เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์

เป็นเรื่องราวของคนหน้าตาไม่เข้าตา ไม่เป็นที่นิยม
ไม่ฮิต ไม่ฮอตของคนสองคน...
ที่ไม่สมบูรณ์แบบ มีตำหนิ...ภาพประวัติไม่สวยงาม...
แต่นิสัยที่ซ่อนไว้ค่อนข้างสวยสดงดงาม...
แฝงไว้ด้วยเสน่ห์แห่งการมีชีวิต...การสร้างครอบครัว


เศษหนึ่งส่วนสอง หรือ ครึ่งหนึ่งของชีวิตหนึ่ง
มาพบกับ อีกครึ่งหนึ่งของอีกชีวิตหนึ่ง
แล้วยกกำลังด้วยศูนย์...

เลขศูนย์ที่ดูไร้ค่า ไร้ความหมาย แค่เลขกลมๆเลขนึง

หากมันได้ทำให้ เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์
มีค่าเท่ากับ หนึ่งได้!

สมการทางคณิตศาสตร์ที่น่าพิศวงนี้
นำมาสู่สมการของความรักของทั้งสอง...

ทั้งคู่ที่ชีวิตไม่สมบูรณ์แบบและมีตำหนิ
จะหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร...

เรื่องนี้มีคำตอบ!!!


Tags: ดราม่า ขุนพล ไนค์ บิลกีส

ตอน: บทที่ 11 ข้องใจ



“อย่าเป็นอะไรไปนะกีส…เธอต้องไม่เป็นอะไรไปนะ…”

เสียงนั้นเว้าวอน…ก่อนจะพรมจูบไปทั่วใบหน้าซีดเซียวนั่น
โดยเฉพาะขมับราวกับว่าหัวจิตหัวใจไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว…

ดุจมณีเองที่ยืนมองภาพนั้นก็พลอยทำให้มือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก
ได้แต่เดินไปเดินมาเหมือนหนูติดจั่น

“เมื่อไหร่หมอจะมาถึงคะพี่ไนค์…” เสียงนั้นสั่นเหมือนเจ้าเข้า
ยิ่งไม่ได้รับการตอบรับจากพี่ชายยิ่งใจเสีย…เดินเข้าเดินออก
ชะเง้อมองประตูทางเข้าอยู่อย่างนั้น…

“เปิดเปลือกตามองฉันนะกีส...ได้โปรด…ลูกเราอยู่กับเธอ
ได้ยินมั้ยว่าฉันไม่ยอมให้เธอเอาลูกเราไปไหนทั้งนั้น…เธอกับลูกต้องอยู่กับฉัน…”

ร่างแน่นิ่งไม่ไหวติง ไม่ว่าจะทำอย่างไรเธอก็ยังนิ่ง แถมยังซีดจนน่ากลัว
ทำเอาหัวใจคนมองกระตุกราวกับโดนกระชากจากมือที่มองไม่เห็นครั้งแล้วครั้งเล่า…
สร้างความทรมานและรวดร้าวภายในจนแทบกระอักออกมาเป็นเลือด…

“พี่กีสไม่เป็นอะไรหรอกพี่ไนค์ เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว…”

ดุจมณีพยายามปลอบพี่ชายขณะขึ้นมานั่งตรงปลายเท้าบิลกีส
พยายามบีบนวดเพื่อเรียกเลือดให้ใหลเวียน เพราะปลายเท้าพี่สะใภ้ของเธอ
เย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง…





หลังจากหมอเข้าตรวจเสร็จเรียบร้อยแล้ว…ขุนพลที่อยู่ในห้องไม่ยอมห่าง
จึงเดินไปส่งคุณหมอ…หากก่อนออกไปส่งไม่วายสั่งให้น้องสาวเฝ้าคนป่วย
ไม่ให้คลาดสายตา

“ผมต้องทำยังไงบ้างครับอาหมอ…” ขุนพลถามนายแพทย์ที่สนิทกับครอบครัวเขา
มาตั้งแต่สมัยที่ตระกูลของเขายังรุ่งโรจน์

“ร่างกายเมียเราอ่อนแอ ซึ่งเกิดจากสาเหตุที่พักผ่อนไม่เพียงพอและคงเบื่ออาหารด้วย
ซึ่งปกติผู้หญิงที่ท้องอ่อนๆก็มักจะมีอาการเบื่ออาหารในบางราย…
ถ้าได้พักผ่อนให้เพียงพอ ได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ไม่เครียด
ระบบการทำงานของร่างกายก็จะกลับมาทำงานได้ตามปกติ…
ยังไงช่วงนี้ก็พยายามดูแลอย่างใกล้ชิด และถ้าเธออาการดีขึ้นแล้ว
อาแนะนำไปพาไปตรวจอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลและก็พาไปฝากครรภ์ซะด้วย…”

“ครับอาหมอ…”

“แล้ว…เอ่อ…ลูกผม…” สีหน้าคนถามดูกระดากอาย ผิวแก้มมีสีระเรื่อ
ทำให้ผู้ผ่านประสบการณ์ชีวิตผ่านโลกมานานถึงกับยิ้มออกมา

“ลูกเราไม่เป็นไรหรอก…ดูท่าจะหัวแข็งเหมือนคนแถวนี้แหล่ะ
แต่ถ้าให้ชัวร์ต้องไปโรงพยาบาล…แต่ในขั้นต้นไม่มีอะไรน่ากังวล
ยังไงก็พยายามขุนเมียเราให้อ้วนหน่อยนะ ผอมไปไม่ดี…
แล้วนี่คือรายการที่จำเป็นต่อการขุนเมียของเราให้อ้วน…”

ว่าแล้วนายแพทย์ก็ยื่นกระดาษส่งให้ขุนพลพร้อมรอยยิ้มกว้างขวาง
อย่างคนใจดี มีเมตตา…

“ขอบคุณอาหมอมากครับ…”

“เอาเถิด…แล้วอาจะมาดูอาการให้ทุกวัน…”

แต่พอจะปลีกตัวกลับก็เหมือนจะนึกขึ้นมาได้…

“อ้อ…เรื่องบ้านน่ะ…อามีข่าวดีสำหรับเรา…คิดว่าเราน่าจะพอใจ…”

“อะไรครับอา…”

“พอดี…คนไข้ของอาเขากำลังจะอพยพย้ายถิ่นไปอยู่ต่างประเทศ
ตอนนี้กำลังประกาศขายบ้าน…ถ้าสนใจอยากไปดูบ้านล่ะก็
ติดต่อไปตามเบอร์นี้นะ…” พูดพลางยื่นนามบัตรให้กับขุนพล

“คนนี้เป็นทั้งคนไข้เป็นทั้งลูกศิษย์ลูกหา…ราคาบ้านไม่แพงหรอก…
ประมาณสิบล้าน…หลังใหญ่ทีเดียว…ยังใหม่อยู่ เพิ่งสร้างเสร็จและเข้าไปอยู่ได้
ไม่ถึงปีด้วยซ้ำ…และที่สำคัญมีเนื้อที่สวนและบริเวณบ้านกว้างขวางและร่มรื่น
ติดกับทะเลสาบ เงียบสงบเพราะอยู่เขตชานเมือง…สิ่งแวดล้อมดี ปลอดภัย…
พ่อเราน้องเราเมียเราน่าจะชอบ…

ที่น่าสนใจคือ มันมีเนื้อที่ให้เด็กๆได้วิ่งเล่นด้วย…อาว่ามันเหมาะกับครอบครัวเรานะ…
ลองติดต่อลูกศิษย์อาดู…เขาเป็นคนอัธยาศัยดี คุยง่าย…ซื่อตรง จริงใจ ไม่เรื่องมาก…

และถ้าเราติดขัดเรื่องเงินล่ะก็…บอกอาได้…อาจะเปิดเครดิตให้…
ไม่คิดดอกเบี้ยแม้แต่บาทเดียว…เพราะเหมือนว่าอาจะเริ่มมีตังค์กับเขาบ้างแล้ว…"

น้ำเสียงตอนท้ายกลั้วหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี

"อีกอย่างห้องชุดของเราก็น่าจะขายได้ราคาดี…ถ้าสนใจขายบอกอาได้…
ลูกศิษย์ลูกหาอาเยอะ เผื่อเขาจะสนใจซื้อต่อ”

ขุนพลยิ้มกว้างมองผู้ใหญ่ใจดีตรงหน้าด้วยความซาบซึ้งใจ…
ทำเอาคนถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้นถึงกับยิ้มทั้งปากทั้งตา
แล้ววางมือลงบนบ่าของชายหนุ่มรุ่นลูก

“อาเห็นเรามาตั้งแต่ยังไม่โตเป็นหนุ่ม…พอเห็นอะไรดีๆ ก็นึกถึงเรา
อยากช่วยส่งเสริมเรา…ชีวิตคนก็เช่นนี้แหล่ะหลานชาย…มีขึ้นมีลง…
แต่เราน่ะเข้มแข็งนะ…คนที่ไม่ลืมบุญคุณพ่อแม่ คนที่กตัญญูรู้คุณคน
ไปอยู่ที่ไหนใครๆก็เอ็นดู อยากช่วยเหลือ…อาภูมิใจในตัวเราเสมอ…
นี่แหล่ะเลือดมังกร…เลือดของปุรารัตน์ที่อาเคยได้สัมผัสมา…”

“งูเขียวล่ะไม่ว่า…” ขุนพลแย้งด้วยรอยยิ้ม

“ไม่หรอก…แค่ยังซุกซ่อนกาย…ยังไม่ได้เวลาผงาดลายเท่านั้นเอง…
ขี้คร้านจะยิ่งใหญ่กว่าที่พ่อเราหรือทวีวรวรรณของพ่อเราเคยยิ่งใหญ่ด้วยซ้ำ
เพราะรายนั้นแม้จะเก่งและพากเพียร มุมานะ แต่เพราะเลือกเดินไปบนเส้นทางผิดๆ…
ไม่เหมือนเรา…นับว่าสายเลือดปุรารัตน์ทางฝั่งแม่เราข้มข้นกว่าทวีวรวรรณของฝั่งพ่อเรา
ไม่น้อยนะ…”

นายแพทย์ที่มีอายุน้อยกว่าบิดาของเขานั้นรู้ตื้นลึกหนาบางของครอบครัวเขาไม่น้อย…
เพราะตอนที่มารดของเขาเสียชีวิต อาหมอท่านนี้คือผู้ที่กำความลับสาเหตุการตาย
ของมารดาเขาไว้…อีกทั้งยังเป็นเพื่อนสนิทกับพี่ชายของมารดาของเขา…

'ตระกูลปุรารัตน์' ซึ่งเป็นตระกูลเก่าแก่ของมารดาของเขาเคยเป็นตระกูลใหญ่
และทรงอิทธิพลทางตอนใต้ของประเทศ…แต่กลับถูกพ่อของเขากับน้องชายของพ่อ
กวาดล้างทำลาย ล้มหายตายจากชนิดถอนรากถอนโคนแล้วขึ้นนั่งบังเหียนแทน
จนเหลือลูกหลานจากตระกูลนั้นในปัจจุบันเพียงแค่ 2 คน เท่านั้น

นั่นก็คือเขา ซึ่งเป็นลูกของผู้เป็นน้องสาวของอดีตนายเหมืองคนดัง
กับ 'เวนไตย' หรือ 'ปราณ ปุรารัตน์' เลือดสายตรงของปุรารัตน์
ที่รอดเงื้อมมือของพ่อของเขาไปได้เพราะได้รับการช่วยเหลือเอาไว้
จาก 'กำนันบันลือ ลือสื่อสกุล'...

ซึ่งปราณ ปุรารัตน์ คือลูกชายคนเดียวของอดีตนายเหมืองผู้ยิ่งใหญ่
ผู้ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของมารดาเขาหรืออีกนัยคือลุงแท้ๆของเขานั่นเอง…

อีกทั้งปัจจุบัน 'ปราณ' ยังเป็นนายหัวทางตอนใต้
ใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่บน ‘เกาะชิงชัง’ กับลูกเมีย…

นับว่าเขากับปราณหรือเวนไตยเป็นลูกพ่ีลูกน้องที่กว่าจะได้กลับมาทำความรู้จักกันได้
ก็ต่อเมื่อวันที่ตระกูลทวีวรวรรณล่มลงตามกฎแห่งกรรม…
โดยที่พ่อของเขายังคงหายใจชดใช้ให้กับทุกชีวิตที่พ่อพรากไปในอดีต

“เรื่องอดีตมันผ่านพ้นไปแล้ว และเราก็กลับไปทำอะไรมันไม่ได้อีก
อาก็ได้แต่หวังว่าปุรารัตน์ในตัวเราจะส่งให้เราเดินไปบนหนทางที่ดีงาม
อย่างปุรารัตน์ในอดีต…อาบอกเราได้แค่ว่า ปุรารัตน์ยิ่งใหญ่ได้เพราะ
คุณงามความดีที่พวกเขาเพียรสร้างสมจากรุ่นสู่รุ่น…ผู้คนรักใคร่และนับถือ…

อาแค่หวังว่าเรากับปราณจะทำให้ปุรารัตน์กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง…
สิ่งที่พ่อของเราได้เคยทำไว้ก็ขอให้เก็บมาเป็นบทเรียน
จะได้ไม่หลงเดินทางผิดอย่างพ่อเรา…”

ขุนพลยิ้มเพียงนิด เขาไม่คิดว่าตัวเองจะทำอะไรได้ขนาดนั้น…
ชีวิตเขาลุ่มๆดอนๆมานานแล้ว…หมาหัวเน่าของสังคมอย่างเขา
ได้แค่ที่เป็นอยู่ก็นับว่าโชคดีแล้ว…

“อาได้ข่าวปราณบ้างมั้ยครับ…”

“ได้สิ…ตอนนี้มีลูกชายกับลูกสาว น่ารักเชียว…ธุรกิจฟาร์มหอยมุก
กับสิ่งทอของเขากับภรรยากำลังไปได้สวยทีเดียว…สมกับเป็นลูกชายของนายหัวปุรินทร์…

ที่เขาบอกว่าหัววัวไม่ไปข้างหลัง...อาว่ายังใช้ได้…เว้นก็แต่เรานี่แหล่ะ
ที่ทำให้อาต้องหันกลับมามองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอะไรที่ทำให้เราเดินสวนทาง
กับพ่อของตัวเองได้ตลอด…แต่หลายปีมานี้อาเข้าใจแล้วล่ะ…
ขอให้รักษาความดีเหมือนเกลือรักษาความเค็มนะหลานชาย…”

ว่าแล้วก็ตบบ่าขุนพลหนักๆสามครั้งแล้วผละจากไป…

ขุนพลเลยหันหลังกลับเพื่อไปหาคนป่วย…ทว่า…ยังไม่ทันย่าง
อาหมอของเขาก็เดินกลับมาอีกครั้ง…แล้วลากเขาไปยังห้องทำงานของเขา
ปิดประตูแน่นหนาก่อนจะหยิบของบางอย่างจากกระเป๋าออกมาแล้วยื่นให้เขา

“โทษที…อาลืม…แม่เราเคยฝากอาไว้…นานมากแล้ว…มากจนอาลืม
จนนึกขึ้นมาได้เมื่อตอนที่มาตรวจอาการของเมียเราเมื่อครั้งก่อน
กะจะเอามาให้ทันทีที่กลับไป แต่ก็ลืมอีกจนได้
รอบนี้เลยตั้งใจว่าอย่างไรจะไม่ลืมเด็ดขาด

แม่เราบอกว่าให้อาส่งมอบของสิ่งนี้ให้กับหญิงสาวที่ได้เป็นแม่ของลูกเราน่ะไนค์…
โดยที่อาต้องไม่บอกให้เมียเรารู้หรือให้เธอเห็นมันก่อนเด็ดขาด…
ต้องเก็บงำไว้เป็นความลับ…เพื่อที่ของสิ่งนี้จะได้ตกทอดไปยังลูกหลาน
ของปุรารัตน์รุ่นถัดไป”

ขุนพลถึงกับเบิกตาโตอย่างคาดไม่ถึง ไม่คิดว่าจะมีอะไรจากมารดา
ตกมาถึงเขาอีกแล้ว…ในเมื่อมารดาของเขาจากเขาไปตั้งแต่เขายังไม่ถึงสิบขวบ

...นี่ก็ผ่านมาจวนจะสามสิบปีแล้ว…

“แม่เราเขามีเหตุผลที่ทำแบบนี้นะ…เธอเป็นผู้หญิงเก่งและฉลาด
ลองดูของในนี้ดูดีๆ…อาว่าถ้าแม่เลี้ยงเรายังอยู่และเรายังเด็กอยู่ล่ะก็…
หรือมีผู้หญิงคนไหนได้เห็นเจ้าของสิ่งนี้ขึ้นมาล่ะก็นะ…
เจ้าสิ่งนี้ไม่มีทางตกทอดมาถึงเมียเราและลูกหลานของแม่เราหรอก…

อย่างน้อยมันก็เป็นคำสั่งที่ช่วยในการคัดสรรศรีภรรยาที่ดีให้เราไปด้วยอีกทาง…”

ขุนพลเปิดกล่องกำมะหยี่สีเงินรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ขนาดกว้างเกือบครึ่งฟุตออกดู
ก่อนจะตกใจมองสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างในนั้น

“ของแท้ ของตระกูลปุรารัตน์ที่จะตกทอดไปยังลูกสาวของคนในตระกูล
และแม่เราคือผู้รับมรดกเครื่องประดับชิ้นสำคัญนี้มา….”
ขุนพลมองเครื่องประดับในกล่องแล้วเงยหน้าขึ้นมองอาหมอของเขา

“แสดงว่าแม่ต้องเชื่อใจอาหมอมากๆ…” คนฟังยิ้มกว้าง

“นี่คือสิ่งเดียวที่รอดสายตาพ่อเราและแม่เลี้ยงเรามาได้…
ท่ีสำคัญ แม่เรามีบุญคุณอันยิ่งใหญ่ต่ออามาก ถ้าไม่ได้แม่เราช่วยอาไว้ในวันนั้น
ก็คงไม่มีอาในวันนี้…ดังนั้น…ไม่ว่าอะไรที่เป็นความหวังของผู้มีพระคุณ
อาก็ยินดีทำให้อย่างถึงที่สุด…” ขุนพลจ้องคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เขาแทบไม่เชื่อเลยว่าบุคคลตรงหน้าจะเก็บรักษาเครื่องประดับชุดนี้
เพื่อมอบให้ลูกหลานของปุรารัตน์มาจนทุกวันนี้ได้

…ความเคารพนับถือที่มีมาแต่เดิมอยู่แล้วก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นไปอีกทบทวีคูณ

“ผมไม่รู้จะพูดอะไร…” คนฟังถึงกับยิ้มกริ่ม

“อาว่ามันถึงเวลาแล้ว…เพราะเมียเรากำลังจะมีลูกให้กับเรานี่…”
นายแพทย์สูงวัยเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกระจ่าง

“แล้วถ้าเกิดผมตายไปโดยไม่มีทายาทหรือเมียผมไม่มีลูกให้ผมล่ะครับ
อาหมอจะทำยังไงกับเครื่องประดับชิ้นนี้…”

“แม่เราบอกว่า ถ้าเป็นในกรณีที่ไม่ตรงกับที่เธอสั่งไว้…
ให้อานำเครื่องประดับชิ้นนี้มอบให้แก่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ…”

ขุนพลก้มลงมองเครื่องประดับของมารดานิ่ง รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่าง
จุกอยู่ตรงบริเวณหน้าอก…

“นี่แหล่ะ 'ไข่มุกอันดามัน' ชุดสำคัญที่แม่เลี้ยงเราตามหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ…
และเพราะความกระหายใคร่อยากของมนุษย์ที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี่แหล่ะ
ที่ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งแล้วครั้งเล่า…เลือดเนื้อของปุรารัตน์กี่คนต่อกี่คน
ก็ต้องมาจบชีวิตลงเพราะความอยากมีอยากได้ของผู้หญิงคนนั้น…

หวังว่าหลานจะให้อภัยคนที่ตายไปแล้ว อย่างน้อยเขาก็เป็นแม่ของน้องชาย
และน้องสาวเรา…เลือดย่อมไม่ล้างกันเอง…”

นายแพทย์สูงวัยลอบถอนหายใจแล้วตบบ่าขุนพล
ที่นั่งก้มมองเครื่องประดับชุดดังกล่าวนิ่ง

“พ่อเราเขารักเรานะไนค์ เพราะรักมากเลยต้องผลักออกให้ห่างตัว
ไม่ให้เข้ามาเกี่ยวข้อง…พยายามกีดกันให้ออกจากวงโคจรของเขาให้มากที่สุด
เท่าที่จะมากได้…” น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงต้องเครื่องประดับ
ทำเอาคนที่ยืนมองภาพนั้นถึงกับแค่นยิ้มออกมา

“บางทีคนเป็นพ่อก็มีวิธีปกป้องลูกตัวเองในแบบที่แตกต่างกันไป…
แต่อามั่นใจว่าจอมพลรักเราไม่น้อยไปกว่าลูกคนไหนๆ…
เขามันพ่อเสือจะให้เลี้ยงลูกเหมือนไก่เหมือนเป็ดคงไม่ได้…”

ขุนพลยังคงก้มหน้านิ่ง ไม่ไหวติง…

“แม้ว่าเขาละเลวและร้ายกาจแค่ไหน…แต่อาก็ยอมรับอยู่อย่างนึงในตัวของเขาก็คือ…
เขารักครอบครัวตัวเองอย่างที่สุด…แม้วิธีปกป้องลูกและเมียจะแปลกๆ
ไม่เหมือนชาวบ้านสักเท่าไหร่ก็เถอะ”

แล้วอยู่ๆก็มีเสียงที่พยายามไม่ให้สั่นก็ขัดขึ้นว่า

“แต่พ่อก็ไม่เคยรักแม่…พ่อหลอกใช้แม่เป็นสะพาน…ผมรับไม่ได้…
ถึงตอนนั้นผมจะยังเด็ก แต่ผมก็รู้ว่าแม่รักพ่อมากขนาดไหน…
ไม่มีผู้หญิงคนไหนรักและเสียสละเพื่อพ่อได้ขนาดนั้นอีกแล้ว
ต่อให้เป็นคุณหญิงมณีก็เถอะ…ผู้หญิงคนนั้นที่พ่อรักดีแต่เรียกร้อง
เอาจากพ่อเอาจากคนรอบข้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด...

แต่แม่…ผมไม่เคยเห็นแม่เรียกร้องอะไรจากพ่อเลย…
มีแต่ทำทุกอย่างให้พ่อจนกระทั่งตาย”

มือใหญ่จึงบีบบ่าของขุนพลขณะกล่าวว่า

“ทำไมพ่อเราจะไม่รักแม่ของเราล่ะไนค์…ผู้หญิงอย่างแม่เรา
ใครอยู่ใกล้แล้วไม่รักก็แสดงว่าคนๆนั้นใจแข็งเป็นหินแล้วล่ะ…

แม่เราแม้จะไม่ได้สวยสะดุดตาเหมือนคุณหญิงมณี
แต่กิริยามารยาทงามพร้อม จิตใจดีงาม รักใครก็รักมั่นคง จริงใจ
ไร้จริตมารยา...ไร้การเสแสร้ง ฉลาดและก็เก่ง…ใจเย็น มีเมตตา
แต่ก็ไม่โอ้อวดหรือยกตนข่มคนอื่น…

พ่อเราโชคดีมหาศาลที่ได้แม่เราเป็นศรีภรรยา…
หรือเราไม่เห็นว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยยกย่องหญิงใดอีกเลย…
ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนที่จะได้ชื่อว่าเป็นศรึภรรยาของเขาต่อจากแม่เราอีก…

ถ้าเราไม่แน่ใจ…ตอนนี้พ่อเรายังหายใจอยู่…”

นายแพทย์สูงอายุที่ผ่านเหตุการณ์ทั้งดีและร้ายมามากมายกล่าวออกมา
ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ทว่ามั่นคง

เพราะรู้ว่าเด็กชายที่เติบโตมากับความอ้างว้าง มีพ่อก็เหมือนไม่มี
มีพี่น้องก็เหมือนไม่มีอย่างขุนพลย่อมเจ็บปวดรวดร้าวกับความสัมพันธ์
ในครอบครัวของตัวเองไม่น้อยที่ผ่านมา

จึงพยายามค่อยๆพาตัวออกห่างจากคนในครอบครัว
เพราะคิดว่าตัวเองเป็นส่วนเกินที่ไม่มีใครต้องการ…

ยิ่งได้รู้ความสัมพันธ์ลับของบิดาของตนกับมารดาของดุจมณี
ซึ่งเป็นผู้หญิงที่สั่งฆ่ามารดาของตนเข้าก็ยิ่งเจ็บปวดกับความรู้สึกที่มีต่อบิดาขึ้นมา

ยิ่งรู้ว่าขุนศึกกับดุจมณีเป็นลูกของบิดาของตนที่เกิดจากผู้หญิงที่ตัวเองชิงชัง
ก็ยิ่งไปกันใหญ่

แต่เขาก็ยอมรับว่า แม้ชายหนุ่มคนนี้จะเจ็บปวดต่อการกระทำของบิดา
และคนในตระกูลทวีวรวรรณมามากแค่ไหน หากเมื่อทุกคนต้องการความช่วยเหลือ
เขาก็ไม่ลังเลที่จะเข้าไปประคับประคอง ทั้งๆที่ตัวเองก็มิได้มั่นคงมากพอ
จะสร้างความมั่นคงให้คนอื่นได้

แต่เท่าที่เขาได้สังเกตมาตลอด ชายหนุ่มคนนี้ก็อีดและสู้ทนจนมาถึงวันนี้
ได้ด้วยลำแข้งลำขา…ไม่ได้เรียกร้องอ้อนวอนขอความเห็นใจจากใคร...
และแม้จะโดนสังคมกระหน่ำซ้ำเติม เขาก็ยังตากหน้ากัดฟันสู้
จนลุกขึ้นมาตั้งหลักได้ในที่สุด...

และเขาก็ยังเชื่อแน่ว่า ผู้หญิงที่ชายหนุ่มผู้นี้เลือกมาเป็นศรีภรรยาก็ย่อมมีดีไม่น้อย
เพราะคนอย่างขุนพลนั้นตาแหลมและตาถึง…ซึ่งคุณสมบัติข้อนี้เขาสังเกตเห็นมาตลอด

และไอ้ท่าทางกระวนกระวายจะเป็นจะตายตอนเขามาถึงใหม่ๆนั่นอีก
ที่สามารถตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี…

จึงไม่วายตักเตือนด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะไปว่า

“อย่าให้ความไม่ใส่ใจเล็กๆน้อยๆของพวกผู้ชายทำร้ายผู้หญิงคนไหนอีกล่ะ…”

ถ้อยคำนั้นทำเอาขุนพลท่ีก้มหน้าอยู่ถึงกับเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่ยืนอยู่ค้ำศีรษะเขาอยู่
ก่อนจะแค่นยิ้มออกมา

“งานน่ะถ้าไม่ทำสักวันสองวันก็คงจะไม่ถึงกับอดตาย
แต่ถ้าไม่มีเมียไม่มีลูกขึ้นมาเนี่ย…เราซึ่งเป็นผู้ชายอาจตายทั้งเป็นได้นะ
เพราะชีวิตคนน่ะ…เสียแล้วเสียเลย…เอากลับมาซ่อมไม่ได้อีก…
หมอมีหน้าที่รักษา แต่ก็ไม่ได้มีอำนาจชุบชีวิตใครได้…”
ว่าพลางยิ้มส่งให้อย่างอ่อนโยน…

“ครับ…ผมจะจำไว้…”

“จำแล้วนำไปปฏิบัติด้วย…” ไม่วายหยอด

“จะพยายามครับ…” แม้เพียงเท่านั้น หากผู้เป็นนายแพทย์ก็พอใจมากแล้ว
เพราะรู้ว่าคนปากแข็งอย่างขุนพลไม่มีทางเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาง่ายๆ…

“งั้นอากลับล่ะ…เดี๋ยวคนที่บ้านรอนาน…” ขุนพลคลี่ยิ้มออกมา
เมื่อได้ยินประโยคนั้น

“ฝากความระลึกถึงคุณอาผู้หญิงด้วยนะครับ…”

“ว่างๆก็พาเมียไปทานข้าวเป็นเพื่อนเขาบ้างสิ…เห็นบ่นๆว่าอยากเห็นหน้าเมียเราอยู่…
หรือจะให้อาพามาดูหน้าที่นี่…”

“อย่าเลยครับ…เอาไว้ผมพาเขาไปหาดีกว่า…”

“จ้างพยาบาลพิเศษแบบเช้ามาเย็นกลับสิ…” จะไปแล้วก็ยังไม่วายแนะนำ

“อาหมอช่วยหาให้หน่อยสิครับ…” ขุนพลได้ทีอ้อนใหญ่

“เดี๋ยวอาจะถามอาภาพรดูว่าเขาพอจะรับงานพิเศษนี้ได้มั้ย…
ก็คนที่มาเป็นพยาบาลพิเศษทำกายภาพบำบัดให้พ่อเราวันก่อนนั่นแหล่ะ

อ้อ…ลืมไป ตอนนั้นเราไม่ได้อยู่…แต่เห็นเมียเรากับเขาคุยกันรู้เรื่องดีนะ…
น่าจะไปกันได้…พอดีเขาไม่ใช่คนเรื่องมาก
ที่สำคัญ ปากหนัก หูหนัก ไม่ชอบสอดรู้สอดเห็นหรือนินทาเรื่องชาวบ้าน…
แต่มือดี…นวดบำบัดได้เก่ง…”

“แล้วแต่อาหมอครับ ผมยังไงก็ได้…”

“แล้วอาจะจัดการให้…” พอรับปากเสร็จก็ขอตัวกลับทันที…

ขุนพลจึงเดินไปส่งถึงหน้าลิฟต์แล้วเดินกลับมายังห้องทำงานอีกครั้ง
ก่อนจะจัดการนำเครื่องประดับซึ่งเป็นมรดกจากมารดาเก็บเขาตู้เซฟ
แล้วเดินไปยังห้องนอน…เห็นน้องสาวนอนหลับคุดคู้อยู่ข้างๆพี่สะใภ้แล้ว
อดยิ้มออกมาไม่ได้…

ขุนพลจึงเดินเข้าไปใกล้ทรุดตัวลงนั่งตรงขอบเตียง
ยกมือขึ้นเกลี่ยปอยผมที่คลอเคลียอยู่ตรงหน้าผากเธอออกอย่างเบามือ

แล้วก้มลงฝังจมูกและปากลงตรงกลางหน้าผากนั่น
ก่อนจะไล่ลงมาแตะริมฝีปากกับปลายจมูกรั้น
แล้วค่อยๆจุมพิตริมฝีปากซีดเซียวนั่นแผ่วเบา…ช้อนตาขึ้นมองสายน้ำเกลือถุงใหม่
แล้วจับข้อมือที่ถูกเจาะขึ้นมาแล้วจูบตรงกลางฝ่ามือนั่น…

“พี่ไนค์ลักหลับพี่กีส…”

ขุนพลหันไปมองต้นเสียงก็พบกับแววตาสุกใสกำลังกะพริบปริบๆมองมาทางเขา
ด้วยแววตาขี้เล่นก่อนจะวาดวงแขนโอบกอดบิลกีสเอาไว้ราวกับหวงว่าเขาจะทำอะไร
ไม่ดีไม่ร้ายพี่สะใภ้ขึ้นมา…แล้วลดมือลงเปลี่ยนเป็นลูบไปตามหน้าท้องของคนป่วย
ที่นอนไม่รู้สึกตัว

“หมอบอกว่าพี่กีสกำลังจะมีน้อง…จริงๆหรือคะ…” ดุจมณีถามพี่ชาย
ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“จริงสิ…อยากได้หลานมั้ยล่ะ…”

“อยากได้สุดๆ…พี่ไนค์ไม่รู้หรอกว่า…ลูกๆพี่ปองแต่ละคนน่ะน่าฟัดแค่ไหน…
แต่ไอซ์เกรงใจไม่กล้าฟัดแรงๆ…แต่ถ้าเป็นหลานของตัวเอง…เอิ่ม…”

“พี่ไม่ให้เราฟัดแรงๆหรอก…” ขุนพลขัดด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก

“ว้า…งั้นไอซ์คงต้องมีเป็นของตัวเองบ้างแล้วล่ะ…”

“แก่แดด…”

“ใครแก่แดด ไอซ์เต็มสาวต้ังนานแล้ว พี่ปองกับพี่กีสยังบอกเลยว่า
ไอซ์สวยและเต็มสาวแล้ว…หนุ่มๆมองเหลียวหลังเชียวนะจะบอกให้”

“ชู่ว…” ขุนพลยกนิ้วชี้ขึ้นเป็นเครื่องหมายห้ามส่งเสียงดัง
ทำเอาคนเป็นน้องสาวถึงกับหัวเราะคิก ก่อนจะเปลี่ยนมากระซิบกระซาบ
ข้างๆหูพี่ชายแทนว่า

“ขอหลานให้ไอซ์สักสองสามคนสิพี่ไนค์…”

“เอาไปทำไมตั้งหลายคน”

“เอาไปเบ่งกับพี่ปองไง…แต่ไม่เป็นไร ถ้าพี่ไนค์ไร้น้ำยา
ไอซ์จะพยายามหาสามีให้ได้เอง…”

“ขี้คร้านจะไม่อยากตั้งท้อง…” ขุนพลเย้าน้องสาวอย่างมันเขี้ยว

“นั่นน่ะสิ…ไม่รู้ว่าเวลาตั้งท้องจะเป็นยังไง เหนื่อยมั้ยไม่รู้…”

คิดมาถึงตรงนี้ ดุจมณีก็ถึงกับชะงักกึกแล้วหันไปมองพี่สะใภ้ทันที…

“คงจะหนักหนาน่าดู…เพราะทำเอาพี่กีสผู้เข้มแข็ง อีดเป็นเลิศ
ถึงกับสลบเหมือดได้แบบนี้…” ว่าแล้วก็มองหน้าซีดๆของพี่สะใภ้ไปจินตนาการไปว่า

“ถ้าสามคนก็ตั้งท้องสามหน เก้าสามสิบแปด…โห…รวมๆกันแล้วก็ปีครึ่ง…
แล้วยังต้องคลอดสามครั้ง…อูย…ต้องใช้ความอดทนมากขนาดไหนนะถึงจะพอ…”

“เริ่มจิตตกแล้วรึไงฮึ…” ขุนพลได้ยินเลยได้ทีแหย่น้องสาว

“ก็…มันน่าคิดนะ…” ขุนพลอดใจไม่ไหวจึงโน้มกายข้ามร่างบิลกีส
แล้วยกมือขยี้ผมน้องสาวจนผมสยายยุ่งเต็มหมอน…

“เดี๋ยวพี่กีสก็ตื่นหรอก…” ดุจมณีเอ็ดพี่ชายด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้เบาที่สุด

“พี่ก็อยากให้ตื่นเหมือนกัน…เห็นนอนนิ่งๆแล้วรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

“เริ่มเป็นห่วงขึ้นมาแล้วล่ะสิ…อิอิ…” ขุนพลไม่ตอบแถมยังตีหน้าเฉย

“ต้องจุมพิตนะ…เจ้าหญิงนิทราถึงจะตื่นได้…”

อยู่ๆคนโดนยุก็เหมือนจะหน้าแดงขึ้นมา และเหมือนจะรู้ตัว
ขุนพลจึงเสหันไปทางอื่นไม่ให้น้องสาวจับพิรุจได้…

“งั้นถ้าพี่ไนค์ไม่ทำ ไอซ์ก็จะทำเองละ…” เมื่อได้ยินเสียงนั้น
ขุนพลก็หันกลับมาทันที และก็ทันได้เห็นน้องสาวก้มลงหอมแก้มบิลกีสทั้งสองข้าง…

“แก้มพี่กีสมีสีแดงแล้วเห็นมั้ย ไม่ซีดเท่าไหร่แล้ว…”
ดุจมณีที่นั่งพับขาไปทางด้านหลังบนเตียงนอนมองผลงานของตัวเองแล้วหัวเราะคิกคัก

“ตื่นแล้วเห็นมั้ย…” ไม่วายยิ้มร่าเมื่อเห็นคนป่วยเริ่มปรือตาขึ้น…

ทั้งๆที่ความจริงแล้วบิลกีสรู้สึกตัวตั้งแต่รู้สึกถึงสัมผัสหนักๆตรงหน้าผาก
และสัมผัสแผ่วเบาตรงปลายจมูกและริมฝีปากแล้ว

เพียงแต่หนักตาเกินกว่าจะเปิดได้ จึงปล่อยให้ตัวเองได้หลับตาต่อ
หากหูและสมองยังคงได้ยินทุกถ้อยคำและรับรู้ทุกการเคลื่อนไหวของบุคคลทั้งสอง…

“น้ำ…ขอน้ำ…” เสียงแหบแห้งดังพร้อมกับริมฝีปากแห้งผากที่ขยับขึ้นเพียงนิด…

ขุนพลจึงรีบลุกขึ้นไปรินน้ำใส่แก้วพร้อมหลอดดูดส่งเข้าปากหญิงสาว…
บิลกีสดื่มน้ำไปอึกใหญ่แล้วส่งยิ้มให้เขา…

“ขอบคุณค่ะ…” ขุนพลยิ้มรับ

“ดูเธอยังเหนื่อยๆนะ…” บิลกีสส่ายหน้า กลืนน้ำลายลงคอ
แล้วถามเขาออกไปว่า

“ฉัน…ฉันไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ…” จริงๆแล้วนึกถึงลูกมากกว่า
อยากรู้ว่าเขาปลอดภัยดีหรือไม่ เพราะตอนที่เธอรู้สึกวูบๆ
เหมือนความมืดจะเข้ามาแทนที่ในตอนนั้นเธอทรุดกายนั่งลงช้าๆกับพื้นห้องน้ำ
กวาดขวดแชมพูและข้าวของต่างๆลงมาด้วย เพื่อส่งสัญญาณให้คนข้างนอกรู้…
ก่อนจะจำอะไรไม่ได้อีกต่อจากนั้น…

แต่ก็ไม่กล้าถามเขาตรงๆถึงลูก…แม้จะนึกรู้ว่าเขานั้นรู้เรื่องนี้ไปแล้ว
จากบทสนทนาระหว่างเขากับดุจมณีเมื่อครู่

“ทั้งเธอและลูกปลอดภัยดี…” เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
แววตาท่ีมองลงมาดูเป็นประกาย ประกายบางอย่างที่บิลกีสไม่เคยพบเห็น
จากแววตาของเขามาก่อน…

“แต่ฉันตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะพาเธอไปตรวจให้ละเอียดอีกทีที่โรงพยาบาล
จะได้ฝากครรภ์ซะด้วย…”

เขาบอกเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องปกติสามัญ
ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเธอทั้งหวาดหวั่น หวาดกลัวว่าเขาจะโกรธเธอ
หัวฟัดหัวเหวี่ยงที่ปล่อยให้มีลูกมาเกิดในตอนนี้…

“นอนต่อเถอะ…อย่าเพิ่งลุกเลย…จะได้มีแรง…
เดี๋ยวฉันจะไปทำอะไรอ่อนๆมาให้ทาน…”

เขาดันร่างเธอให้นอนลงไปเมื่อเห็นเธอกำลังพยามพยุงกาย

และเมื่อเห็นสีหน้าผะอืดผะอมของเธอ เขาก็รู้ได้ทันทีถึงสาเหตุ…
จึงหันไปทางน้องสาวทันที

“คืนนี้นอนเป็นเพื่อนพี่กีสนะไอซ์…”

“อ้าว…แล้วพี่ไนค์ล่ะ…” ดุจมณีที่ไม่รู้สาเหตุจึงได้แต่กลอกตาไปมาอย่างงงงวย

ขุนพลหันไปทางบิลกีสแล้วใช้สายตาเป็นสื่อ…
ทำเอาบิลกีสถึงกับหน้าแดงระเรื่อกับแววตาที่ยิ้มได้ของเขา…

...เธอเพิ่งเห็นจะๆวันนี้แหล่ะแววตาที่ยิ้มได้ของเขา…

“ช่วงนี้พี่ตัวเหม็นน่ะ…เมียไม่ให้อยู่ใกล้ๆหรอก…”

“รู้ตัวว่าเหม็นก็ไปอาบน้ำสิคะ…อาบน้ำก่อนนอนด้วย…
เอ๊…หรือว่าเดี๋ยวนี้ทำงานหนักจนขี้เกียจอาบน้ำไปแล้วคะ…”

ดุจมณีหันมาดุพี่ชายบ้าง…คนอะไรขี้เกียจอาบน้ำ…
ลองฟอกสบู่สิที่ว่าตัวเหม็นๆก็หอมแล้ว…

“ฟอกสบู่เข้าไป…ก็หอมแล้ว…” ขุนพลมองน้องสาวที่ทำท่าเฮี้ยวๆ
แล้วหมั่นเขี้ยวจนยกมือใช้นิ้วคีบปลายจมูกโด่งสวยนั่นอย่างอดใจไม่ไหว

“ถ้าการอาบน้ำฟอกสบู่แล้วเมียเลิกเหม็นพี่ได้จริงๆ…
พี่ไม่ขอให้เรานอนเป็นเพื่อนพี่กีสเขาหรอกน่า…”

พูดจบก็ปล่อยจมูกน้องสาวให้เป็นอิสระ แล้วเดินเนิบๆออกไปจากห้อง
ทิ้งให้ดุจมณีหันมามองหน้าสีแดงระเรื่อของพีสะใภ้อย่างสงสัยเต็มแก่…

“พี่กีสเป็นอะไรไปคะ…ไข้ขึ้นรึเปล่า…” ไม่วายยกมืออังหน้าผากพี่สะใภ้ทันที
ด้วยสีหน้าห่วงใย เก็บความสงสัยพับไว้ชั่วคราว…

“ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา…” ดุจมณีเอียงคอสี่สิบห้าองศามองหน้าพี่สะใภ้อย่างสงสัย
จึงหยิบเอาความสงสัยที่พับเก็บไว้ขึ้นมาซักทันที

“ทำไมพี่ไนค์ถึงพูดแบบนั้นล่ะพี่กีส…พี่กีสเหม็นพี่ไนค์หรือ…”
บิลกีสพยักหน้าอย่างยอมจำนน…

“สงสัยเป็นอาการแพ้ท้องน่ะค่ะ…”

“งั้นก็แย่สิคะ…สงสารพี่ไนค์จัง…”

“ไม่เห็นจะน่าสงสารตรงไหนเลย…” บิลกีสหันมายิ้มให้ดุจมณีขณะพูด

“ถูกพี่กีสทำให้กลายเป็นตัวชะมดน่ะหรือไม่น่าสงสาร…”

บิลกีสหัวเราะพรืดออกมาเมื่อได้ยินประโยคที่ชวนให้จินตนาการไปถึงตัวชะมด
ที่มีกลิ่นสาบแรง ขนาดอยู่ไกลๆยังได้กลิ่น…

“ถ้าเจ้าตัวมาได้ยินนี่พี่ว่าน้องไอซ์จะเดือดร้อนนา…”

“สนซะที่ไหน…ว่าแต่พี่กีสเถอะ…ทำไมท้องแล้วไม่บอกไอซ์บ้าง”
ดุจมณีแสร้งทำเป็นงอนเพื่อให้อีกฝ่ายง้อ…

“ก็…พี่ไม่แน่ใจนี่…” บิลกีสเลยง้ออีกฝ่ายอย่างรู้ใจ

“งั้น…ไอซ์ก็กำลังจะมีหลานจริงๆสินะเนี่ย…” สีหน้าแววตาของคนพูด
เป็นประกายยินดีและตื่นเต้น…

“ไม่รู้จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายนะคะ…”

“แล้วน้องไอซ์ชอบหญิงหรือชายล่ะคะ…”

“ไอซ์อยากได้ผู้หญิงค่ะ…จะได้จับแต่งตัวแล้วก็หมุนไปมา…
จะให้ไว้ผมยาวๆ แล้วไอซ์จะเป็นช่างแต่งผมให้…หากิ๊บสวยๆมาติดประดับ…
เอาให้น่ารักเหมือนตุ๊กตาบาบี้…” บิลกีสยิ้มให้กับแผนการของดุจมณี

“แต่ถ้าเป็นผู้ชายล่ะก็…ไอซ์ก็จะได้ฟัดแรงๆได้…” นั่นทำเอาคนฟังถึงกับขนลุก…

“ฟัดเลยเหรอ…”

“ก็ฟัดไง…ลูกชายพี่ปองน่ะน่าฟัดจะตาย…แต่ไอซ์ไม่กล้าฟัด
เกรงใจพี่ปองอ่ะ…มองมาตาเขียวเชียวเวลาที่ไอซ์ทำท่าจะฟัดแรงๆทุกที…
แล้วพี่กีสล่ะ อยากได้ผู้หญิงหรือผู้ชาย…”

“พี่ได้ทั้งนั้นค่ะ…ขอให้เขาปลอดภัยแข็งแรงสมบูรณ์ก็พอ…”

“แหม…ชักอยากเห็นหน้าหลานแล้วสิ…นี่ต้องรออีกกี่เดือนค่ะเนี่ย…”

“น่าจะอีกครึ่งปีค่ะ…” บิลกีสคำนวณถึงรอบประจำเดือนแล้วคาดเดาเอาว่า
ตัวเองน่าจะตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว…แต่ถ้าจะให้แน่ใจ


คงต้องให้เขาพาไปตรวจละเอียดที่โรงพยาบาล...

“โห…รอนานขนาดนี้…ไอซ์ว่าไอซ์ไปหาลูกชาวบ้านมาฟัดเล่นก่อนแล้วกัน…”

“ก็ลูกพี่ปองของน้องไอซ์ไง…”

“จริงสิ…วันนี้ยังไม่ได้โทรไปบอกพี่ปองเลยว่าพรุ่งนี้ไปด้วยไม่ได้…”

“ทำไมล่ะคะ…”

“ก็พี่กีสป่วยอยู่…จะให้ไอซ์ไปเที่ยวสนุกได้ไง…ถึงไปก็ไม่สนุกอยู่ดี…”

บิลกีสยิ้มบางมองแววตาใสซื่อที่บ่งบอกความจริงใจของคนตรงหน้านิ่งนาน…

“ไปเถอะ…พี่ค่อยยังชั่วมากแล้วล่ะ…พักอีกหน่อยก็กลับมาวิ่งปร๋อได้แล้วนะ…”
ดุจมณีย่นจมูกใส่คนตรงหน้าทันทีที่ได้ยินแบบน้ัน

“กลัวว่าวิ่งแล้วล้มและสลบเหมือนตอนเย็นอีกน่ะสิ…ไม่เอาหรอก
รอให้พ้นระยะปลอดภัยก่อนแล้วกัน…ไอซ์ไม่ใช่เด็กหวงเล่นนะพี่กีส”

“ง้ัน…หยิบมือถือพี่ชายเราให้พี่หน่อยสิ…พี่อยากโทรไปบอกคุณคีหน่อย
ว่าพี่ยังทำคุ้กกี้ส่งให้ไม่ได้ เพราะนอนเปื่อยเสียแล้ว…” บิลกีสไม่มีมือถือ

เพราะไม่ค่อยได้ใช้บริการโทรหาใครมากมายนัก...
อีกทั้งโทรศัพท์บ้านก็อยู่ด้านนอก ดังนั้นจึงวานให้ดุจมณีหยิบมือถือของสามีมาให้

“คุณคีอีกแล้ว…ผู้ชายคนนี้หล่อมั้ยคะ ไอซ์ชักอยากเห็นหน้าแล้วสิ”

ดุจมณีเห็นพ่ีสะใภ้พูดถึงผู้ชายคนนี้มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว
ก็ชักอยากเห็นหน้าขึ้นมาตะหงิดๆ

“ไม่ถึงกับหล่อลากไส้ แต่หน้าตาดี ดูดีมีสไตล์…เป็นศิลปินชื่อดัง
เอาไว้ถ้าน้องไอซ์อยากเจอหน้า พี่จะบอกให้เขามาให้น้องไอซ์
ดูหน้าสักหน่อยดีมั้ยคะ…” ดุจมณีค้อนขวับทันทีที่โดนแหย่
ก่อนจะรั้งดุจมณีลงไปหาแล้วกระซิบข้างหูว่า

“แถมยังโสดด้วยนะ…”

“เขาไม่สนใจสาวสวยสมองเด็กอย่างไอซ์หรอกน่า…”

“ก็ไม่แน่นะ…”

“พี่กีสพูดเหมือนจะให้เขามาหาเพื่อให้ไอซ์ดูตัวงั้นแหล่ะ…”

บิลกีสยิ้มบางเมื่อเห็นหน้างอๆของดุจมณี ก่อนจะหัวเราะพรืด
เมื่อคุณเธอก้มลงมาแล้วกระซิบถามว่า

“ว่าแต่…โสดสนิทจริงๆรึเปล่าคะ…”

“อันนี้พี่ก็ไม่แน่ใจ…แต่ถ้าจะให้แน่…เราต้องถามเจ้าตัวเอาเอง…
จะให้พี่ถามให้มั้ย…” บิลกีสเย้าดุจมณีพร้อมรอยยิ้มเปื้อนหน้า

ทว่า…ยังไม่ทันมีใครได้เอ่ยอะไรออกมา ขุนพลก็เดินเข้ามาในห้อง
พร้อมกับบอกว่า

“คุณคีตาอะไรนั่นโทรมา…จะออกไปรับหรือว่าจะให้ฉันบอกเขาไปว่ายังไง…”

น้ำเสียงและแววตาของคนถามราบเรียบจนบิลกีสนิ่งไปชั่วอึดใจ
ก่อนบอกเขาออกไปว่า

“เดี๋ยวฉันขอออกไปรับสายนะคะ…” พูดพลางพยุงกายให้ลุกขึ้น
โดยมีดุจมณีเข้าช่วย ทำเอาคนที่ยืนมองอยู่ได้แต่มองเพราะไม่อาจเข้าใกล้ได้…





...โปรดติดตามตอนต่อไป.....


มาให้แบบติดๆกันสำหรับเรื่องนี้ที่ปล่อยให้ค้างเติ่งเสียนาน...


แม้จะดองไปนานก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ขมจืดจางลง...เหอๆ

ส่วนนักอ่านที่กำลังติดตามเรื่องราวของลูกปาดอยู่...
เต่าขอปาดเหงื่อสลายความขมจากเรื่องนี้ก่อนน้า...อิอิอิ
แล้วค่อยไปเพ้อกับลูกปาดต่อ...



ตอนนี้ไม่ขมเท่าไหร่แล้ว...แต่ก็ยังไม่ถึงกับ "บอระเพ็ดแช่อิ่ม" นะคะ ฮ่าๆๆ


...คุยกับนักอ่านจากตอนที่แล้วจ๊ะ....

1.คุณปรางขวัญ...ขอบคุณมากๆค่ะที่เข้ามาส่งเสียงให้กำลังใจเต่าโย...^^

2.คุณsaralun...ตอนนี้ค่อยโล่งใจแล้วใช่มั้ยคะ...
นางเอกเต่ายังตายไม่ได้ค่ะ...อย่างน้อยก็ต้องลากคอพระเอกปากแข็ง
มาสารภาพความในใจให้ได้ก่อน...555

3.คุณPat...เรื่องนี้มีแต่คนน่าสงสารไปหมดว่ามั้ยคะ...เฮะๆ
น้องไอซ์ก็อาภัพรักนะ...สมองกับร่างกายไม่ได้ไปด้วยกัน..อิอิ

4.คุณใบบัวน่ารัก...พระเอกหึงไม่หึงไม่แน่ใจ แต่นางเอกนั้นหน้ามืดชัวร์ค่ะ...อิอิ
ตอนนี้เหมือนจะรู้เรื่องเมียหลวงคร่าวๆแล้วระหว่างที่ตัวเองไปขลุกอยู่กับเมียน้อย
เสียเป็นเดือนๆ...อิอิ...ผู้ชายก็งี้...ไม่เคยใส่ใจกันเลย...

5.คุณตุ๊งแช่...ตอนนี้น้ำผึ้งพระจันทร์มันหายากนา...
เอาน้ำเปล่าไปเจือจางความขมก่อนนะตัวเอง...อิอิอิ
อย่างน้อยก็ลดระดับความขมลงมานิดนึงแล้ว...55
เรื่องอายุครรภ์ ถ้าให้แม่นต้องไปโรงบาลค่ะ...แต่นางเอกเรา
เชื่อว่าตัวเองท้องสามเดือนแล้ว...

6.คุณโอชิน...ถ้าเจอคนปากแข็ง เอาอะไรไปง้างคงยากแบบนายไนค์ล่ะก็

เป็นผู้หญิงหน้าไหนเป็นต้องอึดอัดใจทำตัวลำบากทั้งนั้นค่ะ...
แบบว่า...ฉันอยู่ตรงไหนของหัวใจเธอ...555



7.คุณnapt...บอระเพ็ดแช่อิ่มนี่ต้องผ่านการดองให้หายขมก่อนแช่อิ่มรึป่าวคะ
เพราะถ้าต้องดองก่อนนั้น...เต่าโยถนัดเรื่องดองสุดๆเลย...อิอิอิ

8.คุณแว่นใส...นั่นสิ...ชีวิตเต่าก็ยังเศร้าไม่พอเหมือนกัน...อิอิอิ
เขียนไปปาดเหงื่อไป...เขียนแนวดราม่าทีไรเหงื่อตกทู้กที...เฮๆ

9.คุณRightHand...ค่ะ...ระยะนี้คือ ระยะแรกๆของการตั้งครรภ์...
คงต้องผลัดเวียนกับเมียน้อยมาดูแลเมียหลวงตามคำเตือนของอาหมอแล้วมั้งคะงานนี้


...สุดท้ายไม่ท้ายสุด....


ขอบคุณนักอ่านทุกท่าน ทุกไลค์ ทุกๆกำลังใจ ทุกๆคอมเม้นท์มากๆนะคะ


...รักษาสุขภาพนะคะ...

"เต่าโย"




yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ม.ค. 2558, 13:48:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ม.ค. 2558, 13:50:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 2600





<< บทที่ 10 ปกปิดเอาไว้   บทที่ 12 อยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ >>
ตุ๊งแช่ 16 ม.ค. 2558, 14:30:47 น.
อ่ะ ๆๆ หึงอีกแล้ว ช่วงนี้นายไนท์น่าสงสารดีไหม น้อ


napt 16 ม.ค. 2558, 15:24:55 น.
ไม่ขมละ ค่อยยังชั่ว อิอิ ติดเรื่องนี้ซะแล้วสิ คงเพราะความเป็นคนธรรมดาๆ ไม่สมบูรณ์นี่ล่ะค่ะ


ใบบัวน่ารัก 16 ม.ค. 2558, 19:02:26 น.
อาหมอค้า รักลูกแปลกๆๆก็ไม่ดีนะ เอากันจนติดเอด นะน่ะ
แถมมีลูกอีก เฮ้อ. ปวดหัว
พรุ่งนี้ไปฝากท้องได่แล้วนะ ว่าแต่. ไอซ์ ต้องไปด้วยไหม
ไปดิๆๆจะได้รู้ขั้นตอนการดูแลพี่สะใภ้ แต่คนตัวเหม็นต้องเดินห่างๆ3 เมตรนะ
ลูกของปองกี่ขวบแล้ว ไอซ์ถึงจะอยากฟัดแรงๆๆ น้องเค้าไม่ซ้ำเขียวๆเอาหรือ
เราว่าแฝดนะเอาชาย-หญิงนะ นะๆๆๆๆเอาแฝดนะ


saralun 16 ม.ค. 2558, 20:27:38 น.
เอาใจช่วยนางเอกสุดๆเลยค้าาา^^


RightHand 16 ม.ค. 2558, 20:48:21 น.
ว้าววววว อัศวิน (หรือเปล่า?) ของเราไม่โกรธด้วยแฮะ บิลกิสเธอคิดมากไปเอง
ว่าแต่ คุณโยคิดจะจับคู่ดุจมณีกับคุณคีตาหรือเปล่าเนี้ยะะ ชักสังหรน์ใจซะแล้วสิ :)


แว่นใส 16 ม.ค. 2558, 22:24:30 น.
ยังดีที่รับได้นะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account