4 หล่อขอสืบ (ภาคนิยาย) สร้างเป็นละครช่อง 3
เมื่อ 4 หนุ่มนักสืบรูปหล่อซึ่งมีความสามารถแตกต่างกัน
ลงขันเปิดสำนักงานนักสืบร่วมกัน
พวกเขาต้องแบ่งหน้าที่กันไขคดีปริศนาต่าง ๆ
ภายใต้ชื่อสำนักงาน "4 หล่อขอสืบ"
ลงขันเปิดสำนักงานนักสืบร่วมกัน
พวกเขาต้องแบ่งหน้าที่กันไขคดีปริศนาต่าง ๆ
ภายใต้ชื่อสำนักงาน "4 หล่อขอสืบ"
Tags: 4 หล่อขอสืบ,สืบสวน,ธรากร
ตอน: ตอนที่ 5 ศิลานิรมิต
วันแรกของการเปิดทำการ พุชรีย์ หรือ พี่พุดดิ้ง หญิงสาวผมหยิกฟูวัยสามสิบกลาง ๆ กับตติยะ หรือ เจ๊ตุ้ยนุ้ย สาวประเภทสองร่างท้วมวัยไล่เลี่ยกัน นิสัยตลกโปกฮา และป้าจินตนา หรือ ป้าแตน คุณป้าแม่บ้านเริ่มทำงาน โชคดีที่ทั้งสามดูไม่ค่อยมีกำแพงนัก จึงละลายพฤติกรรม ปรับตัวเข้าหากันง่าย อชิระซึ่งมีทักษะด้านการแสดงและการกำกับการแสดงอยู่ด้วย ถือฤกษ์ตอนเก้านาฬิกาเก้านาที จัดให้มีพิธีเปิดโดยให้ปาณัสม์ตัดริบบิ้นเปิดตัวอย่างเป็นทางการประตูรั้วทางเข้าบริเวณหน้าสำนักงาน จนเป็นที่สนอกสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ต้องชนะกับอินทร์ธัชดึงพลุกระดาษป๊อปปิ้งออกมาร่วมยินดี
ราว ๆ สัปดาห์ต่อมา ชื่อของสำนักงาน ‘4 หล่อขอสืบ’ โดดเด่นจนเป็นที่พูดถึงไปทั่วซอยลามไปถึงตลาดกลางเมือง ที่ชั้นล่างของสำนักงาน ‘4 หล่อขอสืบ’ เสียงดัง มีกลุ่มเด็กสาววัยรุ่นและสาวประเภทสองเกือบสิบคนต่างชะเง้อชะแง้มอง จินตนา คุณป้าแม่บ้านประจำสำนักงานยกถาดวางแก้วน้ำมาเสิร์ฟเดินหน้าหงิก เพราะเสียงพูดคุยของเหล่าลูกค้าดังจอแจ จนป้าแกกลัวว่าจะหลอนติดอยู่ในหูแม้ในเวลานอน
“ป้าคะ สี่หล่ออยู่ไหนคะป้า” เด็กสาวคนหนึ่งตัดสินใจถาม
“ข้างบนค่ะ” จินตนาตอบห้วน แล้วยื่นถาดแก้วน้ำให้ลูกค้ารับ
“แล้วเขาไม่ลงมาต้อนรับลูกค้าเหรอ” สาวรุ่นคนหนึ่งถามขึ้นด้วยน้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก สงสัยทำ ‘สัมมาคารวะ’ หล่นไว้ตอนสะดุดธรณีประตู
“อ๋อ ไม่หรอกค่ะ เขามีหน้าที่ออกไปสืบ รับลูกค้าเป็นพนักงานทางด้านล่าง” ป้าแม่บ้านตอบพร้อมผายมือไปยังพุชรีย์กับตติยะ
“ว้า ... มาเสียเที่ยวเลย” เด็กสาวอีกคนสะบัดผมใส่ “กะจะมาถ่ายรูปเซลฟี่อัพเฟสซะหน่อย”
“นี่ ตกลงมาถ่ายรูปกันเหรอคะ” จินตนาถามเมื่อถึงบางอ้อ
“ค่ะ” ทุกคนพยักหน้ารับ “ไปกันเถอะพวกเรา เสียเวลา ไปช่องสามดีกว่า บ่ายนี้ ทั้งเจมส์จิ เจมส์มาร์เข้าตึกพร้อมกันเลย น่าถ่ายรูปเซลฟี่กว่าสี่หล่ออะไรนี่ตั้งเยอะ”
บรรดาเด็กสาวเชิดใส่ทำเอาป้าจินตนาเท้าเอวอย่างโมโห ในขณะเดียวกัน ทางด้านพุชรีย์กับตติยะกำลังต้อนรับลูกค้าท่าทางไฮโซรายหนึ่งด้วยประกายในแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง ลูกค้ารายนี้เป็นสาวใหญ่ร่างท้วม ที่คอสวมทองที่นิ้วสวมเพชรราวกับเป็นตู้อัญมณีเคลื่อนที่ กลิ่นน้ำหอมฝรั่งตลบอบอวน ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนรากหญ้า แต่จะรวยเพราะถูกหวยหรือได้มรดกจากสามีหรือเปล่าเรื่องนี้ไม่อาจทราบได้
“ลูกดิฉันหายค่ะ” เธอบอกด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ตายแล้ว จริงเหรอคะ” พุชรีย์หันไปมองตติยะแล้วยิ้มหน้าบาน เพราะรับคดีมาตั้งแต่เปิดทำการเห็นมีแต่คดีตามหาแมวหมา สืบหาชู้ ดูยังไม่มีอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเท่าคดีนี้เลย “ลูกคุณนายหายเหรอคะ”
“ทำไมคะ ลูกดิฉันหายมันน่าดีใจตรงไหน” หญิงไฮโซสงสัย
“อ๋อ ไม่ใช่ครับ” สตรีข้ามเพศผู้มีรูปร่าง ‘ตุ้ยนุ้ย’ สมชื่อเล่นแอ๊บเสียงเข้มเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ “คือ เราดีใจที่คุณนายให้ความไว้วางใจกับสำนักงานนักสืบของเราให้ช่วยตามหาลูกสาวให้น่ะครับ”
“ใช่ค่ะ” สาวผมยุ่งคู่หูรีบฉีกยิ้มสนับสนุน “เอ่อ...ไม่ทราบว่าลูกสาวคุณนายชื่อน้องอะไรเอ่ย”
“น้องปันฟ้าค่ะ”
“ต๊าย ... ชื่อน่ารักจังเลย” พุชรีย์แสร้งยิ้ม “อายุประมาณเท่าไหร่ค่ะ”
“สามขวบค่ะ”
ตติยะชะงักไปเล็กน้อย … ป้าแกน่าจะอายุห้าสิบกว่าแล้ว เพิ่งมีลูกสามขวบ เป็นไปได้ยังไง ...
“น้องปันฟ้านี่ ผู้หญิงใช่มั้ยคะ” พนักงานหญิงถาม
“ใช่ค่ะ ขนฟู ๆ สีขาว”
สองพนักงานชะงักกึก หันมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
“หมายถึง ผมฟู ๆ ผิวขาว ใช่มั้ยครับ” ตติยะแอ๊บเสียงขรึม
“ไม่ใช่ค่ะ ขนฟู สีขาว พันธุ์ปอมเมอเรเนียนค่ะ”
“หา!” พุชรีย์กับตติยะพูดพร้อมกัน “หมาปอมปอม”
“ค่ะ ลูกสาวฉัน น้องปันฟ้า เป็นน้องหมาพันธุ์ปอมปอมค่ะ ก็ที่นี่สำนักงานนักสืบอันดับหนึ่งเรื่องตามหาหมาแมวไม่ใช่เหรอคะ”
คุณชายไฮโซขมวดคิ้วสงสัย สองพนักงานจ้างแห่งสำนักงานนักสืบทำปากเบะ อยากจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ
“เปิดกิจการมาครึ่งปี มีแต่คดีหมาแมว” ปาณัสม์วางแฟ้มเอกสารสรุปคดีที่ได้มาจากพุชรีย์ลงบนเคาเตอร์ ในขณะที่อีกสามหนุ่มชะเง้อหน้าอยากเห็นข้อมูลดีในแฟ้มบ้างอย่างอยากรู้อยากเห็น
“แหม น้องน็อตขา จะให้ทำยังไงล่ะคะ ชีวิตจริงมันไม่เหมือนในซีรีส์สืบสวนนี่คะ” พุชรีย์รีบปลอบ ในขณะที่ตติยะได้แต่พยักหน้ายืนอยู่ข้าง ๆ “พวกคดีฆาตกรรมซับซ้อนซ่อนเงื่อนก็ตกไปอยู่ในมือของทีมสืบสวนคดีเฉพาะกิจหมด คดีที่สำนักงานนักสืบเอกชนอย่างเรา ๆ จะได้ทำ ก็มีคดีหมาแมวพวกนี้แหละค่ะ”
“เราต้องคิดโปรโมทชั่น” อชิระเปรยขึ้น
“จ้างหนึ่งคดี ไขฟรีอีกหนึ่งคดี ดีมั้ยพี่” อินทร์ธัชพูดเสริมเข้ากันสมกับเป็นลูกคู่
“นี่แน่” ต้องชนะตบกะโหลกน้องเล็กของทีมเต็มแรง “ใครเขาจะอยากมีคดีเกิดขึ้นกับตัวบ่อย ๆ คิดโปรโมชั่นแบบนั้นไป ได้กลายเป็นแช่งเขา เดี๋ยวก็โดนคนเอามารุมจวกในเว็บเพ็ญทิพย์กันพอดี”
“อย่าเครียดเลยนะคะ น้อง ๆ” พนักงานร่างท้วมตัดสินใจพูดขึ้นบ้าง “ช่วงเริ่มต้นธุรกิจก็แบบนี้แหละค่ะ เรารับงานเล็ก ๆ ไปก่อน ไม่แน่หรอก งานหมาแมวที่เราเห็นกันว่าเป็นงานเล็ก ๆ อาจนำไปสู่คดีใหญ่ ๆ ก็เป็นได้ เช่น เราอาจตามหาหมา แล้วไปเจอว่า จริง ๆ แล้ว เป็นหมาของแก๊งค์ค้าหมาข้ามชาติก็เป็นได้”
“ตลก ...” พุชรีย์ประชดสีหน้านิ่งเรียบ “ถ้าน้องน็อตกังวลเรื่องรายจ่ายที่เริ่มมีมากกว่ารายรับ พี่แนะนำให้ไล่พี่ตุ้ยนุ้ยออกนะคะ เหลือให้เจ้ทำงานคนเดียวก็พอ”
ตติยะเท้าเอวทันที
“เอาเถอะครับ พี่ ๆ นี่ไม่ใช่เวลาล้อเล่น ผมจริงจัง” ปาณัสม์มุ่นคิ้ว
“คิดมากทำไมพี่” อินทร์ธัชขยับมาแตะบ่าพี่ชาย “ถ้าดวงคดีดี ๆ จะมา เดี๋ยวมันก็มาเองแหละ”
ปิ๊งป่อง!
สัญญาณออดดังขึ้น ทั้งหกชีวิตที่เคาเตอร์ และป้าจินตนาที่กำลังกวาดพื้นอยู่หันมองไปทางหน้าบ้านเป็นสายตาเดียวกัน
เสียงสะเดาะกลอนรั้วเหล็กดังขึ้นในยามวิกาล มีเพียงแสงจากดวงจันทร์เท่านั้นที่เจือเงาสีดำแห่งรัตติกาลให้กลายเป็นความมืดสลัว ลวดซึ่งถูกดัดเป็นพิเศษสามารถแทนลูกกุญแจได้ทุกแบบทุกรุ่นทำหน้าที่ของมันได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ชายชุดดำสวมหมวกไอ้โม่งย่องเข้าไปในบริเวณบ้านของใครคนหนึ่ง และสิ่งมีชีวิตที่ประสาทการรับรู้ไวกว่ามนุษย์อย่างเจ้าไซบีเรียนฮักกี้ขนสีน้ำตาลก็เห่าเสียงดัง ชายอีกสองคนย่องตามเข้ามา ส่วนอีกคนที่เหลือดูต้นทางอยู่ด้านนอก ไม่ทันไรนัก ไฟในบ้านก็เปิดขึ้น เสียงไขประตูบ้านดัง เจ้าของบ้านเลื่อนเป็นประตูกระจกออกมาด้วยความง่วงหง่าวหาวนอน
“อะไรของแกวะ เจ้าตุ้ยนุ้ย” เขาเดินเข้าไปหาเจ้าหมาน้อยซึ่งนอนอยู่ในบ้านหมานอกตัวบ้าน
ชายชุดไอ้โม่งคนหนึ่งหลุดหัวเราะพรวดออกมา เพราะชื่อของสุนัขเหมือนกับชื่อของลูกจ้างคนหนึ่งในสำนักงานของเขาโดยบังเอิญ
“นั่นใคร!” เจ้าของบ้านหลุดจากภวังค์แห่งความง่วงโดยพลัน “กูถามว่าใคร”
“อย่ากลัวไปเลยครับ พวกเรามาดี” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น เขาก้าวออกมาจากมุมมืดให้แสงจากพระจันทร์ช่วยเผยร่างเขา
คนเป็นเจ้าของบ้านรีบก้มหยิบก้อนอิฐใกล้ ๆ แล้วปาใส่ร่างนั้น เขาตกใจแต่เอี้ยวตัวหลบทัน ก้อนอิฐเลยไปถูกคนข้างหลังแทน
“โอ๊ย!”
“อย่าซิครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมมาดี” ร่างนั้นขยับเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น
“คนมาดีบ้าอะไรจะมาตอนตีสองแบบนี้” ถ้าชายเจ้าของบ้านมีปืน เขาคงหยิบขึ้นมาจ่อยิงแล้ว
“พวกเราแค่จะมาเอาของที่คุณไปขโมยคนอื่นมาคืน”
“ของที่ขโมย?” ชายวัยสี่สิบเศษมุ่นคิ้ว “พวกแกพูดเรื่องอะไรกัน”
แก้วน้ำสี่ใบซึ่งใส่น้ำเย็นเฉียบไว้ได้จัดเสิร์ฟวางลงบนโต๊ะรับแขก ปาณัสม์ ต้องชนะ อชิระและอินทร์ธัชนั่งยิ้มเจื่อน สบตากับเจ้าของบ้านซึ่งเป็นชายวัยกลางคนที่ดูไม่ค่อยเอาเรื่องใคร เจ้าสุนัขไซบีเรียนอนลิ้นห้อยหนุนตักผู้เป็นนาย กรอกตามามองสี่หนุ่มอย่างดูแคลน ทั้งหมดนั่งอยู่ในห้องรับแขกที่เต็มไปด้วยพระพุทธรูป เจ้าแม่กวนอิม พระพิฆเนศวรและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ทั้งพุทธและพราหมณ์
“ก่อนอื่นผมต้องขอโทษนะครับ ที่พูดจาไม่ดีใส่พวกคุณไปเมื่อครู่” เจ้าของบ้านกลับกลายเป็นสุภาพชนขึ้นมาทันที แหงล่ะ...มีชายฉกรรจ์บุกรุกเข้ามาในบ้านขนาดนั้น ใครจะมามัวพูดจาไพเราะกันเล่า
“พวกผมต่างหากที่ต้องขอโทษ” ปาณัสม์ในฐานะหัวหน้าทีมนักสืบตอบ “เพราะเข้าใจผิดคิดว่าคุณไปขโมยเจ้าเมจิ สุนัขของเศรษฐีใหญ่ที่จ้างผมมาตามหาน่ะครับ”
“ผมบังเอิญไปเจอมันเดินหลงทางอยู่ ท่าทางหิวโซ เลยพามันมาอยู่ที่บ้าน” ชายวัยกลางคนเล่า “ประกาศตามหาเจ้าของแล้วก็ไม่เจอ ไม่รู้จะทำยังไง เลยต้องเลี้ยงไว้เอง นี่มันก็อยู่กับผมมาเกือบเดือนแล้วนะครับ”
“แต่ทางเจ้าของเขาก็อยากได้มันคืนนะครับ” ต้องชนะเสริมอยากเข้าใจหัวอกทั้งเจ้าของคนเก่าและเจ้าของคนใหม่
“ไม่ครับไม่” คำตอบของเขาทำเอาสี่หล่อลุ้นระทึก “ถ้าเจ้าของคนเก่าเขาอยากได้คืน ผมก็ยินดีคืนให้ แม้ผมจะเริ่มผูกพันกับมันแล้วก็ตาม”
ชายเจ้าของบ้านลูบหัวเจ้าตุ้ยนุ้ยซึ่งอันที่จริงแล้วชื่อเมจิ มันเงยหน้าขึ้นมาสบตาละห้อยราวกับรู้ว่าจะต้องจากเจ้านายคนใหม่ผู้แสนดีไปแล้ว สี่หนุ่มใจหนึ่งก็รู้สึกโล่งที่ภารกิจครั้งนี้สามารถหาทางออกด้วยการเจรจากันจนได้ แต่อีกใจหนึ่งกับรู้สึกเสียใจที่มีส่วนต้องทำให้คนกับสุนัขที่กำลังเกิดความรักความผูกพันกันต้องแยกจากกัน
ภารกิจจบสิ้นลง แต่สิ่งที่ยังคงอยู่คือ สี่หนุ่มกับเจ้าลิ้นห้อยสี่ขา นาฬิกาบอกเวลาตีสาม และแท็กซี่เป็นความหวังเดียวที่พวกเขาจะเดินทางกลับบ้านได้ หากแต่แท็กซี่คันเดียวที่แล่นผ่านมา พอเห็นว่ามีสุนัขก็ส่ายหน้า แล้วอ้างว่า ต้องรีบกลับไปหาเมีย เมียโทรตาม ทางเลือกทางเดียว คือ แวะไปหาอะไรทานจนกว่าจะเช้ากว่านี้
ระหว่างที่ทั้งสี่เดินเท้าไปยังร้านข้าวต้มโต้รุ่ง เสียงหมาหอนก็ดังขึ้น โชคดีที่ร้านข้าวต้มมีคนพลุกพล่าน เพราะถ้าเกิดมีเสียงเห่าหอนของเพื่อนรักสี่ขาดังขึ้นตอนตีสามแบบนี้ ต่อให้เป็นชายชาตรีแค่ไหนก็คงก้าวขาไม่ออกกันอยู่บ้าง
ทันใด เจ้าไซบีเรียนฮักกี้ก็หอนตอบกลับโดยที่สี่นักสืบไม่รู้ว่า สุนัขอื่นที่หอนมาเป็นพันธุ์ไทยหรือพันธุ์ฝรั่งเหมือนกันกันแน่ แต่อยู่ ๆ เจ้าเมจิก็วิ่งพรวดออกไป เพราะความเป็นที่หมาตัวใหญ่ มันจึงกระชากเชือกคล้องคอให้หลุดจากมือของปาณัสม์แล้ววิ่งไปตามบาทวิถี สี่หนุ่มตกใจรีบวิ่งตาม เนื่องจากรู้ดีว่า หากสุนัขตัวนี้เป็นอะไรไป พวกเขาจะต้องชวดเงินก้อนใหญ่จากมหาเศรษฐีผู้ว่าจ้างอย่างแน่นอน
เจ้าเมจิวิ่งเข้าไปในมืด ๆ ไร้ซึ่งแสงไฟจากหลอดนีออน ลมเย็นพัดหอบเอากลิ่นขยะเหม็นโชยมาเตะจมูกพวกเขา แต่เพื่อสุนัขที่มีค่าหัวนับหมื่นบาท ทั้งสี่จำต้องย่ำไปบนพื้นตรอกอันเฉอะแฉะ เจ้าสี่ขาพยายามหลบซ่อน ปาณัสม์หลับตาลงแล้วเพ่งสมาธิจนภาพเจ้าสัตว์สี่ขาวิ่งหายเข้าไปในตึกร้างตรงหน้า
“มันอยู่ในนั้น” ปาณัสม์ชี้นิ้วตรงไป
“เสร็จฉันล่ะ เจ้าหมาน้อยเอ๋ย” ต้องชนะยิ้มอย่างมีชัย
“แต่นั่นมันตึกร้างนะพี่” น้องเล็กผู้เจนโลกเรื่องท่องราตรี แต่สำหรับตึกร้างในยามราตรี เขาไม่รู้สึกพิสมัยมันเท่าไหร่นัก
“ไม่มีอะไรหรอกน่า อยู่กันตั้งสี่คน พี่ไมได้จะให้แกเข้าไปคนเดียวซะหน่อย” พี่ชายบังเกิดเกล้าปลอบอินทร์ธัช
“โทร. ตามสาวที่แกชอบนัดออกมายามดึกมาสิ” ได้ทีอชิระก็เอาบ้าง “ตึกร้างยามวิกาล ดูตื่นเต้นดีออก”
“ไอ้นี่ ทะลึ่ง” อินทร์ธัชตบหัวเบา ๆ
“เอาเถอะ อย่าช้าอยู่เลย เดี๋ยวเจ้าหมานั่นมันจะเตลิดหนีไปที่อื่นซะก่อน”
อชิระหยิบไฟฉายกระบอกเล็กที่พกติดตัวไว้หยิบมาเปิดส่องไปตามจุดต่าง ๆ ภายในตึกร้างเต็มไปด้วยหยากไหย่และคราบฝุ่น แม้เจ้าเมจิจะฉลาดเพียงไหน แต่สุนัขยังไงก็ไม่เป็นสุนัข มันไม่รู้ว่าได้ทิ้งรอยเท้าที่เหยียบฝุ่น บอกทางว่ามันเดินขึ้นยังชั้นสอง
“เรารออยู่ข้างล่างไม่ดีกว่าเหรอพี่ เดี๋ยวมันก็ออกมาเอง ไม่คงไม่เข้าไปอยู่ในตึกนี่เป็นวันหรอก”
“แล้วแกจะให้พวกเราผลัดเวรกันรอเป็นวันหรือไงเล่า” แม้ต้องชนะจะไม่ค่อยมีไหวพริบเท่า แต่เรื่องความกล้า ถ้าได้ดวลกับอินทร์ธัชก็ถือว่าชนะขาด
“อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวมันก็ยิ่งหนีกันไปใหญ่” ปาณัสม์ปราม แล้วเดินนำอีกสามหล่อขึ้นไปยังชั้นสอง ชั้นร้างว่าดูรกร้างแล้ว ฉันสองนั้นยิ่งกว่า หนูท่อตัวเท่าบ้านวิ่งผ่านขาอินทร์ธัชจนเจ้าตัวเผลอร้องออกมา อชิระอยากจะหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายคลิปวิดีโอตอนหนุ่มเพลย์บอยสาวแตกไว้ไปให้สาว ๆ ดู
“กุ๊ก ๆ ๆ ๆ ออกมาเร็วลูก” ปากของอินทร์ธัชสั่น ใบหน้าเหยเก พยายามร้องเรียกให้เจ้าเมจิออกมา
“หมาเว้ย ไม่ใช่ไก่ จะมาร้องเรียกกุ๊ก ๆ ๆ ๆ” ต้องชนะว่า
“ก็เผื่อพอได้ยินเสียงไก่มันจะอยากออกมาฟัดไง”
ปาณัสม์ส่ายหัวกลุ้มใจในความไร้สาระของน้องชายตัวเอง แต่ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ อยู่ ๆ เจ้าไซบีเรียนฮักกี้ก็วิ่งออกมาจากมุมมืด ยืนแลบลิ้นสบตาทั้งสี่หนุ่มตาละห้อย
“เห็นมั้ย ได้ผลจริง ๆ ด้วย”
อีกหนุ่มที่เหลือแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าเจ้าเมจิจะออกมาได้โดยง่าย ปาณัสม์อาสาเป็นคนเข้าไปจับ แต่แล้วเสียงสุนัขเห่าหอนจากทิศหนึ่งซึ่งอยู่ไกล ๆ ดังขึ้นอีกครั้ง ถัดจากกันไม่นานเสียงหอนจากสุนัขอีกกลุ่มก็ดังมาจากอีกทาง เสียงเหล่านั้นดังขึ้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนมาถึงเจ้าเมจิที่รีบหอนตามกันราวกับกำลังสื่อสารอะไรบางอย่าง ทันใดภาพนิมิตบางอย่างก็แวบเข้ามาในความคิดทั้งที่ปาณัสม์ยังไม่ได้หลับตา
ภาพชายฉกรรจ์ผิวคล้ำท่าทางโฉดเขลาวิ่งเข้ามาในตรอก ในมือถือกล่องกำมะหยี่สีแดงที่ไว้ใส่เครื่องเพชร กลุ่มนายตำรวจราว ๆ เจ็ดคนวิ่งตามมา คนร้ายวิ่งตรงมายังตึกร้างแห่งหนึ่ง ปาณัสม์หลับตาแล้วเพ่งมองเพื่อจะได้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น มันเป็นภาพที่คุ้นตา ภาพที่เขาเพิ่งเห็นกับตาตัวเองมาเมื่อครู่นี้ คนร้ายนั่นกำลังวิ่งตรงมายังตึกร้างที่พวกเขาอยู่ในขณะนี้นั่นเอง! กลุ่มชายสี่คนที่แอบมองการไล่ล่าจากชั้นสองในภาพนี้ก็ไม่ใช่ในที่ไหน พวกเขานั่นเอง
ระหว่างที่ปาณัสม์กำลังตกตะลึง อีกสามหนุ่มช่วยกันรุมจับเจ้าเมจิจนสำเร็จ อินทร์ธัชหันมาแซวพี่ชายตัวเอง
“เห็นภาพนิมิตอีกแล้วเหรอพี่ เห็นภาพตอนรับเช็คหรือเปล่า เจ้าของหมานี่เขาให้โบนัสพวกเรามั้ย”
“ปล่อยหมาก่อน” ปาณัสม์ตอบไม่ตรงคำถาม ทั้งสามมุ่นคิ้วแล้วมองหน้ากัน
“อะไรกันพี่” อชิระสงสัย “จะให้ปล่อยเจ้าหมาเงินหมื่นเนี่ยน่ะเหรอ”
“ไม่ได้จะปล่อย” ชายผู้มีสัมผัสพิเศษยิ้มที่มุมปาก “แต่สิ่งที่เรารอคอยมานาน กำลังจะเกิดขึ้นต่างหาก”
“หยุดนะ!” ร้อยโทเรืองฤทธิ์ตะโกนสั่งทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าคนร้ายไม่มีทางหยุด ชายโฉดยังคงวิ่งไปตรงดึกร้าง ยืนเลิกลั่กเพราะไม่รู้จะไปทางไหนต่อดี สุดท้ายชายคนดังกล่าวก็ชักปืนที่เหน็บไว้ตรงเอวออกมา
“เครื่องเพชรนี้มันเป็นของเจ้านายกู” เขาโวยวาย “ไม่ใช่ของไอ้เสี่ยทรยศเพื่อนนั่น”
“เจ้านายมึง?” ผู้หมวดหนุ่มเลิกคิ้ว “ไอ้เสี่ยชัยน่ะเหรอ มันนอนอยู่ในซังเตมาตั้งหลายเดือนแล้ว”
“ก็เพราะมีเพื่อนทรยศอย่างไอ้วรวิทย์ไง”
ระหว่างที่ตำรวจกำลังเจรจากับคนร้าย สี่หนุ่มนักสืบแอบมองสถานการณ์ทั้งหมดจากชั้นสอง แผนการในหัวของแต่ละคนผุดพราย คำถามที่เกิดขึ้นไม่ใช่ว่า เราจะจัดการโจรคนนี้หรือไม่ แต่คำถามคือ เราจะช่วยตำรวจจัดการโจรคนนี้อย่างไรต่างหาก
“ฉันคิดอะไรดี ๆ ออกแล้ว แต่ขอเช็คก่อนนะว่าได้ผลมั้ย” พูดจบปาณัสม์ก็หลับลงเพ่งมองภาพนิมิต แล้วเผยยิ้มออกมาแทนคำตอบ
สถานการณ์ที่บริเวณหน้าตึกร้างยังคงตึงเครียด พี่ใหญ่ของสำนักงาน ‘4 หล่อขอสืบ’ บอกแผนการที่คิดไว้ และทุกคนก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง สี่หนุ่มแยกย้ายประจำที่ เฝ้ามองหาจังหวะที่เหมาะสมในการลงมือ
“ยอมมอบตัวและไปอยู่กับเจ้านายในคุกเถอะ” ยิ่งนายตำรวจพูดกดดัน คนร้ายยิ่งมือสั่นคนคุมปืนไม่อยู่ “ถ้ามึงยิง กูวิสามัญมึงแน่”
คนร้ายพยายามเดินขยับถอยหลังเข้ามาในตึก แต่แล้วก็เกิดเสียงกระป๋องตกกระทบพื้นดังขึ้นจากด้านในอาคาร ชายโฉดหันขวับแล้วเล็งปืนเข้าไปในความมืดทันที
“นั่นใคร!”
ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา แต่สิ่งที่ทุกคน ณ ที่นั้นได้เห็น คือ กลุ่มควันที่ขาวที่ฟุ้งกระจายและมีกลิ่นเหม็นอย่างประหลาด
“แก๊สรั่ว หนีเร็ว!” อชิระตะโกนลั่นมาจากด้านใน
เพียงเท่านั้น เหล่าตำรวจถอยกรูด คนร้ายเองตกใจ รีบโยนปืนกับกล่องเครื่องเพชรทิ้ง และวิ่งออกมาหน้าตาตื่น ปาณัสม์หลับตาเพื่อใช้ ‘ตามาร’ มองดูว่าคนร้ายวิ่งออกมาหรือยัง อินทร์ธัชในแอปปลิเคชั่นในโทรศัพท์สมาร์ทโฟน คำนวณจังหวะเวลา องศา การทิ้งตัวลงไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก เพื่อให้สมาชิกคนสุดท้ายที่เหลือของทีมสี่หล่อ ลงมือปฏิบัติการเป็นพระเอกของงาน
“สาม สอง ... โดดเลยพี่”
สิ้นเสียงของน้องเล็ก ต้องชนะกระโดดออกจากระเบียงชั้นสอง ร่างล่ำหนาร่วงลงทับโจรที่กำลังตระหนกกับแก๊สรั่วปลอม ๆ ซึ่งเป็นควันจากกระป๋องมายากลของอชิระ คนร้ายหน้าคะมำกระแทกพื้น สลบคาที่ทันที
“หยุดนะ!” หลังตกตะลึงกับปฏิบัติการ หมวดเรืองฤทธิ์ก็ตะโกนสั่ง ปาณัสม์ อชิระและอินทร์ธัชค่อย ๆ เผยกายออกมาจากจุดต่าง ๆ ของตึกร้างที่ใช้ประจำการ ท่ามกลางความตกตะลึงของเจ้าหน้าที่กรมสืบสวนคดีเฉพาะกิจทุกคน
“อย่ายิงนะครับ พวกเรามาดี” ต้องชนะอธิบาย ขณะที่อชิระเดินมาเก็บกล่องเครื่องเพชรซึ่งเปิดอ้า โชคดีที่อัญมณีสีแดงเลือดไม่หลุดจากกล่องตกลงเปื้อนพื้นตรอกอันเฉอะแฉะ
จังหวะที่ปาณัสม์หยุดยืนอยู่บนบริเวณระเบียงชั้นสอง เขารู้สึกวูบเล็กน้อย ชุดภาพนิมิตพลันแวบเข้ามาในหัว มันเป็นภาพรีสอร์ทยามค่ำคืน ภาพชายร่างสูงตระหง่านยืนหันหลังขุดดินอยู่ในสวนหน้าหลัง มันเป็นภาพในความทรงจำที่เขาหลงลืมมันมานานแล้ว
“โอ๊ย!” การซูบฉีดเลือดที่พุ่งเร็วในสมองจน ทำให้เขาปวดหัวจี๊ดจนต้องร้องออกมา
“เป็นอะไรวะ ไอ้น็อต” ต้องชนะเงยหน้าขึ้นไปมองและถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไร” ปาณัสม์รู้ดีว่าเวลาภาพนิมิตที่เขาไม่ปรารถนาปรากฏขึ้นในมโนความคิดโดยไม่ได้ตั้งใจ ทางเดียวที่เขาทำให้คือกำหนดจิตให้นิ่งแล้วดึงสมาธิให้มาจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน
“เดี๋ยวนะ...” ผู้หมวดหนุ่มขมวดคิ้ว เพราะรู้สึกคุ้นหน้าผู้ชายสี่คนนี้อย่างบอกไม่ถูก “นี่พวกนายเป็นใครกัน”
“พวกเราก็แค่นักสืบธรรมดา” ปาณัสม์ซึ่งสติสัมปชัญญะกลับมาอยู่ในสภาวะปกติดีแล้วกระโดดลงมาจากชั้นสองบ้าง “จากสำนักงานเอกชนเปิดใหม่ที่มีชื่อว่า ‘4 หล่อขอสืบ’ ครับ”
-------------------------------------------------------
คำถามร่วมสนุกท้ายตอน 4 หล่อขอสืบ ตอนที่ 5 ศิลานิรมิต
"น้องปันฟ้า เป็นสุนัขพันธุ์อะไร"
ผู้ที่ตอบถูก 10 คนแรก จะได้รับคนละ 5 คะแนน นะครับ
ราว ๆ สัปดาห์ต่อมา ชื่อของสำนักงาน ‘4 หล่อขอสืบ’ โดดเด่นจนเป็นที่พูดถึงไปทั่วซอยลามไปถึงตลาดกลางเมือง ที่ชั้นล่างของสำนักงาน ‘4 หล่อขอสืบ’ เสียงดัง มีกลุ่มเด็กสาววัยรุ่นและสาวประเภทสองเกือบสิบคนต่างชะเง้อชะแง้มอง จินตนา คุณป้าแม่บ้านประจำสำนักงานยกถาดวางแก้วน้ำมาเสิร์ฟเดินหน้าหงิก เพราะเสียงพูดคุยของเหล่าลูกค้าดังจอแจ จนป้าแกกลัวว่าจะหลอนติดอยู่ในหูแม้ในเวลานอน
“ป้าคะ สี่หล่ออยู่ไหนคะป้า” เด็กสาวคนหนึ่งตัดสินใจถาม
“ข้างบนค่ะ” จินตนาตอบห้วน แล้วยื่นถาดแก้วน้ำให้ลูกค้ารับ
“แล้วเขาไม่ลงมาต้อนรับลูกค้าเหรอ” สาวรุ่นคนหนึ่งถามขึ้นด้วยน้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก สงสัยทำ ‘สัมมาคารวะ’ หล่นไว้ตอนสะดุดธรณีประตู
“อ๋อ ไม่หรอกค่ะ เขามีหน้าที่ออกไปสืบ รับลูกค้าเป็นพนักงานทางด้านล่าง” ป้าแม่บ้านตอบพร้อมผายมือไปยังพุชรีย์กับตติยะ
“ว้า ... มาเสียเที่ยวเลย” เด็กสาวอีกคนสะบัดผมใส่ “กะจะมาถ่ายรูปเซลฟี่อัพเฟสซะหน่อย”
“นี่ ตกลงมาถ่ายรูปกันเหรอคะ” จินตนาถามเมื่อถึงบางอ้อ
“ค่ะ” ทุกคนพยักหน้ารับ “ไปกันเถอะพวกเรา เสียเวลา ไปช่องสามดีกว่า บ่ายนี้ ทั้งเจมส์จิ เจมส์มาร์เข้าตึกพร้อมกันเลย น่าถ่ายรูปเซลฟี่กว่าสี่หล่ออะไรนี่ตั้งเยอะ”
บรรดาเด็กสาวเชิดใส่ทำเอาป้าจินตนาเท้าเอวอย่างโมโห ในขณะเดียวกัน ทางด้านพุชรีย์กับตติยะกำลังต้อนรับลูกค้าท่าทางไฮโซรายหนึ่งด้วยประกายในแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง ลูกค้ารายนี้เป็นสาวใหญ่ร่างท้วม ที่คอสวมทองที่นิ้วสวมเพชรราวกับเป็นตู้อัญมณีเคลื่อนที่ กลิ่นน้ำหอมฝรั่งตลบอบอวน ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนรากหญ้า แต่จะรวยเพราะถูกหวยหรือได้มรดกจากสามีหรือเปล่าเรื่องนี้ไม่อาจทราบได้
“ลูกดิฉันหายค่ะ” เธอบอกด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ตายแล้ว จริงเหรอคะ” พุชรีย์หันไปมองตติยะแล้วยิ้มหน้าบาน เพราะรับคดีมาตั้งแต่เปิดทำการเห็นมีแต่คดีตามหาแมวหมา สืบหาชู้ ดูยังไม่มีอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเท่าคดีนี้เลย “ลูกคุณนายหายเหรอคะ”
“ทำไมคะ ลูกดิฉันหายมันน่าดีใจตรงไหน” หญิงไฮโซสงสัย
“อ๋อ ไม่ใช่ครับ” สตรีข้ามเพศผู้มีรูปร่าง ‘ตุ้ยนุ้ย’ สมชื่อเล่นแอ๊บเสียงเข้มเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ “คือ เราดีใจที่คุณนายให้ความไว้วางใจกับสำนักงานนักสืบของเราให้ช่วยตามหาลูกสาวให้น่ะครับ”
“ใช่ค่ะ” สาวผมยุ่งคู่หูรีบฉีกยิ้มสนับสนุน “เอ่อ...ไม่ทราบว่าลูกสาวคุณนายชื่อน้องอะไรเอ่ย”
“น้องปันฟ้าค่ะ”
“ต๊าย ... ชื่อน่ารักจังเลย” พุชรีย์แสร้งยิ้ม “อายุประมาณเท่าไหร่ค่ะ”
“สามขวบค่ะ”
ตติยะชะงักไปเล็กน้อย … ป้าแกน่าจะอายุห้าสิบกว่าแล้ว เพิ่งมีลูกสามขวบ เป็นไปได้ยังไง ...
“น้องปันฟ้านี่ ผู้หญิงใช่มั้ยคะ” พนักงานหญิงถาม
“ใช่ค่ะ ขนฟู ๆ สีขาว”
สองพนักงานชะงักกึก หันมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
“หมายถึง ผมฟู ๆ ผิวขาว ใช่มั้ยครับ” ตติยะแอ๊บเสียงขรึม
“ไม่ใช่ค่ะ ขนฟู สีขาว พันธุ์ปอมเมอเรเนียนค่ะ”
“หา!” พุชรีย์กับตติยะพูดพร้อมกัน “หมาปอมปอม”
“ค่ะ ลูกสาวฉัน น้องปันฟ้า เป็นน้องหมาพันธุ์ปอมปอมค่ะ ก็ที่นี่สำนักงานนักสืบอันดับหนึ่งเรื่องตามหาหมาแมวไม่ใช่เหรอคะ”
คุณชายไฮโซขมวดคิ้วสงสัย สองพนักงานจ้างแห่งสำนักงานนักสืบทำปากเบะ อยากจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ
“เปิดกิจการมาครึ่งปี มีแต่คดีหมาแมว” ปาณัสม์วางแฟ้มเอกสารสรุปคดีที่ได้มาจากพุชรีย์ลงบนเคาเตอร์ ในขณะที่อีกสามหนุ่มชะเง้อหน้าอยากเห็นข้อมูลดีในแฟ้มบ้างอย่างอยากรู้อยากเห็น
“แหม น้องน็อตขา จะให้ทำยังไงล่ะคะ ชีวิตจริงมันไม่เหมือนในซีรีส์สืบสวนนี่คะ” พุชรีย์รีบปลอบ ในขณะที่ตติยะได้แต่พยักหน้ายืนอยู่ข้าง ๆ “พวกคดีฆาตกรรมซับซ้อนซ่อนเงื่อนก็ตกไปอยู่ในมือของทีมสืบสวนคดีเฉพาะกิจหมด คดีที่สำนักงานนักสืบเอกชนอย่างเรา ๆ จะได้ทำ ก็มีคดีหมาแมวพวกนี้แหละค่ะ”
“เราต้องคิดโปรโมทชั่น” อชิระเปรยขึ้น
“จ้างหนึ่งคดี ไขฟรีอีกหนึ่งคดี ดีมั้ยพี่” อินทร์ธัชพูดเสริมเข้ากันสมกับเป็นลูกคู่
“นี่แน่” ต้องชนะตบกะโหลกน้องเล็กของทีมเต็มแรง “ใครเขาจะอยากมีคดีเกิดขึ้นกับตัวบ่อย ๆ คิดโปรโมชั่นแบบนั้นไป ได้กลายเป็นแช่งเขา เดี๋ยวก็โดนคนเอามารุมจวกในเว็บเพ็ญทิพย์กันพอดี”
“อย่าเครียดเลยนะคะ น้อง ๆ” พนักงานร่างท้วมตัดสินใจพูดขึ้นบ้าง “ช่วงเริ่มต้นธุรกิจก็แบบนี้แหละค่ะ เรารับงานเล็ก ๆ ไปก่อน ไม่แน่หรอก งานหมาแมวที่เราเห็นกันว่าเป็นงานเล็ก ๆ อาจนำไปสู่คดีใหญ่ ๆ ก็เป็นได้ เช่น เราอาจตามหาหมา แล้วไปเจอว่า จริง ๆ แล้ว เป็นหมาของแก๊งค์ค้าหมาข้ามชาติก็เป็นได้”
“ตลก ...” พุชรีย์ประชดสีหน้านิ่งเรียบ “ถ้าน้องน็อตกังวลเรื่องรายจ่ายที่เริ่มมีมากกว่ารายรับ พี่แนะนำให้ไล่พี่ตุ้ยนุ้ยออกนะคะ เหลือให้เจ้ทำงานคนเดียวก็พอ”
ตติยะเท้าเอวทันที
“เอาเถอะครับ พี่ ๆ นี่ไม่ใช่เวลาล้อเล่น ผมจริงจัง” ปาณัสม์มุ่นคิ้ว
“คิดมากทำไมพี่” อินทร์ธัชขยับมาแตะบ่าพี่ชาย “ถ้าดวงคดีดี ๆ จะมา เดี๋ยวมันก็มาเองแหละ”
ปิ๊งป่อง!
สัญญาณออดดังขึ้น ทั้งหกชีวิตที่เคาเตอร์ และป้าจินตนาที่กำลังกวาดพื้นอยู่หันมองไปทางหน้าบ้านเป็นสายตาเดียวกัน
เสียงสะเดาะกลอนรั้วเหล็กดังขึ้นในยามวิกาล มีเพียงแสงจากดวงจันทร์เท่านั้นที่เจือเงาสีดำแห่งรัตติกาลให้กลายเป็นความมืดสลัว ลวดซึ่งถูกดัดเป็นพิเศษสามารถแทนลูกกุญแจได้ทุกแบบทุกรุ่นทำหน้าที่ของมันได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ชายชุดดำสวมหมวกไอ้โม่งย่องเข้าไปในบริเวณบ้านของใครคนหนึ่ง และสิ่งมีชีวิตที่ประสาทการรับรู้ไวกว่ามนุษย์อย่างเจ้าไซบีเรียนฮักกี้ขนสีน้ำตาลก็เห่าเสียงดัง ชายอีกสองคนย่องตามเข้ามา ส่วนอีกคนที่เหลือดูต้นทางอยู่ด้านนอก ไม่ทันไรนัก ไฟในบ้านก็เปิดขึ้น เสียงไขประตูบ้านดัง เจ้าของบ้านเลื่อนเป็นประตูกระจกออกมาด้วยความง่วงหง่าวหาวนอน
“อะไรของแกวะ เจ้าตุ้ยนุ้ย” เขาเดินเข้าไปหาเจ้าหมาน้อยซึ่งนอนอยู่ในบ้านหมานอกตัวบ้าน
ชายชุดไอ้โม่งคนหนึ่งหลุดหัวเราะพรวดออกมา เพราะชื่อของสุนัขเหมือนกับชื่อของลูกจ้างคนหนึ่งในสำนักงานของเขาโดยบังเอิญ
“นั่นใคร!” เจ้าของบ้านหลุดจากภวังค์แห่งความง่วงโดยพลัน “กูถามว่าใคร”
“อย่ากลัวไปเลยครับ พวกเรามาดี” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น เขาก้าวออกมาจากมุมมืดให้แสงจากพระจันทร์ช่วยเผยร่างเขา
คนเป็นเจ้าของบ้านรีบก้มหยิบก้อนอิฐใกล้ ๆ แล้วปาใส่ร่างนั้น เขาตกใจแต่เอี้ยวตัวหลบทัน ก้อนอิฐเลยไปถูกคนข้างหลังแทน
“โอ๊ย!”
“อย่าซิครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมมาดี” ร่างนั้นขยับเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น
“คนมาดีบ้าอะไรจะมาตอนตีสองแบบนี้” ถ้าชายเจ้าของบ้านมีปืน เขาคงหยิบขึ้นมาจ่อยิงแล้ว
“พวกเราแค่จะมาเอาของที่คุณไปขโมยคนอื่นมาคืน”
“ของที่ขโมย?” ชายวัยสี่สิบเศษมุ่นคิ้ว “พวกแกพูดเรื่องอะไรกัน”
แก้วน้ำสี่ใบซึ่งใส่น้ำเย็นเฉียบไว้ได้จัดเสิร์ฟวางลงบนโต๊ะรับแขก ปาณัสม์ ต้องชนะ อชิระและอินทร์ธัชนั่งยิ้มเจื่อน สบตากับเจ้าของบ้านซึ่งเป็นชายวัยกลางคนที่ดูไม่ค่อยเอาเรื่องใคร เจ้าสุนัขไซบีเรียนอนลิ้นห้อยหนุนตักผู้เป็นนาย กรอกตามามองสี่หนุ่มอย่างดูแคลน ทั้งหมดนั่งอยู่ในห้องรับแขกที่เต็มไปด้วยพระพุทธรูป เจ้าแม่กวนอิม พระพิฆเนศวรและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ทั้งพุทธและพราหมณ์
“ก่อนอื่นผมต้องขอโทษนะครับ ที่พูดจาไม่ดีใส่พวกคุณไปเมื่อครู่” เจ้าของบ้านกลับกลายเป็นสุภาพชนขึ้นมาทันที แหงล่ะ...มีชายฉกรรจ์บุกรุกเข้ามาในบ้านขนาดนั้น ใครจะมามัวพูดจาไพเราะกันเล่า
“พวกผมต่างหากที่ต้องขอโทษ” ปาณัสม์ในฐานะหัวหน้าทีมนักสืบตอบ “เพราะเข้าใจผิดคิดว่าคุณไปขโมยเจ้าเมจิ สุนัขของเศรษฐีใหญ่ที่จ้างผมมาตามหาน่ะครับ”
“ผมบังเอิญไปเจอมันเดินหลงทางอยู่ ท่าทางหิวโซ เลยพามันมาอยู่ที่บ้าน” ชายวัยกลางคนเล่า “ประกาศตามหาเจ้าของแล้วก็ไม่เจอ ไม่รู้จะทำยังไง เลยต้องเลี้ยงไว้เอง นี่มันก็อยู่กับผมมาเกือบเดือนแล้วนะครับ”
“แต่ทางเจ้าของเขาก็อยากได้มันคืนนะครับ” ต้องชนะเสริมอยากเข้าใจหัวอกทั้งเจ้าของคนเก่าและเจ้าของคนใหม่
“ไม่ครับไม่” คำตอบของเขาทำเอาสี่หล่อลุ้นระทึก “ถ้าเจ้าของคนเก่าเขาอยากได้คืน ผมก็ยินดีคืนให้ แม้ผมจะเริ่มผูกพันกับมันแล้วก็ตาม”
ชายเจ้าของบ้านลูบหัวเจ้าตุ้ยนุ้ยซึ่งอันที่จริงแล้วชื่อเมจิ มันเงยหน้าขึ้นมาสบตาละห้อยราวกับรู้ว่าจะต้องจากเจ้านายคนใหม่ผู้แสนดีไปแล้ว สี่หนุ่มใจหนึ่งก็รู้สึกโล่งที่ภารกิจครั้งนี้สามารถหาทางออกด้วยการเจรจากันจนได้ แต่อีกใจหนึ่งกับรู้สึกเสียใจที่มีส่วนต้องทำให้คนกับสุนัขที่กำลังเกิดความรักความผูกพันกันต้องแยกจากกัน
ภารกิจจบสิ้นลง แต่สิ่งที่ยังคงอยู่คือ สี่หนุ่มกับเจ้าลิ้นห้อยสี่ขา นาฬิกาบอกเวลาตีสาม และแท็กซี่เป็นความหวังเดียวที่พวกเขาจะเดินทางกลับบ้านได้ หากแต่แท็กซี่คันเดียวที่แล่นผ่านมา พอเห็นว่ามีสุนัขก็ส่ายหน้า แล้วอ้างว่า ต้องรีบกลับไปหาเมีย เมียโทรตาม ทางเลือกทางเดียว คือ แวะไปหาอะไรทานจนกว่าจะเช้ากว่านี้
ระหว่างที่ทั้งสี่เดินเท้าไปยังร้านข้าวต้มโต้รุ่ง เสียงหมาหอนก็ดังขึ้น โชคดีที่ร้านข้าวต้มมีคนพลุกพล่าน เพราะถ้าเกิดมีเสียงเห่าหอนของเพื่อนรักสี่ขาดังขึ้นตอนตีสามแบบนี้ ต่อให้เป็นชายชาตรีแค่ไหนก็คงก้าวขาไม่ออกกันอยู่บ้าง
ทันใด เจ้าไซบีเรียนฮักกี้ก็หอนตอบกลับโดยที่สี่นักสืบไม่รู้ว่า สุนัขอื่นที่หอนมาเป็นพันธุ์ไทยหรือพันธุ์ฝรั่งเหมือนกันกันแน่ แต่อยู่ ๆ เจ้าเมจิก็วิ่งพรวดออกไป เพราะความเป็นที่หมาตัวใหญ่ มันจึงกระชากเชือกคล้องคอให้หลุดจากมือของปาณัสม์แล้ววิ่งไปตามบาทวิถี สี่หนุ่มตกใจรีบวิ่งตาม เนื่องจากรู้ดีว่า หากสุนัขตัวนี้เป็นอะไรไป พวกเขาจะต้องชวดเงินก้อนใหญ่จากมหาเศรษฐีผู้ว่าจ้างอย่างแน่นอน
เจ้าเมจิวิ่งเข้าไปในมืด ๆ ไร้ซึ่งแสงไฟจากหลอดนีออน ลมเย็นพัดหอบเอากลิ่นขยะเหม็นโชยมาเตะจมูกพวกเขา แต่เพื่อสุนัขที่มีค่าหัวนับหมื่นบาท ทั้งสี่จำต้องย่ำไปบนพื้นตรอกอันเฉอะแฉะ เจ้าสี่ขาพยายามหลบซ่อน ปาณัสม์หลับตาลงแล้วเพ่งสมาธิจนภาพเจ้าสัตว์สี่ขาวิ่งหายเข้าไปในตึกร้างตรงหน้า
“มันอยู่ในนั้น” ปาณัสม์ชี้นิ้วตรงไป
“เสร็จฉันล่ะ เจ้าหมาน้อยเอ๋ย” ต้องชนะยิ้มอย่างมีชัย
“แต่นั่นมันตึกร้างนะพี่” น้องเล็กผู้เจนโลกเรื่องท่องราตรี แต่สำหรับตึกร้างในยามราตรี เขาไม่รู้สึกพิสมัยมันเท่าไหร่นัก
“ไม่มีอะไรหรอกน่า อยู่กันตั้งสี่คน พี่ไมได้จะให้แกเข้าไปคนเดียวซะหน่อย” พี่ชายบังเกิดเกล้าปลอบอินทร์ธัช
“โทร. ตามสาวที่แกชอบนัดออกมายามดึกมาสิ” ได้ทีอชิระก็เอาบ้าง “ตึกร้างยามวิกาล ดูตื่นเต้นดีออก”
“ไอ้นี่ ทะลึ่ง” อินทร์ธัชตบหัวเบา ๆ
“เอาเถอะ อย่าช้าอยู่เลย เดี๋ยวเจ้าหมานั่นมันจะเตลิดหนีไปที่อื่นซะก่อน”
อชิระหยิบไฟฉายกระบอกเล็กที่พกติดตัวไว้หยิบมาเปิดส่องไปตามจุดต่าง ๆ ภายในตึกร้างเต็มไปด้วยหยากไหย่และคราบฝุ่น แม้เจ้าเมจิจะฉลาดเพียงไหน แต่สุนัขยังไงก็ไม่เป็นสุนัข มันไม่รู้ว่าได้ทิ้งรอยเท้าที่เหยียบฝุ่น บอกทางว่ามันเดินขึ้นยังชั้นสอง
“เรารออยู่ข้างล่างไม่ดีกว่าเหรอพี่ เดี๋ยวมันก็ออกมาเอง ไม่คงไม่เข้าไปอยู่ในตึกนี่เป็นวันหรอก”
“แล้วแกจะให้พวกเราผลัดเวรกันรอเป็นวันหรือไงเล่า” แม้ต้องชนะจะไม่ค่อยมีไหวพริบเท่า แต่เรื่องความกล้า ถ้าได้ดวลกับอินทร์ธัชก็ถือว่าชนะขาด
“อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวมันก็ยิ่งหนีกันไปใหญ่” ปาณัสม์ปราม แล้วเดินนำอีกสามหล่อขึ้นไปยังชั้นสอง ชั้นร้างว่าดูรกร้างแล้ว ฉันสองนั้นยิ่งกว่า หนูท่อตัวเท่าบ้านวิ่งผ่านขาอินทร์ธัชจนเจ้าตัวเผลอร้องออกมา อชิระอยากจะหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายคลิปวิดีโอตอนหนุ่มเพลย์บอยสาวแตกไว้ไปให้สาว ๆ ดู
“กุ๊ก ๆ ๆ ๆ ออกมาเร็วลูก” ปากของอินทร์ธัชสั่น ใบหน้าเหยเก พยายามร้องเรียกให้เจ้าเมจิออกมา
“หมาเว้ย ไม่ใช่ไก่ จะมาร้องเรียกกุ๊ก ๆ ๆ ๆ” ต้องชนะว่า
“ก็เผื่อพอได้ยินเสียงไก่มันจะอยากออกมาฟัดไง”
ปาณัสม์ส่ายหัวกลุ้มใจในความไร้สาระของน้องชายตัวเอง แต่ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ อยู่ ๆ เจ้าไซบีเรียนฮักกี้ก็วิ่งออกมาจากมุมมืด ยืนแลบลิ้นสบตาทั้งสี่หนุ่มตาละห้อย
“เห็นมั้ย ได้ผลจริง ๆ ด้วย”
อีกหนุ่มที่เหลือแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าเจ้าเมจิจะออกมาได้โดยง่าย ปาณัสม์อาสาเป็นคนเข้าไปจับ แต่แล้วเสียงสุนัขเห่าหอนจากทิศหนึ่งซึ่งอยู่ไกล ๆ ดังขึ้นอีกครั้ง ถัดจากกันไม่นานเสียงหอนจากสุนัขอีกกลุ่มก็ดังมาจากอีกทาง เสียงเหล่านั้นดังขึ้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนมาถึงเจ้าเมจิที่รีบหอนตามกันราวกับกำลังสื่อสารอะไรบางอย่าง ทันใดภาพนิมิตบางอย่างก็แวบเข้ามาในความคิดทั้งที่ปาณัสม์ยังไม่ได้หลับตา
ภาพชายฉกรรจ์ผิวคล้ำท่าทางโฉดเขลาวิ่งเข้ามาในตรอก ในมือถือกล่องกำมะหยี่สีแดงที่ไว้ใส่เครื่องเพชร กลุ่มนายตำรวจราว ๆ เจ็ดคนวิ่งตามมา คนร้ายวิ่งตรงมายังตึกร้างแห่งหนึ่ง ปาณัสม์หลับตาแล้วเพ่งมองเพื่อจะได้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น มันเป็นภาพที่คุ้นตา ภาพที่เขาเพิ่งเห็นกับตาตัวเองมาเมื่อครู่นี้ คนร้ายนั่นกำลังวิ่งตรงมายังตึกร้างที่พวกเขาอยู่ในขณะนี้นั่นเอง! กลุ่มชายสี่คนที่แอบมองการไล่ล่าจากชั้นสองในภาพนี้ก็ไม่ใช่ในที่ไหน พวกเขานั่นเอง
ระหว่างที่ปาณัสม์กำลังตกตะลึง อีกสามหนุ่มช่วยกันรุมจับเจ้าเมจิจนสำเร็จ อินทร์ธัชหันมาแซวพี่ชายตัวเอง
“เห็นภาพนิมิตอีกแล้วเหรอพี่ เห็นภาพตอนรับเช็คหรือเปล่า เจ้าของหมานี่เขาให้โบนัสพวกเรามั้ย”
“ปล่อยหมาก่อน” ปาณัสม์ตอบไม่ตรงคำถาม ทั้งสามมุ่นคิ้วแล้วมองหน้ากัน
“อะไรกันพี่” อชิระสงสัย “จะให้ปล่อยเจ้าหมาเงินหมื่นเนี่ยน่ะเหรอ”
“ไม่ได้จะปล่อย” ชายผู้มีสัมผัสพิเศษยิ้มที่มุมปาก “แต่สิ่งที่เรารอคอยมานาน กำลังจะเกิดขึ้นต่างหาก”
“หยุดนะ!” ร้อยโทเรืองฤทธิ์ตะโกนสั่งทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าคนร้ายไม่มีทางหยุด ชายโฉดยังคงวิ่งไปตรงดึกร้าง ยืนเลิกลั่กเพราะไม่รู้จะไปทางไหนต่อดี สุดท้ายชายคนดังกล่าวก็ชักปืนที่เหน็บไว้ตรงเอวออกมา
“เครื่องเพชรนี้มันเป็นของเจ้านายกู” เขาโวยวาย “ไม่ใช่ของไอ้เสี่ยทรยศเพื่อนนั่น”
“เจ้านายมึง?” ผู้หมวดหนุ่มเลิกคิ้ว “ไอ้เสี่ยชัยน่ะเหรอ มันนอนอยู่ในซังเตมาตั้งหลายเดือนแล้ว”
“ก็เพราะมีเพื่อนทรยศอย่างไอ้วรวิทย์ไง”
ระหว่างที่ตำรวจกำลังเจรจากับคนร้าย สี่หนุ่มนักสืบแอบมองสถานการณ์ทั้งหมดจากชั้นสอง แผนการในหัวของแต่ละคนผุดพราย คำถามที่เกิดขึ้นไม่ใช่ว่า เราจะจัดการโจรคนนี้หรือไม่ แต่คำถามคือ เราจะช่วยตำรวจจัดการโจรคนนี้อย่างไรต่างหาก
“ฉันคิดอะไรดี ๆ ออกแล้ว แต่ขอเช็คก่อนนะว่าได้ผลมั้ย” พูดจบปาณัสม์ก็หลับลงเพ่งมองภาพนิมิต แล้วเผยยิ้มออกมาแทนคำตอบ
สถานการณ์ที่บริเวณหน้าตึกร้างยังคงตึงเครียด พี่ใหญ่ของสำนักงาน ‘4 หล่อขอสืบ’ บอกแผนการที่คิดไว้ และทุกคนก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง สี่หนุ่มแยกย้ายประจำที่ เฝ้ามองหาจังหวะที่เหมาะสมในการลงมือ
“ยอมมอบตัวและไปอยู่กับเจ้านายในคุกเถอะ” ยิ่งนายตำรวจพูดกดดัน คนร้ายยิ่งมือสั่นคนคุมปืนไม่อยู่ “ถ้ามึงยิง กูวิสามัญมึงแน่”
คนร้ายพยายามเดินขยับถอยหลังเข้ามาในตึก แต่แล้วก็เกิดเสียงกระป๋องตกกระทบพื้นดังขึ้นจากด้านในอาคาร ชายโฉดหันขวับแล้วเล็งปืนเข้าไปในความมืดทันที
“นั่นใคร!”
ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา แต่สิ่งที่ทุกคน ณ ที่นั้นได้เห็น คือ กลุ่มควันที่ขาวที่ฟุ้งกระจายและมีกลิ่นเหม็นอย่างประหลาด
“แก๊สรั่ว หนีเร็ว!” อชิระตะโกนลั่นมาจากด้านใน
เพียงเท่านั้น เหล่าตำรวจถอยกรูด คนร้ายเองตกใจ รีบโยนปืนกับกล่องเครื่องเพชรทิ้ง และวิ่งออกมาหน้าตาตื่น ปาณัสม์หลับตาเพื่อใช้ ‘ตามาร’ มองดูว่าคนร้ายวิ่งออกมาหรือยัง อินทร์ธัชในแอปปลิเคชั่นในโทรศัพท์สมาร์ทโฟน คำนวณจังหวะเวลา องศา การทิ้งตัวลงไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก เพื่อให้สมาชิกคนสุดท้ายที่เหลือของทีมสี่หล่อ ลงมือปฏิบัติการเป็นพระเอกของงาน
“สาม สอง ... โดดเลยพี่”
สิ้นเสียงของน้องเล็ก ต้องชนะกระโดดออกจากระเบียงชั้นสอง ร่างล่ำหนาร่วงลงทับโจรที่กำลังตระหนกกับแก๊สรั่วปลอม ๆ ซึ่งเป็นควันจากกระป๋องมายากลของอชิระ คนร้ายหน้าคะมำกระแทกพื้น สลบคาที่ทันที
“หยุดนะ!” หลังตกตะลึงกับปฏิบัติการ หมวดเรืองฤทธิ์ก็ตะโกนสั่ง ปาณัสม์ อชิระและอินทร์ธัชค่อย ๆ เผยกายออกมาจากจุดต่าง ๆ ของตึกร้างที่ใช้ประจำการ ท่ามกลางความตกตะลึงของเจ้าหน้าที่กรมสืบสวนคดีเฉพาะกิจทุกคน
“อย่ายิงนะครับ พวกเรามาดี” ต้องชนะอธิบาย ขณะที่อชิระเดินมาเก็บกล่องเครื่องเพชรซึ่งเปิดอ้า โชคดีที่อัญมณีสีแดงเลือดไม่หลุดจากกล่องตกลงเปื้อนพื้นตรอกอันเฉอะแฉะ
จังหวะที่ปาณัสม์หยุดยืนอยู่บนบริเวณระเบียงชั้นสอง เขารู้สึกวูบเล็กน้อย ชุดภาพนิมิตพลันแวบเข้ามาในหัว มันเป็นภาพรีสอร์ทยามค่ำคืน ภาพชายร่างสูงตระหง่านยืนหันหลังขุดดินอยู่ในสวนหน้าหลัง มันเป็นภาพในความทรงจำที่เขาหลงลืมมันมานานแล้ว
“โอ๊ย!” การซูบฉีดเลือดที่พุ่งเร็วในสมองจน ทำให้เขาปวดหัวจี๊ดจนต้องร้องออกมา
“เป็นอะไรวะ ไอ้น็อต” ต้องชนะเงยหน้าขึ้นไปมองและถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไร” ปาณัสม์รู้ดีว่าเวลาภาพนิมิตที่เขาไม่ปรารถนาปรากฏขึ้นในมโนความคิดโดยไม่ได้ตั้งใจ ทางเดียวที่เขาทำให้คือกำหนดจิตให้นิ่งแล้วดึงสมาธิให้มาจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน
“เดี๋ยวนะ...” ผู้หมวดหนุ่มขมวดคิ้ว เพราะรู้สึกคุ้นหน้าผู้ชายสี่คนนี้อย่างบอกไม่ถูก “นี่พวกนายเป็นใครกัน”
“พวกเราก็แค่นักสืบธรรมดา” ปาณัสม์ซึ่งสติสัมปชัญญะกลับมาอยู่ในสภาวะปกติดีแล้วกระโดดลงมาจากชั้นสองบ้าง “จากสำนักงานเอกชนเปิดใหม่ที่มีชื่อว่า ‘4 หล่อขอสืบ’ ครับ”
-------------------------------------------------------
คำถามร่วมสนุกท้ายตอน 4 หล่อขอสืบ ตอนที่ 5 ศิลานิรมิต
"น้องปันฟ้า เป็นสุนัขพันธุ์อะไร"
ผู้ที่ตอบถูก 10 คนแรก จะได้รับคนละ 5 คะแนน นะครับ
ธรากร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ม.ค. 2558, 23:49:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ม.ค. 2558, 23:49:39 น.
จำนวนการเข้าชม : 1697
<< ตอนที่ 4 สปายนิวส์ | ตอนที่ 6 พาดหัวข่าว >> |
ธรากร 21 ม.ค. 2558, 23:55:55 น.
เฉลยคำถามประจำตอนที่ 4 สปายนิวส์ นะครับ
บรรณาธิการใหญ่ของสำนักข่าวสปายนิวส์ มีชื่อว่า "บ.ก. เจนจิรา หรือ บ.ก. เจนนี่ ครับ"
ผู้ที่ตอบถูก ได้แก่
คุณ dragon คุณกาชะลองพลัดถิ่น คุณแว่นใส และคุณ konhin นะครับ
ผลคะแนนสะสม มีดังนี้ครับ
คุณ แว่นใส 20 คะแนน
คุณ konhin 20 คะแนน
คุณ dragon 15 คะแนน
คุณ sunflower 10 คะแนน
และคุณ กาชะลองพลัดถิ่น 10 คะแนน
ติดตามข่าวคราวของผมได้ที่ www.KornWriter.com
และติดตามนิยาย 4 หล่อขอสืบ ได้ทุกวันอังคารและวันศุกร์ เวลา 20.15 น. นะครับ
(อาจลงดีเลย์บ้าง 2 - 3 วัน แล้วแต่ช่วงว่าง แต่จะพยายามลงให้ตรงเวลาครับ)
ขอบคุณที่ติดตามนะครับ
เฉลยคำถามประจำตอนที่ 4 สปายนิวส์ นะครับ
บรรณาธิการใหญ่ของสำนักข่าวสปายนิวส์ มีชื่อว่า "บ.ก. เจนจิรา หรือ บ.ก. เจนนี่ ครับ"
ผู้ที่ตอบถูก ได้แก่
คุณ dragon คุณกาชะลองพลัดถิ่น คุณแว่นใส และคุณ konhin นะครับ
ผลคะแนนสะสม มีดังนี้ครับ
คุณ แว่นใส 20 คะแนน
คุณ konhin 20 คะแนน
คุณ dragon 15 คะแนน
คุณ sunflower 10 คะแนน
และคุณ กาชะลองพลัดถิ่น 10 คะแนน
ติดตามข่าวคราวของผมได้ที่ www.KornWriter.com
และติดตามนิยาย 4 หล่อขอสืบ ได้ทุกวันอังคารและวันศุกร์ เวลา 20.15 น. นะครับ
(อาจลงดีเลย์บ้าง 2 - 3 วัน แล้วแต่ช่วงว่าง แต่จะพยายามลงให้ตรงเวลาครับ)
ขอบคุณที่ติดตามนะครับ
กาซะลองพลัดถิ่น 22 ม.ค. 2558, 05:24:57 น.
น้องปันฟ้า เป็นหมาพันธุ์ ปอมเมอเรเนียน หรือน้องหมาพันธุ์ปอมปอมนั้นเองคะ
น้องปันฟ้า เป็นหมาพันธุ์ ปอมเมอเรเนียน หรือน้องหมาพันธุ์ปอมปอมนั้นเองคะ
กาซะลองพลัดถิ่น 22 ม.ค. 2558, 05:25:16 น.
น้องปันฟ้า เป็นหมาพันธุ์ ปอมเมอเรเนียน หรือน้องหมาพันธุ์ปอมปอมนั้นเองคะ
น้องปันฟ้า เป็นหมาพันธุ์ ปอมเมอเรเนียน หรือน้องหมาพันธุ์ปอมปอมนั้นเองคะ
กาซะลองพลัดถิ่น 22 ม.ค. 2558, 05:25:37 น.
น้องปันฟ้า เป็นหมาพันธุ์ ปอมเมอเรเนียน หรือน้องหมาพันธุ์ปอมปอมนั้นเองคะ
น้องปันฟ้า เป็นหมาพันธุ์ ปอมเมอเรเนียน หรือน้องหมาพันธุ์ปอมปอมนั้นเองคะ
dragon 22 ม.ค. 2558, 23:30:32 น.
ปันฟ้าเป็นสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนค่ะ (หมาปอมปอม)
ปันฟ้าเป็นสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนค่ะ (หมาปอมปอม)