สาปหฤหรรษ์
แนะนำเรื่องแบบย่อๆ
เสียงเล่าลือกล่าวขานถึงนางอัปลักษณ์ในตำนานผู้แสนเหี้ยมโหดชั่วร้ายเกินใครแต่อำนาจทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับนางเช่นกัน เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ต้องยอมมอบกายถวายชีวันแลกความอยู่รอดของแผ่นดินด้วยการเป็นสามีของนาง

หมายเหตุ.- เปลี่ยนชื่อเรื่องจาก 'นางเงา' เป็น 'สาปหฤหรรษ์' นะคะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 11-13


ตอนที่ 11




เขาอมยิ้ม กอดอก บ่งบอกทางสีหน้าแววตาว่ามีอะไรจะบอกอีก ให้รีบบอกมา

บุญรักษาจึงเอ่ย “ข้าพเจ้ามีเรื่องใคร่ถาม ท่านราชครูจะอนุญาต...ให้ข้าพเจ้าถามได้หรือไม่เจ้าข้า”

“ว่ามาเถิด”

เธอยิ้มให้เขาเล็กน้อย แต่ก็ปนมาด้วยความหวาดกลัวแต่พองามเช่นกัน “ก่อนนี้ข้าพเจ้ามิอาจเปล่งเสียง”

“ด้วยต้องมนตร์เฒ่าทับทิม”

บุญรักษาตาโต “ท่านราชครูทราบหรือเจ้าข้า” พูดทั้งที่จำได้ว่าเขารู้แน่นอน แต่ก็แสดงให้แนบเนียนนิดหนึ่งและยกย่องเขาเป็นนัย จะได้ขอคะแนนความเมตตาจากเขาไปในตัว ไม่หาเรื่องฆ่าเธออีกรอบ

ราชครูเอียงหน้าเล็กน้อยเป็นการยอมรับโดยไม่เอ่ย

เธอจึงยิ้มให้ว่าเข้าใจแล้ว “อีกทั้งข้าพเจ้ามิสันทัดภาษาพูดของดินแดนนี้ จึงขอเรียนถามท่านราชครู ว่าท่านเป็นผู้ร่ายมนตร์ให้ข้าพเจ้าได้เข้าใจ และสามารถเอ่ยถ้อยภาษาเช่นที่เป็นอยู่...ใช่หรือไม่เจ้าข้า”

ราชครูหลับตาช้าๆ เป็นการยอมรับเช่นกัน “มิดีดอกรึ” และค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง ยิ้มของเขางามจนทำให้ใจสั่น ตาพร่ามัว

ทว่าบุญรักษากลับคิดถึงแต่ท่านราช เป็นห่วงมากเสียจนรอยยิ้มของคนตรงหน้าไม่อาจทำอันตรายแก่หัวใจของเธอได้สักนิด

“น้ำเสียงแม่หญิงเป็นเอกยิ่ง...รู้รึไม่”

เธอส่ายหน้า แต่ก็เป็นแค่การส่ายนัยน์ตาก่อนจะหรุบลงมองพื้นกระท่อม “มิทราบได้เจ้าข้า” และตอบเสียงแผ่ว

ทว่าก็แอบสงสัย อีกฝ่ายรู้เรื่องเนื้อทิพย์ของเธอหรือไม่ แต่จากคำพูดย่อมมีความหมายเพียงว่าเขาอาจไม่ต่างจากโภไคยเสียแล้ว เพราะน้ำคำ...น้ำเสียงของเขาดูอ่อนโยน มีเมตตาต่อเธอไม่น้อย ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น คงเป็นประโยชน์ต่อเธอมากกว่า แต่นั่นก็ยากจะคาดเดาถึงผลลัพธ์หลังจากนี้อยู่ดี ว่าเขาจะจัดการกับเธออย่างไร ดังนั้นการที่อีกฝ่ายรู้หรือไม่รู้เรื่องเนื้อทิพย์ของเธอจึงแทบไม่มีผล ฉะนั้นจงหาทางเอาตัวรอดในตอนนี้ให้ได้ก่อนเถอะ

ส่วนเรื่องที่เขาถาม...

“น้ำเสียงของข้าพเจ้าย่อมเป็นเช่นนี้มาแต่กำเนิด มิได้เป็นเอกแต่อย่างใดดอกเจ้าข้าท่านราชครู” พูดเหมือนพูดธรรมดา แต่ให้รู้ว่าเกรงอำนาจฐานะของเขา แต่ก็ไม่ตระหนก ไม่หวาดกลัวเกินเหตุ มีเพียงความอ่อนน้อมเข้าใจในสถานการณ์เท่านั้น

“แม่หญิงมีสิ่งใดจักถามข้าพเจ้าฤๅไม่”

บุญรักษาเหลือบมองเขานิดหนึ่ง ในหัวความคิดกำลังตีกัน เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังคิดเช่นไร จึงเอ่ยด้วยกิริยานอบน้อม...

“ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีความกตัญญูรู้คุณ ไม่งามนักจักเอ่ยถาม แต่หากปล่อยค้างคาใจ ย่อมมีแต่จะล่วงเกินท่านราชครู ข้าพเจ้ามีเรื่องร้องขอ ขอท่านราชครูโปรดเมตตา บอกแก่ข้าพเจ้าได้หรือไม่ ว่าผู้ช่วยเหลือข้าพเจ้านั้น บัดนี้เป็นเยี่ยงไรเจ้าข้า”

เขาหัวเราะในลำคอ ยิ้มเล็กน้อย “แม่หญิงเอ่ยดังว่าคาดเดามิได้เทียวฤๅ... ว่าเจ้าคนอุกอาจนี้ ย่อมหลีกหนีได้สำเร็จเป็นแน่แท้ จับได้ก็เพียงผ้าคลุม ข้าพเจ้าจึงติดตามเสาะหา เป็นเหตุให้พบแม่หญิงโดยมิได้คาดหมาย คำตอบนี้...เป็นที่พอใจฤๅไม่”

เธอว่า... “ข้าพเจ้ายากจะเอ่ยว่าพอใจหรือไม่พอใจดอกเจ้าข้าท่านราชครู ชนเหล่าใดย่อมพึงระลึกถึงผู้มีพระคุณแห่งตนทั้งสิ้นเมื่อได้รับความช่วยเหลือ ครั้นรู้ว่าผู้มีคุณพบภัย จึงสมควรไต่ถาม แม้ดูมิงามนัก แต่ควรเจรจาโดยตรง ข้าพเจ้ากล่าวถามท่านราชครูก็ด้วยใจสัตย์ซื่อ มิได้คิดคดหาข่าวลับหลัง ด้วยมิใคร่ให้มีเหตุระแวงสงสัย หรือต่อไปมีเหตุให้ต้องตายอีกครา ข้าพเจ้าย่อมสบายใจแล้ว เหตุที่ถามท่าน ย่อมมีเพียงเท่านี้เจ้าข้า”

หญิงสาวโล่งใจที่ได้รับคำยืนยันว่าท่านราชปลอดภัย ส่วนอีกใจก็เตือนตนเองว่าอย่าแสดงกิริยาผิดปกติให้อีกฝ่ายจับได้จนเป็นภัยแก่ตนเช่นกัน

ราชครูมองบุญรักษาอย่างพิจารณาไม่มองไปทางอื่น และนั่นจึงกลายเป็นการสบตาเมื่อหญิงสาวเหลือบตาขึ้นมองอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“แม่หญิง... มิใช่ผู้คนในดินแดนนี้”

“แววตาข้าพเจ้า โกหกท่านหรือไม่เจ้าข้า” เธอมองตอบ ไม่หลบหนี

ราชครูยิ้มเล็กน้อยตรงมุมปาก เขาเชยคางของเธอขึ้น นี่คือสิ่งที่ไม่คาดคิด แน่นอนว่าบุญรักษาไม่ขัดขืน

เธอมองเขา นัยน์ตาสีเทาอมฟ้าคู่นั้นจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเธอ

หัวแม่มือของเขาลูบแก้มบุญรักษาแผ่วเบา เสียงทุ้มนั้นเหมือนครวญแผ่วบ่งบอกว่าพอใจในสิ่งที่ได้ยินและได้เห็นอย่างยิ่ง ทว่าเขากลับขมวดคิ้วเหมือนว่าต้องตัดสินใจบางอย่างด้วยความหนักใจเช่นกัน

ขนคิ้วของเขาเรียงเส้นเป็นระเบียบงามนัก จนเมื่อรวมกันกับสีหน้าที่ปรากฏ ยิ่งส่งเสริมให้หล่อเหลามากมาย ชวนมองอย่างน่าพิศวง แม้ดูเย่อหยิ่งแต่ก็เย้ายวน แววตามีความสงสัยแต่ก็แฝงมาด้วยความฉลาดรู้ทัน ความหนักใจนั้นเมื่อประกอบกับสีหน้ายิ่งบ่งบอกว่าราชครูเป็นคนเด็ดขาด เด็ดเดี่ยว กล้าตัดสินใจ เป็นประเภทกล้าได้กล้าเสีย ซึ่งนั่นทำให้บุญรักษาเกร็งยิ่งกว่าเดิม เหมือนกลั้นหายใจ ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายเผยยิ้มออกมาอีกครั้ง เป็นยิ้มที่ไม่เห็นฟัน

เขาค่อยๆ หลับตาลง สูดลมหายใจเข้าช้าๆ ด้วยสีหน้าเป็นสุข คล้ายกำลังเสพกลิ่นบางอย่างที่ให้พลังชีวิตแก่เขาและชื่นชอบยิ่งนัก

บุญรักษาได้แต่มองด้วยใจระทึก

“แม่หญิงควรทราบ ว่าข้าพเจ้านั้นมีฐานะใด”

เขาค่อยๆ ลืมตา ปล่อยมือออกจากคางของเธอ ขยับห่างออกไปเล็กน้อย มือทั้งสองประสานไว้บนตัก นั่งหลังตรง ความหยิ่งทะนงมีอยู่เต็มเปี่ยม

เขาเอ่ย “ฐานะที่หนึ่งของข้าพเจ้านั้น คือสามีเอกแห่งนางในตำนาน...นางอมรรตัย ผู้คนมากหลายรู้ฐานะนี้ของข้าพเจ้า คำเตือนแรก คือแม่หญิงอย่าได้กล่าวถึงฐานะนี้พร่ำเพรื่อ ฤๅกล่าวถึงฐานะนี้ของข้าพเจ้ากับผู้ใด”

“ข้าพเจ้าจักเก็บคำพูด ระมัดระวังน้ำคำอย่างยิ่งเจ้าข้า ท่านราชครู” บุญรักษาตอบในทันทีเมื่อเขาหยุดดังว่าจะรอ

เธอพอเดาได้ว่าในโลกนี้เขาคงเป็นที่รู้จัก หรือมีคนรู้จักว่าอีกฐานะหนึ่งของราชครูคืออะไร คำเตือนที่มอบให้ย่อมมีนัยไม่น้อย เพราะนอกจากนางในตำนานนั่นอาจมาหักคอเธอในวันใดวันหนึ่งที่รู้เรื่อง ที่น่ากลัวไม่ยิ่งหย่อนคือศัตรูของเขา คงไม่ดีหากเปิดเผยว่ารู้จักกับคนระดับ ‘สามีเอก’ ของนางในตำนาน การพูดถึงเขาและเอ่ยถึงตำแหน่งที่ว่านั้นย่อมเป็นภัย เผื่อว่าจะมีโอกาสรอดชีวิตหลังจากนี้และราชครูไม่ฆ่าเธอเสียก่อน แน่นอนว่าเธอควรอยู่เงียบๆ ให้มากที่สุด เพราะให้ตายเธอก็ไม่พูดหรอกเมื่อรู้ว่าเป็นอันตราย

“สอง... ข้าพเจ้านั้นเป็นราชครูแห่งตักศิลานคร ฐานันดรนี้ย่อมมีผู้หมายโค่นล้ม”

“เจ้าข้า” บุญรักษาน้อมรับ “ท่านราชครูเมตตาข้าพเจ้า บอกเล่าถึงเพียงนี้ ข้าพเจ้าย่อมมิควรเลินเล่อ ให้เป็นภัยแก่ท่านราชครู ฤๅตนเองเจ้าข้า” เธอตอบไป สังเกตว่าเมื่อไรที่คิดถึงคำว่า ‘ค่ะ’ ปากนั้นจะเอ่ยออกมาเป็นว่า ‘เจ้าข้า’ ทันทีเช่นกัน คำนี้คงมีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า ‘คะ-ค่ะ’ ในภาษาไทยไม่ผิดไป

“ยินดียิ่ง...ที่แม่หญิงว่าง่ายนัก” เขายิ้มให้มากกว่าเดิม และเอ่ยต่อ “ธรรมเนียมปฏิบัติของข้าพเจ้า ฤๅชายผู้เป็นสามีแห่งนางอมรรตัย คือคนผู้ใดอยู่ใต้ปกครองของผู้ดำรงฐานะเช่นข้าพเจ้า คนใต้ปกครองเหล่านั้นจงอย่าได้เอ่ยถึงฐานะสามีเอกนี้ ห้ามอย่างยิ่งคือ ‘นามอมรรตัย’ อย่าได้กล่าวออกมาเป็นอันขาด แม่หญิงพึงระลึกข้อสำคัญนี้ไว้เป็นแม่นมั่น นับจากนี้ข้าพเจ้าจักอุปการะแม่หญิงมิให้อดสู...มิให้อดอยาก ข้อแลกเปลี่ยนเดียวของข้าพเจ้าคือความซื่อสัตย์ แม่หญิงจักให้ได้รึไม่”

บุญรักษากัดฟันแต่ก็ยังยิ้มขอบคุณ แววตาซาบซึ้ง “ยินดีเป็นแน่แท้เจ้าข้า” ขืนตอบว่าให้ไม่ได้ก็จบเห่ละสิ ทั้งที่ความจริงตอนนี้คือใจสั่นสุดๆ แผ่นหลังร้อนวาบๆ น้ำตาแทบไหล แต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดยังสั่งให้พูดออกไปด้วยรอยยิ้มที่ระลึกบุญคุณของเขา นอบน้อมเหมือนที่เคยเป็น โดยเฉพาะ...

“เป็นบุญของข้าพเจ้ายิ่งนัก ที่ท่านราชครูเมตตา แต่ข้าพเจ้านั้นอ่อนด้อยกฎเกณฑ์ ข้อห้ามใดมิเคยรับรู้ จึงกลัวว่าอาจล่วงเกิน เช่นนี้” พูดค้างไว้ บอกเป็นนัยให้รู้ว่าเธอเต็มใจไปกับเขาอย่างแน่แท้ แต่คนไม่เป็นงานอย่างไรก็อาจมีพลาดพลั้ง ซึ่งนั่น... เขาหรือคนของเขาอย่าได้ลงโทษเธอให้ถึงตายเลย

ราชครูว่า “กฎใด ธรรมเนียมใด ข้าพเจ้าจักสอนสั่งแม่หญิงด้วยตนเอง มิให้ด่างพร้อย แม้ว่าเกิดเหตุใดขึ้น จักสอบสวนทวนความอย่างแน่ชัด มิลงโทษใดแก่แม่หญิงหากมิรู้แจ้ง เช่นนี้...แม่หญิงจักเบาใจรึไม่”

“ขอบพระคุณยิ่งนักเจ้าข้า” ยิ้ม แต่ก็เหมือนจะยิ้มไม่ออก บุญรักษาใช้ความคิดอย่างหนักว่าควรถามหรือไม่ กับคำถามหนึ่งที่ติดอยู่ตรงปาก

“แม่หญิงมีสิ่งใดจักถาม จงว่ามาเถิด”

เธอมองเขาตรงๆ ดีใจที่อีกฝ่ายยังให้พูด “ข้าพเจ้าจะถูก ... หักคอหรือไม่เจ้าข้า” เว้นชื่อนางอมรรตัยเอาไว้ พูดอย่างนอบน้อมรู้ฐานะตนเอง หวังใจว่าเขาจะรับรู้ว่าเธอได้ทราบแล้ว ว่าหลังจากนี้เธอจะเป็นใคร และต้องปรับตัวอย่างไร

เขาส่ายหน้าเล็กน้อย บอกด้วยท่าทางว่าอย่ากังวล ก่อนจะยิ้มกว้างกว่าเดิมนิดหนึ่ง แต่ก็เป็นยิ้มที่ไม่เห็นฟันอยู่ดี สีหน้าท่าทางของเขาแสดงความเอ็นดูมากกว่าจะไม่ชอบใจ ทำให้บุญรักษาพอโล่งอก

“แม่หญิงยังมิทราบธรรมเนียมปฏิบัติของข้าพเจ้า แม้นเป็นสามีเอก แต่ข้าพเจ้าย่อมบำรุงสตรีใด ฤๅหมายตาหญิงใดไว้ใช้ในงานตนได้ดอก ขอเพียงสตรีเหล่านั้นที่ข้าพเจ้าเลือกเฟ้นรู้ฐานะตน เชื่อฟังคำสั่งของข้าพเจ้า ระมัดระวังการดำรงอยู่ในเรือนพักของข้าพเจ้า หญิงผู้นั้นนั่นย่อมปลอดภัย ส่วนตัวข้าพเจ้าจักดูแลแม่นายใหญ่เยี่ยงไร นั่นย่อมมีความหมายเดียวคือบำเรออย่างเต็มความสามารถ กิจใดที่ข้าพเจ้าได้รับต้องมิบกพร่อง เพียงเท่านี้...หากข้าพเจ้าปรารถนาสิ่งใด ย่อมเป็นสิทธิ์ของข้าพเจ้าโดยแท้”

หญิงสาวยิ้มให้อย่างอ่อนน้อม บอกด้วยกิริยาว่าเข้าใจ ทว่าความคิดนะหรือ... นางในตำนานนี่ใจกว้างสุดๆ ไปเลย น่าจะหวงสามีเยอะๆ จะได้ไม่ต้องมายุ่งกับชาวบ้านเขา แต่ปากก็เอ่ย...

“ท่านราชครูเมตตาข้าพเจ้าถึงเพียงนี้ นับเป็นบุญของข้าพเจ้ายิ่งนักเจ้าข้า” พูดก็อยากจะแหวะตัวเองไป ช่างไร้ศักดิ์ศรีเสียจริง หน้าไม่อาย

แต่ไม่เป็นไรหรอก เธอไม่มีศักดิ์ศรีอะไรค้ำคออยู่แล้ว ขอแค่รอดตาย มีข้าวกิน มีลมหายใจ วันหน้ายังหาทางรอดและเป็นไทแก่ตนเอง ก็นับว่าอนาคตสดใสยังรออยู่ ตอนนี้อย่าท่ามาก ยอมได้ยอมไปก่อน ส่วนปัญหาอื่นเดี๋ยวค่อยว่ากัน คนอย่างราชครูถ้าคิดจะทำอะไรก็คงหาทางออกเผื่อเธอไว้อยู่แล้ว อย่าไปคิดแทนเขา เธอจึงยิ้มขอบคุณให้อีกครั้ง

ราชครูพยักหน้ารับเล็กน้อยเป็นความหมายว่ายินดีในคำตอบนี้ แววตาที่เห็นบ่งบอกว่าเขาชอบที่ไม่ต้องพูดอะไรมากมาย ชอบคนเข้าใจง่าย พูดง่าย และเอ่ย...

“ถ้าหากข้าพเจ้าได้พบผู้ช่วยเหลือแม่หญิงเร็วไว จักให้คลายมนตร์กำบังดวงจิตของแม่หญิงมิเนิ่นช้า ข้าพเจ้าใคร่ทราบความเป็นมาของแม่หญิง หากเจ้าคนอุกอาจคลายมนตร์ ข้าพเจ้าจักเว้นชีวิตมัน”

บุญรักษาหลับตาลงนิดหนึ่งเป็นการบอกรับรู้ ทว่าในใจนะหรือ... ใครเชื่อก็บ้าแล้ว

เธอคิดว่าเขาคงหวังจับตัวท่านราชมากกว่า แต่อีกใจก็ส่งเสียงดังร้องห้ามทันใด ตอกย้ำว่าอย่าคิดเหลวไหล เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเหมือนท่านราชตรงที่รู้ความคิดคนอื่นได้หรือไม่ แต่จากที่ได้ยินคำพูดคือต้องรู้แน่ แต่ท่านราชก็รอบคอบที่ช่วยป้องกันในส่วนนี้ หรือไม่ราชครูก็อาจแสดงละครอยู่เช่นกัน

ดังนั้นชีวิตของเธอนับจากนี้ราชครูคือผู้นำทาง ถ้าเขาพาเธอไปยืนตรงปากเหว เธอก็ต้องไม่โวยวาย นิ่งไว้ให้มากที่สุด ไว้ใกล้ถึงตรงปากเหวค่อยหาจังหวะหนีย่อมไม่สาย แต่ตอนนี้ต้องเอาตัวรอดให้ได้ก่อน ไม่มีใครจะมาช่วยอีกแล้ว ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังความคิด อย่าให้เป็นภัยกับตนเองนัก

หญิงสาวยิ้มเล็กน้อยเมื่อตั้งหลักได้ทัน เอ่ยอย่างนอบน้อมทันที “ถ้าเช่นนั้น... ท่านราชครูเดินทางเถิด ข้าพเจ้าจักเชื่อฟังคำสั่งของท่านเป็นอย่างยิ่งเจ้าข้า” และยิ้มให้เขา

เธอไม่มีทางเลือกอีกแล้ว ที่สำคัญคือหากยังอยู่ที่นี่ อาจทำให้ท่านราชเดือดร้อนเมื่อกลับมา เธอไม่อยากให้ผู้มีพระคุณมีอันตราย ท่านราชไม่ได้ช่วยเธอคนเดียว แต่ยังช่วยเหลือคนทั้งหมดที่อยู่ในหลุมฝังเสาหลักเมืองนั่น

ท่านราชเป็นคนดีมากจนเธอไม่อยากให้เกิดความสูญเสีย เธอไม่มีค่าอะไรหากจะเทียบกับเขา ซึ่งคงมีอีกหลายคนได้ฝากความหวังไว้เพื่อความเป็นไทในวันหนึ่ง

ราชครูโบกมือผ่านหน้าเธอ “ขอแม่หญิงบุญรักษาจงเป็นผู้ว่าง่าย อย่าได้ดื้อดึงเทียวหนา”

บุญรักษายังคงมีรอยยิ้มเล็กน้อยเหมือนที่เคยเป็น รู้ว่าขยับตัวได้แล้ว ทว่าในใจเหมือนน้ำตาจะไหลอาบแก้ม ทั้งแค้น ทั้งโกรธคนตรงหน้า แต่ก็ได้แค่เก็บไว้ในส่วนลึกเท่านั้น

“ท่านราชครูเรียกข้าพเจ้าว่า ‘รัก’ เพียงคำเดียวเถิดเจ้าข้า นามนี้ผู้เลี้ยงดูข้าพเจ้าใช้เรียกหา มิต้องกล่าวนามให้ยาวนัก” เหมือนให้ท่าก็ใช่ละงานนี้

เขายิ้มให้อย่างขอบคุณ “ข้าพเจ้ามีนามปัทม แม่หญิงย่อมเอ่ยนามข้าพเจ้าได้ทั้งปัทม ฤๅเรียกขานราชครู”

“เจ้าข้า” ตอบไปก็ก้มหน้าไป

ในจังหวะไม่ทันตั้งตัว บุญรักษาสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายจับต้นแขนทั้งสองของเธอโดยไม่บอกกล่าว ฝ่ามืออุ่นๆ ของเขาทำให้เธอเหมือนจะยิ้มไม่ค่อยออก แต่ก็ไม่กล้าขัดขืน เธอเงยหน้ามองราชครู ความตกใจยากจะปิดบังได้มิดชิด

เขาไม่รู้หรือ...ว่าไม่ควรแตะเนื้อตัวของเธอเป็นอย่างยิ่ง เขาจะพาตัวเองจมดิ่งไปกับเนื้อทิพย์นั่น และอาจเป็นอันตรายได้

“ไปเถิด จงติดตามข้าพเจ้าไปทุกแห่งหน...รัก” เขาประคองเธอให้ลุกขึ้นยืนด้วยกัน

บุญรักษาขนลุกขนพองกับประโยคที่ได้ยิน เธอไม่ฝันหวานหรือรู้สึกล่องลอยกับความเมตตา เธอกลัวเขา ที่ก้มหน้าตอนนี้ก็เพราะกลัวจริงๆ ขณะเดียวกันหวังเก็บชายผ้าคลุมของท่านราชขึ้นมา ซึ่งก่อนนี้เธอถือผ้าคลุมของผู้มีพระคุณไว้ติดมือไม่ปล่อย

เธอถูกราชครูรั้งแขนไว้ไม่ให้ก้มลง

หญิงสาวมองเขา จึงเห็นว่าราชครูยิ้มให้อย่างเข้าใจ นั่นจึงทำให้อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากอีกฝ่ายไม่ใช่ขาโหดอย่างที่รู้ เธอคงหลงใหลไปกับรอยยิ้มงดงามที่ปรากฏตรงหน้านี้แน่แล้ว และการรั้งไว้ทำให้ต้องยืนตรงแต่โดยดี

“ท่านราชครูเจ้าข้า” อ้ำอึ้งเล็กน้อย แต่ที่สุดก็ตัดสินใจพูด “ขอให้ข้าพเจ้าได้ฝัง”

“ย่อมได้” เขายิ้มและตอบอนุญาตทั้งที่เธอพูดไม่จบ

ราชครูตวัดมือเล็กน้อย ชายผ้าคลุมของท่านราชที่ระพื้นก่อนนั้นก็ลอยขึ้นมา แน่นอนว่าลอยห่างออกไป บุญรักษาจำใจปล่อยมือ ไม่อย่างนั้นย่อมทำให้อีกฝ่ายสงสัยในการกระทำ

พรึบ!

ไฟลุกท่วมผ้าคลุมผืนนั้นทันใด บุญรักษาพูดไม่ออก

ขณะที่กำลังยืนอึ้งอยู่นั้น ผ้าคลุมของเธอที่ท่านราชเคยให้ไว้ก็ถูกมนตร์ของราชครูทำให้ลอยขึ้นมา ก่อนเขาจัดการสวมให้ด้วยตนเอง ผูกเชือกไว้เรียบร้อย

บุญรักษาตั้งสติ ยิ้มและรีบไหว้ขอบคุณ “ข้าพเจ้าจะเป็นผู้รู้คุณของท่านราชครู นอบน้อม มิดื้อรั้น ฟังคำสั่งของท่านราชครูอย่างเคร่งครัดเจ้าข้า” พูดจบก็ก้มหน้ามองพื้น เผลอกัดฟันข่มอารมณ์ เก็บความเกลียดเอาไว้ น้ำตากำลังจะไหล กระบอกตาร้อนผ่าวไม่หยุด

ได้แต่เตือนตนเองว่าอย่าทำ อย่าร้องไห้ เพราะถ้าปัทมราชครูจับได้ ก็มีแค่ตายกับตายเท่านั้น อย่าให้การช่วยเหลือของท่านราชสูญเปล่า นั่งจึงทำให้รีบกระพริบตาถี่ หวังให้น้ำตาเหือดแห้งเร็วไว ห้ามไม่ให้ไหลออกมา บุญรักษาจำใจเดินตามแรงโอบของอีกฝ่ายที่ประคองออกไป เป็นการออกคำสั่งกลายๆ ว่าให้เดินไปพร้อมกัน

และเพียงแค่พ้นประตูกระท่อม ห่างออกมาไม่ไกลนัก ความร้อนด้านหลังก็พวยพุ่งทันที กระท่อมหลังน้อยถูกเผา เป็นการเผาที่รวดเร็วและจบลงในเวลาไม่เกินห้าวินาทีเท่านั้น

บุญรักษาตกตะลึงกับการกระทำเช่นนี้ ไม่มีอีกแล้วกระท่อม ไม่มีขอนไม้บรรจุน้ำหรือสิ่งใด ทุกอย่างสลายวับไปกับตา พื้นดินถูกกลบเกลื่อนจนไม่รู้ว่าก่อนนี้เคยมีสิ่งใดอยู่

ปัทมราชครูยกมือข้างที่ว่างขึ้น ส่วนมืออีกข้างยังประคองเธอเอาไว้ไม่ปล่อย ราวกับว่ากลัวจะวิ่งหนี เขากำมือข้างที่ยกขึ้นนั้นแล้วคลายออก

บุญรักษาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายทำอะไร กระทั่งเสียงเปรี๊ยะเหมือนแก้วร้าวดังขึ้นจึงแหงนมอง ขอบใสเลื่อมพลายแตกสลายในพริบตา ปราการมนตร์ของท่านราชถูกทำลายลงในเสี้ยววินาที ทุกอย่างยังชวนมึนงง บุญรักษาทำตัวไม่ถูก เกร็งสุดขีดเมื่อราชครูหมุนเธอให้หันหน้าเข้าหาเขา

ตอนนี้ต่างยืนประจันหน้ากัน ราชครูขยับเข้ามาประชิดตัว บุญรักษาเกร็งสุดขีด ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง แน่ชัดว่าตัวของเธอสั่นทั้งที่ไม่อยากสั่นสักนิด แต่ความกลัวในส่วนลึกใช่จะห้ามกันได้ง่ายๆ

เขาโอบกอดเธอเอาไว้ วางมือไว้ตรงเอวหลวมๆ “อย่ากลัวไปเลย...รัก” เขาพึมพำ

บุญรักษาได้แต่หลับตา เสียงร่ายมนตร์เบาๆ ดังขึ้น

ทันใดนั้นแสงสีขาวสว่างวาบโอบล้อม หยุดความคิดทุกอย่างไว้ ไม่ผิดว่าราชครูกำลังพาเธอไปยังสถานที่ที่เขาต้องการแน่แล้ว



- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -
-------------------------------------------------------------





ตอนที่ 12


เงียบ...

สงบ...

วังเวง...

ลมพัดใบไม้เอนลู่ไปตามแรงลม เสียงซ่าๆ เมื่อใบไม้ไหวให้ความรู้สึกประหลาด บุญรักษานั่งอยู่ตรงหอนั่ง ติดกับประตูทางเข้าเรือน

หอนั่งนี้ลักษณะคล้ายบ้านหลังเล็กๆ แต่ไม่มีผนัง เป็นส่วนหนึ่งของบ้านทรงไทยเรือนหมู่ พื้นยกสูงกว่าพื้นชาน มีเสา มีหลังคา รอบด้านเปิดโล่ง ส่วนชานจะเป็นพื้นไม้กระดานต่อเชื่อมเรือนต่างๆ เข้าหากัน

บุญรักษาหย่อนขาทั้งสองลงกับพื้นชาน ก้นวางที่หอนั่ง เอี้ยวตัวพิงไหล่ข้างหนึ่งไว้กับรั้วระเบียงเรือนชานนี้ สายตาจับจ้องไปบนฟากฟ้า เหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย มือทั้งสองจับซี่รั้วไม้ระเบียงเอาไว้ แนบหน้าผากอย่างหมดอาลัยตายอยาก ต้นไม้ใหญ่ใบลู่ไปตามลมยังปรากฏทางหางตา อยู่ในการรับรู้ พวกมันตั้งตระหง่านขนานไปกับแนวคลอง และหลายต้นโอบล้อมบริเวณรอบเรือน ให้บรรยากาศบ้านผีสิงเสียนี่กระไร

เรือนลักษณะนี้เรียกว่าเรือนหมู่ เป็นเรือนไทยภาคกลางแบบยกสูง เรือนแวดล้อมที่ประกอบกันแต่ละหลังของตัวเรือนทั้งหมดมีขนาดค่อนข้างใหญ่ จากที่มองสำรวจก็พอรู้ว่ามีหอนั่งหนึ่งซึ่งก็คือตรงนี้ที่นั่งอยู่ หอนั่งอยู่ติดประตูทางเข้าเรือนหรือที่เรียกกันว่าประตูเรือนชาน มีเรือนอาบน้ำหลังหนึ่งถัดไปทางซ้ายมือของหอนั่ง ถัดจากเรือนอาบน้ำก็เป็นครัว อยู่ปิดท้าย กินพื้นที่ทั้งสองฝั่งลักษณะคล้ายตัวแอล (L) หอตำรานั้นอยู่ฝั่งเดียวกับเรือนนอน

เรือนนอนกับหอตำราอยู่ฝั่งเดียวกัน อยู่ตรงข้ามกับหอนั่งนี้โดยมีชานเรือนคั่นอยู่ตรงกลาง บุญรักษาเหล่มองเรือนนอนที่อยู่ทางซ้ายมือของตนเอง แน่ใจว่าไม่ผิดไปจากที่คิดเพราะราชครูเข้าไปผลัดเสื้อผ้าในห้องนั้น จึงทำให้รู้ว่าเป็นเรือนนอนแน่ๆ ทุกอย่างอยู่ในสายตาและสังเกตแม้ราชครูไม่บอกว่าอะไรเป็นอะไร

บุญรักษาถอนหายใจออกมา เธอนั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวมานานมากแล้ว ช่างเป็นความเงียบ เหงา หวาดกลัว หดหู่ เคล้าคลอในอารมณ์เมื่ออยู่เพียงลำพังและไม่รู้ชะตากรรมที่จะเป็นไป ไม่มีใครอยู่ที่นี่เลย ไม่มีใครมายุ่งกับเธอเมื่อราชครูไม่อยู่ เขาเข้าไปที่พระราชวังหลวงเป็นการด่วนตามที่ได้ยินเสียงแว่วมา

คนรับใช้เหมือนจะมีน้อยนัก เท่าที่เห็นมีอยู่คนเดียว คือคนที่ตามราชครูไป ชายคนนั้นไม่นุ่งเสื้อ นุ่งแค่ผ้าลอยชายสีเข้มเก่าๆ ผืนเดียว จนมองไกลๆ นึกว่านุ่งโสร่ง และหลังจากราชครูถูกตามตัวออกไปก็ไม่มีใครโผล่เข้ามา ความเงียบ เหงา วังเวง และหวาดกลัวในส่วนลึกจึงกลายเป็นเพื่อนเธอโดยปริยาย

บุญรักษาไม่รู้อะไรมากไปกว่าเรือนหลังนี้เป็นบ้านไม้ บรรยากาศโดยรอบเย็นและเงียบเท่านั้น

เธอหมุนตัว หันหน้าไปทางด้านในของเรือน เนื้อไม้ที่นำมาปลูกเรือนเป็นไม้เนื้อแข็งและเนื้อดี แม้จะไม่มีลวดลายอะไรแต่ก็รู้ว่าเป็นงานประณีต ขนาดเรือนจะว่าใหญ่โตก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ก็ไม่เล็กเช่นกัน อยากรู้ว่าราชครูจะจัดการอย่างไรเมื่อกลับมา ลมเย็นพัดมาแผ่วๆ ทั้งที่น่าจะเป็นช่วงบ่ายใกล้เย็นยิ่งทำให้ขนลุก อากาศเย็นแบบชวนสยอง ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งได้บรรยากาศแปลกๆ

“เหม่อกระไรรึเจ้า”

บุญรักษาสะดุ้ง เสียงทักทายนั้นเรียกให้หันไปมอง เธอยิ้มให้ปัทมราชครูเล็กน้อย แน่ใจว่าไม่ได้ยินเสียงขณะเขาเดินขึ้นมา แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับอยู่ในท่าหันหลังปิดประตูเรือน ขัดกลอนเรียบร้อย

เขาเดินเข้ามาหาเธอ นั่งลงฝั่งตรงข้าม หย่อนขาข้างหนึ่งลงกับพื้น อีกข้างคู้ลงบนหอนั่งเหมือนนั่งพับเพียบ ให้อารมณ์ท่านเจ้าคุณรูปงามไม่น้อย เขามองเธอโดยไม่พูดอะไร

“คิดว่าท่านราชครูจะไปนานกว่านี้เสียอีกเจ้าข้า” เธอยิ้มให้เขาเล็กน้อยพองาม น้ำเสียงนั้นเอาใจอ่อนน้อม

“เรือนนี้มิได้อยู่ไกลจากพระราชวังหลวงแห่งตักศิลานคร”

บุญรักษาพยักหน้าเข้าใจ ถ้าหากเขาจะเอ่ยว่าที่นี่อยู่ใกล้พระราชวังหลวงคงจะสั้นกระชับเข้าใจง่ายกว่า แต่คำตอบนี้เหมือนว่าจะทำให้ยิ้มไม่ค่อยออก เพราะนั่นหมายความว่าหากเธอจะหนี ก็คงไม่ง่ายนัก อีกทั้งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะจัดการอย่างไรกับเธอกันแน่ หรือต้องการให้เธอทำอะไรบ้างก็น่าวิตกไม่น้อย

“แม่หญิงเป็นกังวลเรื่องใดฤๅ” เขาถาม เอนตัวเข้ามาหาเธอเล็กน้อย

หญิงสาวยิ้มให้อย่างขอบคุณ แต่จะดีกว่านี้ถ้าหากเขาถามจบแล้วจะรอฟัง ทว่าปัทมราชครูดันลุกขึ้น หันหลังเดินเข้าไปทางครัว ปล่อยเธอยิ้มเก้อ อ้าปากค้างคนเดียว เพราะไม่รู้จะตอบกับใคร

‘ถามเสร็จก็ลุกหนี จะไปตอบได้ไงฟระ!’ คิดแล้วก็แอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจ เริ่มหมั่นไส้นิดๆ แต่เมื่ออีกฝ่ายหันกลับมา เธอก็รีบยิ้มแฉ่งมองเขาอย่างอ่อนน้อมให้มากเข้าไว้

ราชครูถือคนโทน้ำและจอกเงินขนาดเล็กกว่ากำปั้นติดมือมาอย่างละหนึ่ง

“ผู้ใดถึงเรือนชาน ต้องต้อนรับ ดูแลเป็นอย่างดียิ่ง” เขาว่า ยื่นจอกน้ำกับคนโทมาให้เมื่อมายืนอยู่ตรงหน้าบุญรักษา

หญิงสาวแหงนมองอีกฝ่าย ไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ยื่นมือไปรับมางงๆ

เขาจะให้เธอดื่มน้ำใช่ไหม... ใจดีจัง

ราชครูนั่งพับเพียบบนชาน คอตั้งหน้าเชิดอย่างไรยังเป็นเช่นนั้นตลอดเวลา

บุญรักษายังมองสิ่งที่อยู่ในมือ เธอยังไม่ค่อยหิวน้ำสักเท่าไร

“รินสิเจ้า ข้าพเจ้ากระหายน้ำนัก”

หา! ถึงกับเผลอร้องเสียงดังในใจ มองเขาตาโต นึกว่าจะเอาน้ำมาให้เธอกินเสียอีก แต่ถึงจะคิดเช่นนั้น มือของเธอกลับเทน้ำใส่จอกรวดเร็ว วางกับพื้น เลื่อนไปไว้ตรงหน้าราชครูทันที แอบสังเกตท่าทางของอีกฝ่ายไปพร้อมกัน

“กระทำเยี่ยงผู้มิได้สมัครใจ”

‘เอิ่ม... คุณพี่คะ อย่าเพิ่งค่อนแคะค่ะ อิฉันทำตัวไม่ถูก’ คิดแต่ใบหน้าของเธอยิ้มให้อย่างขอโทษ และเอ่ย...

“ข้าพเจ้ามิทราบว่าควรทำเยี่ยงไรเจ้าข้า มาถึงเรือนนี้ก็โดดเดี่ยวนัก ท่านราชครูพาข้าพเจ้ามาถึง นั่งรอตรงหอนั่ง บัดนั้นจนบัดนี้ยังอยู่ที่เดิม อีกทั้งยังมิได้ทราบธรรมเนียมใดในการดูแล ถ้าหากข้าพเจ้าบกพร่อม มิถูกใจท่านราชครู ฤๅมิได้ดูแลท่านราชครูอย่างเหมาะควรแก่เหตุ จนทำให้ท่านราชครูขุ่นเคืองใจ นั่นย่อมทำให้ข้าพเจ้าเสียใจยิ่งนัก ด้วยใจแท้จริงล้วนสมัครยินดี ล่วงเกินครั้งนี้จึงใคร่ขอท่านราชครูเมตตา อภัยให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ขอท่านราชครูโปรดสั่งสอนข้าพเจ้าให้รู้ธรรมเนียมอันดีงามนับแต่บัดนี้เถิดเจ้าข้า” พูดอย่างอ่อนน้อมเป็นที่สุด แม้ในใจก็อยากจะแหวะตัวเองก็ตาม ทว่าอาการที่อีกฝ่ายยิ้มให้น้อยๆ อย่างเอ็นดู จึงพอโล่งอกบ้างว่าไม่ได้แสดงเกินงามจริงๆ

“เรือนนี้” เขาลากเสียงยาว มองไปรอบๆ เรือน ก่อนจะมองหน้าเธอ “จักมีเพียงข้าพเจ้าแลแม่หญิง แม่หญิงจงเป็นผู้ดูแลเรือน ยิ่งกว่านั้นจงดูแลข้าพเจ้ามิให้บกพร่อง ทั้งข้าวปลาอาหาร น้ำกินน้ำใช้ ผ้าผ่อนแพรพรรณ ล้วนต้องประณีตสะอาด ดูแลเป็นที่หนึ่ง ปัดกวาดเช็ดถูเรือนให้สะอาดยิ่งเป็นที่สอง แต่ทั้งหมดย่อมต้องดีงามนัก” พูดและมองเธอเหมือนจะรอถามว่าเข้าใจใช่ไหม

บุญรักษายิ้มหวานให้เขา พยักหน้าเล็กน้อย “เข้าใจแล้วเจ้าข้า”

ราชครูยิ้มรับ “ดียิ่งนัก” สีหน้านั้นพึงพอใจอย่างยิ่ง “บ่าวผู้เคยจัดสำรับ ข้าพเจ้าได้ส่งคืนแล้วเมื่อครู่ก่อน มิต้องการให้อยู่รับใช้ บัดนี้ข้าพเจ้ามีแม่หญิงดูแล ย่อมมิใคร่ให้ผู้ใดเพ่นพ่านรำคาญตา” เขายิ้มให้อย่างใจดี

แต่บุญรักษาเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับรอยยิ้มของเขา เพราะส่วนลึกบอกว่าสิ่งที่จะได้ยินหลังจากนี้คงไม่น่ารักอย่างรอยยิ้มที่เห็นเป็นแน่

“สำรับข้าพเจ้านั้นจักมีสามมื้อ มื้อที่หนึ่งคือเมื่อแสงแรกแห่งตะวันขึ้นตรงขอบฟ้า มื้อที่สองยามตะวันตรงศีรษะ มื้อที่สามก่อนตะวันตกดิน ทุกสำรับต้องตรงเพลา แม้นว่ามีสำรับหลวงท่านจัดให้ แต่แม่หญิงควรฝึกให้คล่องแคล่ว ข้าพเจ้าจักอนุญาตให้เรียนรู้ได้ในเพลาสามวันแรกเท่านั้น คือนับแต่สำรับเย็นของวันนี้ แลอีกสองวันหลังจากนี้ ส่วนวันที่สี่แม่หญิงจักเป็นผู้ดูแลทั้งหมด จงเร่งฝึกฝน จัดสำรับให้เป็นงานโดยไว ข้าพเจ้านั้นกินง่ายอยู่ง่าย

“สำรับของข้าพเจ้าทั้งเครื่องคาว...หวาน แม่หญิงจงตระเตรียมด้วยตนเองทั้งสิ้นเถิด จักมีบ่าวนำผักนำปลามาไว้ แต่มีข้อแม้ว่าอย่าได้ทำสำรับจืด...ฤๅเผ็ดร้อน ซ้ำในสำรับเดียวกัน อาหารนั้นจำต้องเป็นเครื่องคาวสองอย่าง เครื่องหวานหนึ่งอย่าง ในสำรับนั้นให้มีน้ำหนึ่งอย่าง แห้งหนึ่งอย่าง จักเผ็ดร้อนฤๅชุ่มคอจงเลือกไว้ รสจงให้ชุ่มคอนัก

“น้ำอาบของข้าพเจ้าเพลาเช้าต้องเป็นน้ำอุ่น เพลาเย็นน้ำอาบเยี่ยงไรย่อมได้ ข้าพเจ้าอยู่ง่าย แต่จักดียิ่งเมื่อได้น้ำอุ่นทั้งสองเพลา แม่หญิงจงเตรียมให้พร้อม งานเรือนเบื้องต้นนี้อย่าได้บกพร่องเทียว”

บุญรักษากลืนน้ำลายลงคอ แทบจะกัดฟันกับความอยู่ง่ายกินง่ายของเขา แต่ก็ตอบไปอย่างนอบน้อมทันที “ข้าพเจ้าจักทำให้เต็มกำลังสามารถ มิให้บกพร่องเจ้าข้า” เอ่ยรับทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะจัดการได้ดีแค่ไหน เพราะแต่ละอย่างที่ท่านราชครูสั่งมาช่างเกินบรรยายนัก

แต่อย่างน้อยสิ่งที่ได้ยินก็เริ่มทำให้ใจชื้น ไม่ตายก็ดีแล้ว จะให้ผ่าฟืนตกปลาก็สั่งมาเถอะ ขอแค่ไม่ต้องไปยุ่งกับเขามากกว่านี้แบบถึงเนื้อถึงตัว เธอทำได้ทั้งนั้น นั่นจึงทำให้ยิ้มกว้างออกมามากกว่าเดิม ส่วนอีกใจก็บอกว่า...ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรยังไม่รู้ ถึงเวลาค่อยว่ากัน

“ยามค่ำนั้น จงปรนนิบัติข้าพเจ้าให้สำราญ”

แทบสำลักน้ำลายเมื่อเจอประโยคนี้เข้าไป จึงกลายเป็นมองอีกฝ่ายตาปริบๆ

ราชครูยิ้มให้นิดๆ ที่มุมปาก ช่างเป็นรอยยิ้มน่ารักแต่แฝงความน่าหมั่นไส้เสียนี่กระไร และรอยยิ้มนี้เหมือนอันตรายกำลังกวักมือเรียก ครั้นไม่ยอมก็ยังวิ่งเข้ามาฉุดกระฉากลากถูเธอเข้าไปใกล้ไม่ให้หลุดพ้น เพราะราชครูกำลังเอ่ยว่า...

“ข้าพเจ้าจักอาบน้ำ แม่หญิงจงเร่งดูแลข้าพเจ้าโดยไวเถิด มื้อนี้อนุญาต มิต้องเตรียมน้ำอุ่น” พูดจบก็ลุกขึ้นไปที่เรือนนอนทันที

บุญรักษาแทบเป็นลม อ้าปากพะงาบๆ พูดไม่ออก อีตาราชครูนี่พูดได้หน้าตายมาก

“ให้ไวสิเจ้า” ส่งเสียงดังเร่งเธอเสียอย่างนั้น

บุญรักษาหันซ้ายหันขวา ลุกขึ้นอย่างไม่ค่อยเต็มใจ เธอเดินไปที่เรือนนอน หยุดอยู่ตรงหน้าประตู เห็นอีกฝ่ายยืนรออยู่ในห้อง เสื้อของเขาถอดออกไปแล้ว เหลือแต่ผ้านุ่งลอยชาย เอี้ยวตัวยืนจ้องเธอเงียบๆ เมื่อไม่ยอมเข้าไปสักที

เลือดกำเดาจะทะลัก!

เขาหล่อ ล่ำ เสน่ห์ล้นเหลือมากมายอย่างร้ายกาจ รูปงามจนทำให้มือสั่นใจสั่น

“ชักช้าอยู่ไยละเจ้า”

โอย... ให้เธอตายตรงนี้เถอะ สีหน้าแววตาของเขานั่นกำลังยั่วยวนกันชัดๆ ไม่ฆ่าเธอในหลุม แต่จะฆ่าเธอตรงหน้าธรณีประตูนี่นะเรอะ

ไม่! เธอไม่ยอมหรอก

บุญรักษาก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป แน่นอนว่าระมัดระวังไม่ให้เท้าไปโดนธรณีประตู เพราะดูคร่าวๆ ที่นี่มีลักษณะความเป็นอยู่เหมือนเมืองไทยสมัยโบราณ เพียงแค่การแต่งกายที่เห็นไม่เน้นการนุ่งโจงกระเบน เพราะจากที่สังเกต ผู้หญิงส่วนมากมักนุ่งผ้าถุง บ้างจีบหน้านาง ส่วนผู้ชายก็นุ่งลอยชายกันเสียมาก พวกทหารก็นุ่งสนับเพลาที่เป็นกางเกงสีเข้มและนุ่งผ้าเนื้อดีแบบถกเขมรทับอีกชั้น

หญิงสาวก้าวเข้าไป ยิ่งใกล้ใจก็ยิ่งสั่นระทึก สั่นจนแทบจะเป็นลมเมื่อเขายื่นมือมารอ บุญรักษาเงยหน้ามอง แต่ก็ต้องก้มหน้างุดทันที รอยยิ้มของเขาแบบยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยนั้นดูเจ้าเล่ห์นัก แต่ที่มากกว่านั้นคือยิ้มได้เซ็กซี่บาดใจมาก

มือของเขายังยื่นมีรอ แน่นอนว่าเธอควรจะยื่นมือออกไป และเมื่อวางมือไว้ในมือของเขา ราชครูรั้งเธอให้เข้าไปหา เข้าใกล้จนไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้น

ตาย... กลิ่นตัวของเขาหอมมาก

เธอจะเป็นลม ขาสั่นเพราะกลิ่นกายนี้แล ยิ่งสั่งเมื่ออีกฝ่ายดึงเชือกปลดผ้าคลุมของเธอแล้วทิ้งลงกับพื้นข้างตัวอย่างไม่สนใจใยดี กิริยาท่าทางแบบนี้ก็รู้ว่าเป็นคนเอาแต่ใจ

บุญรักษาก้มหน้ามองมือของตนเองที่อีกฝ่ายกำลังสอนให้ปลดปั้นเหน่งที่เป็นทองคำฝังอัญมณี เขาจับมือเธอในลักษณะที่ไม่ต่างไปจากการสอนให้จับปากกา แต่การสอนเช่นนี้คือการฆ่าเธอชัดๆ เหมือนเลือดจะหมดตัว

ราชครูหัวเราะในลำคอ แน่ชัดว่าเขาชอบใจ เหมือนจะขำเสียเต็มประดา แต่เธอไม่ขำด้วยนักนิด เพราะเมื่อปลดปั้นเหน่งเสร็จเรียบร้อยและส่งให้เขา ราชครูถือเอาไว้ และในเวลากระชั้นชิดเขาก็บังคับมือของเธอให้ปลดเข็มขัดจนหลุด บุญรักษารีบเงยหน้าขึ้นเพราะยากจะทำใจ

เธอเลือกมองหน้าเขาโดยที่มือยังจับผ้านุ่งของอีกฝ่ายเอาไว้ หน้าแดงเถือก ความร้อนแล่นลิ่วทั่วใบหน้าไม่หยุด ใครจะทนเห็นได้กันเล่า ยิ่งตอนนี้ที่เขาจับมือของเธอไม่ปล่อย มือของเธอยิ่งสั่น ตัวสั่นเหมือนเจ้าเข้าเสียทุกที แม้จะเขินเมื่อพ่อคนหน้าเชิดอยู่เป็นนิจมองเธอแบบหรุบตา มุมปากนั้นแสดงให้รู้ว่ายิ้มน้อยๆ และบอกให้รู้ว่าสนุกมากที่แกล้งเธอแบบนี้ก็ยังดีกว่าให้ก้มหน้าลง เพราะนั่นอาจทำให้เห็นอะไรต่อมิอะไรให้หัวใจวาย

“ผลัดผ้าสิเจ้า จักให้ข้าพเจ้านุ่งผ้านี้อาบน้ำหรือไร ผ้ามีราคานัก ใส่อาบได้ฤๅ”

บุญรักษาหลับตาทั้งสภาพนั้น ปลดผ้านุ่งให้เขาแบบมะงุมมะงาหรา ก่อนจะผินหนีไปทางอื่น กะว่าผ้าหลุดแล้วก็ขึงผ้านุ่งเอาไว้ ป้องกันสายตนเองเต็มที่ แล้วจึงลืมตา

ทว่า...

“ตู้ผ้านุ่งอยู่ตรงนี้ดอก วันหลังจงเตรียมจากตู้นี้นะเจ้า” เขาพูดขณะเดินห่างออกไป

บุญรักษานิ่งงัน ลืมหายใจ เรือนร่างผู้ชายที่งดงามไร้ที่ติและเห็นทั้งหมดก็แทบทรุดกองอยู่ตรงนี้ เขามุ่งตรงไปที่ตู้ไม้ตั้งติดกับผนังฝั่งหนึ่งของผนังห้อง

ปัทมราชครูจะฆ่าเธอจริงๆ แล้ว!

บุญรักษาโอดครวญในใจ หันหน้าหนีเร็วไว รีบขึงผ้าและยกสูง ปิดบังสายตาตัวเองจากเรือนร่างของเขา เดินไปหาอีกฝ่ายทั้งสภาพนั้น เพราะเกรงว่าโรคหัวใจและตากุ้งยิงคงถามหาแน่ๆ หากยังมองภาพของเขาที่เปลือยเปล่าเร้าใจ ซึ่งถ้าหากเห็นแต่ข้างหน้าก็ดูอนาจารนัก ไม่ชวนมองอย่างเย้ายวน แต่ครั้นเห็นแค่ด้านหลัง ใจเธอกลับเต้นแรง เหมือนมองภาพศิลปะวิจิตรพิสดารไปเสียนี่ เมื่อเป็นเช่นนี้จะไม่ป้องกันได้อย่างไร

“วางผ้านั้นลง!” ราชครูดุเธอเสียแล้ว

บุญรักษาใจแป้วทันที จำใจปล่อยผ้าผืนนั้นไว้ที่มือข้างหนึ่ง กำไว้ข้างตัว ไม่ทิ้งลงกับพื้นเสียทีเดียวเพราะไม่อยากโดนดุเป็นคำรบสอง

“มองมา” เขาสั่ง

บุญรักษาอยากจะร้องไห้ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น โชคดีว่าราชครูยืนหันหลังเช่นเดิม แค่เอี้ยวตัวนิดๆ มามองเธอ สภาพของเขาช่างหมิ่นเหม่ชวนหัวใจวายเสียจริง สีหน้าแววตาของเขาแสดงออกว่าไม่พอใจเป็นที่สุด แน่แล้วว่าเธอกำลังหาเรื่องเดือดร้อน จึงรีบเอ่ย...

“ข้าพเจ้ามิเคยรับใช้ชายใด ยิ่งอยู่ใกล้จนเนื้อตัวเปลือยเปล่าก็ไม่เคยเจ้าข้า ท่านราชครูโปรดอภัยให้ข้าพเจ้าด้วย” พูดแล้วก้มหน้างุด ไหว้ขอโทษ พับผ้านุ่งของเขาที่อยู่ในมือรัวๆ เรียกความสนใจออกจากแผ่นหลังของเขาที่คอยทักทาย

เนื้อแน่นๆ บั้นท้ายงามๆ ต้นขาที่มีมัดกล้ามของอีกฝ่ายทำให้ใจเต้นตุ้มๆ ต๋อมๆ ตลอดเวลาจริงๆ แต่ก็นับว่าเขามีเมตตาเป็นที่สุดแล้วที่ไม่หันหน้ามา แม้ว่าอีกใจยังโอดครวญที่ราชครูใจร้ายนักที่ทรมานเธอ

“มานี่” เสียงนั้นบ่งบอกให้รู้ว่าจงทำตามคำสั่ง

บุญรักษาเดินเข้าไป ก้มหน้าเอาไว้ เริ่มเข้าใจความรู้สึกของโภไคยแล้วว่าทำไมถึงต้องก้มหน้าไว้ตลอด เพราะถึงเวลาที่ราชครูดุ น้ำเสียงของเขา แววตาของเขา สีหน้าของเขา ท่าทางของเขา ต่อให้หล่อไปสามโลกก็ทำให้ลืมไปเลยเมื่อความน่ากลัวมีมากกว่า

หญิงสาวคุกเข่าลงเมื่อถึงตัวราชครู วางผ้าผืนเก่าของเขาที่พับเรียบร้อยไว้กับพื้น พยายามยืดหลังของตนเองให้ตรงเข้าไว้ สายตามองเพียงน่องของอีกฝ่าย

ผ้าสีเข้มผืนหนึ่งถูกยื่นมา ไม่ต้องอธิบายก็รู้ว่าควรทำอย่างไร บุญรักษารีบรับผ้า ขยับลุกขึ้นโดยสายตามองพื้น ค้อมศีรษะโดยอัตโนมัติ เธอเอื้อมแขนจนเหมือนว่าจะกอดเขาจากด้านหลัง รีบนุ่งผ้าบนเอวสอบเรียบร้อยเร็วไว ดีใจที่อีกฝ่ายไม่หันหน้ามาหาแบบกะทันหันให้หัวใจวายเล่นๆ

ราชครูดึงปิ่นปักผมกับที่ครอบฐานมวยผมออก เขาวางไว้บนโต๊ะไม้ใกล้มือ เส้นผมดำขลับของเขากระจายเต็มแผ่นหลังที่ดูงดงามแข็งแกร่งนั้น ก่อนจะเดินนำออกไป

บุญรักษาใจแป้ว มองแผ่นหลังอีกฝ่ายด้วยใจห่อเหี่ยว ถึงเขาจะดูงามแค่ไหน เธอก็ไม่มีอาการฮึกเหิมใดๆ อีก หมดสิ้นอารมณ์ก่อนนี้ และมีแต่ความกลัวจับใจ รีบเดินตามไปทันที

เรือนอาบน้ำนั้นเป็นส่วนแยกที่มีผนัง ไม่มีหลังคา ถังอาบน้ำขนาดใหญ่ให้คนลงไปนั่งได้คว่ำไว้มุมหนึ่ง เธอไม่รอช้า เดินเข้าไปหาถังไม้นั้น

‘หนักอยู่นะ’ คิดแล้วก็ออกแรงให้พลิกหงาย ระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียง เกิดถังแตกขึ้นมาเธอจะซวยอีกรอบ

‘ขอบคุณปุ๋ยทุกลูกที่ทำให้อิฉันแข็งแรงค่ะ’ คิดไปก็ลากไป กระทั่งได้ตำแหน่งใกล้ตุ่มมีฝาปิดจึงรีบตักน้ำใส่ทันที

ราชครูก้าวลงไปอยู่ในถังไม้โดยเธอไม่ต้องอัญเชิญ เขานั่งขัดสมาธิอยู่ในนั้น ยังดีที่สองมือนั่นยังกุมเอาไว้ตลอดเวลา แต่เชื่อไหมว่าต่อให้ต้องใช้มือกุม เขาก็ยังหน้าเชิดหลังตรงได้อย่างน่ายกย่องทั้งตอนเดินหรือตอนนี้ที่นั่งแล้ว และนั่นจึงทำให้บุญรักษารีบตักน้ำเร็วกว่าเดิม ตักแบบไม่มีกระเซ็นเพราะกลัวตายกับกิริยาท่าทางของอีกฝ่ายนี่แหละ

กระทั่งน้ำสูงระดับอกของเขา

“พอแล้วเจ้า จงมาขัดหลัง”

บุญรักษาหันซ้ายหันขวา คว้าขันที่มีมะกรูด มะขามเปียก ขมิ้น กับสมุนไพรบดที่ไม่รู้จักมาไว้ในมือ ย่อกายลงข้างถังอาบน้ำที่สูงประมาณหนึ่งเมตร จัดการขัดถูให้เขาโดยผสมเครื่องทั้งหลายไปตามสัญชาตญาณ

ก็ราชครูไม่บอกนี่นาว่าควรทำอย่างไร แต่เธอกลัวตายเกินกว่าจะท่ามากหรือพูดมาก กระบวนท่าไหนปรนนิบัติได้จึงรีบจัดการให้ถูกใจที่สุดไปก่อน เอาไว้เขาคันยุบยิบแล้วค่อยหาทางออกอีกที ส่วนตอนนี้รีบขัดหลังให้อีกฝ่ายเร็วไว จัดการอย่างขันแข็งชนิดที่ภูมิใจในตัวเองจริงๆ

ราชครูขยับตัว บุญรักษาหยุดมือ จนเมื่อเขาเอนนั่งพิงขอบถัง ปล่อยเส้นผมสีดำยาวระบั้นเอวลอยอยู่ในน้ำ ก่อนจะยกขาข้างหนึ่งพาดที่ปากถัง

ดูเหมือนจะถูกใจมากทีเดียวสินะ

บุญรักษายิ้มนอบน้อมให้เขา เป็นยิ้มที่ไม่กว้าง ไม่เปิดปาก เพราะถ้าเมื่อไรที่เธอเปิดปาก เขาอาจเห็นว่าเธอกำลังกัดฟันอยู่ก็เป็นได้ หญิงสาวขยับไปจัดการขัดถูแข้งขาของอีกฝ่ายเร็วไว และสุดท้ายเขาก็หลับตาพริ้มไว้เช่นนั้นไม่ยอมลืมขึ้น

เธอแอบมอง ราชครูรูปงามมากก็จริง แต่สรีระร่างกายของเขาเหมือนนักรบมากกว่า ไม่ได้ผอมหรือดูอ้อนแอ้นเหมือนพวกนักปราชญ์ที่ใช้สมองและทำงานในราชสำนักสักเท่าไร ขัดถูไปก็พิจารณาไป ขนหน้าแข้งของเขาก็ยังงามไม่แพ้ใบหน้าเชียวนะ อยากรู้นักว่าจะงามหมดจดทั้งตัวไหม แล้วสายตาก็เริ่มจะย้ายไปยังจุดหนึ่ง

‘กลับมาๆ สติจงกลับมาเร็วไว’ คิดเตือนตนเองไปก็บังคับสายตาให้กลับมาอยู่กับมือ ขัดหน้าแข้งของเขาอย่างระมัดระวัง กะว่าไม่เบานัก แต่ก็ไม่หนักมือ จากนั้นก็ขยับมาขัดเท้าของราชครูยิ่งกว่าพนักงานมืออาชีพเพราะรู้งาน จนเมื่อราชครูยกขาอีกข้างขึ้นโดยไม่เธอต้องบอกว่าขัดเสร็จเรียบร้อย กิริยาของเขาก็บอกชัดเจนอยู่แล้ว

บุญรักษาสงสัย ขัดไปก็อดคิดไม่ได้ว่าเขามีความเป็นมาอย่างไรกันแน่นะ ใบหน้าก็งามนัก รูปกายก็งามยิ่ง แม้แต่ฝ่าเท้า นิ้วเท้า เล็บเท้าก็ยังงาม แต่ทำไมคนที่เรือนร่างงดงามจึงดูโหดเหี้ยมอำหิตเหลือเกิน ทำไมไม่ใจดีเหมือนท่านราชบ้าง

น้ำแตกกระจายกระสานซ่านเซ็นเมื่อราชครูดึงขากลับไปโดยไม่บอกไม่กล่าว

เขายังหลับตาไว้เช่นเดิม มือทั้งสองยังปิดบังบางสิ่งไม่ให้รบกวนสติเธอจนถึงวินาทีนี้ เขาไหลเลื้อยลงไปนอนในน้ำ แช่ตัวอยู่ก้นถังอย่างนั้น

บุญรักษาชะโงกมอง เขาเป็นอะไร ทำไมต้องอยู่ใต้น้ำนิ่งๆ แบบนั้นด้วยละ และแล้วหญิงสาวก็สะดุ้ง ดวงตาที่มีนัยน์ตาสีเทาอมฟ้านั้นลืมขึ้นขณะที่เธอกำลังเพ่งเล็งเขา

ราชครูโผล่พรวดขึ้นพ้นน้ำ บุญรักษาขัดเข่าถอยหลังอย่างไม่ตั้งใจ

“ราดน้ำให้ไว”

เจอคำสั่งเท่านี้ก็รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้น ผ้านุ่งของเธอนั้นไม่ต้องถาม... จากสีขาวกลายเป็นสีเขรอะเพราะไม่มีผ้าเปลี่ยนมาหลายวัน และตอนนี้เพิ่มสภาพเปียกน้ำม่อล่อกม่อแลกให้ดูน่าสมเพชเสียนี่กระไร แต่เธอไม่คิดอะไรมากกว่านั้นก็ตักน้ำราดตัวอีกฝ่ายให้เร็วเข้าไว้ จัดการทุกอย่างเรียบร้อยจนกระทั่งราชครูลูบเนื้อลูบตัว ลุกขึ้นด้วยสีหน้าที่รู้ว่าแอบเขม่น ส่วนเธอก้มหน้า เงียบให้มากที่สุด

“ชำระล้างเนื้อตัวก่อนเถิด”

บุญรักษาไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายแลมองไปที่ตุ่ม จึงรู้ว่าเขาต้องให้เธอดูแลตัวเอง

และเช่นเดิม... เขาไม่ยอมให้เธอถามว่าควรทำอะไรอย่างไร ราชครูเดินออกไปทั้งบั้นท้ายงามๆ ส่วนมือไม่กุมไว้อีกแล้ว ความสง่าผึ่งผายช่างดูใจร้ายนักเมื่อทิ้งเธอไว้กับผ้าผืนที่เขานุ่งมาก่อนนั้นและพาดให้เห็นอยู่ไม่ไกล

อะไรฟระ!




- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -
-------------------------------------------------------------





ตอนที่ 13



อะไรฟระ!

แน่ชัดว่าก็ได้แค่คิด เพราะหลังจากนั้นเธอก็สปีดเหนือนรก ขัดถูล้างตัวเร็วไว สระผมได้สะอาดในเวลาที่เหลือเชื่อจริงๆ ไม่รอให้อีกฝ่ายต้องเข้ามาตาม ความกลัวนั้นสามารถทำให้ทำในสิ่งมหัศจรรย์

ว่าแต่... เธอจะนุ่งอะไรออกไป

บุญรักษาหันซ้ายหันขวา

‘ไม่น่าสระผมเลยเรา’ คิดจบก็คว้าผ้านุ่งผืนเดิมที่ใส่ก่อนนั้นมาเช็ดศีรษะเร็วไว ลากยาวไปถึงเนื้อตัว ถึงจะเลอะไปนิดก็ช่างมัน จากนั้นใช้ผ้าของราชครูห่มแบบตะแบงมาน

‘ฉลาดจริงๆ ฉัน’ ชมตัวเองเปาะก็หาที่ตากผ้า จัดการให้เรียบร้อย และรีบออกมา

“ชักช้าแท้ คราวหลังจงดูแลข้าพเจ้าให้เสร็จสิ้น ค่อยจัดการกิจธุระตนนะเจ้า”

บุญรักษาฝืนยิ้มให้อย่างขอโทษ เธออยากให้มีคนมาเห็นสภาพของเขาจริงๆ กล้ายืนรอโดยไม่นุ่งอะไร ดีที่ยังพอจะมีความละอายเพราะมือกุมไว้ให้พ้นสายตา ทว่าพื้นเรือนตั้งแต่เรือนอาบน้ำจนถึงจุดที่เขายืนอยู่ในเรือนนอนกลับมีน้ำเจิ่งเลยเชียวล่ะ

เธออยากจะงับหัวเขา! เพราะนั่นหมายความว่าเธอต้องเป็นคนทำความสะอาด

แต่นั่นก็แค่คิด อย่างไรก็ต้องทำ ส่วนตอนนี้หญิงสาวรีบปรี่ไปที่ตู้เสื้อผ้า อ้อมไปทางด้านหลังของราชครูเร็วไว พอเปิดตู้เก็บผ้าที่เป็นบานไม้ มือก็คว้าผ้าอย่างเดียวกันกับที่ใส่อยู่นี้มาสามผืน ผืนหนึ่งเอาไว้เช็ดศีรษะเช็ดผมของเขา อีกผืนหนึ่งเช็ดตัวหรือนุ่งให้

บุญรักษารีบเข้ามาหาราชครู เริ่มต้นที่พันผ้ารอบเอวของอีกฝ่ายก่อน เสร็จแล้วก็รีบเช็ดตัว ใช้ผ้าผืนเดียวกันนั้นกองไว้กับพื้นกึ่งให้ซับน้ำตรงที่ราชครูยืนอยู่ แล้วจึงตั้งท่า จะใช้ผ้าผืนใหม่เช็ดปลายผมให้เขา

“นี่” ราชครูส่งหวีมาให้ก่อนจะได้แตะปลายผม

‘เขาไปหยิบมาตั้งแต่เมื่อไร’ สงสัยเพราะเหมือนว่าก่อนนั้นไม่มีอยู่ในมืออีกฝ่ายนี่นา

บุญรักษารับหวีมาไว้ในมือ

“ไหว้ก่อนจักสางผม หัวนี้เป็นของสูง”

“เจ้าข้า” พูดแล้วก็แทบจะกราบให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ส่วนหน้าตาของเธอก็ยังคงยิ้มตลอดเวลา เพราะอีกฝ่ายมองผ่านคันฉ่องบานใหญ่ ไม่มีช่องว่างให้ทำหน้าบึ้ง

บุญรักษาไม่อยากจะคิดว่าเขาก็เป็นพวกหลงรูปหรืออย่างไรกันนะ ถึงได้มีคันฉ่องบานเบ้อเริ่มชนิดเต็มตัว ซึ่งก่อนนี้เธอไม่ทันสังเกตว่ามีอยู่หรือเปล่า ซึ่งนั่นทำให้ต้องยิ้มอ่อนน้อมไม่หยุด และยิ้มกว้างให้มากขึ้นเมื่อเขามองมาด้วยแววตาคมกริบ ประหนึ่งรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร

‘รู้สึกว่าปั้นหน้าเก่งเกินไปแล้วนะคะคุณรัก’ หญิงสาวคิด ในใจลึกๆ ก็รู้สึกเหนื่อยล้าเมื่อไม่รู้ว่าสุดท้ายจะเจอกับอะไร

คำสาปแช่งใดหนอ... ทำให้เธอมาพบเรื่องราวเหล่านี้กัน ไม่เชื่อสักนิดว่าจะเป็นบุญนำพา หรือว่าเธอไปทำกรรมอะไรเอาไว้อย่างหนักหนา จึงได้มาพบเรื่องประหลาด คนประหลาดพวกนี้แบบหนีไม่พ้นกันนะ

“คุกเข่า” เขาสั่ง

บุญรักษาทำตามทันทีแม้ใบหน้าเหลอหลา ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลารวดเร็ว ถึงจะคิดอะไรเรื่อยเปื่อยทว่าทุกอย่างห่างกันแค่ลมหายใจหนึ่งเท่านั้น หญิงสาวหรุบตามองพื้น คุกเข่าลงแต่ยังไม่ได้นั่ง ราชครูก็ย่อกายตาม เขานั่งพับเพียบตรงหน้าเธอโดยหันหลังให้ ภาพที่อีกฝ่ายหันหน้าเข้าหาคันฉ่องดูงามนัก ส่วนเธอนั้นกลายเป็นว่าอยู่สูงกว่า

เพิ่งรู้ว่าเขาให้คุกเข่าเพราะอะไร ที่แท้ก็เพื่อจะได้สางผมให้เขาโดยสะดวกนี่เอง

“เมื่อน้อมใจเป็นคนของผู้ใด แม้จักด้วยเต็มใจ...ฤๅมิได้เต็มใจ ย่อมต้องยกย่องสามีให้มาก” เขาเอ่ย

บุญรักษาร้อนสันหลังวาบๆ รีบยิ้มกว้างจนเห็นฟันเกือบครบทุกซี่ พยักหน้าเข้าใจ “เจ้าข้า” พูดจบก็ยกมือขึ้นไหว้เร็วไว กิริยานั้นแช่มช้อยยิ่งกว่าไปประกวดมารยาทงาม เพราะจากสภาพการณ์ที่เขานั่งได้เรียบร้อยตรงนี้ ก็คือกำลังรอให้เธอเช็ดผมสางผม ขืนทำตัวกระด้างกิริยาทราม งานนี้อาจโดนตบคว่ำก็เป็นได้ อย่างน้อยการทำอะไรให้ดูเป็นผู้หญิงดีๆ ก็พอไหว

ผ้าผืนที่เตรียมไว้เช็ดผมถูกนำมาเช็ดศีรษะให้เขา บุญรักษาเช็ดอย่างเบามือ แม้ความจริงอยากจะขยุ้มๆ ให้จบๆ ไป แต่เพราะอีกฝ่ายมองไม่ละสายตา ใบหน้าหล่อเหลาเป็นที่สุดนิ่งสงบ สายตาคอยจ้องมอง เธอจึงต้องทำด้วยความประณีตอ่อนโยน

เกิดมายังไม่เคยทำให้ใครแบบนี้เลย

‘ทำให้ยายบ่อยๆ แม่คนขี้ลืม’

เออ...ใช่ ปกติตอนยายยังอยู่ เธอก็ดูแลแบบนี้ ยิ่งช่วงหลังที่ยายป่วยหนัก เดินแทบไม่ไหว เธอก็เป็นคนแบกน้ำมาสระผมเช็ดตัวทำความสะอาดให้ยายตลอดมานี่นา

และนั่นทำให้บุญรักษาคิดอะไรออก เธอสามารถปั้นหน้าแสดงได้อย่างแนบเนียนเมื่อคิดว่าราชครูคือคนที่เธอรัก คือคนที่ควรใส่ใจ เพราะหากเป็นเช่นนั้นเขาก็จะจับไม่ได้ว่าเธอกำลังเล่นละครเพื่อหาทางให้มีชีวิตรอดเพื่อวันหนึ่งท่านราชจะได้มาช่วยไปเมืองอะไรนั่น และจะได้กลับบ้าน

ใช่... เธอจะคิดว่ากำลังดูแลยายก็แล้วกัน จะได้แนบเนียนอีกสักนิด

หญิงสาวยิ้มกว้างออกมา ความอ่อนโยนจากใจแผ่ซ่านเมื่อคิดได้เช่นนี้ ทว่าเหมือนน้ำตาจะไหล คิดถึงยายขึ้นมาจับใจเสียอย่างนั้นเชียว

หญิงสาวทำไปก็สังเกตไป เส้นผมของราชครูเป็นสีดำหมดจด ผมเส้นเล็ก ตรง และยาวมาก จึงบรรจงเช็ดอย่างเบามือ หวีไปอย่างช้าๆ และเช็ดให้หมาดไปพร้อมกัน ลงน้ำหนักตั้งแต่โคนผมจรดปลายผมที่ยาวถึงเอวของเขาด้วยความระมัดระวังเป็นที่สุด

ผมของเขาสวยมาก ตรงและเงางามยิ่งกว่าผมของนางแบบในโฆษณาโทรทัศน์ที่เคยเห็นแม้ไม่มีเทคโนโลยีใดบำรุง

เธอทำไปก็ยิ้มไป พร้อมกับน้ำตาคลอไป กระบอกตาเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาทุกที

“แม่หญิงเคยสางผมให้ผู้ใดฤๅ มือจึ่งได้เบานัก”

มือที่กำลังสางผมนั้นชะงักกึก เธอมองเขาผ่านคันฉ่องบานใหญ่ แม้มองเห็นอีกฝ่ายไม่ชัดเท่ากระจกเงา แต่ก็ชัดมากพอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงยิ้มให้ราชครูอย่างอ่อนโยน

และราชครูก็เห็นเช่นนั้น เขารู้ว่าดวงตาของบุญรักษาแดงเรื่อ มีน้ำตาเอ่อคลอออกมาเล็กน้อย สีหน้าท่าทางเหมือนกำลังคิดถึงใครคนหนึ่ง และยิ่งสางผมให้เขามากเท่าไร ความรัก ความคิดถึง และอ่อนโยน เหมือนแผ่ซ่านกำจายออกมาให้ได้รู้สึกมากเท่านั้น

“ยายของข้าพเจ้าเองเจ้าข้า” เธอตอบด้วยน้ำเสียงหวานนัก กิริยาก็อ่อนโยนน่ามอง และคำตอบนี้ทำให้เขาพึงพอใจ

เขาชอบรอยยิ้มของเธอ ชอบน้ำหนักมือของเธอ ชอบแววตาของเธอ ชอบ...อย่างที่เข้าขั้นคลั่งไคล้หลงใหล

เขาช่วยโภไคยแล้ว... แต่จะมีผู้ใดเล่า ที่ช่วยเหลือเขาได้บ้าง น่าอดสูยิ่ง

บุญรักษาไม่รู้สักนิดถึงสิ่งที่อยู่ในใจของราชครู ไม่ได้รู้ความคิดของเขา ไม่รู้ถึงบางอย่างที่กำลังคืบคลานเข้ามา โดยเฉพาะเรื่องที่ราชครูตัดสินใจแน่แล้วว่าจะไม่ปล่อยเธอไป

ในสายตาของชายหนุ่ม...

หญิงสาวที่เห็นและกำลังสางผมให้อีกครั้ง เธอกระทำอย่างอ่อนโยน ทุกอย่างที่รวมเป็นเธอช่างเป็นสิ่งน่าสนใจยิ่ง แรงปรารถนาที่รู้ว่ามาจากเนื้อทิพย์นั้นมิอาจต้านทาน ต่อให้มีฤทธิ์เก่งกาจสักปานใดย่อมพ่ายหมดรูป

วันนั้น... หากเขารู้สักนิดว่าดวงตากลมโตที่เบิกกว้าง มองเขาอย่างตกใจกลัว แน่ชัดว่านัยน์ตาสีดำขลับเรียกความสนใจให้เพ่งพิศพิจารณา แม้จะมองเธอเพียงเสี้ยววินาที ทว่าดวงตาคู่นั้นดั่งเอื้อนเอ่ยถ้อยคำได้อย่างน่าอัศจรรย์นัก กำลังบอกเขาว่าเธอหวาดกลัว แต่ก็งดงามเช่นกัน แต่นั่นใช่ว่าจะทำให้ลุ่มหลงเพียงแลมอง

ตอนนั้นเขาไม่รู้สักนิดว่านั่นคือดวงตาของบุคคลต้องห้าม เป็นบุคคลซึ่งมิควรยุ่งเกี่ยวด้วยอย่างยิ่ง หากรู้สักนิดว่าอย่าได้คิดหรืออย่าได้แตะผิวกายของเธอเป็นอันเด็ดขาด ถ้าหากยังไม่อยากรนหาที่ตายโดยไว ก็จงอย่าเข้าใกล้เป็นดีที่สุด แต่เขาไม่รู้เลย

เขาไม่เคยคิดว่าการที่โภไคยได้พบสตรีนางหนึ่งในหมู่บ้านวังสะขณะตามจับตัวเฒ่าทับทิมจะเป็นปัญหาให้อย่างร้ายแรงและยากแก้ไขในเวลาต่อมา เป็นปัญหาที่ใหญ่มากสำหรับเขาในตอนนี้ ถ้าหากได้รู้สักนิดในตอนนั้น ก็คงไม่คิดสัมผัสเธอแม้เพียงปลายเล็บมือ

ปัญหาของโภไคยเรื่องการพบสตรีนางหนึ่งซึ่งทำให้เกิดอาการใจสั่นหวิว สติมิสมประดี คอยแต่พะวงหา ใจร่ำร้องอยากสัมผัสกกกอดมิได้หยุด ทั้งที่โภไคยมีฤทธิ์ป้องกันตนจากศาสตร์ลุ่มหลงอิสตรี

แต่ศาสตร์ใด... มนตร์ใด... ที่โภไคยมี กลับมิอาจป้องกันตนเอง มิอาจดับความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ได้เลย

โภไคยร่ายมนตร์เท่าไรก็มิอาจยับยั้ง อาการประหลาดดั่งคลั่งไคล้ลุ่มหลง แรงปรารถนาจะครอบครองหญิงสาวคนดังกล่าวกลับเพิ่มพูนทวีมิได้หยุดหย่อน โภไคยจึงคะเนว่าเกิดจากมนตร์ของศัตรูเป็นแน่แท้ เกรงว่าอาจเป็นอันตรายต่อตนเอง วงศ์ตระกูล และหน้าที่การงาน จึงรีบแจ้งแก่เขาเพื่อให้ตรวจสอบหญิงสาวคนนั้นเมื่อกลับมาถึง และขอให้ช่วยจัดการกับปัญหานี้เร็วไว

โภไคยค่อนข้างแน่ใจว่าสตรีคนดังกล่าวน่าจะเป็นคนของศัตรูจากอาการที่ประสบ โภไคยตัดสินใจสวมสร้อยคอคู่ชีวีไว้เพื่อป้องกันการหลบหนี ก่อนจะพาหญิงคนดังกล่าวกลับมาด้วย และขอให้เขาตรวจสอบ ด้วยว่าสตรีคนนี้แต่งกายผิดจากคนทั่วไป แตกต่างจากผู้คนในนครใดๆ ที่เคยพบเห็น

คำเตือนนั้นทำให้เขาร่ายมนตร์ป้องกันตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เตรียมตัวเป็นอย่างดีในการรับมือ ครั้นเมื่อสตรีคนดังกล่าวถูกพามาถึงกระโจมพัก อาการหวาดกลัวประกอบกับความสงสัยทั้งหลายเรียกสายตาของเขาให้มอง และนั่นคือครั้งแรกที่พบกัน

เขาพบสิ่งแรกจากหญิงคนนี้คือดวงตา สิ่งที่สองคือรัศมีความอ่อนโยนที่แผ่กระจายออกมาอย่างที่น่าสนใจยิ่ง ผู้มากด้วยฤทธิ์แก่กล้าจึงมองเห็น แต่คนทั่วไปย่อมสัมผัสได้แม้มิได้ยลรัศมีนี้เช่นตัวของเขา แน่ชัดว่าไม่เข้าใกล้ทันทีทันใด เขาเร่งจัดการงานในหน้าที่ให้เรียบร้อยเร็วไว แม้ดวงตากลมโตของหญิงคนนั้นจะมองเขาอย่างหวาดกลัวตลอดเวลาก็ตาม ทว่าเหมือนมีแรงดึงดูดให้ต้องเข้าไปหาเช่นกัน

เขาร่ายมนตร์กำบังภัยซ้ำอีกครั้ง ใจแน่วแน่ตั้งมั่นและพร้อมดูแลตนเองได้ดีจึงไปยืนอยู่หน้าสตรีคนดังกล่าว เสียงบางอย่างเรียกให้เขาจ้องลึกเข้าไปในนัยน์ตาสีดำสนิทของเธอ

เขาไม่พบอันตรายใดๆ สิ่งที่เห็นคือความบริสุทธิ์ไม่มีพิษภัยทั้งสิ้น มีเพียงไออุ่นที่ส่งสัมผัสอ่อนโยนออกมาดั่งว่าจะโอบกอด ให้ความรู้สึกสดชื่นและอบอุ่นใจแก่ผู้เข้าใกล้ไปพร้อมกัน

คุณลักษณะพิเศษเช่นนี้เองที่ทำให้เขาสงสัย ยิ่งสงสัยเมื่อได้รับคำบอกเล่าถึงปัญหาของโภไคย ยิ่งสงสัยเกินจะยับยั้งเมื่อดวงจิตของหญิงสาวรายงานชัดว่าเธอกำลังต้องมนตร์ไร้เสียงของเฒ่าทับทิม

หญิงสาวคนนี้ไปทำสิ่งใดให้เฒ่าทับทิมเคืองโกรธกัน หรือมีสิ่งใดที่เฒ่าทับทิมต้องการตัว แน่นอนว่าหญิงสาวคนนี้กำลังจะถูกเสพดวงจิตเพื่อเพิ่มกำลังแก่เฒ่าทับทิมหรือพวกพ้องของเฒ่าทับทิมในอีกมิช้านาน แต่ใครเล่าที่จะเป็นผู้เสพดวงจิตหญิงสาวคนนี้ ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการกระทำครั้งนี้กันแน่

และการที่บุคคลระดับนายกองฝ่ายพิธีเมืองอย่างโภไคยยังมิอาจล่วงรู้ถึงความจริงว่านางต้องมนตร์ไร้เสียง มิใช่หญิงใบ้อย่างที่เข้าใจ นั่นมีความหมายเดียวคือภยันตรายใหญ่หลวงกำลังจะมา

ทุกอย่างที่เขาพบมากไปด้วยความสนเท่ห์ เสียงเพรียกให้ค้นหาคำตอบเร่งเร้า

ปริศนามากมายจำเป็นต้องแตะผิวกายของเธอเพื่อเค้นเอาความจริง

เขามีคนที่ปกป้องดูแล มีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบ อีกทั้งตอนนี้คำทำนายมีออกมามากมายยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นคำทำนายที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายเขา หรือมีคำทำนายต่อฝ่ายผู้หวังเป็นใหญ่ หรือคำทำนายต่อฝ่ายผู้มีอำนาจ หรือแม้แต่คำทำนายแก่ฝ่ายผู้ใช้ฤทธิ์ที่หวังจะกลืนกินทุกภพ ซึ่งการเจอสตรีผู้ต้องมนตร์ร้ายแรงและกำลังอยู่ตรงหน้าของเขาขณะนั้นย่อมเป็นสัญญาณเตือน การใช้มนตร์ไร้เสียงคือ ‘การทำผิดกฎการอยู่ร่วมกัน’ เป็นโทษหนักของผู้ใช้ฤทธิ์ และหากได้ละเมิดแล้ว สงครามแห่งคำสาปย่อมเริ่มในอีกไม่ช้า

นั่นจึงจำเป็นที่เขาต้องรู้ทันทีทันใดว่าหญิงสาวเป็นคนของใครกันแน่ สังกัดฝ่ายไหน มาจากเมืองใด มีพื้นเพอย่างไร ไฉนจึงมีดวงจิตพิสุทธิ์ถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงเป็นเป้าหมายของฝ่ายนั้นและต้องมนตร์อันตรายถึงเพียงนี้

และแน่นอนว่าสร้อยของโภไคยมิอาจทำอันตรายแก่เขา หากจะเป็นภัย...ก็เป็นกับศัตรูและสตรีผู้ครอบครอง ทว่าความหมายของสตรีผู้ครอบครองจักมีอันเป็นไป ก็ต้องเป็นไปด้วยจิตอันน่าละอายของฝ่ายหญิงต่างหาก คือเมื่อไรที่ผู้สวมสร้อยคู่ชีวีคิดคดทรยศต่อชายผู้ส่งมอบซึ่งเป็นสามี สตรีผู้นั้นย่อมถึงแก่ความตายเมื่อชายอื่นโดนเนื้อตัว แต่ถ้าหากหญิงผู้นั้นมิได้คิดเลวทราม กระทำการอันน่าละอาย สร้อยนี้จะคุ้มครองให้ผู้สวมใส่ปลอดภัย ส่วนผู้ต้องผิวกายจักตายเป็นแน่แท้ และครั้งนั้นเขาแน่ใจว่าหญิงสาวจะไม่เป็นอันตรายแน่นอน

ทว่าทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามาในเวลานั้น... เขากลับไม่คิดเลยว่าจะเป็นความผิดพลาดอย่างที่สุด ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ผิดพลาดอย่างมหันต์!

นางในตำนานที่ว่าเก่งเวทมนตร์คาถานัก มีอิทธิฤทธิ์แก่กล้าเหลือล้น ยังยากจะเทียบกับสิ่งที่หญิงสาวมี

รูปหน้าเธอนั้นใช่ว่างดงามจับใจ อาจดูดีกว่าหญิงทั่วไปแต่มิใช่งามสะดุดตา ใช่ว่าจะทำให้ผู้ใดลุ่มหลงได้เพียงแรกเห็นอย่างชะงัด ทว่าแท้จริงนั่นคือสิ่งลวง เพราะเมื่อไรที่ดวงตานั้นแสดงอารมณ์ จะกลับกลายเป็นว่าดั่งมีแสงเปล่งประกายระยิบระยับงดงาม เจื้อยแจ้วจำนรรจ์ได้ดีกว่าถ้อยคำใดๆ ยิ่งเมื่อเขาแตะต้องผิวกายของเธอ สัมผัสแรกคือเนื้อนางอ่อนนุ่มนวลเนียนนัก เสี้ยวลมหายใจต่อมาคือความหฤหรรษ์วิเศษเลิศเลอเกินหาใดเปรียบ เลิศล้ำเกินจักบรรยาย นิทานเล่าขานใดถึงคุณลักษณะสตรีผู้มีเนื้อทิพย์ที่ได้ยินมา เขาจึงรู้แจ้ง ประจักษ์แก่ตนในวินาทีนั้นนั่นเอง

เขาใจสั่น... และลุ่มหลง...

เขาอยากกกกอดหญิงสาวตรงหน้าเป็นที่สุด แม้นเพิ่งพานพบกลับอยากแนบชิดอภิรมย์ ได้สัมผัสผิวเธอเพียงลมหายใจหนึ่งกลับคะนึงหามิอยากให้จากไกล รู้แล้วว่าสิ่งที่โภไคยว่ามานั้นมีสาเหตุใดกันแน่ หญิงสาวไม่ได้มีเวทมนตร์สักนิด แต่เป็นเพราะบุญเก่าเกื้อหนุนให้เป็นไปต่างหาก

เหตุการณ์ที่พบช่างเกินคาดหมายนัก และนั่นได้ผูกรัดร้อยวิญญาณของเขาไว้กับเธอเสียแล้ว

สะบัดมือเท่าไร...

ร่ายเวทสร้างมนตราป้องกันตนหรือลบล้างไปมากเพียงใด...

กลับมิอาจหลุดพ้นคุณลักษณะพิเศษนี้ได้เลย

ยิ่งหนี... กลับยิ่งโหยหามากเป็นเท่าทวีเกินคณานับ

ครั้นได้ยินเสียงเธอในตอนนี้ เสียงทิพย์...ยิ่งยากจะตัดใจ น้ำเสียงของเธอหวานเสนาะหูแว่วกังวาน งดงามนุ่มนวลไพเราะจับจิต ให้ความรู้สึกชื่นฉ่ำ สดชื่น ผ่อนคลาย เมื่อได้เจรจา

ยิ่งได้สัมผัสเธอมากครั้ง ให้เธอได้สัมผัสเขามากครั้ง ให้เธอได้ปรนนิบัติเขาเช่นที่เห็นมากครั้งเท่าไร ย่อมทำให้เขาแน่ใจ...

ไฟนรกใดย่อมยินดีฝ่าฟันเพื่อคว้าเธอมาครอง!

ชายใดที่ได้แตะต้องผิวเนื้อนี้ ได้ยลยินเสียงนี้ ได้รับการดูแลเช่นที่เขาได้รับขณะนี้ ย่อมยากจะลืมได้ลง ชายร้อยคนที่รู้คุณสมบัติของบุญรักษาล้วนยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เธอมาแนบกาย แม้ต้องกำจัดนครใด กำจัดชายคนใด ต้องแก่งแย่งเพียงไร หรือต้องเผชิญภัยหนักหน่วงเท่าใด บุรุษผู้รู้คุณคุณลักษณะของสตรีเช่นนี้ย่อมยินดียิ่งนัก

ยิ่งกิริยาท่าทางของเธอน่ารักน่าเอ็นดู แม้แน่ชัดว่าขลาดกลัว แต่ก็มีความกล้าหาญ แววตาฉลาดเฉลียวล้ำลึก เรียนรู้เร็วไว เข้าใจฐานะตนเป็นอย่างดี นางคือยอดกัลยาณีที่บุรุษพึงเสาะหาไว้ข้างกายโดยแท้ ยากจะปล่อยให้หลุดมืออย่างแท้จริง ซึ่งนั่น... คือปัญหาใหญ่สำหรับเขาเหลือเกิน

เขาจะจัดการอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น ภาระบนบ่าที่แบกไว้ใช่ง่ายจะจัดการ ข้อผูกมัดระหว่างเขากับนางในตำนานย่อมต้องระมัดระวัง แต่กลับมาเจอหญิงผู้มีคุณลักษณะอันมิควรข้องเกี่ยวและกำลังสร้างปัญหาให้กับเขาอย่างใหญ่หลวง...แต่ก็ยากจะตัดใจ

เขาได้ก้าวลงไปในไฟนรกแผดเผาก็ย่อมเป็นไปแล้วเมื่อกล้ารับเธอออกมาจากกระท่อมนั้น ยิ่งมิได้ผุดได้เกิดกับการตัดสินใจในวินาทีนี้ ที่ให้เธอดูแลเช่นนี้

สวรรค์ได้โปรด...เมตตาเขาด้วย

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -



สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ม.ค. 2558, 20:41:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ม.ค. 2558, 21:05:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 1898





<< ตอนที่ 9-10   ตอนที่ 14-16 >>
แว่นใส 28 ม.ค. 2558, 22:57:25 น.
ตัดสินใจยากนะ


Jiab 28 ม.ค. 2558, 23:48:51 น.
แอบสงสาร และฮานางเอกไปพร้อม ๆ กัน
คุณสุชาคริยาบรรยายสถานที่ได้เห็นภาพเลยค่ะ
เรือนของราชครู อ่านแล้วรู้สึกวังเวงไปด้วยเลย


นักอ่านเหนียวหนึบ 29 ม.ค. 2558, 01:06:19 น.
ดูเหมือนตัวเฮียราชครูเองก็กำลังประสบปัญหายิ่งใหญ่อยู่มากเหมือนกันนะ 555


ใบบัวน่ารัก 29 ม.ค. 2558, 08:38:15 น.
ยากจัง
นึกว่าอยู่ฮอดวอก กะแฮรี่พอตเตอร์
มีเวทมน ค่ายกำบัง
แล้วมาอยู่กัน2 คน เฮ้อ เครียส เลือดกำเดาจะไหล
หรือจะทะเลาะกันรักจิกๆๆ ด่าในใจไปก่อนนะ
พี่ต้องไปหาซับไทยแปลไทยอีกภาษายากจังนิ


หนอนฮับ 31 ม.ค. 2558, 23:03:20 น.
อิอิ


Zephyr 4 ก.พ. 2558, 20:37:13 น.
อุบร้ะ ท่านราชครูขราาา หล่อหลอนทะลุจอมากฮ่ะ
อ่านบรรยายช่วนจิ้น จรุงเบย ไม่กุมก็ได้นะคะ หันมาเลย
มามะๆๆๆๆ ฮ่ะๆๆๆๆ
เหม่ๆ แปลว่าท่านราชครู แต๊ะอั๋งนังรัก ชิ นางมีแต่คนหล่อรุม อิดซี่เว่ย
โดนมนต์กายทิพย์แต่แรกสินะ ถึงต้องออกตามหาพากลับไปปรนนิบัติ 555 แย่งลูกน้องอีกต่างหากวุ้ย
สะกดใก้ลืมเฉยเลย
ระวัเมียเอกของท่านด้วยนะ เดี๋ยวนางมาเชือดว่าที่เมียที่รัก จะเสียใจ หาว่าไม่เตือนนา
ปล มาแบบนี่ ท่านปัทมนี่พระเอกใช่ม้ายยยยย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account