ตะวันต้องลม
เขาคิดมาเสมอว่าทุกอย่างที่เกิดกับน้องชายเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น!

และเธอต้องรับผิดชอบ เขาจะทำให้คาสโนวี่อย่างเธอรักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น

เธอคือเป้าหมายที่เขาต้องพิชิต

แม้ว่าตะวันดวงนี้จะเป็นตะวันที่ร้อนแผดเผา และไม่ได้ความรักมาง่ายๆ

แต่ลมอย่างเขาก็ไม่หวั่น เขาจะเป็นลมพายุที่พัดกลุ่มเมฆมาบดบังแสงตะวันของเธอให้ได้!

เมื่อดึงตะวันคล้อยต่ำลงได้เมื่อไหร่ เขาจะปล่อยเธอทิ้งร่วงลงสู่พื้นดิน
Tags: อนิล วาดตะวัน วิฬุร ดราม่าโรแมนติก

ตอน: บทที่ 7

ลูกจ้างคนใหม่ของ ‘ลมฝน’ ที่วาดตะวันฝากฝังมาให้ดูทะมัดทะแมงเอาการเอางาน ขนาดเขาจงใจสั่งให้ไปเอาไม้ค้ำต้นส้มท้าสายฝนเป็นเพื่อน หมอนั่นก็ไม่บ่น หรือแสดงท่าทีคัดค้านมาให้เห็น ก้มหน้าก้มตาทำตาม เสื้อกันฝนสีใสสว่างที่นายดาวหยิบมาส่งๆ ทำให้ตัวเองเด่น อนิลแอบเห็นว่าลูกน้องหญิงโสดบ้างไม่โสดบ้างต่างคลั่งไคล้ใบหน้ามีหนวด ผิวคล้ำที่ยิ้มบ่อยๆ นี้กันทั้งนั้น

เจ้าของสวนส้มถอนสายตากลับมา แค่ฝนหลงฤดูพวกนี้ก็ทำให้ผลผลิตในสวนส้มมีปัญหาบ้างแล้ว โชคยังดีที่ผลผลิตก่อนหน้าล็อตใหญ่ทางสวนเก็บไปก่อนแล้วส่วนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นส้มที่โดนฝนไปก็ถือว่ารสชาติของมันจะด้อยตามลงไป

“เสร็จแล้วครับนาย”

ประกายพรึกที่ใช้นามสมมติกับชาวบ้านไปทั่วว่า ‘นายดาว’ วิ่งหน้าเลิ่กจากท้ายสวนมายังต้นส้มต้นแรก ยืนระบายยิ้มภูมิใจกับผลงานที่ตัวเองเพิ่งจะทำสำเร็จ ที่ผ่านมาเขาเคยแต่ปลอมตัวเป็นนักพนัน เสี่ย คนค้ายา พ่อค้าตามตลาด สารพัดจะเป็นได้ สมกับเป็นหน่วยสืบสวน ยกเว้นหนุ่มชาวไร่ชาวสวน ที่บทจะได้เป็นก็ตอนถูกพักงานไปแล้ว

ไหนๆ ก็ว่าง การทุ่มเทงานให้กับคดีที่สืบไม่ได้ คดีที่มีตอใหญ่สักตอบ้างเพื่อฆ่าเวลา และยังถือเป็นการช่วยวาดตะวันด้วยได้นั้นก็ถือว่าเป็นการใช้เวลาพักงานที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์

อนิลรู้จักประกายพรึกน้อย จนแทบไม่รู้จัก ถึงอีกฝ่ายจะแนะนำชื่อจริงแก่เขา แต่ทั้งวาดตะวันและประกายพรึกกลับไม่ปริปากอธิบายถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ให้เขารู้ นอกจาก

‘พรึกถือเป็นคนที่ฉันไว้ใจ และเชื่อใจได้ที่สุดคนหนึ่ง พี่ลมอย่าระแวง เขาเด็ดขาด’

‘วาดไว้ใจเขามากกว่าฝนหรือเปล่า’

ไม่รู้ตอนนั้นเขาคิดอย่างไรถึงได้ถามคำถามแสนโง่นั้นออกไป มาคิดดูตอนนี้ก็รู้สึกตลกตัวเอง

‘ฉันต่างหากที่ไม่ควรมีใครไว้ใจ สำหรับคนอื่น อย่างพรึก ค่ะ...ฉันไว้ใจเขา เหมือนที่ฉันไว้ใจฝน’

คำตอบของวาดตะวันกับท่าทางไม่ยี่หระยังตรึงแน่นในความคิด อนิลอยากรู้ว่าเพราะอะไรผู้หญิงแสนมั่น และภูมิใจกับเสน่ห์เหลือล้นของตนเองนั้นกลับมีมุมต่อว่าตัวเอง และต่อให้เธอเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจ ไม่รู้ทำไมเขากลับคิดว่าเธอดูจริงใจ และน่าไว้ใจกว่ามนุษย์ประเภทที่บอกให้เชื่อตัวเองอย่างสุดแรงเกิด

อาจเพราะเธอมอบอิสระให้กับคนอื่นที่จะคิดเห็นเกี่ยวกับตัวเอง? อนิลหยุดความคิดฟุ้งซ่าน หยดน้ำที่หล่นกระทบผิวหน้าทำให้เขากะพริบตาขับไล่หยดน้ำไป เหลือความเย็นอาบไล้แก้มสากทิ้งไว้เท่านั้น

“ไปดื่มอะไรร้อนๆ แก้หนาวดีไหมนายดาว”

เห็นแก่คนที่วาดตะวันไว้ใจ เขาถึงยอมให้อีกฝ่ายเข้ามาในอาณาเขตเพื่อหาข้อมูล หรือหลักฐานที่พอจะบ่งชี้ได้ว่าชีวิตของพวกเขาถูกคุกคามอยู่หรือเปล่า

‘พรึกเป็นนักสืบที่เก่งมากค่ะ แล้วก็เถรตรง ไม่มีใครมาซื้อตัวได้ด้วย ฉันยังคิดว่าเขาจะจบอนาคตเพราะเขาตรงเกินไป มนุษย์เราทุกคนชอบที่จะเลี้ยว บิดเบี้ยวชีวิตให้คดโค้งเสมอ แต่ไม่ใช่กับพรึก’

มนุษย์คนนี้มีแต่ได้รับคำชมจากวาดตะวัน ประกายตาของวาดตะวันยามพูดถึงประกายพรึกเปล่งแสงแห่งความภูมิใจออกมา

อนิลเดินนำประกายพรึกไปยังเพิงหลังคาจากที่ห่างออกไปไม่ถึงร้อยเมตร ใช้ไม้เป็นเสาสี่ต้น รอบด้านมีกันสาดยื่นยาวจากคลังคาจาก ที่ตอนแรกดูไม่แข็งแรง แต่เพราะชาวบ้านที่ผ่านฝนมาไม่น้อยก็รู้จักใช้ขึงรัดหลังคาจากให้แน่นหนาพอต้านฝนผ่านไปในแต่ละฤดูได้

ร้านกาแฟย่อมๆ ที่มีลูกค้าอยู่บางตาทำให้ประกายพรึกยิ้มถูกใจ ชายหนุ่มรู้สึกว่าธุรกิจใน ‘ลมฝน’ แบ่งสัดส่วนนักท่องเที่ยวได้ทั่วถึง ไม่กระจุกตัวอยู่แต่เพียงในรีสอร์ทเพื่อถ่ายรูปสวย และเป็นกันเองกับธรรมชาติ มีป้ายคิดว่าห้ามทิ้งขยะ ห้ามทำลายธรรมชาติ ถ้าหากใครรักษาระเบียบไม่ได้ ก็จะถูกขึ้นบัญชีดำว่าห้ามมาเหยียบที่นี่อีก เขาเคยได้ยินว่าบัญชีรายชื่อต้องห้ามคนที่เข้ามาที่นี่ไม่ได้อีกยาวอยู่หลายเล่ม

บรรยากาศสวยๆ เป็นธรรมชาติที่อนิลรักษาไว้ได้ ไม่เหมือนนักธุรกิจหลายคนที่มากว้านซื้อที่สวยๆ สร้างโรงแรม สร้างสิ่งอำนวย โดยไม่สนธรรมชาติที่รุกล้ำป่า และยังใช้เงินอุดปากคนมีสี ที่คนในแถบนี้กำลังเป็นกัน สิ่งนี้ล่ะมังที่เขาชื่นชมอนิลจากใจ

คนงานหน้าร้านพอเห็นนายตัวเองเดินฝ่าสายฝนมาก็แบกร่มคันโตออกมาต้อนรับ ท่าทางนอบน้อมเทิดทูนที่คนงานแสดงออกต่ออนิลอยู่ในสายตาของประกายพรึกทั้งสิ้น

ประกายพรึกอดไม่ได้ที่จะ ‘เลียนแบบ’ เหล่าคนงาน ด้วยการเดินนำอนิลไปเปิดประตูไม้ให้คนเป็นนายได้เข้าไปโดยสะดวก มีคนที่กางร่มให้อนิลเดินปิดท้าย หันมาตบไหล่หนาของเขาไปทีหนึ่งอย่างชื่นชม

“อย่างนี้สิ ตั้งใจทำงาน ตั้งใจดูแลนายให้ดี ถึงนายจะไม่ชอบคนประจบ สอพลอ แต่ที่เราแสดงออกไม่ได้หวังอะไร ก็แค่ทำให้นายสบายบ้าง หลังจากที่นายเหนื่อยเพื่อพวกเรามามาก”

คนหนุ่มกว่าผงกศีรษะรับฟังอย่างว่าง่าย ถอดเสื้อกันฝนส่งให้พนักงานหญิงในร้านกาแฟ แล้วเดินเข้าไปนั่งตรงบาร์ที่มีเครื่องดื่มเรียงราย หลังบาร์มาบาริสตาหนุ่มประจำการด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“เหมือนเดิมนะครับนาย กาแฟสด ไม่ใส่นม ไม่ใส่น้ำตาล”

“นายล่ะ?” อนิลถามอย่างมีไมตรีจิตกับแขกที่เขาเชิญมา ในสายตาคนอื่นอาจเห็นประกายพรึกเป็นคนงานใหม่ แต่สำหรับเขา คนๆ นี้คือคนที่จะทำให้เขารู้จักวาดตะวันมากขึ้น

เขาอยากรู้จักวาดตะวัน...อนิลขบริมฝีปากตัวเองแน่น นึกหาเหตุผลที่อยากรู้จักวาดตะวันว่าเกี่ยวเนื่องกับวิฬุร เท่านั้น!

“อเมริกาโน่ครับ” ประกายพรึกสังเกตว่ารอบด้านกำลังมองเขาเป็นตาเดียว ชายหนุ่มจึงกระแอมเล็กน้อย ชี้มือชี้ไม้ไปยังแผ่นกระดานดำด้านหลังที่มีเมนูยาวเหยียด เจาะจงไปที่เมนูที่สี่ “ผมอยากไปอเมริกาครับ ความฝันสูงสุดเลย”

หน้าตาพาซื่อของประกายพรึกเรียกเสียงครืนของคนงานที่นั่งอยู่ในร้านได้ อนิลจ้องคนสั่งกาแฟสดอย่างรู้จักดีแต่แกล้งกลบเกลื่อนแล้วอยากจะด่า แต่ก็ไม่กล้าพูด

กาแฟสดไม่ใส่นมและน้ำตาล กับ อเมริกาโน่ ที่จริงก็คืออันเดียวกันได้ไม่ใช่เหรอ!

กาแฟหอมกรุ่นร้อนสองแก้วมาอยู่ตรงหน้าทั้งสอง อนิลยกจิบช้าๆ สายตาเหลือบมองอนิล เขามีคำถามเกี่ยวกับวาดตะวันมากมายอยู่ในหัว แต่เขาก็หลุดปากออกไปได้เพียงคำเดียว

“ขมดีนะ”

“พี่วาดดื่มไม่ได้หรอกครับ ห่วงสุขภาพ ชอบดื่มนมจากถั่วเหลืองไม่ปรุงแต่ง นอนดึกมากก็ไม่ยอม กลัวไม่สวย กินอะไรที่เป็นผลเสียต่อร่างกายก็ไม่ค่อยกิน ทั้งที่อยากกินใจแทบขาด” ประกายพรึกบรรยายเรียบเรื่อย จิบกาแฟสบายอารมณ์ ทำราวกับนกรู้ ล่วงรู้ความคิดของอนิล “พี่วาดป่วยง่ายด้วย เจออากาศเปลี่ยน แล้วดูแลตัวเองไม่ดี จับไข้ได้เป็นอาทิตย์”

“ดูนายจะรู้จักวาดเขาดีเหลือเกินนะ”

“ก็ผมเป็นคนสำคัญนี่ครับ” ประกายพรึกเมินต่อคำเหน็บแนมจากปากอนิล ตอบรับหน้าชื่นตาบาน ไม่บอกความจริงทั้งหมด เขาเชื่อว่าการที่ยังไม่เปิดเผยตัวตนของตัวเองออกไป จะทำให้เขาพบเจอเรื่องสนุก น่าสนใจจากอนิลได้

“แต่ก็คงไม่เท่าฝน นายคงไม่รู้ว่าสำหรับวาด ฝนมีอิทธิพลในใจเขาไม่น้อย” อนิลทนไม่ได้ที่เห็นอีกฝ่ายรู้เรื่องวาดตะวันเยอะ ในเมื่อตอนนี้น้องชายเขาตื่นมาแข่งอวดความรู้เรื่องวาดตะวันไม่ได้ เขาก็ต้องเกทัพใส่บ้าง

ประกายพรึกหัวเราะ ไหวไหล่ไม่ใส่ใจ บอกด้วยเสียงที่เบาลง พอให้ได้ยินกันสองคน

“ผมอยู่ของผมดีๆ แค่รู้ความเป็นไปของพี่วาดก็พอครับ คนสำคัญของพี่วาดเขาจะได้สบายใจ กับการที่มีผมมาพิทักษ์พี่วาด”

“คนสำคัญ?”

อนิลหรี่ตามองคนพูด อยากคาดคั้นเหลือเกินว่ายังมีใครมาเพิ่มในเรื่องความสัมพันธ์อันวุ่นวายระหว่างวาดตะวัน น้องชายเขาอีก เป็นเพราะวิฬุร ที่ชอบพูดว่าสนิทกับวาดตะวันอย่างนั้นอย่างนี้ เอะอะเล่าเรื่อง ‘เพื่อนคนพิเศษ’ ให้ที่บ้านฟังว่าวาดตะวันไปไหนกับตน ทำอะไรบ้างเสมอ จนทั้งเขาและแม่ต่างคิดกันไปว่าวาดตะวันเป็นคนรักของวิฬุร แต่ตอนนี้จากปากวาดตะวันเองที่บอกว่าวิฬุรเป็นแค่เพื่อน บางครั้งการที่เขาเลียบๆ เคียงๆ ถามจากหลายๆ คนที่รู้จักวาดตะวัน คงพอช่วยสนับสนุนจุดยืนในใจเขาได้บ้าง...ตอนนี้เขารู้ ว่าเท้าของเขาข้างหนึ่งไปยืนอยู่ข้างๆ วาดตะวันแล้ว ขอแค่คำยืนยันที่ชัดเจนอีกสักคน เขาจะไม่สงสัยความสัมพันธ์ของวาดตะวันกับวิฬุรอีก

“วันนี้นายมีงานอะไรให้ผมทำอีกครับ สั่งมาได้เลย!” จู่ๆ ประกายพรึกก็เสเปลี่ยนเรื่อง วางกาแฟแก้วเปล่าที่ดื่มจนหมดแล้วกลับที่ ส่งเสียงดังให้คนทั้งร้านได้ยิน รู้ว่าอนิลจะไม่กล้าไล่เรียงเขาต่อ

คนเป็นนายกัดฟันกรอด เขาแทบไม่รู้อะไรที่กระจ่าง แล้วสรุปคนสำคัญของวาดตะวันคือใคร


วาดตะวันไม่ได้ตื่นตูมกับคำเตือนเย็นเยียบของเคียงฟ้า หญิงสาวยังคงยิ้มระรื่นได้ในเวลาที่เธอไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไป เคียงฟ้าคิดว่าเธอเป็นแค่ผู้หญิงขี้ขลาดคนหนึ่งที่ยอมแพ้กลับไปง่ายๆ เหรอ เธอคงดูถูกคนอย่างเธอมากเกินไป

“นี่เตือน ขู่ หรือบังคับล่ะคะ”

“ฉันไม่กล้าบังคับ หรือขู่อะไรหรอกค่ะ ฉันคงทำได้แค่เตือนด้วยความหวังดี” เคียงฟ้าทำหน้าตาหวังดี ยิ้มอ่อน ไม่แม้แต่จะเหลือบไปแลฉันทยาที่ส่งเสียงโอ้กอ้ากลม ไม่เชื่อที่หล่อนพูด

“แล้วทำไมฉันถึงไม่ควรอยู่ที่นี่ล่ะคะ การมาเตือน ล้วนต้องมีเหตุผล”

วาดตะวันวางมือไปบนผ้าคลุมขาบางเบาที่ไว้ใช้คลุมกันหนาว ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็น ถึงเธอจะเก่งในเรื่องแต่งตัวตามฤดูกาล จนผ่านไปได้ฤดูแล้วฤดูเล่า แต่หากดูแลตัวเองไม่ดี เธอก็จะป่วยได้ง่ายๆ

แม่เลี้ยงสาวเหม่อมองสายฝนทางหน้าต่าง ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นวาดตะวัน เธอก็รู้แล้วว่าวาดตะวันเป็นคนที่หลอกอะไรไม่ได้ง่ายๆ และไม่จำเป็นที่เธอจะต้องมาสร้างภาพต่อหน้าผู้หญิงคนนี้ สุดท้ายวาดตะวันก็จะยังดูออก

“ฉันกับลมเราเคยรักกันมาก มากขนาดที่ลมยอมตายแทนกันได้”

“เขาเป็นคนมีน้ำใจหรือเปล่าคะ” วาดตะวันไม่ได้นึกอยากกวน แต่เพราะว่าหลายวันที่ได้รู้จักกับอนิล เธอรู้ว่าลึกๆ แล้วเขาเป็นคนมีน้ำใจ และช่วยเหลือคนมาไม่น้อย อย่างคนใน ‘ลมฝน’ แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีใครที่ไม่รักเขา

“คุณไม่เคยรู้อะไร!”

“เรื่องที่ผ่านมาแล้ว เรื่องเก่าก่อนแบบนั้น มันจำเป็นที่จะต้องรื้อฟื้นเหรอคะ ถ้าจุดกองไฟมาสักกอง ป่านนี้คงโดนฝนหลายฤดูชะล้างไปหมดแล้ว จะไปเหลือเชื้ออะไร” ริมฝีปากรูปกระจับยิ้มเยื้อน การตอบโต้บทสนทนากลับไป แสดงให้เห็นว่าเธอรู้ว่าเคียงฟ้าต้องการอะไร และเธอก็แค่ใช้ฝ่าเท้าขยี้เชื้อเหล่านั้นให้มอดไปให้หมด

เคียงฟ้ากำหมัดแน่น ตัวสั่นเทาด้วยอารมณ์ที่เพิ่มสูงตามระดับ เวลานี้บนกลางหน้าผากของวาดตะวันมีตราประทับเป็นศัตรูของเธอไปแล้ว

“เรื่องขานั่น ฉันรู้นะว่าคุณโกหก”

“ไหนล่ะคะหลักฐาน” หญิงสาวผายมืออย่างใจกว้าง ไม่เสแสร้งแกล้งเจ็บ แต่ก็ไม่ยอมลุกมาทำลายแผนการของตัวเอง

ความโกรธ และท่าทางฉลาดรู้ทันของวาดตะวันทำให้เคียงฟ้าเดินขึ้นสู่บันไดขั้นสูงสุดของความโกรธ หน้าตาเดี๋ยวบูดบึ้ง เดี๋ยวบิดเบี้ยว สับเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว ฉันทยาเห็นท่าไม่ดีรีบประชิดนางแบบของตัวเอง จับที่จับรถเข็น คิดจะลากเข้าห้องล็อกประตู หากเคียงฟ้าคิดทำอะไรวาดตะวัน

“สายลมวันนี้ ไม่ค่อยพัดไปทางคุณเลยนะคะ”

‘สายลม’ ในความหมายของวาดตะวัน เป็นสิ่งที่คนทั้งสามในที่นี้ต่างรู้ดี วาดตะวันแตะมือของฉันทยาเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายก้มลงมาเพื่อฟังสิ่งที่เธอจะบอกด้วยเสียงอันเบา เพื่อให้พ้นหูที่สามของเคียงฟ้า

“ตามหาพี่ลม อย่าให้พรึกตามมา”

“แต่ว่าน้องวาด...”

ขนตางอนยาวภายใต้เปลือกตาสีเนื้ออ่อนกะพริบเชื่องช้า แต่ก็คอยจับจ้องเคียงฟ้าอย่างระแวดระวัง

“ถ้าพี่เกี๊ยวไม่อยากเห็นฉันเป็นอะไรมากล่ะก็ ไปตามพี่ลมมาทีนะคะ”

“พี่จะรีบกลับมานะคะ” ฉันทยาคว้าร่มตรงมุมประตูมาคันหนึ่ง หันกลับมามองหญิงสาวสองคนในห้องที่ไม่ต่างอะไรกับมุมแดง มุมน้ำเงิน อย่างที่วาดตะวันว่าไว้ อนิลมา สงครามกรุ่นๆ นี้น่าจะจบลง

ว่าแต่ทำไม วาดตะวันถึงว่าว่า ‘ไม่อยากเห็นฉันเป็นอะไรมาก’ หรือว่าจะต้องเป็น

สายตาคำถามของฉันทยาไม่ได้รับคำตอบ นอกจากการพยักหน้าให้รีบไป ทันทีที่ประตูบ้านปิดลง ความเงียบก็กลับมาครอบคลุมในบ้าน พร้อมด้วยคลื่นไม่เป็นมิตรจากแม่เลี้ยงเคียงฟ้า

“วันนี้สายฝนน่าดูนะคะ”

ประโยคเริ่มต้นไม่มีปี่มีชลุ่ยของเคียงฟ้ามีแต่เพิ่มความระแวงให้กับวาดตะวัน แต่หญิงสาวก็ฉลาดพอที่จะเก็บสีหน้าสงสัยไว้

“ฝนหลับใหลมานานวัน คงอยากโปรยปราย ให้ความสดชื่นกับธรรมชาติที่แห้งผาก เพราะพวกเขาเรียกร้องหาสายฝนตลอดเวลา แต่ในฤดูหนาวเหน็บอย่างนี้ ฝนอาจจะได้ยินความปรารถนาของพวกเขาไม่ค่อยชัด”

อาการเครียดเกร็ง และไหล่ที่ตั้งตรงอยู่ในสายตาวาดตะวันทั้งหมด เธอเพียงแค่โยนหินเพื่อทดสอบปฏิกิริยาของเคียงฟ้า หากเจ้าหล่อนไม่ได้คิดร้ายกับวิฬุร จะมีอาการวิตก หรือต่อต้านอย่างที่เธอเห็นในตอนนี้ไปทำไม ดวงตาของหญิงสาวเย็นเยียบ หากว่าเคียงฟ้าทำอะไรวิฬุรไปแล้วจริง เธอไม่ปล่อยให้แม่เลี้ยงคนนี้ลอยนวลไปง่ายๆ แน่!

“คุณอยากไปดูฝนตกข้างนอกไหมคะ” อาการของเคียงฟ้ากลับสู่ปกติ เธอเข็นรถเข็นแทนการเอ่ยชวนอย่างปากว่า

“คุณคิดว่าฉันกลัวฝน?”

“ก็ไม่แน่” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาแข็งขึ้น เคียงฟ้าเปิดประตูกว้าง และดันรถเข็นอย่างแรงให้ไถลไปตามพื้นที่ลาดเอียง หินก้อนโตขนาดครึ่งแข้งขวางทางรถเข็นไว้ในอีกไม่กี่เมตรที่รถเข็นจะไปถึง

แม่เลี้ยงสาวยิ้มเหี้ยม หยิบมือถือออกมาถ่ายภาพจากกรอบประตูบ้านของอนิล ดวงตาเย็นชา ฉายแววอำมหิต วาดตะวันเลือกได้หากคิดกระโดดหลบ แต่ต้องแลกกับความจริงที่จะต้องเปิดเผย

คนอย่างวาดตะวันคงไม่โง่พอจะเจ็บตัวเพิ่ม เธอจำได้ว่าตอนเข้ามาสายตาเธอเห็นหินก้อนนั้นพอดี แต่ไม่ทันได้คิดว่าจะได้ทดลองใช้

โครม!

มือของเคียงฟ้ากำรอบโทรศัพท์แน่น คลิปที่อัดภาพรถเข็นที่มีวาดตะวันนั่งอยู่ชนโครมอย่างแรงไปกับก้อนหินก้อนนั้น เกินความคาดหมายเธอไม่น้อย แม่เลี้ยงสาวลดโทรศัพท์ลง อดทนที่จะไม่วิ่งไปทำร้ายร่างที่ลอยขึ้นฟ้า และตกกลิ้งไปตามเนินเตี้ยจนสุดทางกับต้นไม้

ร่างระหงนอนระโหยโรงแรง หน้าตาซีดเซียวรับสายฝนกระหน่ำ ไร้สิ้นท่าทางจะลุกขึ้นมา หญิงสาวรู้สึกเจ็บระบมไปทั้งร่าง มึนกับการบินกลางอากาศอย่างที่ไม่คิดว่าจะได้พบเจอในชีวิตนี้ ตอนที่ตัดสินใจว่าจะไม่กระโดดหนี เธอก็ทำใจแล้วว่าต้องเจ็บ แต่ไม่คิดว่าทันทีที่ฟันกระทบกึก ผลกระทบจากแรงกระแทกระหว่างรถเข็น และก้อนหินใหญ่ จะทำให้เธอมึนหนัก และเจ็บมากขึ้นเพราะลอย และกลิ้งหลุนตามเนินมาอีก

ตอนนี้ต่อให้อยากลุก ก็ลุกไม่ขึ้น เธอไม่ต้องแสร้งว่าเจ็บขาเดินไม่ได้เลย ปากสีหวานเม้มไว้แน่นจนเจ็บ ดวงตาอ่อนมองฟ้าสีทึมที่กระหน่ำแรงกว่าหลายนาทีก่อน หยดน้ำเย็นจัดที่สัมผัสผิวชืดของเธอเรียกความอ่อนแอในใจเธอได้

เวลาที่กำลังร้องไห้ ฝนยังช่วยอำพรางความอ่อนแอของเธอไว้ได้ วาดตะวันยิ้มอ่อนโยน หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า เพื่อคิดถึง...วิฬุร

จู่ๆ สายฝนที่กระทบผิวหน้าของเธอ ก็หายไป เหลือเพียงขาสองข้าง และแขนที่ยังโดน วาดตะวันปรือตาขึ้นมอง เธอกำลังคิดติดตลกว่าฉันทยาตามอนิลมาให้เธอรวดเร็วเหลือเกิน แต่เมื่อพบว่าเป็นเพชรี กระแสเย็นเยียบที่เคยเกาะกุมจิตใจเธอคล้ายได้รับแสงแดดอุ่นทอแสงผ่านหมอกบางๆ ในตอนเช้า แม้เพชรีจะยังมีสีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก แต่การที่นางเลือกมากางร่มให้ อย่างน้อยๆ ก็ยังทำให้เธอมีความหวังมากกว่าเดิมในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเธอ

“คุณป้าคะ ฉันไม่ได้ทำร้ายฝน ไม่เคยคิด ฉันจะทำร้ายเขาได้ยังไง...ฉันรักเขา” ถึงจะรัก และเป็นได้แค่ในฐานะเพื่อน

วาดตะวันพึมพำเสียงเบาแข่งกับเสียงฝน ปากของเธอซีดแตก และเริ่มสั่นด้วยความหนาวเหน็บ ในสติอันน้อยนิดวาดตะวันได้ยินเสียงกราดเกรี้ยวไม่ต่างจากฟ้าคำรามจากเบื้องบนแว่วมาราวกับอยู่แสนไกล

“เกิดอะไรขึ้น!”

ร่างเย็นเฉียบของเธอก็อุ่นขึ้น กลิ่นกาย และอ้อมกอดอันมั่นคงที่เธอเห็นเลือนรางกระชับ และยกเธอขึ้น น้ำเสียงเข้มร้อนรนดังอยู่ชิดริมหูเธอตลอดเวลา

“เดี๋ยวไปโรงพยาบาล วาดจะไม่เป็นอะไรนะ”

“ไม่...ไปโรงพยาบาลค่ะ” วาดตะวันบอกเสียงแผ่วชิดอกหนาที่มีเสียงหัวใจเต้นอยู่ ในยามนี้เธออ่อนแอ จนอยากจะหลับไปในอกเขาเสียให้รู้แล้วรู้รอด “พี่ลม เชื่อฉันนะ ฉันไม่เป็นอะไร”

“วาด!” น้ำเสียงตะคอกลั่นนั้นทำให้คนเจ็บเบ้หน้า เธอซุกตัวให้ถนัดในอ้อมกอดแข็งแกร่ง ยกมือโอบรอบลำคอเขา ทั้งที่จริงเธอเจ็บแปลบไปทั้งแขน ทำได้แค่กัดฟัน และปลอบตัวเองให้...ไม่เป็นอะไร เธอต้องไม่เป็นอะไร

“พี่ไม่สน พี่จะพาวาดไป”

“เพื่อฝน พี่ลมต้องเชื่อ ต่อให้ฉันไข้ขึ้น พี่ลมก็ห้ามใจอ่อน พาฉันออกจากที่นี่เด็ดขาด”

“พี่ไม่...”

“สัญญาสิคะ” วาดตะวันครองสติที่พร้อมจะสลบไปด้วยความเหนื่อยอ่อนได้ทุกวินาทีอย่างเต็มกำลัง สายตาจดจ้องนัยน์ตาสีเข้มอย่างคาดคั้น “พี่ลมเชื่อฉัน ผ่านครั้งนี้ไป พี่ลมจะขออะไรฉันก็ได้”

“นี่มันชีวิตวาด...ห่วงตัวเองซะบ้าง!”

“ชีวิตฉันยกให้พี่ลมก็ได้ ขอแค่ครั้งนี้ เชื่อฉันนะ”

อนิลถอนหายใจอย่างหนักอก ไม่รู้มาก่อนว่าวาดตะวันจะดื้อ และดันทุรัง เอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพันขนาดนี้ เขาพอจะเข้าใจแผนการของวาดตะวันบ้าง เพราะเธอก็บอกไว้แล้วว่าจะทำอะไรบ้าง แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือ...การเอาตัวเองมาเสี่ยงขนาดนี้

“พี่รู้แล้ว”

“ขอบคุณนะคะ” วาดตะวันหลับตาลงอย่างสบายใจ ตรงข้ามกับอนิล ที่หลังจากพาวาดตะวันไปวางบนเตียงในห้องนอน และให้ฉันทยาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว แม่ของเขาจะยังยืนรอคอยเขาตรงระเบียงบ้าน

“แม่รู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”

“เขาเดินไม่ได้จริงๆ เหรอลม” เพชรีถามด้วยเสียงเบา นึกอยากให้สิ่งที่นางกลัวไม่เป็นจริง ภาพรถเข็นที่ถูกผลักยังติดอยู่ในหัวของนาง เพชรีไม่ทันมองหาคนผลัก เพราะมัวแต่ตกใจกับภาพที่เห็นจากในบ้าน พอเธอได้สติออกมาจากบ้าน ร่างของวาดตะวันก็ลอยไปหล่นตรงอีกจุดหนึ่งแล้ว

ลูกชายคนโตมองแม่ของตัวเองอย่างขอโทษขอโพยในชั่วขณะหนึ่ง ก่อนหลบสายตาไป ด้วยรู้สึกผิดอยู่เต็มหัวใจ เมื่อต้องตอบสิ่งที่สวนทางกับความจริง เขาปล่อยให้สิ่งที่วาดตะวันอดทนทำมาทั้งหมด ล้มครืนลงไปเพียงเพราะเขาไม่อดทนพอไม่ได้เด็ดขาด

“ครับ วาดเขาเดินไม่ได้” อนิลถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม เพียงแค่หันกลับมามองแม่ที่ตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึง เขาก็ต้องพูดเพิ่มในทางบวก “แต่ในอนาคต วาดเขาอาจจะหายก็ได้ครับ”

“แม่ไม่อยากเจอเขา แต่แม่ไม่อยากให้เกิดเรื่องอย่างนี้นะลม”

“ผมรู้ครับ”

เพชรีมีท่าทางลังเล แต่เมื่อนึกภาพที่วาดตะวันไม่คิดหลบหินก้อนนั้นในหัว ความกลัวก็แล่นเกาะกุมใจ อย่างไรวาดตะวันก็มีพ่อมีแม่ คนเป็นพ่อเป็นแม่จะรู้สึกอย่างไรที่ลูกตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ อย่างเธอการที่เห็นวิฬุรนอนไม่รู้ตื่นทุกเช้าเย็น กำลังใจเธอก็หดหายลงทุกวี่วัน

“ลมย้ายกลับไปนอนที่บ้านเถอะ”

เพชรีกำลังนึกสับสน ไม่รู้ว่าควรเชื่อเรื่องใดก่อนดี แต่อย่างไรสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ไม่มีใครเลยที่มีความสุข

“ทำไมลมไม่พาเขาไปโรงพยาบาล”

อนิลกลืนก้อนแข็งในคออย่างยากเย็น ในวันเดียวเขาต้องโกหกแม่ถึงสองครั้งสองครา “แค่ฝน กับหกล้ม คงไม่ตายหรอกครับ”

อีกอย่างวาดตะวันบอกเองว่าไม่เป็นไร อนิลขบฟันแน่น หัวใจเขาร้อนคล้ายมีกองไฟสุมในอก อยากระบายความคับข้องในอกออกมา เกรงว่าจะทำให้อากาศเย็นหลังฝนตกร้อนระอุทีเดียว

เมื่อไหร่ที่วาดตะวันจะนึกถึงตัวเองก่อนวิฬุรสักที หรือต้องให้ตายก่อนถึงจะพอใจ! อนิลนึกโบ้ยความผิดให้วิฬุรที่เอาแต่นอนไม่รู้เรื่อง เขาควรตื่นขึ้นมา แล้วรีบพาวาดตะวันไปให้ไกลห่างที่นี่โดยเร็ว

ก่อนที่เขาจะ...รัก

อนิลสะบัดศีรษะไล่ความรู้สึกทำนองนั้น เขาไม่มีวันหลงเสน่ห์ผู้หญิงที่ชอบหว่านเสน่ห์ไปทั่วอย่างวาดตะวันแน่ ไม่มีวัน!
………………

@konhin แม่เริ่มอ่อนลง แต่อ่อนลงเพราะคำโกหกไม่รู้จะดีไหมนะคะ

ขอบคุณที่ติดตาม และเข้ามาอ่านนะคะ ^^



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ม.ค. 2558, 01:22:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ม.ค. 2558, 01:22:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 1080





<< บทที่ 6   บทที่ 8 >>
ใบบัวน่ารัก 17 ม.ค. 2558, 05:29:47 น.
รีบรักเร็วๆๆ
นางเจ๊บตัวเยอะ น่านะพอได้แล้ว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account