงใจเป็นพิเศษ ก็หล่อนคือ...แม่เลี้ยงเคียงฟ้า เศรษฐีนีม่ายสาวที่สามีล้มป่วยไปเมื่อต้นปีก่อน ก่อนจะเสียชีวิตไปตอนกลางปี ธุรกิจหลายอย่าง รวมทั้งบุตรชาย บุตรสาวอย่างละคนที่เป็นลูกติดจากสามีก็อยู่ในความดูแลของเธอ

“บังเอิญจังเลยนะคะลม ที่เรามาเจอกัน” เสียงหวานรื่นหูกล่าวออกมากับร่างสูงที่เพิ่งออกมาจากในห้องพักคนไข้ ประกายพรึกยืนรอดูห่างออกไปไม่กี่ก้าว

“ครับ”

“ฟ้าได้ข่าวว่าลมพาคนที่ทำร้ายฝนมารักษาตัวที่นี่”

ร่างสูงกำมือเข้าหากันแน่น “แม่ผมบอกคุณมาใช่ไหม”

“ลมไม่โกรธที่เขาทำร้ายฝนแล้วเหรอคะ” แม่เลี้ยงสาวไม่ตอบ แต่เลือกถามแทน

“ผมไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไรถึงพยายามมายุ่มย่ามในครอบครัวของผม” อนิลกล่าวเสียงเย็น เขาไม่อยากแม้แต่จะมองใบหน้าอ่อนหวานที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้เขารักอย่างหน้ามืดตามัว “แต่ผมจัดการครอบครัวของผมเองได้”

“ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ครอบครัวของลมนะคะ” เคียงฟ้ายังคงยิ้มแย้ม ไม่สะเทือนกับการออกปากไล่ของอนิล ผู้ชายคนนี้มั่นใจว่าตัวเองรู้จักดีกว่าใคร!

“ผมนับวาดตะวันเป็นน้องได้ ไม่ต้องให้ใครมาแนะนำว่าควรนับใครเป็นครอบครัวหรอกครับ”

หน้าของเคียงฟ้าชา เธอหาเสียงตัวเองไม่เจอ น้ำเสียงห้าวจากผู้ชายอีกคนก็ชกเธอด้วยคำพูดอีกหมัด

“คุณลมเขากำลังบอกว่าพี่วาดน่าคบหากว่าคุณไงครับ”

ประกายพรึกยิ้มรื่นรมย์เมื่อแม่เลี้ยงเคียงฟ้าทนอยู่ให้ชายสองคนรุมขับไล่ต่อไปไม่ไหว จึงเลือกเดินออกไปเองโดยไม่มีการกล่าวอำลา

“ผู้หญิงคนนั้นเขาอยากได้คุณนะ” ตำรวจหนุ่มพยักพเยิดไปยังบุคคลที่เดินออกไป สายตาคมกริบลอบมองปฏิกิริยาของอนิล ว่าจะแสดงออกมาอย่างไร

“ผมไม่สนใจ”

“ผมได้ยินมาว่าธุรกิจของแม่เลี้ยงเคียงฟ้าถือเป็นระดับผู้มีอิทธิพลของจังหวัดได้เลย บุญเก่าสามีเธอเยอะ พอสิ้นบุญสามี คนอย่างเธอก็คงจะหาขอนไม้ใหม่เกาะ ไม่ช้าไม่เร็วนี้แน่” ประกายพรึกเดินไปใกล้ประตูห้องพักของพี่สาว อดไม่ได้ที่จะหันมาเตือนอนิล “ถ้าคุณกับเธอรวมกันเป็นหนึ่งได้จริง ทั้งจังหวัดนี้ก็จะเป็นของพวกคุณทั้งหมด แต่มันจะดีกว่าไหมถ้าก่อนที่เธอจะรวมกับคุณ จะกำจัดส่วนแบ่งในส่วนของคุณให้หายไปหนึ่ง”

“ฝนเกิดอุบัติเหตุ” อนิลอยากจะบอกว่าอีกฝ่ายกำลังปรักปรำคนโดยไร้หลักฐาน แต่บุคลิก และลักษณะการพูดของคู่สนทนาทำให้เขาคิดว่าคนตรงหน้ามีความน่าเชื่อถือไม่น้อย

“อุบัติเหตุอาจจะเกิดไปแล้วจริงอยู่ แต่ที่ไม่หาย อาจเกี่ยวเนื่องจากกระบวนการรักษาก็ได้นะครับ”

“กระบวนการรักษา?”

ประกายพรึกปล่อยให้อนิลคิดต่อไปด้วยตัวเอง ส่วนเขาก็ต้องเข้าไปในห้องเพื่อพบพี่สาวในสภาพที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน เห็นวาดตะวันเจ็บตัว หน้าช้ำอย่างนี้ เขายิ่งต้องรีบช่วยวิฬุร เขาทำคดีมามาก ถึงเรื่องที่บอกกับอนิลจะถือเป็นเรื่องหนึ่งที่เขาสันนิษฐาน แต่หากมันเป็นเรื่องจริง วิฬุรก็อยู่ในอันตราย และจะไม่ใช่แค่วิฬุร หากวาดตะวันยังข้องเกี่ยวอยู่กับอนิล

อันตรายอาจมาหาพี่สาวเขาโดยไม่รู้ตัว ในเมื่อลูกเลี้ยงของเคียงฟ้าเคยถึงกับยื่นเรื่องมาที่กรมตำรวจเพื่อให้สืบหาสาเหตุการตายของพ่อตัวเอง พวกเขาไม่วางใจว่าจะเป็นการเสียชีวิตโดยธรรมชาติ แต่คนในกรมตำรวจกลับไม่มีใครสักคนที่จะกล้ายื่นมือเข้ามายุ่ง ได้แต่โยนเผือกร้อนไปไกลๆ ไม่รับทำคดีนี้

ในเมื่อตอนนี้เขาว่างๆ อยู่ เขาก็ควรทำหน้าที่ตำรวจให้ดี และเป็นน้องชายที่คอยช่วยเหลือพี่สาวจากภยันตราย

“มาได้ยังไงพรึก”

“พี่เกี๊ยวเขาบอกให้ผมขึ้นมาเป็นเพื่อน เพราะไม่ไว้ใจคนที่รับโทรศัพท์พี่วาดเมื่อวานนี้ ตอนนี้พี่เกี๊ยวก็ทำเรื่องหาที่พักในเมืองอยู่ คงกะลากพี่กลับไปทำงานให้ได้แน่ๆ”

ประกายพรึกเดินมาสำรวจอาการพี่สาว ได้แต่ส่ายหน้า “ผมรู้สึกว่าพี่เพิ่งมาถึงที่นี่เมื่อวานนี้เองนะ ทำไมเจ็บตัวขนาดนี้”

“พี่ไม่ระวังตัวเอง”

“หรือจงใจเจ็บตัวเพื่อให้ได้อยู่ที่นี่ต่อ” ประกายพรึกสวนกลับอย่างรู้ทัน ยิ่งพี่สาวมองค้อนวงโตกลับมา คนเป็นน้องก็ได้แต่ส่ายหน้า

“เรื่องมันไม่ได้ง่ายหรอกนะพี่วาด ต่อให้พี่เก่งแค่ไหนก็ต้องระวังตัวเองไว้บ้าง ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเรา”

วาดตะวันสบตากับน้องชาย รู้ว่าอีกฝ่ายห่วงตัวเองมากแค่ไหน แต่การที่วิฬุรเกิดเรื่อง จนล้มป่วยอย่างนี้เธอก็ทอดทิ้งเขาไว้ไม่ได้จริงๆ ให้วิฬุรตื่นขึ้นมาเคว้งคว้างหาเธอไม่พบอีกอย่างนั้นเหรอ เธอทำไม่ได้

“ขอบคุณที่มานะพรึก”

“ขืนไม่มาพี่ขุนพี่เขียนได้โยนผมลงทะเลแน่”

วาดตะวันเป็นน้องสาวที่รักษ์ชาติรัก และยังเป็นพี่สาวที่เขียนจันทร์เคารพรัก ลองเขาดูแลวาดตะวันไม่ดีสิ สองสามีภรรยาคู่นั้นต้องส่งเด็กร้ายกาจอย่างกองพันมาให้เขาเลี้ยงอีกแน่ เด็กอะไรไม่รู้ยิ่งโตยิ่งร้ายกาจเหมือนพ่อ!


.......................................................

คุณ โอชิน เรื่องนี้พี่ลมยังฉลาดได้เร็ว ฮา รู้แล้วอย่างนี้เรื่องจะเป็นยังไงต่อ ต้องรอนะคะ เหมือนปมเพิ่งจะเริ่ม ส่งน้องชายกลับมาแล้วนะคะ :)

ขอบคุณทุกไลค์ และนักอ่านเงาทุกท่านค่า ^^



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ม.ค. 2558, 12:10:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ม.ค. 2558, 12:10:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 1125





<< บทที่ 3   บทที่ 5 >>
konhin 6 ม.ค. 2558, 13:57:26 น.
เย้ ในที่สุดก็โล่งอกไปได้ระดับหนึ่ง สู้ๆ นางเอกแกร่ง เก่ง ชอบบ


โอชิน 6 ม.ค. 2558, 18:33:26 น.
รอดูฤทธิ์เดชน้องวาดค่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account