เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์

เป็นเรื่องราวของคนหน้าตาไม่เข้าตา ไม่เป็นที่นิยม
ไม่ฮิต ไม่ฮอตของคนสองคน...
ที่ไม่สมบูรณ์แบบ มีตำหนิ...ภาพประวัติไม่สวยงาม...
แต่นิสัยที่ซ่อนไว้ค่อนข้างสวยสดงดงาม...
แฝงไว้ด้วยเสน่ห์แห่งการมีชีวิต...การสร้างครอบครัว


เศษหนึ่งส่วนสอง หรือ ครึ่งหนึ่งของชีวิตหนึ่ง
มาพบกับ อีกครึ่งหนึ่งของอีกชีวิตหนึ่ง
แล้วยกกำลังด้วยศูนย์...

เลขศูนย์ที่ดูไร้ค่า ไร้ความหมาย แค่เลขกลมๆเลขนึง

หากมันได้ทำให้ เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์
มีค่าเท่ากับ หนึ่งได้!

สมการทางคณิตศาสตร์ที่น่าพิศวงนี้
นำมาสู่สมการของความรักของทั้งสอง...

ทั้งคู่ที่ชีวิตไม่สมบูรณ์แบบและมีตำหนิ
จะหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร...

เรื่องนี้มีคำตอบ!!!


Tags: ดราม่า ขุนพล ไนค์ บิลกีส

ตอน: บทที่ 9 ดอกไม้กลางคืน (2)



แทนที่ตื่นเช้ามาจะพบว่ายังมีเขาอยู่ร่วมสถานที่เดียวกัน...เปล่าเลย

…เขาเหมือน ‘มนุษย์ล่องหน’

เพราะขนาดเธอตื่นตอนเช้ามืดเพื่อทำการละหมาด
ก็ยังไม่พบว่ามีเขาซ่อนตัวอยู่ซอกใดซอกหนึ่งในห้องชุดแห่งนี้…
มีเพียงกระดาษโน้ตแปะไว้ตรงกระจก…

‘มีงานด่วน…’ สั้นๆกระชับและได้ใจความ…

งานแย่งเขาไปจากเธอ

...มันคือ ‘เมียน้อย’ ที่เขารักและให้ความสำคัญยิ่งกว่า ‘เมียหลวง’อย่างเธอ
เพราะถ้าเทียบเวลาที่เขาปันใจให้แล้ว สัดส่วนของเวลาที่เขาให้เธอ
มันน้อยกว่าจนน่าใจหาย…

เขาเหมือนเครื่องจักรเข้าไปทุกวัน เพราะไม่เห็นว่าเขาจะมีเวลาพักผ่อน
ไม่มีวันหยุด ไม่หยุดพัก เขาเป็นนักเดินทางที่ไม่เคยเหน็ดเหนื่อย…

แต่เธอ…เธอเหน่ือย…ตอนนี้เหนื่อยเหลือเกิน…เหนื่อยจนไม่อยากจะทำอะไร

…วูบนึงของความรู้สึกเธออยากจะพอ…อยากจะไปให้พ้นๆจากความว้าวุ่น
อยากปลดปล่อยตัวเองไปให้พ้นจากสภาพนี้

…ทว่า เมื่อมือวางลงบนหน้าท้อง…อะไรบางอย่างกู่ก้องว่าให้อดทนต่อไป…

เอาเถิด…ไม่รักไม่เป็นไร…หญิงสาวพร่ำบอกกับตัวเอง…
เพราะอย่างน้อยๆ การลงทุนแต่งงานกับเขาก็ไม่ได้สูญเปล่าเสียทีเดียว

…ลูกที่เธออยากมีมาตลอด…เธอก็มีแล้ว…ต่อให้เขาไม่ให้อะไรเธอเลย
แค่ให้ลูกมา…มันก็เพียงพอแล้ว…แค่นี้ก็มากพอแล้ว…

“พี่ไนค์ล่ะคะ…” ดุจมณีที่เดินงัวเงียออกมาจากห้องร้องถามเธอ
ที่กำลังยืนทำอาหารเช้าอยู่หน้าเตา…บิลกีสหันไปแล้วแค่นยิ้มออกมา

“อย่าบอกนะคะว่า…ออกไปอีกแล้ว…เฮ้อ…” เสียงใสเอ่ยขึ้น
ก่อนจะถอนหายใจเสียงดัง แล้วค่อยๆเดินเข้ามาสวมกอดเธอจากทางด้านหลัง
แนบหน้าลงกับแผ่นหลังของเธอขณะเอ่ยว่า

“วันนี้ไอซ์จะอยู่เป็นเพื่อนพี่กีสน้า…”

“อย่าเลยค่ะ…พี่อยากให้น้องไอซ์ไปเปิดหูเปิดตามากกว่า…”

“แต่พี่กีสดูหน้าตาไม่ดีเลย…จริงๆนะคะ…”

ใบหน้าซีดเซียวที่เห็นเมื่อครู่ทำให้ดุจมณีอดห่วงไม่ได้
เลยไม่อยากไปเที่ยวเล่นสนุกแล้วปล่อยให้พี่สะใภ้ที่คำน้อยไม่เคยบ่นไปได้...

ทำเอามือที่กำลังปอกกุ้งอยู่ถึงกับชะงัก น้ำตารื้นขึ้นโดยหาสาเหตุไม่ได้…
จึงละมือแล้วหันมาทางดุจมณีเมื่อกางมือที่กอดเธอเอาไว้ออก

“ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วงพี่…แต่พี่ยังยืนยันนะว่าพี่ไม่เป็นไรจริงๆ…”

ก็แค่เพลียๆเนื่องจากฮอร์โมนในร่างกายกำลังผันผวนเพราะความเปลี่ยนแปลง…

“ไอซ์จะอยู่ดูแลพี่กีสแทนพี่ไนค์…” ดุจมณีดื้อดึงได้น่าเอ็นดูไม่น้อย
ทำเอาบิลกีสถึงกับคลี่ยิ้มออกมาได้ทั้งๆที่อกกลัดหนอง

“พี่ไนค์เป็นคนปากแข็งแถมยังใจแข็งอีก…แต่ก็ไม่ใช่คนใจร้ายนะคะ
ไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวด้วย…อย่างพี่กีสน่ะ…เหมาะกับพี่ไนค์ที่สุดเลย…เชื่อไอซ์สิ…”

ดุจมณีพยายามเหลือเกินที่จะปลอบและให้กำลังใจพี่สะใภ้…
เพราะไม่อยากสูญเสียพี่สะใภ้ตรงหน้าไป…

แม้พี่ชายจะไม่ใช่คนอ่อนหวาน โรแมนติก แต่ก็จริงใจ…

“ถึงน้องไอซ์ไม่ชื่นชมพี่ไนค์ของน้องไอซ์ให้พี่ฟัง…
ตอนนี้พี่ก็คงจะกลับลำไม่ทันแล้วล่ะค่ะ…เรือที่ถอนสมอแล้วอย่างพี่
เจออะไรก็คงต้องเจอ…” บิลกีสลอบถอนใจอย่างปลงตก…

ต่อให้ต้องอยู่ตรงใจกลางพายุ เธอก็คงต้องยอมรับผลของมัน…

…ลองเมื่อตัดสินใจแล้ว…ก็ต้องกล้ายอมรับผลที่จะตามมาสิบิลกีส…




ดังนั้น…เมื่อเขาโทรมาแล้วดุจมณีเป็นคนรับสายในช่วงใกล้ค่ำ
จึงทำให้รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ต่างจังหวัด กว่าจะกลับก็อีกสี่วัน…

เขาจึงฝากฝังเธอเรื่องหมอที่จะมาตรวจอาการบิดาของเขา
พร้อมด้วยพยาบาลที่จะมาทำกายภาพบำบัดให้…

เรื่องทานข้าวนอกบ้านจึงล้มไม่เป็นท่า…

แต่ก็นั่นแหล่ะ…เธอไม่อยากตั้งความหวังกับอะไรอีกทั้งนั้น

…คนเราเมื่อไม่หวัง จะผิดหวังได้อย่างไรกัน!

“พี่ไนค์ฝากให้ไอซ์ดูแลพี่กีสด้วยแหล่ะ…” บิลกีสยิ้มบางรับรอยยิ้มสดใสจากดุจมณี

เธอเองก็อยากมีรอยยิ้มแบบนี้บ้างเหมือนกัน
แต่ชีวิตขมๆของเธอมันยากนะที่จะฉีกยิ้มทั้งปากทั้งตาโดยไร้รอยด่างดำ
ในหัวใจออกมาได้…ความสดใสของชีวิตมันถูกทำลายไปตั้งแต่ตอนไหน
เธอก็ลืมๆไปแล้ว…

“งั้นพี่จะอยู่ให้น้องไอซ์ดูแลก็แล้วกัน…”







หลังจากวันนั้นอีกสี่วัน…เธอก็พยายามวาดรูปที่ได้รับหัวข้อมาเสร็จลงสมบูรณ์ในที่สุด…

“ว้าววว…สวยจังเลยค่ะ…พี่กีสทำได้ไง…สอนไอซ์บ้างสิ” ดุจมณีเปิดปาก
ชื่นชมผลงานบนผืนบ้าใบของบิลกีสที่มีด้วยกัน 5 รูป

“นี่มีดอกอะไรบ้างคะ…”

“ดอกราตรี ดอกแก้ว ดอกลีลาวดี ดอกโมก และก็ดอกมะลิจ๊ะ…”
บิลกีสอธิบายไปพลางมองผลงานของตัวเองไปด้วยรอยยิ้มบาง

…อย่างน้อยการได้ทำในสิ่งที่รักมันก็ทำให้มีความสุขไม่น้อยเลย…

“แล้วทำไมพื้นหลังมันถึงได้สีดำล่ะคะ…”

“เพราะว่า…ดอกไม้สีขาวมันบานตอนกลางคืน…ซึ่งก็เหมาะสมกับมันแล้ว
เพราะมันไม่ใช่ดอกไม้ที่มีสีสันสดสวยงามเหมือนดอกไม้ที่บานรับแสงอาทิตย์
ยามกลางวัน…สีสันของมันจึงไม่เตะตาใคร…

และถ้าจะให้สีขาวของมันเด่นชัด…ก็ต้องมีความมืดดำเข้ามาช่วยส่ง…
แถมน้ำค้างยังช่วยให้มันมีกลิ่นหอมในยามที่ทุกสรรพสิ่งกำลังหลับใหล”

บิลกีสนิ่งไปก่อนจะพูดออกมาอีกว่า

“เหมือนความดีของคน…ถ้าไม่ได้ความทุกข์ยากลำบากมาช่วยส่ง
ความดีนั้นก็จะไม่โดดเด่นขึ้นมาให้เห็นเป็นประจักษ์…
ความมืดมนของชีวิต…สร้างค่าให้คนดี…ทำให้ความดีถูกเปิดเผย…”

ดุจมณีที่จดจ่ออยู่กับภาพดอกไม้สีขาวตรงหน้าถึงกับหันมามองหน้าพี่สะใภ้
แล้วเหมือนมีภาพบางอย่างในห้วงความทรงจำเข้ามากระแทก
ก่อนจะวูบหายไปในวินาทีถัดมา…

“ฟังพี่กีสพูดตะกี้แล้ว…ไอซ์รู้สึกเหมือนตัวเองโตขึ้นมายังไงก็ไม่รู้ค่ะ
จริงๆนะ…มันวูบขึ้นมา เหมือนว่าไอซ์ไม่ใช่ไอซ์…” บิลกีสหันมามองคนพูด
ก่อนจะขมวดคิ้วอย่างพิจารณา…

“จริงๆแล้วน้องไอซ์โตแล้วค่ะ…ไม่เชื่อก็ดูในกระจกสิคะ…”

“ค่ะ…ไอซ์รู้ว่าไอซ์เป็นสาวแล้ว เพราะรูปร่างไอซ์เหมือนผู้ใหญ่
เพียงแต่ไอซ์ไม่เข้าใจว่าทำไมไอซ์ถึงนึกอะไรไม่ออก…พี่ปองบอกว่า
ไอซ์แค่สูญเสียความทรงจำไป…แล้วมันจะค่อยๆกลับมาเอง…” บิลกีส
พยักหน้าเห็นด้วย

“ค่ะ…วันนึงน้องไอซ์ก็จะได้ความทรงจำกลับคืน…แต่พี่ว่านะ
เป็นแบบน้องไอซ์ดีจะตายไป...เพราะเรื่องบางเรื่องไม่รู้ไม่จดจำ
ลืมๆไปได้ซะได้ก็ดี…เชื่อพี่สิว่าน้องไอซ์์ไม่อยากรู้ไม่อยากจำมันหรอก…”

บิลกีสพูดพลางวางมือลงบนบ่าของหญิงสาวตรงหน้า

“มันแย่ขนาดนั้นเลยหรือคะพี่กีส…”

“พี่ไม่แน่ใจว่าสำหรับน้องไอซ์จะแย่รึเปล่านะ…”

“แต่การที่ไอซ์เป็นแบบนี้มันไม่ดีกับพี่ไนค์เลย…ไอซ์ไม่อยากเป็นภาระ
พี่ไนค์กับพี่กีสเลยจริงๆนะ…ไอซ์อยากช่วยเหลือตัวเองได้มากกว่านี้…”
หญิงสาวมีสีหน้าหม่นๆเมื่อเอ่ยถึงตรงหน้า

“ตอนที่ไอซ์ไปเที่ยวสวนสนุก เห็นพวกสาวๆเขามีแฟนเดินจูงมือกะหนุงกะหนิง…
และมีหนุ่มๆหลายคนหันมามองไอซ์ด้วยแหล่ะค่ะ…
พี่กีสว่า…ไอซ์ควรจะมีแฟนดีมั้ยคะ…คือ…ไอซแค่ปรึกษานะคะ…”

คนพูดดูจะมีแววกระดากอายไม่น้อย จนทำให้บิลกีสถึงกับแอบหนักใจขึ้นมา

…ไม่แปลกหรอก…มนุษย์เราถูกสร้างมาเช่นนี้…
และดุจมณีก็ไม่ใช่คนขี้ริ้วขี้เหร่ ชายใดได้เห็นเป็นต้องเหลียวหลังมองอยู่แล้ว…
แต่เธอไม่คิดว่าจะมีชายใดยอมรับดุจมณีที่เป็นเช่นนี้ได้น่ะสิ

แล้วที่สำคัญ…จะมีใครที่จริงใจด้วยความบริสุทธิ์ใจกับหญิงสาว
ที่มีความคิดอ่านเหมือนเด็กเช่นนี้…เธอกลัวว่าหญิงสาวตรงหน้า
จะโดนหลอกเสียล่ะมากกว่า…

“ตอนนี้อย่าเพิ่งเลยนะพี่ว่า…รอให้ความทรงจำน้องไอซ์กลับมาก่อน
แล้วถึงตอนนั้น พี่รับรองว่าน้องไอซ์จะได้เจอเจ้าชายของน้องไอซ์อย่างแน่นอน…”

บิลกีสตบบ่าหญิงสาวตรงหน้าพร้อมรอยยิ้ม

“งั้น…ไอซ์ก็ควรจะพยายามทำให้ความทรงจำกลับมาสิคะ…”
ดวงตากลมสวยแวววาวขึ้นเป็นประกายระยับ…

บิลกีสเองก็ได้แต่หวังว่า เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว หญิงสาวตรงหน้าจะกล้าเผชิญหน้า
กับความทรงจำของตัวเองได้อย่างกล้าหาญ…





วันถัดมา…เมื่อดุจมณีออกไปเที่ยวเล่นที่บ้านปองขวัญตามปกติแล้ว
บิลกีสที่ได้นัดให้ทางแกลลอรีมารับภาพวาดของเธอวันนี้จึงอยู่ตรวจดู
ผลงานรอบสุดท้ายก่อนส่ง…

หากก็ต้องตกใจเมื่อคราวนี้เจ้าของแกลอรี่กลับเป็นผู้มารับผลงานของเธอ
ด้วยตัวของเขาเอง…

“ความจริงอยากมาเยี่ยมเยือนเจ้าของผลงานด้วยแหล่ะครับ
เห็นหลบสร้างผลงานในถ้ำ เลยอยากมาดูลักษณะถ้ำเสียหน่อย…”

น้ำเสียงสดใสบ่งบอกอารมณ์ของคนพูดว่าเป็นคนอารมณ์ดีแค่ไหน
ทำให้การพบปะพูดคุยกันระหว่างเจ้าบ้านกับแขกผู้มาเยือน
จึงดูไม่อึดอัดและประหม่านัก…

“พอดีว่ามีหน้าที่ต้องดูแลคนป่วยด้วยค่ะ ไม่อยากทิ้งท่านไป…”

บิลกีสเอ่ยพลางชวนแขกเข้าไปยังห้องผู้ป่วยพร้อมแนะนำให้รู้จักกัน
ทำเอาหนุ่มใหญ่ผู้มาเยือนถึงกับตะลึงไปสามวินาที

เพราะจะว่าไปแล้ว ไม่มีใครไม่รู้จักอดีตผู้ทรงอิทธิพลคนนี้…
แม้ข่าวคราวจะเงียบหายไปแล้วจนใครๆก็สงสัยถึงความเป็นไป
หากเขาก็ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอบุคคลผู้นี้ในสภาพเช่นนี้…

“ท่านคงจะไม่รู้จักผม…แต่อาจจะรู้จักพ่อผม…ผม คีตา อัครเมฆินทร์
ลูกชายของรัฐมนตรีเมฆินทร์ครับ…”

คนป่วยถึงกับจ้องมองแขกผู้มาเยี่ยมเขานิ่งงัน…
เพราะรัฐมนตรีคนดังกล่าวคือ อดีตนายทหารน้ำดีของกองทัพ
ที่ผันตัวมาเล่นการเมืองและไม่ค่อยกินเส้นกับเขานัก…

“พ้นวาระคราวนี้ เห็นว่าจะเลิกเล่นการเมืองแล้วล่ะครับ…
ผมเองก็ไม่อยากให้ท่านไปยืนตรงจุดนั้นนัก…ส่วนตัวเลยขอปลีกวิเวกมาเขียนภาพ
เปิดแกลอรี ไม่ขอเป็นทายาทนักการเมืองอย่างพี่ชาย…”

ยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรของคนตรงหน้าทำให้คนป่วยโล่งใจได้มากขึ้น

“ท่านคงจำพี่ชายผมได้ เพราะรายนั้นเขาค่อนข้างดัง…”

“คุณคีมีพี่ชายด้วยหรือคะ…” บิลกีสถามขึ้นด้วยคาดไม่ถึง

เธอเองไม่ใช่คนกว้างขวางนัก รู้แค่ว่าเขามีนามสกุลดัง
แต่ไม่คิดว่าจะเป็นลูกชายของรัฐมนตรีคนดัง…ยิ่งรู้ว่าเขามีพี่ชายยิ่งตกใจไม่น้อย
เพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน…แต่จะว่าไปแล้ว เธอเองไม่คิดจะ
รับรู้เรื่องชาวโลกเท่าไหร่มากกว่า…

หากเมื่อนึกถึงลูกชายคนโตของรัฐมนตรีเมฆินทร์ขึ้นมา
เลือดทุกหยดในร่างกายของบิลกีสก็เหมือนจะแข็งตัวขึ้นมา…

อย่าบอกนะว่า…

“ครับ…ส.ส.ฆินทร์ อัครเมฆินทร์ โฆษกพรรคอรุณรัศมิ์ไงล่ะครับ…”

คนพูดบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ได้คุยโตโอ้อวดแต่อย่างใด
ราวกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไปเสียมากกว่า…

ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำเอาบิลกีสถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว…
ใครจะคิดว่าเธอกำลังยืนอยู่ข้างๆผู้ชายที่ไม่ได้ธรรมดานักเช่นนี้…

ที่สำคัญ ส.ส. ฆินทร์ อัครเมฆินทร์ กับ อดีต ส.ส. ขุนศึก ทวีวรวรรณ
ซึ่งเป็นน้องชายของสามีเธอที่หายตัวไปพร้อมคดีติดตัวหลายคดีนั้น
ใครๆต่างก็รู้ดีว่าทั้งสองเคยห้ำห่ันกันมาแค่ไหน…

คิดมาถึงตรงนี้ บิลกีสก็ชักจะหวั่นๆใจขึ้นมา…
ยิ่งไปกว่านั้น ส.ส.คนดังซึ่งเป็นพี่ชายของผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆเธอในขณะนี้
ยังเป็นตัวเต็งที่อาจจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศในอนาคตก็เป็นได้
เพราะดูมีแนวโน้มสูงเลยทีเดียว…

ยิ่งมีฐานที่มั่นคงและผู้ให้การสนับสนุนอย่างล้นหลามเช่นนี้แล้ว
เธอก็เชื่อเหลือเกินว่าพี่ชายของเขาคืออนาคตของประเทศชาติในวันข้างหน้า…

ที่สำคัญ…ปัจจุบัน ยังโสดสนิท!
เป็นคลื่นลูกใหม่ที่มาแรงและเป็นที่จับตามองจากสื่อทุกแขนง…

“แต่ผมเป็นแค่ศิลปินกระจอกๆนะครับ…คุณกีสอย่าทำหน้าแบบนั้นสิ…”

หนุ่มใหญ่หันมาแหย่หญิงสาวทันทีที่เห็นสีหน้าประหม่าของเธอ

“จริงๆแล้วผมเป็นคนโลกส่วนตัวสูงนะครับ ชอบอยู่ในถ้ำเหมือนกัน
คนส่วนใหญ่เลยไม่ค่อยรู้ว่าพี่ฆินทร์มีน้องชายไม่เอาไหนอย่างผม…”

รอยยิ้มและแววตาเปิดเผยตรงไปตรงมานั้นทำให้หญิงสาว
คลายความอึดอัดได้ไม่น้อย จึงชวนเขาไปดูผลงานของเธอแทน…

ก่อนผละไปเขาก็ไม่วายหันไปยิ้มให้อดีตผู้ทรงอิทธิพล…

“แล้วผมจะแวะมาเยี่ยมอีกนะครับ…แน่นอนว่าผมจะทำเป็นลืม
เรื่องที่ผมเจอท่านในวันนี้ทันทีที่เปิดประตูออกไป…”

เมื่อก้าวออกจากห้อง หนุ่มใหญ่ที่มีบุคลิกเป็นกันเอง สวมเสื้อผ้าเรียบๆ
ทว่าเนี้ยบและเฉียบ ดูดีมีรสนิยม หากก็ไม่ได้ดูเคร่งขรึม
อย่างพี่ชายที่เป็นนักการเมืองนัก บุคลิกดูจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ถ้าบุคคลตรงหน้าเป็นกลางวัน พี่ชายของเขาก็ย่อมไม่ต่างจากกลางคืน

และเมื่อได้ดูผลงานของเธอแล้ว เขาก็ถึงกับเอ่ยปากชมทันที
สร้างรอยยิ้มบนใบหน้าเจ้าของได้ไม่น้อย…

“ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ…ภาพของคุณยังได้อารมณ์ มีชีวิต
เห็นถึงจิตวิญญาณและแก่นของสิ่งที่วาดเช่นเคย…”

เขาเอ่ยชมพลางเอียงคอมองผลงานเธอทุกๆชิ้น…

“ดอกราตรีของคุณสวยและดูเด่นเหนือดอกไม้กลางคืนอื่นๆ…
มีเหตุผลซ่อนเร้นมั้ยครับ…”

ไม่วายถามด้วยความสงสัยตามแบบฉบับของเขาคนเดิมที่เธอเคยพบเคยสัมผัส…
ความละเมียดละไมที่มักจะพบได้ในบรรดาศิลปินทุกแขนง...

“ดอกราตรีเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นแรง ที่สำคัญคนทั่วไปไม่ค่อยรู้จักนัก
ว่าตัวดอกมันเป็นแบบไหน แต่ก็รู้จักกลิ่นของมัน…หอมไกล แต่ก็ไร้คนรู้จัก…

เหมือนความดี…คนรู้จักความดี แต่คนดีกลับถูกสังคมมองเมิน…
ไม่ได้ถูกยกย่องเชิดชูเท่าที่ควร…

และคนยุคนี้มักนำภาพความดีมาประดับบารมี ประดับเป็นเปลือก…
แต่ก็ไม่เคยคิดจะหาหนทางเข้าถึงแก่นของความดี…เราจึงเห็นกันแค่เปลือก…
ส่วนความดีที่ซุกซ่อนภายในอยู่…ไม่ใคร่มีใครใส่ใจ…

เหมือนน้ำหอมไงล่ะคะ บางคนชอบกลิ่นของมันจึงนำไปฉีดพรม
ให้ตัวเองหอมเหมือนดอกไม้ แต่จะมีใครใส่ใจอยากทำความรู้จัก
ถึงที่มาของกลิ่นหอมดังกล่าว…

ดอกไม้ไร้สีสันแบบนี้ไม่ใคร่มีคนสนใจนำไปประดับ แต่เพราะกลิ่นหอมของมัน
เป็นสิ่งผู้คนชื่นชอบ กลิ่นของมันจึงถูกสะกัดเพื่อนำไปปรุงแต่ง…

ดังนั้น ไม่แปลกที่สังคมเราทุกวันนี้จึงมีคนพยายามปรุงแต่งความผิดบาป
ให้ดูสวยงามได้อย่างแนบเนียน…”

บิลกีสพูดไปก็จับจ้องไปยังดอกราตรีของเธอ…ซึ่งคนฟังก็ฟังเงียบๆไม่มีขัด

“ดอกไม้สีขาวเหล่านี้มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์มาแต่กำเนิด…
ทำให้รู้ว่ากลิ่นแบบนี้เป็นของดอกไม้ชนิดนั้นชนิดนี้…

แล้วคนเราล่ะคะ…มีอะไรเป็นเอกลักษณ์ที่บ่งบอกเหมือนดอกไม้บ้าง…

ความจริงแล้ว เราไม่จำเป็นต้องพยายามปรุงแต่งเปลือกให้มากมายเลย…
แค่พยายามเป็นคนดีจากภายใน…ความดีนั้นจะกรุ่นออกมา
ในแบบฉบับของเราแล้วล่ะค่ะ…

เวลาคุณเห็นดอกราตรีบนผืนผ้า มันก็ไม่ได้ดูมีค่าอะไรมากมาย
เมื่อเทียบกับดอกไม้ที่มีสีสันสวยสดงดงามอีกมากมายบนพื้นปฐพีมิใช่หรือคะ…

นั่นเพราะว่า…ฉันไม่อาจใส่กลิ่นของมันลงไปบนผืนผ้าได้นั่นเอง…
และที่พยายามวาดออกไปก็เพื่อจะให้คนเห็นว่า…
ดอกไม้สีขาวเหล่านี้จะมีคุณค่าได้ก็ต่อเมื่อมันส่งกลิ่นหอมให้เราได้ชื่นใจด้วย…

ฉันจึงเลือกที่จะวาดดอกไม้สีขาวที่ส่งกลิ่นหอมยามค่ำคืน
เป็นตัวแทนความดีงามที่ซุกซ่อนไว้ แทนที่จะวาดดอกกุหลาบ
ที่มีกลีบดอกและสีสันสวยงามจับตาให้คนตะลึง…”

หญิงสาวหยุดไปนิดก่อนจะสรุปกับเขาไปว่า

“เพราะคนดีมักจะถูกมองเมิน…จนกระทั่ง…เมื่อความดีในตัวเขานั้นถูกค้นพบ…”

แล้วเธอก็ได้รับเสียงปรบมือจากเขาพร้อมรอยยิ้มกระจ่าง

“ผมแน่ใจนะว่า…ผลงานเซ็ตนี้จะต้องเข้าตาใครหลายๆคนแน่
โดยเฉพาะพี่ชายผม…คุณรู้มั้ยว่า…พี่ชายผมชอบอะไรแบบนี้แหล่ะ…
และผมก็อัดคำพูดของคุณเมื่อตะกี้ไว้แล้วด้วย หวังว่าคุณคงไม่ว่านะ”

บิลกีสเลิกคิ้วสูง มองเขาด้วยสีหน้าตกใจ…เมื่อเขายกโทรศัพท์มือถือของเขาขึ้นชูหรา…

“เผลอๆ ผมว่าพี่ชายผมอาจซื้อยกเซ็ตเลยนะคุณกีส…ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น
ผมจะโก่งราคาให้น่าดูทีเดียว…คุณรอรับทรัพย์ได้เลย…”

บิลกีสถึงกับคลี่ยิ้มออกมาเมื่อมีคนเห็นคุณค่าผลงานของตน…

“เอาเป็นว่าผมจะถอดความจากคลิปเสียงของคุณไปนำเสนอด้วย…
รับรองว่่าผลงานของคุณต้องมีคนสนใจไม่น้อย…
เพราะผมเองอยากจะบอกคุณว่า…พวกที่เขาชื่นชอบงานศิลปะส่วนใหญ่แล้ว
จะมีความละเอียดอ่อนทางความรู้สึก ดังนั้น…งานนี้คุณอาจแจ้งเกิด
เพราะดอกบัวรอบที่แล้ว…มีคนติดต่อขอซื้อทันทีที่วางโชว์…”

เขาพูดพลางยกหูโทรศัพท์บอกให้ลูกน้อยเข้ามายกผลงานของเธอ
ไปไว้ที่แกลอรี่ของเขา…ก่อนจะวางหูแล้วหันมายิ้มให้เธอพร้อมกับ 'ข่าวดี'…

“ถ้าคุณว่าง…และไม่ลำบากจนเกินไป…ผมอยากได้ม่านประตู
สำหรับบ้านพักริมทะเลของครอบครัวผม…เอาเป็นดอกลั่นทม
ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าลีลาวดีสีแดงถึงจะถูก…จะได้มั้ยครับ…
เพราะคุณแม่ผมชอบลีลาวดีสีแดง…ผมเองไม่ถนัดวาดรูปดอกไม้

คือจะพูดไงดี เอาเป็นว่าคุณวาดดอกไม้ได้สวยกว่าผมวาดมากๆ…
เลยคิดว่าอยากได้ผลงานของคุณไปประดับตกแต่งบ้าน
มากกว่าจะเป็นผลงานการวาดดอกไม้ของตัวเองน่ะ…” เ

ขาพูดไปก็ยิ้มไป ทำเอาบิลกีสถึงกับดีใจที่อย่างน้อยเสร็จจากงานนี้แล้ว
เธอก็มีงานอีกชิ้นตามมาทันที…

อย่างน้อยๆ ผลงานแต่ละชิ้นสร้างเงินได้ไม่น้อยเลย
โดยเฉพาะถ้ามันเป็นผลงานที่ถูกจัดโชว์ในแกลอรีของคนตรงหน้า…

“ไม่ลำบากเลยค่ะ…ว่าแต่พอจะมีขนาดและลักษณะบ้านให้ดูมั้ยคะ”

“จริงๆแล้วผมอยากพาคุณไปดูนะ เพราะถ้าได้ไปดูสถานที่จริง
ไอเดียจะบรรเจิดมาก…แต่ผมก็รู้ว่าคงยากเพราะคุณต้องดูแลคนป่วย”

บิลกีสพยักหน้านิดๆ เพราะเห็นด้วยกับที่เขาพูดมา…

“เอาเป็นว่า…ผมจะส่งรายละเอียดและภาพสถานที่มาให้คุณทางเมลล์ก็แล้วกัน…
รวมทั้งพวกอุปกรณ์สำหรับงานชิ้นนี้ด้วย...”

เมื่อเขาพูดจบเธอก็ได้ยินเสียงออดประตูห้อง

“สงสัยจะเป็นลูกน้องผม…”

และก็ใช่ดังเขาว่า…ลูกน้องของเขาก้าวเขามาแล้วก็ออกไปพร้อมผลงานของเธอ…

“อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนมั้ยล่ะคะ…” หญิงสาวเชื้อเชิญแขกอย่างมีมิตรไมตรี…

แม้จะดูไม่เหมาะนักเพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย
และหากยกเว้นคนป่วยแล้วในห้องนี้ก็มีเพียงเธอเท่านั้น

...แต่เขาก็มาด้วยไมตรีจิต…

“อย่าเลย…ผมเกรงใจน่ะ…รู้ว่าคงทำให้คุณอึดอัดใจไม่น้อย…
แค่ผมบุกมาถึงห้อง อยู่คุยด้วยเป็นนานสองนานแบบนี้ก็ดูจะรบกวนคุณ
และไม่ค่อยเหมาะสมยังไงก็ไม่รู้สิ…ถ้าสามีคุณรู้เข้า เกรงว่าคุณจะถูกตำหนิเอาได้…

เอาเป็นว่าแค่น้ำกับขนมอร่อยๆก็พอแล้วล่ะครับ…”

บิลกีสอดชื่นชมให้กับความตรงไปตรงมาของคนตรงหน้ามิได้

…ดูเอาเถิด…เขาทำให้คนที่ไม่ใคร่จะชื่นชอบการเข้าสังคมหรือพูดคุยกับใครอย่างเธอ
หายประหม่่าได้…

ดังนั้น…บิลกีสจึงเชิญให้เขานั่งตรงห้องรับแขกแล้วเลี่ยงไปยังห้องครัว
เพื่อรินน้ำหวานกับขนมคุ้กกี้ที่เธอทำไว้ให้ดุจมณีวางใส่จาน
แล้วนำมาเสริฟให้กับเขา…

“คุณรู้มั้ยว่าดอกบัวของคุณรอบที่แล้วนั่นน่ะ…พ่อผมชอบมาก…
ตอนแรกผมกะจะไม่บอกคุณแล้วนะว่าใครได้ดอกบัวคุณไป…
แต่เห็นทีคงต้องบอกเสียหน่อยว่าคนๆนั้นคือพ่อผมเอง…ท่านนำไปไว้ในห้องทำงานน่ะ…”

คนตรงหน้าเฉลยพร้อมรอยยิ้มขี้เล่นตามแบบฉบับของคนอารมณ์ดีเช่นเคย

“ท่านบอกว่า…อย่่างผมน่ะวาดดอกไม้ให้ได้อารมณ์แบบคุณไม่ได้
สบประมาทกันชัดๆเลยคุณว่ามั้ย…แต่ก็นั่นแหล่ะ…ผมเองก็ยอมรับว่ามันเป็นความจริง…”

“แต่คุณก็วาดภาพทะเลได้สวยจริงๆนะคะ…สวยจนฉันเองยังตะลึงเลย”

บิลกีสเอ่ยชื่นชมผลงานของเขาจากใจจริง เพราะเธอเคยเห็น
และติดตามผลงานของเขามาตลอด นับว่า ‘คีตา’ คือศิลปินคนโปรดของเธอ
เลยทีเดียว…

“ผมชอบวาดพวกวิว พวกภาพธรรมชาติน่ะ…มันเป็นอะไรที่ท้าทายดี
เพราะทะเล ท้องฟ้า ไม่เคยซ้ำกันสักวันเดียว…” เขาว่าอย่างรื่นเริง
ก่อนจะหยิบขนมเธอขึ้นมาชิม…

“อย่าบอกนะว่าคุณทำเอง…” บิลกีสพยักหน้ารับ

"ค่ะ..."

“อร่อยดีนะ…นี่นอกจากวาดรูปเก่งแล้ว คุณยังทำขนมเก่งด้วยหรือนี่
อย่างนี้สามีคุณก็เป็นชายหนุ่มที่น่าอิจฉาแย่เลยสิ…”

เขาว่าขณะยิ้มกว้างเหมือนจะเย้าแหย่

“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ…”

“ผมพูดจริงๆนะ…ใครได้คุณไปเป็นศรีภรรยานี่นับว่าได้โชคสิบชั้น”

“คุณก็พูดเกินไป…ยังไงตัวฉันก็ไม่ลอยหรอกนะคะ ถึงจะผอมจนจะปลิวลมก็เถอะ…”

บิลกีสเพิ่งรู้ว่าการได้พูดคุยกับคนอารมณ์ดีอย่างเขา
ทำให้เธอรู้สึกอารมณ์รื่นรมย์ตามไปด้วย

“ผมว่านะถ้าผู้ชายเลือกสละความโสดเพราะความสวยของผู้หญิงแล้วล่ะก็…
ป่านนี้พี่ชายผมกับผมคงจะสละโสดไปตั้งแต่อายุ 20 แล้วล่ะครับ…
ไม่รอมาจนป่านนี้แน่…ยิ่งพี่ชายผม รายนั้นมีมาให้เลือกตลอด
เพราะเขาเป็นประเภทหล่อเลือกได้ แต่เห็นยังเกาะคานเหนียวแน่น…
จนพ่อกับแม่ผมกลัวว่าจะไม่ทันได้อยู่อุ้มหลานน่ะสิ…”

พอได้ยินเขาพูดมาถึงตรงนี้ บิลกีสก็อดเผลอวางมือลงบนหน้าท้องมิได้…
ทำเอาคนช่างสังเกตและมีตาดุจตาเหยี่ยวถึงกับกระตุกคิ้วเมื่อเห็นปฏิกิริยาดังกล่าว
ของคู่สนทนาเข้า…

“ผมว่าคุณดูหน้าซีดนะ…ไม่สบายหรือเปล่า…หรือว่าผมกวนเวลาคุณมากเกินไป…”

เขาหันมาจับตามองใบหน้าที่ถูกล้อมกรอบด้วยผ้าคลุมศีรษะมิดชิด
แล้วอดไม่ได้ที่จะเห็นดวงตาอิดโรยคู่นั้น

“เรื่องภาพผ้าม่่านผมไม่รีบหรอกนะ คุณว่างเมื่อไหร่ก็ทำเมื่อนั้นแหล่ะ”
บิลกีสเงยหน้าขึ้นมองแขกผู้มาเยือนที่ดูจะเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

“น่าจะได้เวลากลับเสียที รบกวนคุณมานานแล้ว คุณเองจะได้พักผ่อนด้วย…
เอาเป็นว่ามีอะไรติดต่อผมโดยตรงได้นะครับ…”

ว่าพลางเตรียมท่าจะลุกขึ้นยืน

“อ้อ…ถ้าผมสนใจขนมคุ้กกี้ของคุณ…เอาไว้รับแขกที่มาที่แกลอรี
คุณจะมีเวลาทำให้มั้ยครับ…ถ้าได้ ผมจะให้เด็กมารับทุกเช้า
หรือจะเป็นเช้าเว้นเช้าก็น่าจะได้…เพราะคุ้กกี้อยู่ได้นาน…”

คนอารมณ์ดีไม่วายยื่นข้อเสนอที่บิลกีสยินดีอย่างที่สุด
เธอจึงยิ้มกว้างกระจ่างตาคนมองขณะพยักหน้าและตอบตกลงไปว่า

“ยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยค่ะ…”

“และถ้ามีขนมอะไรเพิ่มเติมอยากจะนำเสนออีก ก็ลองทำมาให้ชิมดูนะครับ
ผมน่ะยินดีส่งเสริมคนมีฝีมือและมีความตั้งใจอย่างคุณนะ…”

เขาเอ่ยอย่างอารีอารอบ ทำเอาบิลกีสถึงกับปลื้มและเต็มตื้นในความมีน้ำใจของเขา…

“จะลองทำดูนะคะ…ขอบคุณจริงๆค่ะ…อ้อ…รอสักครู่นะคะ”

เหมือนนึกขึ้นได้ บิลกีสจึงเดินเลี่ยงไปยังห้องครัว แล้วหยิบคุ้กกี้บรรจงใส่ในขวดโหล
แล้วเดินกลับมายื่นให้เขา

“ของฝากเล็กๆน้อยๆค่ะ…” คนรับถึงกับเลิกคิ้วสูง

“ผมมาไม่เห็นมีอะไรติดมือมาฝากคุณเลย นี่คุณจะให้ของฝากผมกลับหรือนี่…
ผมเพิ่งรู้ว่าได้ทำเรื่องน่าอายต่อคุณไปแล้ว…” เขาว่าอย่างเก้อๆ

“ไม่หรอกค่ะ…คุณน่ะให้อะไรฉันเยอะเลย…จริงๆนะ…
ของฝากแค่นี้ถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำ…”

“โอเค…งั้นขอบคุณมากๆนะครับ…”

“แค่คุณไม่รังเกียจฉันก็รู้สึกเป็นเกียรติแล้วค่ะ…” บิลกีสยิ้มกว้าง

ทว่าก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปส่งเขานั้นเอง อยู่ๆประตูห้องก็ถูกเปิดออก
เผยให้เห็นผู้มาใหม่ ซึ่งมิใช่ใครที่ไหน เพราะนอกจากเธอที่มีคีย์การ์ดเข้าห้องนี้แล้ว
ก็เห็นจะเป็นเขาคนเดียวเท่านั้น…

และเหมือนการปรากฏตัวของขาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบเล็กในมือ
จะทำให้ห้องที่มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเมื่อครู่เงียบลงโดยฉับพลัน…

“สวัสดีครับคุณขุนพล…” แขกเป็นผู้ทักทายเจ้าของบ้าน
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครยอมเปิดปากเสียที…

“ผม คีตา อัครเมฆินทร์ครับ…” ว่าพลางยื่นมือออกมาทำความรู้จัก
ขุนพลยื่นมือสัมผัสตอบด้วยสีหน้าเรียบสนิท ไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ใดๆ

“พอดีแวะมารับภาพเขียนของคุณกีส…และ...กำลังจะกลับพอดีครับ…”

แขกผู้มีอารมณ์ดีเสมอต้นเสมอปลายเป็นผู้ครองบทสนทนาโดยตลอด
เพราะดูแล้วว่าไม่มีใครยอมปริปากพูดออกมาแม้แต่คนเดียว…

หญิงสาวที่เขาคุยด้วยมาตลอดก็ดูจะใบ้กินขึ้นมาเสียอย่างนั้น…
ส่วนคนมาใหม่ดูจะไม่ค่อยอารมณ์ดีสักเท่าไหร่…

ดังนั้น…การไปให้พ้นจากสภาวะมาคุเช่นนี้นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
สำหรับแขกผู้มาเยือนอย่างเขา…เลยลุกขึ้นพร้อมกอดขวดโหลคุ้กกี้ของฝากจากเจ้าบ้าน
เมื่อเอ่ยขอตัว

“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับคุณกีส…คุณขุนพล…
ส่วนเรื่องคุ้กกี้ ถ้าคุณกีสพร้อมเมื่อไหร่ โทรบอกนะครับ…ผมจะได้ให้เด็กมารับ…
และ…เอ่อ…ขอโทษอีกครั้งนะครับที่มารบกวนเวลาที่คุณควรจะได้พักผ่อน…”

พูดจบแขกผู้มาเยือนถิ่นก็รีบขอตัวออกมาทันที
โดยมีบิลกีสเดินตามไปส่งถึงหน้าลิฟต์ตามมารยาท…

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ…เรื่องคุ้กกี้ พรุ่งนี้เช้าให้เด็กมารับเลยก็ได้ค่ะ
ฉันเองก็ชักจะคันไม้คันมืออยากทำแล้วสิคะ…”

“แน่ใจนะครับว่าพรุ่งนี้ได้…ผมว่า…เอาไว้เป็นมะรืนดีกว่านะ…”

คนพูดเหมือนจะหยั่งรู้อนาคตของหญิงสาวก็ไม่ปาน
เพราะหลังจากส่งเขากลับไปแล้ว…เมื่อเดินกลับเข้าห้องชุดอีกครั้ง
ก็พบว่าเจ้าของห้องชุดตัวจริงกำลังนั่งนิ่งๆอยู่บนโซฟาตัวที่แขกเพิ่งลุกจากไป…

บิลกีสจึงเดินเข้าไปเก็บจานขนมและแก้วน้ำของแขกไปเก็บล้าง
ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมน้ำหวานและขนมจานใหม่วางให้เขา

เมื่อเห็นเขายังเอาแต่นั่งนิ่งๆเหมือนหุ่นยนต์หญิงสาวจึงเดินไปยัง
กระเป๋าเดินทางของเขาแล้วตั้งใจจะลากเข้าไปเก็บในห้อง…

อย่างน้อยการปล่อยให้เขานั่งเงียบๆ ไม่ไปรบกวนหรือซักถามอะไรให้เขารำคาญ
ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า ยิ่งเขากลับมาเหนื่อยๆแบบนี้ เธอยิ่งไม่ควรชวนเขาพูดคุย
ให้เสียพลังงาน โดยเฉพาะท่าทางเครียดๆแบบนี้ยิ่งไม่ควรเสี่ยง...ทว่า…

“ไม่ต้อง!…แล้วก็นั่งลง!” เสียงของเขาเรียบสนิท

“รู้สึกว่าเรามีอะไรที่ต้องตกลงทำความเข้าใจกันหน่อยนะ!”



...โปรดติดตามตอนต่อไป.......

มาให้แบบติดๆสำหรับความขมของเร่ืองราว...
บอกแล้วไง...ว่ายังขมได้อีก...เฮะๆๆ




งานเข้าแล้วนางเอกเต่า...ท่าจะดราม่านะงานนี้...


....คุยกับนักอ่านจากตอนที่แล้วจ๊ะ....

1.คุณใบบัวน่ารัก...เต่าเองเขียนไปก็สงสารไปด้วยค่ะ
ยิ่งตอนนี้...ต้องมาดูคนที่หายหัวไปนานว่ากลับมาแล้วจะสร้างปัญหาอะไร
มาลงบนหัวนางเอกเราอีก...

2.คุณแว่นใส...นั่นน่ะสิ...ขนาดยังไม่มายังยุ่งได้ขนาดนี้
ถ้าโผล่หัวมาจะขนาดไหน...ต้องรอดูค่ะว่านางเอกเรา
เขาจะมีวิธีดำเนินชีวิตอย่างไรต่อ...

3.คุณตุ๊งแช่...ยิ่งคนท้องนั้นยิ่งลำบากเพราะว่าร่างกายผันผวน
ควบคุมตัวเองได้ต่ำลง ที่สำคัญต้องแบกรับน้ำหนักของลูกเอาไว้อีก
ต้องมาดูล่ะค่ะว่าความจะแตกเมื่อไหร่...

4.คุณโอชิน...ขมใช่มั้ยคะ...ตอนนี้ก็ยังขมได้อีก...อิอิ
ยาดำบวกบอระเพ็ดค่ะ...แถมยังมีตัวแปรเข้ามาอีกหลายตัวด้วย...
ส่วนพระเอกจะเอาไงน้ัน...ตอนหน้าน่าจะดราม่าหนักกว่าที่เคย...แฮ่ๆ


สุดท้ายไม่ท้ายสุด...

ขอบคุณนักอ่านทุกท่าน ทุกไลค์ ทุกๆกำลังใจนะคะ...


...รักษาสุขภาพนะคะ...

"เต่าโย"




yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ม.ค. 2558, 13:18:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ม.ค. 2558, 13:46:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 2020





<< บทที่ 8 ดอกไม้แห่งราตรีกาล (1)   บทที่ 10 ปกปิดเอาไว้ >>
ตุ๊งแช่ 14 ม.ค. 2558, 15:14:04 น.
หึงละ...เซ่..
รู้นะ ..คิดอะไร ห้ามคนนอกเข้าบ้านละสิ...ไม่เป็นไรๆๆ
ออกไปพบข้างนอกโลดดดด..

แตกไม่แตกไม่รู้ แต่ตอนนี้ถ้าจะมีบางอย่างน่าจะแตกนะคะ..


โอชิน 14 ม.ค. 2558, 15:21:07 น.
เดาอารมณ์เดือดของคุณไนค์ไม่ถูกเลย..ว่าแต่อย่ารุนแรงกับคนท้องนักนะ..สงสารอะ


แว่นใส 14 ม.ค. 2558, 18:54:11 น.
อยากแกล้งให้ครอบครัวอัครเมฆินทร์เอาไปดูแล แก้เผ็ดคนไม่รู้จักรักษาของดีไว้กับตัว


ใบบัวน่ารัก 14 ม.ค. 2558, 19:57:32 น.
ใช่ซี้ เมียน้อยเค้ายอมปล่อยให้กลับมาหาเมียหลวงบ้าง
ใช่สิ เมียหลวงก็แค่คนใช้ในเรือนทาส ไปไหนไม่รอด
กลับมาก็โมโหหึงอะดิ ชิทีอย่างนี้อยากไปอยู่กะเมียน้อยเองแล้วจะมาหึงเรา
จะทำอารายๆๆก็เบาๆๆกะ เมียหลวงนางท้องอยู่นะ
เกรงใจห้องข้างๆๆด้วย เสียงดังไม่ดีนะ ไม่ใช่โกรธกันอีกก็กลับไปหาเมียน้อง(งานอีก)
#เบื่อผัว.


napt 15 ม.ค. 2558, 13:50:15 น.
รอลูกปาดอยู่ค่ะ แต่เห็นเรื่องนี้มาต่อเนื่องเลยตามไปอ่านตั้งแต่ต้น
เค้ารักกีสอ่ะ นางเก่งสารพัด สู้ๆนะหนูกิส


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account