ตะวันต้องลม
เขาคิดมาเสมอว่าทุกอย่างที่เกิดกับน้องชายเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น!

และเธอต้องรับผิดชอบ เขาจะทำให้คาสโนวี่อย่างเธอรักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น

เธอคือเป้าหมายที่เขาต้องพิชิต

แม้ว่าตะวันดวงนี้จะเป็นตะวันที่ร้อนแผดเผา และไม่ได้ความรักมาง่ายๆ

แต่ลมอย่างเขาก็ไม่หวั่น เขาจะเป็นลมพายุที่พัดกลุ่มเมฆมาบดบังแสงตะวันของเธอให้ได้!

เมื่อดึงตะวันคล้อยต่ำลงได้เมื่อไหร่ เขาจะปล่อยเธอทิ้งร่วงลงสู่พื้นดิน
Tags: อนิล วาดตะวัน วิฬุร ดราม่าโรแมนติก

ตอน: บทที่ 6

ห้องอาหารในบ้านหลังใหญ่ที่กำลังคุยกันออกรสออกชาติถึงคราวเงียบสนิท บรรยากาศมีความมาคุกรุ่นขึ้นมาทันทีที่บุคคลในบ้านทั้งสองมองเห็นแขกสาวนั่งรถเข็นเข้ามาภายในบ้าน เบื้องหลังรถเข็นมีร่างสูง หน้าตาทรมานจิตคล้ายถูกบังคับให้ทำอะไรบางอย่างที่ไม่เต็มใจคอยบังคับทิศทางรถเข็นให้

“นี่มันอะไรกันลม”

สตรีวัยกลางคนหน้าตาบูดบึ้ง นางจ้องหน้าซีดเซียวของแขกที่มีสภาพนั่งรถเข็นอย่างไม่สบอารมณ์ พยายามไม่มองไปยังเท้าสองข้างของวาดตะวันที่รู้ว่าสาเหตุทั้งหมดล้วนมาจากตัวเองทั้งสิ้น

“ผู้หญิงคนนี้เหรอคะ” น้ำเสียงที่พยายามดัดให้หวานหยดของเคียงฟ้าออกจะแข็งๆ แม่เลี้ยงสาวจงใจใช้สายตาไม่ถูกชะตากับวาดตะวันตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้า

อนิลสบตากับวาดตะวัน อดทนไม่ให้เผลอถอนหายใจออกมาจนใครต่อใครสังเกตได้ “วาดจะมาอยู่กับผม”

“ทำไมคะ” เคียงฟ้าถามออกมารวดเร็ว รีบหันไปหาเพชรีเพื่อพบว่าร่างของหญิงกลางคนกำลังสั่นเทิ้มด้วยความโกรธจัด

“ลมหลงเสน่ห์มันแล้วใช่ไหมลูก”

“เปล่านะครับ” อนิลบอกจริงจัง “ผมก็แค่ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นกับวาดตะวัน ต่อให้ผมเกลียดเธอแค่ไหน ก็ไม่ได้เกี่ยวกับการปล่อยให้ผู้หญิงคนหนึ่งเดินไม่ได้ไปตลอดชีวิตเพราะแม่ตัวเอง”

จบคำของอนิล ร่างของเพชรีก็เป็นลม เคียงฟ้าต้องเข้ามาประคอง และจงใจโยนความผิดทุกอย่างไปให้ผู้หญิงที่นั่งบนรถเข็น

“เพราะเธอมาที่นี่เอง เกิดอะไรขึ้นทำไมต้องให้ลมมารับผิดชอบ”

“ฝนเป็นเพื่อนฉัน และต่อให้ขาของฉันพิการจริง ฉันก็จะยังอยู่ที่นี่จนกว่าฝนจะฟื้น ฉันไม่เคยคิดทำร้ายฝน ไม่เคยคิดร้ายกับเขา ในเมื่อคุณป้ายังเข้าใจฉันผิด ฉันก็จะอยู่เพื่อทำให้ท่านเข้าใจ ว่าฉันเจตนาบริสุทธิ์ ต่อให้ฉันจะเดินแบบไม่ได้อีก ก็ช่างมันสิ”

อนิลนึกอยากตีผู้หญิงที่ติดปากคำว่า ‘ก็ช่างมันสิ’ สักที ผู้หญิงคนนี้แสดงออกถึงความจริงจังในการที่จะช่วยเหลือน้องของเขา เขานึกถึงประโยคหลายๆ ประโยคที่วาดตะวันว่ามา แม้ว่าทุกอย่างที่พูดจะดูไม่น่าเชื่อ แต่มันก็ไม่เสียหายที่จะลองเชื่อสักครั้ง


‘ฉันไม่ไว้ใจทุกอย่างที่อยู่รอบตัวฝน จะเป็นไปได้ไหมที่เขาไม่ยอมตื่นเพราะการรักษาที่ไม่ดี คนที่หัวกระแทกขอบสระ อยู่ไอซียูถึงสามวัน ควรแล้วเหรอคะที่จะนำมาพักรักษาตัวบนเขาบนดอยที่ห่างจากโรงพยาบาลถึงยี่สิบสามสิบกิโลเมตร’

‘แพทย์ที่ดีที่สุด ที่ครอบครัวของเรารักษามาตลอดบอกว่าฝนควรได้รับการรักษาในสถานที่ที่เขาคุ้นเคย’

‘ฉันไม่อยากจะใส่ร้ายฝีมือหมอที่พวกคุณเชื่อหรอกนะคะ แต่ครั้งแรกที่ฉันรู้ว่าพวกคุณให้ฝนนอนนิ่งๆ อยู่ที่นี่ ห่างหมอ ฉันก็คิดว่านี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ฝนไม่หาย ฉันอยากมั่นใจว่ายาที่รักษาเป็นยาที่ช่วยเขาจริงๆ’

‘นี่วาดกำลังระแวงว่า...’

‘ฉันจะยอมอยู่ในสายตาของพี่ลมตลอดเวลา แต่ขอแค่โอกาสให้ฉันได้พยายามเพื่อฝนจะได้ไหมคะ’


อนิลใช้สายตาตำหนิอย่างที่ใช้ตำหนิวาดตะวันตอนที่ฟังหญิงสาวพูดถึงแผนการ เขามองมารดาที่หน้าซีด มองเขาอย่างกับเป็นบุคคลประหลาดที่นางไม่เคยรู้จักมาก่อนในชีวิต

นี่ไม่เท่ากับว่าเขาเลือกยืนคนละข้างกับแม่หรอกหรือ

“ลมทำให้แม่ผิดหวังมาก แม่เคยเตือนลมแล้ว ทำไมลมไม่เชื่อแม่”

“แม่จะเชื่อผมสักครั้งได้ไหมครับ”

เพชรีเบือนหน้าหนีจากบุตรชาย หันไปใช้สายตาจงเกลียดที่นางไม่รู้ว่าภายในนั้นร้อนรุ่ม อยากจะทำร้ายวาดตะวันมากมายมาจากไหน สมัยก่อนเคยรักวาดตะวันมากเท่าไหร่ เวลาที่เกลียดความรู้สึกก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

“แม่ไม่เชื่อผู้หญิงคนนี้ และถ้าลมเชื่อหล่อน แม่ก็เชื่ออะไรลมไม่ได้อีก”

วาดตะวันนั่งนิ่ง รับแรงกดดันจากหลายทิศทางที่พุ่งเข้าใส่ตัวไม่ยั้ง ทั้งแรงเกลียด แรงโกรธ จากสองคนเบื้องหน้า และหนึ่งแรงความเชื่อที่มาจากมือหนาของอนิลที่บีบไหล่เธอไว้ไม่แน่น และไม่หลวมเกินไป คล้ายคำสัญญาว่าเขา...จะเชื่อเธอจนถึงที่สุด


ตั้งแต่ก้าวแรกที่วาดตะวันตัดสินใจกลับขึ้นมาในรีสอร์ทลมฝน หญิงสาวก็รู้ตัวว่าชีวิตของเธอจะไร้ซึ่งความสงบ เธอก้าวเข้าสู่ลมฝนฟ้าคะนองของหลายๆ คนด้วยตัวเอง ทั้งที่คิดหาทางหลบเลี่ยง ไม่ต้องมาวุ่นวาย ใช้ชีวิตนางแบบอย่างที่เป็นมาตลอดชีวิตก็ได้ เพียงแค่เธอทนดูดายปล่อยให้วิฬุรหลับไปเฉยๆ โดยไม่ทำอะไร...แต่เธอทิ้งเพื่อนไม่ได้

วิฬุรคือเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ อีกทั้งในความรู้สึกลึกเกินหยั่ง ในหัวใจของเธอกลับซ่อนกล่องลึกลับที่ไม่เคยเปิดให้ใครรู้ได้ แม้แต่ตัวเธอเอง วาดตะวันกลับมารู้ว่า ‘งาน’ ไม่ได้สำคัญเท่าการมีเพื่อนอย่างวิฬุรเลย

ถ้าการทนเห็นคนๆ หนึ่งเป็นอะไรไม่ได้ และพร้อมจะช่วยเหลือเขาสุดตัว หากว่ามันคือความรัก...เธอก็คงรักวิฬุร วาดตะวันยอมรับอย่างง่ายดายกับตัวเอง ไม่มีเหตุผลต้องหลบเลี่ยง ในเมื่อความรู้สึกนั้นยังคงดำเนินไปในเส้นทางขนาน ที่ไม่มีวันบรรจบ จะรู้สึกหรือไม่ ก็ไม่ต่างกัน

ทิ้งไม่ได้ ลืมไม่ได้ ก็เพียงพยายามทำในสิ่งที่พอจะทำได้...เพื่อวิฬุร

วาดตะวันสบตาคมวาวที่มีรอยไม่พอใจชัดเจนของเคียงฟ้า มุมปากคลี่เป็นรอยยิ้มให้อีกฝ่าย มือเคลื่อนไปจับมือหนาของอนิลไว้ แล้วบีบไว้ไม่ปล่อย หญิงสาวเข้าใจเจตนาอีกฝ่ายไม่ทั้งหมดว่าต้องการอะไร แต่อย่างน้อยๆ อนิลก็น่าจะเป็นหนึ่งในเป้าหมายเจ้าหล่อน

“ฉันไม่เคยสูญเสียอะไรไปฟรีๆ ถ้าทั้งชีวิตของฉันจะเสียขา คุณป้าก็ต้องเสียสิ่งที่สำคัญของคุณป้ามาให้ฉันอย่างหนึ่ง”

“หล่อนเดินเหยียบเศษกระเบื้องเอง”

“ค่ะ...พี่ลมก็เดินมาหาฉัน บอกจะเป็นขาสองข้างให้ฉันเอง”

สายตาของเคียงฟ้าเต็มไปด้วยความชิงชัง วาดตะวันเก็บข้อมูลที่ควรรู้จากฝ่ายตรงข้าม เมื่อเห็นว่าเพชรีกำลังโกรธตัวสั่น จะเป็นลมรอมร่อเสียให้ได้ วาดตะวันก็ยังใจเย็น รู้จักถอยให้ในเวลาที่ควรถอย เธอจะทู่ซึ้เอาชนะไปให้ได้อะไร เธอไม่ได้อยากชนะเพชรี ไม่เคยคิด ขอให้ได้ช่วยวิฬุรบ้างก็เท่านั้น ในเมื่อเพชรีปิดประตูใส่หน้าเธอแล้ว เธอก็ต้องงัดหลังคา เข้าหลังบ้านให้ได้

“จากนี้ผมจะย้ายมานอนกับแม่นะครับ”

“แล้วบ้านลมล่ะ”

อนิลก้มหน้าลง เพื่อสังเกตอาการของวาดตะวันว่าจะเยาะเย้ยมารดาเขามากน้อยแค่ไหน แต่ก็พบแค่สายตาที่เจ้าตัวใช้ทอดมองประตูห้องของวิฬุรด้วยความเป็นห่วง

“ผมจะให้วาดเข้าพักครับ”

“แม่ไม่อนุญาต”

“แต่นั่นบ้านผม” อนิลไม่อยากใช้ไม้แข็งกับแม่ ตอนนี้เขาถอยให้ทุกฝ่ายมาไม่น้อยแล้ว การเป็นคนกลางก็แค่แผ่นฟองน้ำที่รับแรงกระแทกอยู่คนเดียว

“แม่ยังเป็นแม่ของลมอยู่ไหม”

อนิลไม่อยากเถียงกับเพชรีต่อ ชายหนุ่มจงใจเข็นรถเข็นหันหลังพาออกไปตรงประตูบ้าน กระทั่งได้ยินที่เพชรีเรียกรั้งไว้

“อยู่กับแม่เนี่ยแหละ ส่วนคนอื่นแล้วแต่ลม”

วาดตะวันยิ้มถูกใจ หญิงสาวชูนิ้วโป้งให้กับผู้ชายที่รับหน้าในครั้งนี้จัดการทุกเรื่องราวได้อย่างดี อนิลหันกลับไปยิ้มอ่อนให้มารดา หวังให้เพชรีสบายใจขึ้นมาบ้าง และต้องการตอกย้ำให้ตัวเอง

“วาดตะวันเป็นแฟนของฝน ผมไม่กล้าคิดอะไรไม่ดีกับเขาหรอกครับ”

คนมีแฟนอย่างไม่ทันตั้งตัวปิดปากเงียบ วาดตะวันรู้ว่าไม่ควรแสดงอาการไก่ตื่นให้เพชรี หรือเคียงฟ้าจับสังเกต แต่เธอก็ยังส่งสายตาเป็นคำถามให้อนิลที่ไม่ยอมสนใจเธออีก นอกจากเข็นรถไปส่งยังที่พัก หน้าบ้านพักมีฉันทยายืนกระวนกระวายเป็นหนูติดจั่นรออยู่ พอเห็นคนที่ตนรอก็ถอนหายใจโล่งอก

“พี่นึกว่าจะมีระเบิดลงบนดอย”

คนเจ็บเท้าเหลือบมองลูกชายคนโตที่อยู่รองรับแรงระเบิดแทนด้วยความขอบคุณ

“ถ้าจะมีคนร่างแหลก คนนั้นไม่ใช่ฉันแน่ค่ะ”

“ใครล่ะ?”

วาดตะวันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยให้ฉันทยาหันไปมองอนิลที่กำลังทำหน้าบึ้ง แล้วหลุดหัวเราะเบาๆ โบกมือเข้าใจ

“คุณลมคะ น้องวาดไม่ยอมให้ตัวเองเจ็บฟรี ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกนะคะ”

ฉันทยาพยายามช่วยรักษาความรู้สึกของอนิล แต่คงลืมไปว่ากลายเป็นการวิจารณ์เด็กในสังกัดตัวเอง ฉันทยายิ้มแหยให้วาดตะวันเมื่อหญิงสาวส่งเสียงกระแอมเตือนมา

“แต่ที่จริง เวลาน้องวาดทำอะไร ไม่เคยไม่มีเหตุผลนะคะ”

“ทันไหมคะ” วาดตะวันไม่นึกดุจริงจัง ปล่อยให้ฉันทยาเข็นรถเข็นเข้าไปภายในบ้านที่จะคุ้มหัวเธอไว้ได้ช่วงระยะหนึ่ง

อนิลส่ายหน้าให้กับผู้หญิงที่เขายอมช่วยเหลือ จะว่าไป ตั้งแต่รู้จักวาดตะวันมา ผู้หญิงคนนี้ก็ถือว่ามีความจริงใจในระดับหนึ่ง ถึงจะเจ้าเล่ห์มากกล จนคนรอบข้างตามไม่ค่อยจะทัน แต่ทุกอย่างวาดตะวันทำไปเพราะมีเหตุผลอย่างที่ฉันทยาว่าไว้จริง ให้เป็นคนที่วาดตะวันไม่ใส่ใจจะสน เจ้าหล่อนก็คงไม่ชายตาแล

“อยู่ที่นี่ก็ระวังตัวให้มากๆ นะ พี่ไม่ได้มีเวลาว่างมาดูแลตลอดเวลา”

“ไม่ยักรู้ว่าฉันมีพี่ชายหน้าตาดี แล้วยังนิสัยดีอีก” วาดตะวันเอ่ยชมหน้าระรื่น สังเกตว่าผู้ชายหน้าตาดุๆ เบื้องหน้ากำลังจ้องเธอไม่พอใจนิดๆ เธอก็หุบปาก ที่จริงตั้งใจจะเผย ‘หน้าหมายิ้ม’ ไปกระตุกหัวใจเขาเล่น แต่ในเมื่ออนิลดีขนาดนี้ เธอจะยังยอมเป็นสาวใจโฉดปล้นหัวใจเขามาได้อย่างไร เดี๋ยวต้องมาทำร้ายใจเขายามถูกเธอหักอก แค่นึกเธอก็ดูเลวขึ้นมาร้อยเท่าพันเท่า

หญิงสาวมั่นใจว่าหากเธอคิดจะขโมยใจใคร ใช้เวลาไม่นานคนผู้นั้นก็สยบแทบเท้าเธอได้ไม่ยาก...ยกเว้นวิฬุร


‘นี่แม่เราเอง’ วิฬุรเดินเข้าไปโอบเอวหญิงวัยสี่สิบตอนกลางอย่างสนิทสนม ใบหน้าใจดียิ้มรับแขกของลูกชายที่มาในชุดลำลอง เด็กสาวแบกเป้ไว้บนหลัง ดูทะมัดทะแมง แต่ก็สง่า หลังตรง

‘แม่ได้ยินฝนพูดถึงวาดบ่อยมาก ดีใจจริงๆ ที่พวกหนูเรียนจบมอหก มีที่เรียนดีๆ กันนะ’ เพชรีปรี่มาแตะแขนเด็กสาวหน้าตาเป็นปลื้ม ‘ชอบมีคนว่าลูกชายแม่เป็นคนเรียบร้อย ไม่คบหญิง แม่จะเถียงพวกนั้นให้หมด ดูสิ วาดออกจะสวย น่ารัก’

วาดตะวันส่งสายตาคาดโทษให้วิฬุร โทษฐานไม่ยอมบอกสถานะอันชัดเจนให้แม่รู้ นอกจากเพื่อนจะไม่แก้ไขความเข้าใจผิดนั้น ยังเปลี่ยนเรื่อง พาทั้งแขกและแม่เดินไปยังโต๊ะอาหาร

ร่างเพรียว สะโอดตามฉบับหนุ่มเมืองกรุงฯ ที่ไม่ชอบตากแดด แตะลม ผิวเนียนละเอียดที่วิฬุรมี เรียบสะอาดก่อนที่จะลงไปเรียนต่อกรุงเทพฯ สร้างความเข้าใจผิดให้ใครต่อใครได้นานแล้วถึงความเป็น ‘หนุ่มเรียบร้อย’

เสียงเอ่ยล้อเบาๆ ที่วาดตะวันใช้พอให้วิฬุรได้ยินคนเดียวทำก้าวย่างที่วิฬุรเดินเกือบสะดุดหน้าคว่ำ เด็กหนุ่มหันกลับมายกมือไหว้ปลกๆ สายตาคอยกวาดหามารดาว่ายังอยู่ในครัว กุลีกุจอทำอาหารอย่างมีความสุขที่ลูกชายกลับบ้านก็กลับมาหาวาดตะวันอีกครั้ง

‘วาดสัญญาแล้วว่าจะไม่บอกแม่เรา’

‘ก็ไม่ได้จะบอกนี่นา ก็แค่...หนุ่มเรียบร้อย’

มือเรียวยาวบำรุงอย่างดีของวิฬุรยกขึ้นมายีหัวเพื่อนที่จงใจกล่าวแกล้ง เสียงหัวเราะของวาดตะวันก็ดังขึ้นเบาๆ ที่เห็นเพื่อนทำทีเป็นทุกข์ร้อน รู้จักกันสามปี ถึงจะไม่ได้นานอะไรนัก แต่กลับรู้จักกันดี รู้ว่าอะไรจริงจัง ไม่จริงจัง อะไรเล่นได้ หรืออะไรที่ไม่ควรเล่น

‘นายก็ควรทำตัวเถื่อนๆ ไว้สิฝน ใครจะได้ไม่เข้าใจผิด หลอกก็ควรให้เนียน’

‘ง่ายที่ไหน ให้หลอกว่าวาดเป็นแฟนเราง่ายกว่า’ วิฬุรบ่นอุบ ก่อนดวงตาจะวาบแสง มีความคิดลับหลังที่ไม่คิดบอกวาดตะวัน

เสียงประตูบ้านขัดบทสนทนาของเพื่อนทั้งสอง วาดตะวันหมุนตัวกลับไปมองเพื่อพบผู้ชายตัวสูงใหญ่มั่นคง เค้าหน้าของเค้าดูเคร่งเครียด ผิวกรำแดด ทั้งที่ดูแล้วอายุเขาตามที่วิฬุรเคยเล่าให้ฟังยังไม่ถึงยี่สิบห้าเลย แต่ภาระทำให้อนิลต้องโตก่อนวัย และแกร่งพอจะเป็นเสาหลักของครอบครัว

‘พี่ลม นี่วาด เพื่อนผมครับ’

หนุ่มดุ หน้าเคร่งยิ้มมุมปากมาให้แขกของเพื่อนแวบหนึ่ง ร่างหนาก็หมุนกายไปหามารดาในครัว คุยอะไรสักสองสามคำ เขาจึงออกมารับโทรศัพท์ในบ้านที่กำลังกรีดเสียงร้อง อนิลรับคำปลายสายว่าจะออกไป

‘ดูแลเพื่อนเองนะ มีอะไรขาดเหลือก็บอกพี่’ หันมาสั่งน้องชาย เพื่อไม่ให้ดูเป็นการต้อนรับแขกแย่เกินจำเป็น

‘ผมไม่รบกวนพี่ลมนานหรอกครับ’

อนิลพยักหน้ารับรู้ และออกไปโดยไม่แม้แต่เหลียวมามองแขกของน้องอีกสักครั้ง วาดตะวันอดไม่ได้ที่จะทำหน้าขมวดมุ่น แตะไหล่วิฬุรที่ดูบอบบางยิ่งกว่าไหล่ของเธอ

‘พี่นายแมนเกินร้อยเลยนะฝน’

‘ก็เพราะพี่ลมเป็นผู้ชาย ทั้งจริงจัง ทั้งแบกภาระทั้งหมดในบ้านไว้คนเดียว เราถึงยังต้องเป็นเราในแบบที่แม่อยากให้เป็นต่อไป เราไม่อยากเพิ่มภาระให้ครอบครัวต้องมาวิตก’


“นายโกหกอะไรไว้กับที่บ้านบ้างนะฝน”

วาดตะวันเหม่อมมองสายฝนหลงฤดูที่กำลังประพรมลงบนเขตแดนบริเวณรีสอร์ทลมฝนอย่างไม่ลืมหูลืมตามาตั้งแต่เช้ามืด หญิงสาวนั่งมองตรงริมหน้าต่างในห้องรับแขกของบ้านชั้นเดียว พื้นที่ห่างออกไปนอกหน้าต่างไม่ถึงยี่สิบเมตร มีบ้านของเพชรีตั้งอยู่ ห้องๆ ห้องปิดสนิท มีม่านดึงปิดไว้จนมองไม่เห็นความเคลื่อนไหวภายใน วาดตะวันรู้ว่าห้องนั้นคือห้องของวิฬุร

แต่สายฝนไม่มีคำตอบ แม้แต่ดวงตะวันที่สาดแสงก็ต้องหลบซ่อนอยู่เบื้องหลังเมฆทะมึนก้อนใหญ่

เมฆก้อนนั้นกำลังเยื้องกรายอยู่ภายใต้คันร่มสีเย็นตา ร่างของเคียงฟ้ามาเยือนถึงบ้านของอนิล ทั้งที่รู้ว่าไร้ซึ่งอนิล

ฉันทยารีบวางผลไม้ ปิดโทรทัศน์ที่นั่งดูจนเบื่อมาหาวาดตะวัน เพราะประตูบ้านมีคนกำลังเคาะประตูรออยู่

“น้องวาดคะ จะรับแขกดีไหมคะ” ฉันทยาเหลียวมองประตูที่ถูกเคาะอีกครั้ง

“รีบไปเปิดเถอะค่ะ แม่เลี้ยงเคียงฟ้ามาเยี่ยมทั้งคน”

วาดตะวันคิดอะไรไม่มีใครอ่านออกนัก ฉันทยาแม้จะอยู่กับวาดตะวันมาเป็นสิบปีก็เช่นกัน นอกจากเรื่องงานที่พอคุยกันรู้เรื่อง เรื่องอื่นเธอก็ได้แต่ปล่อยไปตามใจตามที่วาดตะวันต้องการ อยากเป็นข่าวกับใคร คบใคร ล้วนเกินความสามารถที่เธอจะเอ่ยปากเตือนได้ นอกจากคอยระวังหลัง ไม่ให้สาวๆ ในวงการเดียวกันที่ต่างเกลียดขี้หน้าวาดตะวันที่โดดเด่น รัศมีเจิดจ้ากว่าใครเข้ามาทำร้ายเอาได้

ดวงตะวันที่ส่องแสงแรงกล้าดวงนี้ ไม่ได้ต้องการให้ใครมาปกป้องนักหรอก เพราะตัวเองก็มีความร้อนแรงที่คอยแผดเผาทุกคนที่พร้อมเฉียดกรายใกล้ได้ ความร้องแรงนั้นก็คือ...ความฉลาด ที่ลับมาคมกริบ หลายคนที่เคยคิดลองดีกับวาดตะวัน จงใจเล่นข่าวเสียๆ หายๆ ถ้าหากกระทบถึงครอบครัวด้วยเมื่อไหร่ รายไหนรายนั้น ไม่กี่วันต่อมาก็พบว่ามีข่าวยอดแย่ยิ่งกว่าของใครสักคนมากลบมิดเต็มหน้าหนังสือพิมพ์ และข่าวคนเหล่านั้นล้วนเป็นอริที่เพิ่งเล่นงานวาดตะวัน

แม้คนจะพุ่งเป้าสงสัยว่าวาดตะวันจะเป็นคนกวนน้ำ แต่ความจริงจากข่าวที่ได้รู้ ก็ทำให้คนกระหายอยากที่จะขุดคุ้ยกันอย่างสนุก จนลืมคนปล่อยข่าวไป

แต่ครั้งนี้ไม่รู้จริงๆ ว่าแม่เลี้ยงเคียงฟ้าที่วาดตะวันพูดคล้ายแดกดัน และวางไว้ในฐานะคนไม่ชอบหน้าไปแล้วนั้น จะน่ากลัวขนาดไหน

มองหน้าปราดเดียวทำไมเธอจะไม่รู้ ว่าหน้าตาเย็นเยียบ และนิ่งคิดอยู่ในภวังค์กับการครุ่นคิดอะไรบางอย่างของวาดตะวันนั้น คือการคิดเพื่อหาหนทางไว้รอบางสิ่งในอนาคต ที่อาจเกิดขึ้น

ฉันทยาถอนใจยาว ตัดใจเพื่อเดินไปเปิดประตูรับศัตรูเข้าบ้านตามที่วาดตะวันสั่ง เธอเองก็เคยได้ยินที่ประกายพรึกสั่ง และฝากฝังไว้ก่อนจะลงไปหาข่าวที่อื่น

‘ถ้ามีผู้หญิงที่ชื่อเคียงฟ้ามาหาพี่วาด รบกวนพี่เกี๊ยวช่วยเป็นหูเป็นตาด้วยนะครับ ผู้หญิงคนนี้ไม่น่าไว้ใจ’

“คุณวาดตะวันอยู่ไหม”

“อยู่ค่ะ”

ฉันทยาไม่ต้องเอ่ยปากตอบ เสียงตอบรับจากข้างในก็ดังขึ้น วาดตะวันนั่งอยู่บนรถเข็น ดวงหน้ายิ้มนิดๆ ตอบรับแขกที่ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหน

เคียงฟ้าหุบร่มวางไว้ตรงระเบียงบ้าน เดินเข้ามาโดยไม่ต้องรอการเชื้อเชิญ ยิ้มสุภาพขณะมองไปยังฉันทยา

“ฉันอยากมาคุยกับคุณวาดตะวันเป็นการส่วนตัว”

“แต่ว่า...”

“พี่เกี๊ยวออกไปก่อนเถอะค่ะ”

ผู้จัดการนางแบบสาวอ้าปากค้าง ไม่อยากเชื่อว่าวาดตะวันคิดจะกันเธอออกไปง่ายๆ แทนที่จะเลือกสวมไว้เป็นเกราะป้องกันสักด่าน มีเธอเป็นหัวหลักหัวตอสักคน เคียงฟ้าจะได้ไม่กล้าทำอะไร

แต่ที่ไหนได้...

“ตายจริง ลืมไปว่าข้างนอกฝนตก ที่นี่ห้องก็คับแคบ พี่เกี๊ยวคงต้องอยู่ต่อแล้วล่ะค่ะ ข้างนอกทั้งเปียกทั้งหนาว ฉันให้พี่เกี๊ยวป่วยไม่ได้”

วาดตะวันทำหน้าเสียดาย แต่สำหรับฉันทยาหล่อนแทบร้องกรี๊ดให้กับแผนการของวาดตะวัน จงใจไล่ไปตามมารยาท แต่เพราะไล่ไม่ได้ เธอจึงได้อยู่ต่อ

เคียงฟ้าหน้าปั้นปึ่งขึ้นมา แต่ก็รีบรักษาอากัปผู้ดีที่ตัวเองมั่นใจว่ามีไม่แพ้วาดตะวันไว้ได้ เปิดเรื่องที่เธอคิดว่า การมาที่นี่ในวันนี้ คือการปรานีอีกฝ่ายอย่างถึงที่สุดแล้ว

“คุณไม่ควรจะอยู่ที่นี่นะคะ”

...............

คุณ konhin รอดูว่าวาดตะวันจะทำอะไรต่อนะคะ

คุณ ใบบัวน่ารัก อยากพาลูกขุนมาป่วนนะคะ แต่กลัวมาแย่งซีน ฮา

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เพิ่งผ่านอาทิตย์วุ่นวาย รีบหาเวลามาอัพให้เลย ^^



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ม.ค. 2558, 00:30:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ม.ค. 2558, 01:04:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 1049





<< บทที่ 5   บทที่ 7 >>
konhin 13 ม.ค. 2558, 01:27:23 น.
เฮ้อ คุณแม่ก็นะ ปิดหูปิดตา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account