ตะวันต้องลม
เขาคิดมาเสมอว่าทุกอย่างที่เกิดกับน้องชายเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น!

และเธอต้องรับผิดชอบ เขาจะทำให้คาสโนวี่อย่างเธอรักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น

เธอคือเป้าหมายที่เขาต้องพิชิต

แม้ว่าตะวันดวงนี้จะเป็นตะวันที่ร้อนแผดเผา และไม่ได้ความรักมาง่ายๆ

แต่ลมอย่างเขาก็ไม่หวั่น เขาจะเป็นลมพายุที่พัดกลุ่มเมฆมาบดบังแสงตะวันของเธอให้ได้!

เมื่อดึงตะวันคล้อยต่ำลงได้เมื่อไหร่ เขาจะปล่อยเธอทิ้งร่วงลงสู่พื้นดิน
Tags: อนิล วาดตะวัน วิฬุร ดราม่าโรแมนติก

ตอน: บทที่ 8

เสียงเอะอะปึงปัง โวยวายให้ใครต่อใครได้ยินตั้งแต่ย่างก้าวแรกในบ้าน เสียงบริภาษที่ด่าเปิงไม่ว่าใครจะทำอะไร แม้แต่การเดินผ่านหน้า

“อย่ามาผ่านหน้าฉันนะ!”

“ขอโทษค่ะ แม่เลี้ยง” คนงานในบ้านตัวสั่น รีบก้มหน้าเดินเลี่ยงไปอีกทาง ในใจหล่อนพลางคิดว่าวันนี้แม่เลี้ยงเคียงฟ้าไปขนพายุลูกใหญ่นี้มาจากไหน แต่ใครเลยจะกล้าปริปากถ้าไม่อยากเจ็บตัว หรือถูกของใกล้มือแม่เลี้ยงปาใส่

กี่ครั้งกี่ครา เวลาที่เคียงฟ้าหงุดหงิดมาจากข้างนอก คนในบ้าน ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ จะเป็นหัวหน้าคนงาน หรือบอดี้การ์ด ต้องพร้อมรับอารมณ์กันถ้วนทั่วไม่มีแบ่งแยก ไม่เว้นแม้แต่... สาวใช้หันมองคุณหนูของบ้านที่บัดนี้นอกจากขะมักเขม้นกับการอ่านตำราปลูกต้นไม้ในมืออยู่ตรงข้างหน้าต่างในห้องโถง ก็ใคร่เป็นห่วง แต่เกรงว่าจะช่วยเหลืออะไรไม่ได้ หากเคียงฟ้าหวังเล่นงานปาฏลี

เพล้ง!

แจกันดอกไม้อันโชคร้ายใกล้มือเคียงฟ้าสุดร่วงหล่นจากโต๊ะเตี้ยสำหรับรับแขกแหลกละเอียดไม่เป็นชิ้นอันบนพื้น ปาฏลีส่งเสียงหึเบาๆ กับตัวเอง สองมือเปิดไล่เปลี่ยนหน้าหนังสืออย่างไม่ยินดียินร้าย ริมฝีปากซ่อนรอยยิ้มพึงใจไว้

คราวนี้คนของ ‘ลมฝน’ กวนใจอะไรแม่เลี้ยงเคียงฟ้าอีก

ในจังหวัดนี้ สิ่งเดียวที่เป็นเหมือนหนามทิ่มตำฝ่าเท้าของเคียงฟ้าคืออนิล ผู้ชายที่เคียงฟ้าหวังครอบครองอยู่ทุกลมหายใจ พอพ่อของเธอเสียไปไม่ทันไร ในวันงานศพเจ้าหล่อนก็วิ่งไปออเซาะอนิลแทบจะทันที ทำเป็นเศร้าโศก ทั้งที่ในใจคงระรื่น ตัวเองมีอำนาจเก่าที่พ่อของเธอทิ้งไว้ ธุรกิจหลายๆ อย่างเคียงฟ้าเอาไปดูแลเกือบทั้งหมด เหลือค่าเช่าห้องแถวในตัวตลาดให้เธอเก็บ กับพี่ชายที่ได้ที่ดินเปล่ามาเริ่มต้นใหม่อีกหนึ่งผืน ที่เหลือ...

นังผู้หญิงคนนี้มันอสรพิษมาเกิด! ปาฏลีทนอยู่ร่วมบ้านหลังนี้เพราะอยากจะอยู่ดูน้ำหน้าผู้หญิงแพศยา ว่าคิดจะทำร้ายใครอีก รวมทั้งเธอไม่เคยหลับลงได้สนิท ตราบเท่าที่ความคลางใจของเธอจะไม่จบลง เธอไม่เชื่อว่าพ่อจากไปตามธรรมชาติ

“ไม่ทราบว่าคราวนี้เป็นใคร กล้ามากวนใจแม่เลี้ยงเหรอคะ” อาจเพราะชีวิตของปาฏลีสงบเงียบจนเกินไป หญิงสาวจึงไม่วายยื่นปากหน้าระรื่นไปท้ารบกับเคียงฟ้า

ผู้หญิงวัยสามสิบกว่าหน้าบึ้ง ทำหน้าเดี๋ยวแหกปากกรีดร้อง ประเดี๋ยวขบฟัน คล้ายงานมหรสพที่เธอดูเท่าไหร่ก็สนุก และสาแก่ใจ

“หุบปากเธอไปซะ! ระวังเถอะ สักวันฉันอาจจะฆ่าเธอ”

“ถ้ากล้าก็ลองดู เพราะฉันฝังจดหมายลาตาย พรรณนาถึงความเลวร้ายของคุณไว้หลายที่ ต้องมีสักคนที่เดาได้ว่าเป็นฝีมือคุณ”

“ผู้ชายที่เธอมองตาละห้อยมาตลอดกำลังจะถูกคาบไปยังไม่รู้ตัว หน้าโง่!” เคียงฟ้านึกถึงเหตการณ์ที่ตัวเองผลักรถเข็นวาดตะวันให้ชนหินแล้วยิ่งเคือง หลังจากนั้นอุตส่าห์หลบให้พ้นสายตาชาวบ้าน ไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพที่อนิลกอดกระชับร่างของวาดตะวันไว้อย่างหวงแหน ไม่มีท่าทีขึ้งโกรธ โมโห หรือผิดหวัง

อนิลไม่ได้โกรธวาดตะวัน อย่างที่เคยเป็นมาก่อนหน้าสักอาทิตย์สองอาทิตย์แล้วจริงๆ ยังจะเลือกปกป้อง

ปาฏลีชะงัก คิ้วเรียวโก่งเลิกขึ้นกับข่าวใหม่ เธอสนใจอนิลก็จริง แต่ไม่เคยคิด ‘จับ’ เหมือนที่เคียงฟ้าทำ หากจะพูดว่าใครโง่ ควรจะเป็นคนที่ว่าเธอมาต่างหาก ทำเขาหลุดมือไปเองแท้ๆ อยู่ดีๆ เกิดมานึกเสียดาย สำหรับเธอ อนิล และ ‘ลมฝน’ ถือเป็นพื้นที่ปลอดภัย เป็นที่บริสุทธิ์ที่เธอจะหายใจได้อย่างปลอดโปร่ง โดยปราศจากเงารังควานของเคียงฟ้า การนอนเฝ้าบ้านของพ่อทุกวันไม่ต่างจากสุนัขเฝ้าบ้านอย่างเธอ ใช่ว่าจะมีความสุข

หนังสือเล่มหนาปิดลง เธอยิ้มเยื้อนน้อยๆ ขณะที่ดวงตาส่องประกายสนุก อยากจะรู้แล้วสิว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ถึงทำคนกลายเป็นหมาบ้าได้

กระจกกรอบลายดวงตะวันที่เธอแสนรักถูกเคียงฟ้าหยิบมาปาลงพื้น และกระทืบซ้ำอย่างคนไร้สติ ปากสีชาดสดอ้าปากถึงชื่อๆ หนึ่งซ้ำไปมา

“นังวาดตะวัน แก วาดตะวัน!”

“วาดตะวัน” ปาฏลีทวนเบาๆ กับตัวเอง ภาพนางแบบสาวที่ชอบตกเป็นข่าวตามหน้าสื่อ ดวงตาหยิ่งเชิด แต่ฉายแววฉลาดลอยวนในหัว พอจะลบความไม่พอใจที่กระจกโปรดถูกทำลายไปได้บ้าง เธอเคยได้ยินวิฬุรพูดถึงเพื่อนสนิทคนนี้อยู่บ่อยครั้ง คนในอาณาเขตลมฝน ถึงไม่เจอหน้า ต่างก็รู้จัก เพราะวิฬุรพูดถึงไว้ไม่น้อย

เห็นทีเธอต้องไปสืบข่าวที่ลมฝนบ้างแล้ว


“นี่พี่ไม่อยู่คนเดียว เธอจัดการอะไรไม่ได้เลยหรือไง!” ฉันทยากุมขมับ มืออีกข้างแนบโทรศัพท์ไว้ข้างหู เรื่องงานที่เธอดูแล นอกจากดูแลวาดตะวัน เธอก็ยังมีบริษัทดูแลนางแบบ แต่ส่วนใหญ่จะแบ่งงานให้ลูกน้องกันไปหมด ส่วนตัวเธอจะอยู่กับวาดตะวัน ไม่คิดว่าจะมีเรื่องวุ่น เด็กคนหนึ่งในสังกัดเกิดอยากยกเลิกสัญญา

แค่นึกเธอก็อยากวิ่งโร่ไปจัดการด้วยตัวเอง แต่พอมองร่างที่นอนไม่ได้สติบนเตียง เนื้อตัวถลอกปอกเปิก ไหนจะการถูกปองร้าย เธอจะใจดำทิ้งวาดตะวันหรือไง

ฉันทยาลุกเดินออกมาจากห้องพักของวาดตะวัน หน้าตากลัดกลุ้มค้างไป เมื่อเห็นร่างสูงโปร่งยืนพิงเสารออยู่ อนิลแทบจะก็อปสีหน้าของเธอเลยทีเดียว แต่คงต่างสาเหตุ

“วาดเรียบร้อยดีใช่ไหมครับ”

“ไม่รู้คืนนี้จะไข้ขึ้นไหมน่ะค่ะ น้องวาดโดนฝนหนักอย่างนั้น อีกอย่าง...” เสียงโทรศัพท์ของฉันทยาดังขึ้นอีกครั้ง ผู้จัดการสาวถอนหายใจเฮือก กดรับอย่างหงุดหงิด

“อะไรอีก...ฮะ คนดูแลมิ้นต์เกิดอุบัติเหตุ!” ฉันทยานึกอยากเป็นลมเสียให้ได้ นี่วันพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกของเธอหรือเปล่า ผู้จัดการเด็กในสังกัดคนหนึ่งเกิดอุบัติเหตุอีก “ได้ เดี๋ยวฉันจะรีบกลับไปจัดการ”

ผู้จัดการสาววางโทรศัพท์ไปในที่สุด ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม ภาระหน้าที่หลายๆ อย่างที่รออยู่เบื้องหลังจำต้องมีเธอไปสะสาง อย่างไรในตอนนี้วาดตะวันก็ปลอดภัยแล้ว ขอแค่มีคนดูแลดีๆ ฉันทยาหยุดสายตาไว้ที่อนิล เธอไม่รู้ว่าจะเชื่อใจผู้ชายคนนี้ได้มากน้อยแค่ไหน แต่เธอไม่มีทางเลือก ก่อนเดินทางบอกประกายพรึกให้หมั่นมาดูพี่สาวบ้าง คงไม่เป็นไรหรอก

“ฝากวาดด้วยได้ไหมคะ ฉันต้องรีบไปจัดการธุระที่กรุงเทพฯ จะรีบไปรีบกลับ”

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลวาดอย่างดี” เมื่อเห็นสายตาของฉันทยายังระแวง อนิลจึงรีบสำทับ “ผมสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรที่เป็นการเสียหายต่อวาดแน่นอน ผมเองก็มีความเป็นคนมากพอ”

“ขอบคุณมากๆ นะคะ”

ฉันทยาเก็บข้าวของส่วนตัวไม่ถึงสิบนาที ก็พร้อมออกเดินทาง อนิลให้คนในลมฝนพาไปส่งที่สนามบิน ก่อนจะออกไป ฉันทยาไม่วายหันกลับมามองอนิลอีกครั้ง กำลังใคร่ครวญว่าจะบอกเรื่องประกายพรึกออกไปดีไหม โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก ผู้จัดการสาวแทบร้องกรี๊ด รีบลากกระเป๋าออกไป ลืมเรื่องที่จะบอกอนิลไปฉิบ

ความเงียบกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง อนิลเหม่อมองบ้านที่ครั้งหนึ่งมีเขาอยู่อาศัยเพียงผู้เดียว บัดนี้กลับเริ่มมีของบางอย่างเพิ่มขึ้น อย่างซากรถเข็นล้อบุบเบี้ยวที่สภาพยากแก่การซ่อมวางอยู่ข้างประตู หรือจะม่านบานพลิ้วสีอ่อนที่มีคนมือบอนใช้ปากกาสีเมจิกวาดดวงตะวันลงไปบนผ้า หรือที่จริงมันคือวงกลมสีส้มอมเหลือง มือหนาจับปลายผ้าขึ้นมา จ้องอย่างไม่เชื่อสายตา

“มีมุมเด็กๆ อย่างนี้ด้วยหรือไง”

ฟ้าภายนอกเริ่มมืดลงมา แต่หน้าต่างของบ้านแม่เขายังคงสว่างไสว เพชรีไม่เคยปิดไฟ หลายครั้งที่เขากังวลว่าแม่จะนอนหลับพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ตั้งแต่วิฬุรล้มป่วย แต่เพชรีกลับบอกว่าเต็มใจที่จะดูแลวิฬุร เขารู้ว่าลึกๆ ในใจของแม่ ความหวังเรื่องน้องฟื้นตื่นขึ้นมาลดลงหายไปทุกวัน

ประตูห้องนอนเปิดเอี๊ยดออก ร่างผอมในเสื้อผ้าตัวใหญ่ใส่สบายดูอ่อนแอลงไป แก้มสองข้างขึ้นสีแดง ปากแดงจัด และดวงตาแห้งผาก เดินสะโหลสะเหล ยิ้มแหยออกมาเมื่อกะเผลกได้ทีละก้าวเล็กๆ เพื่อไม่ให้สะเทือนเอวที่คัดยอก

“ไม่กลัวแม่พี่เห็นหรือไง ถึงเดินออกมาแบบนี้” อนิลเดินเข้าไปใกล้ ใช้มือแตะเอวบางเพื่อประคองไปนั่งยังโซฟาตัวใหญ่กลางห้อง วาดตะวันรู้สึกอุ่นวาบตรงช่วงเอวที่มีมือหนาสัมผัส มือนั้นไม่ได้ลงน้ำหนัก จาบจ้วงหรือฉวยโอกาสอย่างผู้ชายที่เธอเคยเจอมา ผู้ชายเหล่านั้นขอแตะนั่นนิดนี่หน่อย ในการหาเศษหาเลยกับเธอกันทั้งนั้น และส่วนใหญ่ก็ถูกเธอเขี่ยทิ้งทันที

ร่างบางนั่งลงเรียบร้อย อนิลก็นั่งถัดห่างออกไปอีกหนึ่งช่วงตัว ไม่ทำให้วาดตะวันอึดอัด ซึ่งในจุดนี้วาดตะวันเผลอให้คะแนนความสุภาพบุรุษเขาไปหนึ่งแต้ม วาดตะวันยิ้มภูมิใจออกมา...สมแล้วที่เขาเป็นพี่ชายของวิฬุร

อนิลมองรอยยิ้มอันไร้เหตุผลของวาดตะวัน ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากยิ้มตอบบางเบาไปให้ “เจ็บตรงไหนไหม”

“เจ็บจนชินแล้วค่ะ” วาดตะวันตอบเสียงแหบแห้ง มือลูบแขนอุ่นของตัวเองไปมา ตั้งแต่ตื่นนอนเธอก็กัดฟันลุกให้ขึ้น ไม่นึกอยากนอนจับไข้บนเตียง ก่อนจะตื่น หูเธอแว่วได้ยินเสียงคนจัดของในห้อง จึงคิดว่าเป็นฉันทยา “พี่เกี๊ยวไปไหนคะ”

“กลับไปแล้ว มีงานด่วนต้องไปสะสาง”

“หืม” ดวงตาของคนป่วยมองหน้าคนตอบ สลับกับบ้านพักที่มีเธอกับอนิลอยู่เพียงสองคน

เจ้าของบ้านอ่านความคิดแขกสาวออก เขายิ้มอ่อนโยน ไม่ได้มีดวงตากะลิ้มกะเหลี่ย “ถ้าไม่เต็มใจพี่ไม่ฝืนใจหรอกนะ” เห็นหน้าที่แดงด้วยพิษไข้ซีดขาวเขานึกขอโทษที่พูดตลกไม่ดูกาลเทศะ “พี่ไม่ทำอะไรหรอก เห็นพี่หน้ามืดง่ายๆ หรือไง เพื่อนน้องก็ไม่ละเว้น”

“ก็ไม่แน่หรอกค่ะ เสน่ห์ของฉันใครอยู่ใกล้ก็เหลวเป๋วกันทั้งนั้น” วาดตะวันกลับมาเชิด เริ่ดอย่างปกติ

เขาเกือบจะทำให้วาดตะวันหมดศรัทธาในความเป็นสุภาพบุรุษของเขาแล้ว

“มั่นใจขนาดนั้นเลย” อนิลจ้องดวงตาดำขลับที่มีประกายระยิบระยับตลอดเวลา เขารู้ว่าความแพรวพราวในตาคู่นี้ไม่ได้ตั้งใจจะหว่านเสน่ห์ใส่ทุกคนที่อยู่ตรงหน้า แต่มันถือเป็นเสน่ห์ที่มีติดตัววาดตะวันมาแต่กำเนิด ดวงตาดำขลับลึกล้ำดังจักรวาลผืนกว้างที่พร้อมจะดูดผู้คนที่จ้องให้ลอยคว้างในมนตร์ของเธอ

หลายครั้งที่เขารู้สึกราวกับถูกบางสิ่งที่มองไม่เห็นในดวงตาของวาดตะวันดูดเช่นกัน เพียงแต่...แค่เขากะพริบตา หรือเบือนหน้าหนี เขาจะคล้ายหลุดจากมนตร์นั้น เว้นแต่หัวใจ ที่มันเอาแต่เต้นในจังหวะที่เขาไม่รู้จักอยู่บ่อยครั้ง

“ฉันมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ แต่พี่ลมไม่ต้องห่วงนะคะ พี่ลมเป็นพี่ชายฝน ฉันไม่เสียเวลามาทดสอบเสน่ห์ของตัวเองหรอกค่ะ”

“ทำไม!” ไม่รู้ทำไม เขาถึงรู้สึกว่าตัวเองไม่สำคัญ แทนที่จะดีใจที่วาดตะวันไม่เสียเวลามาทดสอบ แต่เขา...อยากเป็นหนึ่งในบททดสอบของเธอดู มันน่าท้าทายสำหรับเขาล่ะมั้ง

วาดตะวันหรี่ตามองคนเสียงแข็งอย่างจับผิด ลางสังหรณ์เธอมักจะทำงานเร็วกับผู้ชายที่คิด ‘แปลกๆ’ กับเธอ

“อย่าบอกนะคะ ว่าพี่ลมก็...”

“พี่ทำไม” อนิลสวนขึ้นมาก่อนวาดตะวันจะพูดจบ หน้าตาจริงจังไร้วี่แววอ่อนไหว หรือรู้สึกอะไรแปลกๆ

วาดตะวันส่ายหน้าช้าๆ ไม่ต่อความที่ยังไม่ควรหยิบมาพูดถึง เธอไม่มีเวลามาคิดเรื่องแบบนั้นอยู่แล้ว แผ่นหลังเนียนเอนพิงไปกับพนักโซฟา ยกแขนขาขึ้นดูรอยขีดข่วนอย่างเศร้าใจ ผิวที่เธอเฝ้าบำรุงมาตลอด ถูกทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างกับประท้วงขอให้เธอเลิกอาชีพเดินแบบอย่างถาวร

“แผลบนหน้าเพิ่งจาง แผลที่เท้าเพิ่งแห้ง ฉันก็หาเรื่องเอาแผลใหม่มาประดับร่าง ทีนี้ลายทั้งตัว แถมเคล็ดขัดยอก” เสียงหวานร่ายบน หน้าง้ำ ปกติเธอก็ชอบบ่นกับฉันทยา ในเมื่อวันนี้ฉันทยาไม่อยู่ เธอก็อยากจะบ่นกับใครก็ได้ที่อยู่กับเธอ

“คิดแผนอะไรซับซ้อนไปทำไม”

“มันเป็นทางเดียวที่จะพาหมอที่เชื่อถือได้มารักษาฝนนะคะ ฉันติดต่อหมอไว้แล้ว พรุ่งนี้ฉันจะให้เขามา วานพี่ลมเป็นธุระให้ด้วย ถ้าฝนอาการหนักขนาดต้องแอดมิด ฉันก็จะหาทางพาเขาไปแอดมิดให้ได้ ต่อให้แม่พี่ลมเกลียดฉันที่ไปเจ้ากี้เจ้าการ เกลียดที่ฉันหลอกลวง ขอแค่ฝนหาย ฉันยอมโดนเกลียด ดีกว่าที่ฉันอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย”

หากไม่เจ็บ ไม่ป่วย จะหาข้ออ้างพาหมอขึ้นมาที่นี่ได้อย่างไร

วาดตะวันเหม่อคิดถึงวิฬุร ไม่ทันสังเกตสายตาของอนิลที่จับจ้องมา ประกายตาเต็มไปด้วยความนับถือ และอยากแบ่งเบา

“จะไม่มีครั้งหน้าที่วาดต้องเจ็บตัวอีก พี่ขอสัญญา”

อาการร้อนวูบวาบ และหนักอึ้งค่อยๆ เล่นงาน วาดตะวันกัดฟันไม่อยากแสดงอาการออกไป หน้าเซียวยิ้มตอบรับ ในเวลานี้การมีอนิลอยู่ข้างๆ ทำให้เธอเบาใจ ในดินแดนที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้า เต็มไปด้วยคนที่เกลียดเธอ การมีหนึ่งความเชื่อจากอนิล ผู้ชายคนนี้ที่ในอดีตเธอกับเขาคุยนับคำได้ ภาระในใจของเธอก็เหมือนถูกยกออกไปบางส่วน

“ขอบคุณนะคะ” วาดตะวันไอแห้งๆ ต่อท้าย ลมหายใจมีไอร้อนผ่าวออกมา ร่างบางโงนเงนขณะที่เธอพยายามใช้มือจับพนักโซฟายันกายลุกขึ้น อ้อมแขนแข็งแรง ผิวหนังอุ่น หูของเธอรู้สึกถึงเสียงหัวใจสงบมั่นคงในอกของคนที่ยืนชิดด้านหลังเธอ วาดตะวันไม่ได้แข็งขืน กลับหลับตา และเอนตัวลงไปในอ้อมกอดของอนิลที่ช้อนตัวรับไว้

“เดี๋ยวทานข้าว ทานยาแล้วค่อยนอนนะวาด”

“รบกวนพี่ลมจัง ขอโทษนะคะ” เสียงบ่นงุ้งงิ้งอยู่ตรงอกเขา

กลิ่นหอมอ่อนของดอกไม้ซึ่งเหมือนเป็นกลิ่นกายประจำตัววาดตะวันแตะจมูกอนิล เสี้ยวหน้าที่มีแก้มขึ้นสีแดงจัดซุกอยู่ตรงอกหนา อุณหภูมิร้อนจัดจากผิวนวลที่เนื้อเขาสัมผัสทำให้อนิลต้องส่ายหน้าให้คนไม่ยอมป่วย

ไข้ขึ้นขนาดนี้ยังไม่ปริปากบ่นสักคำ อดทนไปเพื่อใคร? หรือจะวิฬุร

อนิลวางร่างร้อนผ่าวลงบนที่นอน เข้าห้องน้ำหยิบกะละมังใส่น้ำเย็น ใช้ผ้าขนหนูสะอาดในตู้ออกมาซับน้ำเพื่อวางไปบนหน้าผาก พอจะหยิบอีกผืนเพื่อเช็ดตัวให้ วาดตะวันที่มีสติอยู่น้อยนิดก็ขอจัดการตัวเอง

เสียงแหบแห้งดังเล่ามาเพื่อไม่ให้ตัวเองหลับ “สมัยมัธยม ฝนเคยเช็ดตัวให้ฉันครั้งหนึ่งนะคะ ตอนนั้นฉันดีใจจนเนื้อเต้นเลย ดีใจทั้งที่ไม่ควร...”

วาดตะวันหยุดเล่าไป หรี่ปรือมองอนิล อยากบอกเขาเหลือเกินถึงความลับที่วิฬุรปิดบังครอบครัวไว้ แต่เธอก็กังวลแทนเพื่อน

“ถ้าพี่ลมคุยกับฝนมากๆ ยิ้มให้เขามากๆ ทำให้เขาเชื่อมั่น เรื่องก็จะดีกว่านี้ไม่น้อยนะคะ”

มือหนายกผ้าบนหน้าผากออกมาบิดและวางกลับลงไป เขาอยากถามว่าเรื่องอะไรที่วาดตะวันกล่าวมา ยังมีความลับที่เขาไม่รู้สินะ อนิลยิ้มหยันตัวเอง อย่างไรวาดตะวันก็ยังเชื่อใจเขาได้ไม่มากพอ

“พี่จะอยู่ตรงนี้ข้างๆ วาด...วาดไม่ต้องกลัวนะ”

“พี่ลมเป็นคนดีจังนะคะ ไม่น่ากลัวเหมือนที่ฝนว่าไว้”

คนถูกชมอมยิ้ม ตัดสินใจออกจากห้องไปต้มข้าวต้มร้อนๆ ให้วาดตะวันทาน ดวงตาที่ชอบหว่านเสน่ห์ในยามป่วยดูหยาดเยิ้ม ขี้อ้อน จนเขาทนมองต่อไปไม่ไหว เกรงว่าจะอดใจไม่ไหวต้องจุ๊บหน้าผากร้อนผ่าวนั้น

อนิลหยุดตรงริมหน้าต่าง หน้าผ้าม่านที่มีดวงตะวันเมจิกอยู่ มองออกไปคือห้องของวิฬุรจากอีกบ้านที่ตั้งตรงกัน คนเป็นพี่เท้าสะเอวมอง ปั้นหน้าดุใส่ ทั้งที่ในใจกำลังคิดถึง

“นายต้องกลับมาอธิบายให้พี่ฟังเร็วๆ แล้วล่ะนายฝน ว่าเอาพี่ไปเผาอะไรกับเพื่อนบ้าง”

…………………………….

คุณ ใบบัวน่ารัก พระนางไม่ทันรัก ตัวละครใหม่ก็จะเข้ามา วาดยังไร้วี่แววจริงๆ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ^^



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ม.ค. 2558, 05:07:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ม.ค. 2558, 05:07:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1451





<< บทที่ 7   บทที่ 9 >>
โอชิน 19 ม.ค. 2558, 21:50:47 น.
คนหน้าดุหัวใจสั่นไหวไปซะแล้ว..พี่ลมกะน้องวาด..ใครหนอจะตกหลุมความรักก่อนกัน..เฮ้อ..แค่คิดถึงอุปสรรคของคนคู่นี้ก็เหนื่อยซะแล้ว..


konhin 20 ม.ค. 2558, 08:05:49 น.
เสน่ห์แรงจริงๆ น้องวาด


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account