เมียเก็บ e-book
หล่อนคือหนามยอกยอกน้องสาวที่สมควรกำจัดให้พ้นทาง แต่กลับย้อนมาทิ่มแทงใจเขาให้ปวดร้าว แสนชิงชัง แต่กลับหลงใหลในวังวนเสน่หนา ใต้คำครหาหยามเหยียด...กืนน้ำใต้ศอกเพื่อนสนิท!
**หมายเหตุ**
งานเขียนนี้เคยตีพิมพ์ในนามปากกา ทิตภากร ปัจจุบันเนื้อหาได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อความสมบูร์ของเนือเรื่อง
(เปิดให้อ่านบางส่วนเท่านั้น!!)
**หมายเหตุ**
งานเขียนนี้เคยตีพิมพ์ในนามปากกา ทิตภากร ปัจจุบันเนื้อหาได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อความสมบูร์ของเนือเรื่อง
(เปิดให้อ่านบางส่วนเท่านั้น!!)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 7
ทันทีที่ตฤณลากรสากลับเข้าห้องพัก เขาก็เหวี่ยงคู่กรณีของน้องสาวไปกระแทกกับผนังด้านหนึ่ง โดยไม่สนใจว่าร่างเซซวนที่หลุดเสียงร้องออกมาจะตวัดสายตากร้าวมองเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“เผลอเป็นไม่ได้ต้องวิ่งเข้าหาผู้ชายอยู่เรื่อย ถามจริงๆ เถอะ...ขาดไม่ได้เลยหรือไง”
“ฉันจะเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวกับคุณ!” รสาตอบเสียงห้วน เวลานี้หล่อนไม่ได้มองเขาเป็นแขกเหมือนที่ผ่านมา หากแต่ตั้งตนเป็นอริ เขาแรงมา...หล่อนก็พร้อมจะแรงกลับ เกลียดนักคนปากร้าย! เขาประณามหยามเหยียดหล่อนอย่างไม่มีเหตุผล ซ้ำยังเข้าข้างน้องสาวตัวเองโดยไม่สนใจจะซักถามถึงต้นสายปลายเหตุ หล่อนไม่ใช่คนผิดแล้วเรื่องอะไรจะต้องยอมลงให้
“ใช่...ตัวคุณเรื่องของคุณ ผมไม่เกี่ยว แต่นี่ไอ้ผู้ชายที่คุณคั่วอยู่มันเป็นสามีของน้องสาวผม เรื่องนี้ผมยอมไม่ได้”
“แล้วยังไงคะ จะเรียกร้องสิทธิ์แทนน้องหรือว่ายังไงคะ?”
“ไม่ต้องมาทำหน้าใสซื่อเหมือนไม่เข้าใจความหมายหน่อยเลย แค่อ้าปากผมก็รู้แล้วว่าไส้คุณมีกี่ขด”
“แหม...ช่างน่าอัศจรรย์ใจเสียจริงๆ ถ้าคุณรู้ดีขนาดนั้นแล้วทราบไหมคะว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่” รสาลอยหน้าลอยตาถามแล้วยิ้มหยัน คิดจะเล่นสงครามประสาทกับคนปากกรรไกรดูสักตั้ง
“ผู้หญิงอย่างคุณวันๆ จะไปคิดอะไร นอกจากวางแผนแย่งสามีชาวบ้าน” ตฤณเบ้ปาก ใจเขามีอคติ ความคิดก็เช่นกัน นั่นอาจจะเป็นเพราะหลายต่อหลายเหตุการณ์บ่งชี้ว่าคนตรงหน้ามีพฤติกรรมสำส่อนส่อไปในทางผิดศีลธรรม
“ถ้าอย่างนั้น...เราก็คงไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ เพราะคุณเองก็เป็นผู้ชายที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเหมือนกัน” รสาเหยียดยิ้ม ไม่สกทะสะท้านกับคำสบประมาท ทั้งที่โกรธจนเลือดขึ้นหน้า
“ผมคงไม่ยุ่งกับเรื่องนี้ ถ้าชาวบ้านที่คุณว่าไม่ใช่น้องเขยกับน้องสาวผม”
“อืม...สมกับเป็นพี่ชายที่แสนดีเสียจริงๆ”
ตฤณกัดฟันกรอดทีเดียว เมื่อเห็นรอยยิ้มเยาะปรากฏบนริมฝีปากของรสา เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ว่าคำพูดนั้นคือการค่อนขอด ไม่ใช่การชื่นชมจากใจจริง แต่ไม่อยากเก็บมาเป็นอารมณ์ ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะยอมลงให้ง่ายๆ
“มันก็แน่อยู่แล้ว เพราะพี่ชายที่แสนดีอย่างผมจะทำทุกอย่าง จะไม่ยอมให้ผู้หญิงหน้าด้านอย่างคุณมาแย่งผัวน้องสาวไปได้หรอก”
“มันจะมากเกินไปแล้วนะ!”
“แต่ผมว่ายังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ พวกผู้หญิงไร้ยางอายไม่มีจิตใต้สำนึกเนี่ย...ไม่ค่อยรู้สึกรู้สา มันต้องด่าให้เจ็บไปถึงกระดูก เพราะพูดดีๆ ด้วยก็เท่านั้น” ตฤณปรายตามองเหยียดๆ เขาเกลียดผู้หญิงที่มีพฤติกรรมสำส่อน ชอบเอาตัวเข้าแลก หวังเงินทองและความสุขสบายรวมไปถึงความก้าวหน้า โดยไม่สนใจว่าสิ่งที่กระทำลงไปจะทำร้ายหรือสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้ใครบ้าง
“คุณตฤณ! มันสมควรแล้วเหรอที่คุณจะพูดจาสบประมาทฉันแบบนี้”
“ช่วยไม่ได้ ก็ใครใช้ให้คุณมาเป็นมือที่สามสร้างความร้าวฉานให้ครอบครัวน้องสาวผมล่ะ ถ้าเลิกได้ก็เลิกเถอะ เพราะเรื่องที่คุณทำอยู่ไม่ใช่เรื่องดี มีแต่เปลืองตัวเปล่าๆ ยังไงไอ้กวีก็ไม่มีทางเห็นคุณดีไปกว่าระรินหรอก อย่างดีก็แค่สนุกชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ได้คิดจริงจังอะไร สุดท้าย...คุณเองนั่นแหละที่จะเสียใจ”
“ขอโทษ...คุณคงเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า คำว่าเสียใจมันไม่เคยมีอยู่ในสมองฉัน เพราะคุณกวีไม่มีวันทิ้งฉัน มันจะไม่มีวันนั้น!”
“มั่นใจเหลือเกินนะ แต่เคยได้ยินไหมว่าความแน่นอนคือความไม่แน่นอน”
“เรื่องนั้นฉันไม่สนหรอก ไม่ว่าคุณจะคิดยังไง ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่าพูดดีกว่า ยิ่งคุณพูดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกว่าคุณอิจฉาคุณกวีมากเท่านั้น”
“ผมเนี่ยนะอิจฉาไอ้กวี น่าขำ...ทำไมผมจะต้องอิจฉามันด้วย”
“ฉันจะไปรู้คุณเหรอ บางที...คุณอาจจะอิจฉาเขาเพราะคุณกวีมีสาวๆ อยู่รอบตัวมากมาย หรือไม่...คุณก็อาจจะนึกสนใจฉันขึ้นมาถึงได้พยายามตอแยอยู่ได้”
“คุณเอาอะไรมาพูด คนอย่างผมไม่คิดจะเอาตัวลงไปเกลือกกลั้วกับอาจมหรอก และก็อย่าฝันว่าผมจะหน้ามืดตามัวลากคุณขึ้นเตียง เพราะคุณจะไม่มีวันได้รับเกียรตินั้น!” ตฤณยิ้มหยัน นึกสังเวชความคิดอีกฝ่าย เขาไม่รู้ว่าหล่อนเอาสมองส่วนไหนคิดถึงได้พูดออกมาอย่างนั้น
“อ๊ายย...ไอ้ผู้ชายปากเสีย ไอ้...ไอ้คนทุเรศ!”
รสาโกรธจนตัวสั่น สติหลุดเสียการควบคุมอารมณ์ไปชั่วขณะ ปรี่เข้าหาตฤณได้ก็ทุบเขาไม่ยั้งอย่างหมดความอดทน นี่เขากล้าดียังไงมาพูดจาดูแคลน ซ้ำยังเอาหล่อนไปเปรียบกับของเน่าเหม็น ทว่าตฤณที่รอจังหวะอยู่ก่อนกลับรวบจับข้อมือของหล่อนไว้
“หุบปากเน่าๆ ของคุณซะ! แล้วก็จำใส่สมองกลวงๆ ของคุณไว้ ผู้ชายน่ะไม่ได้ตาต่ำเหมือนไอ้กวีไปเสียหมดหรอก อย่างน้อย...ผมก็คนหนึ่ง” ตฤณผลักรสาออกห่างตัวแล้วเดินเข้าห้องปิดประตูตามหลังเสียงดังสนั่น ปล่อยให้รสายืนกำมือแน่น จิกเล็บจนเจ็บเนื้อ สะกดอารมณ์ ทั้งที่อยากจะตามไปกระชากลากตัวคนปากปีจอออกมาตบหน้าสักฉาด
ให้ตายสิ! ผู้ชายปากร้ายอย่างนี้ ใครอย่าได้เอาไปทำพันธุ์เชียว มีหวังซวยไปทั้งชาติ...
“ใครว่าล่ะครับ ผมคิดถึงวิเสมอ แต่ช่วงนี้ผมงานยุ่ง...คุณก็รู้”
รสาชะงักปลายเท้าที่กำลังจะก้าวออกจากเพนท์เฮ้าส์ พลางหันมองเจ้าของเสียง ก็พบว่าตฤณเดินออกจากห้องมาทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวยาวในอิริยาบถสบายๆ ในมือเขาถือโทรศัพท์แนบหู ใบหน้าที่ฉาบด้วยรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะ ล้วนแต่บ่งบอกว่าเขาอารมณ์ดีผิดกับเมื่อครู่อย่างลิบลับ
“อ๋อ...ได้สิครับ สำหรับสาวสวยอย่างวิ มีอะไรที่ผมทำให้คุณไม่ได้บ้าง”
รสาเบ้ปากอย่างนึกหมั่นไส้ เมื่อได้ยินตฤณพร่ำพรรณนาคำหวานชวนคลื่นเหียน ไม่จำเป็นต้องคาดเดาก็ทราบว่าคู่สนทนาของเขานั้นเป็นหญิง อาจจะเป็นคู่รัก คู่ขา หรือไม่ก็คู่นอนอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่หล่อนไม่อยากใส่ใจ ทว่า...ยังไม่ทันจะก้าวออกจากห้อง เสียงห้วนๆ ก็ท้วงขึ้น
“เดี๋ยว...อย่าเพิ่งไป!”
รสาชะงักปลายเท้าอีกครั้งพลางหันมอง ก็พบว่าตฤณที่จบการสนทนาทางโทรศัพท์กวักมือเรียกไหวๆ หล่อนก็เลยเดินไปหยุดยืนตรงหน้าเขาอย่างสำรวม
“คืนนี้ผมจะออกไปข้างนอก”
“ค่ะ”
“ไม่ใช่แค่ค่ะ แต่คุณต้องเตรียมตัวไปกับผมด้วย” ตฤณยิ้มเจ้าเล่ห์ คืนนี้เขามีนัดกับวิยะดา ม่ายสาวไฮโซพราวเสน่ห์เจ้าของธุรกิจทัวร์รายใหญ่ ผู้หญิงคนนี้คิดอะไรอยู่ในใจ...ทำไมเขาจะไม่รู้ ตฤณนั้นไม่อยากพลาดท่าเสียทีก็เลยคิดว่าจะกระเตงรสาไปด้วย อย่างน้อย...หล่อนก็ยังอยู่ในสายตาและเขาอาจจะใช้เป็นเกราะป้องกันตัวได้ เพราะการไปนั่งดื่มกันสองต่อสองกับไฮโซสาวที่จ้องจะงาบเขาคงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่
“ไปไหนคะ?”
“จะถามทำไม หน้าที่คุณคือทำตามคำสั่ง ไม่ใช่มาย้อนถามผม”
“เรื่องนั้นฉันทราบค่ะ แต่ถ้าคุณไม่บอกแล้วฉันจะแต่งตัวถูกกาลเทศะได้ยังไง ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษนะ จะได้รู้ไปหมดเสียทุกเรื่อง” รสาสวนกลับทันควัน นึกโมโหที่เขาดีแต่สั่ง เกลียดนัก! พวกชอบแสดงอำนาจบาตรใหญ่
“ผมจะไปผับ”
“ผับ...คุณไปดื่มแล้วจะลากฉันไปด้วยทำไม?”
“ก็ถ้าปล่อยคุณไว้ลำพัง หนูก็ระเริงน่ะสิ ไป...ไปเตรียมตัวได้แล้ว” ตฤณขยับตัวลุกขึ้น ไม่คิดจะขยายความ หากแต่เดินเข้าห้องทิ้งรสาให้ยืนส่ายหน้า ทำไมหล่อนจะไม่รู้ความหมายนั้น แต่ก็คร้านจะอธิบายหรือแก้ตัว เพราะต่อให้พูดจนปากเปียกปากแฉะ คนมีอคติอย่างเขาก็คงไม่รับฟังและไม่มีวันเชื่อคำพูดของหล่อน...
ไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง ตฤณในชุดลำลองเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีออกจากห้อง แต่อารมณ์สุนทรีย์ของเขาก็หมดไปทันที เมื่อเห็นรสายังอยู่ในชุดยูนิฟอร์มของโรงแรม เสื้อสูทเข้ารูปกระโปรงยาวเสมอเข่ากับเรือนผมที่รวบเก็บอย่างเรียบร้อยไว้ด้านหลังช่างแลขัดหูขัดตา จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหล่อนสวมแว่นตาหนาเตอะหรือใส่ชุดแม่ชี ก็ไม่ต่างไปจากอาจารย์สอนศาสนาดีๆ นี่เอง
“ผมจะไปผับนะ ไม่ได้ไปวัด” ตฤณค่อน พลางกลอกตา เขาไม่ได้คาดหวังว่ารสาจะต้องสวมชุดเซ็กซี่เย้ายวนอย่างที่เคยพบกันหน้าผับ แต่หล่อนน่าจะอยู่ในชุดที่ดีกว่านี้ แน่ล่ะว่าต้องไม่ใช่ชุดยูนิฟอร์มอย่างที่สวมอยู่
“แล้วมีกฎข้อไหนห้ามใส่ชุดยูนิฟอร์มเข้าผับบ้างละคะ ถ้าคุณไม่พอใจ ฉันไม่ไปก็ได้นะ”
รสาตวัดสายตาค้อน หล่อนไม่มีเสื้อผ้าอื่น นอกจากชุดนอนกับยูนิฟอร์มที่เตรียมมาในกระเป๋า แต่ทั้งหมดก็ต้องโทษเขานั่นแหละที่เรียกใช้ไม่ได้ขาด จนหล่อนไม่มีเวลากลับไปเอาเสื้อผ้าแล้วยังจะมาค่อนขอดอีก
“อย่าคิดนะว่าใช้แผนนี้แล้วจะได้ผลเหรอ ยังไงวันนี้คุณก็ไม่มีทางดอดไปหาไอ้กวีได้หรอก ต่อให้คุณนุ่งซิ่นหรือใส่เสื้อคอกระเช้า ผมก็จะลากคุณไปให้ได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปสิคะ จะมายืนพูดอยู่ทำไม หรือว่าสนุกกับการเป็นผู้คุมความประพฤติ”
“สนุกหรือไม่สนุก ผมไม่รู้ แต่อย่างน้อยวันนี้ทั้งวันผมก็จัดการคุณจนอยู่หมัดล่ะน่า”
“คุณก็คุมได้แต่ฉันเท่านั้นแหละ แต่กับคุณกวี...คุณไม่มีทางควบคุมเขาได้หรอก เรื่องอย่างนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดัง และก็อย่าหวังว่าน้องสาวคุณจะจัดการอะไรได้ เพราะคนอย่างคุณกวี เขาไม่ยอมให้ใครมาควบคุมความประพฤติเขาหรอก”
“มั่นใจและก็รู้ใจกันดีเหลือเกินนะ”
“แน่นอน!”
“ก็ดี...เวลาถูกทิ้งก็อย่ามานั่งร้องไห้ให้ผมเห็นก็แล้วกัน” ตฤณยิ้มหยัน ทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นแล้วเดินนำรสาออกจากห้องไปกดลิฟต์ลงไปที่ลานจอดรถ แม้จะหงุดหงิด แต่ก็ไม่คิดจะต่อปากต่อคำอะไรอีก จนกระทั่งเดินมาหยุดหน้ารถยุโรปคันหรูที่ระรินจัดหามาให้ใช้ในระหว่างที่เขายังพักที่กรุงเทพฯ
“ข้างหน้า ไม่ใช่ข้างหลัง ผมไม่ใช่สารถีของคุณ!” ตฤณเตือน
คำพูดลอยๆ นั้นทำให้รสาที่กำลังจะเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งในตอนหลังต้องชะงักมือค้าง พลางตวัดสายตามองตฤณที่ก้าวขึ้นไปนั่งในตำแหน่งคนขับ อดคิดไม่ได้ว่าเขาจ้องหาเรื่องหล่อนได้ทุกทีสิน่า ความขุ่นใจที่ก่อเกิดในนาทีนั้นทำให้รสากระชากประตูรถด้านหน้าทิ้งตัวลงนั่งอย่างกระแทกกระทั้นแล้วปิดประตูเสียงดังสนั่น
“นี่แหละหนาคนเรา ทำคนไม่ได้ก็ไปลงที่รถ”
รสาหันขวับ จ้องตฤณตาวาวราวแม่เสือสาว หล่อนไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ว่าเขาเหน็บแนม แต่ตฤณไม่ใส่ใจ เขาเหยียบคันเร่งออกตัวล้อฟรี โดยไม่สนใจว่ารสาที่นั่งอยู่ด้านข้างจะหน้าคะมำหันมาทำตาขวาง เพราะหล่อนไม่ทันตั้งตัวและยังไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย...
สามารถโหลดอ่านได้แล้วที่...
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiNTE5MzI4IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMjA4NDciO30
“เผลอเป็นไม่ได้ต้องวิ่งเข้าหาผู้ชายอยู่เรื่อย ถามจริงๆ เถอะ...ขาดไม่ได้เลยหรือไง”
“ฉันจะเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวกับคุณ!” รสาตอบเสียงห้วน เวลานี้หล่อนไม่ได้มองเขาเป็นแขกเหมือนที่ผ่านมา หากแต่ตั้งตนเป็นอริ เขาแรงมา...หล่อนก็พร้อมจะแรงกลับ เกลียดนักคนปากร้าย! เขาประณามหยามเหยียดหล่อนอย่างไม่มีเหตุผล ซ้ำยังเข้าข้างน้องสาวตัวเองโดยไม่สนใจจะซักถามถึงต้นสายปลายเหตุ หล่อนไม่ใช่คนผิดแล้วเรื่องอะไรจะต้องยอมลงให้
“ใช่...ตัวคุณเรื่องของคุณ ผมไม่เกี่ยว แต่นี่ไอ้ผู้ชายที่คุณคั่วอยู่มันเป็นสามีของน้องสาวผม เรื่องนี้ผมยอมไม่ได้”
“แล้วยังไงคะ จะเรียกร้องสิทธิ์แทนน้องหรือว่ายังไงคะ?”
“ไม่ต้องมาทำหน้าใสซื่อเหมือนไม่เข้าใจความหมายหน่อยเลย แค่อ้าปากผมก็รู้แล้วว่าไส้คุณมีกี่ขด”
“แหม...ช่างน่าอัศจรรย์ใจเสียจริงๆ ถ้าคุณรู้ดีขนาดนั้นแล้วทราบไหมคะว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่” รสาลอยหน้าลอยตาถามแล้วยิ้มหยัน คิดจะเล่นสงครามประสาทกับคนปากกรรไกรดูสักตั้ง
“ผู้หญิงอย่างคุณวันๆ จะไปคิดอะไร นอกจากวางแผนแย่งสามีชาวบ้าน” ตฤณเบ้ปาก ใจเขามีอคติ ความคิดก็เช่นกัน นั่นอาจจะเป็นเพราะหลายต่อหลายเหตุการณ์บ่งชี้ว่าคนตรงหน้ามีพฤติกรรมสำส่อนส่อไปในทางผิดศีลธรรม
“ถ้าอย่างนั้น...เราก็คงไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ เพราะคุณเองก็เป็นผู้ชายที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเหมือนกัน” รสาเหยียดยิ้ม ไม่สกทะสะท้านกับคำสบประมาท ทั้งที่โกรธจนเลือดขึ้นหน้า
“ผมคงไม่ยุ่งกับเรื่องนี้ ถ้าชาวบ้านที่คุณว่าไม่ใช่น้องเขยกับน้องสาวผม”
“อืม...สมกับเป็นพี่ชายที่แสนดีเสียจริงๆ”
ตฤณกัดฟันกรอดทีเดียว เมื่อเห็นรอยยิ้มเยาะปรากฏบนริมฝีปากของรสา เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ว่าคำพูดนั้นคือการค่อนขอด ไม่ใช่การชื่นชมจากใจจริง แต่ไม่อยากเก็บมาเป็นอารมณ์ ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะยอมลงให้ง่ายๆ
“มันก็แน่อยู่แล้ว เพราะพี่ชายที่แสนดีอย่างผมจะทำทุกอย่าง จะไม่ยอมให้ผู้หญิงหน้าด้านอย่างคุณมาแย่งผัวน้องสาวไปได้หรอก”
“มันจะมากเกินไปแล้วนะ!”
“แต่ผมว่ายังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ พวกผู้หญิงไร้ยางอายไม่มีจิตใต้สำนึกเนี่ย...ไม่ค่อยรู้สึกรู้สา มันต้องด่าให้เจ็บไปถึงกระดูก เพราะพูดดีๆ ด้วยก็เท่านั้น” ตฤณปรายตามองเหยียดๆ เขาเกลียดผู้หญิงที่มีพฤติกรรมสำส่อน ชอบเอาตัวเข้าแลก หวังเงินทองและความสุขสบายรวมไปถึงความก้าวหน้า โดยไม่สนใจว่าสิ่งที่กระทำลงไปจะทำร้ายหรือสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้ใครบ้าง
“คุณตฤณ! มันสมควรแล้วเหรอที่คุณจะพูดจาสบประมาทฉันแบบนี้”
“ช่วยไม่ได้ ก็ใครใช้ให้คุณมาเป็นมือที่สามสร้างความร้าวฉานให้ครอบครัวน้องสาวผมล่ะ ถ้าเลิกได้ก็เลิกเถอะ เพราะเรื่องที่คุณทำอยู่ไม่ใช่เรื่องดี มีแต่เปลืองตัวเปล่าๆ ยังไงไอ้กวีก็ไม่มีทางเห็นคุณดีไปกว่าระรินหรอก อย่างดีก็แค่สนุกชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ได้คิดจริงจังอะไร สุดท้าย...คุณเองนั่นแหละที่จะเสียใจ”
“ขอโทษ...คุณคงเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า คำว่าเสียใจมันไม่เคยมีอยู่ในสมองฉัน เพราะคุณกวีไม่มีวันทิ้งฉัน มันจะไม่มีวันนั้น!”
“มั่นใจเหลือเกินนะ แต่เคยได้ยินไหมว่าความแน่นอนคือความไม่แน่นอน”
“เรื่องนั้นฉันไม่สนหรอก ไม่ว่าคุณจะคิดยังไง ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่าพูดดีกว่า ยิ่งคุณพูดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกว่าคุณอิจฉาคุณกวีมากเท่านั้น”
“ผมเนี่ยนะอิจฉาไอ้กวี น่าขำ...ทำไมผมจะต้องอิจฉามันด้วย”
“ฉันจะไปรู้คุณเหรอ บางที...คุณอาจจะอิจฉาเขาเพราะคุณกวีมีสาวๆ อยู่รอบตัวมากมาย หรือไม่...คุณก็อาจจะนึกสนใจฉันขึ้นมาถึงได้พยายามตอแยอยู่ได้”
“คุณเอาอะไรมาพูด คนอย่างผมไม่คิดจะเอาตัวลงไปเกลือกกลั้วกับอาจมหรอก และก็อย่าฝันว่าผมจะหน้ามืดตามัวลากคุณขึ้นเตียง เพราะคุณจะไม่มีวันได้รับเกียรตินั้น!” ตฤณยิ้มหยัน นึกสังเวชความคิดอีกฝ่าย เขาไม่รู้ว่าหล่อนเอาสมองส่วนไหนคิดถึงได้พูดออกมาอย่างนั้น
“อ๊ายย...ไอ้ผู้ชายปากเสีย ไอ้...ไอ้คนทุเรศ!”
รสาโกรธจนตัวสั่น สติหลุดเสียการควบคุมอารมณ์ไปชั่วขณะ ปรี่เข้าหาตฤณได้ก็ทุบเขาไม่ยั้งอย่างหมดความอดทน นี่เขากล้าดียังไงมาพูดจาดูแคลน ซ้ำยังเอาหล่อนไปเปรียบกับของเน่าเหม็น ทว่าตฤณที่รอจังหวะอยู่ก่อนกลับรวบจับข้อมือของหล่อนไว้
“หุบปากเน่าๆ ของคุณซะ! แล้วก็จำใส่สมองกลวงๆ ของคุณไว้ ผู้ชายน่ะไม่ได้ตาต่ำเหมือนไอ้กวีไปเสียหมดหรอก อย่างน้อย...ผมก็คนหนึ่ง” ตฤณผลักรสาออกห่างตัวแล้วเดินเข้าห้องปิดประตูตามหลังเสียงดังสนั่น ปล่อยให้รสายืนกำมือแน่น จิกเล็บจนเจ็บเนื้อ สะกดอารมณ์ ทั้งที่อยากจะตามไปกระชากลากตัวคนปากปีจอออกมาตบหน้าสักฉาด
ให้ตายสิ! ผู้ชายปากร้ายอย่างนี้ ใครอย่าได้เอาไปทำพันธุ์เชียว มีหวังซวยไปทั้งชาติ...
“ใครว่าล่ะครับ ผมคิดถึงวิเสมอ แต่ช่วงนี้ผมงานยุ่ง...คุณก็รู้”
รสาชะงักปลายเท้าที่กำลังจะก้าวออกจากเพนท์เฮ้าส์ พลางหันมองเจ้าของเสียง ก็พบว่าตฤณเดินออกจากห้องมาทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวยาวในอิริยาบถสบายๆ ในมือเขาถือโทรศัพท์แนบหู ใบหน้าที่ฉาบด้วยรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะ ล้วนแต่บ่งบอกว่าเขาอารมณ์ดีผิดกับเมื่อครู่อย่างลิบลับ
“อ๋อ...ได้สิครับ สำหรับสาวสวยอย่างวิ มีอะไรที่ผมทำให้คุณไม่ได้บ้าง”
รสาเบ้ปากอย่างนึกหมั่นไส้ เมื่อได้ยินตฤณพร่ำพรรณนาคำหวานชวนคลื่นเหียน ไม่จำเป็นต้องคาดเดาก็ทราบว่าคู่สนทนาของเขานั้นเป็นหญิง อาจจะเป็นคู่รัก คู่ขา หรือไม่ก็คู่นอนอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่หล่อนไม่อยากใส่ใจ ทว่า...ยังไม่ทันจะก้าวออกจากห้อง เสียงห้วนๆ ก็ท้วงขึ้น
“เดี๋ยว...อย่าเพิ่งไป!”
รสาชะงักปลายเท้าอีกครั้งพลางหันมอง ก็พบว่าตฤณที่จบการสนทนาทางโทรศัพท์กวักมือเรียกไหวๆ หล่อนก็เลยเดินไปหยุดยืนตรงหน้าเขาอย่างสำรวม
“คืนนี้ผมจะออกไปข้างนอก”
“ค่ะ”
“ไม่ใช่แค่ค่ะ แต่คุณต้องเตรียมตัวไปกับผมด้วย” ตฤณยิ้มเจ้าเล่ห์ คืนนี้เขามีนัดกับวิยะดา ม่ายสาวไฮโซพราวเสน่ห์เจ้าของธุรกิจทัวร์รายใหญ่ ผู้หญิงคนนี้คิดอะไรอยู่ในใจ...ทำไมเขาจะไม่รู้ ตฤณนั้นไม่อยากพลาดท่าเสียทีก็เลยคิดว่าจะกระเตงรสาไปด้วย อย่างน้อย...หล่อนก็ยังอยู่ในสายตาและเขาอาจจะใช้เป็นเกราะป้องกันตัวได้ เพราะการไปนั่งดื่มกันสองต่อสองกับไฮโซสาวที่จ้องจะงาบเขาคงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่
“ไปไหนคะ?”
“จะถามทำไม หน้าที่คุณคือทำตามคำสั่ง ไม่ใช่มาย้อนถามผม”
“เรื่องนั้นฉันทราบค่ะ แต่ถ้าคุณไม่บอกแล้วฉันจะแต่งตัวถูกกาลเทศะได้ยังไง ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษนะ จะได้รู้ไปหมดเสียทุกเรื่อง” รสาสวนกลับทันควัน นึกโมโหที่เขาดีแต่สั่ง เกลียดนัก! พวกชอบแสดงอำนาจบาตรใหญ่
“ผมจะไปผับ”
“ผับ...คุณไปดื่มแล้วจะลากฉันไปด้วยทำไม?”
“ก็ถ้าปล่อยคุณไว้ลำพัง หนูก็ระเริงน่ะสิ ไป...ไปเตรียมตัวได้แล้ว” ตฤณขยับตัวลุกขึ้น ไม่คิดจะขยายความ หากแต่เดินเข้าห้องทิ้งรสาให้ยืนส่ายหน้า ทำไมหล่อนจะไม่รู้ความหมายนั้น แต่ก็คร้านจะอธิบายหรือแก้ตัว เพราะต่อให้พูดจนปากเปียกปากแฉะ คนมีอคติอย่างเขาก็คงไม่รับฟังและไม่มีวันเชื่อคำพูดของหล่อน...
ไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง ตฤณในชุดลำลองเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีออกจากห้อง แต่อารมณ์สุนทรีย์ของเขาก็หมดไปทันที เมื่อเห็นรสายังอยู่ในชุดยูนิฟอร์มของโรงแรม เสื้อสูทเข้ารูปกระโปรงยาวเสมอเข่ากับเรือนผมที่รวบเก็บอย่างเรียบร้อยไว้ด้านหลังช่างแลขัดหูขัดตา จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหล่อนสวมแว่นตาหนาเตอะหรือใส่ชุดแม่ชี ก็ไม่ต่างไปจากอาจารย์สอนศาสนาดีๆ นี่เอง
“ผมจะไปผับนะ ไม่ได้ไปวัด” ตฤณค่อน พลางกลอกตา เขาไม่ได้คาดหวังว่ารสาจะต้องสวมชุดเซ็กซี่เย้ายวนอย่างที่เคยพบกันหน้าผับ แต่หล่อนน่าจะอยู่ในชุดที่ดีกว่านี้ แน่ล่ะว่าต้องไม่ใช่ชุดยูนิฟอร์มอย่างที่สวมอยู่
“แล้วมีกฎข้อไหนห้ามใส่ชุดยูนิฟอร์มเข้าผับบ้างละคะ ถ้าคุณไม่พอใจ ฉันไม่ไปก็ได้นะ”
รสาตวัดสายตาค้อน หล่อนไม่มีเสื้อผ้าอื่น นอกจากชุดนอนกับยูนิฟอร์มที่เตรียมมาในกระเป๋า แต่ทั้งหมดก็ต้องโทษเขานั่นแหละที่เรียกใช้ไม่ได้ขาด จนหล่อนไม่มีเวลากลับไปเอาเสื้อผ้าแล้วยังจะมาค่อนขอดอีก
“อย่าคิดนะว่าใช้แผนนี้แล้วจะได้ผลเหรอ ยังไงวันนี้คุณก็ไม่มีทางดอดไปหาไอ้กวีได้หรอก ต่อให้คุณนุ่งซิ่นหรือใส่เสื้อคอกระเช้า ผมก็จะลากคุณไปให้ได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปสิคะ จะมายืนพูดอยู่ทำไม หรือว่าสนุกกับการเป็นผู้คุมความประพฤติ”
“สนุกหรือไม่สนุก ผมไม่รู้ แต่อย่างน้อยวันนี้ทั้งวันผมก็จัดการคุณจนอยู่หมัดล่ะน่า”
“คุณก็คุมได้แต่ฉันเท่านั้นแหละ แต่กับคุณกวี...คุณไม่มีทางควบคุมเขาได้หรอก เรื่องอย่างนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดัง และก็อย่าหวังว่าน้องสาวคุณจะจัดการอะไรได้ เพราะคนอย่างคุณกวี เขาไม่ยอมให้ใครมาควบคุมความประพฤติเขาหรอก”
“มั่นใจและก็รู้ใจกันดีเหลือเกินนะ”
“แน่นอน!”
“ก็ดี...เวลาถูกทิ้งก็อย่ามานั่งร้องไห้ให้ผมเห็นก็แล้วกัน” ตฤณยิ้มหยัน ทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นแล้วเดินนำรสาออกจากห้องไปกดลิฟต์ลงไปที่ลานจอดรถ แม้จะหงุดหงิด แต่ก็ไม่คิดจะต่อปากต่อคำอะไรอีก จนกระทั่งเดินมาหยุดหน้ารถยุโรปคันหรูที่ระรินจัดหามาให้ใช้ในระหว่างที่เขายังพักที่กรุงเทพฯ
“ข้างหน้า ไม่ใช่ข้างหลัง ผมไม่ใช่สารถีของคุณ!” ตฤณเตือน
คำพูดลอยๆ นั้นทำให้รสาที่กำลังจะเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งในตอนหลังต้องชะงักมือค้าง พลางตวัดสายตามองตฤณที่ก้าวขึ้นไปนั่งในตำแหน่งคนขับ อดคิดไม่ได้ว่าเขาจ้องหาเรื่องหล่อนได้ทุกทีสิน่า ความขุ่นใจที่ก่อเกิดในนาทีนั้นทำให้รสากระชากประตูรถด้านหน้าทิ้งตัวลงนั่งอย่างกระแทกกระทั้นแล้วปิดประตูเสียงดังสนั่น
“นี่แหละหนาคนเรา ทำคนไม่ได้ก็ไปลงที่รถ”
รสาหันขวับ จ้องตฤณตาวาวราวแม่เสือสาว หล่อนไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ว่าเขาเหน็บแนม แต่ตฤณไม่ใส่ใจ เขาเหยียบคันเร่งออกตัวล้อฟรี โดยไม่สนใจว่ารสาที่นั่งอยู่ด้านข้างจะหน้าคะมำหันมาทำตาขวาง เพราะหล่อนไม่ทันตั้งตัวและยังไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย...
สามารถโหลดอ่านได้แล้วที่...
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiNTE5MzI4IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMjA4NDciO30
กันต์ระพี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ม.ค. 2558, 10:13:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ม.ค. 2558, 10:18:54 น.
จำนวนการเข้าชม : 1442
<< ตอนที่ 6 | ตอนที่ 8 >> |