ตะวันต้องลม
เขาคิดมาเสมอว่าทุกอย่างที่เกิดกับน้องชายเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น!
และเธอต้องรับผิดชอบ เขาจะทำให้คาสโนวี่อย่างเธอรักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น
เธอคือเป้าหมายที่เขาต้องพิชิต
แม้ว่าตะวันดวงนี้จะเป็นตะวันที่ร้อนแผดเผา และไม่ได้ความรักมาง่ายๆ
แต่ลมอย่างเขาก็ไม่หวั่น เขาจะเป็นลมพายุที่พัดกลุ่มเมฆมาบดบังแสงตะวันของเธอให้ได้!
เมื่อดึงตะวันคล้อยต่ำลงได้เมื่อไหร่ เขาจะปล่อยเธอทิ้งร่วงลงสู่พื้นดิน
และเธอต้องรับผิดชอบ เขาจะทำให้คาสโนวี่อย่างเธอรักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น
เธอคือเป้าหมายที่เขาต้องพิชิต
แม้ว่าตะวันดวงนี้จะเป็นตะวันที่ร้อนแผดเผา และไม่ได้ความรักมาง่ายๆ
แต่ลมอย่างเขาก็ไม่หวั่น เขาจะเป็นลมพายุที่พัดกลุ่มเมฆมาบดบังแสงตะวันของเธอให้ได้!
เมื่อดึงตะวันคล้อยต่ำลงได้เมื่อไหร่ เขาจะปล่อยเธอทิ้งร่วงลงสู่พื้นดิน
Tags: อนิล วาดตะวัน วิฬุร ดราม่าโรแมนติก
ตอน: บทที่ 5
“หลอดยาพวกนี้ผมรวบมาหมด” นิ้วหนาหยิบซองยาในซองพลาสติกขึ้นมา ภายในบรรจุหลอดยาขนาดเล็กอยู่สามหลอด ไว้ใช้ฉีดเข้าสายน้ำเกลือ “ผมว่าจะลงกรุงเทพฯ ไปให้เพื่อนที่เป็นหมอช่วยดูให้หน่อย”
“ลำบากนายหน่อยนะกบินทร์”
หนุ่มรุ่นน้องยิ้มรับ ดวงตายังคงมีร่องรอยของความเศร้า “ตอนที่ผมเข้าไปเห็นพี่ฝนนอนอยู่อย่างนั้น มันเจ็บมากเลยนะครับ”
วาดตะวันก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเอง คิดทบทวนไปมาอยู่หลายครั้ง เธอก็เห็นแต่ประโยชน์ ถึงตอนที่เข้าไปเหยียบเศษกระเบื้องแทนแม่ของวิฬุรเธอจะคิดไม่ทัน แต่พอมานอนนิ่งๆ ในโรงพยาบาล ความคิดหนึ่งก็แจ่มชัด เธอสามารถดูแลวิฬุรได้ โดยเฉพาะในสภาพที่เท้ายังเจ็บ
“ถ้ามีอะไรก็อย่าลืมแจ้งฉันกลับมาด้วยนะ”
“ครับ” กบินทร์มองสภาพวาดตะวันแล้วไม่นึกอยากให้รุ่นพี่ในวงการคนนี้ขึ้นไปเสี่ยงอีก “แล้วจากนี้พี่วาดจะทำยังไงต่อครับ”
“ฉันจะอยู่ข้างๆ ฝน จะไปก็ต่อเมื่อวางใจว่าฝนจะตื่นขึ้นมา”
“ถ้าพี่วาดไม่เคยบอกว่าพี่วาดเป็นแค่เพื่อนพี่ฝน ผมคงคิดว่าพี่วาดรักพี่ฝนนะครับ”
“นายก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้” วาดตะวันเชิดหน้าตอบ เวลานี้สิ่งเดียวที่ทำได้คือช่วยเหลือวิฬุร เรื่องความรู้สึกต้องห้ามพวกนั้นเธอได้แต่ดันมันกลับเข้าที่เดิม จะรู้สึก หรือไม่รู้สึก อย่างไรวิฬุรก็คือเพื่อน และเธอก็อยากจะเห็นเพื่อนกลับมายิ้มหรือหัวเราะได้ มากกว่าจะมาสนใจความรู้สึกของเธอ
“พี่วาดต้องดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
“นายก็เหมือนกัน”
หลังจากกบินทร์ออกไปเพื่อจัดการธุระที่ว่าไว้ วาดตะวันก็นอนเหม่อมองเพดานห้องนิ่ง หญิงสาวเพิ่งรู้สึกตัวว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นเธอไม่ดูแลความรู้สึกของตัวเองขนาดไหน หลายครั้งที่คนบอกว่าไม่เป็นอะไร ไม่ต้องห่วง อยู่ได้...บางทีก็แค่บอกตัวเองไปอย่างนั้น
ประตูห้องเปิดออก ร่างเล็กของหญิงวัยสามสิบตอนปลายโผล่หน้าเข้ามายิ้มแย้ม มือชูกล่องอาหารที่เจ้าตัวตั้งใจคัดสรรมาให้
“สลัดผักสดๆ จากสวนค่ะน้องวาด ผักกรีนโอ๊ค เรดโอ๊คของโปรดน้องวาดก็มีนะคะ”
วาดตะวันลุกขึ้นนั่ง ห้อยขาลงจากเตียง ตอนนี้เธอพอที่จะเดินได้เองบ้างแล้วด้วยการฝึกเดินในห้อง มีแปลบปลาบอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ร้ายแรงอะไร ส่วนแผลบนหน้าก็เริ่มแห้ง เธอไม่อยากออกไปฝึกข้างนอก และเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกกับหมอว่าเธอดีขึ้นแล้ว และคงจะหายสนิทในเร็ววัน...ในเมื่ออาการบาดเจ็บยังมีประโยชน์ เธอก็ต้องใช้มันให้คุ้มค่า
สาวโสดมาดห้าวกุลีกุจอจัดสลัดเทใส่จาน และนำมาวางไว้ยังโต๊ะคนไข้ วันแรกที่ฉันทยามาเห็นบาดแผลและอาการของนางแบบในความดูแลก็แทบเป็นลม ไม่คิดไม่ฝันว่าวาดตะวันที่ดูดีตลอดเวลา เริ่ดๆ เชิดๆ ไม่เคยทำให้เธอเป็นห่วง จะมีสภาพอย่างนี้ได้ พอคิดถึงงานที่ต้องยกเลิกไปในช่วงที่วาดตะวันรักษาตัว เธอก็ได้แต่ถอนใจ ทำอย่างไรได้ วาดตะวันให้โอกาสเธอดูแลงานให้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ถือว่าเผชิญเรื่องราวมาด้วยกันไม่น้อย แม้แต่วิฬุรเธอเองก็รู้จักดี จะให้ทิ้งเพื่อนของวาดตะวันไปอย่างคนเห็นแก่ตัวนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
“น้ำสลัดใสอันนี้คุณลมทำเองเลยนะคะ พอพี่บอกว่าน้องวาดชอบอะไร เขาก็หามาให้เลย”
ชื่อของ ‘อนิล’ ทำให้วาดตะวันแปลกใจ สองวันมานี้เธอพบว่าอนิลจะส่งของมาเยี่ยม ส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์จากไร่เขา ฝากคนมาเยี่ยมไม่ได้ขาด เหมือนเขานึกอะไรออกก็จะสั่งคนให้เอามาให้ แม้แต่ดอกไม้ ก็มีหลายชนิดที่กำลังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ในห้อง ทั้งดอกฟอร์เก็ตมีนอต ดอกเดซี่ หรือกุหลาบขาว เห็นจะยกเว้นดอกผีเสื้อ อย่างกับเขารู้ว่าถ้าส่งมาแล้วเธอจะคิดถึง...ใคร
“ไม่เห็นต้องลำบากเลยนะคะ”
“คุณลมบอกว่าเป็นเซอร์วิสให้ลูกค้าค่ะ”
ลูกค้า...หรือชดเชยที่เข้าใจผิด วาดตะวันส่ายหน้าด้วยความขบขัน หยิบส้อมมาจิ้มผักสดในจานที่ราดน้ำสลัดใสเข้าปาก ความกรอบของผัก และน้ำสลัดที่มีรสเปรี้ยวหวานลงตัว เป็นรสชาติที่ให้ความรู้สึกสดใหม่จากไร่จากสวนจริงๆ
“อร่อยใช่ไหมคะ พี่ล่ะอยากเป็นลูกค้าบ้างเลย”
“ผลไม้เต็มห้อง พี่เกี๊ยวก็ช่วยๆ กินหน่อยเถอะค่ะ ทิ้งไว้เดี๋ยวเน่า” วาดตะวันโยนเรื่อง ‘ลูกค้า’ ไปให้ไกลตัว แสดงความใจกว้างแบ่งทุกอย่างที่อนิลนำมาให้อย่างไม่หวงก้าง
“น้องวาดล่ะก็ ผู้ชายเขาเอาของมาให้เยอะแยะ ไม่กี่ชั่วโมงทีหนึ่งอย่างนี้ ไม่รู้ว่าคิดอะไรหรือเปล่า” ฉันทยาไอแห้งๆ เมื่อเห็นสายตาดุของวาดตะวัน ปรามเธอตั้งแต่เริ่มคิด ‘จับคู่’ เลย “สตรอเบอร์รี่ดูซ้ดสดนะคะ” คนตัวเล็กปลีกไปหาสตรอเบอร์รี่แก้เก้อ
วาดตะวันหัวเราะหึ กลับมาสนใจสลัดผักสดๆ ตรงหน้าต่อ ที่ผ่านมาไม่ใช่ไม่เคยเจอผู้ชายมาทำดีด้วยเสียหน่อย อีกอย่างอนิลเองก็คงรู้สึกผิดจริงๆ ถึงได้คอยคิดถึงได้ไม่ว่างเว้น ยังดีที่ไม่โผล่มาเป็นตัวๆ ให้เธอเอียนกับชื่อของเขา
“วันนี้ฉันจะออกจากโรงพยาบาลนะคะพี่เกี๊ยว”
“แต่ว่า...”
พยาบาลเคาะประตูยุติบทสนทนาของทั้งสอง วาดตะวันผลักโต๊ะสลัดให้ไกลตัว ล้มตัวลงนอน และห่มผ้าคลุมขาได้ในเวลาไม่กี่วินาทีทันร่างของพยาบาลเดินเข้ามา
ฉันทยากลืนสตรอเบอร์รี่ลงคอเอื๊อกหน้าตาเขียวคล้ำ ไม่ทันตั้งตัวว่าจะมีพยาบาลเข้ามาทันด่วน พยาบาลวัยกลางคนไม่ได้จับท่าทีแปลกประหลาดของคนเฝ้าไข้ สายตายิ้มแย้มมองมายังคนไข้ที่ทำหน้าซีดเซียว
“วัดความดันหน่อยนะคะ”
“ทำไมฉันยังเดินไม่ได้คะ” ประโยคเรียบง่ายเปลี่ยนบรรยากาศในห้องให้ยะเยือก วาดตะวันตีหน้าโศก “ฉันต้องพิการใช่ไหมคะ”
“คุณหมอเอ็กซเรย์แล้วไม่พบความผิดปกตินะคะ เศษกระเบื้องที่บาดไม่ถูกเส้นเลือดร้ายแรง”
“แล้วทำไมฉันยังเดินไม่ได้คะ” หญิงสาวส่งสายตาให้ฉันทยา ยักคิ้วโก่งเข้มให้ทีนิดหนึ่ง โดยไม่ทันเห็น
ฉันทยาทำมือโอเคลับหลังพยาบาล ปรี่มาสำทับให้เหตุการณ์เลวร้ายมากขึ้น “ถ้าที่นี่รักษาน้องวาดไม่ได้ เราก็ต้องออกนะคะ นางแบบอย่างน้องวาดถ้ามีข่าวออกไปว่าเดินไม่ได้ ชื่อเสียงของน้องวาดคงจะ...”
ประโยคที่ควรต่อยาวหยุดฉับ เพราะวาดตะวันส่งสัญญาณด้วยการถลึงตาให้เงียบ ขืนพูดออกไปมากกว่านี้เรื่องของเธอต้องหลุดไปตามหน้าข่าวหนังสือพิมพ์อย่างไม่ต้องสงสัย
คนเจ็บถอนหายใจแผ่วเบา สีหน้าคงความกลัดกลุ้มไว้ “คุณพยาบาลคะ ฉันไม่มีกำลังใจที่จะรักษาตัวต่อที่นี่”
“ขอดิฉันแจ้งคุณหมอก่อนนะคะ แต่คุณคนไข้ต้องมีกำลังใจเข้าไว้นะคะ ไม่มีอะไรสำคัญกว่ากำลังใจของเรา”
คุณพยาบาลแสดงออกถึงความห่วงใยสมกับอาชีพ เร่งเดินออกไป โดยไม่รู้ว่ามีรอยยิ้มลึกลับของคนไข้เจ้าแผนการไล่ตามหลัง ฉันทยาทำหน้าคร่ำเคร่ง ถึงตัวเองจะช่วยก็ยังอ่านความคิดของวาดตะวันออกไปไม่ได้ทั้งหมด
“ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ทำไมถึงเดินไม่ได้นะ”
เสียงพยาบาลที่คุยกันผ่านหูของอนิลไป ชายหนุ่มหยุดเดินเพื่อเหลียวหลังกลับไปเรียกพยาบาลทั้งสอง ลางสังหรณ์เขาทำงานค่อนข้างไว
“ขอโทษนะครับคุณพยาบาล”
“มีอะไรให้ช่วยคะ” พยาบาลสองคนนั้นหันกลับมา หนึ่งในสองคนถามอย่างเป็นงานเป็นการ
“ที่บอกว่าเดินไม่ได้ คนไข้ห้องอะไรครับ”
“เป็นความลับของคนไข้นะคะ”
อนิลไม่สนใจ “ใช่ห้องสามหนึ่งเก้า ตึกนี้หรือเปล่าครับ”
“คุณรู้จักเธอเหรอคะ” พยาบาลอีกคนถาม หน้าตาประหลาดใจ “เขาขอออกจากโรงพยาบาลไปเมื่อสายนี้เองค่ะ ถ้าคุณรู้จักเธอ บอกเธอด้วยนะคะว่าอย่ายอมแพ้”
อย่ายอมแพ้...เดินไม่ได้
ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีสายฟ้าฟาดใส่กลางวันแสกๆ ทำไมสองวันมานี้เขาไม่ระแคะระคายอาการของวาดตะวันเลย แล้วจู่ๆ เธอปุบปับจะออกไปก็ไม่มีการบอกกล่าวกับเขาสักคำ อยากให้เขารู้สึกผิดไปจนตัวตายเลยหรือไง
วาดตะวันจะทิ้งวิฬุร และทิ้งความผิดที่เขาทำให้เธอเดินไม่ได้ใช่ไหม ร้ายกาจ!
อนิลกำช่อดอกคาร์เนชั่นแน่น กำลังคิดจะทิ้งลงถังขยะ โทรศัพท์ของเขาก็ดังเสียก่อน ชื่อผลิใบ ทำให้อนิลรีบกดรับ อีกครั้งที่ลางสังหรณ์ของเขาทำงาน
“มีใครไปเอารถไหม”
“ไอ้นี่มีตาทิพย์เว้ย เออ ที่ฉันโทรหาแกเพื่อจะบอกว่าคุณเขามาขอดูรถ แกจะให้ฉันเอารถให้เขาเลยไหม ฉันจำได้ว่าแกให้ถ่วงไว้ให้”
“ประเสริฐ แกถ่วงให้ฉันก่อน ฉันมีเรื่องจะเคลียร์กับเขา” ก่อนวางสายอนิลเอะใจ รู้สึกว่าเรื่องนี้ออกจะแปลก “วาดเขามากับใคร เป็นยังไง เศร้าไหม”
“นั่งรถเข็น กับผู้ชายคน ผู้หญิงคน”
ผู้ชาย? ดูท่าจะมีคนปลอบใจได้เร็ว อนิลพรูลมหายใจโล่งอก เอาเถอะ จะมีใครมาปลอบใจอีกก็ช่าง แต่ในส่วนที่เขาต้องรับผิดชอบแทนแม่ของเขาก็จำเป็นต้องมีอยู่ เขาเป็นคนทำอะไรแล้วต้องรับผิดชอบ
จะหนีไปง่ายๆ อย่างที่วาดตะวันตั้งใจ เขาไม่อนุญาต!
วาดตะวันกำลังหรี่ตามองรถคันโปรดของเธอ ตรงสีที่ถลอกมีช่างช่วยกันโป๊ะให้อย่างขะมักเขม้น หลายนาทีที่เธออดทนรอคำแก้ตัวของเจ้าของอู่รถว่าจะแก้ตัวอย่างไรที่ปล่อยรถเธอทิ้งไว้นาน แล้วเพิ่งจะมาทำให้เอาป่านนี้
“อย่าโกรธนะพี่วาด” ประกายพรึกพูดเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคน
“ไม่ได้โกรธ”
“แล้วต้องกัดฟันพูดเนี่ยนะ” เสียงห้าวที่ไม่ใช่เสียงของประกายพรึกทำให้วาดตะวันหันขวับไปมอง หญิงสาวตีหน้าเรียบ ไม่รู้สึกรู้สาต่อการมาของเขา “วาดเสียมารยาทนะที่ไม่บอกกับพี่สักคำว่าจะออกจากโรงพยาบาล”
“ให้ผมอยู่ช่วยอะไรไหม” ประกายพรึกถามพาซื่อ สังเกตพบว่าอนิลกำลังมองเขาอย่างจับสังเกตอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน การที่อีกฝ่ายไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน ก็ดีเหมือนกัน นายตำรวจหนุ่มลอบหัวเราะอยู่ในใจ
“ช่วยไปเร่งให้เขาคืนรถให้พี่ที”
“คงไม่เสร็จง่ายๆ หรอกครับ จะวันนี้ มะรืน สัปดาห์หน้า ก็ยังไม่เสร็จ” อนิลเอ่ยดับความหวัง เข้ามายืนตรงหลังรถเข็นที่วาดตะวันนั่งอยู่ ส่งสายตาไล่ให้ประกายพรึกไปไกลๆ ซึ่งฝ่ายหลังก็ไหวไหล่ ทำหน้ากวนจากไป
อนิลเห็นว่าประกายพรึกเดินไปไกลแล้วจึงกลับมาสนทนากับวาดตะวันต่อ “เดินไม่ได้ แล้วจะขับรถได้เหรอวาด”
“พี่ลมบอกว่าฉันไม่ควรกลับไป”
“แต่อย่างน้อยก็ควรให้พี่รับผิดชอบในความเข้าใจผิดของพี่ ถ้าพี่ไม่ปักใจเชื่ออะไรผิดๆ ไม่เอาข้อความนั้นให้แม่พี่ดู แม่พี่ก็คงไม่ทำร้ายวาด”
วาดตะวันซ่อนรอยยิ้ม เธอกำลังจะได้สิ่งที่ต้องการในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว อาการอย่างนี้ที่เธอต้องการจากอนิล แต่จะว่าไปผู้ชายดุๆ ที่เธอเคยได้ยินมาจากวิฬุรก็ค่อนข้างแตกต่าง เมื่อเธอได้รู้จักอนิลในวันนี้
“พี่ลมชดเชยความผิดหมดแล้วล่ะค่ะ ไม่มีอะไรต้องเสียใจ”
“พี่ไม่สบายใจ พี่จะหาหมอมารักษาวาดจนกว่าจะหาย”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ อย่างมากก็เป็นนางแบบไม่ได้แล้ว”
ทำให้รู้สึกผิดมากๆ ทีนี้เวลาขออะไรจะได้ง่ายๆ วาดตะวันกลั้นเสียงหัวเราะให้ดังลั่นภายในใจ ความมากเล่ห์มากกลเหล่านี้เธอบ่มเพาะตัวเองมาแต่เกิด
แต่เด็กเธออยู่กับรักษ์ชาติ ผู้ชายร้ายกาจที่คอยกลั่นแกล้งบรรดาน้องๆ ของเธอเสมอ เธอเองก็ไม่ใช่ฮีโร่สาวอะไรถึงจะได้ชนะรักษ์ชาติได้ จึงได้แต่ทำดีกับรักษ์ชาติมาแต่เด็ก ยิ่งอีกฝ่ายชอบเธอมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแสดงออกในทางบวกกับเธอมากเท่านั้น ใครจะคิดว่าพอโตขึ้นมารักษ์ชาติจะเป็นพวกฝังใจกับเรื่องเด็กๆ โมเมว่าเธอเป็นแฟนของเขาไม่เลิก เธอถึงต้องมาใช้สมองในการหนีเขา กระทั่งเขียนจันทร์กลับมาจากต่างประเทศ ก็ถูกรักษ์ชาติจองเวรจองกรรมตั้งแต่วันแรกที่มาถึงแทน ใครเล่าจะรู้ จากคู่แค้นสมัยเด็กๆ ทะเลาะกันไปมา จะกลายเป็นคู่รักชื่นมื่นไปได้ ที่สำคัญผู้หญิงเรียบง่ายอย่างเขียนจันทร์ ดูไม่มีเล่ห์กลอะไรกลับข่มรักษ์ชาติที่ความร้ายติดระดับชาติให้หงอได้ในที่สุด
แต่กว่าสองคนนั้นจะจูนกันติด เธอต้องทำหน้าที่เป็นไม้กันหมาไปไม่น้อย กว่าจะใส่น้องถวายพานให้รักษ์ชาติ ใช่ว่าเธอไม่เหนื่อย
การเผชิญหน้ากับอนิล ที่จริงอาจไม่ใช่เรื่องเหนื่อยยากเลยสำหรับเธอ
“พี่จะรับผิดชอบ วาดจะกลับไปไม่ได้ ในเมืองยังมีโรงพยาบาลเอกชนดีๆ หรือถ้าไม่อยากนอนโรงพยาบาล ก็ไปอยู่รีสอร์ท พี่จัดที่พักให้”
“แล้วถ้าฉันเดินไม่ได้ตลอดชีวิตล่ะคะ พี่ลมจะรับผิดชอบยังไง”
สายตาท้าทายที่วาดตะวันใช้มอง ผลักดันให้แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เชื่อว่าจะพูดสิ่งนั้นออกไป แต่เมื่อรู้ตัวว่าพูดออกไป เขาย่อมไม่คืนคำ
“พี่จะแต่งงานกับวาด”
“ฉันขอไม่มากขนาดนั้นหรอกค่ะพี่ลม ฉันเกรงใจว่าที่เจ้าสาวในอนาคตพี่ลม ไม่ต้องแลกทั้งชีวิตเพื่อขาพิการของฉันหรอก” วาดตะวันปฏิเสธอย่างใจเย็น นับหนึ่งถึงสิบในใจถอยหลังสู่ความสำเร็จ “แค่พี่ลมให้ฉันอยู่ที่บ้านของพี่ลม การที่ฉันอยู่ใกล้ๆ กับฝน ฉันก็จะมีแรงใจในชีวิตแล้วค่ะ”
“แต่แม่พี่...”
“พี่ลมจะปกป้องฉันไม่ได้เชียวเหรอคะ”
คล้ายมีดนตรีของบีโธเฟ่นดังเป็นทำนองรื่นเริงอยู่ในอก หัวใจของวาดตะวันพองฟูสวนทางกับสีหน้ากลัดกลุ้มของคนตอบ เขาไม่ต่างจากคอนดักเตอร์ที่จำใจต้องโบกไม้ให้จังหวะนักดนตรีอย่างเธอ
และเพียงแค่เขาพยักหน้า วาดตะวันก็อดไม่ได้อีกต่อไปที่จะเขย่งตัวขึ้นเพื่อหอมแก้มสาก อย่างที่เธอมักจะทำเวลาผู้ชายสักคนทำเรื่องที่ถูกใจให้เธอ เพลงในหัวใจพลันเงียบงัน สายตาของอนิลในตอนแรกแตกตื่น และแปรเปลี่ยนเป็นกรุ่นโกรธเมื่อเห็นชัดคาตาว่าร่างของวาดตะวันพยุงตัวขึ้นมาได้ด้วยเท้าทั้งสองข้าง
“วาด!” น้ำเสียงกดต่ำแลกกลับมาได้แค่เสียงหัวเราะอย่างรู้สึกผิด
“ถ้าหอมอีกที พี่ลมจะหายโกรธไหม”
“วาด!”
ข้อเสนอนั้นถูกปฏิเสธ วาดตะวันยิ้มแหย นั่งลงอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวบนรถเข็น สารภาพความจริงที่เธอลงทุนทั้งหมดนี้ให้เขารู้บ้าง
“ที่จริงฉันทำไปก็เพื่อฝนนะคะ พี่ลมต้องสัญญาก่อนว่าถ้ารู้แผนการทั้งหมดแล้วจะไม่โกรธ”
ดวงตาใสซื่อ กับขนตางอนยาวที่กำลังกะพริบมาให้ราวกับจงใจหว่านเสน่ห์ กอปรกับรอยยิ้ม ‘หมายิ้ม’ ที่เขาเคยสั่งห้ามนักหนา เจ้าหล่อนก็เปิดปากอวดความงดงามของใบหน้าที่แม้จะมีแผลตรงแก้ม หรือรอยช้ำจางๆ จากฝ่ามือแม่เขา ใบหน้านี้ก็ยังน่ามอง อนิลยังรู้สึกถึงสัมผัสอุ่น และหอมหวานจากกลิ่นน้ำหอมที่ร่างของวาดตะวันใช้
เสน่ห์ของวาดตะวันขุดมาเท่าไหร่ก็ไม่หมด ใช้อะไรมาลบความงาม เจ้าตัวก็ยังคงเปล่งประกาย...ดังตะวันที่แผดแสง และเป็นตะวันที่จับต้องยากเสียด้วย ไล่ตามเท่าไหร่ก็ไม่มีวันทัน
อนิลกะพริบตาขับไล่ความรู้สึกอุ่นซ่านบนผิวแก้ม กลับมาจ้องตาที่กำลังอ้อนมาให้เขาใจอ่อน วาดตะวันเคยทำให้ใครโกรธจริงๆ จังๆ สักครั้งได้บ้างไหม
ปากสีสวยค่อยๆ ขยับเล่าถึงแผนการที่เจ้าตัวคิดมาอย่างดีตลอดเวลาที่นอนพักในโรงพยาบาล ก่อนที่ความรู้สึกหนึ่งตีรื้นภายในอกของอนิลช้าๆ ความรู้สึกที่เมื่อเขารู้ตัวก็ต้องตกใจกับตัวเอง ที่บังอาจไปรู้สึกอย่างนั้น
เขาอิจฉาวิฬุร...เพราะทุกแผนการของวาดตะวันล้วนคำนึงถึงวิฬุรเพียงคนเดียว!
...............................................................
คุณ konhin จากนี้เรื่องจะดำเนินไปอีกอารมณ์ รอดูพี่ลมเขานะคะ ^^
คุณ โอชิน ฤทธิ์ของวาดเพิ่งเริ่มๆ ค่ะ หลังจากนั้นยังไม่ได้เขียน อ้าว ฮา
วันนี้ปั่นช้าเพราะต้องเดินทางค่ะ สองสามวันนี้จะยุ่งๆ แต่จะหาทางมาอัพให้ได้นะคะ ^^
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ มีอะไรติชมกันได้ค่า
“ลำบากนายหน่อยนะกบินทร์”
หนุ่มรุ่นน้องยิ้มรับ ดวงตายังคงมีร่องรอยของความเศร้า “ตอนที่ผมเข้าไปเห็นพี่ฝนนอนอยู่อย่างนั้น มันเจ็บมากเลยนะครับ”
วาดตะวันก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเอง คิดทบทวนไปมาอยู่หลายครั้ง เธอก็เห็นแต่ประโยชน์ ถึงตอนที่เข้าไปเหยียบเศษกระเบื้องแทนแม่ของวิฬุรเธอจะคิดไม่ทัน แต่พอมานอนนิ่งๆ ในโรงพยาบาล ความคิดหนึ่งก็แจ่มชัด เธอสามารถดูแลวิฬุรได้ โดยเฉพาะในสภาพที่เท้ายังเจ็บ
“ถ้ามีอะไรก็อย่าลืมแจ้งฉันกลับมาด้วยนะ”
“ครับ” กบินทร์มองสภาพวาดตะวันแล้วไม่นึกอยากให้รุ่นพี่ในวงการคนนี้ขึ้นไปเสี่ยงอีก “แล้วจากนี้พี่วาดจะทำยังไงต่อครับ”
“ฉันจะอยู่ข้างๆ ฝน จะไปก็ต่อเมื่อวางใจว่าฝนจะตื่นขึ้นมา”
“ถ้าพี่วาดไม่เคยบอกว่าพี่วาดเป็นแค่เพื่อนพี่ฝน ผมคงคิดว่าพี่วาดรักพี่ฝนนะครับ”
“นายก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้” วาดตะวันเชิดหน้าตอบ เวลานี้สิ่งเดียวที่ทำได้คือช่วยเหลือวิฬุร เรื่องความรู้สึกต้องห้ามพวกนั้นเธอได้แต่ดันมันกลับเข้าที่เดิม จะรู้สึก หรือไม่รู้สึก อย่างไรวิฬุรก็คือเพื่อน และเธอก็อยากจะเห็นเพื่อนกลับมายิ้มหรือหัวเราะได้ มากกว่าจะมาสนใจความรู้สึกของเธอ
“พี่วาดต้องดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
“นายก็เหมือนกัน”
หลังจากกบินทร์ออกไปเพื่อจัดการธุระที่ว่าไว้ วาดตะวันก็นอนเหม่อมองเพดานห้องนิ่ง หญิงสาวเพิ่งรู้สึกตัวว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นเธอไม่ดูแลความรู้สึกของตัวเองขนาดไหน หลายครั้งที่คนบอกว่าไม่เป็นอะไร ไม่ต้องห่วง อยู่ได้...บางทีก็แค่บอกตัวเองไปอย่างนั้น
ประตูห้องเปิดออก ร่างเล็กของหญิงวัยสามสิบตอนปลายโผล่หน้าเข้ามายิ้มแย้ม มือชูกล่องอาหารที่เจ้าตัวตั้งใจคัดสรรมาให้
“สลัดผักสดๆ จากสวนค่ะน้องวาด ผักกรีนโอ๊ค เรดโอ๊คของโปรดน้องวาดก็มีนะคะ”
วาดตะวันลุกขึ้นนั่ง ห้อยขาลงจากเตียง ตอนนี้เธอพอที่จะเดินได้เองบ้างแล้วด้วยการฝึกเดินในห้อง มีแปลบปลาบอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ร้ายแรงอะไร ส่วนแผลบนหน้าก็เริ่มแห้ง เธอไม่อยากออกไปฝึกข้างนอก และเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกกับหมอว่าเธอดีขึ้นแล้ว และคงจะหายสนิทในเร็ววัน...ในเมื่ออาการบาดเจ็บยังมีประโยชน์ เธอก็ต้องใช้มันให้คุ้มค่า
สาวโสดมาดห้าวกุลีกุจอจัดสลัดเทใส่จาน และนำมาวางไว้ยังโต๊ะคนไข้ วันแรกที่ฉันทยามาเห็นบาดแผลและอาการของนางแบบในความดูแลก็แทบเป็นลม ไม่คิดไม่ฝันว่าวาดตะวันที่ดูดีตลอดเวลา เริ่ดๆ เชิดๆ ไม่เคยทำให้เธอเป็นห่วง จะมีสภาพอย่างนี้ได้ พอคิดถึงงานที่ต้องยกเลิกไปในช่วงที่วาดตะวันรักษาตัว เธอก็ได้แต่ถอนใจ ทำอย่างไรได้ วาดตะวันให้โอกาสเธอดูแลงานให้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ถือว่าเผชิญเรื่องราวมาด้วยกันไม่น้อย แม้แต่วิฬุรเธอเองก็รู้จักดี จะให้ทิ้งเพื่อนของวาดตะวันไปอย่างคนเห็นแก่ตัวนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
“น้ำสลัดใสอันนี้คุณลมทำเองเลยนะคะ พอพี่บอกว่าน้องวาดชอบอะไร เขาก็หามาให้เลย”
ชื่อของ ‘อนิล’ ทำให้วาดตะวันแปลกใจ สองวันมานี้เธอพบว่าอนิลจะส่งของมาเยี่ยม ส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์จากไร่เขา ฝากคนมาเยี่ยมไม่ได้ขาด เหมือนเขานึกอะไรออกก็จะสั่งคนให้เอามาให้ แม้แต่ดอกไม้ ก็มีหลายชนิดที่กำลังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ในห้อง ทั้งดอกฟอร์เก็ตมีนอต ดอกเดซี่ หรือกุหลาบขาว เห็นจะยกเว้นดอกผีเสื้อ อย่างกับเขารู้ว่าถ้าส่งมาแล้วเธอจะคิดถึง...ใคร
“ไม่เห็นต้องลำบากเลยนะคะ”
“คุณลมบอกว่าเป็นเซอร์วิสให้ลูกค้าค่ะ”
ลูกค้า...หรือชดเชยที่เข้าใจผิด วาดตะวันส่ายหน้าด้วยความขบขัน หยิบส้อมมาจิ้มผักสดในจานที่ราดน้ำสลัดใสเข้าปาก ความกรอบของผัก และน้ำสลัดที่มีรสเปรี้ยวหวานลงตัว เป็นรสชาติที่ให้ความรู้สึกสดใหม่จากไร่จากสวนจริงๆ
“อร่อยใช่ไหมคะ พี่ล่ะอยากเป็นลูกค้าบ้างเลย”
“ผลไม้เต็มห้อง พี่เกี๊ยวก็ช่วยๆ กินหน่อยเถอะค่ะ ทิ้งไว้เดี๋ยวเน่า” วาดตะวันโยนเรื่อง ‘ลูกค้า’ ไปให้ไกลตัว แสดงความใจกว้างแบ่งทุกอย่างที่อนิลนำมาให้อย่างไม่หวงก้าง
“น้องวาดล่ะก็ ผู้ชายเขาเอาของมาให้เยอะแยะ ไม่กี่ชั่วโมงทีหนึ่งอย่างนี้ ไม่รู้ว่าคิดอะไรหรือเปล่า” ฉันทยาไอแห้งๆ เมื่อเห็นสายตาดุของวาดตะวัน ปรามเธอตั้งแต่เริ่มคิด ‘จับคู่’ เลย “สตรอเบอร์รี่ดูซ้ดสดนะคะ” คนตัวเล็กปลีกไปหาสตรอเบอร์รี่แก้เก้อ
วาดตะวันหัวเราะหึ กลับมาสนใจสลัดผักสดๆ ตรงหน้าต่อ ที่ผ่านมาไม่ใช่ไม่เคยเจอผู้ชายมาทำดีด้วยเสียหน่อย อีกอย่างอนิลเองก็คงรู้สึกผิดจริงๆ ถึงได้คอยคิดถึงได้ไม่ว่างเว้น ยังดีที่ไม่โผล่มาเป็นตัวๆ ให้เธอเอียนกับชื่อของเขา
“วันนี้ฉันจะออกจากโรงพยาบาลนะคะพี่เกี๊ยว”
“แต่ว่า...”
พยาบาลเคาะประตูยุติบทสนทนาของทั้งสอง วาดตะวันผลักโต๊ะสลัดให้ไกลตัว ล้มตัวลงนอน และห่มผ้าคลุมขาได้ในเวลาไม่กี่วินาทีทันร่างของพยาบาลเดินเข้ามา
ฉันทยากลืนสตรอเบอร์รี่ลงคอเอื๊อกหน้าตาเขียวคล้ำ ไม่ทันตั้งตัวว่าจะมีพยาบาลเข้ามาทันด่วน พยาบาลวัยกลางคนไม่ได้จับท่าทีแปลกประหลาดของคนเฝ้าไข้ สายตายิ้มแย้มมองมายังคนไข้ที่ทำหน้าซีดเซียว
“วัดความดันหน่อยนะคะ”
“ทำไมฉันยังเดินไม่ได้คะ” ประโยคเรียบง่ายเปลี่ยนบรรยากาศในห้องให้ยะเยือก วาดตะวันตีหน้าโศก “ฉันต้องพิการใช่ไหมคะ”
“คุณหมอเอ็กซเรย์แล้วไม่พบความผิดปกตินะคะ เศษกระเบื้องที่บาดไม่ถูกเส้นเลือดร้ายแรง”
“แล้วทำไมฉันยังเดินไม่ได้คะ” หญิงสาวส่งสายตาให้ฉันทยา ยักคิ้วโก่งเข้มให้ทีนิดหนึ่ง โดยไม่ทันเห็น
ฉันทยาทำมือโอเคลับหลังพยาบาล ปรี่มาสำทับให้เหตุการณ์เลวร้ายมากขึ้น “ถ้าที่นี่รักษาน้องวาดไม่ได้ เราก็ต้องออกนะคะ นางแบบอย่างน้องวาดถ้ามีข่าวออกไปว่าเดินไม่ได้ ชื่อเสียงของน้องวาดคงจะ...”
ประโยคที่ควรต่อยาวหยุดฉับ เพราะวาดตะวันส่งสัญญาณด้วยการถลึงตาให้เงียบ ขืนพูดออกไปมากกว่านี้เรื่องของเธอต้องหลุดไปตามหน้าข่าวหนังสือพิมพ์อย่างไม่ต้องสงสัย
คนเจ็บถอนหายใจแผ่วเบา สีหน้าคงความกลัดกลุ้มไว้ “คุณพยาบาลคะ ฉันไม่มีกำลังใจที่จะรักษาตัวต่อที่นี่”
“ขอดิฉันแจ้งคุณหมอก่อนนะคะ แต่คุณคนไข้ต้องมีกำลังใจเข้าไว้นะคะ ไม่มีอะไรสำคัญกว่ากำลังใจของเรา”
คุณพยาบาลแสดงออกถึงความห่วงใยสมกับอาชีพ เร่งเดินออกไป โดยไม่รู้ว่ามีรอยยิ้มลึกลับของคนไข้เจ้าแผนการไล่ตามหลัง ฉันทยาทำหน้าคร่ำเคร่ง ถึงตัวเองจะช่วยก็ยังอ่านความคิดของวาดตะวันออกไปไม่ได้ทั้งหมด
“ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ทำไมถึงเดินไม่ได้นะ”
เสียงพยาบาลที่คุยกันผ่านหูของอนิลไป ชายหนุ่มหยุดเดินเพื่อเหลียวหลังกลับไปเรียกพยาบาลทั้งสอง ลางสังหรณ์เขาทำงานค่อนข้างไว
“ขอโทษนะครับคุณพยาบาล”
“มีอะไรให้ช่วยคะ” พยาบาลสองคนนั้นหันกลับมา หนึ่งในสองคนถามอย่างเป็นงานเป็นการ
“ที่บอกว่าเดินไม่ได้ คนไข้ห้องอะไรครับ”
“เป็นความลับของคนไข้นะคะ”
อนิลไม่สนใจ “ใช่ห้องสามหนึ่งเก้า ตึกนี้หรือเปล่าครับ”
“คุณรู้จักเธอเหรอคะ” พยาบาลอีกคนถาม หน้าตาประหลาดใจ “เขาขอออกจากโรงพยาบาลไปเมื่อสายนี้เองค่ะ ถ้าคุณรู้จักเธอ บอกเธอด้วยนะคะว่าอย่ายอมแพ้”
อย่ายอมแพ้...เดินไม่ได้
ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีสายฟ้าฟาดใส่กลางวันแสกๆ ทำไมสองวันมานี้เขาไม่ระแคะระคายอาการของวาดตะวันเลย แล้วจู่ๆ เธอปุบปับจะออกไปก็ไม่มีการบอกกล่าวกับเขาสักคำ อยากให้เขารู้สึกผิดไปจนตัวตายเลยหรือไง
วาดตะวันจะทิ้งวิฬุร และทิ้งความผิดที่เขาทำให้เธอเดินไม่ได้ใช่ไหม ร้ายกาจ!
อนิลกำช่อดอกคาร์เนชั่นแน่น กำลังคิดจะทิ้งลงถังขยะ โทรศัพท์ของเขาก็ดังเสียก่อน ชื่อผลิใบ ทำให้อนิลรีบกดรับ อีกครั้งที่ลางสังหรณ์ของเขาทำงาน
“มีใครไปเอารถไหม”
“ไอ้นี่มีตาทิพย์เว้ย เออ ที่ฉันโทรหาแกเพื่อจะบอกว่าคุณเขามาขอดูรถ แกจะให้ฉันเอารถให้เขาเลยไหม ฉันจำได้ว่าแกให้ถ่วงไว้ให้”
“ประเสริฐ แกถ่วงให้ฉันก่อน ฉันมีเรื่องจะเคลียร์กับเขา” ก่อนวางสายอนิลเอะใจ รู้สึกว่าเรื่องนี้ออกจะแปลก “วาดเขามากับใคร เป็นยังไง เศร้าไหม”
“นั่งรถเข็น กับผู้ชายคน ผู้หญิงคน”
ผู้ชาย? ดูท่าจะมีคนปลอบใจได้เร็ว อนิลพรูลมหายใจโล่งอก เอาเถอะ จะมีใครมาปลอบใจอีกก็ช่าง แต่ในส่วนที่เขาต้องรับผิดชอบแทนแม่ของเขาก็จำเป็นต้องมีอยู่ เขาเป็นคนทำอะไรแล้วต้องรับผิดชอบ
จะหนีไปง่ายๆ อย่างที่วาดตะวันตั้งใจ เขาไม่อนุญาต!
วาดตะวันกำลังหรี่ตามองรถคันโปรดของเธอ ตรงสีที่ถลอกมีช่างช่วยกันโป๊ะให้อย่างขะมักเขม้น หลายนาทีที่เธออดทนรอคำแก้ตัวของเจ้าของอู่รถว่าจะแก้ตัวอย่างไรที่ปล่อยรถเธอทิ้งไว้นาน แล้วเพิ่งจะมาทำให้เอาป่านนี้
“อย่าโกรธนะพี่วาด” ประกายพรึกพูดเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคน
“ไม่ได้โกรธ”
“แล้วต้องกัดฟันพูดเนี่ยนะ” เสียงห้าวที่ไม่ใช่เสียงของประกายพรึกทำให้วาดตะวันหันขวับไปมอง หญิงสาวตีหน้าเรียบ ไม่รู้สึกรู้สาต่อการมาของเขา “วาดเสียมารยาทนะที่ไม่บอกกับพี่สักคำว่าจะออกจากโรงพยาบาล”
“ให้ผมอยู่ช่วยอะไรไหม” ประกายพรึกถามพาซื่อ สังเกตพบว่าอนิลกำลังมองเขาอย่างจับสังเกตอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน การที่อีกฝ่ายไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน ก็ดีเหมือนกัน นายตำรวจหนุ่มลอบหัวเราะอยู่ในใจ
“ช่วยไปเร่งให้เขาคืนรถให้พี่ที”
“คงไม่เสร็จง่ายๆ หรอกครับ จะวันนี้ มะรืน สัปดาห์หน้า ก็ยังไม่เสร็จ” อนิลเอ่ยดับความหวัง เข้ามายืนตรงหลังรถเข็นที่วาดตะวันนั่งอยู่ ส่งสายตาไล่ให้ประกายพรึกไปไกลๆ ซึ่งฝ่ายหลังก็ไหวไหล่ ทำหน้ากวนจากไป
อนิลเห็นว่าประกายพรึกเดินไปไกลแล้วจึงกลับมาสนทนากับวาดตะวันต่อ “เดินไม่ได้ แล้วจะขับรถได้เหรอวาด”
“พี่ลมบอกว่าฉันไม่ควรกลับไป”
“แต่อย่างน้อยก็ควรให้พี่รับผิดชอบในความเข้าใจผิดของพี่ ถ้าพี่ไม่ปักใจเชื่ออะไรผิดๆ ไม่เอาข้อความนั้นให้แม่พี่ดู แม่พี่ก็คงไม่ทำร้ายวาด”
วาดตะวันซ่อนรอยยิ้ม เธอกำลังจะได้สิ่งที่ต้องการในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว อาการอย่างนี้ที่เธอต้องการจากอนิล แต่จะว่าไปผู้ชายดุๆ ที่เธอเคยได้ยินมาจากวิฬุรก็ค่อนข้างแตกต่าง เมื่อเธอได้รู้จักอนิลในวันนี้
“พี่ลมชดเชยความผิดหมดแล้วล่ะค่ะ ไม่มีอะไรต้องเสียใจ”
“พี่ไม่สบายใจ พี่จะหาหมอมารักษาวาดจนกว่าจะหาย”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ อย่างมากก็เป็นนางแบบไม่ได้แล้ว”
ทำให้รู้สึกผิดมากๆ ทีนี้เวลาขออะไรจะได้ง่ายๆ วาดตะวันกลั้นเสียงหัวเราะให้ดังลั่นภายในใจ ความมากเล่ห์มากกลเหล่านี้เธอบ่มเพาะตัวเองมาแต่เกิด
แต่เด็กเธออยู่กับรักษ์ชาติ ผู้ชายร้ายกาจที่คอยกลั่นแกล้งบรรดาน้องๆ ของเธอเสมอ เธอเองก็ไม่ใช่ฮีโร่สาวอะไรถึงจะได้ชนะรักษ์ชาติได้ จึงได้แต่ทำดีกับรักษ์ชาติมาแต่เด็ก ยิ่งอีกฝ่ายชอบเธอมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแสดงออกในทางบวกกับเธอมากเท่านั้น ใครจะคิดว่าพอโตขึ้นมารักษ์ชาติจะเป็นพวกฝังใจกับเรื่องเด็กๆ โมเมว่าเธอเป็นแฟนของเขาไม่เลิก เธอถึงต้องมาใช้สมองในการหนีเขา กระทั่งเขียนจันทร์กลับมาจากต่างประเทศ ก็ถูกรักษ์ชาติจองเวรจองกรรมตั้งแต่วันแรกที่มาถึงแทน ใครเล่าจะรู้ จากคู่แค้นสมัยเด็กๆ ทะเลาะกันไปมา จะกลายเป็นคู่รักชื่นมื่นไปได้ ที่สำคัญผู้หญิงเรียบง่ายอย่างเขียนจันทร์ ดูไม่มีเล่ห์กลอะไรกลับข่มรักษ์ชาติที่ความร้ายติดระดับชาติให้หงอได้ในที่สุด
แต่กว่าสองคนนั้นจะจูนกันติด เธอต้องทำหน้าที่เป็นไม้กันหมาไปไม่น้อย กว่าจะใส่น้องถวายพานให้รักษ์ชาติ ใช่ว่าเธอไม่เหนื่อย
การเผชิญหน้ากับอนิล ที่จริงอาจไม่ใช่เรื่องเหนื่อยยากเลยสำหรับเธอ
“พี่จะรับผิดชอบ วาดจะกลับไปไม่ได้ ในเมืองยังมีโรงพยาบาลเอกชนดีๆ หรือถ้าไม่อยากนอนโรงพยาบาล ก็ไปอยู่รีสอร์ท พี่จัดที่พักให้”
“แล้วถ้าฉันเดินไม่ได้ตลอดชีวิตล่ะคะ พี่ลมจะรับผิดชอบยังไง”
สายตาท้าทายที่วาดตะวันใช้มอง ผลักดันให้แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เชื่อว่าจะพูดสิ่งนั้นออกไป แต่เมื่อรู้ตัวว่าพูดออกไป เขาย่อมไม่คืนคำ
“พี่จะแต่งงานกับวาด”
“ฉันขอไม่มากขนาดนั้นหรอกค่ะพี่ลม ฉันเกรงใจว่าที่เจ้าสาวในอนาคตพี่ลม ไม่ต้องแลกทั้งชีวิตเพื่อขาพิการของฉันหรอก” วาดตะวันปฏิเสธอย่างใจเย็น นับหนึ่งถึงสิบในใจถอยหลังสู่ความสำเร็จ “แค่พี่ลมให้ฉันอยู่ที่บ้านของพี่ลม การที่ฉันอยู่ใกล้ๆ กับฝน ฉันก็จะมีแรงใจในชีวิตแล้วค่ะ”
“แต่แม่พี่...”
“พี่ลมจะปกป้องฉันไม่ได้เชียวเหรอคะ”
คล้ายมีดนตรีของบีโธเฟ่นดังเป็นทำนองรื่นเริงอยู่ในอก หัวใจของวาดตะวันพองฟูสวนทางกับสีหน้ากลัดกลุ้มของคนตอบ เขาไม่ต่างจากคอนดักเตอร์ที่จำใจต้องโบกไม้ให้จังหวะนักดนตรีอย่างเธอ
และเพียงแค่เขาพยักหน้า วาดตะวันก็อดไม่ได้อีกต่อไปที่จะเขย่งตัวขึ้นเพื่อหอมแก้มสาก อย่างที่เธอมักจะทำเวลาผู้ชายสักคนทำเรื่องที่ถูกใจให้เธอ เพลงในหัวใจพลันเงียบงัน สายตาของอนิลในตอนแรกแตกตื่น และแปรเปลี่ยนเป็นกรุ่นโกรธเมื่อเห็นชัดคาตาว่าร่างของวาดตะวันพยุงตัวขึ้นมาได้ด้วยเท้าทั้งสองข้าง
“วาด!” น้ำเสียงกดต่ำแลกกลับมาได้แค่เสียงหัวเราะอย่างรู้สึกผิด
“ถ้าหอมอีกที พี่ลมจะหายโกรธไหม”
“วาด!”
ข้อเสนอนั้นถูกปฏิเสธ วาดตะวันยิ้มแหย นั่งลงอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวบนรถเข็น สารภาพความจริงที่เธอลงทุนทั้งหมดนี้ให้เขารู้บ้าง
“ที่จริงฉันทำไปก็เพื่อฝนนะคะ พี่ลมต้องสัญญาก่อนว่าถ้ารู้แผนการทั้งหมดแล้วจะไม่โกรธ”
ดวงตาใสซื่อ กับขนตางอนยาวที่กำลังกะพริบมาให้ราวกับจงใจหว่านเสน่ห์ กอปรกับรอยยิ้ม ‘หมายิ้ม’ ที่เขาเคยสั่งห้ามนักหนา เจ้าหล่อนก็เปิดปากอวดความงดงามของใบหน้าที่แม้จะมีแผลตรงแก้ม หรือรอยช้ำจางๆ จากฝ่ามือแม่เขา ใบหน้านี้ก็ยังน่ามอง อนิลยังรู้สึกถึงสัมผัสอุ่น และหอมหวานจากกลิ่นน้ำหอมที่ร่างของวาดตะวันใช้
เสน่ห์ของวาดตะวันขุดมาเท่าไหร่ก็ไม่หมด ใช้อะไรมาลบความงาม เจ้าตัวก็ยังคงเปล่งประกาย...ดังตะวันที่แผดแสง และเป็นตะวันที่จับต้องยากเสียด้วย ไล่ตามเท่าไหร่ก็ไม่มีวันทัน
อนิลกะพริบตาขับไล่ความรู้สึกอุ่นซ่านบนผิวแก้ม กลับมาจ้องตาที่กำลังอ้อนมาให้เขาใจอ่อน วาดตะวันเคยทำให้ใครโกรธจริงๆ จังๆ สักครั้งได้บ้างไหม
ปากสีสวยค่อยๆ ขยับเล่าถึงแผนการที่เจ้าตัวคิดมาอย่างดีตลอดเวลาที่นอนพักในโรงพยาบาล ก่อนที่ความรู้สึกหนึ่งตีรื้นภายในอกของอนิลช้าๆ ความรู้สึกที่เมื่อเขารู้ตัวก็ต้องตกใจกับตัวเอง ที่บังอาจไปรู้สึกอย่างนั้น
เขาอิจฉาวิฬุร...เพราะทุกแผนการของวาดตะวันล้วนคำนึงถึงวิฬุรเพียงคนเดียว!
...............................................................
คุณ konhin จากนี้เรื่องจะดำเนินไปอีกอารมณ์ รอดูพี่ลมเขานะคะ ^^
คุณ โอชิน ฤทธิ์ของวาดเพิ่งเริ่มๆ ค่ะ หลังจากนั้นยังไม่ได้เขียน อ้าว ฮา
วันนี้ปั่นช้าเพราะต้องเดินทางค่ะ สองสามวันนี้จะยุ่งๆ แต่จะหาทางมาอัพให้ได้นะคะ ^^
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ มีอะไรติชมกันได้ค่า
ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ม.ค. 2558, 00:12:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ม.ค. 2558, 00:12:42 น.
จำนวนการเข้าชม : 1143
<< บทที่ 4 | บทที่ 6 >> |
konhin 8 ม.ค. 2558, 00:58:29 น.
แหม เจ้าแผนการจริงๆ
แหม เจ้าแผนการจริงๆ