เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์

เป็นเรื่องราวของคนหน้าตาไม่เข้าตา ไม่เป็นที่นิยม
ไม่ฮิต ไม่ฮอตของคนสองคน...
ที่ไม่สมบูรณ์แบบ มีตำหนิ...ภาพประวัติไม่สวยงาม...
แต่นิสัยที่ซ่อนไว้ค่อนข้างสวยสดงดงาม...
แฝงไว้ด้วยเสน่ห์แห่งการมีชีวิต...การสร้างครอบครัว


เศษหนึ่งส่วนสอง หรือ ครึ่งหนึ่งของชีวิตหนึ่ง
มาพบกับ อีกครึ่งหนึ่งของอีกชีวิตหนึ่ง
แล้วยกกำลังด้วยศูนย์...

เลขศูนย์ที่ดูไร้ค่า ไร้ความหมาย แค่เลขกลมๆเลขนึง

หากมันได้ทำให้ เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์
มีค่าเท่ากับ หนึ่งได้!

สมการทางคณิตศาสตร์ที่น่าพิศวงนี้
นำมาสู่สมการของความรักของทั้งสอง...

ทั้งคู่ที่ชีวิตไม่สมบูรณ์แบบและมีตำหนิ
จะหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร...

เรื่องนี้มีคำตอบ!!!


Tags: ดราม่า ขุนพล ไนค์ บิลกีส

ตอน: บทที่13 เพราะมีเธอ

หลังจากพาบิลกีสไปตรวจครรภ์และฝากท้องที่โรงพยาบาลเรียบร้อย
โดยฝากให้ดุจมณีน้องสาวเฝ้าดูแลคนป่วยที่ห้องชุด
เขาก็เลือกพาเธอมาทานอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า

“เป็นไง…ได้ออกมาดูผู้คนแล้วนะ…” ขุนพลเย้าคนที่เดินมาด้วยกัน
พอเลือกร้านอาหารได้ เธอก็รีบทรุดกายลงนั่งด้วยสีหน้าหมดแรง
ส่งผลให้คนที่พามาถึงกับลอบยิ้มน้อยๆที่มุมปาก

“เวียนหัวมาก…” แทนที่จะดีใจ เปล่าเลย ภรรยาของเขาดูจะทำหน้าเมื่อยมองคนไปก็ส่ายหน้าไป…

“กลิ่นน้ำหอมของคนโน้นผสมกับคนนี้อบอวนจนตีกัน…ทำฉันมึนมาก”

บิลกีสมีสีหน้าผะอืดผะอมคล้ายคนจะเป็นลม นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะมีประสาทรับกลิ่นที่ไวเอามากๆ
ทั้งๆที่เมื่อก่อนแทบจะไม่เคยมีความรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อน…

“แสดงว่าอาการแพ้ท้องของเธอ ไม่ได้เกิดเพราะเหม็นฉันคนเดียว
แต่เธอเหมือนจะเหม็นคนทั้งโลก…”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งตรงฝั่งตรงข้ามแล้วค้อนให้เขาวงใหญ่…

“เลือกอาหารเถอะ…แค่มองฉันมันไม่ทำให้อิ่มได้หรอกนะ…”

ก็เธอมองเขาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ เมื่อก่อนไม่เคยเห็นเธอจะมองเขาด้วยแววตาเช่นนี้…
คงเพราะลูกชายเขาในท้องของเธอเกิดนึกอยากจะแผลงฤทธิ์ใส่เขาขึ้นมาแน่ๆ…

“ผัดตับดีมั้ย…” ไม่วายเย้าคนตรงหน้าที่ทำหน้าเมื่อยไม่เลิก

“ถ้าจะให้ดีต้องตับคุณ…รับรองฉันกินชัวร์…ทั้งตับ ไต ไส้พุงของคุณฉันกินได้หมด…”

บิลกีสได้ทีเอาคืน เห็นหน้าเขาแล้วไม่รู้ทำไมถึงได้หงุดหงิดงุ่นง่านนัก
มันเป็นแบบนี้มาได้พักใหญ่ๆแล้ว…

“น่ากลัวนะเนี่ย…คิดจะกินตับไตไส้พุงฉัน…มันไม่ได้จะกินกันง่ายๆนะ
อย่างน้อยเธอก็ต้องถอดหัวลอยไปลอยมาในตอนกลางคืนให้ได้เสียก่อน…
ว่าแต่มีปัญญาถอดหัวได้รึเปล่าล่ะ…ถ้าได้ ฉันจะยกให้กินสดๆทั้งพวง…”

เสนอมาเขาก็ยินดีสนอง แต่มันก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข

“ฉันไม่ใช่กระสือนะ…”

“แต่เธอกำลังมีเขี้ยวงอก…แล้วจ้องจะกินตับไตไส้พุงฉันทั้งๆที่นี่มันก็ยังกลางวันแสกๆ
แถมเรายังอยู่กลางห้าง…” ขุนพลเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้านต่อคนที่ได้แต่นั่งค้อนเขาตาคว่ำ

เห็นบิลกีสในแบบฉบับท่ีไม่เคยเห็นแบบนี้ มันช่างดูมีชีวิตชีวากว่าครั้งไหนๆ
ก่อนจะหันมาชี้ชวนให้เลือกอาหาร…เมื่อได้สั่งเมนูที่ต้องการแล้ว ก็นั่งเท้าคางมองเธอนิ่ง…
ทำเอาคนโดนจ้องมองถึงกับบ่ายหน้าหลบเขาพัลวัล

“หน้าฉันเธอก็เหม็นเหรอ…” บิลกีสงงๆว่าเขาหมายความว่าไง
จึงหันมามองเขาทั้งๆที่หัวจิตหัวใจไม่ค่อยจะอยู่กับร่องกับรอย

ก็ร้อยวันพันปีเขาไม่เคยจ้องเธอแบบจะกลืนกินอย่างตอนนี้มาก่อน…
ว่าแต่เธออยากกินตับไตไส้พุงเขา แล้วเขาเล่า มองแบบนี้จะกินส่วนไหนของเธอกันแน่ๆ…

“หมายความว่าไง…”

“ก็เห็นเธอบ่ายหน้าหนีหน้าฉันตลอด…เลยนึกว่าเหม็นหน้าฉัน…”
บิลกีสถึงกับกัดปากตัวเองข่มความเก้อเขิน…

“ก็ข้างนอกมันมีแต่คนหน้าตาดีเข้าขั้นหล่อเหลา…แล้วที่อยู่ตรงหน้าเรามันก็ไม่เข้าตา…
พอมีโอกาสได้ออกมาดูโลกภายนอก ก็เลยขอมองให้สบายตาบ้างมิได้หรือไง…”

ปากก็พูดไปโน่น ทั้งๆที่หัวใจอยู่ตรงนี้ ไม่ใกล้ไม่ไกลไปจากใบหน้าไม่เข้าตาที่ว่าน่ันแหล่ะ

“ถูกของเธอ…ไม่ใช่แค่หนุ่มๆที่หล่อเหลา…สาวๆแถวนี้สวยๆกันทั้งนั้น…
นุ่งน้อยห่มน้อย น่าตาน่ารักน่ามอง ไม่เหมือนตรงหน้าเรา ที่มององศาไหนก็ไม่เข้าตา…”

อ๊าย…คนปากกรรไกร…ปากไม่มีซิปรูด
จนอดแหวออกไปไม่ได้

“แล้วมองทำไม…”

“ก็มองดูว่ามีองศาไหนที่เข้าตาบ้างรึเปล่าน่ะสิ…แต่ก็ไม่เจอ…”

เขาวิจารณ์ด้วยน้ำเสียงเนิบๆ เรื่อยๆ พลางมองสำรวจใบหน้าเธอไปด้วย
แล้วก็ส่ายหน้าไปด้วย แต่ไม่ทันได้เอ่ยคำใดสวนกลับออกไป
อาหารหน้าตาน่ากินก็ถูกวางตรงหน้า…ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะ
ที่กำลังคุกรุ่นค่อยๆผ่อนคลายลง…

“เนี่ยน่ะอาหารท้อง ไม่ใช่อาหารตาอย่างข้างนอกนั่น เธอจะจ้องมันให้ได้อะไร
มันตายไปแล้ว จ้องไปมันก็ไม่มีทางท้องได้เหมือนเธอแล้วล่ะ…”

ไม่วายหาเรื่องเย้าแหย่อีกฝ่ายที่เอาแต่ก้มมองดูช้อนส้อมนิ่งๆไม่ไหวติง

…ทั้งๆที่เขาเพิ่งทิ้งลูกระเบิดขนาดย่อมลงกลางกบาลเธอเนี่ยนะ…

“อ่ะ…กินปลาจะได้ฉลาดๆ…” เขาตักปลาวางในจานเธอพร้อมรอยยิ้มจริงใจเอามากๆ

“ผู้หญิงฉลาดอย่างไรก็ดูเข้าตากว่าผู้หญิงสวยแต่ไม่ฉลาดนะ…”

เขาให้เหตุผลที่สู้อุตส่าห์ตักปลาใส่จานให้เธอกิน บิลกีสเงยหน้าขึ้นมองคนที่ก้มหน้าก้มตา
แกะก้างปลาส่งมาให้เธอแล้วนึกอยากจะเอาส้อมจิ้มตาเขาให้มันกระดอนกระเด็นออกมา
หากก็ทำไม่ลง เม่ือเห็นความตั้งอกตั้งใจอย่างมากต่อการแกะเนื้อปลาแล้ววางไว้รอบๆจานเธอ

“แต่ฉันชอบผู้หญิงดีๆมากกว่าผู้หญิงสวยและฉลาด…”

เขาเงยหน้้าจากจานปลาแล้วมองเธออย่างมีความหมาย

ให้ตายสิ ปลาทอดกระเทียมตรงหน้าจะกลายเป็นปลาหวานไปแล้วรึเปล่านะ
บิลกีสคิดแล้วก็รีบก้มหน้ามองปลาในจานที่เขาตักมาให้ ก่อนจะตักมันขึ้นลองชิมดู

“หวานจริงๆด้วย…” เผลอพูดอย่างใจคิดออกมาไม่ได้

“อะไรหวาน…”

“ตาคุ…เอ่อ…ตาปลาน่ะ…” ตาปลาเนี่ยนะหวาน นี่เธอพูดออกไปแบบนั้นได้ยังไง

…โธ่…บิลกีส…เขาไม่โง่เชื่อเธอหรอก…

“ฉันตักแต่เฉพาะเนื้อปลาให้เธอไปนะ…ไม่บอกไม่รู้นะ
ว่าเธอชอบกินตาปลา…แต่เสียดายที่สองตาของมันยังอยู่ในจานนี้…”

พูดพลางก็ตักตาปลาทั้งสองข้างวางในจานเธอ

…สรุปว่าเขาจะกดดันให้เธอพูดความจริงในใจออกไปให้ได้ใช่มั้ย…ได้สิ…บิลกีสเสียอย่าง

“ไม่ใช่ตาปลาหรอกที่หวาน…ตาคุณนั่นแหล่ะ…” เจอไม้ตายที่ตีตรงๆกลางหน้าอย่างนี้
ทำเอาคนหาเรื่องคนอื่นถึงกับอึ้ง เดินหน้าถอยหลังลำบากอยู่อย่างนั้นไปหลายวินาที

“เธอเป็นคนแรกที่บอกว่าฉันตาหวาน ในขณะที่ใครๆหาว่าฉันตาดุ…”

ก็มันหวานเชื่อมจริงนี่…เมื่อกี้นี้เธอไม่ได้ตาฝาด เขามองเธอตาเชื่อมเหมือนแช่อิ่มมาแรมปี…

“ปกติดุดัน แต่เมื่อกี้มันไม่ได้ดุนี่...” บิลกีสยืนยัน เขาเลยได้แต่ยิ้มน้อยๆ
ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องถามเธอในขณะที่จ้องใบหน้าเธอแน่วแน่ว่า

“เธอเคยเป็นมั้ย…ที่สามารถมองใครคนนึงที่แทบหาความสวยไม่ได้บนใบหน้า
แล้วเราก็พยายามประมวลผลเข้าข้างเขาด้วยการบอกตัวเองว่าเขาสวย น่ามอง ดูเท่่าไหร่ก็ไม่เบื่อ…
แล้วเราก็สามารถมองเขาได้แม้ว่าเขาจะไม่สวย…ใครที่ว่าสวยก็ไม่น่ามองเท่าเขา…”

อันนี้มันฟังทะแม่งๆนะ…เขาหมายถึงใคร…ใครกันที่น่าสงสารปนน่าอิจฉาในคราวเดียวกันได้แบบนี้…

น่าสงสารเพราะเกิดมาไม่สวย แต่น่าอิจฉาตรงที่เป็นคนที่เขามองได้ไม่รู้เบื่อ…
ถูกเขามองคนเดียวไม่เหลียวมองสาวใดแม้ว่าสาวอื่นจะสวยปานใดแบบนั้น…ใครหนอ

หมอปองคงไม่ใช่…เพราะหมอปองทั้งสวย ฉลาด และก็นิสัยดี…
ชักจะอยากเป็นคนๆนั้นที่เขาว่าพอๆกับไม่ค่อยอยากจะเป็น…
เพราะว่าหน้าตาไม่สวยนี่แหล่ะ…

“แต่ฉันว่าไม่สวยแบบนี้นี่แหล่ะดีแล้ว…เป็นการประหยัดช่วยโลกไม่ให้ร้อน…”

บิลกีสกลอกตาไปมามองเขาอย่างไม่เข้าใจ เลยอดถามแบบซื่อๆออกไปไม่ได้…

“คนไม่สวยสามารถลดโลกร้อนได้ยังไง…” คนโดนถามคลี่ยิ้มน้อยๆแล้วตอบเธอว่า

“ก็คนสวยๆ ทำให้ผู้ชายร้อนรุ่ม ยิ่งสวยๆแล้วออกมาเดินอวดโฉมมากๆ ผู้ชายยิ่งร้อน
โลกมันจะอยู่ได้ยังไงเธอคิดดู…แค่ดวงอาทิตย์ดวงเดียวก็ร้อนแทบทนกันไม่ไหวแล้ว
ยิ่งพอสาวๆสวยๆออกมาเดินอวดความสวยกันเกลื่อนผืนปฐพีขนาดนี้…
ผู้ชายเรามันไม่ต่างจากภูเขาไฟอย่างฟูจิ ที่แค่นอนหลับนิ่งๆอย่างสงบๆ ไม่ได้มอดดับ
ดูไม่มีพิษมีภัย จนใครๆก็ชะล่าใจขึ้นไปปีนป่ายกันใหญ่…ถ่ายรูปกันอย่างสนุก
แต่ลองพอมีอะไรมากระตุ้นมันก็พร้อมจะปล่อยลาวาร้อนๆที่กักเก็บไว้ออกมาเพ่นพ่านได้อยู่ดี…
และเธอลองคิดดูว่าโลกท้ังใบมีผู้ชายกี่คน…”

ว่าพลางตักผัดผักเข้าปากเคี้ยวไปด้วย

“แล้วคนไม่สวยล่ะ…”

มันอดสงสัยไม่ได้นะว่าคนไม่สวยมันไม่มีแรงกระตุ้นภูเขาไฟฟูจิให้ตื่นเลยรึไง

“ก็ลดโลกร้อนได้ในระดับนึง…เพราะผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ค่อยหันมาสนใจคนไม่สวย...
ภูเขาไฟฟูจิเลยไม่ปะทุ…ลาวาก็ยังอยู่ใต้พื้นพิภพต่อไปไม่ออกมาเพ่นพ่่านทำใครเดือดร้อนไงล่ะ…”

“ทำไมต้องฟูจิ ไม่การากาตัว…” มันน่่าสงสัยมั้ยล่ะ

“เพราะฟูจิหล่อไง…ใครๆก็บอกว่ามันหล่อจนน่าหลงใหล…และมีความอดทนสูง…
โดนปลุกก็ไม่สะดุ้งตื่นหรือเธออยากให้มันต่ืน…จะลองไปปลุกมันก็ได้นะ
แต่ฉันว่าอย่างเธออยู่ลดโลกร้อนต่อไปน่ะดีแล้ว อย่าคิดจะไปปลุกภูเขาไฟเลย…”

เขาว่ายิ้มๆก่อนจะจิ้มหัวหมึกส่งเข้าปาก

“หมายความว่าไง…”

“อ่ะ…งั้นกินปลาอีกหน่อย…” ว่าแล้วก็ส่งปลาป้อนถึงปากเธอเลยทีเดียว
บิลกีสยอมกินอย่างว่าง่าย จนทำให้คนป้อนถึงกับหัวเราะเบาๆออกมา
และเหมือนจะตัดสินใจได้แล้วว่า

“จริงๆแล้วฉันไม่ชอบผู้หญิงฉลาดไปเสียทุกอย่างเท่าไหร่เลย…
ฉลาดไปหมด…บางทีก็ไม่สนุก…หรือสวยจนไร้ที่ติก็ไม่มีเสน่ห์สู้คนที่มีตำหนิเต็มหน้า
ให้จดจำได้ติดตาติดใจก็ไม่ได้…”

เขากำลังด่าหรือว่าชมใครอยู่ใช่ไหม…คนที่เขาว่าไม่สวยนั่นใช่ไหม…
แล้วมันใคร…ใช่เธอหรือเปล่านะ!!!

“เธอคิดเหมือนฉันรึเปล่ากีส…” อดไม่ได้ที่จะต้องการการยืนยัน

อย่างน้อยก็ควรมีใครสักคนในโลกที่เห็นด้วยกับความคิดนี้ของเขาบ้าง

บิลกีสพยักหน้าพลางเคี้ยวปลาที่เขาขยันป้อนให้โดยไม่อายว่าใครจะผ่านมาเห็นเข้า…
เธอก็หน้าไม่อาย รับบริการป้อนถึงปากอย่างไม่สะทกสะท้านว่าใครจะอิจฉาตาร้อน

ตั้งแต่มื้อเช้าแล้วที่เขาเปลี่ยนไป วันนี้มันวันโกหกสากลรึเปล่านะ…

“คิดเหมือนกัน…แต่ก็สงสัยว่าใครกันที่คุณพูดถึง…ใช่ฉันรึเปล่า…”

เหมือนจะเห็นเขี้ยวคนกินปลางอกออกมา…ฉลามแน่ๆ
เพราะมันเป็นสัตว์ที่กินปลาทะเลเป็นอาหารและมีฟันคม…
และคงเป็นฉลามท้องอ่อน…ถึงได้มีดวงตาดุดันได้ขนาดนี้…

“ถ้าบอกว่าใช่จะกระโดดกอดคอหอมแก้มฉันรึเปล่าล่ะ…”

“แน่นอนสิ…” จะกระโดดงับหัวกลืนลงท้องเป็นอาหารให้ลูกน้อยเสียเลยให้รู้แล้วรู้รอดไป

“งั้นก็ใช่แล้วล่ะ…คำตอบสุดท้ายคือ…เธอ!” เขาเฉลยพร้อมรอยยิ้มเต็มดวงหน้า
และลามเลยไปจนถึงลูกกะตา…

“เธอควรจะรู้ว่าฉันพูดความจริง…” เขาไม่วายปลอบประโลมให้คนที่ดวงตาเหมือนมีลูกไฟ
กำลังแตกประกายให้สงบลง

“ความจริงไม่เคยฆ่าใครนะกีส…”

“แต่มันกำลังจะฆ่าคนพูดนี่แหล่ะ…” บิลกีสเคี้ยวปลาในปากจนละเอียด
จินตนาการว่ามันคือตับของคนตรงหน้า

“ฉันตาย…เธอก็เป็นม่ายซะก็เท่านั้น…เป็นแม่ม่ายลูกติดตอนอายุเฉียดสี่สิบน่ะขายออกยากนะกีส คิดดูดีๆ…”

บิลกีสมองเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“เพื่ออนาคตของลูกเรา…เธอควรดับไฟในตาเธอซะ…แล้วกินปลาต่อ
เพราะนอกจากจะทำให้เธอฉลาดแล้ว ลูกเราจะพลอยฉลาดไปด้วย…”

บิลกีสค้อนคนพูดตาคว่ำ ไม่รู้ว่าวันนี้เขาไปกินอะไรผิดสำแดงมา
ถึงได้พูดไฟแลบ แถมยังยียวนกวนอารมณ์เธอให้คุกรุ่นได้ตลอดตั้งแต่เช้าแล้ว…

ทั้งๆที่ปกติออกจะเฉยชาไร้อารมณ์ความรู้สึก…



เสร็จจากการรับประทานอาหารเขาก็ทำให้เธอแปลกใจได้อีก ด้วยการบอกว่า

“ฉันจะพาเธอไปซื้อเสื้อผ้านะ…” บิลกีสหันมามองหน้าเขา

นี่อย่าบอกนะว่าเขาคิดจะมาจีบและเอาใจเธอตอนนี้…มันไม่ช้าไปหน่อยหรือ

เพราะตั้งแต่เช้า ก็ออกไปตลาด ทำกับข้าวให้กิน ป้อนข้าวให้ทฉีกทุเรียนให้กิน แล้วก็จะเช็ดปากให้
พามาฝากครรภ์ แล้วกินข้าวกลางวันด้วยกันครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมา

แถมยังพามาเดินชอปปิ้งซื้อเสื้อผ้าให้อีก

…โอ้…โปรโมชั่นที่มาเป็นเซ็ตแบบนี้มีหลังแต่งงานด้วยหรือเนี่ย…

“ทำไมล่ะ…ในเมื่อเธอควรจะมีชุดคลุมท้องเอาไว้…”

เขาก้มลงมองคนที่ตัวเตี้ยกว่าอยู่ไม่น้อยอย่างขัดใจ

“ก็คุณมาแปลกมาก…”

“แปลกแต่ชอบไม่ใช่หรือ….” ก็อยากจะบอกว่าชอบอยู่เหมือนกัน
แต่มันติดอยู่ตรงที่ว่า

“ของแปลกมันจะมีมาบ่อยๆให้เห็นรึเปล่า…” เขายิ้มให้ทันทีกับคำถามแบบตรงไปตรงมาแบบนั้น

“ก็ขึ้นอยู่กับตัวแปรสำคัญ…”

“อะไร? ตัวแปรสำคัญ…”

“หัวใจฉันไงล่ะ…” เขาเฉลยเมื่อสบตาเธอก่อนจะกุมมือเธอแล้วจูงไปยังร้านเสื้อผ้า
ทว่าบิลกีสยื้อเอาไว้ แล้วกระซิบบอกเขาว่า

“ถ้าคุณอยากซื้อชุดคลุมท้องให้ฉัน…ฉันว่าเราไปที่อื่นเถอะ…ของในห้างมันแพงเกินไป…”

“ก็ฉันยินดีจะซื้อให้…” เขาว่า บิลกีสส่ายหน้า

“เสื้อที่ไหนๆก็ใส่คลุมท้องได้เหมือนกันฉันไม่ซีเรียส เพียงแต่ว่า
เราควรจะประหยัดเงินไว้ซื้อบ้านดีกว่า…ไปซื้อที่ตลาดนัดดีกว่านะ
ในห้างมันผลาญเงินเราเกินไป…และที่สำคัญ…ชุดคลุมท้องฉันใส่กี่เดือนเอง…ไปที่อื่นกันเถอะ…”

ว่าแล้วก็ลากเขาไป แต่คนที่ตัวเล็กกว่าจะมีปัญญาลากคนตัวโตได้อย่างไร

“ทำไม…เธอคิดว่าฉันไม่มีความสามารถซื้อเสื้อผ้าดีๆหรูๆให้เธอหรือไง…” เขาว่าด้วยสีหน้าน้อยใจ

“ฉันเปล่าคิดแบบนั้น…ไม่เคยดูถูกคุณ…แต่อยากช่วยคุณประหยัด
อะไรที่ลดทอนค่าใช้จ่ายลงได้ ฉันยินดีและเต็มใจ…เรื่องเสื้อผ้าน่ะเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว…
ฉันไม่เคยเอามันมาเป็นเรื่องใหญ่ มีให้ใส่ปกปิดร่างกายไม่ให้อับอายชาวบ้านก็พอแล้ว…

ถ้าเรามีเงินเหลือเฟือเมื่อไหร่ ฉันสัญญาว่าจะคะยั้นคะยอให้คุณซื้อเสื้อผ้าหรูๆมาให้ใส่เลย…
ถึงตอนนั้นอย่าแอบพาสาวอื่นไปซื้อด้วยก็แล้วกัน…”

เธอว่าด้วยสีหน้ายิ้มรื่นระคนคาดโทษ แล้วจูงเขาออกจากห้างไป…

…เรื่องอะไรที่เธอจะเอาเงินที่เขาหามาอย่างยากลำบากไปผลาญในสิ่งที่ไม่จำเป็นในตอนนี้เล่า…




วันนั้นเธอกับเขาจึงเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าตามตลาดนัดจตุจักรกัน
ก่อนจะหอบทั้งเสื้อผ้าและต้นไม้ที่เขาชอบกลับมาด้วย…

“ว้าว…มีของติดไม้ติดมือมาเยอะแยะเลย…” ดุจมณีเปิดปากพร้อมรอยยิ้มกว้างขวาง
ต้อนรับการกลับมาของทั้งสอง

“ทุกอย่างอยู่ในความสงบเรียบร้อยใช่ม้ัยน้องสาวพ่ี…”
ขุนพลยกมือขึ้นวางบนศีรษะน้องสาวหลังจากวางข้าวของลงแล้ว

“เรียบร้อยค่ะ…” หญิงสาวรายงานผลหน้าที่ความรับผิดชอบในวันนี้

“ว่าแต่พี่กีสล่ะคะ…หมอว่าหลานไอซ์กี่เดือนแล้วคะ…”

“สามเดือนจ๊ะ…และก็ไม่มีปัญหาอะไรด้วย…” บิลกีสตอบพร้อมรอยยิ้ม

“แล้วพี่ก็ซื้อกำไลมาให้เราด้วย…ทำจากไม้อะไรก็ไม่รู้พี่เห็นเขาแกะสวย
และดูเหมาะกับข้อมือน้องไอซ์ เห็นแล้วอดใจไม่ไหว เลยซื้อมาฝาก…”
ว่าพลางก็ดึงข้อมือสวยของดุจมณีมาแล้วสวมกำไลดังกล่าวให้

“สวยจริงๆด้วยสิคะ…ไม้ก็ห้อมหอม…”

“กฤษณาหรือจำปาล่ะ…” ขุนพลอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้
เพราะไม้หอมที่นำมาแกะเป็นเครื่องประดับมีไม่กี่ชนิด

“ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่เห็นลายมันสวย ฝีมือการแกะประณีตงดงาม เลยอุดหนุนคุณปู่มา…”

ก็เธอเห็นคุณปู่นั่งแกะงานอย่างมุ่งมั่น เลยอดไม่ได้ที่จะนั่งลงดูงานฝีมือของคุณปู่แล้วก็เจอเข้ากับ
เครื่องประดับชิ้นดังกล่าว

“ขอบคุณนะคะพี่กีส…ไอซ์ชอบมากๆค่ะ…” ว่าแล้วก็โผเข้ากอดพี่สะใภ้

“มีขนมมาฝากเราด้วย…ไปกินด้วยกันมั้ยล่ะ…” ขุนพลชวนน้องสาว

“ชักอยากให้พี่ไนท์หยุดงานสักปี…ไอซ์จะได้มีวันดีๆแบบนี้ไปตลอดทั้งปี…
พี่กีสเองก็จะได้ไม่เหงาเนาะ…” ดุจมณีอดไม่ได้ที่จะพูดออกไปดังใจคิด

ก็เพราะเวลาที่ได้อยู่กับพี่ชายเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ เพียงแต่อีกคนดูจะไม่ค่อยว่าง…

“หยุดงานทั้งปี เราก็อดตายกันทั้งปีน่ะสิ…” ขุนพลอดโยกหัวน้องสาวอย่างเอ็นดูไม่ได้…

“อดตายได้รึเปล่าล่ะฮึ…”

“แหะๆ…” ดุจมณีหัวเราะแหะๆทันที่ที่ได้ยินเช่นนั้น

“พี่ไนท์ทำอะไรๆอร่อยๆให้กินอีกนะมื้อนี้…” ดุจมณีออดอ้อนพี่ชาย
เพราะนานๆครั้งจะมีโอกาสงามๆแบบนี้

“เอาสิ…ว่าแต่พี่สาวเราเขาไม่งอนเอาหรือ…”

“ไม่งอนหรอกค่ะ…สบายจะตาย…แต่ไม่เอาเมนูตับน้า…”

บิลกีสส่งสายตาเว้าวอนมายังพ่อครัวชั่วคราว ทำเอาขุนพลถึงกับส่ายหน้าพลางยิ้มน้อยๆ

อยากดึงร่างนั้นมาสวมกอดแล้วมอบจุมพิตให้ใจจะขาด
แต่ก็รู้ว่าทำไม่ได้ เพราะเขายังตกอยู่ในสภาพ ‘แร้งเฒ่า’
แม้ว่าวันนี้ อาการของเธอจะไม่ได้รุนแรงอย่างก่อนหน้านี้เพราะเขาเข้าใกล้ได้มากขึ้น
แต่สีหน้าคนที่เดินเคียงข้างเขามาทั้งวันมันก็บอกเขาได้ดีว่า อาการแพ้ท้องของเธอยังมีอยู่…

“จะทำเมนูโปรดให้กินทั้งคู่นั่นแหล่ะ…” เขาบอกอย่างใจดี…

ดุจมณีเลยกระโดดเข้ากอดและหอมแก้มพี่ชายทันที ส่งผลให้บิลกีส
ได้แต่ยืนยิ้มอย่างอิจฉานิดๆที่ตนไม่สามารถทำแบบนั้นได้

หรือว่าจะลองเสี่ยงให้อาเจียนออกมา คิดได้ดังนั้นจึงเดินเข้าไปหาเขา
แล้วหอมแก้มเขาอีกข้างที่ดุจมณีไม่ได้หอม…ทำเอาขุนพลถึงกับอึ้ง
หันมามองภรรยาของตนอย่างไม่อยากจะเชื่อ…

“รางวัลให้คนใจดีไงคะ…”

“ไม่เหม็นฉันแล้วรึไง…” เขาถามอย่างมีความหวัง

“นิดหน่อยค่ะ…แต่ห้ามใจไม่ไหว…” รับออกมาอย่างหน้าไม่อาย
ไร้จริตเสียจนคนฟังถึงกับคลี่ยิ้มออกมาแล้วหอมแก้มเธอทั้งสองข้างแบบเร็วๆ

“แหมๆ…มาหวานกันต่อหน้าต่อตาแบบนี้ ไม่มีเกรงใจกันเลยนะคะ…
น้องนุ่งยืนอยู่ทั้งคน เห็นเราเป็นฝุ่นผงไปได้ยังไง…”

“อิจฉาพี่ก็หาคนของเราสักคนสิ…”

“ใครเขาจะมาสนใจไอซ์กัน…” ดุจมณีหน้าม่อย

"หน่า…เดี๋ยวได้เวลา ราชรถก็มาเกยถึงที่เองแหล่ะ…ดูอย่างพี่กีสของเราสิ…
ส่งนกมาให้จนพี่ต้องเกาะปีกนกกะเรียนนั่นบินไปขอแต่งงานกับเจ้าของมันถึงร้านอาหาร…
แถมเจ้าของนกยังไม่อิดออด ตอบรับพี่แล้วบินกลับมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน…

ดังนั้น…เวลามันมาถึง เราอาจจะตั้งตัวไม่ทันก็ได้จริงมั้ยกีส…”

บอกน้องสาวแล้วก็ไม่วายหันไปทางคนที่ยืนย้ิมหน้าแดงอยู่ไม่ไกล

…เอ…ถอยห่างออกไปตั้งแต่ตอนไหน…นี่เขาคงจะส่งกลิ่นเหม็นรบกวนจมูกเธออีกล่ะสิ…
ถึงกระโดดออกไปไกลซะขนาดนั้น…

“จริงหรือคะพี่กีส…” บิลกีสยิ้มเขินเมื่อนึกถึงวันที่เขาขอเธอแต่งงานมันดูแปลก
ไม่มีอะไรหวานซึ้งแต่เธอก็ตอบตกลงอย่างง่่ายดาย
ง่ายจนกังวลในภายหลังว่าเขาจะดูถูกเธอในความง่ายนั่นหรือเปล่า

“ค่ะ…พี่ตอบตกลงง่ายจนกลัวว่าตัวเองใจง่ายไปรึเปล่าเหมือนกัน…”

“ถ้าเธอใจง่ายคงไม่เหลือสิ่งสำคัญมาถึงฉันหรอก…” ขุนพลบอก
เพื่อยืนยันว่าสำหรับเขาแล้ว เธอคือคนสำคัญ

“ที่เหลือเพราะไม่มีใครสนมากกว่า…” บิลกีสว่า

“ถ้างั้นก็มีแต่ผู้ชายตาบอดมองไม่เห็นเธอ…แล้วฉันตาแหลมที่หยิบชิ้นปลามันมาได้สำเร็จ…”
เขาว่าหน้าตาเฉย

“ถ้าตอนที่ฉันไปขอเธอตอนนั้นฉันรวยและมีชื่อเสียงอย่างแต่ก่อน แล้วเธอตอบตกลงง่ายๆ…
ฉันอาจจะคิดมากก็ได้…แต่สภาพฉันตอนนั้นมีแต่ปัญหายุ่งเหยิง…ชื่อเสียงป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี…
ขนาดของกำนัลวันแต่งให้เธอก็มีแค่แหวนเงินของแม่ที่ติดนิ้วฉันมาตลอดเท่านั้นที่ให้เธอได้…
เพราะสมบัติท่ีพอมีค่าฉันขายทอดตลาดไปหมดแล้วก่อนหน้านั้น…

ถ้าเธอไม่ใจดีตอบตกลงแต่งงานกับฉัน ฉันอาจจะมายืนตรงจุดนี้อย่างตอนนี้ไม่ได้หรอกนะ…
มันเร็วกว่าที่คิดและเหนือความคาดหมายของฉันด้วยซ้ำ…

เธอก้าวเข้ามาพร้อมสิ่งดีๆในชีวิตของฉัน…โดยที่เวลาไม่เท่าไหร่ ฉันก็ตั้งหลักได้อย่างมั่นคงขึ้น
เพราะมีเธอ…จริงๆนะกีส…”

เขาบอกเธอด้วยแววตาซ่อนความภูมิใจ พอใจในตัวเธออยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว…

บิลกีสได้ฟังถึงกับน้ำตารื้นออกมาด้วยความซาบซึ้ง…

“แน่ะ…หวานกันอีกแล้ว…ไอซ์โดนกองทัพหมดไต่มาถึงคอแล้วค่ะ…อิจฉาๆ…”

ดุจมณีเย้าคนทั้งสองแล้วหิ้วถุงขนมเข้าไปกินเล่นตรงโซฟา
ปล่อยให้สองสามีภรรยายืนสบตากันโดยเว้นระยะห่างเอาไว้แต่พองาม…

แต่เพราะเหมือนมีแรงดึงดูดจากกันและกันทำให้ร่างสองร่างดูดเข้าหา
กอดกันกลมสมใจโดยที่บิลกีสมิได้มีอาการแพ้ท้อง เหม็นแร้งเฒ่าอย่างที่ควรจะเป็นอีก…

มหัศจรรย์…เธอไม่เหม็นเขาแล้ว…

“คุณไม่โกรธฉันใช่มั้ยที่ปล่อยให้ท้องทั้งๆที่คุณบอกแล้วว่าเรายังไม่พร้อม…”

ขุนพลจับบ่าของเธอออกห่างเพียงนิดเพื่อมองใบหน้าและสบตาคนถาม ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ

“ทำไมฉันต้องโกรธที่เธอท้อง…ที่ฉันแสดงออกว่าไม่พ่อใจเพราะว่า
เธอไม่ยอมสารภาพกับฉันตรงๆ…ปล่อยให้ฉันว้าวุ่นใจไม่เลิก…”
เขาสารภาพออกมาตรงๆ ส่งผลให้บิลกีสถึงกับเบิกตากว้าง

“ฉันก็นึกว่าคุณโกรธ…เลยไม่กล้าบอก…”

“ไม่หรอก…เมื่อก่อนฉันอาจพูดด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ
แต่พอรู้ว่าเธอท้องและฉันกำลังจะได้เป็นพ่อของใครสักคน
ความรู้สึกบางอย่างมันทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ รู้สึกมั่นคง สงบลง ความเปรมปรีจึงตามมา…

และฉันก็รู้ด้วยว่า เธอไม่คิดจะกินยาคุมกำเนิดทั้งๆที่รู้ว่าฉันเองก็ไม่เคยคิดจะป้องกัน…
เพราะเธออยากมีลูก…

ผู้หญิงที่ยอมแต่งงานทั้งๆที่รู้ว่าเจ้าบ่าวมิได้ใยดีรักใคร่ จะยอมได้ก็ด้วยเพราะรักและต้องการเป็นแม่คน…
หรือไม่ก็เพราะหวังในทรัพย์สมบัติซึ่งอย่างหลังไม่ใช่แน่ เพราะฉันไม่มีสิ่งดังกล่าวให้เธอ

และถ้าฉันมองไม่ผิดเธอยอมด้วยเหตุผลในสองประการแรก…”
แล้วเขาก็โอบกอดเธอกระชับแน่นขึ้น

“เราสองคนต่างเฉียดสี่สิบด้วยกันทั้งคู่ ถ้าไม่มีลูกตอนนี้ก็คงมีได้ยากขึ้น
ความเป็นไปได้ก็ดูจะน้อยลง…ฉันอยากบอกว่าฉันดีใจที่รู้ว่าเธอกำลังจะมีลูกกับฉันนะกีส…
และไม่คิดจะหย่ากับเธออีกแล้ว…”

บิลกีสซาบซึ้งใจจนน้ำตาใหลลงอาบแก้มจนเปื้อนเสื้อเขา…

“ฉันก็ไม่อยากหย่ากับคุณ…ไม่เคยคิดจะหย่า…เลยยึกยักท่ามาก
หาเหตุผลสารพัดเพื่อจะไม่ไปจากคุณ…คุณอย่าบอกให้ฉันไปนะคุณไนท์”

เขาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้างขวาง

“จะให้เธอไปจากฉันได้ไง…มีแต่จะขอร้องให้เธออยู่ด้วยซ้ำ…”

เขาสารภาพขณะสบตาคู่นั้นก่อนจะจูงมือหญิงสาวเข้าห้องส่วนตัวไป…

ดุจมณีที่กินขนมอย่างเอร็ดอร่อยท่ีโซฟาในห้องรับแขกหันมามองพี่ชายกับพี่สะใภ้
ที่เดินคลอเคลียเข้าห้องไปก็ได้แต่ยิ้มออกมา…

แทบไม่ต้องจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังประตูที่ถูกปิดลงนั่น…

เธอไม่ได้เป็นเด็กน้อยๆที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอีกต่อไป…และจำได้ทุกอย่างแล้ว…ไม่ได้สติหลุดอีกแล้ว…
จิตที่หายไปกลับมาสถิตย์อยู่ที่เดิมที่มันควรจะอยู่…
ปมสาเหตุที่ทำให้จิตวิญญาณของเธอหลุดลอยไปนานถูกแก้ไขลงแล้ว…

ความเจ็บปวดที่ทำร้ายจิตวิญญาณเธอจนเกินจะทานทนได้ในครั้งนั้นมลายสิ้นไป
พร้อมกับใจดวงใหม่ที่สะอาดเอี่ยมอ่องผ่องใสยิ่งกว่าเก่า

ต้องยกความดีและความอดทนของพี่สะใภ้ท่ีไม่ปล่อยให้หญิงสาวอย่างเธอตกอยู่ในสภาพเด็กน้อยในร่างผู้ใหญ่
และต้องยกความดีให้กับพี่ปองขวัญที่พาเธอไปพบกับความจริงที่บ้านหลังนั้น…

และที่สำคัญ…พี่ชายที่แสนดีที่คอยประคับประคองเธอมาตลอด
ทั้งๆที่ตัวเองก็เจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าใคร ซ้ำอาจจะยังมากกว่าด้วยซ้ำ

หากหัวใจนั้นช่างยิ่งใหญ่นัก…ถึงได้แบกรับทุกความเจ็บปวด
ทุกความรับผิดชอบเอาไว้โดยไม่เคยบ่นออกมาให้ได้ยิน…




ขุนพลมองร่างที่เขากอดเอาไว้หลวมๆบนเตียงนอนด้วยแววตาที่เปล่ียนไป…
ไออุ่นจากอ้อมกอด แววตาที่โอนอ่อน ทุกอย่างคือภาพสะท้อนที่ทำให้เขา
ไม่อยากปล่อยให้เธอโบยบินจากไป และทำให้อยากกลับมาหาแทบจะทันทีที่เสร็จสิ้นภารกิจ…

เพราะเธอนั้นคือแรงแห่งแสงตะวันให้เขาก้าวเดินต่อไป…

เขาเคยตั้งคำถามกับตัวเองนับร้อยๆครั้งเพื่อจะค้นหาความจริงในหัวใจตัวเอง
ว่าเหตุใดที่ทำให้เขาอยากค้นหาเจ้าของนกกะเรียนที่ถูกส่งมาให้อย่างสม่ำเสมอ
และเมื่อพบแล้ว ทำไมเขาจึงไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียวที่จะขอเธอแต่งงาน
ท้ังๆที่เคยหวงความโสดยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด

แต่เขาก็ขอเธอแต่งงาน เธอซึ่งไม่ได้มีความสวยงามจับตาจับใจ
ผู้หญิงธรรมดาที่หาเช้ากินค่ำ ไม่สนใจว่าโลกจะหมุนไปทิศทางใด
ผู้หญิงที่อยู่ตัวคนเดียว แต่ก็พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อส่วนรวม…

ในความโดดเดี่ยวที่เขาค้นเจอในชีวิตเธอคือความเข้มแข็งและอดทน
ชนิดที่เขาไม่เคยพบในหญิงใดที่รู้จักและผ่านเข้ามาในชีวิต…

และนั่นคือคุณสมบัติที่เขาบอกตัวเองว่าเธอเหมาะจะมาเป็นภรรยาของเขา…

ถ้าเป็นในวันวาน ในยามที่ชีวิตเขารุ่งโรจน์ มิได้ล่มจมพลิกหงายพลิกคว่ำ
เขาคงมองเมินเธอไปโดยไม่เคยเห็นเธออยู่ในสายตา

แต่พอเกิดวิกฤติชีวิตขึ้น เธอกลับเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขาเรียกหา…
แล้วเธอกลับไม่แม้แต่จะปฏิเสธเขา…

ในความง่ายดายนั้นทำให้ชีวิตอันยากเย็นแสนเข็ญที่เขาประสบอยู่กลับง่ายดายตามไปด้วย…
เขาค้นพบทางออกที่ง่ายดายและสามารถพาตัวเองและครอบครัวออกไปจากความยุ่งยากต่างๆ
ได้สำเร็จในระยะไม่นาน…

ปัญหาที่เคยเป็นปัญหาที่ยากต่อการแก้ไข ก็ได้เธอเข้ามาปลดปมที่ถูกขมวดเอาไว้ได้อย่างง่ายดายอีกเช่นกัน…

เขาไม่พบว่าเธอคนนี้ทำอะไรไม่ได้…ขนาดเรื่องที่ผู้หญิงที่เขารู้จักพากันเดียดฉันท์
อย่างการอยู่ดูแลบิดาของเขาที่ป่วยด้วยโรคที่สังคมรังเกียจ
เธอกลับทำมันได้อย่างง่ายดายราวกับว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องยากเย็นอะไร…

ไม่เรียกร้องการตอบแทนใดๆ ไม่บ่นให้น่ารำคาญ ไม่ฟูมฟาย มีแต่ปล่อยน้ำตาให้อาบแก้มเงียบๆ

เพราะเขาสังเกตเห็นคราบน้ำตาบนแก้มเธอหลายครั้ง แต่ไม่ได้ยินเสียงคร่ำครวญจากเธอ…
หัวใจของเธอนั้นมีคุณค่าเกินบรรยายและมีความหมายเหลือเกิน

…เธอทำให้เขาได้เข้าใจและได้รู้ว่าความรักที่แท้จริงมีค่ากว่าราคาสิ่งใดๆทั้งหมด

…รักแท้ที่เกิดขึ้นหลังแต่งงาน…รักที่มีความเอื้ออาทร รักที่เขาไม่เคยได้สัมผัสจากหญิงใด…
แม้แต่รักแรกที่เขาได้สัมผัสก็มิพานพบกับความรู้สึกเฉกเช่นนี้…

“ไม่หิวข้าวรึไงฮึ…” ขุนพลถามขณะก้มลงหอมแก้มเนียนนุ่มนั้น
ก่อนจะกระชับอ้อมกอดแนบกับแผ่นหลังของเธอ

“หิว…แต่…คนทำยังไม่ยอมลุกไปทำให้กิน…” เธอว่าเสียงออดอ้อน
ทำเอาคนฟังถึงกับอกแกว่ง…

“ก็เห็นนอนเหมือนแมวที่เพิ่งกินหนูตัวโตจนอิ่มหมีพีมันไปทั้งตัวแล้ว
เลยสงสัยว่าไม่หิวข้าวแล้วหรือ…” เสียงกระเซ้าเย้าแหย่นั้นดังชิดใบหู
หญิงสาวสร้างความเสียวซ่านอยู่ไม่น้อย ยิ่งลมหายใจอุ่นที่เป่ารดใบหน้านั้นอีก

“บางที…โลกเราอาจเปลี่ยนไปแล้วก็ได้…เพราะฉันเพิ่งพบว่าหนูตัวโต
เดินโชว์อย่างไม่กลัวตายเลยสักนิด…หนูที่เคยกลัวแมวแต่แล้วแมวกลับวิ่งหนีกลัวหนูกัดตาย…
แล้วหนูที่ว่าก็ดูจะสมบูรณ์อ้วนพี ส่วนแมวผอมลงทุกที…

ก็เลยคิดว่า…หนูสมบูรณ์อ้วนพีน่าจะกินแมวผอมๆซะละมากกว่ามั้งคะ…”

ตอนนี้ ‘แร้งเฒ่า’ กลายสภาพเป็น ‘หนูตัวโต’ ของแมวผอมๆไปเสียแล้ว

“แมวผอมๆกลัวหนูตัวโตจริงรื้อ…” เขากระเซ้าไม่เลิก

“ก็หนูไล่จับแมวนี่…ถ้าแมวไม่กลัวหนูมันคงไม่วิ่งหนีหรอก…” บิลกีสว่าอย่างขวยเขิน…

“สรุปว่าหนูตัวโตกินแมวผอมๆ ไม่ใช่แมวผอมๆกินหนูตัวโตจนพุงกาง”

“ใครพุงกาง…” บิลกีสแหวใส่คนใส่ร้ายป้ายสีทันที

“อีกสองเดือนได้เห็นชัดๆกันละว่าพุงใครกาง…”

ว่าพลางตีพุงตัวเองที่ยังคงเรียบตึงแน่นโชว์ให้แมวผอมๆเห็นเป็นสักขีพยาน…
ส่วนอีกคนไม่กล้าทำตาม เพราะรู้แน่ว่าอีกสองเดือนพุงใครกาง

“และอีกหกเดือน หนูที่แมวผอมๆกินเข้าไปก็จะออกมาดูโลกอีกครั้ง
กลายเป็นหนูน้อย…เป็นตาหนู เป็นคุณหนู เป็นเจ้าหนู แล้วก็เป็นไอ้หนู”

เขาว่าอย่างไม่สะทกสะท้าน…จนโดนบิลกีสทุบไปสองสามตุ๊บด้วยความหมั่นไส้หนูร่าเริง…

ขุนพลเลยคว้ามือที่กำลังประทุษร้ายเขามากุมเอาไว้แล้วยกขึ้นจุมพิต

“ฉันสัญญานะกีส…ว่าสักวันนึง ฉันจะรักเธอให้ถึงที่เธอให้ฉันมา…”

“ไม่อยากรอสักวันหนึ่งที่ว่าเลย…เป็นวันนี้ไม่ได้หรือคุณไนท์…”

คนฟังยิ้มกริ่มเมื่อได้ยินถ้อยคำออดอ้อนของแมวที่เคล้าเคลียเขาไม่ห่างกาย…

ขุนพลจึงกอบปลายเส้นผมนุ่มๆของเธอมาไว้ในอุ้งมือแล้วยกขึ้นจรดปลายจมูก
สูดดมกลิ่นหอมกรุ่นนั่นพร้อมรอยยิ้มพึงใจ

“ไม่เรียกร้องแล้วก็ได้…ไม่เห็นจะอยากได้เลย…”

น้ำเสียงเง้างอดของสาวเจ้าทำเอาขุนพลต้องวางเส้นผมนุ่มมือลงแล้วก้มลงจรดริมฝีปาก
ปิดเสียงร้องเรียกนั้นทันที…อีกนานกว่าจะปล่อยให้มันได้รับอิสรภาพ…

“ฉันรักเธอ…” คำว่ารักที่เขาพูดเบาๆบอกเธอข้างๆริมหูนั้นทำเอา
คนที่เพลิดเพลินไปกับจุมพิตของเขาถึงกับอ้าปากค้าง เบิกตาโต
เหมือนดอกไม้ไฟหมื่นๆดอกทะยานพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วบานเป็นประกาย

โลกดูสดใสขึ้นมาทันตา

“ขออีกครั้งชัดๆได้มั้ยคะ…” กลัวว่าตัวเองจะหูฝาดไป เลยขอให้เขาบอกกันอีกครั้ง ขออีกสักครั้งเถิด

“ฉัน-รัก-เธอ…”

เขายืนยันชัดๆอย่างที่เธอต้องการ…บิลกีสสั่นไปกับคำรักแผ่วๆของเขาที่บอกเธอ
แค่นี้ใจของเธอก็ลอยไปจนสุดขอบฟ้า

คำนี้แหล่ะที่เธอรอคอยจากเขา…รอคอยมานานแสนนาน…

อารามดีใจสุดขีด บิลกีสผวาลุกขึ้นโผเข้าสวมกอดเขา หอมแก้มเขาซ้ายขวา จูบหน้าผาก ปลายจมูก
และริมฝีปากที่บอกรักเธอหนักๆ ก่อนจะจรดริมฝีปากสิ้นสุดลงตรงปลายคางของเขา
แล้วรีบสวมเสื้อผ้า ไม่สนว่ามันจะกลับหน้ากลับหลัง หรือม้วนในออกนอก

พอสวมเสร็จก็ลุกผลุงเปิดประตูออกไปยังนอกห้อง เรียกหาดุจมณีเสียยกใหญ่ลั่นห้องชุด…
ดุจมณีวิ่งหน้้าตื่นเข้ามาหาก่อนจะตกใจเมื่อถูกพี่สะใภ้กระโดดกอดแล้วบอกออกมาดังๆ
ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจอย่างสุดจิตสุดใจว่า

“พี่ไนท์ของน้องไอซ์รักพี่…เขาบอกว่ารักพี่…น้องไอซ์ได้ยินมั้ยว่า
เขาบอกว่าเขารักพี่…เขารักพี่…” ดุจมณีผงกหน้าหงึกๆอย่างงงๆ

“ค่ะๆ…ไอซ์รู้…รู้ค่ะว่าพี่ไนท์รักพี่กีส…รักพี่กีสมากเลย…”

“พี่ดีใจจริงๆนะน้องไอซ์…ดีใจที่สุดในโลก…ในจักรวาลเลย”

เธออยากจะร้องให้ก้องฟ้าด้วยซ้ำไป…ประกาศให้คนทั้งโลกรู้…
อยากให้จักรวาลสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น…

ซึ่งตอนนี้เสียงตะโกนของเธอก็ถูกส่งไปถึงห้องของคนป่วย
ทำให้คนป่วยถึงกับคล่ีย้ิมออกมาอย่างอดไม่อยู่…

ส่วนขุนพลยืนพิงกายตรงขอบประตู้ห้องยิ้มกว้างขณะมองภาพหญิงสาวที่เขารัก
กำลังกอดน้องสาวของเขาแล้วพร่ำบอกคำสารภาพรักของเขาเมื่อครู่ออกไป
ด้วยสีหน้าท่าทางดีใจและมีความสุข…

เขาไม่เคยเห็นบิลกีสหลุดโลกได้ขนาดนี้มาก่อน…อย่าบอกนะว่าเธอติสท์แตก…

แต่มันช่างเป็นภาพความรู้สึกที่มีอิทธิพลในด้านบวกต่อเขาไม่น้อยเลย…

แล้วเมื่อเธอหันมาสบตากับเขา ราวกับโลกหยุดหมุน บิลกีสเดินมาหาเขา
สวมกอดเขา บอกเขาอย่างซื่อๆว่า

“ฉันรักคุณค่ะคุณไนท์…รักคุณที่สุด…” ขุนพลก้มลงกดจมูกลงกลางกระหม่อมของเธอ

“ฉันรู้…เพราะรู้…ถึงได้กล้าไปขอแต่งงานกับเธอดื้อๆแบบนั้น…
เพราะเธอคือผู้หญิงคนเดียวที่รักฉันจริงๆ…
จากวันนี้เธอคือที่สุดของฉัน....ฉันให้เธอที่หนึ่ง…หนึ่งในหัวใจฉัน…”

ถ้าไม่มั่นใจคนอย่างเขาจะไม่มีวันพูดมันออกไป…และนี่คือความมั่นใจ…

“ทั้งๆที่ฉันไม่คิดว่าจะรักใครได้อีก…แต่กับเธอ…ฉันไม่คิดว่าฉันจะรักใครได้เท่านี้เลย…
และเธอทำให้ฉันรู้ว่า…รักแท้เกิดขึ้นหลังแต่งงาน…”

เขามั่นใจยิ่งกว่ามั่นใจว่ารักนี้คือ ‘รักแท้’

และ รักแท้มีอยู่จริง!

ดุจมณียิ้มให้กับสองหัวใจที่ประสานกันเป็นหนึ่งเดียวซึ่งกำลังกอดกันกลมตรงหน้า
รัศมีแห่งความรักช่างน่าเย้ายวนใจเหลือเกิน

ทั้งๆที่เคยเห็นว่าพ่ีสะใภ้ต้องทุกข์ตรมแค่ไหนก่อนหน้านี้ ต้องอดต้องทนขนาดไหน
ต้องโศกเศร้าเพียงใด เธอเห็นและรับรู้ได้มาโดยตลอด จนแทบขยาดกับความรัก…

ยิ่งรักแรกในอดีตของเธอเองก็แสนแสบทรวงเมื่ิความจำหวนคืน
เลยนึกว่าอย่างไรก็คงต้องขอผ่าน ขออยู่อย่างสงบๆดีกว่า

หากพอได้เห็นภาพตรงหน้าในวันนี้ ดุจมณีก็อดไม่ได้ที่จะอยากสัมผัสกับ ‘ความรักแท้’ กับเขาบ้าง

…หวังว่าเธอจะได้รับโอกาสนั้นบ้างสักครั้ง…ขอแค่ครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น…

เพราะ…

…ความรักคือความเมตตาจากพระเจ้าโดยแท้…



.............โปรดติดตามตอนต่อไป.......................


อยากเขียนว่าจบบริบูรณ์ไปเลยนะเนี่ย ฮ่าๆๆๆๆ

หายหัวไปหลายวัน ยุ่งๆกับหลายๆเรื่องจ๊ะ แต่โชคดีที่ฝันดีปนร้ายจนได้พล๊อตนิยาย
แนวดราม่ากระชากอารมณ์มาอีกเรื่ิอง เขียนไปได้ครึ่งเรื่องแล้วด้วย
เอาไว้เรื่องนี้จบ โยจะเอาแนวดราม่าเรื่องที่กำลังเขียนมาแทนที่เรื่องนี้ให้อ่านกันนะคะ...

เรื่องนี้เหลือไม่มากแล้ว ถ้าเต่าไม่เถลไถลคงปั่นจนจบในไม่ช้า เฮะๆ

ขอบคุณแรงใจจากนักอ่านที่ติดตามอ่านเรื่องนี้มากๆเลยนะคะ....
ไม่ว่าจะมาจากแห่งหนตำบลใด ขอบคุณมากๆเลยค่ะ


....คุยกับนักอ่านจากตอนที่แล้วจ้า...

1.คุณใบบัวที่น่ารัก....เรื่องนี้พระนางไม่หล่อไม่สวยเหมือนเรื่องอื่นๆของเต่าโย...
แต่แมนและมั่นจ๊ะ...เพราะโยถือว่า....รักแท้เกิดขึ้นได้ไม่ว่าคนทั้งสองจะหน้าตาหรือนิสัยเช่นไร
ความสมบูรณ์แบบของคนสองคนอาจเกิดขึ้นเมื่อได้มารวมตัวกันอย่างลงตัว
และให้เรื่องราวในเรื่องนี้เป็นคำตอบ...ว่า...แม้หน้าตาจะไม่เข้าตากรรมการนอกสนามหรือนอกสังเวียน
แต่ความเพียรและรักที่มั่นคง สามารถทำให้คนสองคนหลอมรวมกัน
รักกันจนเกิดเป็นรักแท้ได้ในโลกของความเป็นจริง

2.คุณโอชิน...เนื้อคู่ของน้องไอซ์เป็นใครนั้น...ต้องมาลุ้นกันค่ะ....อาจไม่ใช่อย่างที่คิดก็ได้นะคะ
หรือจะใช่ดี....ฮ่าๆๆ

3.คุณnapt....ตอนนี้แร้งเฒ่ากลายร่างเป็นหนูตัวโตไปแว้วววววววววววว...
ตอนนี้หวานพอมั้ยคะ ถ้าอยากให้หวานกว่านี้อีก...ลองรีเควสกันมาได้นะคะ....อิอิอิ

4.คุณแว่นใส....แร้งเฒ่าเปิดปากสารภาพแว้วววววววววววว...หลังจากโดนแมวผอมๆสำแดงอิทธิฤทธิ์ อิอิ

5.คุณRightHand....คราวนี้ได้ทีหนูไล่กินแมว...อิอิอิ...แต่ไปไงมาไงไม่รู้ แมวกินหนู
เอ๊ะ หรือหนูกินแมว..แต่ที่แน่ๆ มีคนอิจฉาคู่นี้แล้วหนึ่งคน....เหอๆ

6.คุณตุ๊งแช่....แสดงว่าเป็นคนรักการกินตับนะคะนั่น...โยอ่ะไม่ชอบกินตับ
แต่ถ้าเป็นตับของพระเอกเรื่องนี้ก็ไม่แน่เหมือนกัน....ฮ่าๆๆ
รอบนี้กะจะให้หวานลบความขม...แต่ถ้ายังไม่สาสมใจ แนะนำมาได้นะคะ
ว่าอยากให้โยเอาสองพระนางไปดองกี่วัน และแช่อิ่มอีกกี่เดือน รับรองว่า
คราวหน้า หวานมาแน่ๆ 555


สุดท้ายไม่ท้ายสุด...ขอบคุณนักอ่านจากทางเฟสบุ้คที่ส่งกำลังใจมาให้เต่าโยด้วยนะคะ
แถมยังช่วยต้อนไก่ที่เต่าโยปล่อยไปกลับสู่ฟาร์มด้วย...เฮะๆ....ขอบคุณมากๆค่ะ

และก็ขอขอบคุณทุกไลค์ที่กดให้ ทุกๆวิวที่เข้ามาอ่านกันนะคะ...

...รักษาสุขภาพนะคะ....

"เต่าโย"




yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.พ. 2558, 15:12:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.พ. 2558, 15:14:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 2715





<< บทที่ 12 อยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ   บทที่ 14 แมวดำแมวลาย >>
ตุ๊งแช่ 4 ก.พ. 2558, 16:19:18 น.
วะว้าววว บอกรักกันแล้ว ตอนหน้าคลอดลูกเลยนะ 555
ตอนนี้ตรงดี ตรงจนแปลกใจ ไม่มีมาม่าดีแหะ ได้ฟิวไปอีกแบบ


ใบบัวน่ารัก 4 ก.พ. 2558, 18:17:52 น.
ก่าจะพากันไปฝากท้องเค้ากินข้าวไป2-3 จานแล้ว
กินผัก ขนมด้วย กินปลาอย่างเดียวก็แย่อะดิ
ถ้ามีน้ำจิ้มแซบ น่าจะดีกะคนท้องนะ


แว่นใส 4 ก.พ. 2558, 21:03:12 น.
อยากให้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งจัง ใครจะมาเป็นคู่ดุจมณีนะ


napt 5 ก.พ. 2558, 08:03:17 น.
หวานลืมโลกมากค่าาา ชอบ ^^ ฮากิสอ่ะ ชีรั่วได้ใจ


RightHand 5 ก.พ. 2558, 17:12:54 น.
น่ารักก็รักเลยสิ ฮาาา ว่าที่คุณแม่เพิ่งถูกบอกรัก คงจะดีใจน่าดู ว่าแต่คุณโยล่ะ มีรักแท้หรือยังคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account