พิมพ์ลภัส
พิมพ์ลภัสเด็กสาวร่างอ้วนแก้มยุ้ยด้วยน้ำหนักตัวเกือบร้อยกิโลกรัมแอบรักพี่ชายขัางบ้านที่โตมาด้วยกัน ทว่าภีรมัตเห็นเธอเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น..เธอรู้
ระหว่างเธอกับภีรมัตแตกต่างกันราวผีเน่ากับเทพบุตร ใครจะไปสวยเท่าแฟนสาวสิตาภาที่ครั้งหนึ่งเขาเคยประกาศต่อหน้าเธอว่าใช่สเป็ก นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ และการกลับมาพบกันอีกครั้งระหว่างเธอกับภีรมัตเรื่องยุ่งๆของหัวใจจึงเริ่มต้นขึ้น

Tags: พิมพ์ลภัส ภีรมัต รักหวานซึ้งปนเศรา้้

ตอน: บทที่ 16 Love for ever

งานแสดงโชว์จิวเวลรี่ผ่านพ้นไป กระทั่งออกวางจำหน่ายกระแสตอบรับค่อนข้างดีมากทีเดียว มีออเดอร์สั่งเข้ามาต่อเนื่องทำให้พิมพ์ลภัสยุ่งจนกระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลยลืมกระทั่งคิดถึงเขาชั่วขณะ ไม่เหน็ดเหนื่อยตรงกันข้ามกลับภูมิใจในความสามารถของตัวเองที่ทำได้ แล้วตอนนี้มารดาเธอไว้ใจถึงขนาดปล่อยให้ดูแลบริหารงานเกือบทั้งหมดแทนท่าน มีบ้างบางส่วนที่ยังต้องผ่านการตัดสินใจจากท่านเพราะเธอยังอ่อนประสบการณ์

นี่ก็ร่วมเดือนแล้ว ที่เธอหัวปั่นอยู่กับการพบลูกค้าที่ต้องการเข้ามาเยี่ยมชมโรงงานก่อนสั่งออร์เดอร์ ลงฝ่ายผลิตเพื่อควบคุมการผลิตด้วยตัวเองให้ได้ชิ้นงานมาตรฐานตามที่เธอกำหนดไว้ รวมทั้งยังตรวจสอบคุณภาพงานทุกชิ้นแบบละเอียดยิบด้วยตัวเอง

ยิ่งยุ่งยิ่งดี..เธอจะได้คิดถึงเขาน้อยลง และมันก็ทำให้เธอปล่อยเรื่องเขาออกไปจากสมองได้พักใหญ่ จนทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง เขา..ก็ย้อนกลับมาทวงความสำคัญในใจเธอดังเดิม

“คุณพิมคะ..สายจากท่านประธานค่ะ” เสียงเลขาคนสนิทหน้าห้องเธอ บอกผ่านอินเตอร์คอมเข้ามา

“เรื่องด่วนรึเปล่าคะ..พิมกำลังยุ่งอยู่” เธอกดรับแล้วกรอกเสียงลงไป

“ท่านบอกว่าเรื่องสำคัญค่ะ” เลขารายงานตามที่ได้รับแจ้งมาอีกที

“โอนสายเข้ามาเลยค่ะ..” เดิมทีเธอจะรับสายมารดาทุกครั้ง แต่พักหลังๆมารดามักเอาเรื่องไร้สาระมากวนใจ เธอจำต้องบอกเลขาหน้าห้องถ้าไม่สำคัญจริงๆเวลางานเธอแทบจะไม่อยากรับสายใคร เพราะมันจะทำให้ไม่มีสมาธิ

“ค่ะแม่..” ตอบรับเพียงสั้นๆ ตาตรวจดูเอกสารการสั่งซื้อ บนโต๊ะยังมีแฟ้มบัญชีกางเอาไว้รวมทั้งเอกสารอื่นๆอีกสองสามเล่มชวนปวดหัว

“ยุ่งถึงขนาดไม่รับสายแม่เลยเหรอลูก” นางตัดพ้อหลังจากโทร.เข้ามือถือหลายครั้งทว่าพิมพ์ลภัสก็ไม่ตอบรับเพราะตั้งสั่นไว้ เธอจึงไม่ได้ยิน

“นิดหน่อยค่ะ..”

“พักบ้างก็ได้นะลูก ให้ประภาดูแลแทนก็ได้นี่ ไม่จำเป็นต้องทำเองทุกอย่างเลย” น้ำเสียงมารดาอ่อนโยนด้วยความห่วงใย แต่เธอรู้...เริ่มต้นหวานหู บทสรุปจะไม่หวานอย่างที่คิด มารดามีแผนเสมอ

“พิมรู้ค่ะแม่ แต่พิมอยากทำเองมากกว่าอีกอย่าง คุณแม่ก็ใช้งานคุณประภาตั้งจนล้นมือ ช่วงนี้การกุศลก็เยอะไม่ใช่เหรอคะ
พิมกลัวคุณประภาจะลาออกซะก่อนเดี๋ยวคุณแม่จะขาดคนรู้ใจ” พิมพ์ลภัสแหย่กลับไปบ้าง ท่านถึงกับทำเสียงจิ๊จะในลำคอเพราะถูกดักคอ

เหตุผลแท้จริงแล้ว..เธอไม่อยากปล่อยให้สมองว่าง ถ้าว่างทีไรมันก็คอยแต่จะคิดวนเวียนเรื่องเขาทุกที เลยต้องทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้ แวบนึงเธออดคิดถึงเขาไม่ได้ เกือบสองเดือน..ที่ไม่ได้เจอเลย อ่านข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์บ้าง พอจะรู้ว่าเขากับสิ
ตาภายังรักกันดี

“พิมฟังแม่อยู่รึเปล่า” คุณหญิงปานทิพย์เรียกบุตรสาวติดๆกันสองครั้งเห็นเงียบไปนาน เอ่ยไปตั้งหลายประโยคแต่กลับไม่มีเสียงตอบมา

“คะ..แม่ว่าอะไรนะคะพิมไม่ทันฟัง”

“ลูกนะลูก..” มารดาเอ่ยน้ำเสียงอ่อนใจเสียเต็มประดาราวกับว่าเธอสร้างเรื่องให้เหนื่อยใจมากมาย ” ลูกคงยังไม่ได้ทานอะไรสินะ เดือนเต็มเลขาหน้าห้องลูกบอกแม่แล้ว เพราะอย่างนี้ไงเล่าแม่ถึงต้องให้ตาจุ๊นไปรับลูกมาทานข้าว นี่..แม่กับคุณหญิงแสงนัดกันไว้ที่ร้านโปรดลูกพอดี..พอเห็นร้านก็นึกถึงลูกพิมอยากให้ลูกมาด้วยอ้อ!ตาจุ๊นไปถึงรึยัง” นางร่ายยาวเหยียด ซ้ำยังมัดมือชกเธอไม่ให้มีโอกาสได้ตัดสินใจกันเลยทีเดียว นั่นไง...ว่าแล้วเชียว

สิ้นประโยคจากมารดาประตูก็ถูกผลักเข้ามาพอดี พร้อมกับร่างสูงอย่างนายแบบยืนฉีกยิ้มกว้างมาให้เธอ

“สวัสดีครับคุณพิม”

พิมพ์ลภัสยิ้มรับบางๆ นึกเข่นเขี้ยวมารดาในใจ ชั่งวางแผนซะจริง

“มาพอดีค่ะแม่..” เธอกรอกเสียงกลับไปแค่นั้นแล้ววางสายลงเบามือรู้เว่าเลี่ยงไม่ได้แน่นอน

“ผมมารับคุณพิมไปทานข้าวครับ” เขาเอ่ยยิ้มกว้างขวาง

“ค่ะ..”

นี่มารดาเธอคิดจะทำอะไร จะจับคู่เธอกับจุลกานต์รึไง พักหลังถึงให้เขามารับมาส่งพาไปทานข้าวเป็นว่าเล่น พิมพ์ลภัสมองรอยยิ้มมหาเสน่ห์แต่จริงใจนั่น เขาไม่ผิด..เธอรู้ แต่หัวใจเธอนี่สิมันถูกยกให้คนอื่นไปแล้ว
พิมพ์ลภัสคว้ากระเป๋าสะพายออกเดินนำเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้

---------------------------------------------------------------**********-----------------------------------------------------------------

เช้านี้อากาศดี กลิ่นโอโซนบริสุทธิ์ยามเช้าตรู่ที่หมอกควันจากมลพิษยังมีไม่มากนักสำหรับหมู่บ้านริมชานเมืองกรุงเทพฯแค่นี้ก็ถือว่าดีสุดแล้ว ถือว่าพอได้สูดออกซิเจนเข้าปอดหน่อย นางเพ็ญมณีออกมารดน้ำต้นไม้เช่นที่เคยทำทุกวัน

ภีรมัตตื่นเช้ากว่าปกติ หลังจากใส่บาตรพร้อมมารดาเสร็จก็ออกวิ่งเหยาะๆหน้าบ้าน บิดซ้ายบิดขวาบริหารร่างกายด้วยลีลาต่างๆ เขาเหลือบมองตามสายตามารดาเป็นพักๆ เห็นนางกำลังตั้งคอชะเง้อชะแง้มองไปบ้านฝั่งตรงข้าม พอเขามองตามบ้างกลับไม่พบอะไรผิดแปลกไปจึงอดถามไม่ได้

“แม่มองหาใครครับ..”

“ก็หนูพิมนะสิ เมื่อวานบอกว่าจะมาใส่บาตรด้วยกัน ทำไมถึงไม่มาก็ไม่รู้”

จริงด้วยสิ เกือบสองเดือนแล้วมั้งที่ไม่พบพิมพ์ลภัส รู้เพียงคร่าวๆจากปากมารดาว่าสาวน้อยกำลังยุ่งอยู่ สองวันก่อนมีโอกาสได้ไปออกรอบกับบิดาและคุณอาบรรพต ท่านเล่าให้ฟังว่าธุรกิจจิวเวลรี่ที่พิมพ์ลภัสดูแลอยู่กำลังไปได้ดี มีลูกค้ามากมายสั่งออเดอร์เข้ามาไม่ขาดสาย อีกทั้งยังขยายตลาดในต่างประเทศอีกด้วยจึงทำให้เจ้าตัวยุ่งจนไม่มีเวลา

หลังจากงานวันงาน ภาพของพิมพ์ลภัสก็เริ่มปรากฏตามหน้าหนังสือบันเทิง สกรู๊ปคนดัง และอื่นๆอีกสารพัด สื่อให้ความสนใจมากกำลังจับตามองเป็นพิเศษ โดยเฉพาะหนุ่มๆเวลาที่เขาไปออกงานมักจะได้ยินหลายๆคนเอ่ยถึงเธอบ่อยๆ

“ว่าแต่เราเถอะไปตีกอล์ฟบ้านโน้นบ่อยๆเจอน้องบ้างรึเปล่า” นางหันมาถามบุตรชายบ้าง

“ไม่เลยครับ “ เขาตอบเรียบๆตามจริง

“แปลก..ไปทำอะไรให้น้องไม่พอใจรึเปล่าตาภีม” นางหันมาจับผิดบุตรชายตาเขียวขุ่น

ที่ถามออกไปแบบนั้นเพราะเธอจำแววตาหม่นเศร้าของสาวน้อยที่มองทอดมายังพ่อพระเอกคนดังในวันนั้นได้ดี มันมีอะไรมากมายในแววตาคู่งาม ภีรมัตถึงกับสะอึกพูดไม่ออก หน้าเจื่อนลงนิดที่มารดาเดาถูกก่อนจะอ้อมแอ้มตอบเสียงแผ่ว

“ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ..”

“นั่นไง..พ่อลูกชายตัวดี..” แล้วมหากาพย์ความผิดก็เริ่มขึ้น นางต่อว่าพร้อมทั้งฟาดเพี๊ยะลงบนแขนซึ่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออย่างหมั่นไส้ ” ..กับสาวๆดูแลดีเป็นสุภาพบุรุษ..ทีกับน้องดันทำตัวเป็นพญายักษ์ษี เจอแม่หน่อยไม่ได้จะจัดหนักให้เข็ดเลยเชียว” ต่อว่าเสร็จก็ส่งค้อนให้วงใหญ่

“อะไรกันครับ นี่แม่ยังไม่ทันฟังผมเลยนะก็ตัดสินว่าผมผิดซะแล้ว รักลูกสาวมากกว่านี่นา ลำเอียงชัดๆ”

“เราเป็นผู้ชายยอมน้องนิดหน่อยจะเป็นไรไป” มารดาหันมาเอ็ดเสียงเขียว

ขณะที่สองแม่ลูกกำลังโต้แย้งกันออกรส พาหนะสีดำขลับแล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าบ้านวีรภากานต์ก่อนประตูจะเปิดอัตโนมัติให้วิ่งเข้าไป

“พ่อคนนี้ก็ชักยังไง หมู่นี้เข้าออกบ้านนู้นเป็นว่าเล่น” นางเอ่ยตามที่สังเกตดู พักหลังๆมักจะเห็นจุลกานต์บ่อยครั้งที่บ้านฝั่งตรงข้าม ภีรมัตหันตามคำบอกเล่าของมารดา พบว่านายแบบคนนั้นกำลังหอบดอกไม้ช่อโตลงจากรถเดินเข้าบ้าน

“รู้ทั้งรู้ว่ามันเจ้าชู้ ยังจะไปยุ่งกับมันอยู่ได้..” จู่ๆภีรมัตก็เอ่ยเสียงเข้มออกมา

“เขาเป็นลูกชายคุณหญิงแสงพิไล..คบหากันกับแม่ทิพย์มานานคงไม่กล้าเข้ามาทำให้หนูพิมเสื่อมเสียหรอกมั้ง”

“เชื่อได้เหรอครับ คนมันมีสันดานเจ้าชู้ยังไง มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น..แม่ก็อีกคนอยากให้พิมพ์ลภัสตกนรกหรือไง ถึงสนับสนุน” เขาหันมาตีรวนใส่มารดาที่เข้าข้างจุลกานต์ นางถึงกับหันขวับมองหน้าบุตรชายด้วยความไม่เข้าใจ

“แม่เปล่าซะหน่อย แค่พูดไปตามเนื้อผ้าเท่านั้น ทำไมภีมต้องหงุดหงิดด้วยลูก”

“ก็เพราะผมเคยห้ามเขาเรื่องนี้แล้ว..แต่ไม่ยอมฟัง..อวดเก่ง..เจ็บขึ้นมาแล้วจะรู้สึก” เอ่ยเสียงกร้าวรวนๆ นางเพ็ญมองบุตรชายอย่างพินิจพิจารณาไม่เคยเห็นอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงจากบุตรชายแบบนี้มาก่อน แม้สิตาภาที่คบหาดูใจกันอยู่ หลายครั้งหลายหนที่สาวเจ้ามีข่าวว่าคนอื่นมาติดพัน ทว่าบุตรชายกลับนิ่งเฉยไม่มีอาการหวั่นวิตกหึงหวงให้เห็นเลย

“หนูพิมอาจจะแค่ลองศึกษาดูก่อน น้องมีสิทธ์เปิดโอกาสให้ตัวเองไม่ใช่เหรอ”

“แต่ต้องไม่ใช่ไอ้หมอนี่ครับแม่..” เขาสวนกลับเสียงห้วนกระด้างขึ้นอีก

“แล้วต้องเป็นแบบไหนล่ะ เราถึงจะพอใจ..” คำถามจากมารดาทำให้เขาอึ้งไปเลย

นั่นสิ!เขาไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน พอคิดว่าพิมพ์ลภัสจะรักคนอื่นแล้วความสำคัญของเขาจะต้องลดน้อยลงไป จู่ๆกลับทำใจไม่ได้ขึ้นมา จริงอยู่..สักวันพิมพ์ลภัสต้องมีครอบครัว ทำไมหัวใจเขาถึงเจ็บหนึบๆเหมือนโดนเข็มจิ้ม เขามัวแต่อึ้งกับคำถามจึงไม่ทันได้ตอบ และไม่คิดจะตอบเพราะหัวสมองว่างเปล่าก่อนจะหมุนเท้าเข้าบ้านเสียดื้อๆ

หลังจากอาบน้ำเสร็จจนสบายเนื้อสบายตัวขึ้นมาก ความเย็นจากน้ำช่วยให้ลืมเรื่องที่เพิ่งถกเถียงกับมารดาไปเสียสนิท ก่อนจะออกมายืนที่มุมโปรดระเบียงบ้านชั้นสอง สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆปล่อยอารมณ์ให้ผ่อนคลายไปกับบรรยากาศสีเขียวเป็นหย่อมๆของโครงการหมู่บ้านจัดสรรค์

ภาพวิวในช่วงสายๆยามพระอาทิตย์สาดแสงสีส้มจางส่งให้สมองปลอดโปร่ง จวบจนสายตาสะดุดเข้ากับภาพหญิงชายคู่หนึ่งฝั่งตรงข้าม อารมณ์สุนทรีย์ของเขาก็สะดุดลง ความหงุดหงิดเข้ามาแทนที่ ภาพที่ทั้งคู่กุมมือกันไม่แคร์สายตาใคร ทำให้อะดีนลีนในร่างกายสูบฉีดแรงขึ้นความรื่นรมย์ที่มีก็ดิ่งวูบลง

“หน้าระรื่นเชียว” เขาสบถอย่างหัวเสีย ก่อนจะนั่งลงแอบสังเกตดูอยู่เงียบๆ


-------------------------------------------------------------------------*********---------------------------------------------------------------

พอส่งจุลกานต์แล้ว สาวน้อยไม่ได้กลับเข้าบ้านเสียทีเดียว ร่างบางก้าวดุ่มๆเดินข้ามรั้วตัวเองเข้าบ้านฝั่งตรงข้ามด้วยความเคยชิน เมื่อวานนัดกับป้าเพ็ญเอาไว้ว่าเช้านี้จะมาใส่บาตรด้วยคน แต่กลับถูกบังคับให้รอจุลกานต์ด้วยเหตุผลนานัปการณ์แล้วแต่คุณหญิงปานทิพย์จะยกมาเป็นข้ออ้างได้ เธอขี้เกียจขัดใจมารดาจำต้องอยู่รอ

สาวน้อยก้าวเอื่อยๆไม่รีบเร่ง คิดโน่นนี่นั่นตามประสาสมองไม่ยอมหยุดพัก แว๊บหนึ่งดันฉุกคิดขึ้นมา เขาอยู่บ้านรึเปล่า เท้าบางชะงักกึกเหลียวมองลานจอดรถ หัวใจกระตุกวูบที่เห็นมันจอดสนิทประจำที่ เขาอยู่บ้านหรือนี่ เธอหยุดคิดนิดชั่งใจก่อนจะก้าวต่อหรือถอยหลังกลับดี

“กลับดีกว่า..” ร่างบางเอ่ยลำพัง ตัดสินใจหมุนตัวกลับทางเดิม กระนั้นยังช้ากว่าคนทีอยู่ข้างบนซะอีก อากัปกิริยาต่างๆของผู้มาเยือนไม่ได้หลุดรอดสายตาสีนิลคู่นี้เลยแม้เพียงวินาทีเดียว ตั้งแต่เธอย่างกรายเข้ามาในอณาเขต ภีรมัตกระเด้งลุกจากเก้าอี้ตัวโปรดวิ่งรี่แบบสายฟ้าแลบลงมาด้านล่างรวดเร็ว ไม่มีทางที่เขาจะยอมให้สาวน้อยเดินกลับออกไปง่ายๆหรอกนะ ในเมื่อเธอคือสาเหตุของความหงุดหงิดอยู่ขณะนี้

“จะรีบกลับไปไหน..” น้ำเสียงเข้มห้วนดังลอยกระทบโสตหูจากด้านหลัง พิมพ์ลภัสชะงักกึก นึกเอือมระอาผู้ใหญ่คนนี้เสียจริง "..ทำไมไม่เข้าบ้าน” เขาเอ่ยเข้มกระด้าง

แต่ไม่ได้ทำให้เธอใจฝ่อจนนิดเดียว เจอแบบนี้จนชินซะแล้ว พูดดีด้วยนั่นสิแปลก! เธอหมุนตัวกลับมา แต่ไม่มองเขากลับเสมองไปทางอื่นมันยิ่งส่งให้ภีรมัตหงุดหงิดมากขึ้น

“เห็นว่าพี่อยู่บ้านถึงจะรีบหนีกลับรึไง” น้ำสียงยังห้วนกระด้างไม่เลิก พิมพ์ลภัสหันมองเขาอึ้งๆที่เดาใจเธอถูก

“ที่หยั่งงี้ล่ะรู้ดี..ไอ้ที่อยากให้รู้ไม่เห็นจะเข้าใจกันบ้างเลย” เธอบ่นกะปอดกะแปดงึมงำคนเดียวก้มหน้าหงุดมองพื้น เสียงฝีเท้าหนักๆขยับเข้ามาใกล้

“ว่าอะไรนะ..”

“เปล่านี่คะ..ทำไมพิมจะต้องหนี” เธอตอบไปส่งๆ

“ก็เพราะพี่ไม่ใช่จุลกานต์ไง มันมาส่งดอกไม้ให้แต่เช้าไม่ใช่เหรอ ” เขาสวนกลับเสียงเข้ม

พิมพ์ลภัสมองเขาเป๋ง คิ้วเรียวขมวดยุ่ง ไม่รู้เขาเอาเวลาไหนมาจับผิดเธอได้ตลอดนะ มีข้อมูลมาต่อว่าอยู่เรื่อย จริงอยู่..ที่จุลกานต์มาหาที่บ้านบ่อยๆ แต่เธอก็ไม่คิดว่ามันจะเสียหายตรงไหน ทำไมเขาถึงชอบมองเธอในแง่ร้ายตลอดเวลา

"เดี๋ยวนี้ชักดังใหญ่แล้วนะ มีข่าวไม่เว้นแต่ละวัน” น้ำเสียงเริ่มดังเข้มขึ้นเรื่อยๆตามแรงอารมณ์

“ก็ไม่ใช่ข่าวฉาวเหมือนใครบางคนนี่คะ” อยากกัดลิ้นตัวเองให้ขาดนัก อุตส่าห์นิ่งมาได้ตั้งนาน ดันหลุดปากเถียงตอนที่เขาโมโหซะนี่ หาเรื่องให้ตัวเองลำบากอีกแล้วพิมพ์ลภัส ชักเสียวสันหลังหวาดหวั่นกับสายตาคมปลาบที่วาวเข้มขึ้นด้วยความโกรธ

“พิมพ์ลภัส” เขาแค่นเสียงต่ำแทบจะกัดฟันกรอดๆ

ชักท่าไม่ดีแล้วแฮะพายุกำลังก่อตัวเงียบๆภายใต้ความนิ่งสงบ เธอรีบหมุนตัวคิดจะหนีไปตั้งหลักก่อนดีกว่าอยู่ให้เสือขย้ำคอเอา ทว่ายังช้ากว่าอุ้งมือใหญ่ คว้าหมับเข้าที่ต้นแขนกระชากสาวน้อยให้หยุด พิมพ์ลภัสถลาเข้าปะทะอกกว้างเต็มแรง ทว่าร่างสูงกลับไม่สะดุ้งสะเทือนจนนิดเดียว

“หรือจะต้องให้มันลากเข้าโรงแรมซะก่อน ถึงจะยอมฟังกัน” ใบหน้าหล่อเหลาเป็นสีเข้มจัด ถมึงทึงดุดันอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน บ่งบอกได้ชัดว่ากำลังเดือดดาลถึงขีดสุด ร่างบางสั่นเทาน้อยๆในขณะที่เขากระชากเธอเข้าสู่อ้อมแขนแข็งแกร่งดั่งคีมเหล็ก เริ่มจะกลัวขึ้นมาแล้วสิ กระนั้นก็อย่านึกว่าเธอจะวิ่งหนีเหมือนนางเอกละครหลังข่าว ฝันไปเถอะ

“มันเกินไปแล้วนะคะ อย่าคิดว่าคนอื่นจะเหมือนตัวเองซะหมด ถึงเราจะคบกันจริง แต่ก็ไม่เคยทำอะไรเสียหายอย่างที่พี่ภีมกล่าวหา เรามีความคิดกันมากพอ แล้วคุณจุ๊น..เขาก็เป็นสุภาพบุรุษกับพิมเสมอ” จนได้พิมพ์ลภัส จุดชนวนไฟที่ร้อนอยู่แล้วให้โหมไหม้แรงขึ้น ทั้งๆที่คิดเอาไว้ว่าจะไม่ทะเลาะกับเขาอีก

สันกรามสองข้างนูนขึ้นลงสลับกันตามแรงอารมณ์กรุ่นของเจ้าของ สาวน้อยเริ่มใจเสีย แต่ก็ไม่คิดจะถอยจนก้าวเดียวจ้องตอบดวงตาคมกริบสีนิลไม่ลดละเช่นกัน

“มั่นใจจริงๆเลยนะ..” ภีรมัตเผลอบีบต้นแขนนุ่มแรงขึ้นอย่างลืมตัว ยิ่งฟังสาวน้อยออกตัวแทนจุลกานต์เขายิ่งหัวเสีย "คบกับมันแล้วใช่มั้ย..ถึงเถียงพี่ฉอดๆ ทำท่าไหนเข้าล่ะ” เขาหมายถึงจุลกานต์ใช้วิธีไหนหลอกล่อพิมพ์ลภัสให้ตกหลุมพรางได้ แต่อาจใช้ถ้อยคำกำกวมสักน่ิด ไม่เจตนาให้สาวน้อยตีความหมายเป็นอย่างอื่นแต่พิมพ์ลภัสก็คิดไปแล้ว

“หยาบ.. แต่ถ้าอยากจะคิดอย่างนั้นก็เชิญ” ความอดทนคนเรามีขีดจำกัด และตอนนี้ความอดทนของเธอก็ขาดผึงแล้วเช่นกัน

มือใหญ่ออกแรงมือบีบรัดหนักขึ้นอีกเพราะความโมโหจัด ทว่าพิมพ์ลภัสกลับไม่ร้องเลยสักแอะเดียว เจ็บกายไม่เท่าไหร่ แต่เจ็บที่เขาไม่เชื่อใจมันสาหัสกว่า

“เสียงหนูพิมใช่มั้ย แม่เหมือนได้ยินเลยภีม..น้องมาเหรอลูก” เสียงอบอุ่นคุ้นเคยดังแทรกเข้ามาคล้ายระฆังช่วยชีวิตพอดี นางเพ็ญมณีตรงรี่เข้ามาโอบสาวน้อยอย่างยินดี วาดมือเหี่ยวลงบนมือแข็งเหมือนคีมเหล็กที่กำลังกำต้นแขนกลมกลึงแน่นจนเกิดรอยช้ำ ”ปล่อยน้องได้แล้วภีม” ทว่ามือหนายังคงค้างเติ่งไม่ยอมทำตามกระทั่งมารดาขึ้นเสียงเย็น เขาจึงยอมคลายมือ เหลือบมองรอยแดงช้ำจากฝีมือเขาเพียงนิด

“เข้าบ้านก่อนนะลูก..” นางเพ็ญหันมาเอ่ยกับพิมพ์ลภัส “ตาภีมนี่ยังไง แม่ขอสั่ง..ห้ามทำแบบนี้กับหนูพิมอีก ไม่งั้นจะหาว่าแม่ไม่เตือน..” นางชี้คาดโทษลูกชาย เขาถึงกับทำหน้าไม่ถูกที่โดนตำหนิ "..อ้าว!หลบไปสิ แม่จะพาหนูพิมเข้าบ้านยืนขวางอยู่ได้” นางส่งค้อนให้ลูกชายอีกครั้ง แถมยังทำตาเขียวขุ่นใส่อีกด้วย

ภีรมัตจ๋อยสนิท เดินตามหลังเข้ามาเงียบๆผ่านไปยังด้านบน ไม่คิดจะอยู่ร่วมวงสนทนา

พิมพ์ลภัสอดไม่ได้ที่จะมองตามร่างสูงที่ก้าวผ่านหน้าเธอ ก่อนปลายเท้าเขาจะสัมผัสบันได จู่ภีรมัตก็หันกลับมามองเธอ ดวงตาสีนิลคมกริบสบประสานเข้ากับดวงตาคู่กลมโตใสกระจ่างโดยเจตนา มันอ่อนแสงลงกว่าทีแรกแต่ยังฉายชัดว่าโกรธอยู่ไม่จาง

..ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการสื่ออะไร แต่อย่างหนึ่งที่รู้สึกได้..คือความกระด้างที่มีก่อนหน้านั้นลดลง
ภีรมัตรู้สึกผิดที่ทำให้เธอเจ็บตัว ทว่าคนปากหนักอย่างเขารึจะยอมเอ่ยปากขอโทษ ช่วยไม่ได้..อยากอวดดีกับเขานักก็ต้องโดนซะบ้าง เด็กดื้อไม่จับมาฟาดก็ดีเท่าไหร่



-----------------------------------------------------------*************-----------------------------------------------------------


จบอีก 1 บทค่า อาจจะสั้นไปสักนิด สัญญาจะรีบอัพเร็วๆค่ะ



รจนาไฉน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ม.ค. 2558, 17:44:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ม.ค. 2558, 17:54:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 1930





<< บทที่ 12   บทที่ 17 ความคิดถึง >>
ร้อยวจี 24 ม.ค. 2558, 19:58:58 น.
พระเอกเราแย่เหมือนเดิม ทำตัวไม่ดี


กาซะลองพลัดถิ่น 24 ม.ค. 2558, 21:11:15 น.
ก็แค่น้องข้างบ้านไง ทำไมถึงโกรธเกือบน๊อตหลุดขนาดนี้ แฟนหรือก็ไม่ใช่ หวงก้างเนาะ
นางเอกยอมเกินไป แข็งกว่านี้ดีกว่าไหน ๆ ก็จะให้พี่ชายข้างบ้านหันมามองก็ต้องจัดหนัก
ไปเลยดีไหม ผยองดีนัก


Furzan 25 ม.ค. 2558, 00:27:27 น.
นางเอกไปต่างประเทศเลย หมั่นไส้พระเอกมากกก แล้วตอนนี้


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account