หะบีบี้...สุดที่รักของผม

หะบีบี้ น้องนุจสุดท้องแห่งตระกูลโสพณพสุธ
จะทำเช่นไร...

เมื่อการกลับสู่บ้านเกิดกลายกลับตาลปัตร
เป็นบ้านหลังอื่นที่ไม่เคยมีใครรู้ว่ามีอยู่จริงบนโลกนี้

"ดินแดนที่ไม่มีปรากฏบนแผนที่โลก"

ปรากฏแก่สายตา...



"คนแปลกหน้า" เธอคือคนแปลกหน้าสำหรับคนบนดินแดนนี้
และคนบนดินแดนนี้ก็คือ คนแปลกหน้าสำหรับเธอเช่นกัน


คนแปลกหน้าอย่างเธอจะต้องทำเช่นไรในดินแดนใหม่...

เมื่อการกลับสู่อ้อมอกพ่อแม่พี่น้องกลายกลับเป็นความว่างเปล่า

และเขา...คือ 'ภัยคุกคาม!'

ที่กำลังก่อกวนหัวใจเธอนับแต่วินาทีแรกที่ได้เจอ...

เขา...ผู้เป็น...อัศวินขี่ม้าขาวในฝันของเธอมาตลอด...
คนที่เธอเฝ้ารอคอยว่าจะได้เจอในความจริงสักครั้ง...

หากความจริงที่เจอ...กลับพลิกผันชีวิตเธอไปตลอดกาล...



Tags: รักโรแมนติก เพ้อฝัน ความลี้ลับ วิทยาศาสตร์ มุสตอฟา หะบีบี้ โสภณพสุธ

ตอน: บทที่ 13 ปฏิทินกับนาฬิกา


ขออภัยนักอ่านที่ติดตามอ่านผลงานเรื่องนี้ของเต่าโยอยู่นะคะ...
เต่าโยมิได้หายไปไหนเลย ยังเข้ามาทุกวัน
เพียงแค่เอาเรื่องนี้ไปดองเอาไว้ในขวดโหลแต่ก็ได้แช่อิ่มให้แล้วด้วยน้า...
เลยมีฉากหวานๆ ไม่มากไม่มายมาให้ชิมกันค่ะ...ไม่มาม่าจ๊ะ...เฮะๆ
ตอนนี้เลยได้เวลาเปิดขวดโหลที่ว่าแล้ว...




-------------------------------------------------------

คนที่บอกว่าไม่ได้หึงต้องมานั่งหน้าตึงเมื่อเห็นแขกสาวหน้าตาสะสวยมากๆ
ยากท่ีหญิงใดจะต่อกรได้กำลังนั่งพูดคุยอยู่กับท่านผู้นำแห่งดินแดน
พร้อมพรั่งไปด้วยมารดาของนางและมารดาของท่านประมุขอย่างสนิทสนม
กลมเกลียวและเป็นกันเอง…จนคนที่ไม่ได้หึงทำท่าว่าจะนั่งก้นไม่ติดหินขึ้นมา
ทั้งๆที่แผ่นหินที่เอาไว้รองก้นนั้นแสนจะเย็น…
เธอจึงอาสาเข้าครัว เพราะตกปากรับคำท่านผู้นำไปแล้วว่าจะปรุงอาหารให้ทาน

หอยนางรมที่เขานำมาแช่เอาไว้ในน้ำจึงถูกนำมาปรุงเป็นแกงจืด
เครื่องปรุงในครัวของเขานั้นมีมากมายก็จริง แต่เธอรู้จักเพียงแค่เกลือกับน้ำตาลทราย
และน้ำผึ้งเพียงเท่านั้น…น้ำปลา โชหยุ ซอสหอยนางรม ซอสผัดผักอะไรเทือกนั้น
ไม่เห็นมีเลย…ผงปรุงรสที่ช่วยยกระดับรสชาติของอาหารก็ไม่มี…

ดังนั้น…งานนี้หะบีบ้ีจึงพยายามใช้ความสามารถในการปรุงโดยมีเครื่องปรุงแค่เกลือ
กับน้ำตาลให้เกิดประโยชน์สูงสุด…ทำไปก็ชิมไปตลอด…

และเพียงไม่นานก็มีลูกมือเข้ามาช่วย จะว่าเป็นลูกมือเธอคงไม่ได้
เพราะว่าแขกสาวผู้สวยอย่างเหลือเชื่อมีฝีมือการทำอาหารขั้นสูง
คล่องแคล่วจนเธอได้แต่ยืนมองอยู่ห่่างๆเพราะทำอะไรไม่ถูก…

มือเรียวสวยเหมือนลำเทียนดูจะหยิบจับเครื่องปรุงต่างๆในครัวแห่งนี้อย่างคล่องแคล้ว
แล้วอย่างนี้แกงจืดท่ีมีเครื่องปรุงแค่เกลือกับน้ำตาลของเธอจะไปสู้อะไร
กับอาหารของแขกสาวผู้นี้ได้เล่า

…สักวันหนึ่ง เธอจะต้องศึกษาเรื่องเครื่องปรุงในครัวนี้ดูบ้างแล้วล่ะ
ว่ามันเอาไปทำอะไรได้บ้าง…

แม้จะอยากเรียนการทำอาหารกับหญิงสาวผู้นี้ หะบีบี้ก็ออกจะกระดากอายอยู่ไม่น้อย…

อยากรู้เหลือเกินว่า คนท่ีทำอาหารเก่งระดับเซียนอย่างพี่จาลัลของเธอ
ถ้าได้มาเจอเครื่องปรุงที่ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่รู้ว่าเอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง
อย่างเธอในขณะนี้เข้า…จะทำหน้าแบบไหน…แล้วยังจะมีหน้าบอกใครๆ
ว่าฉันทำอาหารเก่งจนทุกคนต้องซูฮกให้ได้อีกต่อไปหรือเปล่า…

นี่ถ้าเกิดว่าท่านผู้นำเกิดเห็นข้อบกพร่องชิ้นโตของเธอในเรื่องการปรุงอาหารให้เขากิน
จนใช้เป็นเหตุผลให้ต้องหาภรรยาที่เก่งเรื่องนี้เพิ่มขึ้นมาอีกคน…กลายเป็นสอง…
เธอจะทำอย่างไรล่ะ…

เขาเป็นผู้นำเขาย่อมมีสิทธิ์ที่จะแต่งหญิงใดที่เขาพอใจก็ได้นี่นา…
แม้จะไม่หึง แต่เธอคิดว่า…ไม่ควรเปิดทางให้เขาหาข้ออ้างที่จะสร้างเป็นเงื่อนไข
เพื่อหาเหตุผลในการแต่งงานเพิ่มอีกคนได้เด็ดขาด

…เธอต้องเป็นให้ได้ทุกอย่างที่เขาปรารถนาจากสตรีสิ…

หะบีบี้ของคุณย่าอะมานีเป็นสตรีที่มีความพยายาม…ขนาดคุณย่าบอกให้เรียน
สิบกว่าภาษา เธอก็พากเพียรมุมานะจนรู้ภาษามาได้ตั้งสิบกว่าภาษา…

ดังนั้น…ถ้าเธอพยายาม…เธอต้องทำได้ทุกอย่างสิ…แม้ตอนนี้จะทำไม่ได้เรื่องสักอย่าง
ปลูกข้าวก็ไม่เอาไหน สร้างเรือก็ไม่ได้ ทำกับข้าวที่คนแถวนี้กินเป็นก็ไม่ได้เรื่อง

และที่สำคัญ…เรื่องบนเตียงอย่าให้พูด...หะบีบี้ไม่กล้า…
ใจไม่ถึงแถมยังปอดแหกเป็นที่สุด…

แล้วถ้าหญิงสาวข้างๆคนนี้เกิดกล้าเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ…

โอ้…อกหะบีบี้ต้องแตกเหมือนนางผีเสื้อสมุทรตอนโดนปี่พระอภัยมณีเป่าใส่หูแน่ๆ

…ไม่เอา เธอไม่อยากเป็นอย่างผีเสื้อสมุทร…คิดไปคิดมา คนไม่หึงเริ่มจิตตก…



เมื่อสำรับอาหารถูกวางลงบนโต๊ะอาหาร ทุกคนล้อมวงพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว…
หะบีบี้มองอาหารมากมายบนโต๊ะที่หน้าตาน่ากินและดูประณีตสวยงาม
พลางลอบกลืนน้ำลายลงคอ…เพราะแกงจืดหอยนางรมของเธอดูจืดสมชื่อไปเลยทีเดียว
เมื่อวางรวมกันกับชาวบ้านเขา...

และดูเหมือนมันจะถูกเมินจากทุกคนบนโต๊ะ…ยกเว้น…ท่านผู้นำ
ที่ดูจะหามันจนเจอ…แถมยังตักกินโดยไม่สนใจอาหารอย่างอื่นเลย…

เขากินเงียบๆ ไม่พูดไม่ชื่นชม ใบหน้าเรียบๆไม่บ่งบอกว่าแกงจืดของเธอ
มันขาดหรือมันมีอะไรเกินไปจนทำให้ไม่อร่อยหรือไม่…ไม่มีความเห็น
ไม่มีคอมเม้นท์…แต่กินจนเกลี้ยง…จนผู้เป็นมารดาถึงกับส่งเสียงทักขึ้น

“ชอบหรือมุสตอฟา…” เขาเงยหน้าขึ้นจากจานข้าวก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ

“ตอนแรกแม่ก็อยากจะลองชิิมดูบ้าง เห็นเจ้ากินมันอย่างเดียวไม่สนอย่างอื่น…
แม่จึงไม่อยากแย่งเจ้ากิน…”คนพูดเหมือนจะเย้าลูกชายอยู่ในที…
ส่งผลให้หะบีบี้ลอบยิ้มที่อย่างน้อยก็มีคนสนใจอาหารที่เธอทำ

“ช้าไปแล้วท่านแม่…ลูกกินหมดเสียแล้ว…” เขาว่ายิ้มๆก่อนจะยกผ้าขึ้นเช็ดมุมปาก…
ก่อนจะหันมายังหะบีบี้ที่นั่งอยู่ข้างๆ ถามความเห็นเธออย่างอ่อนโยนในที

“เจ้าเล่า…ชอบอาหารที่สุมายาปรุงหรือไม่…” หะบีบี้พยักหน้า

“ชอบมากเลยท่าน…สุมายาปรุงอาหารได้เลิศรสยิ่งนัก…” หะบีบี้เอ่ยด้วยความจริงใจ
เพราะอาหารที่แขกสาวปรุงขึ้นโต๊ะรสชาติอร่อยทุกอย่าง

ซึ่งคำชมดังกล่าวส่งผลให้คนปรุงก้มหน้าซ่อนอย่างขวยเขิน…

“ระหว่างที่สุมายาอยู่กับเราที่นี่…เจ้าจะเรียนการเรือนกับนางก็ย่อมได้
สุมายาเป็นครูสอนการเรือนในดินแดนนี้…”

นั่นคือคำตอบว่าทำไมหญิงสาวผู้สวยอย่างเหลือเชื่อที่นั่งตรงข้ามกันกับเธอ
ถึงได้ดูคล่องแคล้วเหลือเกินยามเมื่ออยู่ในห้องครัว…ราวกับว่ามันคืออาณาจักรของเธอ

“ข้ายินดีหากชายาท่านพี่มุสตอฟาปรารถนา…” แขกสาวเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าแววตา
เต็มอกเต็มใจยิ่งนักที่จะได้ทำหน้าที่เป็นครูสอนการเรือนให้หญิงสาวที่เป็นชายาของผู้นำ…

“ข้าปรารถนาที่จะเล่าเรียนเรื่องการเรือนกับท่าน…สุมายา…”
หะบีบี้ยิ้มรับคำเชิญชวนนั้นอย่างไม่อิดออด…เรื่องจึงลงเอยง่ายขึ้น…


หลังมื้อค่ำ ทั้งหมดนั่งรวมกันในห้องโถงที่เปิดโล่ง พูดคุยกันเรื่องอายุอานามของแต่ละคน…

“ท่ีนี่มีการนับกันอย่างไรหรือท่าน…”

หะบีบี้เอ่ยถามขึ้นทันทีเม่ือสบโอกาส

“เรานับตามดวงจันทร์…" เสียงนั้นบอกก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า

"ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์บนท้องฟ้าคือเครื่องหมายให้รู้ถึงวันเดือนปีและฤดูกาลต่างๆ
และใช้มันทั้งสองในการนับอายุสิ่งต่างๆ รวมทั้งกำหนดพิธีกรรม
ใช้สำหรับระบุในการบันทึกเหตุการต่างๆที่สัมพันธุ์กับชีวิตประจำวันของมนุษย์…”

ท่านผู้นำคือผู้ไขข้อข้องใจดังกล่าวของหะบีบี้พร้อมทั้งพูดเสริมอีกว่า

“หนึ่งวันจะเกิดขึ้นด้วยการโคจรของดวงอาทิตย์…
เดือนหนึ่งจะเกิดขึ้นด้วยการโคจรของดวงจันทร์…และปีจะเกิดขึ้นด้วยการคำนวณ
จำนวนของวันและเดือน…สำหรับดินแดนนี้…เรามีปฏิทิน…”

หะบีบี้คลี่ยิ้มก่อนจะซักถามเขาด้วยความสนใจใคร่รู้ที่เป็นนิสัยติดตัวมาแต่กำเนิดว่า

“แล้วมีการนับวันนับเดือนลักษณะเช่นใดหรือท่าน…”

ท่านผู้นำสบตาที่เป็นประกายใคร่รู้ของหญิงสาวจากต่างแดนแล้วยิ้มบาง
ในขณะท่ีคนอื่นๆนั่งนิ่งๆ เพราะรู้ในเรื่องดังกล่าวดีอยู่แล้ว จึงมิได้สนใจใคร่รู้ในเรื่องนี้…
หากจะขัดหรือเปลี่ยนเรื่องคุยเสียก็จะเป็นการเสียมารยาท

“เมื่อตะวันตกดิน…นั่นเป็นสัญญาณของการสิ้นสุดของวันในปัจจุบัน
และเป็นจุดเริ่มต้นของวันใหม่…เพราะเมื่อช่วงตะวันตกดิน
จะสัมพันธ์กับวิถีโคจรของดวงจันทร์…ดวงจันทร์ที่บ่งบอกการเริ่มเดือนใหม่
ก็คือเมื่อดวงจันทร์หายไปจากท้องฟ้า เป็นคืนเดือนมืด เราจะเริ่มรอคอย
การปรากฏของดวงจันทร์ตรงขอบฟ้าด้านทิศตะวันตก

เพราะเมื่อตะวันตกดิน…ดวงจันทร์เสี้ยวของข้างขึ้นหนึ่งค่ำจะห้อยหรือปรากฏให้เห็น
ตรงขอบฟ้าและจะค่อยๆหายไปทางทิศตะวันตกในไม่กี่เพลาต่อมา…

นั่นคือการเริ่มต้นวันใหม่พร้อมๆกับเดือนใหม่ไปด้วยกัน”

หะบีบี้พยักหน้าอย่างเข้าใจ

“และเมื่อเราเห็นดวงจันทร์เต็มดวงปรากฏตรงขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก
นั่นหมายถึงกลางเดือน อาจจะเป็นสิบสี่หรือสิบห้าค่ำ สุดแล้วแต่ว่า
เดือนๆนั้นจะมีกี่วัน…ซึ่งแน่นอนว่า…ในหนึ่งเดือนของเรา จะมีแค่
ยี่สิบเก้าวันหรือสามสิบวันเท่านั้น…ไม่น้อยกว่านั้นและไม่มากไปกว่านั้น…

เพราะนั่นคือวิถีโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่สอดประสานกัน
จนเกิดเป็นวันเดือนปี…เพราะในหนึ่งปีถูกำหนดให้มี 12 เดือน
ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้นเช่นกัน…ดังนั้นหนึ่งปีของเรา…จึงมี 354 วัน…”

หะบีบี้ยิ้มกริ่มเมื่อรู้ว่าดินแดนนี้นับปฏิทินแบบจันทรคติ…
เธอจึงบอกรายละเอียดเขาเพิ่มเติมไปอีกว่า

“354 วัน 6 ชั่วโมง 48 นาที 36 วินาที…” สิ่งที่หญิงสาวบอกนั้นทำเอาผู้ฟัง
ที่นั่งอยู่ในที่นั้นทั้งหมดถึงกับเลิกคิ้วสูงราวกับไม่เข้าใจในสิ่งทีอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นมา

หะบีบี้ยิ้มบางเมื่อรู้สึกสะกิดใจกับอะไรบางอย่าง
เพราะเธอใช้ภาษาอาหรับสมัยใหม่ในการเรียกชั่วโมง นาที และวินาที

และผู้ที่ติดตามการเคลื่อนไหวของวัตถุบนท้องฟ้าเช่นเธอและคนในตระกูล
ย่อมคำนวณเรื่องดังกล่าวได้ไม่ยากเมื่อมีอุปกรณ์และเครื่องมือเพื่อสิ่งนี้…

“หน่วยย่อยต่อจากวันที่ข้าเอ่ยนั้น…เราเรียกมันว่าหน่วยของเวลา…
ในดินแดนข้ามีการคำนวณเวลาด้วย ที่นี่มีการคำนวณเวลาเช่นไรหรือ”

หะบีบี้ถามอย่างต้องการทราบว่าที่นี่มีนาฬิกาหรือเครื่องมือสำหรับคำนวณเวลาหรือไม่

“เวลาที่เจ้าบอก…ไม่มีใครนิยามมันได้ดอก…เราพยายามคิดค้นเคร่ืองมือต่างๆ
เพื่อที่จะใช้บ่งชี้เวลา แต่ท้ายที่สุดแล้ว เวลาช่างเป็นเรื่องที่ยากจะหาความหมายที่แท้จริงได้…
เราจึงเลิกสร้างสิ่งประดิษฐ์เพื่อคำนวณเวลา มีเพียงแต่คำนวณเวลาด้วยการมองดูเงา
ของสิ่งของต่างๆเท่านั้น…เพราะเงาที่ตกกระทบบนสิ่งของนั้นสะท้อนความจริงแท้
ของเวลาภายใต้การโคจรของดวงอาทิตย์ได้มากที่สุด…
โดยผสมผสานจากการดูวิถีของดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าในการทำมุมกับมนุษย์…

และแน่นอน...เมื่อเจ้าสังเกต…เจ้าจะรู้ว่าวันในแต่ละวันนั้น ดวงอาทิตย์ใช้เวลา
ในการเดินทางไม่เท่ากัน…ข้าจึงบอกว่า…ไม่มีเครื่องมือใดจะช่วยเราคำนวณเวลา
ให้สอดประสานกับการเดินทางของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ได้แม่นยำ…
และเจ้าจักเข้าใจอีกว่า…ดวงอาทิตย์มีวิถีโคจรที่แคบลงเรื่อยๆ…

พวกเราที่ทำนาทำสวนทำไร่ย่อมรู้ดี…ว่าดวงอาทิตย์ตกดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ…
และในบางครั้งก็ช้า…เราจึงไม่อยากสร้างความสับสนให้ผู้คน
ด้วยการหาสิ่่งใดมาเพื่อเป็นตัวบ่งชี้เวลาในแต่ละวัน…

เราอยากให้ทุกคนสัมผัสกับความจริงของโลกและจักรวาลนี้…
เราจะได้ไม่ลืมว่า…เรานั้นมิใช่ผู้กำหนดหรือบริหารกลไกต่างๆของสิ่งดังกล่าวเลย…

สิ่งดังกล่าวอยู่นอกเหนือจากการควบคุมและบริหารของเรา…”

ท่านผู้นำสรุปจนคนฟังถึงกับมิอาจหาสิ่งใดมาคัดค้านได้
อาจจะถูกของเขาที่ว่าเรื่องของเวลานั้นยากจะนิยามได้…

เมื่อก่อนไปไหนมาไหนเธอขาดนาฬิกาไม่ได้ ทุกคนใช้นาฬิกาในการนัดหมาย…
เราทุกคนจึงมองหน้าปัดนาฬิกามากกว่าจะแหงนหน้ามองดวงอาทิตย์
ที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้าหรือเฝ้ามองเงาที่กระทบสิ่งของเสียด้วยซ้ำไป...

จนกระทั่งเธอได้มาอยู่ในดินแดนแห่งนี้ และนาฬิกาพกพาของเธอตาย…
ซากของมันคงอยู่ท่ีไหนซักแห่งในซากเครื่องบินนั่น…มันอาจจะยังคงเดินอยู่ก็ได้…
แม้เปอร์เซ็นความเป็นไปได้จะน้อยนิดก็ตาม…

เพราะครั้งสุดท้ายที่เธอได้เห็นมันเคลื่อนไหวก็คือตอนที่เธอฟุบลง
เมื่อเครื่องบินโดนมือที่มองไม่เห็นกระชาก นาฬิกาของเธอหมุนด้วยความถี่ที่ไม่เท่าเดิม
รอบของมันรวดเร็วจนเธอถึงกับจ้องมันนิ่ง แทบลืมความอลหม่านโดยรอบด้วยซ้ำ

ไม่แปลกเลยที่เครื่องมือในเครื่องบินลำดังกล่าวจะปั่นป่วนได้ขนาดนั้น
เพราะขนาดนาฬิกาเธอยังเดินสะเปะสะปะเลย…

และมันหยุดเดินเมื่อสติเธอดับ…

มือเธอยังกำมัน...เธอจำได้ว่ามันคือสิ่งสุดท้ายที่เธอกำเอาไว้มั่น

…เพราะนาฬิกาเรือนนั้น...บิดากับมารดาซื้อให้เธอเป็นของขวัญวันเกิดครั้งล่าสุด!

และมันไม่ใช่นาฬิกาธรรมดาที่หาได้ทั่วไป…เพราะมันถูกสั่งทำพิเศษ

นี่ถ้าเขาไม่พูดถึงเรื่องเวลา…เธอคงจะลืมมันไปแล้ว…และพอนึกได้
ความต้องการที่จะค้นหามันจึงบังเกิดขึ้นในหัวใจ…

“เจ้าเป็นอะไรไปหรือ…” เมื่อเห็นว่าสีหน้าของคนฟังดูซีดลง แววตามีแววหมองเศร้า
มุสตอฟาจึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความห่วงใย ทุกคนก็เฉกเช่นกัน…

“ข้าคิดถึงนาฬิกา…เอ่อ…มันคือเครื่องมือที่ดินแดนข้าคิดค้นเพื่อที่จะคำนวณเวลา…
บิดามารดาของข้าสั่งทำมันขึ้นมาเป็นพิเศษ...ไม่เหมือนใคร…
มีเพียงชิ้นเดียวในดินแดนข้าเท่านั้น…และ…และข้าได้ทำมันหายไปกับเครื่องบินลำนั้น…
หายไปในซากนกเหล็กที่ท่านนำข้าออกมา…มันคงหยุดการเดินทาง
หรืออาจจะตายไปแล้วก็ได้…”

น้ำเสียงตอนท้ายประโยคฟังดูเศร้าจนคนฟังจับความรู้สึกนั้นได้…

“ท่านพูดถูก…ไม่มีสิ่งใดที่จะอยู่เพื่อคำนวณเวลาอันแท้จริงได้…
เวลาที่แท้จริงไม่มีใครเข้าใจมันได้…ไม่มีใครรู้นิยามที่แท้จริงของมันได้…
ไม่มีใครจะเข้าถึงมัน…แม้แต่นาฬิกาเรือนนั้นยังมีวันหยุดการเดินทาง…
ในขณะที่เวลาไม่เคยหยุดเดิน…เพราะเวลามันอยู่นอกระบบที่เราจะหยั่งถึง…
หรือเข้าไปควบคุมการเดินทางของมันได้…มันมีมาแต่เดิมก่อนที่จะมีเรา
หรือมีเครื่องมือมาคำนวณมัน…เราไม่เคยควบคุมมันได้…มันนั่นแหล่ะที่มีมา
เพื่อควบคุมเรา…ควบคุมกลไกของเรา…และควบคุมระบบของจักรวาลนี้…”

ที่เขาบอกว่านาฬิกาบอกเวลาน่าจะไม่ใช่ความจริงแท้
เพราะเมื่อมาอยู่ในดินแดนนี้…นี่คือคำตอบว่า แม้ไม่มีนาฬิกา
เวลาก็ยังบอกอะไรบางอย่างเธออยู่ตลอดเวลา

…บอกว่ามันไม่ได้หยุดนิ่งเหมือนเข็มนาฬิกาของเธอ…

“บิดามารดาเจ้าคงเป็นทุกข์มิใช่น้อยที่ต้องพลัดพรากจากเจ้า…”

เสียงของสตรีสูงวัยซึ่งเป็นแขก ผู้เป็นมารดาของสุมายาเอ่ยแทรกขึ้น
ด้วยน้ำเสียงและแววตาเห็นอกเห็นใจ…หะบีบี้จึงหันไปยิ้มให้ท่าน

“เรายังคงคิดถึงกันและกัน…เวลาที่ผ่านพ้นไปทำอะไรเราไม่ได้…”
หะบีบี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาเป็นประกายเจิดจ้า…

“อีกทั้ง…ระยะทางก็ไม่เคยทำให้ความรักของเราเจือจาง…”

“ข้ายังมิรู้เลยว่าตอนนี้เจ้าอายุเท่าไหร่…” ผู้เป็นมารดาของท่านผู้นำแห่งดินแดนนี้เอ่ยขึ้น
เพื่อนำไปสู่เรื่องใหม่ที่จะไม่ทำให้บรรยากาศมัวหมองลง

“วันสุดท้ายในดินแดนข้าน้ัน…ข้ามีอายุหนึ่งหมื่นสองร้อยเก้าสิบหกวัน
หรือ ยี่สิบเก้าปีกับอีกหนึ่งเดือนสำหรับการคำนวณในดินแดนของท่าน
หรือยี่สิบแปดปีในการคำนวณตามสุริยะคติที่คนในดินแดนข้าใช้กันทั่วไป…”

หะบีบี้ตอบอายุเป็นจำนวนวันทำเอาท่านผู้นำถึงกับคลี่ยิ้มขณะบอกว่า

“ส่วนข้านั้นมีอายุหนึ่งหมื่นสี่พันสองร้อยวัน…หรือสี่สิบปีกับอีกสี่สิบวัน”

เมื่อได้รับฟังอายุของเขาเป็นจำนวนวัน หะบีบี้ก็รีบเอาจำนวนวันของเขา
หารด้วยจำนวนสามร้อยหกสิบห้าวันทันที ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อรู้ว่า
ถ้านับตามสุริยคติแล้วล่ะก็…

“ถ้านับตามที่ดินแดนข้านิยมนับกัน…ท่านก็จะมีอายุเพียงสามสิบแปดปีกว่าๆ…
ซึ่งมีอายุอ่อนกว่าเกือบสองในดินแดนนี้ด้วยซ้ำ…

แล้วท่านกับข้าก็มีอายุห่างกันสามพันเก้าร้อยสิบวันหรือสิบเอ็ดปี
ตามที่นับกันในดินแดนนี้…”

คนที่อายุมากกว่าเธอถึงสิบเอ็ดปีถึงกับนิ่งอึ้ง เพราะคิดไม่ถึง
ว่าตัวเองกับภรรยาจะมีช่องว่างระหว่างวัยกว้างกันขนาดนี้…

ส่วนสุมายาเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็พลอยก้มหน้าราวกับว่าการกระทำเช่นนั้น
จะช่วยเธออำพรางอายุเอาไว้ได้…

และเหมือนหะบีบี้เองดูจะสนใจใคร่รู้เป็นหนักหนาว่าหญิงงามตรงหน้า
ที่มีใบหน้าผุดผ่องอำไพแลดูเยาวัยกว่าเธอนั้นจะมีอายุเท่าใด

“ท่านเล่าสุมายา…” คำถามเช่นนี้ก่อให้เกิดความเงียบงันไปชั่วครู่
ก่อนที่คนโดนถามจะเงยหน้าขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม…

“ข้ามิอาจคำนวณเป็นวันได้ เพราะไม่เก่งเรื่องคำนวณ แต่ข้าอายุสามสิบสามปี…”

หะบีบี้ตกใจตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าอายุมากกว่าตนถึงสี่ปี…
ทั้งๆที่ใบหน้าดูอ่อนกว่าเธออยู่ไม่น้อย…

ตายแล้วบีบี้…เธอต้องส่องกระจกดูอีกครั้งว่าทำไมหนังหน้าของตัวเอง
ถึงได้ดูแก่กว่าวัยสำหรับคนในดินแดนนี้นัก…

ถ้าสุมายาสามสิบสาม ซึ่งมีหน้าตาอ่อนวัยกว่าเธอราวๆสามปี…
หนังหน้าเธอสำหรับคนในดินแดนนี้ก็คงอยู่ที่สามสิบหกสินะ

…โอ้…มันดูจะเข้าใกล้อายุท่านผู้นำเข้าไปอีกโข…

ไม่แปลกที่พวกเขาจะตกใจเมื่อรู้อายุตามวันเวลาที่เธอเกิดมาในโลกใบนี้เลย…
ไม่แปลกสักนิด…เพราะหน้้าตาเธอนำอายุไปเกือบเจ็ดปีเลยก็ว่าได้
ถ้าเปรียบเทียบกับหน้าตาของคนที่นี่…

แต่…ไม่อยากจะบอกเลยว่า หะบีบี้หน้าตาอ่อนกว่าวัยมากเมื่ออยู่ในดินแดนของตัวเอง…
มีแต่คนบอกว่าเธออายุยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองปีด้วยซ้ำ

…เพิ่งรู้ว่าอายุใบหน้ามันก็ไม่ได้ผกผันไปตามกาลเวลาที่ผ่านพ้นไปเสมอ…
มันคงมีปัจจัยมากกมายที่ทำให้คนที่นี่มีใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์กว่าคนในดินแดนเธอ
อยู่หลายเท่า…อาจจะเป็นเรื่องของอากาศและอาหารการกินก็เป็นได้…

ซึ่งเรื่องนี้หะบีบี้ต้องสืบ!

“ท่านดูจะมีอายุน้อยกว่าข้าเสียด้วยซ้ำไปท่านสุมายา…” หะบีบี้พ้อ
ก่อนจะหันไปยิ้มให้ท่านผู้นำที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันนัก…

เขากระตุกยิ้มที่มุมปากก่อนจะพูดในสิ่งที่ทำให้เธอถึงกับอึ้งในหัวของการคำนวณ
ย้อนวันเวลาของเขา…ดั่งกับว่าเขามีปฏิทินย้อนเวลาอยู่ในหัว

“เจ้ามาอยู่ในดินแดนนี้ได้สิบวัน…เมื่อข้าลองคำนวณเล่นๆก็พบว่า
เจ้าอาจจะเกิดในวันและเดือนเดียวกันกับข้าเพียงแต่ต่างปีกันเท่านั้น

เพราะตอนนี้เจ้ามีอายุหนึ่งหมื่นสามร้อยหกวัน…ซึ่งก็เท่ากับ
ยี่สิบเก้าปีกับอีกสี่สิบวัน…ส่วนข้าสี่สิบปีกับอีกส่ีสิบวัน…”

หะบีบี้มองคนที่มีอายุสี่สิบปีกับอีกสี่สิบวันนิ่ง…เพราะนึกรู้ได้ว่าที่เขานั่งนิ่งๆนั้น
เพราะกำลังนั่งเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับเธออยู่นี่เอง…

ไม่อยากจะคิดเลยว่าเธอจะมีความสำคัญให้เขาครุ่นคิดได้ถึงเพียงนี้…
จะมีใครสักกี่คนในโลกนี้ที่ใส่ใจเธอขนาดนี้…ยกเว้นคุณย่ากับบิดามารดา
ที่นับวันเวลาให้กับเธอและลูกๆทำให้เรารู้ว่าเมื่อวันเกิดมาเยือนในแต่ละปีนั้น…
เรามีอายุกี่วันกี่ชั่วโมงกี่นาทีก่ีวินาทีแล้ว…
มิใช่กี่ปีโดดๆอย่างที่คนอื่นๆหรือครอบครัวอื่นๆโดยทั่วไปเขานับกัน

และนั่นคือ…บันทึกของแม่เธอ ผู้ที่ละเอียดในทุกๆกิจการ…

ส่วนเรื่องเวลาที่ลูกคลอดหรือเวลาตกฟากนั้น บิดาของเธอคือผู้จดบันทึกเอาไว้
อย่างแม่นยำเลยทีเดียว เพราะไม่เคยเลยสักครั้งที่จะพลาดในการอยู่ร่วม
ให้กำลังใจมารดาของเธอขณะคลอด…และลูกทุกคนคลอดด้วยฝีมือของบิดาทุกคน…

พ่อเธอบอกว่า คนอื่นนับเอาเวลาตกฟากตอนไหนไม่รู้
แต่พ่อจะนับเวลาตอนที่ลูกโผล่หัวออกมาจากช่องคลอดแม่เป็นเวลาตกฟาก
และพ่อไม่เคยลืมที่จะจ้องนาฬิกาเพื่อจดจำมันเอาไว้ในสมอง
ก่อนจะนำเวลาดังกล่าวไปบันทึกลงในประวัติการคลอด…

ซึ่งดูเหมือนท่านผู้นำในดินแดนนี้เองก็มีความละเอียดเช่นนี้เหมือนกัน

อยากตบรางวัลให้ แต่ใจไม่กล้าพอ!




เมื่อเสร็จสิ้นจากบทสนทนา ทั้งหมดก็ร่วมกันทำละหมาดด้วยกัน
โดยมีท่านผู้นำนำการละหมาดในครั้งนี้…ซึ่งปกติแล้วท่านผู้นำจะไป
ร่วมละหมาดกับทุกคนในมัสยิดกลาง…เพียงแต่ช่วงที่มีหญิงต่างแดน
เข้ามาร่วมชายคาแล้วนั้น…เขาจำเป็นต้องมอบหมายหน้้าที่ในการนำละหมาด
ให้กับสหายคนสนิทแทนจนกว่าทุกอย่างจะเข้าสู่สภาวะปกติ…
เขาจึงจะกลับไปทำหน้าที่นำละหมาดต่อ…

และเมื่อหะบีบี้ทราบเรื่องจึงกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงที่แฝงความรู้สึกผิดเอาไว้ว่า

“ข้าปรับตัวได้แล้ว…ท่านอย่าได้กังวลอันใดเลย…มีเพียงเนมาคอยดูแลข้า
ในยามที่ท่านต้องไปปฏิบัติหน้าที่ก็เพียงพอแล้ว…

ข้าแสนจะภูมิใจที่ท่านได้ออกไปทำหน้าที่ของบุรุษ…เพราะข้าสำเหนียก
ได้ว่าสามีของข้าคือท่านผู้นำสูงสุด…”

หะบีบี้กล่าวกับเขาขณะที่เขาโอบเธอแล้วพามานั่งยังตั่งท่ีนั่งตรงช่องหน้าต่างที่เปิดให้เห็น
ดวงดาวบนท้องฟ้าในห้องนอนส่วนตัว…

“ขอบใจที่เจ้าเข้าใจข้า…ข้าเพียงเป็นห่วงเพราะเจ้าเป็นสตรีที่พลัดหลงมาย่อมหวาดหวั่น
หวาดผวากับสิ่งรอบกาย…หวังเพียงแค่ให้เจ้าได้คุ้นชินกับที่นี่และผู้คนในดินแดนนี้…

อยากให้เจ้ารู้ว่าข้าและผู้คนที่นี่ยินดีต่อการมาของเจ้า…
พวกเราไม่คิดจะดูดายเจ้าเลยแม้เพียงนิด”

ว่าพลางรั้งร่างบางให้นั่งลงบนตักของเขาก่อนจะโอบเอาไว้ในอ้อมแขนหลวมๆ…

“ขอบคุณเหลือเกินในความกรุณาของท่าน…” หะบีบี้คลี่ยิ้มขณะเอื้อนเอ่ย

“สี่สิบปีที่ข้ารอคอยการมาของเจ้า…มันคุ้มค่าเหลือเกินหะบีบี้…”

เขาเอ่ยขณะวางปลายคางลงตรงบ่าของเธอ…ใกล้กันจนได้กลิ่นอายของกันและกัน…

“ท่านโปรดอาหารที่ข้าทำหรือไม่…” อดไม่ได้เลยที่จะถามไถ่ความเห็นของเขา
ผู้ซึ่งมิเคยพูดปดแม้คำเดียว

“ข้าชื่นชอบทุกอย่างที่เจ้าทำให้ข้า…” มันยังไม่ตรงประเด็นที่ต้องการ

หะบีบี้จึงถามต่ออย่างใจเย็น หารู้ไม่ว่าคนที่กอดเธออยู่นั้นสามารถหยั่งรู้จิตใจผู้คนได้…
หากเขาก็ยังปรารถนาที่จะฟังน้ำเสียงของเธอ
ชอบมองเวลาที่เธอเอื้อนเอ่ยถ้อยคำต่างๆออกมา…มันเป็นเสน่ห์ที่ชวนมองยิ่งนัก

“รสชาติของมันถูกปากท่านหรือไม่…” มุสตอฟายิ้มบางอย่างอ่อนโยน

“เจ้ารู้หรือไม่ว่า…รสชาติของอาหารไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ตัวของอาหารเพียงอย่างเดียว…
หากมันยังขึ้นอยู่ที่คนทำกับคนที่กินมันด้วย…

แม้ใครๆจะบอกว่าอาหารจานนั้นอร่อยสักปานใด…
หากในยามที่เราเจ็บไข้ได้ป่วย…เราก็มิอาจกินมันอย่างอร่อยถูกปากได้…

เฉกเช่นกัน…แม้ในยามเจ็บป่วย หากมีคนที่เรารักคอยดูแลเอาใจใส่ป้อนอาหารให้…
แม้อาหารจะมีรสชาติเป็นเช่นใด…คนกินก็กินได้อย่างเอร็ดอร่อย…

และสำหรับอาหารของเจ้า…มันอร่อย…ข้าถึงได้กินจนเกลี้ยงไม่แบ่งใคร…”

แกงจืดที่ปรุงด้วยเกลือกับน้ำตาลโดยปราศจากสารแต่งเติมหรือผงชูรสใดๆนั้น
เธอรู้ว่ารสชาติมันแสนจะธรรมดา อาจจะเด่นขึ้นมาก็เพราะว่ามีหอยนางรม
ช่วยชูรสให้นั่นเอง…

หากมันก็แพ้จนเรียกได้ว่าทิ้งห่างกับรสชาติอาหารฝีมือของสุมายาไกลลิบ…

“แม้กระทั่งท่านแม่ยังอดมิได้ที่จะค่อนขอดข้า…” หะบีบี้ยิ้มหน้าบาน

“แล้วข้าชอบกินของหวานหลังอาหาร…”

หะบีบี้พลันนึกไปถึงโถน้ำผึ้งในห้องครัว…เมื่อเขาอยากกินเธอก็พร้อมจะปรนนิบัติให้…
ร่างบางจึงขยับจะลุกขึ้นจากตักของเขา…

ทว่ามือใหญ่กลับรั้งบ่าของเธอเอาไว้ให้นั่งลง

“เจ้าจะไปไหน…” เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยถามไถ่ แววตาประกายวาววาม

“ข้าก็จะไปหยิบโถน้ำผึ้งมาให้ท่าน…” มุสตอฟายิ้มบางเมื่อได้ฟัง
ก่อนจะก้มเอาแก้มสากแนบกับแก้มของเธอ โยกร่างบางเบาๆ

“ก็ข้ากำลังกอดโถน้ำผึ้งเอาไว้แล้วอย่างนี้ เจ้าจะไปเอามาให้ข้าอีกทำไม…
ข้ามิปรารถนาโถน้ำผึ้งใดอีกแล้ว…” หะบีบี้อึ้งไปสิบวินาที เมื่อรู้ว่าตัวเองคือโถน้ำผึ้ง

…โถน้ำผึ้งอย่างนั้นหรือ…โอ้ว…ไม่นะ!

ทว่า…ไม่ทันแล้ว…รู้ช้าไปแล้ว…เพราะโถน้ำผึ้งที่ว่าถูกเปิดผนึก
ด้วยกับริมฝีปากของเขาที่กำลังละเลียดริมฝีปากเธอก่อนจะเข้าไป
แสวงหาน้ำหวานในโถน้ำผึ้งอย่างผึ้งนักรบที่เชี่ยวชาญในศีกรัก…
ทำเอาคนที่ได้ชื่อว่าโถน้ำผึ้งถึงกับสำลัก สองมือรัวลงบนบ่าของเขา
ราวกับไม้ตีกลองที่รัวลงบนแผ่นหนังดุจคนที่กำลังจะจมน้ำ…

เขาจึงผละจากริมฝีปากของเธอในที่สุด…ทว่ายังคงจดจ้องริมฝีปากของเธอ
อย่างไม่ยอมลด-ละ-เลิก…

“ข้าจำได้ว่า…ได้เคยสอนเจ้าไปหลายต่อหลายคราให้เจ้าหัดหายใจในขณะจุมพิต…
หากเจ้าก็ยังหายใจไม่เป็น…” น้ำเสียงแววตาของเขาที่มองมายังเธอซ่อนแววซุกซนยิ่งนัก…
อยากจะบอกไปว่า…

เธอไม่ได้หายใจไม่เป็น แค่ลืมหายใจ…

เหมือนใจหายไปที่ใดสักแห่ง...ซึ่งเธอก็เคยคิดจะทำวิจัยด้วยซ้ำว่ามันหายไปที่ใด
ในยามที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้…

จุมพิตเขาทำเธอลืมหายใจได้ทุกครั้ง…
แต่เธอก็ไม่กล้าบอกไปตรงๆ ก็มันอายนี่…

“ไม่เป็นไร…ถ้าได้ฝึกฝนบ่อยๆเข้าเจ้าจักหายใจเป็น…ข้าขอยืนยัน
ถ้าเช่นนั้น…เรามาฝึกกันเถิด…” แล้วเขาก็โน้มใบหน้าลงมาแนบชิด

ทว่า คราวนี้ลูกปาดไหวตัวทันเลยรีบใช้แขนตวัดรอบอกเขา
แล้วซุกหน้าลงตรงแผงอกเขาแนบแน่น หนีริมฝีปากของงูยักษ์ที่กำลัง
ทำท่าจะกลืนกินลูกปาดอย่างเธอลงท้องเสีย…ส่งผลให้ได้รับเสียงหัวเราะเบาๆจากเขา
เป็นรางวัล

“เจ้าช่างเกเรยิ่งนัก…”

“ท่านก็ช่างซุกซนเหลือเกิน…” หะบีบี้ตอบกลับโดยมุดหน้้าเข้าหากำแพงแกร่ง
สองมือก็โอบกำแพงเอาไว้รอบเป็นการกระชับวงล้อมไม่ให้ผึ้งนักรบ
เข้าโจมตีโถน้ำผึ้งได้อย่างเมื่อครู่อีก เธอยังไม่อยากขาดใจตาย
ขอหายใจในท่านี้สักพักก่อนเถิด…

“เขาไม่เรียกว่าซุกซนดอก…เขาเรียกว่ากระชับความสัมพันธ์”

“จะกลืนกินกันเสียมากกว่า…” หะบีบี้โต้อย่างเง้างอด

“เจ้าว่าอะไรหรือ…”

“ก็ท่านมองข้าเหมือนงูยักษ์เวลาจ้องจะเขมือบลูกปาดตัวน้อยๆลงท้องทั้งตัวก็มิปาน…”
มุสตอฟาหัวเราะเบาๆในลำคอมือก็ลูบไล้เส้นผมของหะบีบี้ไปด้วย…

“ข้าจะกลืนเจ้าลงท้องทั้งเนื้อทั้งตัวได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าออกจะตัวโตปานนี้…ฮึ”

“สายตาท่านฟ้องว่าเช่นนั้น…”

“ข้ามิเห็นจะรู้เนื้อรู้ตัว…ว่าได้ทำให้เจ้านึกผวาได้เช่นนี้…”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มของเขารื่นหูและน่าฟังยิ่งนัก

“ข้าชอบความรู้สึกเวลาได้ลูบไล้เส้นผมของเจ้ายิ่งนัก…” เขาสารภาพ
พร้อมกับฝังใบหน้าลงกับกลุ่มผมของเธอ สูดดมกลิ่นหอมจากมัน
ชวนให้เจ้าของเส้นผมถึงกับรู้สึกวาบหวามอย่างบอกไม่ถูก…

“เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะหนีข้าพ้นหรือ…” เสียงทุ้มเริ่มขู่

“ข้ามิรู้…รู้เพียงแค่ข้าชอบเวลาได้กอดท่านเฉยๆแบบนี้ยิ่งนัก…”

“เจ้าช่างเจรจาพาที...อีกทั้งยังช่างต่อรองเหลือเกิน…ข้าควรปิดปาก
ช่างเจรจาของเจ้าเสียดีไหม…” เขาขู่สำทับอีกคำรบ…

“อย่ากระนั้นเลย…ปากของข้าข้าปิดเองได้…” แล้วก็หาทางซบหน้า
โดยเฉพาะปากกับกำแพงหนานั่นอย่างระวังภัย

“ให้เจ้าปิดปากเอง…แล้วจะมีประโยชน์อันใด…”

อ้าว…แล้วการให้ท่านปิดปากให้…ข้าจะได้ประโยชน์อันใดรี…
ชักอยากสวนกลับออกไปเสียจริง…หากก็ต้องผวาตกใจเมื่อได้ยิน
เสียงหัวเราะลอยมาตามสายลม…

“เนน…เนมา…นี่เจ้าแอบดูข้ารึ…” เสียงทุ้มเปลี่ยนเป็นห้าว
ส่วนหะบีบี้ผละจากกำแพงหนาหันรีหันขวางหาที่มาของเสียงหัวเราะ
หากก็ไม่พบ…ได้ยินเพียงเสียงที่ดังมาตามสายลม

“ข้ามิได้ปรารถนาจะแอบดูท่าน เพียงแต่เห็น…ถ้าท่านมิปรารถนา
ให้ข้ากับเนนเห็น…ท่านก็ปิดช่องหน้าต่างเสียก็ได้…”

แล้วเสียงหัวเราะก็ติดตามมาหลังประโยคนั้นสิ้นสุดลง…
ทำเอาผู้นำสูงสุดของดินแดนถึงกับหน้าแดงก่ำเพราะความอาย

ส่วนหะบีบี้ยิ่งกว่า เพราะตอนนี้สาวเจ้าซุกหน้าซ่อนความอายกับแผงอกกว้างของเขา
ไม่กล้าโผล่หน้ามาโชว์ผิวแก้มแดงๆของตัวเอง…

และเพียงไม่นานปุ่มกดปิดหน้าต่างดังกล่าวจึงถูกทำงานทันทีทันใด…
ก่อนจะก้มลงมองหัวทุยๆที่ซุกอยู่ตรงอกของเขาอย่างนึกขัน…

“ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าอับอาย…” เขาเอ่ยเสียงทุ้มนุ่มพร้อมกับ
ลูบหัวของเธออย่างอ่อนโยน หะบีบี้จึงผละออกมา มองเขาอย่างขวยเขิน

“อุ้ย…” หะบีบี้อุทานออกมาพร้อมด้วยแววตาเลิ่กลั่กก่อนจะรีบผละจากตักของเขา
ลงมานั่งกระมิดกระเมี้ยนตรงที่นั่งข้างๆแทน

“เจ้าเป็นอะไร…” ชายหนุ่มรู้สึกตกใจไม่น้อยกับสีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
ของคนตรงหน้า

“เอ่อ…เลือด…เลือดมา…มันมาแล้ว” หะบีบี้ละล่ำละลักทำอะไรไม่ถูก…
กี่ครั้งกี่หนก็ไม่เคยชิน…

“เลือดหรือ…ข้าทำให้เจ้าบาดเจ็บหรือหะบีบี้…”
เสียงเขาดูกังวลต่อสวัสดิภาพของเธอมิใช่น้อย

“ข้าควรทำอย่างไรดี…” หะบีบี้พยายามหาทางคิดและก็คิด…

“บอกข้าเถิดว่าเจ้าเป็นอะไร…แล้วเจ็บปวดตรงไหน”
มุสตอฟาจับข้อมือของหญิงสาวพลางถามอย่างกังวล ยิ่งเห็นคนตรงหน้า
ดูกระวนกระวายทำอะไรไม่ถูกเขาจึงลุกขึ้นพยายามจะสำรวจร่างของเธอทันที

ทว่าหะบีบี้ไม่ยอมขยับเขยื้อน

“ไหนให้ข้าดูเจ้าเถิด…ว่าเจ้ามีบาดแผลตรงที่ใด…ลุกขึ้นบัดเดี่๋ยวนี้หะบีบี้…” เขาสั่ง

“ไม่…ไม่ได้…ข้้าลุกไม่ได้…”

“ทำไมเจ้าจึงลุกไม่ได้…” อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเธอไม่ยอมลุกขึ้นเพื่อให้เขาสำรวจบาดแผล
ซ้ำสีหน้าไม่สู้ดีนั้นอีก

หะบีบี้ไม่รู้จะบอกเขาได้อย่างไรเพราะว่าอายที่จะบอก ในขณะนี้พยายามคิดว่า
ควรจะไปปรึกษามารดาของเขาดีหรือไม่ว่าเธอต้องการของสำคัญ

“ข้าต้องการเพียงผ้าอนามัย…” เธอบอกเขาโดยใช้ทับศัพท์

“ผ้าอนามัยคืออะไร…” เขาเลียนเสียงคำว่า ‘ผ้าอนามัย’ ได้ชัดเจนเหลือเกิน…

“เอ่อ…” หะบีบี้ก็สุดจะอธิบายได้ เพราะตอนนี้เธอกำลังคิดว่า
ระหว่างมารดาของเขากับแขกสาว เธอควรจะไปขอความช่วยเหลือใคร
ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าที่นี่เขามีผ้าอนามัยแบบใด…

พอนึกว่ามารดาของเขาคงจะไม่มีแน่ อายุของท่านเลยวัยที่จะมีประจำเดือนไปแล้ว
ส่วนแขกสาวเธอก็แสนจะอายเหลือเกินเพราะเพิ่งเจอกัน ไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้น…

“ถ้าเจ้าหมายถึงผ้าพันแผล…หรือสิ่งที่จะใช้ห้ามเลือดนั้น…ข้ามี
ขอให้เจ้าบอกข้าเถิดว่าบาดแผลของเจ้าอยู่ที่ใด…แล้วข้าจะดูให้…
ให้ข้าดูแผลของเจ้าเถิด…บอกมาว่ามันอยู่ตรงไหนของร่างกายเจ้า
ข้าจะดูให้บัดเดี๋ยวนี้…”

“ดูไม่ได้…” หะบีบี้สวนทันควัน จะให้ดูได้อย่างไรเล่าท่านมุสตอฟาก็...

“ทำไมจะดูไม่ได้…ข้าเป็นหมอ…ข้ารักษาได้…ถ้าข้าไม่ดูข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเป็นอะไร…
บาดเจ็บตรงไหน...เชื่อใจข้าเถิดคนดีว่าข้าช่วยเหลือเจ้าได้…”

หะบีบี้อยากจะร้องไห้…ใครจะยอมให้เขาดูที่มาของเลือดเธอได้เล่า
ยิ่งตอนนี้มันไหลทะลักออกมาจนเธอไม่อาจลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อประจาน
สิ่งสกปรกและกลิ่นคาวสำหรับเพศแม่ได้ด้วยซ้ำ

“ข้า…ข้า…เอ่อ…ไม่มีหมอคนใดในโลกใบนี้รักษาอาการนี้ได้ดอกท่าน…ไม่มี”
เริ่มติดอ่างก่อนจะบอกเขาไปอย่างนั้น…ก็มันเป็นธรรมชาติของผู้หญิง

“เจ้าไม่เชื่อใจข้า…” เขาพ้อ…หะบีบี้ส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน

“ถ้าเช่นนั้น...บอกข้า…ว่าเจ้าเป็นอะไร…” เขาใช้สองมือประคองใบหน้าเธอ…
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางกระวนกระวายของเธออย่างอยู่ไม่สุข

“แล้วทำตามที่ข้าบอก…เจ้าต้องตั้งสติ…หายใจเข้า” หะบีบี้สูดลมหายใจ

“หายใจออก…” หะบีบี้พ่นลมหายใจออก

“หายใจเข้า…หายใจออก…” หญิงสาวทำตามอย่างว่าง่าย
ก่อนจะรู้สึกสงบขึ้น

“บอกข้ามาตามตรงว่าเกิดอะไรขึ้น…อย่าอายข้า…ข้าเป็นสามีของเจ้า”
หะบีบี้ยอมสลัดความอายแล้วบอกเขาไปว่า

“ข้ามีเฮด (ประจำเดือน) ข้าต้องทำเช่นใด…” คนที่ออกตัวว่าเป็นหมอผู้รักษา
ถึงกับคลี่ย้ิมกว้างออกมาทันทีพร้อมกับมองคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู
โอบหัวทุยๆเข้ามากอดแล้วฝังจมูกลงตรงกลางกระหม่อมของเธอ

“นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกของเจ้าดอกใช่หรือไม่…” เขาเย้าเธอขณะยิ้มปราย
หะบีบี้เลยค้้อนให้เขาเสียวงใหญ่…

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปถามสุมายาว่าพอจะช่วยอะไรเจ้าได้บ้าง…
เพราะข้าคงไม่มีสิ่งที่เจ้าต้องการ…ท่านแม่เองก็คงไม่มีเช่นกัน…”

หะบีบี้เบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าเขาจะเป็นคนไปถามแขกสาวให้เธอ
หญิงสาวจึงรั้งแขนของเขาเอาไว้

“ข้าไปเองจะดีกว่า…ท่านเป็นบุรุษ…เอ่อ…”

“เจ้าเป็นคนบอกข้าว่าลุกไม่ได้…”

“ถึงตอนนี้คงต้องลุก…” มุสตอฟารั้งบ่าของเธอให้นั่งลงที่เดิม
ด้วยเข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร…

“มิต้องดอก…เพราะข้าจะไปบอกให้สุมายามาหาเจ้า เจ้านั่งอยู่ตรงนี้เฉยๆ…
แล้วปล่อยให้ข้าจัดการเถิด…” เขาว่าอย่างใจดี

เพียงไม่นานหญิงสาวซึ่งเป็นแขกก็เดินเข้ามาหาเธอพร้อมรอยยิ้ม

“ท่านพี่บอกข้าว่าท่านมีเรื่องให้ข้าช่วยเหลือ…” หะบีบี้ออกจะกระดากอายไม่น้อย
เมื่อต้องบอกออกไปว่า

“ข้ามีเฮด (เลือดประจำเดือน)…ข้าควรทำเช่นใด…”

หะบีบี้จำได้ไม่เคยลืมเลยว่าประโยคนี้เธอเคยเอ่ยเมื่อประสบพบเจอกับเหตุการณ์
เช่นนี้ในครั้งแรก…มันเหมือนกับเธอย้อนไปเมื่อตอนสิบสามอีกครั้ง…
ที่ต้องวิ่งถามคุณย่าว่าต้องทำอย่างไร…ทั้งๆที่ควรจะรู้ แต่พอเอาเข้าจริง
กลับทำอะไรไม่ถูก…

ที่นี่ไม่มีผ้าอนามัยขายแน่ๆ…เธอมั่นใจ…
เลยไม่รู้ว่าเขาจัดการกับเรื่องดังกล่าวอย่างไร…

“วางใจข้าเถิด…” มือบางวางลงบนบ่าของเธอก่อนจะผลุบหายออกไป
แล้วกลับมาอีกครั้งพร้อมสิ่งที่หะบีบี้ต้องการที่สุดในยามนี้…

โดยที่มุสตอฟาอยู่ด้านนอกปล่อยให้สตรีเขาเจรจาว่าความกันเอง…

“ที่นี่เราใช้ผ้าห่อหุ้มด้วยปุยนุ่นแล้วเย็บเก็บริมเพื่อซับเลือดสตรีได้ตลอดเกือบทั้งวัน…”

บอกพลางสอนวิธีใช้ให้กับหะบีบี้เสร็จสรรพ ซึ่งไม่ได้ใช้งานยากอย่างที่หะบีบี้นึกกังวลไป…
ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากผ้าอนามัยในดินแดนของเธอเลย…ใช้แล้วทิ้ง…

ซึ่งวัสดุดังกล่าวนั้นทำมาจากธรรมชาติทั้งหมดโดยที่สุมายาย้ำว่า

“ต้องฝังเท่านั้น…ห้ามนำไปเผาหรือทิ้งไว้เฉยๆ…เพราะแถวนี้มีสัตว์และมันก็มีกลิ่นด้วย…”

ได้ยินเพียงแค่นั้นหะบีบี้ก็เข้าใจความนัยทั้งหมด เธอจึงรีบขอบคุณบุคคลตรงหน้าทันที

“ขอบคุณท่านมากสุมายา…หากไม่ได้ท่าน...ข้าคงทำอะไรไม่ถูกเป็นแน่
ข้าไม่คุ้นชินกับอะไรแบบนี้เลย…ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงจนข้า…ข้าตั้งตัวไม่ทัน…”

สุมายายิ้มบางแล้ววางมือลงบนหลังมือของหะบีบี้

“ข้าเองก็คิดว่าถ้าข้าเป็นท่าน…ข้าคงทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน…
หากมีอะไรก็ขอให้บอกข้าเถิด…ข้ายินดีช่วยเหลือท่านเสมอ…อย่าได้เกรงอกเกรงใจข้าเลย…

และระหว่างที่ข้าอยู่ที่นี่…ข้าพร้อมจะถ่ายทอดทุกอย่างทีี่จำเป็นแก่สตรีในดินแดนนี้แก่ท่าน…
เพราะท่านพี่มุสตอฟาได้ส่งม้าเร็วให้ไปรับข้ากับท่านแม่มาเพื่อช่วยเหลือท่าน…

ท่านพี่รักและเป็นห่วงเป็นใยท่านยิ่งนักหะบีบี้…ท่านคือชายาที่ท่านพี่รอคอย…
พวกเราทุกคนต่างรู้กันในเรื่องนี้ดี…”

หญิงสาวบอกแก่หะบีบี้ด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความยินดีแม้ลึกๆแล้วจะอดเศร้าใจมิได้

“ข้าขอขอบคุณท่านอีกครั้ง…ขอบคุณท่านมาก…” หะบีบี้เอ่ยด้วยความซาบซึ้งใจ…
อย่างน้อยการมาอยู่ในดินแดนแห่งนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย

ตรงกันข้าม ทุกคนที่เธอได้พบเจอล้วนมีน้ำจิตน้ำใจอันงดงาม
แม้กระทั่งหญิงสาวผู้นี้ที่เธอมองดูก็รู้ได้ทันทีว่ามีใจให้กับท่านผู้นำมากแค่ไหน…
หากหัวใจของนางผู้นี้ก็ยังคงงดงาม…



เมื่อผู้ช่วยของเธอกลับไปแล้ว หะบีบี้ก็รีบเข้าห้องน้ำ
จัดการอาบน้ำชำระล้างร่างกายของเธอพร้อมกับซักชุดที่เปื้อนเลือดนั้นทันที
โดยไม่รั้งรอ...เม่ือเสร็จธุระส่วนตัวก็ออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดผ้านุ่งกระโจมอก…
ก่อนจะสะดุ้งตกใจเมื่อนึกได้ว่าท่านประมุขของบ้้านไม่ได้นอนอีกห้อง
เพราะยกห้องนั้นให้แขกไปแล้ว…

และคืนนี้เขาต้องนอนกับเธอ…เธอต้องนอนกับเขา เราต้องนอนบนที่นอนเดียวกัน…

เพียงคิดก็รู้สึกเสียวในช่องท้องขึ้นมาก่อนจะรู้สึกถึงอาการปวดหนึบ
ตรงตำแหน่งหน้าท้องที่เป็นฐานบัญชาการลับของผู้หญิง…จนถึงกับงอตัว
เพราะไม่สามารถยืดตัวตรงได้…

มุสตอฟาที่กำลัังจัดการกับกองเลือดบนที่นั่งด้วยการหาผ้าชุบน้ำมาเช็ด
ทำความสะอาดอยู่ถึงกับหันมามองแล้วรีบสาวเท้าเข้ามาหา…

“เจ้าปวดท้องหรือ…” หะบีบี้พยักหน้า…

“เป็นเรื่องปกติสามัญทั่วไป…ข้าเป็นเช่นนี้ประจำ…ท่านอย่าได้กังวลเลย…”

หะบีบี้บอกกล่าวแก่เขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาก่อนจะรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในชุดที่หมิ่นเหม่
แล้วเขาก็กำลังจ้องมองมา…

“เอ่อ…ข้าลืมเอาชุดเข้าไปเปลี่ยน…” บอกเขาทั้งๆที่ปากคอสั่น
ก่อนจะพยายามเดินไปยังตู้เสื้อผ้า ทว่ามือใหญ่กลับไวกว่าหยิบชุดนอนส่งมาให้…

“ให้ข้าช่วยเปลี่ยนให้ไหม…” เขาอาสาอย่างใจดี เลยได้ค้อนจากหะบีบี้ไปเป็นรางวัล

“เมื่อครู่ท่านกำลังทำอะไร…”

“ก็เจ้าทำท่ีนั่งข้าเลอะเปื้อน…ข้าจึงช่วยทำความสะอาดเสีย…”

เขาบอกตามตรง ทำเอาเจ้าของกองเลือดกองนั้นถึงกับหน้าแดง
ด้วยความกระดากอายอย่างที่สุด…

“อย่าอายข้าเลย…ข้าคือสามีของเจ้า…” เขาบอกอย่างเอื้ออาทร

“ไปเปลี่ยนชุดเถิด…ประเดี๋ยวข้าจะต้มน้ำใส่ขวดมาให้เจ้าประคบหน้าท้อง…
เจ้าจะได้ไม่ทรมานนัก…” เขาว่าพร้อมกับผละจากไป…

โดยที่อีกฝ่ายไม่มีทางรู้เลยสักนิดว่า ใบหน้าเรียบๆนั้นพยายามข่มใจมากมายเพียงใด
กับการที่ต้องอยู่ใกล้เธอแล้วทำได้แค่มองไม่อาจสัมผัสได้ตามที่อารมณ์ปรารถนาข้างใน
ซึ่งกำลังเรียกร้องอย่างบ้าคลั่ง…

โดยเฉพาะภาพเมื่อครู่…มันไม่มีอะไรที่กั้นเขากับเธอไว้นอกจากผ้าผืนเดียวผืนนั้น…
แค่เขาดึงมันออก เขาก็จะได้เห็นในสิ่งที่ปรารถนาจะเห็นแล้ว…

แล้วคืนนี้เขาจะผ่านพ้นมันไปในสภาพเช่นใด…
ในเมื่อเขาไม่อาจมีความสัมพันธ์กับเธอซึ่งกำลังมีประจำเดือน
เนื่องจากขัดต่อบทบัญญัติแห่งศาสนาอย่างชัดแจ้ง…

แล้วเขาก็ไม่มีหนทางหนีไปนอนที่อื่นใดเสียด้วยนอกจากนอนกับเธอในห้องนี้
และคงไม่ใช่แค่คืนนี้ แต่เป็นคืนอื่นๆที่มีแขกมาอยู่ร่วมบ้านด้วย




.........โปรดติดตามตอนต่อไป...............


หายไปเกือบเดือนสำหรับเรื่องนี้...กลับมาแล้วพร้อมปฏิทินกับนาฬิกา
เพื่อบอกวันและเวลา...เฮะๆ

อายุของพระเอกเต่าเรื่องนี้โหดร้ายไปมั้ยคะ...ฮ่าาาาา
แต่ละคนอายุมาเป็นวันๆ...แล้วนักอ่านล่ะคะ...รู้หรือไม่ว่า

ตอนนี้ตัวเองมีอายุกี่วัน...^^


จะว่าไป...สถานที่ก็เป็นปัจจัยสำคัญ บางคนเมื่ออยู่อีกที่นึงนั้นเจ๋ง ใครๆก็ยอมรับ
ในความสามารถ ปราดเปรียวคล่องตัวไปหมดทุกอย่าง...รู้รอบไปหมดทุกสิ่ง...
แต่พอไปอยู่อีกที่ซึ่งไม่คุ้นเคย...จากท่ีเคยเจ๋ง...ก็เจ๊งได้เหมือนกัน...
ดังนั้น...เลยมีมนุษย์หลายคนชอบอยู่ที่เดิม...และอยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม...
โดยกลัวการเปลี่ยนแปลง...ไม่ยอมรับหรือปฏิเสธกับสิ่งใหม่ๆที่ก้าวเข้ามาในชีวิต
แม่ลูกปาดในเรื่องนี้ก็เฉกเช่นกัน...เธอกำลังสับสน...โหยหาวันเวลาเก่าๆ
แต่เธอก็ยังพอมีสปิริตในหัวใจ!


ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามผลงานเรื่องนี้ของโยนะคะ
และขอบคุณไลค์ที่จิ้มให้กันด้วยจ๊ะ...และที่สำคัญคือกำลังใจดีๆ

ที่คอยผลักดันให้คนเขียนแรงใจก่อเกิดเป็นแรงกายเพื่อก้าวต่อๆไป...

....ตอบความเห็นของนักอ่านจากตอนที่แล้วค่ะ....

1.คุณตุ๊งแช่....ลูกปาดบอกว่าไม่ได้หึงค่ะ...อิอิอิ
แค่ไม่อยากให้ท่านผู้นำหาภรรยามาเพิ่มเท่านั้น...เหอๆ
เลยกะจะทำทุกอย่างเสียให้เกลี้ยง...ต้องมาดูกันว่านางจะทำได้หรือไม่ได้...
เพราะความตั้งใจกับผลลัพธ์...บางครั้งมันก็ออกจะสวนทางกันน้าาาาา...ฮ่าาาา


2.คุณsaralun....เลือดจะไปลมจะมาค่ะ...ลมเพลมพัด...
ผู้หญิงยามมีประจำเดือนเขาว่าน่ากลัว...เอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้
โยไม่อยากจะเห็นด้วยเลย...แต่พวกผู้ชายเขาว่าอย่างนั้นนะ...อิอิอิ...


3.คุณแว่นใส...ที่เขียนขยักไว้อาจไม่มีอะไรก็ได้น้าาา...เฮะๆ
เรื่องนี้เน้นเบาๆเป็นหลัก...ไม่อยากให้กินมาม่่ากันสักเท่าไหร่...อิอิ
เพราะเสริฟเมนูกินเส้นมาหลายเรื่องแล้ว...แต่มีบางบทบางตอนให้ฮ่าาาาาาา

4.RightHand...เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวซะด้วยซี...ทั้งสวยทั้งเก่งเรื่องการเรือน
ออกขนาดนั้น...ถ้าลูกปาดยังปลูกข้าว ทอผ้า ทำอาหารไม่ได้เรื่อง
โยว่างานนี้อาจมีพลิกโผก็ได้นา...ฮ่าๆๆๆ...แต่ก็น่าชื่นใจตรงที่มีสามี
ที่เข้าอกเข้าใจและพร้อมจะส่งเสริมสนับสนุนนี่แหล่ะ...

5.คุณคิมหันตุ์....เธอเก็บอาการเอาไว้ไม่รอดจริงๆ...ตอนเมนมานี่แหล่ะค่ะ
โยเองตอนย้ายไปอยู่ต่างแดนแล้วประจำเดือนดันโผล่มา ซ้ำยังไม่ได้เตรียมพร้อม
สำหรับเรื่องนี้ไปด้วยเพราะว่าตื่นเต้นจัด...คราวนี้เลยยอมตากหน้าไปเคาะห้องพี่คนไทย
ที่ไม่เคยได้พูดคุยกัน รู้เพียงว่าอยู่ห้องข้างๆเพื่อถามหาผ้าอนามัยใหญ่เลย...
จำความรู้สึก ณ ห้วงเวลานั้นได้สุดใจขาดดิ้น...ว่ามันอายแค่ไหน...เฮะๆ
แต่โชคดีว่าผ้าอนามัยที่ว่านั้นทำให้เกิดเป็นมิตรภาพที่ดีและยั่งยืนมาจนทุกวันนี้ได้...



...รักษาสุขภาพนะคะ....


"เต่าโย"




yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.พ. 2558, 00:30:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.พ. 2558, 00:30:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 3277





<< บทที่ 11 ข้าวลิง   บทที่ 14 นาฬิกาตาย >>
ตุ๊งแช่ 16 ก.พ. 2558, 08:58:28 น.
คนเขียน นึกผ้าอนามัย รุ่นสเปเชียลนานนี่เองเลยเพิ่งมา
บทจะนอนห้องเดียวกันก็มีอุปสรรคซะงั้น จะอดใจไหวไหมท่านมุต


แว่นใส 16 ก.พ. 2558, 12:30:20 น.
จะทนได้สักกี่น้ำนะ ท่านผู้นำ


คิมหันตุ์ 16 ก.พ. 2558, 14:15:16 น.
โอ่ะ. แอบกตกใจอายุ อิอิอิ แต่เรื่องเป็นประจำเดือนกับผู้ชายนีายังไงก็อายอยุ่ดี อิอิ


faree 11 มี.ค. 2558, 22:22:53 น.
เมื่อรัยจะมีตอนต่อไปคร้าาาาา อยากอ่านมากๆเลยยยยยยยยย^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account