เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์

เป็นเรื่องราวของคนหน้าตาไม่เข้าตา ไม่เป็นที่นิยม
ไม่ฮิต ไม่ฮอตของคนสองคน...
ที่ไม่สมบูรณ์แบบ มีตำหนิ...ภาพประวัติไม่สวยงาม...
แต่นิสัยที่ซ่อนไว้ค่อนข้างสวยสดงดงาม...
แฝงไว้ด้วยเสน่ห์แห่งการมีชีวิต...การสร้างครอบครัว


เศษหนึ่งส่วนสอง หรือ ครึ่งหนึ่งของชีวิตหนึ่ง
มาพบกับ อีกครึ่งหนึ่งของอีกชีวิตหนึ่ง
แล้วยกกำลังด้วยศูนย์...

เลขศูนย์ที่ดูไร้ค่า ไร้ความหมาย แค่เลขกลมๆเลขนึง

หากมันได้ทำให้ เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์
มีค่าเท่ากับ หนึ่งได้!

สมการทางคณิตศาสตร์ที่น่าพิศวงนี้
นำมาสู่สมการของความรักของทั้งสอง...

ทั้งคู่ที่ชีวิตไม่สมบูรณ์แบบและมีตำหนิ
จะหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร...

เรื่องนี้มีคำตอบ!!!


Tags: ดราม่า ขุนพล ไนค์ บิลกีส

ตอน: บทที่ 12 อยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ



ขุนพลมองภาพตรงหน้าไกลๆแล้วได้แต่ส่ายหัว
ภาพที่ดุจมณีน้องสาวกำลังถือถุงน้ำเกลือโดยที่เจ้าของข้อมือ
ที่พ่วงสายน้ำเกลืออยู่กำลังนั่งคุยโทรศัพท์กับปลายสาย…

“ผมส่งข้อมูลเรื่องม่านลีลาวดีสีแดงให้ทางเมลล์แล้วนะครับ…
และก็พรุ่งนี้จะให้คนเอาอุปกรณ์ไปส่งให้…”

“ขอบคุณค่ะ…เอ่อ…คุณคีคะ...เรื่องคุ้กกี้นั้น เอาไว้เป็นสัปดาห์หน้าได้มั้ยคะ
พอดีว่าฉันไม่ค่อยสบายนิดหน่อยน่ะค่ะ…”

คนที่กำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่ไกลๆได้ยินถึงกับส่ายหัว…

...ไอ้ที่ต้องพ่วงสายน้ำเกลืออยู่อย่างนั้นเขาเรียกว่าไม่ค่อยสบายนิดหน่อยรึยังไงกัน…

“เป็นอะไรมากรึเปล่าครับ…”

“ยังโอเคอยู่ค่ะ…ยังไงต้องขอโทษด้วยจริงๆนะคะ รับปากแล้วก็ทำไม่ได้อย่างที่พูด…
น่าอายที่สุด…”

“อย่าคิดมากเลย…เอาไว้สะดวกทำมาส่งเมื่อไหร่ค่อยโทรมาคอนเฟิร์มผม
อีกทีก็ได้ครับ…”

“พี่กีส…ไอซ์ไม่ไหวแล้วค่ะ…” ดุจมณีที่ยืนถือถุงน้ำเกลือให้บิลกีสอยู่
ถึงกับยืนบิดไปบิดมา หน้าตาบิดเบี้ยวไม่แพ้กับท่าทาง
บิลกีสจึงเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย…

“ไอซ์ปวดฉี่ค่ะ…จะอั้นไม่อยู่แล้ว…พี่ไนค์…พลีสสสสส…”

ดุจมณีหันไปทางพี่ชายให้เข้ามาช่วยกอบกู้สถานการณ์
เพราะเธอปวดปัสสาวะจนอั้นเอาไว้ไม่ไหวอยู่แล้ว…

และเสียงใสๆที่เล็ดลอดเข้ามาทำเอาคนปลายสายที่ได้ยินเต็มสองหูแอบอมยิ้ม
ก่อนจะถามกลับมาทันที

“มีอะไรรึเปล่าครับ…”

“เอ่อ…ก็นิดหน่อยค่ะ…สงสัยฉันคงต้องรีบวางสายแล้ว…
เดี๋ยวยังไงเราค่อยคุยกันเรื่องรายละเอียดของงานอีกรอบนะคะ…”

“โอเคครับ…”

“ขอโทษอีกครั้งนะคะคุณคี…คือต้องวางสายแล้วจริงๆ…”

เมื่อวางสายไปแล้วบิลกีสก็หันไปมองคนที่เข้ามาช่วยกอบกู้สถานการณ์
โดยที่พยายามอยู่ให้ห่างจากเธอที่สุดแล้วอยากจะหัวเราะออกมา…
หากก็พยายามกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้…

“อะไร…มันน่าขำนักรึไง…เธอนั่นแหล่ะที่เพี้ยน…ถ้าหัวเราะออกมาจริงๆล่ะก็…
เธอเจอดีแน่บิลกีส” น้ำเสียงที่ขู่ฟ่อๆอย่างไม่จริงจังนักของคนตัวโต
ทำเอาคนที่พยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ถึงกับหลุดเสียงหัวเราะออกมาในที่สุด…

“ก็…ทั้งคุณทั้งน้องไอซ์ตลกดี…ไม่ให้ขำยังไงไหว”

บิลกีสอดไม่อยู่จริงๆเมื่อได้เห็นท่าทางของสองพี่น้องที่เหมือนกับวิ่งผลัด
ยิ่งตอนที่อีกฝ่ายวิ่งหน้าตื่นเข้ามารับถุงน้ำเกลือจากน้องสาวที่กวักมือเรียกหยอยๆ
พอส่งถุงน้ำเกลือให้พี่ชายสำเร็จแล้วก็วิ่งผลุนผลันเข้าห้องน้ำไปชนิดไม่ห่วงสวยเลย…

ถ้าให้สองพี่น้องคู่นี้ไปแข่งวิ่งผลัด อาจได้รางวัลชนะเลิศก็ได้…
เพราะรู้ใจรู้จังหวะสับเปลี่ยนกันเหลือเกิน

“เดินเข้าห้องไปเดี๋ยวนี้เลย…” เขาสั่งทันทีด้วยสีหน้าทมึงตึง…

ทว่าบิลกีสไม่ได้ใส่ใจหน้าตาเหมือนยักษ์เหมือนมารแบบนั้นหรอก
เพราะรู้ดีว่า ต่อให้เขาทำหน้ายักษ์หรือมีเขี้ยวงอกออกมายังไง
สำหรับเธอตอนนี้แล้วเขาน่ามองที่สุด แม้กลิ่นตัวจะเป็นมลพิษก็เถอะ!

ก็ไม่ค่อยจะเข้าใจตัวเองสักเท่าไหร่ที่มารักมาชอบคนแบบนี้…
ไม่เห็นจะมีอะไรให้น่าพิศวาสสักนิดเดียว…รักเข้าไปได้ไงก็ไม่รู้

หน้าตาก็งั้นๆ แถมไม่ค่อยยิ้มอีก…นิสัยก็พอถูๆไถๆ…ไม่ได้แสนดี
ไม่ได้อ่อนหวานละมุนละไม เย็นชา หน้าตาย ใจหินใจเพชร
คารมก็ไม่ได้เรื่อง พูดออกมาแต่ล่ะทีเธอแทบอยากจะเอาหูตัวเองไปล้างน้ำ…

สรุปแล้ว…ไม่ใช่เขาที่แปลกหรอกที่เป็นแบบนั้น
เธอนี่แหล่ะแปลกที่ไปรักเขาอยู่ได้…รักฝังใจมาได้ยังไงตั้งแต่อยู่ปีหนึ่ง…
จวนจะลงโลงแล้วก็ยังไม่เลิกรักคนแบบนี้ไปเสียที…

เพราะพอคิดว่าต้องเสียเขา…ก็รู้สึกเหมือนใจจะขาดรอนๆ
เพียงแค่เขาไม่อยู่ใกล้ๆ ไม่เหลียวแล ก็อาการแย่ได้โดยไม่รู้ตัว…

เธอไม่ได้ตั้งใจเรียกร้องการดูแลเอาใจใส่จากเขาจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจ…

และไม่ว่าจะทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกันแค่ไหน หากพอลืมตาขึ้นมา
คนที่เธออยากเจอที่สุดก็ยังคงเป็นเขาอยู่ดี…

“มองฉันแบบนี้มีอะไรจะสารภาพใช่มั้ย…”

ขุนพลถามเมื่อส่งคนร่างผอมเข้านอน ห่มผ้าให้เรียบร้อย
แต่เจ้าหล่อนที่เอาแต่เก็บปากเก็บคำกลับจ้องเขาไม่วางตา…
แล้วยังมีหน้ามาสะดุ้งตกใจตอนเขาทักเข้าให้อีก

“คุณไนค์ใจดีแปลกตา…”

“หา…” ขุนพลไม่แน่ใจว่าไอ้ที่เขาได้ยินนั้นมันเป็นภาษาอะไร

“ก็ใจดีไงคะ…ใจดีแปลกๆ…” และเมื่อเห็นแววตาไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองพูด
บิลกีสจึงอธิบายเสริมต่อไปว่า

“ก็เข้าครัวทำกับข้าว คอยถือถุงน้ำเกลือให้โดยไม่บ่นว่าสักคำ
พามานอนถึงเตียง ห่มผ้าให้เรียบร้อย…มันแปลก…”

ขุนพลกระแอมไอแล้วตีหน้าตายทันทีเมื่อเจอเข้ากับคนที่เหมือนพยายามจะตีขลุม…

เห็นตัวผอมๆ หน้าซีดๆ แววตาซื่อๆแบบนี้ ใช่ว่าจะโง่…

เขาว่าเขารู้จักผู้หญิงตรงหน้าไม่น้อย…
คนขี้ขลาด ใจเสาะที่ไหนกันจะกล้าพับนกกะเรียนส่งมาเป็นกำลังใจให้เขาได้เรื่อยๆ
ตั้งแต่สมัยเรียนจนถึงปัจจุบัน…

สำหรับเหตุผลที่แท้จริงของเจ้าของนกกะเรียนนั้นเขาไม่แน่ใจ…
แต่สำหรับเขา เขารู้สึกว่าโดนเจ้าของนกกะเรียนนั่น ‘จีบ’ มาตั้งแต่นั้นแล้ว…
‘จีบ’ ไม่เลิกเสียด้วย…

ผู้หญิงทั่วไปมักทิ้งสายตา แต่งกายวาบหวิว วาดลีลายั่วยวนเชิญชวน
เพื่อทอดสะพานให้ผู้ชาย...

แต่หญิงสาวตรงหน้าเขาใช้นกกะเรียนทีละตัวพับใส่ซองจดหมาย
ส่งมาให้เขาตลอดโดยไม่สนว่าคนรับจะอยากได้มันหรือไม่
หรือจะทิ้งมันลงถังขยะไปทันทีที่เห็น…

ซ้ำยังสืบรู้ที่อยู่เขาได้อย่างกับมีนกพิราบคาบข่าวไปบอก…
และขนาดรู้ว่าเขาอยู่แห่งหนตำบลไหนกลับไม่เคยเลยสักครั้งที่จะโผล่หน้ามาให้เห็น…
ไม่มีการโทรมาหามาคุยด้วย…

มีเพียงนกกะเรียนตัวผอมๆแบนๆ...
กับลายมือที่ใช้จดเลคเชอร์อย่างมืออาชีพให้เขาประจำ…

แม้ไม่ต้องแนบชื่อเสียงเรียงนามมากับซองจดหมาย
เขาก็รู้ว่ามันคือลายมือใครที่เขียนจ่าหน้าซองมาถึงเขาแล้ว…

ผู้หญิงแบบนี้น่ะหรือที่ว่าซื่อและโง่…เขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด…

“คนที่แปลกน่ะมันเธอ…ไม่ใช่ฉัน…” เขาว่าเข้าให้…

“เวลาเราคุยกัน เราต้องอยู่กันห่างๆ…เพื่อบรรยากาศดีๆระหว่างกัน”

บิลกีสพยายามบอกใบ้เขาทางอ้อม…ไม่อยากพูดตรงๆ กลัวเขาจะระคายเคืองหัวใจ…

ขุนพลชักสีหน้าทันทีเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายพยายามบอกอะไรเขา
หากก็ยอมถอยห่างออกไปอีกนิด…

“เธอทำให้ฉันรู้สึกแย่สุดๆ…ไม่เคยมีใครเคยรังเกียจกลิ่นตัวฉันขนาดนี้เหมือนเธอ…
เธอทำเหมือนฉันไม่ได้อาบน้ำมาพันปี…เหมือนแร้งเฒ่า”

บิลกีสยิ้มให้กับ ‘แร้งเฒ่า’ แล้วปลอบเขาว่า

“จริงๆแล้วฉันชอบกลิ่นกายคุณไนค์จะตายไป…อยากอยู่ใกล้ๆ
อยากกอดแน่นๆด้วยซ้ำ…”

ใครว่าผู้หญิงคนนี้ ‘จีบ’ ไม่เป็น
นี่มันเรียกว่า ‘กำลังจีบ’ เขาอยู่เห็นๆ

“สงสัยฮอร์โมนบางตัวของผู้หญิงมันเกิดอยากทรยศขึ้นมาแน่ๆค่ะ…
เลยทำให้ฉันมีสภาพแบบที่ชวนให้สามีอยากบอกเลิกแบบนี้…”

บิลกีสเหมือนจะเห็นมุมปากของเขากระตุกเพียงนิด
แต่แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นมันก็กลับมาราบเรียบดังเดิม
แถมยังพูดกระชากน้ำเสียงใส่เธอราวกับพยายามกลบเกลื่อน
ร่องรอยบางอย่างเอาไว้อีกว่า

“ไม่เลิกหรอกน่า…” บิลกีสยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะหุบยิ้มแทบไม่ทัน
เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้แล้วยื่นหน้าเข้ามาหาพร้อมกับบอกเสียงดังฟังชัดว่า

“แต่ถ้าเหม็นฉันไม่เลิกล่ะก็…ไม่แน่…” พูดจบเขาก็ขโมยจูบเธอไปต่อหน้าต่อตา
แล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไปทันทีโดยไม่พูดอะไรอีกเลย…

บิลกีสที่ยังงงๆอยู่ได้แต่ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองแล้วยิ้มออกมา…
ก่อนจะซุกหน้ากับหมอน…






พอเวลาผ่านไปไม่นาน เขากับน้องสาวก็จัดแจงเอาโต๊ะเล็กๆมาตั้ง
เพื่อวางสำรับอาหารในห้องนอนใกล้ๆกับเตียงนอน
เธอจะได้ไม่ต้องเลื่อนที่แขวนขวดน้ำเกลือให้วุ่นวาย…

มือนี้เลยเป็นมื้อที่ได้กลับมาร่วมกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันสามคนอีกครั้ง
หลังจากไม่ได้มีโอกาสดีๆและอบอุ่นแบบนี้มาหลายเดือนแล้ว…

และเขาก็ยังพยายามนั่งให้ห่างๆเธอ แม้ยามกินข้าวเขาก็ตักข้าวกับกับข้าวราดใส่จาน
แล้วลุกไปนั่งตรงโซฟา นั่งกินเงียบๆอยู่ตรงนั้น…
ทำเอาดุจมณีส่งเสียงหยอกเย้าตามไปตลอดเวลาที่กินข้าวดึกด้วยกัน…



เสร็จจากมื้อดึกเขาก็จัดแจงเรื่องยาบำรุงยัดใส่มือเธอพร้อมกับแก้วน้ำเปล่า…
ก่อนจะปล่อยให้เธอนอนเล่นกับดุจมณีในห้องสองคน
ส่วนตัวเขาหายผลุบไปยังด้านนอก…

ไม่ต้องสงสัยว่าหายไปไหน บิลกีสหลับตาปุ๊บก็เห็นได้ทันทีว่าคงจะไปนั่งจุ้มปุก
อยู่ตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ในห้องทำงานเป็นแน่

…อดสงสัยไม่ได้ว่าคืนนี้เขาจะนอนที่ไหน…หรือจะนอนที่ห้องดุจมณีแทน…



แต่พอดึกสงัด หญิงสาวลืมตาตื่นเพราะรู้สึกหิวน้ำ
ก็พบว่าเขาไม่ได้ไปนอนที่ไหนไกล ร่างยักษ์นอนคุดคู้ตัวงอเหมือนกุ้ง
เพราะขายาวๆของเขาดูจะยาวเกินความยาวของโซฟาไปหลายสิบเซ็น

เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้…บิลกีสจึงแหงนหน้ามองขวดน้ำเกลือ
ก็พบว่าระดับน้ำเกลือหมดไปแล้ว…เธอจึงถอดเข็มน้ำเกลือออก…
แล้วเดินไปหาเขา…ยืนทิ้งระยะห่างมองเขาโดยไม่กล้าเข้าใกล้ให้ตัวเองเดือดร้อน…
หวั่นใจว่านอกจากตัวเองจะเดือดร้อนแล้ว
คนที่นอนหลับสบายๆจะพลอยตกใจตื่นเสียเปล่าๆ…

ใจนั้นอยากเข้าไปสวมกอดเขา อยากซุกกับอกกว้างและแข็งแกร่งนั่น
เข้าไปซุกซบรับไออุ่นจากอ้อมกอดของเขา…

มันทรมานนะที่ได้แต่มองอยู่ไกลๆแบบนี้โดยที่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้

เหมือน...เหมือนเมื่อก่อน…เมื่อก่อนเธอก็ทำได้แค่มองเขาอยู่ที่เดิม ในระยะเท่าเดิม
ไม่เคยคิดขยับก้าวเข้าไปหาหรือถอยห่างออกไป…

ทุกเรื่องราวของเขาเธอคอยติดตามมาตลอดอย่างคนที่อดห่วงไม่ไหว
แค่ห่วงใยเมื่อรู้ว่าเขาเศร้า เขาเหงา เขาถูกทอดทิ้ง เขาไม่เหลือใคร

หรือแม้แต่ตอนที่โดนสังคมรุมกระหน่ำซ้ำเติม
ทุกเรื่องราวที่ได้ยินได้รับรู้ได้เฝ้าดูมันทำให้เธอหันหลังให้เขาไม่ได้สักที…

แม้ไม่อาจก้าวเข้าไปหาแต่ก็หันหลังให้ไม่ได้…แม้จะอยู่ไกลแต่ก็ไม่เคยคิดจะจากไปไหน…

สิ่งเดียวที่ทำได้คือพับนกกะเรียนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความรักความผูกพัน
ของคนในครอบครัวส่งไปให้เขา…ให้เขารู้ว่าเขายังมีเธออยู่
แม้จะไม่ใช่คนสำคัญสำหรับเขา ไม่ใช่คนที่เขาอยากให้รักอยากให้อยู่ข้างกาย

แต่เขาก็ควรจะได้รู้ว่าตัวเขาไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก

…ไม่ได้เป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ…

เพราะไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่สนใจหรอกว่าจะได้อะไรตอบกลับมา…
ขอแค่ได้ทำได้แสดงความรักความห่วงใยให้เขาได้รับรู้
แค่นั้นเองที่เธอตั้งใจทำและไม่เคยคิดจะเลิกทำ…

แม้รู้ว่าสุดท้ายเขาจะโยนนกะเรียนของเธอลงถังขยะไปก็ช่างปะไร…
ในเมื่อหน้าที่ของนกกะเรียนพวกนั้นคือ ส่งสารความรักความห่วงใยของเธอไปถึงเขา
เมื่อมันไปถึงเขาแล้ว เขาได้รับรูแล้ว…เขาจะทำอะไรหรือจัดการยังไงกับสื่อดังกล่าว
ก็ย่อมเป็นสิทธิ์ของเขาโดยชอบธรรม…

เพราะเมื่อนกกะเรียนหลุดไปจากมือเธอแล้ว
มันก็คงไม่บินกลับมาหาเธออีกแล้วล่ะ…เธอรู้…

เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยขอ ไม่คิดจะเรียกร้องเอาอะไรมากไปกว่านี้…
ขอแค่ให้ได้มองเขาให้อุ่นใจ…เท่านั้น…

บิลกีสจึงคลี่ยิ้มออกมาขณะยืนมองเขา…อีกนาน…มองจนพอใจแล้วจึงผละจากไป
ดื่มน้ำแล้วทิ้งตัวลงนอนที่เก่าของตัวเอง…

โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมองตามหลังเธอ
ตั้งแต่เธอหันหลังเดินผละจากไปอยู่ตลอดเวลา…
มองจนแสงไฟสีส้มตรงหัวเตียงดับลง…






เช้าตรู่เมื่อลุกขึ้นมาเพื่อละหมาด บิลกีสไม่วายหันไปมองยังโซฟา
หากไม่ปรากฏร่างของคนตัวโต…หญิงสาวกระตุกคิ้วเพียงนิด
แล้วปลุกให้ดุจมณีตื่นมาละหมาดด้วยกัน…หญิงสาวอิดออดในตอนแรก
ก่อนจะยอมลุกตาม…

แต่เมื่อสองสาวอาบน้ำละหมาดเสร็จเรียบร้อย
เตรียมพร้อมสำหรับเข้าสู่พิธีละหมาด ขุนพลก็เดินเข้ามา…

คราวนี้เขามาหยุดยืนอยู่ข้างหน้า ปูพรมละหมาด
สองสาวหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน ก่อนจะเริ่มเข้าสู่ศาสนกิจ
โดยมีหัวหน้าครอบครัวเป็นผู้นำละหมาดในเช้าวันนี้…

คนที่เคยขี้เกียจละหมาดอย่างขุนพล ละหมาดบ้างไม่ละหมาดบ้าง
เพราะเอาแต่สนใจและหมกมุ่นแต่เรื่องงาน
นึกกลับใจอยากเข้าสู่ร่มเงาของศาสนาอย่างจริงๆจังๆ
ทำเอาบิลกีสแอบยิ้มอยู่ภายในใจ…มองแผ่นหลังของเขานิ่งยามที่เขา
ยกมือขอพรต่อพระเจ้าหลังละหมาดเสร็จ…

พอจะทำเขาก็ทำได้ดีเกินคาด…ดุจมณีเองก็เช่นกัน…
จากที่แต่ก่อนไม่ได้สนใจจะอะไรกับเรื่องศาสนานัก
ใช้ชีวิตไปตามความพอใจของตน พอบทจะหันกลับมาสู่ศาสนา หันมาสู่พระเจ้า
หญิงสาวกลับตั้งใจ มุ่งมั่นมากขึ้น…

“รู้สึกดีจัง…” ดุจมณีเอ่ยขณะหันมายกมือขอสัมผัสมือกับบิลกีส
แล้วโอบกอดแนบแก้มตัวเองกับแก้มของบิลกีสทั้งซ้ายและขวา
ก่อนจะหันไปยื่นมือขอสัมผัสกับมือพี่ชาย…

บิลกีสยิ้มกระจ่างเมื่อยื่นมือไปหาเขา ยิ่งเมื่อเขายกมือขึ้นรับสัมผัสด้วย
ความรู้สึกอุ่นซ่านจากอุ้งมือของเขาก็แล่นเข้าสู่หัวใจที่กวัดแกว่ง
ไม่มั่นคงให้สงบลง ก่อให้เกิดพลังเกิดความรักและความเมตตา…เอื้ออาทร…

ความปั่นป่วนในช่องท้องที่คิดว่าควรจะมีกลับไม่ปรากฏหรือแสดงอาการออกมา…

“รู้จักฟิแอลมูฏอแระอ์มั้ย…”

ขุนพลถามสองสาวขึ้นหลังจากหันหน้าเข้าหาแล้วล้อมวงกัน…

“ผู้ที่เป็นเสมือนดั่งชายโสด…”

บิลกีสเป็นคนเฉลยทันที ทำเอาคนถามถึงกับอึ้ง หญิงสาวจึงอธิบายเขาไปว่า…

“ตอนเรียนหลักวิชาอันนะฮูหรือไวยากรณ์ภาษาอาหรับ
อาจารย์ท่านสอนเรื่องของฟิแอลมูฏอแระอ์ด้วยค่ะ…”

ขุนพลพยักหน้ารับรู้ ทว่าดุจมณีกลับทำหน้ายุ่ง

“แต่ไอซ์ไม่รู้นี่นา…บอกกันมั่งสิว่าฟิแอลอะไรนี่คืออะไรกัน…”

ขุนพลมองน้องสาวในชุดละหมาดสีขาวบริสุทธิ์ปกปิดมิดชิด
ยกเว้นเฉพาะใบหน้านับตั้งแต่ไรผมจนถึงคางเท่านั้นแล้วคลี่ยิ้มออกมา…

“งั้นจะให้ใครเล่าดี ระหว่างพี่กับพี่สาวเรา…”

“ก็ต้องคุณสิคะ…คุณเป็นผู้ชาย เคยเป็นฟิแอลมูฏอแระอ์มาก่อนนี่นา”

บิลกีสส่งให้คนเริ่มเรื่องทันทีโดยไม่ต้องคิดนาน…

“โดยมีเธอเป็นนูนนิสวะฮ์ (อักษรที่บ่งบอกถึงผู้หญิง) สินะ…”
อดไม่ได้ที่จะเย้า ทำเอาบิลกีสถึงกับก้มหน้าแดงเหมือนกุ้งโดนน้ำร้อนลวก

“อะไรนูนๆ…เล่ามาดีๆเลยนะพี่ไนค์…รู้กันสองคน เขินกันอยู่สองคน”

ดุจมณีที่รู้สึกว่าเรื่องมีมันมีอะไรซ่อนเร้น เพราะดูจากท่าทีของพี่สะใภ้แล้ว
มันต้องมีอะไรแฝงอยู่ในเรื่องนี้แน่ๆ…

“ก็กำลังจะเล่าอยู่นี่ไงคนสวย…” ขุนพลยิ้มยั่วน้องสาว

“ว่าแต่เล่าไปแล้ว สมองเด็กอย่างเราจะเข้าใจรึเปล่าก็ไม่รู้นะ…”

“จะว่าไอซ์ปัญญาอ่อนใช่มั้ยล่ะ…” คนเป็นน้องค้อนขวับ…

“โอเคๆ พี่ยอมแล้ว เล่าก็เล่า…”

ขุนพลยกมือยอมแพ้…สงครามน้ำลายจึงสงบลง…

“ฟิแอลมูฏอแระอ์เสมือนดั่งคนโสด ที่ใช้ชีวิตอย่างมั่นใจในตัวเอง
และเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสสังคมโดยง่าย…

ฟิแอลมูฏอแระอ์จะนาซับเมื่อมีตัวบังคับนาซับเข้ามาเหมือนดั่งคนโสด
ที่ยอมเปิดใจหรือนาซับเมื่อมีใครเข้ามาอย่างจริงใจ…

และฟิแอลมูฏอแระอ์จะญาซัมเมื่อมีตัวบังคับญาซัมเข้ามา
เหมือนคนโสดที่ยอมตัดขาดต่อผู้ตัดขาดต่อเขาอย่างเด็ดเดี่ยว…

ฟิแอลมูฏอแระอ์นั้นเมื่อติดกับนูนนิสวะฮ์ อุรุฟนูนที่บ่งชี้ถึงผู้หญิง
มันจะบินาอ์ด้วยกับซูกูน

เช่นเดียวกับชายโสดเมื่อมีผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวพันในชีวิต
และก่อร่างสร้างครอบครัวด้วยกัน ย่อมมีจิตใจที่สงบมากกว่าตอนที่ยังโสด…”

เล่าไปก็มองนูนนิสวะฮ์ของผู้ที่เคยเป็นเสมือนชายโสดอย่างเขาไปด้วย…

“และเช่นนี้…ฟิแอลมูฏอแระอ์ ผู้ที่เป็นดั่งชายโสดนั้ัน…
ตราบใดที่เขายังไม่มีนูนนิสวะฮ์หรืออักษรที่บ่งบอกถึงผู้หญิงเข้ามาสถิตย์
ก็ยากที่จะเสถียร…ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองนัก…ไม่มั่นคง…ล่องลอย…

ดั่งโองการที่ว่า และบางสัญลักษณ์ของพระเจ้า
คือการที่พระองค์ทรงสร้างคู่ครองแก่พวกเจ้ามาจากตัวของพวกเจ้าเอง
ทั้งนี้เพื่อพวกเจ้าจะได้สงบอยู่กับนาง…และพระองค์ทรงบันดาล
ความรักความเมตตาให้มีขึ้นระหว่างพวกเจ้า…”

บิลกีสอยากจะปรบมือให้กับคนเล่าที่จบได้อย่างสวยงามมาก…

“เพื่อพวกเจ้าจะได้สงบอยู่กับนาง…”

เขาย้ำประโยคนั้นขณะทอดสายตามองหญิงสาวผู้ที่ไม่ใช่น้องสาวนิ่ง
ทำเอาคนเป็นน้องสาวได้แต่อมยิ้มแทบอยากจะม้วนแทนคนถูกมองเสียให้ได้…

แต่ก็ไม่วายที่จะแหย่

“สงบได้จริงๆหรือพี่ไนค์…”

“หรือเราว่าพี่ยังไม่สงบ…ยังลักลอบกินไก่อยู่…”

เจอเข้าไม้นี้ดุจมณีหงายหลัง

เพราะจะว่าไป พี่ชายของเธอวันๆก็เห็นมุมานะแต่เรื่องงาน
ไม่ยุ่งกับผู้หญิงคนไหนมานาน ไม่เห็นจะมีใครเข้ามา…

ที่เผลอเข้ามาก็วิ่งกระเจิดกระเจิงล่าถอยกันไปหมดเมื่อเจอเข้ากับ
คนป่วยที่เป็นโรคที่สังคมรังเกียจ…

“แล้วผู้ชายมากมายที่แต่งงานแล้วยังมีบ้านเล็กบ้านน้อยล่ะคะ…
อย่างนั้นเขาเรียกว่าสงบรึเปล่านั่น…”

ขุนพลยิ้มให้กับน้องสาวที่ดูจะมีอารมณ์สาวมากขึ้นทุกวัน…
ไม่ได้เหมือนเด็กสาวเท่าไหร่แล้ว

“นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สงบนะ…แต่สงบอยู่กับนางหลายคน
ไม่ใช่นางเดียว…” บิลกีสแบะปากให้กับผู้ชายที่มักจะเข้าข้างพวกผู้ชายด้วยกันตลอด…
จึงได้รับขนมเปี๊ยะจากดุจมณีไปเป็นรางวัล…

“นี่แน่ะ…มาตายเอาตอนจบนะพี่ไนค์…”

“เราก็ต้องรู้ด้วยสิว่า…ชายโสดที่ว่าน่ะ เขาตั้งใจจะสละโสด
และต้องการสร้างครอบครัว ก่อร่างสร้างตัวหรือเปล่า…
หรือเห็นว่าการแต่งงานเป็นเรื่องฉาบฉวยหรือมองแค่เป็นเรื่องบนเตียง
มองเป็นเรื่องสนุกหรือเป็นเกมธุรกิจเท่านั้น…เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น
ต่อให้ใกล้ตายก็ไม่สงบง่ายๆหรอกไอซ์…”

ขุนพลเอ่ยแก้ลำทันทีเมื่อเห็นสีหน้าสองสาวไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก…

…ผู้หญิงนี่แตะต้องเรื่องพวกนี้ไม่ได้จริงๆสิน่า…

“แล้วพี่ไนค์ล่ะคะ…ทำไมถึงสละโสด…” ถามได้ดีจริงๆน้องสาวพี่

“เพราะไม่อยากเป็นโสดแล้วน่ะสิ อยากมีใครสักคนเข้ามาสถิตย์
คนที่เป็นนูนนิสวะฮ์ที่เข้ามาติดกับฟิแอลมูฏอแระฮ์ไงล่ะ…”

“งั้นพี่กีสก็คือนูนนิสวะฮ์…จบ!”

ดุจมณีสรุปหลักการสอนไวยากรณ์ภาษาอาหรับของพี่ชายในเช้าวันนี้อย่างง่ายดาย
ตามสไตล์คนที่ไม่มีแว่นภาษาอาหรับ…อ่านภาษาอาหรับไม่ได้…
เขียนภาษาอาหรับไม่ได้ด้วยน้ำเสียงสดใส…

หันไปมองหน้าพี่สะใภ้นิดนึงแล้วได้แต่หัวเราะคิก…

ขนาดว่าอยู่กันจนมีลูกในท้องแล้วก็ยังไม่วายก้มหน้าเขินเมื่อโดนพี่ชายเธอแหย่…





เมื่อได้แต่นั่งมองสองพี่น้องเข้าครัวทำอาหารโดยที่เธอโดนกีดกัน
สิทธิและเสรีภาพให้นั่งเฉยๆ มีหน้าที่ทำได้แค่มอง

บิลกีสจึงได้แต่ชะเง้อคอดูกับเงี่ยหูฟังสองพี่น้องคุยกันหยอกล้อกันอยู่ในครัว
จนเมื่อทุกอย่างพร้อม ท้ังหมดก็ได้เวลาลงมือ บิลกีสนั่งมอง
สำรับอาหารบนโต๊ะที่มีทั้งเนื้อ นม ไข่ ผัก ผลไม้

“ซุปถั่ว…ไข่ตุ๋น…ผัดตับกับมะระ…จะฆ่ากันหรือคะ…”

บิลกีสมองอาหารตรงหน้าแล้วลอบกลืนน้ำลายลงคอ
ไม่ใช่เพราะว่าอยากจะกินมันจนใจจะขาดรอนๆหรอกนะ
แต่ว่ามันเหลือจะรับประทานได้จริงๆ เ

ธอชอบกินของพวกนี้เสียเมื่อไหร่…แค่เห็นตับที่ถูกประคบประหงมด้วยมะระยิ่งน้ำลายยืด

…ยืดนะไม่ใช่ใหล…

“ทำไมล่ะ…มันดีต่อคุณแม่อย่างเธอนะ…” เขาว่าหน้าตาย…

แม้จะไม่ได้เป็นคู่รักคู่สวีสหวาน แต่เขารู้ว่าเธอไม่ชอบกินตับ!
แล้วทำไมถึงพามากินตับ! เอาตับมาให้กินทำไม

แล้วมะระล่ะ...มะระมันขมน้า…ของขมไม่ใช่ของที่ใครๆจะกินได้
โดยไม่รู้สึกอะไร...โดยเฉพาะเธอ…

“อาหมอแนะนำมาว่านี่คือเมนูที่จะขุนให้เธอและลูกอ้วน…”

...จะผอมลงไปอีกโขก็เพราะผัดตับกับมะระนี่แหล่ะ…

“หน่า…กินหน่อยเถอะ…กินๆไปเดี๋ยวก็ชอบไปเองแหล่ะน่า…
ของดีมีประโยชน์ทั้งนั้น…ฉันกับไอซ์อุตส่าห์ลงไปจ่ายตลาดสด
เพื่อเธอโดยเฉพาะเลยนะ…ถ้ามะระมันขมนัก กินผัดตับกับมะระไป
กินอินทผาลัมไปด้วยก็ได้ ฉันไม่ว่าหรอก…”

เขาไม่ว่า...แต่เธอจะกระเดือกมันลงคอหอยไปได้โดยไม่ผ่านลิ้นยังไงล่ะเนี่ย…
ทุกอย่างต้องผ่านลิ้นก่อนมิใช่หรือไง…

“กินยากอย่างนี้ไงถึงได้ผอมเอาๆ…ไม่ได้แล้ว เธอต้องกิน หัดกินเข้าไว้
ต่อไปจะได้สอนให้ลูกกินด้วย…”

แหม…ทำมาห่วงอนาคตลูกว่าจะผอมเหมือนเธอ…
หนอย…ทีเมื่อก่อนล่ะบอกว่าอย่าเพิ่งท้องนะ อย่าเพิ่ง เรายังไม่พร้อมจะมีภาระ…

แล้วไงล่ะ...ตอนนี้มาเค่ียวเข็ญให้เธอกินเพื่อลูก…

ถ้าอาหารถูกส่งถึงลูกโดยไม่ต้องผ่านลิ้น เธอจะกินโดยไม่ขัดขืนเลยสักนิดเดียว….

“เคยเห็นเด็กเอธิโอเปียมั้ย…นั่นแหล่ะอนาคตเธอกับลูก
ถ้าเธอยังขืนกินยากแบบนี้ต่อไป…”

“เปลี่ยนจากตับเป็นกึ๋นก็ได้นี่นา มันก็พวกเคร่ืองในสัตว์เหมือนกัน
ฉันกินกึ๋นได้แต่ไม่ขอกินตับนะ…มัน…จะทำให้ฉันผอมลง...เชื่อฉันเถอะคุณไนค์…”

บิลกีสออกอาการหนัก

…เธอตัดสินใจได้ในวินาทีนี้เองว่า ต่อไปจะไม่ยอมให้เขาเข้าครัวอีก…
ครัวคือฐานบัญชาการของเธอนะ…เขาไม่มีอำนาจในการควบคุมความเป็นไปในนั้น…
ต่อให้ใช้อำนาจเผด็จการเข้ายึดครองก็เถอะ…

“เชื่อได้เหรอ…ต่อไปถ้าว่างฉันจะเป็นคนทำอาหารให้เธอกินเอง
เห็นหน้าตาเธอแบบนี้แล้วไม่น่าไว้ใจเลย…อาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
เสริมสร้างพลังงาน ให้โปรตีนและธาตุเหล็กสูงอย่างตับเธอไม่ควรมองข้าม…”

เหมือนหมอมาสาธยายเรื่องอาหารและโภชนาการให้กันตรงหน้าเลยนะเนี่ย

…ไม่ใช่แค่แปลกตา...แต่เขาเปลี่ยนไปเยอะนะ…พูดเยอะขึ้นอีกต่างหาก…

“รู้มั้ยว่า…ธาตุเหล็กนอกจากจะมีผลที่ดีต่อเด็กในท้องแล้ว
ยังช่วยสร้างเม็ดเลือด และผอมๆอย่างเธอน่ะ…จะมีเม็ดเลือด
มาหล่อเลี้ยงร่างกายสักเท่าไหร่กัน…อย่างน้อยก็ช่วยไม่ให้เป็นลมหน้ามืดง่ายๆได้…

ดังนั้น…ตับคือคำตอบสุดท้าย…”

“อาหารทะเลพวกหอยก็มีธาตุเหล็กสูง…พวกซีฟู้ดน่ะฉันกินได้หมด…”

คนเก่งเรื่องโภชนาการ อดีตผู้ช่วยกุ๊กในร้านอาหารไม่ยอมพ่ายแพ้ให้แก่ตับง่ายๆ

ยังไงงานนี้เธอก็ไม่ขอกินตับ! เขาอยากกินตับกับมะระก็กินไปคนเดียวแล้วกัน

“สรุปว่า…จะเอายังไง…”

คนปรุงอาหารเช้าชักเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว

…นี่เขาอุตส่าห์ทำทุกอย่างเพื่อสุขอนามัยของเธอแท้ๆ...
แต่ดูเธอสิ…ไม่เข้าใจกันบ้างเลย…

“ฉันแค่อยากให้คุณรู้ว่าพวกของทอด พวกผัดที่ใช้น้ำมัน
มันก็ไม่เหมาะกับคนท้อง เพราะจะทำให้อ้วนได้ง่ายๆด้วย…”

อย่างน้อยไขมันจากน้ำมันที่เขาใช้ผัดตับกับมะระก็คงพอช่วยชีวิตเธอในเช้านี้ได้ล่ะน่า…

“ผอมขนาดนี้แล้วยังจะกลัวอ้วนอีกหรือ…ขอให้อ้วนจริงๆเถอะ…
ฉันจะพาไปขี่ช้างถึงสุรินทร์เลย…” ขุนพลไม่วายสำทับ…

อะไรกัน…ตัวผอมอย่างกับกุ้งแห้งแล้วยังจะมากลัวอ้วนอีก…ใช้ได้ที่ไหน

“ไอซ์ว่านะ…” ดุจมณีที่นั่งมองผัดตับกับมะระที่เป็นชนวนสงครามน้ำลาย
ยืดเยื้อยาวนานมาหลายนาทีแล้วก็ตัดสินใจได้ทันทีว่าควรจะสงบศึกนี้ลงเสียที…
ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ได้กินข้าวเช้าง่ายๆแน่…
ท้องมันก็ร้องขออาหารเช้าจ๊อกๆแล้วด้วย…

ป่วยการที่จะพูดให้คนไม่กินตับกลืนตับลงกระเพาะ
เธอน่ะทั้งเตือนทั้งบอกพี่ชายแล้วแท้ๆว่าไม่มีวันที่พี่กีสจะกินตับ…
แต่พี่ชายก็ยังทู่ซี้จะทำเมนูนี้ขึ้นโต๊ะให้ได้

“ตอนนี้พยาธิในท้องกำลังรออาหารจากเราอยู่…รีบกินเถอะค่ะ
ใครถนัดกินอะไรก็กินที่ถนัด…นะนะ…”

พูดพลางพยักหน้าขอความเห็นใจไปพลาง…

“งั้นขอกินทุเรียนเฉยๆได้มั้ยคะ…”

คนจมูกไวได้กลิ่นทุเรียนโชยมาจากที่ใดก็สุดจะรู้จึงเอ่ยปากขออนุญาตทันที

“ถ้าเธอยอมกินตับสามคำฉันจะยอมเจ็บมือเพื่อฉีกทุเรียนให้เธอกิน…”

บิลกีสเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเมนูในเช้าวันนี้แล้วอยากจะร้องไห้

...ทำไมเขาต้องแกล้งกันด้วย…ซุปถั่วงี้ ไข่ตุ๋นงี้ ตับกับมะระงี้...

ทำไมไม่เห็นใจ เข้าอกเข้าใจกันบ้างเลยว่ามันทำใจให้กลืนลงท้องไม่ได้จริงๆ
เธอไม่ได้อยากจะดื้อเพ่งนะ แต่กับอาหารบางชนิดก็ใช่ว่าลิ้นมันจะยอมรับได้ง่ายๆ

ยิ่งพอกลืนลงท้องไปมันอาจจะไปก่อกวนสิ่งที่มีประโยชน์ที่เรากินไปก่อนหน้านี้
ให้ออกมาดูโลกภายข้างนอกอีกครั้งพร้อมกับมันด้วยก็ได้…

“ลองกินดูสักนิดเถอะ…แค่สามคำเอง…”

ว่าพลางตักผัดตับป้อนถึงปากเธอ...

บิลกีสที่ไม่เคยโดนป้อนอาหารแบบนี้จึงยอมสละพื้นที่ส่วนตัวในกระเพาะ
ให้กับตับที่แสนแสลงลิ้นดูสักตั้ง…

พออ้าปากรับแล้วเคี้ยวครั้งเดียว เธอก็รีบกลืนลงท้องทันที…
โชคดีที่มันไม่คิดจะอยู่ขวางลำคอให้เธอต้องหน้าดำหน้าแดงหน้าเขียว…

พอกลืนลงไปได้สำเร็จเสร็จสรรพก็รีบยกน้ำขึ้นเพื่อล้างคอ…
แล้วพ่นลมหายใจออกมา...

…โล่ง…ลงท้องไปได้หนึ่งคำแล้ว…เหลืออีกสองสินะ…เอาก็เอา…
เขาอุตส่าห์ป้อนทั้งที…โอกาสงามๆแบบนี้ใช่จะมาเยือนชีวิตนักนี่นา…

“เคี้ยวด้วยสิ…กลืนลงไปแบบนั้นติดคอขึ้นมาจะลำบาก…”

ก็ใครทำให้ลำบากล่ะ…เขานั่นแหล่ะ…เขาเลย…
คนอะไรเผด็จการ แถมเกิดเฮี้ยนลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้…ยิ่งคิดก็ยิ่งขนลุก…

ไม่รู้ว่าที่ขนลุกเพราะตับที่กินไปเริ่มสำแดงอิทธิฤทธิ์
หรือเป็นเพราะท่าทางเอาอกเอาใจแกมยัดเยียดของเขากันแน่…


แล้วเขาก็ป้อนมาให้อีกคำ…คราวนี้บิลกีสพยายามเพิ่มจำนวนครั้งในการเคี้ยว
จากครั้งเดียวเป็นสองครั้ง แล้วรีบผลักดันตับให้ตกลงไปเป็นภาระของกระเพาะอีกครั้ง…
ให้มันรับผิดชอบไป…ถ้ามันรับผิดชอบไม่ได้มันก็ขย้อนออกมาเองแหล่ะ…

...เฮ้อ…จะมีผู้หญิงคนไหนยอมทำอะไรฝืนสังขารอย่างเธอ
เพียงเพื่อต้องการการเอาใจจากคนที่ ‘หน้าตาก็ง้ันๆ’ แบบนี้บ้างมั้ยนะ…

...ไม่น่าจะมีหรอก…โลกนี้ต้องมีเธอคนเดียวที่เป็นแบบนี้แน่ๆ…

ต้องมีเส้นประสาทสักเส้นสองเส้นในสมองที่มันชักกระตุก
ทำให้เธอเกิดอาการผิดแผกจากผู้คนโดยท่ัวไปได้ขนาดนี้แน่ๆ…

“อีกคำนะ…แล้วฉันจะปล่อยเธอไป…”

เหมือนแววตาของเขาจะแสนภาคภูมิใจเหลือเกินกับการที่ทำให้เธอกินตับได้สำเร็จ…

บิลกีสสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วอ้าปากรับตับที่คราวนี้มันมาพร้อมกับมะระ

…เอาน่า…ก็แค่ขม…

หากพอรับเข้าปากมาแล้วจึงสำนึกได้ว่าไม่น่าหลวมตัวรับของขมเข้าปากเลยจริงๆ…

คราวนี้ตับกับมะระกำลังทำให้ลิ้นของบิลกีสส่งการประมวลผลของมัน
ไปบอกกับต่อมใต้สมองหรือเปล่าไม่แน่ใจ

...ว่ามันขมปี๋ระคนมันเลี่ยนสุดจะบรรยาย…

ขุนพลมองสีหน้ายู่ยี่ของคนตรงหน้าแล้วได้แต่ส่ายหน้า…

บิลกีสเองแทบสำลักเมื่อกลืนของแสลงคำสุดท้ายลงไปทักทายกระเพาะได้สำเร็จอีกครั้ง

…ในที่สุด…ความทรมานอันแสนหวานก็สิ้นสุดลงเสียที…

“เฮ้อ…” บิลกีสถอนใจออกมาอย่างลืมตัวทำเอาดุจมณีท่ีนั่งกินไปเชียร์ไป
ว่าพี่ชายจะทำสำเร็จมั้ยก็ปล่อยหัวเราะคิกๆออกมาทันที

“พี่ไนค์เก่งอ่ะ…ทำได้ไง…ยอดเยี่ยมกระเทียมดองไปเลย…”
ดุจมณียกนิ้วโป้งให้พี่ชายไปสองโป้งโดยให้คะแนนพิเศษเป็นรอยยิ้มกว้าง

“เป็นมื้อที่พี่จะไม่มีวันลืมไปจนตายเลยละ…” บิลกีสเอ่ยออกมาอย่างแดกดัน
ก่อนจะก้มหน้ามองจานข้าวเปล่าตรงหน้าที่ยังไม่ได้แตะต้อง

…กินอะไรไม่ลงเลยทีนี้…

“ซุปล่ะ…กินซุปล้างคอสิ…” เขาว่าหน้าตาเฉย

…แหม…กินซุปถั่วของเขาล้างผัดตับกับมะระอ่ะนะ…ไม่มีทาง!

บิลกีสจึงหยิบอินทผาลัมมานั่งกินแทน…กินไปกินมากินเพลินหมดจานพูน
พอเงยหน้าขึ้นเท่านั้นก็พบกับสายตาสองคู่ที่จ้องมองมา

“ทำไมเหรอ…ก็แค่กินเพลินไปหน่อยเดียวเองน้า…”

พอไม่ได้รับเสียงจากทั้งสองจึงยิ้มและบอกอย่างไม่อายว่า

“ไหนว่ากินตับสามคำแล้วจะฉีกทุเรียนให้กินไง…” ได้ทีทวงของ...
ทำเอาขุนพลกับดุจมณีหันมามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย
แล้วหัวเราะออกมาพร้อมกัน…สร้างความไม่เข้าใจให้กับบิลกีสไม่น้อย

“โอเค…เดี๋ยวจะไปฉีกทุเรียนมาให้ตามคำขอ…”

ว่าแล้วเขาก็ยอมผละจากจานข้าวแล้วเดินไปยังห้องครัวที่เขาอุตส่าห์ซุกซ่อนทุเรียน
ห่อหนังสือพิมพ์ชุบน้ำหมาดเอาไว้อย่างดีเพื่อไม่ให้มันส่งกลิ่นอบอวล

แต่คนจมูกดีก็ยังมิวายได้กลิ่น ที่เขาว่าคนท้องจมูกไวเหมือนมดนี่ท่าจะจริง…

และเพียงแค่ได้กลิ่นหอมหวนยั่วยวนใจของราชาผลไม้อย่างทุเรียน
สีเหลืองอ่อนๆกำลังสุกได้ที่ตามแบบฉบับกรอบนอกนุ่มในที่วางอยู่ในจาน
ก็ถูกวางลงตรงหน้า ทำเอาบิลกีสที่ไม่อาจหักห้ามใจตัวเองได้อีกต่อไป
คว้ามันขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย

…ใครมาบอกว่าคนท้องห้ามกินทุเรียนเนี่ย เป็นได้โกรธกันละ…

โชคดีที่ไม่มีใครห้าม คนท้องเลยกินไปโดยไม่มองหน้าใครเพราะความเพลิดเพลิน…
มารู้ตัวอีกทีก็เหลือเม็ดสุดท้ายแล้ว…

“ยังมีอีกครึ่งหนึ่งที่ยังไม่ได้แกะ…”

เขาบอกเมื่อเห็นแม่ของลูกลังเลไม่กล้าหยิบเม็ดสุดท้าย…
พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่หลุดรอยยิ้มออกมาให้เธอเห็น…

เพราะตั้งแต่รู้จักและอยู่กันมาเขาไม่เคยเห็นหญิงสาวผู้นี้จะมีความสุข
ในการกินเท่าครั้งนี้เลย…

นับว่าแผนการของอาหมอที่จะให้เขาขุนเธอให้อ้วนดูจะไปได้สวย…

“พี่กีสกินเก่งในรอบศตวรรษรึเปล่าเนี่ย…
หรือว่่าเป็นเพราะผัดตับพิฆาตของพี่ไนค์ถึงทำให้พี่กีสเปี๊ยนไป๋…”

ดุจมณีอดไม่อยู่เลยเย้าพี่สะใภ้เล่นอย่างนึกสนุก…

“ก็อาจจะใช่นะคะ…พี่เพิ่งมารู้ว่าทุเรียนมันก็อร่อยดีเหมือนกัน”

ขุนพลถึงกับตกอกตกใจทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

“ทำไม…เมื่อก่อนเธอไม่ชอบหรือ…” บิลกีสส่ายหน้าพร้อมกับบอกว่า

“เหม็นจะตาย…ใครจะไปกินลง”

“แล้วเมื่อตะกี้…ใครกินเข้้าไปจนหมดจาน…ครึ่งลูกเชียวนะ…”

บิลกีสส่ายหน้า จริงๆให้กินทั้งลูกก็ไม่น่าจะยาก…เพราะว่ายังกินได้อยู่
แต่จะตามใจปากก็กลัวจะลำบากกระเพาะอีก…สงสารมัน

เมื่อกี้ยัด 'ตับพิฆาต' ของเขาลงไปสามคำไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรไปแล้วรึเปล่า…
ส่วนอินทผาลัมจานพูนๆนั่นไม่นับ เพราะว่าเป็นของชอบอยู่แล้ว…

“ไม่รู้สิคะ…สงสัยลูกคุณนั่นแหล่ะกิน…”

โยนความผิดให้ลูกหน้าตาเฉยได้ยังไงน่ะบิลกีส
เธอมิใช่หรือที่ยัดมันเข้าไปในท้องทั้งหมดน่ะ หลักฐานยังคาปากอยู่เลย…

“ดูนะไอซ์…พี่สาวเราเขาบอกว่าลูกพี่กินทั้งๆที่หลักฐานยังคาปากตัวเองอยู่โทนโท่…”

พูดแล้วก็หยิบกระดาษทิชชูขึ้นหมายจะเช็ดขอบปากให้จอมตะกละประจำเช้านี้…

ทำเอาบิลกีสผงะไปทางด้านหลังเพราะเกรงว่ากลิ่น ‘แร้งเฒ่า’
จะสำแดงเดชก่อกวนสะเบียงอาหารที่ตอนนี้กำลังเข้าสู่กระบวนการย่อยสลาย
โดยที่กระเพาะคงกำลังทำหน้าที่ในการบดและดูดซึมอยู่…

อีกทั้ง มันน่าเสียดายไม่น้อย เพราะตอนกินเข้าไปมันแสนจะอร่อย ยกเว้นตับพิฆาตนั่น
แต่เวลาขย้อนออกมา มันสุดแสนจะบรรยายถึงรสชาติที่ได้ลิ้มรสมาแล้วหลายรอบ
ในไม่กี่วันนี้…

...เธอไม่อยากให้อะไรๆที่กินเข้าไปเมื่อกี้หลุดรอดออกมาทางปากอีกครั้ง
โดยเฉพาะตับสามคำนั่น!

ดังนั้นจึงขอลุกหนีแร้งเฒ่าก่อนดีกว่า…

“จะหนีไปไหน…”

“ไม่เอา…เดี๋ยวจะเสียของ…” บิลกีสว่าพลางหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดปากตัวเองแทน

ไอ้ใจก็อยากให้เขาเช็ดปากให้อยู่หรอก แสนจะเสียดายด้วยซ้ำที่ต้องบอกปัด
การกระทำที่พระเอกในละครมักทำให้นางเอกประทับใจจนพาลทำให้เธอ
นั่งม้วนหน้าม้วนหลัง บิดซ้ายบิดขวาแทนนางเอกละครอยู่หน้าจอโทรทัศน์เป็นประจำ
เมื่อตอนเพิ่งเข้าสู่วัยแรกสาว…

และตอนนี้มันได้เกิดขึ้นนอกจอ...และเธอกำลังจะได้สวมบทบาทนางเอกคนนั้นแล้ว
แต่สถานการณ์ไม่ค่อยเอื้ออำนวยเลย…เธอกลับเหม็นพระเอกของตัวเอง...

ก็เลยยังหวังๆอยู่ว่ามันจะเกิดขึ้นบ่อยๆ แต่คงต้องพับความหวังนี้เอาไว้ก่อน
ไว้หายเหม็นเขาเมื่อไหร่ หวังว่าตอนนั้นเขาจะยังคงไม่เลิกล้มการกระทำแบบนี้
ไปเสียก่อนหรอกนะ…ไม่งั้นเธอคงเสียดายแย่…

เพราะนานๆจะได้เห็นอะไรแปลกตาแบบนี้…

มันคงไม่ได้มีมาเยือนให้เห็นแค่ 76 ปีครั้งเหมือนดาวหางฮัลเลย์
ที่จะผ่านมาเยือนโลกเมื่อครบคาบโคจรหรอกนะ…

เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น...เธอคงจะอยู่คอยดูอีกครั้งไม่ไหวแน่…
เพราะตอนนั้นเธอคงจะอายุร้อยกว่า ถ้าเธอกับเขายังมีชีวิตอยู่
และยังเช็ดปากที่เปื้อนทุเรียนให้กันและกันไหวอีก…มันก็น่าลุ้นให้อยู่รอนะนั่น…

แต่อย่าลืมสิบิลกีส…เธอหวังทีไรก็ผิดหวังอยู่ร่ำไป

...ดังนั้น อย่าหวังเลย!

ตายไปในสภาพที่สิ้นหวังน่ะศพมันไม่สวยนักหรอกนะ…

“ให้มันได้อย่างนี้สิ…” คนที่ถือทิชชูเก้อเลยได้แต่สบถออกมาอย่างหัวเสีย
ที่ดูก็รู้ว่าเขายังไม่พ้นสภาพ ‘แร้งเฒ่่า’






...โปรดติดตามตอนต่อไป....


เรื่องกินตับกับมะระนี่ เต่าโยเอามาจากประสบการณ์ตัวเองล้วนๆเลย
เพราะเป็นคนที่เกลียด 'ตับ' ยิ่งชีพ ฆ่าให้ตายเสียดีกว่าจะมายัดเยียดให้กินตับ 555

หวังว่าคงจะไม่มีใครตกอยู่ในสถานการณ์เหมือนบิลกีสหรอกนะคะ...เหอๆๆ


...คุยกับนักอ่านจากตอนที่แล้วจ๊ะ...

1.คุณตุ๊งแช่...สรุปว่าไม่ได้หึงค่ะ แค่ห่วงใย...ฮ่าๆๆ
ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าใครน่าสงสารกว่าใคร...เหอๆ

2.คุณnapt...ติดใจบอระเพ็ดแช่อิ่มแล้วอ่ะสิ...อิอิ
โยเองปกติจะเป็นคนชอบความสมบูรณ์แบบ แต่ก็แอบมีใจให้กับ
ของมีตำหนิเหมือนกัน เพราะรู้สึกว่ายิ่งมีตำหนิก็ยิ่งมีเสน่ห์ดึงดูดใจเรา
...แปลกมั้ยคะ...อิอิ

3.คุณใบบัวน่ารัก...ยังไม่ได้พาไปฝากท้องเลยค่ะ...
เพราะกำลังอยู่ในโหมดบำรุงครรภ์ตามลิสต์เมนูอาหารจากอาหมอ...อิอิ
ส่วนเรื่องลูกแฝด...อันนี้ขอพิจารณาก่อนนะคะ
เพราะว่าสงสารนางเอกจัง ลำบากน้าเลี้ยงลูกแฝดอ่ะ...เฮะๆ

4.คุณsaralun...ตอนนี้เอาใจช่วยพระเอกสุดๆใช่มั้ยคะ...
เพราะว่าป้อนตับให้คนเกลียดตับกินได้จนสำเร็จ...เหอๆ
เพราะบางครั้งสิ่งที่เราเกลียดหรือรังเกียจก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อตัวเราเสมอไป...


5.คุณRightHand...ไม่โกรธค่ะ...พี่ท่านใจเย็น...สุขุม...
มีน้ำโหบ้างเป็นระลอกๆไป...อิอิ
ส่วนลางสังหรณ์นั้น...ต้องไปถามยัยกีสค่ะ...โยไม่ได้เป็นคนจับคู่น้า
ยัยกีสโน้นที่กำลังทำตัวเป็นศิราณีอยู่...ฮ่่าๆๆๆ

6.คุณแว่นใส...รับได้ทุกอย่าง(เพลงของวงclash)ค่ะงานนี้...555


...สุดท้ายไม่ท้ายสุด...

ขอบคุณนักอ่านทุกท่าน ทุกๆไลค์ ทุกๆกำลังใจที่มอบให้ค่ะ

...รักษาสุขภาพนะคะ...

อีกไม่นานเต่าก็จะกลายร่างเป็นค้างคาวแล้วค่ะ...อิอิ

"เต่าโย"





yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ม.ค. 2558, 04:09:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ม.ค. 2558, 04:09:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 3133





<< บทที่ 11 ข้องใจ   บทที่13 เพราะมีเธอ >>
ใบบัวน่ารัก 17 ม.ค. 2558, 05:16:48 น.
เป็นคู่ที่แปลกๆๆ พระเอกหน้าตาที่ไม่หล่อหรือ
นางเอกนกกระเรียน ~~นี่จิงๆๆแล้วเปนนกกระเรียนแปลงตัวมาหรือ
หมดช่วงวัยว้าวุ่นแล้วน้า หรือฮอโมนพ่อแม่ว้าวุ้นเอง
ทำกับข้าว กินตับ กินๆๆไปเถอะ อร่อยออก ตับปิ้งก็อร่อยนะ
ทุเรียนนี่กิส ไม่เคยกินหรือ อาร่อยออก แหมๆๆลูกหิว แฝดแน่ๆๆ
กินแล้วอ้วกออกก็น่าเสียดายนิ ไปนอนเถอะ จะได้ไปฝากท้องที่รพ. กันซะทีนะ


โอชิน 17 ม.ค. 2558, 09:28:36 น.
เบรคความขมลงสักหน่อยค่อยยังชั่ว..หวานกันซะให้พอ..เหมือนคุณคีจะเริ่มมีบทบาทมาหน่อยละ..เนื้อคู่น้องไอซ์กะลังจะ โผล่แน่เลย..ใช่ป่าว..?


napt 17 ม.ค. 2558, 09:51:28 น.
555 ขำแร้งเฒ่า เมื่อไหร่หายเบื่อกลิ่นแร้ง กิสคงได้สะสมความหวานซะทีเนอะ
แม่เคยเล่าให้ฟังว่าตอนท้องก็ชอบกินทุเรียนเหมือนกันค่ะ ได้กลิ่นแล้วน้ำลายไหลทุกที 5555


แว่นใส 17 ม.ค. 2558, 10:01:39 น.
สงสารแร้งเฒ่าจริง อิอิอิ


RightHand 17 ม.ค. 2558, 14:55:07 น.
ได้ทีเธอก็เอาคืน แร้งเฒ่า เลยนะบิลกิสส

น่ารักจังง :)


ตุ๊งแช่ 17 ม.ค. 2558, 21:06:45 น.
ตับย่าง อร่อยที่ซู็ดดด

มะระ เห็นด้วย เอาไปไกลๆๆ

พ่อแง่แม่งอนมาก หึหึ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account