เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์

เป็นเรื่องราวของคนหน้าตาไม่เข้าตา ไม่เป็นที่นิยม
ไม่ฮิต ไม่ฮอตของคนสองคน...
ที่ไม่สมบูรณ์แบบ มีตำหนิ...ภาพประวัติไม่สวยงาม...
แต่นิสัยที่ซ่อนไว้ค่อนข้างสวยสดงดงาม...
แฝงไว้ด้วยเสน่ห์แห่งการมีชีวิต...การสร้างครอบครัว


เศษหนึ่งส่วนสอง หรือ ครึ่งหนึ่งของชีวิตหนึ่ง
มาพบกับ อีกครึ่งหนึ่งของอีกชีวิตหนึ่ง
แล้วยกกำลังด้วยศูนย์...

เลขศูนย์ที่ดูไร้ค่า ไร้ความหมาย แค่เลขกลมๆเลขนึง

หากมันได้ทำให้ เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์
มีค่าเท่ากับ หนึ่งได้!

สมการทางคณิตศาสตร์ที่น่าพิศวงนี้
นำมาสู่สมการของความรักของทั้งสอง...

ทั้งคู่ที่ชีวิตไม่สมบูรณ์แบบและมีตำหนิ
จะหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร...

เรื่องนี้มีคำตอบ!!!


Tags: ดราม่า ขุนพล ไนค์ บิลกีส

ตอน: บทที่ 8 ดอกไม้แห่งราตรีกาล (1)



บิลกีสตักขนมคุกกี้ลงในบรรจุในถุงที่เตรียมไว้ด้วยแววตาเหม่อลอย
ห้องชุดทั้งห้องเงียบเหงาเพราะไร้ร่างบอบบางของดุจมณี
และเจ้าของห้องชุดเองก็ดูจะยุ่งจนไม่มีเวลากลับมา…
มีบ้างที่เขากลับมาเอาชุดแล้วก็รีบโผออกไปในทันที…

นับว่าเป็นรอบที่ร้อยเห็นจะได้ที่บิลกีสต้องลอบถอนใจออกมา…
โชคดีที่ภาพวาดของเธอขายได้ราคาดี จึงสามารถนำเงินส่วนนั้น
มาจุนเจือค่าใช้จ่ายจุกจิกต่างๆซึ่งประมุขของบ้านดูจะไม่รู้ในเรื่องนี้

ไม่แปลก เพราะสำหรับเพศชายอย่างเขาแล้ว เรื่องแบบนี้ย่อมมิอาจคิดถึงหรือใส่ใจได้
มันจุกจิกเกินไป…เพราะแม้แต่เวลาเขาก็แทบจะไม่มี

เธอพอจะรู้มาบ้างว่าเขาได้โปรเจคใหม่ ซึ่งต้องเดินทางไกล ไปพักค้างอ้างแรม
และจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศอีก

ครั้นเธอจะเรียกร้องหรือขอเงินจากเขา เธอก็เกรงใจเพราะรู้ว่าเงินส่วนที่เขาให้มา
ในแต่ละเดือนนั้น มันก็ค่อนข้างมากอยู่แล้ว
เพียงแต่อาจจะยังไม่ครอบคลุมถึงค่ารายการจุกจิกเท่านั้นเอง

ที่สำคัญ เธอรู้ว่าเขามีแปลนจะซื้อบ้าน จึงอยากช่วยเขาให้มากเท่าที่มากได้…
แต่ก็ไม่อาจลืมเด็กๆท่ีบ้านเด็กกำพร้าได้เช่นกัน
เพราะตั้งแต่แต่งงานย้ายมาอยู่ที่นี่ก็หลายเดือนแล้ว
หากเธอก็ยังไม่เคยได้แวะไปเยี่ยมเยือนเด็กๆเลย…

วันนี้เธอจึงเลือกที่จะควักเงินส่วนตัวจากการขายภาพวาดมาทำขนมคุกกี้
เพราะรู้ว่าพรุ่งนี้เขาจะกลับมาอยู่กับบ้านหนึ่งวัน…
เธอจึงคิดจะถือโอกาสนี้ ขออนุญาตเขาออกไปเยี่ยมเด็กๆ…

แม้ใจลึกๆแล้วเห็นใจเขา อยากให้เขานอนพักสบายๆอยู่บ้าน
เพราะเขาทำงานแทบไม่ได้หยุดมาร่วมเดือนแล้ว…

ส่วนดุจมณีเองก็ดูจะสนุกกับการแวะไปหาเด็กๆซึ่งเป็นลูกๆของปองขวัญ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ดุจมณีไม่ควรเอาชีวิตมาจมอยู่ในห้องแบบนี้เลย
เธอควรได้ออกไปเจอโลกภายนอก…ได้เปิดหูเปิดตา…

เมื่อเสร็จจากการบรรจุขนมแล้ว บิลกีสก็เดินกลับไปยังคนป่วย
นั่งอ่่านหนังสือพิมพ์ อ่านหนังสือธรรมะให้คนป่วยฟัง…

เพราะเท่าที่เธอสังเกตเห็น คนป่วยดูจะสุขภาพดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
หน้าตาดูแจ่มใสมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อได้เวลาที่เธอต้องอ่านหนังสือให้ฟัง
ดวงตาคนป่วยก็ดูจะแวววาวทุกครั้ง ราวกับรอเวลานี้อยู่…

จึงกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่เธอไม่อาจปฏิเสธที่จะไม่ปฏิบัติไม่ได้ไปเสียแล้ว…

เมื่อคนป่วยหลับไปแล้ว บิลกีสจึงเดินเข้าไปในห้องทำงานของขุนพล
เพื่อนำอุปกรณ์สำหรับวาดภาพออกมาวางไว้ตรงระเบียงห้อง…

โจทย์ที่เธอเพิ่งได้รับมาคือ… ‘ดอกไม้กับความดี’
หญิงสาวไม่จำเป็นต้องคิดนานเลย…เธอเลือกที่จะวาด
เป็นเซ็ตดอกไม้สีขาวที่บานยามกลางคืนทันที…

เริ่มจากดอกไม้ไทยๆ อย่างดอกราตรี ดอกโมก ดอกแก้ว ดอกพะยอม
ดอกมะลิและลีลาวดีหรือดอกลั่นทม…

ดอกไม้เหล่านี้ล้วนแล้วที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นเมื่อยามค่ำคืนทั้งนั้น…
เหมือนกับความดีของคน…

นึกมาถึงตรงนี้…หญิงสาวก็อดย้อนมองดูตัวเองมิได้…
ผู้หญิงอย่างเธอช่างไร้สีสันสวยสดงดงาม ยากที่ใครจะมองเห็นซึ่งคุณค่า…
แม้แต่กับสามีเอง เธอก็มิอาจทำให้เขาเปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยนใจได้เลย…

บิลกีสมองผ้าใบที่ยังว่างเปล่าตรงหน้าแล้วอดไม่ได้ที่จะวางมือลงบนหน้าท้องของตัวเอง…

‘ฉันอยากให้เธอป้องกันไว้ก่อน เรายังไม่พร้อมจะมีลูก…’

เขาเคยเอ่ยกับเธอเมื่อแรกๆที่เริ่มมีสัมพันธ์ต่อกัน…ซึ่งเธอก็เชื่อฟังทำตามแต่โดยดี
เพราะรู้ดีว่าสภาพเศรษฐกิจของครอบครัวที่เป็นอยู่
ไม่อาจรองรับสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาเป็นภาระได้อีก…

ทว่า…เธอก็อยากจะมีลูก…เธอเหงา และอยากจะมีเด็ก อยากอุ้มเด็ก
อยากมีลูกให้ชื่นหัวใจ ลำบากอย่างไรเธอก็พร้อมจะต่อสู้

เพราะเธอเองก็ไม่ใช่สาวๆแล้ว อีกไม่กี่ปีก็จะสีี่สิบอยู่แล้ว
ถ้าไม่รีบมีลูก เธอก็หวาดหวั่นว่า ตัวเองอาจจะมีลูกยาก…

ครั้นจะขัดขืนไม่เชื่อฟังเขา เธอก็ทำไม่ได้
ด้วยไม่อยากให้มีความขัดแย้งระหว่างเขากับเธอให้เกิดขึ้น…
เธอไม่อยากทะเลาะกับเขา หรือทำให้เขาไม่พอใจ…

ที่ผ่านมา เธอเต็มใจทำทุกอย่างเพื่อเขา…จะมีก็เพียงกรณีนี้กรณีเดียว
ที่เธอไม่ใคร่เต็มใจเลย…เธออยากมีลูกมาก มากจนเขาอาจจะคาดไม่ถึง

และท้ายที่สุด เธอก็เลือกตัดสินใจที่จะทำตามอารมณ์ความรู้สึก
ปล่อยให้มันอยู่เหนือเหตุผลทั้งปวงด้วยการขัดคำสั่งเขาในที่สุด…

เป็นครั้งแรกตั้งแต่มาอยู่กับเขา ที่เธอตัดสินใจทำเพื่อตัวเองล้วนๆ
โดยไม่บอกไม่กล่าวกับเขาหรือปรึกษาเขา
จนตอนนี้ต้องมานั่งวิตกกังวล เพราะประจำเดือนคลาดเคลื่อน
เดือนที่แล้วไม่ปรากฏ เดือนนี้ก็เหมือนว่ามันจะไม่มาทักทายอีก…
ราวกับจะส่งสัญญาณเตือน หากแปลกมากตรงที่เธอไม่มีอาการแพ้ท้องให้เห็นเลย…

เลยตั้งใจว่า เมื่อดุจมณีกลับมาจากบ้านของปองขวัญ
เธอคงต้องออกไปหาที่ตรวจครรภ์เสียแล้วเพื่อความแน่ใจ

แต่มันจะเป็นอะไรไปได้ ในเมื่อเธอไม่กินยาคุมกำเนิดมาได้สักพักใหญ่ๆแล้ว
และเมื่อมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น…เธอค่อนข้างมั่นใจว่า เธอท้อง!

และเธอก็ไม่พร้อมที่จะทะเลาะกับเขาเลย ไม่อยากทะเลาะกันเลย…
บิลกีสยกมือกุมขมับ…ก่อนจะพึมพำเบาๆออกมาว่า

“น่า…ไม่จำเป็นว่าจะต้องบอกเขาวันนี้ พรุ่งนี้เสียเมื่อไหร่”



แต่ในที่สุด เธอก็ได้รับคำตอบที่แน่ชัดแล้วว่า เธอท้อง!

บิลกีสที่วันนี้ยังคงอยู่ในห้องพักอย่างเงียบเหงาจึงหมดความอดทน
จนต้องหาทางระบาย เธอจึงเดินไปยังห้องคนป่วย
ท่านน่าจะเป็นที่ระบายให้เธอได้…เพราะความลับนี้จะไม่มีวัน
ออกจากปากของท่านอย่างแน่นอน

“ท่านคะ…หนูท้อง…” คนป่วยถึงกับตาโตเมื่อได้ยินถ้อยคำดังกล่าวจากบิลกีส
ก่อนจะค่อยๆขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นแววกังวลจากคนที่บอกว่ากำลังจะมีหลานให้เขา

“คุณไนค์เคยสั่งไว้ว่าอย่าเพิ่งมีลูกด้วยกัน เพราะเรายังไม่พร้อม
หนูผิดเองที่อยากมีลูก…หนูอยากมีลูกค่ะท่าน…อยากมีลูกกับเขา
อยากเป็นแม่คน…มันเป็นความฝันของผู้หญิงอย่างหนู
ที่อยากให้ใครสักคนเรียกหนูว่าแม่…”

แล้วบิลกีสก็ทรุดกายลงอย่างหมดเรี่ยวแรงกับเก้าอี้ข้างเตียงคนป่วย…

“และหนูก็กลัว เพราะหนูก็ไม่ใช่จะอายุน้อยๆแล้ว หนูเลยอยากรีบมี
กลัวว่ากินยาคุมกำเนิดไปนานๆแล้วมดลูกหนูจะฝ่อจนมีลูกยากขึ้น
หนูเลย…หนูเลยไม่ได้ป้องกันค่ะ…หนูตั้งใจ เพราะหนูอยากได้ลูก
อยากได้ลูกท้ังๆที่ไม่รู้ว่าจะมีปัญญาส่งเสียเลี้ยงดูเขารึเปล่า…
หนููเลยไม่กล้าบอกคุณไนค์ กลัวเขาจะโกรธแล้วทะเลาะกัน…”

จอมพลกระดิกนิ้วมือพร้อมด้วยแววตาปลอบประโลม…
บิลกีสดูไม่ผิด ชายชราตรงหน้าเธอกำลังปลอบโยนเธอ

“ท่านละคะ…ท่านอยากมีหลานรึเปล่า…”

แล้วบิลกีสก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นรอยยิ้มบนริมฝีปากนั่น…
แค่นั้นก็ทำให้หัวใจอันแห้งผากของหญิงสาวกลับชุ่มชื่นได้ทันที

“ขอบคุณค่ะ…ขอบคุณ…” หญิงสาวกุมมือเหี่ยวย่นนั้นแล้วบีบมัน

“หนูเลี้ยงเขาได้ค่ะ…หนูเป็นแม่เขาได้…”

แล้วเธอก็เห็นชายตรงหน้าพยักหน้าเพียงนิด นิดเดียวเท่านั้น…
แต่เท่านั้นก็นับว่ามากแล้ว…

และเพื่อจุดหมายที่ตั้งเอาไว้ บิลกีสก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะหนักแค่ไหน
ก็จะเก็บเอาไว้…จะไม่ท้อแท้สิ้นหวัง…เธอจะต้องเข้มแข็ง
คนจะเป็นแม่คนได้จะมามัวอ่อนแอปวกเปียกไม่ได้เด็ดขาด…

ดังนั้น…วันทั้งวัน หญิงสาวนั่งวาดรูปอยู่ตรงระเบียงบ้าน…
ซ้ำยังพยายามปั่นงานเขียนที่เธอเลิกเขียนไปนานแล้วในยามค่ำคืน
หลังจากจัดการส่งให้ดุจมณีนอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…

พร้อมกับสั่งซื้อไหมพรมทางอินเตอร์เนตให้เขามาส่งให้ถึงที่ไปด้วย…
ยามว่างเธอตั้งใจจะถักชุด ถุงเท้ารองเท้าสำหรับเด็ก…
ไม่ต้องเสียเงินซื้อ ทำไว้เสียตั้งแต่ตอนนี้ จะได้ไม่ฉุกละหุก

ที่สำคัญ เธอกะจะทำงานฝีมือส่งร้านเดิมที่เคยทำส่ง
แล้วมาเลิกล้มไปเพราะไม่มีเวลา…

หนักเพียงไหน เธอจะไม่หวั่นไหวอีกแล้ว ไม่อีกแล้ว…




พอตื่นเช้าขึ้นมา…ก็มีเสียงโทรศัพท์ หญิงสาวเดินไปรับ

“ว่าไงคะ…จะไม่กลับหรือคะ…ค่ะ…อยู่ได้ค่ะ…น้องไอซ์กำลังจะออกไปบ้านหมอปองค่ะ…
ไปทุกวัน…ทางโน้นมารับมาส่งเรียบร้อย…ค่ะ…ดูแลตัวเองด้วยนะคะ…
อย่าลืมทานข้าวให้ครบสามมื้อด้วย…”

แล้วหญิงสาวก็วางสายพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมา…

สิ่งแรกท่ีจู่โจมเธอในยามนี้คือ ‘ความคิดถึง’ เธอคิดถึงเขา
เราไม่เจอกันเกือบจะสามสัปดาห์แล้ว…ได้ยินแค่เสียงผ่านทางโทรศัพท์
ซึ่งมันไม่เพียงพอที่จะเยียวยาความคิดถึงเขาได้เลย…

ซ้ำเขายังโทรมาบอกว่าจะเดินทางไปต่างประเทศเป็นอาทิตย์
และจะบินตรงเลย ไม่แวะกลับมาที่นี่…

“พี่ไนค์โทรมาบอกว่ากลับมาไม่ได้อีกล่ะสิ…พี่กีสถึงได้ทำหน้าแบบนี้…”

ดุจมณีเดินเข้ามาหา วางมือบนบ่าแล้วตบเบาๆราวกับจะปลอบ…

“เป็นเรื่องปกตินี่คะ…พี่ไนค์ก็ 'บ้างาน' อย่างนี้มาตั้งแต่ไอซ์จำความได้แล้วล่ะค่ะ…
ถึงได้ไม่มีใครยอมมาเป็นเมียพี่ไนค์ไง…ขนาดแฟนก็ไม่เห็นจะเคยมี…
มีพี่กีสคนเดียวที่ยอมและอึด…” บิลกีสอยากจะยิ้มให้กับคำชมนั่นเหลือเกิน
แต่มันยิ้มไม่ออก หัวใจมันรู้สึกชาหนึบ…

แต่ก็ดี…เธอเองก็ยังไม่พร้อมจะบอกเขาเรื่องลูกในตอนนี้เช่นกัน…

“อย่าเลิกกับพี่ไนค์นะคะไอซ์ขอร้อง…ถ้าไม่มีพี่กีสเสียคน พวกเราแย่แน่ๆค่ะ…”
บิลกีสแค่นยิ้ม

“ไม่หรอกจ๊ะ…พี่ไม่ไปไหนหรอก…”

ใช่…เธอจะอยู่ เพราะถึงไปก็คงไม่มีที่ไปอยู่ดี…คนอย่างเธอมีที่ให้ไปเสียเมื่อไหร่…
ยิ่งต้องหอบลูกโตงเตงไปโน่นมานี่เหมือนชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง
เธอทำไม่ได้หรอก…สงสารลูก…ไม่อยากให้เขากำพร้า ไม่!

“เดี๋ยวน้องไอซ์รอก่อนอย่าเพิ่งไปนะคะ พี่ขอไปซื้อของที่ซุปเปอร์ฯแป๊บนึง…
แล้วเดี๋ยวกะจะใช้บริการส่งของด้วย…”

บิลกีสลอบถอนใจ จากที่หวังว่าจะได้นำขนมไปให้เด็กที่ศูนย์ฯ
กลับทำไม่ได้เสียแล้ว คงต้องใช้บริการส่งของแทน…

ใจนึงเสียดาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี





ชีวิตที่ไม่มีเขาต่อจากนั้นก็ดำเนินไปอย่างเดิมๆที่มันเป็น เหมือนข้าวเย็นที่ไร้รสชาติ
ไม่หอมกรุ่นเหมือนข้าวเพิ่งหุงสุกใหม่ๆ...

การกลับมานั่งกินข้าวคนเดียวเหมือนเมื่อตอนก่อนแต่งงานมันชั่งให้รสชาติขมพร่า
อมเค็มเพราะน้ำตาที่ใหลลงมาเป็นทาง

…เพิ่งรู้ว่าตัวเองไม่ใช่ก้อนหิน ไม่ใช่ท่อนไม้…

แม้จะหวังและคาดหวังว่าจะได้เจอเขาในวันพรุ่งนี้ตามตารางเวลาที่เขาบอกไว้ก่อนหน้านี้
แต่ก็ไม่อยากหวังอีกแล้ว เพราะหวังทีไรก็ผิดหวังตลอด…

วันนี้บิลกีสจึงนั่งถักถุงเท้าเด็กไปก็นั่งจ้องที่ช่องประตูไป
ทั้งๆที่บอกตัวเองมาเป็นรอบที่ร้อยเก้าสิบเก้าแล้วว่าอย่าไปมองดู…
ตาสองข้างมันก็ไม่เชื่อฟัง…หูก็คอยเงี่ยฟังอยู่นั่น…
สมองก็คอยแต่คิดเข้าข้างว่าเขาจะกลับมา อีกไม่กี่นาทีประตูห้องก็จะเปิดออกแล้ว…

จนกระทั่งเผลอหลับไปในท่าที่มือยังคงถือเข็มถัก นิ้วกำลังขมวดเส้นไหม
ศีรษะพับลงบนพนักโซฟาด้วยความเหนื่อยและเพลีย
ซึ่งเป็นปกติของหญิงที่กำลังตั้งครรภ์…

แม้ไม่มีอาการแพ้ท้อง หากหญิงสาวกลับรู้สึกเพลียง่าย เหนื่อยง่าย
ไม่ถึกเหมือนก่อนหน้านี้…

ดังนั้นเมื่อประตูห้องถูกเปิดออก คนที่กำลังหลับลึกซึ่งกำลังรอการเปิดของประตู
มาตลอดทั้งวันจึงไม่รู้สึกตัวตื่น คนที่มาเหนื่อยๆจึงอดมองภาพของหญิงสาว
ในท่านอนแบบนั้นด้วยสีหน้าแววตาประหลาดใจไม่ได้

ก่อนจะลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปเก็บแล้วเดินราวกับย่องไปหา
มองสิ่งที่พันธนาการมือของเธอแล้วเลิกคิ้วก่อนจะเปลี่ยนเป็นขมวดปม

ชายหนุ่มนั่งคุกเข่าลงแล้วแกะของที่อยู่ในมือเธอออก…ซึ่งคนหลับก็ดูจะไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ส่งผลให้ชายหนุ่มกระตุกมุมปากก่อนจะช้อนตัวเธอเข้าไปยังห้องนอน
วางลงบนเตียงอย่างเบาที่สุด ปัดปอยผมที่ตกลงมาให้
แล้วพิศมองใบหน้าที่เขาไม่ได้เจอเกือบเดือน

…จากที่ผอมอยู่แล้วก็ดูจะซูบลงไปอีก…

ขุนพลนั่งลงตรงขอบเตียง มองเธอตั้งแต่ศีรษะไล่ลงมาเรื่อยๆ
ผ่านลำแขนที่แทบจะไร้ไขมันดูไม่ต่างจากไม้ขีดไฟก้านเล็กๆ ดูเล็กเกินไปจนน่าใจหาย…

กระดูกไหปลาร้าก็นูนขึ้นจนเห็นเด่นชัด…ผิวที่เคยผ่องดูซีดเซียว…

ขุนพลขมวดคิ้วมุ่น สงสัยตื่นขึ้นมาต้องมีการสัมภาษณ์กันหน่อยว่าไปทำอะไรมา
ถึงเป็นได้มากขนาดนี้…

ว่าแล้วเขาก็ทอดถอนใจเดินไปยังห้องของบิดา

“ผมกลับมารายงานตัวครับพ่อ…” คนป่วยที่ไม่ได้หลับจ้องคนมาใหม่
ที่หายหัวไปนานแน่วนิ่ง ปากขยับเหมือนจะพูดอะไร แต่ก็ทำได้แค่เพียง
อ้าค้างเอาไว้ได้แค่นั้น…

“ดูพ่อจะอิ่มเอิบขึ้นนะครับ…อีกสองวันผมนัดหมอให้มาดูพ่อ
กับพยาบาลมืออาชีพ คนนี้เก่งมาก เขาจะมาช่วยพ่อทำกายภาพบำบัด
อย่างจริงๆจังๆ…พ่อต้องขยันหน่อยนะครับ เพราะผมมีข่าวดีจะมาบอก”

คำว่า ‘ข่าวดี’ จากปากลูกชายทำเอาคนฟังรู้สึกตื่นเต้น

“พ่อรู้มั้ยว่าผมไปเจอใครที่ตุรกี…” แววตาที่ดูยิ้มได้ของขุนพลทำให้
คนเป็นพ่อถึงกับจ้องมองเขม็งราวกับรอฟังอย่างตั้งใจ

“นายไลท์ ผมเจอนายไลท์ที่นั่น…จะว่าบังเอิญก็ได้นะครับ…”

คำตอบนั้นทำเอาคนที่นอนรอคอยลูกชายคนเล็กมาตลอดถึงกับยิ้มทั้งปากทั้งตา
ปฏิกิริยาที่ทำเอาขุนพลที่แทบไม่เคยเห็นมานานแล้วถึงกับหัวใจกระตุก

บิดาของเขาเคยยิ้มแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่เขาก็แทบจะนึกไม่ออกเอาเสียเลย…

“ตอนแรกเขาพยายามหนีผม แต่ผมตะครุบตัวเอาไว้ได้ทัน…
บอกข่าวเรื่องพ่อว่าพ่ออยากเจอเขามาก…เขาก็บอกว่า เขากลับมาไม่ได้
ยังหนีคดีหัวซุกหัวซุนอยู่ แต่ผม…ผมกำลังทำเรื่องให้เขากลับมาเยี่ยมพ่ออยู่…
ต่อให้ต้องจ่ายกี่ล้านผมก็ยอมนะพ่อ ผมรู้ว่าพ่อรอเขาคนเดียว…
ที่พ่อไม่ยอมเดินหน้าหรือถอยหลังอยู่แบบนี้เพราะกำลังรอคอยเขา…”

ขุนพลกุมมือบิดาเอาไว้แล้วจ้องมองแววตาที่ส่องประกายวาววับจับตานั้น
แล้วคลี่ยิ้มออกมา…

“ผมอยากให้พ่อสู้…ลุกขึ้นมาอีกครั้ง…พ่อไม่จำเป็นต้องทำเพื่อผม
แต่ขอให้พ่อทำเพื่อนายไลท์ก็ได้…เพราะผมกำลังทำเรื่องอยู่…
เขาจะต้องกลับมาหาพ่อได้…ผมสัญญา…”

เขากำลังวิ่งเต้นเรื่องนี้อย่างลับๆตั้งแต่ได้เจอและได้พูดคุยกับน้องชายต่างมารดา…
ค่าใช้จ่ายสำหรับเรื่องนี้ไม่น้อยเลยสักนิด…

เงินที่เขาตั้งใจจะเอาไว้ซื้อบ้านของหมอที่เคยคุยกันไว้ดูจะถูกนำไปเป็นค่าใช้จ่าย
สำหรับเรื่องนี้รวมกับเงินที่ได้จากโปรเจคใหม่…

สุดท้ายแล้ว เขาคงต้องบอกหมอไปตามตรงว่าตอนนี้เขาไม่มีปัญญาซื้อบ้านหลังนั้นแล้ว…
ถ้าหมอจะขายใครเขาก็จะไม่ทัดทานใดๆ เพราะนี่เขาก็ยืดเยื้อมานาน
เห็นทีคงต้องปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน…

แม้จะเสียดายบ้านหลังนั้นแค่ไหนแต่คงต้องมีสักวันที่เขาจะมีบ้านเป็นของตัวเอง…
ไม่ใช่อยู่ในห้องชุดเช่นนี้…ห้องชุดที่แม้จะกว้างขวาง
แต่ไม่เหมาะสำหรับคนแก่และการสร้างครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิกถึงสี่คน
และยังต่างวัยแบบนี้เลยสักนิด…ไม่เหมาะสำหรับคนป่วยด้วยซ้ำ...มันอุดอู้เกินไป…

“พ่อจะได้เลิกคอย…คอยอย่างไร้ความหวังไงครับ…” น้ำเสียงของคนเป็นลูกอ่อนโยน
กระแทกหัวใจของชายชรา…ส่งผลให้น้ำที่หล่อเลี้ยงร่างกายใหลมารวมคลอตรงดวงตา…

“นายไลท์โอเคครับ เขาสบายดีตามอัตภาพ…สบายกว่าพ่อเยอะ”

ขุนพลบอกพลางยกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้บิดา บิดาผู้ไม่เคยเสียน้ำตาให้กับใครง่ายๆ…

หลังจากการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนั้นดูเหมือนบิดาจะบ่อน้ำตาลึก
ไร้ความรู้สึกไปเลย…

“เอาไว้ผมจะติดต่อเขาไป แล้วให้เขาได้คุยกับพ่อ…”

ขุนพลให้คำมั่นก่อนจะห่มผ้าให้บิดาแล้วเดินจากมา
แวะเข้าห้องครัว กะจะไปหาอะไรใส่ท้องที่วันนี้ยังไม่มีอะไรลงไปให้กระเพาะทำงาน…

เปิดฝาครอบเห็นคั่วกลิ้งไก่ของโปรดแล้วยิ้มออกมาทันที…
ไม่รอช้านำอาหารบนโต๊ะเข้าตู้อบไมโครเวฟเพื่ออุ่นอาหาร
แล้วเดินไปตักข้าวใส่จานรอไว้บนโต๊ะ เสร็จแล้วก็นั่งทานเงียบๆไปสามจาน
อย่างที่ไม่ได้กินอะไรถูกใจแบบนี้มานานวัน…จนอดคิดไปถึงคนทำไม่ได้

ในชีวิตเขานอกจากมารดาที่เสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังเป็นเด็กแล้ว
คงมีผู้หญิงคนนี้เท่านั้นที่เอาใจใส่ว่าเขารักชอบหรือไม่ชอบสิ่งใด

เขาแค่ทำคั่วกลิ้งไก่ขึ้นโต๊ะแค่ครั้งเดียว เธอก็จดจำมันได้ว่าอาหารจานนี้
คืออาหารจานโปรดที่ทำให้เขากินข้าวได้เยอะโดยไม่เคยแม้แต่เอ่ยปากถามเขาสักคำ
ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไรบ้าง…

แถมยังมีกล้วยบวชชีทำไว้รออีกด้วย…ขุนพลเลยกินไปยิ้มไป…

เสร็จจากห้องครัวเขาก็เดินเข้าไปในห้อง ทว่า เสียงออดตรงประตูห้องดังเสียก่อน
ชายหนุ่มยิ้มเมื่อเห็นภาพน้องสาวทางจอจึงเปิดออก
ร่างโปร่งระหงก็กระโดดเข้าใส่เขาเต็มตัว โอบกอดเอาไว้แน่น

“พี่ไนค์มาแล้ว…” เสียงดังตื่นเต้นดีใจของเธอคงทำให้คนที่นอนหลับในห้อง
ตื่นแล้วเป็นแน่ เพราะเพียงไม่นานร่างผอมโซก็เดินงัวเงียออกมา

“กลับมาแล้วเหรอคะ…” เธอถามเขาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะยังตื่นไม่เต็มที่นัก
ทว่าดวงตาทอประกายระยิบระยับ

“ตัวเป็นๆเลยล่ะค่ะพี่กีส ไม่เชื่อลองกอดดู…”

ดุจมณีหันไปยิ้มให้พี่สะใภ้พร้อมกวักมือเรียกให้เดินมาหา…
ทว่าอีกฝ่ายกลับปักหลักอยู่ที่เดิมนิ่งไม่ไหวติง…

“แต่ไม่ค่อยหอมเท่าไหร่ สงสัยจะไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันแน่ๆ…”

คนเป็นน้องไม่วายเย้าแหย่พี่ชาย…

“อย่างนี้พี่กีสต้องจับอาบน้ำนะคะ…ถูตัวให้สะอาด ไม่อย่างนั้นล่ะก็
จะเอาขี้กลากมาติดพวกเรา…น่ากลัวที่สุด…”

“เกินไปแล้วยัยตัวยุ่ง…” เขาว่าพลางโยกหัวน้องสาว…

“เรานั่่นแหล่ะ ไปเที่ยวไปเล่นบ้านคนอื่นเขา ไม่อยู่เป็นเพื่อนพี่กีสเขา
ไม่ดูแลพี่เขา ปล่อยให้ผอมขนาดนี้ได้ไง…แบบนี้พี่จะหักค่าขนมเรา…”

ขุนพลหันมาขู่น้องสาวด้วยท่าทางไม่จริงจังนัก ส่งผลให้คนโดนขู่หัวเราะคิกคัก

“ว่าแต่เค้า พี่ไนค์นั่นแหล่ะที่ต้องโดนหักค่าขนมค่าข้าว…
เพราะไม่ยอมกลับมาให้คนแถวนี้ดูหน้าบ้าง เขาเลยกินข้าวไม่ลง…
ความผิดไอซ์ที่ไหน พี่ไนค์น่ันแหล่ะดูแลเมียตัวเองไม่ดีแล้วมาโทษเค้า…
พี่กีสไม่ต้องทำกับข้าวและขนมให้กินนะคะ ถือเป็นการหักค่าขนมค่าข้าวไปในตัว”

ว่าแล้วก็วิ่งไปเกาะแขนพี่สะใภ้ทันที เพราะกลัวโดนที่ชายจะประทุษร้ายเข้าให้…

“เห็นมั้ยคะว่า…ไอซ์ไม่ได้อยู่ฝั่งพี่อีกแล้ว เพราะไอซ์จะไม่อยู่ฝั่งผู้ร้้ายเด็ดขาด…เชอะ…”
ดุจมณีทำจมูกย่น ปากยื่นใส่พี่ชาย

“แต่พี่ว่าตอนนี้คนที่กำลังส่งกลิ่นเหม็นน่ะเรามากกว่าพี่นะ…ไปอาบน้ำอาบท่าไป๊…”
เขาออกปากไล่น้องสาวเสีย…ทำเอาคนโดนไล่ให้ไปอาบน้ำถึงกับค้อนปะหลับปะเหลือก

“ไปก็ได้…แต่พี่ไนค์เองก็ควรจะอาบน้ำบ้างน้า…พี่กีสเขาไม่ชอบกอดคนตัวเหม็นหรอก…
ใช่มั้ยคะพี่กีส…” ว่าพลางก็หันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้พี่สะใภ้
และเมื่อเห็นผิวแก้มของฝ่ายนั้นระเรื่อแต้มสีก็ยิ่งได้ใจ
หัวเราะคิกๆก่อนจะวิ่งเข้าห้องของตนไป…

“เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมดูเพลียๆ…” ขุนพลเดินเข้ามาประชิดตัวบิลกีส
ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แววตาที่ทอดมองมามีความอาทร
จนทำให้คนมองถึงกับหัวใจไหวยวบ…

“เปล่าค่ะ…แค่อาจจะยังตื่นไม่เต็มตาเท่านั้น…” หญิงสาวยิ้มให้เขา

อยากกอดเขาที่สุด หากก็ไม่กล้าเริ่มก่อน มันเหมือนระหว่างเธอกับเขา
มีอะไรบางอย่างขวางก้ันอยู่ตลอดเวลาโดยที่เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

“ถ้าไม่เป็นไรก็ดี…งั้นอาบน้ำให้หน่อยสิ…” เขาว่าเสียงเนิบๆ
สีหน้าไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ใด ก่อนจะกุมมือเธอแล้วจูงไปยังห้องนอน

“ทำไมต้องอาบให้ด้วยล่ะค่ะ คุณไม่ใช่เด็กเล็กๆสักหน่อย…” หญิงสาวประท้วงเสียงอ่อย
แม้ว่าลึกๆแล้วก็อยากช่วยอาบน้ำให้เขาอยู่ไม่น้อย

“เห็นหน้าเธอแล้วฉันขี้เกียจอาบเอง…ช่วยหน่อยไม่ได้หรือ…”

ไม่เชิงว่าจะอ้อน เพราะสีหน้าแววตาของเขาไม่ได้มีแววออดอ้อนแต่อย่างใด…

“ไปเถิด…” เขาว่าพลางลากเธอไปยังห้องน้ำ
ก่อนจะค่อยๆถอดชุดออกทีละชิ้น…ทำเอาผู้ช่วยอาบน้ำถึงกับลอบกลืนน้ำลายลงคอ…

กว่าจะอาบน้ำให้เขาเสร็จเธอทั้งเปียกปอนจนถูกดึงให้เข้าไปอาบน้ำกับเขาด้วยกัน…
พอมาอยู่ในชุดนอน เบาสบายด้วยกันทั้งคู่ หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะถามเขาว่า

“ทานข้าวรึยังคะ…”

“เรียบร้อยแล้วล่ะ กลับมาก็จัดการเกลี้ยง”

“แล้วเธอล่ะ…ทานรึยัง…”

“เรียบร้อยแล้วเหมือนกันค่ะ…” หญิงสาวตอบขณะสางผมที่เป่าให้แห้งแล้วไปพลาง…

“ไอซ์กลับค่ำแบบนี้ทุกวันเลยหรือ…”

“ก็ไม่ทุกวันหรอกค่ะ…วันนี้วันหยุด สงสัยหมอปองจะพาไปเที่ยว
สวนสัตว์หรือไม่ก็สวนสนุกแน่ๆเลยค่ะ…ลองไปถามดูสิคะ
ขี้คร้านจะเล่าให้ฟังจนหลับไปโน่นแหล่ะค่ะถึงจะยอมปล่อยให้เรากลับห้องได้”

บิลกีสว่าพลางก็ยิ้มเอ็นดูคนตัวโตแต่ใจเด็กอย่างดุจมณีไปด้วย

“เขาดูมีความสุขมากมั้ย…” ขุนพลที่นั่งพับเพียบอยู่บนเตียงถาม
ขณะมองร่างผอมที่นั่งสางผมอยู่หน้ากระจก

“หน้าตาอิ่มเอิบซะขนาดนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ค่่ะ…ช่วงหลังๆมานี่ดูขี้เล่น
ร่าเริงขึ้นตั้งเยอะแน่ะ…เจริญอาหารขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก”

“ปองเขาเป็นจิตแพทย์ คงรู้วิธีทำให้ยัยไอซ์มีความสุขและร่าเริง…”

ขุนพลพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชมที่ดูจะปิดไม่มิดชิดนัก
เลยทำเอามือที่กำลังสางผมชะงักค้างชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะขยับต่อ…

“ค่ะ…ตั้งแต่น้องไอซ์ไปบ้านโน้น เห็นแกดูมีความสุขมากขึ้น…”

ส่วนหนึ่ง บิลกีสยอมรับว่าเป็นเช่นนั้น แต่ก็อดน้อยใจเขาไม่ได้อยู่ดี
ในเมื่อความดีของเธอเขาไม่เคยมองเห็นเลย…ไม่เลย…

“แล้วเธอล่ะ…ทำไมถึงผอมลงๆเรื่อยๆแบบนี้…
ฉันจับเหวี่ยงออกไปนอกโลกได้สบายๆเลยรู้มั้ย…”

เขาเปลี่ยนเป้าหมายมาวิจารณ์รูปร่างเธอแทน

แต่ก็ดี ไม่อยากให้เขาพูดถึงผู้หญิงในฝันของเขาสักเท่าไหร่…
ถึงจะทำใจได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เจ็บเลย…

“กับข้าวที่เธอทำก็ยังอร่อยดีนี่…หรือว่าเบื่อฝีมือตัวเองขึ้นมา…”

“ถ้าบอกว่าเบื่อจะทำให้กินหรือว่าพาไปกินฝีมือคนอื่นบ้างรึเปล่าล่ะคะ”

หญิงสาวเผลอหลุดปากออกไปจนได้ ทั้งๆที่ไม่เคยเลยสักคร้ัง
ที่จะเรียกร้องอะไรจากเขา เธอต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆที่เผลอพูดแบบนี้ออกไป…
ก็รู้อยู่ว่าเขามีเวลาเสียที่ไหน…และที่สำคัญ เธอทิ้งคนป่วยไปได้เสียเมื่อไหร่กัน…

“อยากกินอะไรล่ะ…” ผิดคาด หญิงสาวหันไปมองเขาทันที
เขาเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม

“จะทำให้กินหรือคะ…” เธอถามด้วยสีหน้าลังเลระคนไม่แน่ใจ

“เปล่า…จะพาไปกินฝีมือคนอื่นข้างนอกน่ะ…”
คำตอบนั้นทำเอาหญิงสาวถึงกับเบิกตากว้างด้วยคาดไม่ถึงจริงๆ…

“อย่าเลยค่ะ…พ่อคุณจะอยู่กับใคร…”

“อีกสองวัน…จะมีพยาบาลมาดูแลทำกายภาพบำบัดให้ท่าน…
วันนั้นเราค่อยไปกินข้าวข้างนอกกัน…ตกลงมั้ย…” บิลกีสวางหวีลง
แล้วหันมาจ้องเขาอย่างจริงจัง…

“คุณว่าง?”

“น่าจะว่าง…ฉันจะพยายามเคลียร์งานให้ว่างวันนั้นให้ได้…”

เขาว่าด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจังไม่แพ้เธอเลย…

“จริงๆแล้ว ฉันไม่ได้เรื่องมากขนาดนั้น แค่กินข้าว ที่ไหนก็ได้นี่คะ
จะในบ้านหรือนอกบ้านก็ไม่แตกต่างกันมากมายนักหรอก
ฉันกินข้าวนอกบ้านบ่อยกว่าในบ้านมานานแล้ว…คุณอย่ากังวลเลย
เพียงแค่ช่วงนี้ฉันเพลียๆ กินอะไรไม่ค่อยลงเท่านั้นเอง…”

ว่าแล้วก็อดเกรงใจเขาไม่ได้อยู่ดี ไม่เคยเลยที่อยากจะรบเร้าเขาทั้งๆที่รู้ว่า
งานเขายุ่งแค่ไหน…ความต้องการเล็กๆน้อยๆของเธอควรพับเก็บไว้

เพราะเรื่องของเรื่องคือ งานของเขามันสำคัญกว่ามาก…

และที่บอกว่าเธอเคยกินข้าวนอกบ้านมากกว่าในบ้านนั้นเธอไม่ได้โกหกเลยสักนิด
เพราะอาชีพเก่าของเธอคือผู้ช่วยกุ๊กในร้านอาหาร…

“แตกต่างสิ…เพราะฉันอยากพาเธอไปเปิดหูเปิดตาบ้าง…อยู่ในห้องนี้มากี่เดือนแล้วล่ะ…
ฉันรู้ว่าเธอไม่ใช่คนขี้บ่น แต่คงอุดอู้น่าดู…มันเหมือนฉันพาเธอมาขังคุกยังไงก็ไม่รู้…”

เขาว่าพลางพยักหน้าให้เธอเดินไปหาเขา…ทว่าหญิงสาวที่ขายังสั่นยวบเพราะถ้อยคำ
และแววตาเอื้ออาทรของเขานั้นไม่อาจย่างก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียว
ทำให้ต้องหยุดอยู่กับที่

กระทั่งเขาขมวดคิ้วแล้วลุกขึ้นเดินมาหาแทน โอบเธอเอาไว้หลวมๆ
ก่อนจะจรดริมฝีปากลงกลางหน้าผาก…และบนเปลือกตาทั้งสอง

“ถ้าอยากให้ฉันทำให้กิน…พรุ่งน้ีเช้าฉันตื่นมาทำให้กินได้นี่…
แต่เธอก็รู้ว่าฝีมือฉันสู้ฝีมือเธอไม่ได้…”

เขาว่าพลางยกมือกดศีรษะเธอเข้าหาอกของตน…
บิลกีสจึงยกมือทั้งสองโอบรอบเอวสอบของเขาเอาไว้

ทว่า…สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่ออยู่ๆกลิ่นกายของเขาที่เธอเคยชื่นชอบ
กลับก่อกวนบางอย่างในช่องท้องของเธอขึ้นมาเสียดื้อๆ…
แล้วมันไวต่อสิ่งเร้าไม่น้อยเลย…จนหญิงสาวต้องดันเขาออก
แล้วรีบวิ่งไปยังห้องน้ำก่อนจะก้มลงตรงโถส้วม ใช้สองมือยึดมันเอาไว้เป็นที่มั่น
ขณะอาเจียนทุกอย่างในท้องออกมาจนแทบหมด…

ชายหนุ่มตกอกตกใจวิ่งหน้าตื่นตามมาติดๆ ลูบหลังให้พลางถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“ไหวมั้ย…” หญิงสาวพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นไปยังอ่างล้างหน้า
วักน้ำเข้าปากแล้วบ้วน ก่อนจะล้างหน้าล้างตาทั้งๆที่มือยังสั่นๆ

“เธอต้องไม่สบายแน่ๆ…ให้ฉันเรียกหมอมาดีกว่า…”
เขาว่าเมื่อเห็นสีหน้าของเธอซีดเผือดราวกับไร้สีเลือด

“อย่าเลยค่ะ…ฉันแค่เพลียๆ พักผ่อนเดี๋ยวก็หายค่ะ…”

บิลกีสพยายามบ่ายเบี่ยงก่อนจะทำเนียนเดินไปยังเตียงนอน
และเขาไม่ปล่อยให้เธอเดินเพียงลำพัง พยายามประคับประคองเธอมาจนถึงเตียงนอน
ซ้ำยังจัดแจงที่นอนแล้วห่มผ้าให้เธอเสร็จสรรพ

“อาเจียนบ่อยมั้ย…” เขาซักด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ก็เพิ่งจะอาเจียนนี่แหล่ะค่ะ…พอดีเมื่อคืนฉันนอนไม่ค่อยหลับ…”

เธอยอมโกหกเขาทั้งๆที่ไม่อยากทำ…แต่เรื่องอาเจียนนั้น
เพิ่งปรากฏอาการเอาก็ตอนนี้นี่เอง…ตอนได้กลิ่นกายเขานั่นแหล่ะ…

“งั้นก็นอนพักซะ…ถ้าไม่ไหวยังไงบอกฉัน…ฉันจะได้เรียกหมอมาดูอาการ…”

เขาบอกก่อนจะออกไปยังด้านนอก สงสัยจะไปดูความเรียบร้อย
ทั้งของน้องสาวและคนป่วย…

เพียงไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับน้ำเกลือแร่ในแก้ว

“ควรกินเสียหน่อย จะได้มีแรง…” เขายื่นแก้วน้ำสีส้มให้เธอ

แล้วท่าทางผะอืดผะอมยามเมื่อเขาเข้าใกล้นั้นทำเอาคนที่กำลังยืนรออยู่ใกล้ๆ
ถึงกับขมวดคิ้วสงสัย…

“หรือจะให้ฉันทำซุปร้อนๆให้เอามั้ย…” เขาอาสาอย่างใจดี
ทำเอาบิลกีสที่กำลังปกปิดความจริงอยู่ถึงกับสะอึก

“อย่าเลยค่ะ…ฉันไม่รู้สึกอยากกินอะไรเลย แค่น้ำเกลือแร่ก็คงพอแล้ว”

บิลกีสเลี่ยงเสีย เพราะรู้ว่าอาการผะอืดผะอมเช่นนี้ ถ้าได้กินอะไรเข้าไปอีก
มีหวังได้อาเจียนออกมาจนหมดอีกแน่ๆ…

คราวนี้เธอก็คงหมดหนทางที่จะปกปิดความจริงที่ว่าได้อีกต่อไป

…เขาไม่ใช่คนโง่...เธอรู้…

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะออกไปหาอะไรเปรี้ยวๆให้เธอ ซุปเปอร์คงยังไม่ปิด”
เขาว่าพลางเปิดตู้เสื้อผ้า

“อย่าเลยค่ะ…ฉันไม่เป็นไรจริงๆ…แค่นอนพัก เดี๋ยวก็หาย…”

“แน่ใจนะ…” พูดพลางก็จ้องมองใบหน้าซีดเผือดนิ่งราวกับจะคาดคั้น

“แน่ใจค่ะ…” พูดแล้วก็รีบกระชับผ้าห่มแล้วพลิกตัวไปอีกข้างหลับตาเสีย
ปิดกั้นสายตาจากการจ้องมองของเขา…

แต่พอเขาล้มตัวลงนอนข้างๆ…แล้วขยับกายเข้ามาใกล้…
ตวัดลำแขนโอบกอดเธอ…กลิ่นกายและความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขา
ทำให้ขนแขนเธอพร้อมใจกันลุกปรือ อาการผะอืดผะอมปั่นป่วนในช่องท้อง
เริ่มก่อกวนอีกครั้ง…จนต้องพยายามกล้ำกลืนมันลงไป

…น่าเจ็บใจที่สุด ทั้งๆที่ห่างกันเกือบเดือน กลับมาจะได้กอดเขาให้หายคิดถึงสมใจ
เธอดันมีอาการเหม็นเขาขึ้นมาแบบนี้…

แล้วอย่างนี้เธอจะทำอย่างไร…เธอต้องทำอย่างไร…ทำอย่างไรดี!

“เธอกำลังทำให้ฉันรู้สึกว่า…ฉันควรไปอาบน้ำอีกรอบ…ทั้งๆที่ฉันเพิ่งอาบมาหมาดๆ…
และยังไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรเลยด้วยซ้ำ”

เขาว่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เรียบเหมือนทะเลยามไร้เกลียวคลื่น

“ฉันเปล่านะ…ฉันไม่ได้…”

“ไม่ได้ทำเหมือนเหม็นฉันขนาดหนักอย่างนั้นหรือ…
เธอไม่ได้ส่องกระจกเวลาฉันเข้าใกล้เธอ…เธอก็เลยไม่เห็นว่าสีหน้าตัวเองเป็นแบบไหน…”

เสียงของเขาเริ่มเปลี่ยนไป ทำเอาหัวใจคนฟังถึงกับไหวยวบด้วยความหวาดหวั่น
หวั่นกลัวและคิดไปสารพัด

“ฉันแค่ไม่สบาย นอนหลับสักตื่นเดี๋ยวก็หายแล้ว…”

“ไม่สบายยังไงก็ไม่น่าจะถึงขนาดเหม็นฉัน…” เขาเริ่มคาดคั้น

“บอกมาว่าเธอเป็นอะไรกันแน่ บิลกีส!” หญิงสาวส่ายหน้า
แล้วพลิกหน้าหนีเขาไปอีกทางทันที…มือก็จับผ้าห่มไว้มั่นราวกับจะใช้มันเป็นที่ยึดเหนี่ยว

แต่เขา เขากลับไม่ยอมลดละ ขยับเข้ามาใกล้จนคร่อมเธอเอาไว้ทั้งตัว
โน้มหน้าเข้าหา…

บิลกีสยกมือปิดปากตัวเองกลั้นอาการคลื่นเหียนเอาไว้ไม่ให้ทะลักออกมา…
ยิ่งเขายื่นหน้าเข้ามาใกล้เท่าไหร่ เธอยิ่งออกอาการหนักขึ้น จนไม่อาจฝืนได้อีกต่อไป

คราวนี้ถึงกับพุ่งพรวด ผลักเขาจนกระเด็นแล้วรีบรุดไปยังห้องน้ำ
โก่งคออาเจียนไปอีกรอบ ทั้งๆที่ไม่มีอะไรให้อาเจียนนอกจากน้ำสีส้มๆ
ที่เพิ่งดื่มไปเมื่อครู่

เรี่ยวแรงที่มีเหมือนจะมลายหายไปสิ้น หญิงสาวนั่งพับอยู่บนพื้นห้องน้ำ
ด้วยสีหน้าอ่อนระโหยโรยแรง จนคนที่ตามติดมาทนไม่ไหว
ช้อนร่างนั้นขึ้นแล้วอุ้มไปวางไว้บนเตียง…ห่มผ้าให้เรียบร้อย แล้วออกจากห้อง

คราวนี้หายไปนานก่อนจะกลับมาพร้อมซุปร้อนๆ
นำมาวางไว้ให้ตรงโต๊ะใกล้ๆหัวเตียง

“ทานอะไรร้อนๆหน่อยดีกว่า จะได้ไม่คลื่นไส้…และมีเรี่ยวมีแรงกว่านี้”

เขาว่าพลางมองคนที่นอนกอดผ้าห่มนิ่งด้วยสีหน้าอ่อนใจ

“เอาเป็นว่าคืนนี้ฉันจะไปนอนที่โซฟาก็แล้วกัน…”

หญิงสาวหันไปมองโซฟาที่ไม่ว่าอย่างไรผู้ชายร่างใหญ่ยักษ์อย่างเขา
ก็ไม่น่าจะนอนได้สบายนัก…

“เมื่อยแย่เลย…” เธอเอ่ยเสียงเบาหวิว

“ไม่เป็นไรหรอก…” ว่าพลางเดินไปเปิดตู้เพื่อหยิบผ้าห่มออกมา

“ฉันตัวเล็กกว่า ผอมกว่า เดี๋ยวฉันไปนอนโซฟาเอง…”

หญิงสาวผุดลุกขึ้นทันที เพราะขนาดของโซฟากับเธอนั้นเข้ากันได้ดีกว่า
ผู้ชายร่างใหญ่อย่างเขาแน่…ทว่าเขากลับกดเธอให้นอนลงที่เดิม

“อย่ามาเรื่องมากตอนนี้นะ…” เขาเอ็ดแล้วเดินอ้อมไปหยิบหมอนไปวางไว้บนโซฟา
ก่อนจะหันมาสั่ง

“กินซุปซะ เดี๋ยวจะเย็นแล้วไม่อร่อย…” หญิงสาวทำตามอย่างว่าง่าย

พอกินเสร็จก็วางชามไว้ เขาก็ลุกเดินมาเก็บมันออกไป
แล้วกลับเข้ามาล้มตัวลงนอนบนโซฟาห่มผ้า ไม่พูดไม่จาอะไรอีก…

ทำเอาคนที่มองกิริยาท่าทางนั้นของเขาถึงกับสะอึก กลั้นก้อนสะอื้นที่ขึ้นมาตีตื้น
ทำให้ลำคอตีบตันเอาไว้

…เพียงไม่นาน น้ำตาก็เริ่มใหลลงอาบหมอนเงียบๆ…
เงียบพอที่คนที่นอนอยู่บนโซฟาไม่สามารถได้ยิน…




...โปรดติดตามตอนต่อไป...


วันนี้เอาแนวดราม่าๆมาให้นักอ่านคอดราม่่าอ่านกันหลังจากหายหัว
ไปจากเรื่องนี้นมนาน (นานจนนมเริ่มบูด) อิอิ

ดีกรีความขมยังไม่ยอมลดละ...ฮ่าๆๆ


...คุยกับนักอ่านจากตอนที่แล้วค่ะ...

1.คุณโอชิน...ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและคำชม...
ทำให้คนเขียนมีกำลังใจขึ้นอีกโข...เรื่องนี้ยังขมได้อีกนา...
ขมไปจนถึงขนาดว่า...ยาดำยังเรียกพ่อเฒ่าเลยนะคะ
ประมาณว่า...เอาให้มันสุดๆไปสักด้านนึง...แต่เรื่องหวานก็มีค่ะ
เพียงแต่ขมนำ...นำหน้าเยอะไปหน่อย...อิอิ

2.คุณPat...หาได้นะคะคนแบบบิลกีส แต่อาจจะอยู่บนคาน
เลยไม่ค่อยมีใครพบเห็น เพราะอยู่ที่สูงไปหน่อย คานก็ใหญ่หักยาก...ฮ่าๆๆ

3.คุณแว่นใส...นางเอกเรารู้ตัวตลอด ส่วนพระเอกก็รู้ตัวนะคะ
รู้ว่าตัวเองรักใคร และรู้ว่าใครคือเมีย...อิอิอิ
เพราะสองคนนี้อายุไม่น้อยเลย ใกล้เลขสี่แล้วนา...
ดังนั้น ไม่แปลกที่นางเอกจะอยากรีบมีลูกไวๆ เพราะเลยวัยมาไม่น้อยแล้ว
ขืนให้คุมกำเนิดอีก มีหวังชวดการเป็นแม่คนได้...อิอิอิ

4.คุณใบบัวน่ารัก...งานนี้ไอซ์ได้เที่ยวคนเดียวค่ะ
ส่วนนางเอกก็เฝ้าคนป่วยต่อปายยยยยยย...เหอๆ

5.คุณRightHand...กลับมาอัพเดตเรื่องนี้ให้แล้วนะจ๊ะ
เรื่องนี้ค่อนข้างบีบคั้นอารมณ์...พอบีบอารมณ์ออกมาไม่ได้
นิยายมันเลยค้างเติ่งอยู่แบบนี้ แต่ตั้งใจเสมอค่ะว่าเขียนแล้ว
ก็อยากเขียนให้จบ แต่จะจบเมื่อไหร่น้ัน...ขนาดเต่าก็มิอาจทราบล่วงหน้า
ได้เลยอ่ะค่ะ...แฮ่ๆ แวะมาส่งเสียงให้กำลังใจ อย่าเพิ่งทอดทิ้ง
เรื่องนี้ไปนะคะ...อิอิอิ


สุดท้ายไม่ท้ายสุด...

ขอบคุณนักอ่านที่เข้ามาติดตามอ่านเรื่องนี้ กดไลค์ให้
และส่งกำลังใจมาให้มากๆนะคะ


...รักษาสุขภาพนะคะ...

หนาวจัง...เต่าไปนอนก่อนน้า...ตะวันใกล้โผล่แว้ว
เต่าขอแปลงร่างเป็นค้างคาวก่อน...ฟิ้ววววว


"เต่าโย"







yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ม.ค. 2558, 03:36:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ม.ค. 2558, 03:36:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 2281





<< บทที่ 7 รักเกินตัดใจ   บทที่ 9 ดอกไม้กลางคืน (2) >>
ใบบัวน่ารัก 13 ม.ค. 2558, 06:38:11 น.
สงสารคนท้องอะ
มาแพ้คนนอนข้างๆๆ อุตสารีบกลับมา
ฮิฮิ มาทำกิจกรรม กัน แต่กันแพ้ เหม็นซะได้


แว่นใส 13 ม.ค. 2558, 08:20:11 น.
นายไลท์มาเรื่องยิ่งยุ่งไปอีก นางเอกเราได้หอบลูกติดท้องหนีไหมเนี่ยเพราะเริ่มทนไม่ไหว


ตุ๊งแช่ 13 ม.ค. 2558, 09:31:28 น.
ความอ่อนแอมาเยือนจะรอดไหมนี่ ความลับใกล้จะแตกแล้วมั้ง


โอชิน 13 ม.ค. 2558, 17:17:14 น.
มันขมจริงขมจัง..สงสารบิลกิสน่าดู..ก่อนท้องก็หนักหนา..ตอนท้องนี่คงหนักกว่า..ว่าแต่คุณไนค์จะเอาไง..โกรธแน่เลยอะ..ฮือๆๆ ร้องไห้รอ..


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account