รักแท้...เคียงใจ
รักแท้...เคียงใจ

โดย ต้นเรื่อง(ภูเพชร)

อารัมภบท

ณหทัย ‘ฉันจะเชื่อเขาได้ไหม ผู้ชายที่เพียบพร้อมอย่างเขา จะมาสนใจใยดีอะไรกับฉัน ผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ไม่มีค่าพอให้ใครต้องจดจำ ขนาดแฟนหนุ่มที่คิดว่าดี คบกันมา กว่า 4 ปี ยังใช้เวลาแค่สิบนาที มาบอกเลิกได้อย่างไม่สะทกสะท้านอะไรเลย’

นราภพ ‘อย่าถามผมได้ไหม ว่ารักคุณเพราะอะไร ผมรู้แค่ว่าอยากมีคุณอยู่ใกล้ ๆ อยากมีคุณอยู่เคียงข้างใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกเหล่านี้มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีผมก็สามารถบอกกับคุณได้อย่างมั่นใจ ว่าผู้ชายอย่างผมคนนี้ จะรักคุณคนเดียวตลอดไป’

มาพิสูจน์ รักแท้ ที่ไม่จำกัดนิยาม ของ ผู้ชายที่ชีวิตนี้มีเพียง หนึ่งใจ

-------------------------------------------------------------

ข้อความเล็ก ๆ ของคนต้นเรื่อง/ภูเพชร/ปีบเพชร

ก่อนอื่นต้องขออภัยท่านผู้อ่านทุกท่านเป็นอย่างสูงเลยนะคะ ที่หายไปนานแสนนานมาก
ตอนนี้พร้อมแล้วสำหรับการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ให้จบ ไม่พูดพร่ำทำเพลงจ้า ไปอ่านตอนที่หนึ่งกันเลยเนอะ
อ่านแล้วรู้สึกอย่างไร ติชมวิพากษ์วิจารณ์กันได้นะคะ หรือจะต่อว่าต้นเรื่อง(ภูเพชร)ที่หายไปก็จัดมาได้เลยจ้า จังหวะนี้ยอมทู้กอย่าง :)

--------------------------------------------------

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียนเป็นสำคัญ ทั้งพล็อตเรื่อง ชื่อตัวละครและคาแร็คเตอร์ตัวละครล้วนแล้วแต่ดำเนินไปตามเนื้อเรื่อง มิได้มีเจตนาจะกล่าวอ้างถึงบุคคลหนึ่งบุคคลใด และเนื่องจากเป็นนิยายเรื่องแรกในชีวิต หากมีจุดบกพร่อมประการใด ต้นเรื่องใคร่ขอคำชี้แนะจากทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ :)

Tags: หวานซึ้ง อบอุ่นใจ

ตอน: ตอนที่ 11 ผมห่วงคุณมากนะ

มาแล้วจ้าตอนที่ 11

รักแท้...เคียงใจ ตอนที่ 11 ผมห่วงคุณมากนะ โดยต้นเรื่อง

‘เสร็จเสียที’

หลังจากใช้เวลาเคลียร์งานอยู่หลายสัปดาห์ ในที่สุดนราภพก็สามารถจัดการงานในความรับผิดชอบของตนให้เรียบร้อยลงได้เสียที ซีอีโอหนุ่มปิดแฟ้มเอกสารแฟ้มสุดท้ายในมือลงอย่างลิงโลด เมื่อนึกถึงใบหน้าของคนที่คิดว่าจะได้เจอในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ เขาเข้าใจถึงความรู้สึกของคนที่ดีใจจนเนื้อเต้นแล้วว่ามันเป็นยังไง เพราะตอนนี้เขาก็คงเป็นอย่างนั้นอยู่กระมัง นราภพเปิดประตูห้องทำงานพลางก้าวเดินดุ่ม ๆ ออกไปหาเพชรกับภัคค์ซึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

“ไปกันได้แล้ว”

ไม่ต้องให้บอกซ้ำสอง ร่างสูงพอฟัดพอเหวี่ยงกันของสองหนุ่มลุกจากเก้าอี้ที่ตนนั่ง ออกเดินตามเจ้านายหนุ่มแทบจะทันทีที่สิ้นเสียงสั่ง แต่เพียงไม่กี่ก้าวร่างทั้งสามก็ต้องหยุดชะงักเมื่อหนึ่งในบอดีการ์ดมือดีเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาสีหน้าสีตาเลิ่กลั่กราวกับได้ประสบพบเจอกับเรื่องราวร้ายแรงเหลือคณานับ

“ขอโทษครับผม มีเรื่องสำคัญจะแจ้งให้ทราบครับ” สีหน้าไม่พอใจจากหัวเรือใหญ่ทำให้บอดี้การ์ดหนุ่มรีบละล่ำละลักขอโทษเจ้านายเป็นการใหญ่

เพชรเหลือบตามองผู้เป็นนายอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าน้อย ๆ จึงเอ่ยให้สัญญาณกับลูกน้องที่ยืนหน้าซีดปนเหนื่อยหอบอยู่ตรงหน้า

“ว่ามาเลย”

“มีรายงานเข้ามาว่าบ้านสวนจำปีของคุณณหทัยเกิดไฟไหม้ครับ”

“อะไรนะ !!!”

น้ำเสียงตกใจที่ประสานกันนั่นเป็นของเพชรและภัคค์ ส่วนอีกหนึ่งหนุ่มที่ได้รับฟังเรื่องราวพร้อมกันถึงกับหน้าซีดเผือด ไม่มีคำถามใดหลุดจากปากผู้เป็นนาย มีแต่กิริยานิ่งอึ้ง

“หลบไป”

นราภพตั้งสติอยู่ชั่วอึดใจ ร่างสูงใหญ่ก็ดันบอดี้การ์ดหนุ่มที่ยืนขวางอยู่หน้าประตูหลบให้พ้นทาง แล้ววิ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่คือคำถามที่ผุดขึ้นในใจ แต่นี่ไม่ใช่เวลาหาคำตอบ นราภพรู้อย่างเดียวว่าตอนนี้เขาต้องไปบ้านสวนจำปี จุดหมายปลายทางที่ทั้งสมองและหัวใจสั่งให้ไปที่นั่นให้ไวที่สุด มือหนากดลิฟต์รัว ๆ เวลานี้แค่การที่จะรอให้ประตูลิฟต์เปิดออกเพียงชั่ววินาทีก็ยังถือว่าเป็นการรอคอยที่แสนยาวนานเหลือเกินในความคิดของนราภพ

----------------------------------------

เอี๊ยดดดดด !!!!

เสียงเหยียบเบรคห้ามล้อรถดังสนั่นมาจากทางหน้าถนนเรียกความสนใจจากไทยมุงที่อยู่บริเวณนั้นได้เป็นอย่างดี นราภพแทบจะพุ่งลงรถทันทีที่รถจอดสนิท เพชรและภัคค์เคลียร์ทางให้เจ้านายอย่างรู้งาน

“ขอทางหน่อยครับ ขอทางหน่อยครับ”

นราภพแหวกฝูงชนจนมาหยุดอยู่บริเวณหน้าประตูรั้ว ที่บัดนี้เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนขวางอยู่เต็มบริเวณเพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนเข้าไปในพื้นที่เกิดเหตุด้วยเกรงว่าจะเกิดอันตราย ดวงตาคมกล้าสอดส่ายไปทั่วบริเวณเพื่อมองหาใครคนใดคนหนึ่ง แล้วในที่สุดนราภพก็พบร่างบอบบางที่อยู่ในห้วงความคิดคำนึงของตนมาตลอด เธอทรุดตัวนั่งอยู่กับพื้นข้าง ๆ ประตูรั้วนั่นเอง ดวงตาเธอแดงช้ำ ริมฝีปากขบเม้มกันจนขาวซีด ดวงหน้าที่เคยสดใสบัดนี้เต็มไปด้วยความเศร้าหมองและคราบน้ำตา

“ณหทัย...”

ราวกับยกภูเขาออกจากอก นราภพแทบจะถลาเข้าไปหาร่างบางที่นั่งสะอึกสะอื้นอยู่ริมรั้วนั่น สองแขนรั้งหญิงสาวออกมาจากวงแขนเพื่อนแล้วกอดเธอไว้แน่น ไม่นำพาต่อสายตางุนงงของคนรอบข้างที่มองมาด้วยความสงสัยกับความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวเลยแม้แต่น้อย

นินตราเองก็งงเช่นกัน แต่ไม่คิดจะทัดทานแต่อย่างใด เพราะดูเหมือนเพื่อนเธอจะรู้จักเขา

“ผมคิดว่าผมมาไม่ทันเสียแล้ว”

“คุณภพ...”

ยิ่งรู้ว่าคนที่สวมกอดเป็นใคร ณหทัยก็ยิ่งปล่อยโฮหนักขึ้น นราภพลูบหัวลูบไหล่คนในอ้อมแขนอย่างปลอบประโลม สงสารคนในอ้อมแขนจับใจที่ต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้

กลุ่มควันไฟสีดำทะมึนที่พวยพุ่งอยู่เหนือตัวบ้านกลางสวน บัดนี้ค่อย ๆ จางลงตามลำดับ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเจ้าหน้าที่ดับเพลิงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้แล้ว และไม่กี่อึดใจต่อมาเจ้าหน้าที่สองนายก็หามร่างที่นอนแน่นิ่งในผ้าสีขาวออกมาด้วย

“พบศพผู้เสียชีวิตหนึ่งคนครับ คาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของบ้านที่ติดอยู่ด้านใน ส่วนสาเหตุไฟไหม้สันนิษฐานเบื้องต้นว่าอาจจะเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรเพราะเจ้าของบ้านไม่ได้มีศัตรูที่ไหน ประกอบกับในบริเวณบ้านมีการเก็บวัตถุไวไฟจึงทำให้เพลิงลุกไหม้รุนแรง”

เสียงรายงานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกเสียงดังเซ็งแซ่จากกลุ่มผู้ที่มาเฝ้าดูเหตุการณ์ไปต่าง ๆ นานา แต่สำหรับ ณหทัยสิ่งที่ได้ยินราวกับเป็นกระสุนนับพันนับแสนนัดที่พุ่งเข้ามาปะทะยังทุกส่วนของร่างกาย ร่างทั้งร่างไร้สิ้นเรี่ยวแรง

”ไม่จริง คุณพ่อต้องไม่เป็นอะไร”

ณหทัยส่ายหน้าพึมพำบอกกับตัวเอง พลางรวบรวมกำลังกายกำลังใจที่มีเหลือเพียงน้อยนิดผละจากอ้อมแขนของชายหนุ่มตรงไปทรุดลงข้าง ๆ ร่างที่นอนแน่นิ่ง มืออันสั่นเทาเอื้อมไปปลดปมผ้าขาวที่ผูกกันไว้ให้คลายออก ผ้าขาวที่ทบกันอยู่ถูกหญิงสาวค่อย ๆ เปิดออก เพียงแค่เห็นใบหน้าใต้ผ้าขาวณหทัยก็ร้องไห้โฮ คุณพ่อที่รักของเธอตอนนี้เหลือแต่ร่างไร้วิญญาณ บนใบหน้ามีทั้งเลือดทั้งดินเกรอะกรัง เสื้อผ้า กลุ่มผมและผิวหนังมีรอยไหม้มาจากทางด้านหลัง หญิงสาวซบหน้าลงกับศพผู้เป็นพ่อพลางกอดไว้แน่น สะอื้นไห้อย่างไม่อายใคร

นินตราทรุดลงข้าง ๆ เพื่อนทั้งน้ำตา ทั้งตกใจทั้งเสียใจกับเหตุการณ์ความสูญเสียที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
นราภพเองถึงกับเบือนหน้าหนี ขนาดว่าตนเคยพานพบเหตุการณ์ความสูญเสียแบบนี้มาก่อน ก็ยังอดสะเทือนใจไม่ได้ ใครว่าเขามาทัน เขามาไม่ทันต่างหาก ดวงตาคมกล้าแดงกล่ำสบไปยังสองคนสนิท เพชรและภัคค์ที่ยืนดูเหตุการณ์อย่างสงบนิ่งขยับเข้ามาหาเจ้านายในทันที

“ช่วยดูเรื่องคดีนี้ให้ที ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหาสาเหตุที่แท้จริงมาให้ได้ ฉันไม่เชื่อว่าไฟไหม้ครั้งนี้สาเหตุจะมาจากไฟฟ้าลัดวงจร”

“ได้ครับนาย” สองหนุ่มรับคำหนักแน่น เพราะพวกตนก็ไม่เชื่อเหมือนกัน

“อีกเรื่อง ฉันอยากพบทีมรักษาความปลอดภัยที่พวกนายส่งมาดูแลที่นี่ หลังจากที่นี่เคลียร์เสร็จ”
“ครับ นาย”

นราภพสั่งการอย่างรวบรัด เพราะเสียงเอะอะโวยวายที่ดังมาจากทางหน้าประตูรั้ว ทำให้นราภพต้องรีบไปดู
“เท่านี้ก่อนแล้วกัน”


“คุณผู้หญิงครับ ขอทางให้เจ้าหน้าที่หน่อยนะครับเราจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายศพเพื่อไปตรวจพิสูจน์หาสาเหตุการตายก่อนที่ทางตำรวจจะสรุปคดีอีกครั้งหนึ่งนะครับ ได้โปรดให้ความร่วมมือด้วย”

ณหทัยยังคงกอดร่างไร้วิญญาณของพ่อไว้แน่น ไม่สนใจว่าตำรวจจะขอความร่วมมือยังไง นินตราต้องสะกิดเพื่อนสาวให้รู้สึกตัว แต่ณหทัยก็ยังไม่ให้ความร่วมมืออยู่ดี

“มีอะไรกันครับคุณตำรวจ”

“เราต้องเคลื่อนย้ายศพแล้วครับ คุณช่วยจับคุณผู้หญิงไว้หน่อยละกัน”

นราภพพยักหน้าอย่างเข้าใจ พลางเดินไปประคองหญิงสาวให้ถอยออกมา

“ปล่อยตรีนะ ตรีไม่ยอมให้ใครพาคุณพ่อไปอีกแล้ว ปล่อย บอกให้ปล่อย” ณหทัยโวยวายขัดขืนทั้งที่เรี่ยวแรงน้อยนิด นราภพจึงค่อย ๆ กล่อมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ไม่มีใครพาท่านไปไหนไกลจากเราทั้งนั้นครับ เราจะไปด้วยกันกับท่านนะ ไปรอรับท่าน เชื่อพี่นะครับคนดี”

นินตรามองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างทึ่ง ๆ น้ำเสียงชวนอบอุ่นทำให้เพื่อนเธอนิ่งไปแล้ว ผู้ชายคนนี้ต้องมีอิทธิพลต่อเพื่อนเธอมากแน่ ๆ แต่ไม่เห็นยายตรีจะเล่าให้ฟังเลย แล้ววัชพลไปไหน เวลานี้ต้องเป็นวัชพลไม่ใช่หรือที่ควรมาปลอบใจเพื่อนเธอ นินตราปล่อยความสงสัยให้ผ่านเลยไปก่อน เสร็จจากเรื่องวุ่น ๆ แล้วค่อยเอ่ยถามก็คงไม่สาย

-------------------------------------------------------

งานสวดพระอภิธรรมศพของคุณดนัยดำเนินไปท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจของเพื่อนบ้าน นราภพและครอบครัวของนินตราคอยดูแลและช่วยงานณหทัยอยู่ไม่ห่างจนกระทั่งถึงเวลานี้ที่งานศพเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว ณหทัยยืนมองควันไฟที่ลอยออกจากปล่องควันเหนือเมรุแล้วอดใจหายไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ทำใจได้หลายวันแล้วว่านับจากนี้ไปเธอจะไม่มีคุณพ่อคอยเป็นห่วงเป็นไยอีกแล้ว

นินตราบีบมือเพื่อนแน่นอย่างพยายามให้กำลังใจ ณหทัยหันมายิ้มบาง ๆ ให้เพื่อนสาว กระชับมือตอบกลับรับรู้ถึงความหวังดีที่อีกฝ่ายมีให้เสมอมา

“ขอบคุณนะนิน ที่เธออยู่ข้างเรามาตลอด”

“โธ่ ทำเป็นคนอื่นคนไกลไปได้”

“ขอบคุณคุณลุงแล้วก็พี่นนท์ด้วยนะคะที่เมตตาช่วยเหลือตรีขนาดนี้” สาวน้อยหันไปกระพุ่มมือไหว้พ่อและพี่ชายเพื่อนสาว ถ้าไม่ได้ครอบครัวของนินตราเธอคงแย่ บ้านสวนของเธอถูกไฟไหม้ทั้งหลังจนบัดนี้เหลือแต่เพียงเถ้าถ่านด้วยกว่าที่ใครจะทราบเรื่องไฟก็ไหม้ไปมากโข เธอไม่เหลืออะไรเลยนอกจากเงินในบัญชีธนาคาร สวนที่เงียบเหงา และชีวิตน้อย ๆ ที่ไร้ที่พักพิง แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปให้ได้

คุณนาทลูบหัวสาวน้อยตรงหน้าเบา ๆ พลางยิ้มให้อย่างเอ็นดูกับกิริยามารยาทอันงดงาม “หนูก็เหมือนลูกเหมือนหลานของลุงคนหนึ่ง ลุงยินดีช่วยเสมอนะลูกนะ”

“พี่นนท์คนนี้ก็ยินดีช่วยเหลือน้องตรีเสมอเช่นกันนะครับ”

สายตาที่นนท์ส่งให้ณหทัยทำเอาอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลหายใจติดขัดได้เหมือนกัน นราภพชักไม่ชอบน้ำเสียงและสายตาที่ชายหนุ่มนามว่านนท์ใช้กับณหทัยของเขาเสียแล้ว

“พ่อว่าเราได้เวลาออกเดินทางแล้วนะ”

ยิ่งผู้เป็นพ่อเร่งมา นินตราก็ยิ่งละล้าละลัง ห่วงเพื่อนก็ห่วง งานทางนั้นก็สำคัญ

“เธอจะไม่เปลี่ยนใจจริง ๆ หรอตรี”

นินตราเอ่ยถามเพื่อนเสียงสั่นเป็นการย้ำอีกครั้ง เพราะเธออดใจหายไม่ได้ นี่เป็นอีกหนึ่งการตัดสินใจที่ทำให้ นินตราเป็นห่วงเพื่อนสาวมากที่สุด เพราะณหทัยปฏิเสธความหวังดีจากบ้านของเธอไม่ยอมย้ายมาอยู่ด้วยกัน แต่เลือกที่จะไปหาบ้านเช่าอยู่เองตามลำพังหลังจากเก็บเถ้ากระดูกแล้ว โดยให้คุณนราภพช่วยเป็นธุระในการจัดหาให้ ซึ่งชายคนนี้เธอเองก็ไม่คุ้นกับเขาเลยสักนิด ดีหน่อยที่ลักษณะภายนอกสุภาพ ดูไม่น่ากลัว แต่เธอก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี เธอรู้สึกว่าเขามีอะไรปิดบังซ่อนเร้นอยู่ อาจจะทำให้เพื่อนเธอเสียใจในภายหลังก็ได้ใครจะไปรู้ ผู้หญิงบอบบางอย่างณหทัยถ้าเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นมาจะทำยังไง เธอและครอบครัวก็จำเป็นจะต้องออกเดินทางแล้ว แถมวันนี้เพื่อนเธอยังต้องอยู่เขาเพียงลำพังที่วัดเพื่อรอเก็บกระดูกพ่ออีก เธอจะทำยังไงดีน้า

นินตราแสดงออกถึงความรู้สึกผ่านทั้งสีหน้าและแววตาจนคนรอบข้างสังเกตได้ นนท์ยีหัวน้องสาวเล่นเบา ๆ เป็นเชิงปลอบประโลมว่าอย่าเครียดนักเลย

การแสดงออกถึงความเป็นห่วงอย่างสุดซึ้งของนินตราทำให้ณหทัยน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งใจ หญิงสาวเดินเข้าไปกอดเพื่อนสาวแน่น

“อย่ากังวลไปเลยนะนิน ตรีแค่ไปอยู่คนเดียวเหมือนตอนไปอยู่หอสมัยที่เรียนหนังสือไง เราก็ยังติดต่อกันได้เหมือนเดิม ให้ตรีได้ผจญในโลกกว้าง พอตรีเข้มแข็งตรีก็จะกลับมาปรับปรุงบ้านสวนแล้วเราก็จะกลับมาเป็นเพื่อนบ้านกันเหมือนเดิมนะ เคไหม”

“จริงนะ”

“จริงสิจ๊ะ เดี๋ยวได้บ้านใหม่แล้วตรีจะรีบโทรบอกนินเลยนะ”

“อือ ก็ได้”

นินตราปล่อยให้เพื่อนได้ทำตามใจตนเอง เธอผละห่างออกมายืนข้างพ่อและพี่ชาย คุณนาทเหลือบมองนาฬิกาที่ข้อมือ ปรากฏว่าได้เวลาที่ตนและลูก ๆ จะต้องออกเดินทางไปทำธุระสำคัญที่ต่างประเทศแล้วจึงเอ่ยขอตัวลาอย่างเป็นทางการ

“ลุงกับนินแล้วก็พี่นนท์ต้องไปก่อนนะลูก ดูแลตัวเองนะลูกนะ ต้องการให้ลุงช่วยอะไรบอกได้ตลอด แล้วก็เข้มแข็ง ไว ๆ ล่ะ ลุงเป็นกำลังใจให้”

“ค่ะคุณลุง” ณหทัยยิ้มรับ

“พี่ไปนะครับ แล้วพี่จะไปเที่ยวหาที่บ้านใหม่บ่อย ๆ” นนท์ขยิบตาให้เพื่อนน้องสาวเป็นการส่งท้ายจนณหทัยอดหัวเราะไม่ได้

“นินไปก่อนนะ บาย ๆ”

ณหทัยโบกมือลาทุกคนอีกครั้ง พลางยืนส่งทุกคนจนลับสายตา

“ณหทัยโชคดีนะครับที่มีเพื่อนดีขนาดนี้” นราภพเปรยขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบ หลังจากทั่วทั้งบริเวณเหลือเพียงเขาและเธอสองคน

“ค่ะ” ณหทัยตอบแค่นั้น แล้วเดินจากไป

นราภพถึงกับตั้งรับไม่ทัน เมื่อณหทัยจู่ ๆ ณหทัยก็กลับเข้าสู่โหมดประหยัดคำพูด เหมือนช่วงเวลาก่อนที่เขาจะหายไปไม่มีผิด ‘พอสติมาก็เย็นชาใส่เราเลยนะแม่คุณ’ นราภพได้แต่ฮึ่มฮั่มในลำคอ แล้วก็วิ่งตามไป

“โธ่ เป็นไรอีกล่ะครับ ณหทัยผมทำอะไรผิดไป บอกผมหน่อยผมจะได้ไม่ทำอีก”

ณหทัยหยุดเดิน พลางหันหน้าไปพูดกับชายหนุ่มตรง ๆ

“คุณภพคะ ตรีว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องพูดกันให้เข้าใจเสียที”

“เอาสิ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าเรายังไม่เข้าใจกันเรื่องไหน” นราภพหยุดอ้อนแล้วฟังอย่างตั้งใจ ณหทัยถอนใจเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ตรีคิดว่าตรีรบกวนคุณภพมากเกินไปแล้ว อาจจะถึงเวลาที่ตรีจะต้องเดินตามลำพังเสียที คุณภพกลับบ้านคุณภพเถอะนะคะ ไม่ต้องเป็นห่วงตรี ตรีดูแลตัวเองได้ ขอบคุณทุกความช่วยเหลือที่มีให้มาตลอดนะคะ”

จบประโยคตัดรอนรอบที่สามร้อยกว่า ๆ เห็นจะได้ นราภพก็เป็นฝ่ายถอนใจขึ้นมายาวเหยียดบ้าง มือหนาคว้ามือบางมาเกาะกุมไว้ ดวงตาคมกล้าที่แฝงไปด้วยพลังอำนาจยามจ้องมองผู้ที่อยู่ใต้อาณัติ กำลังสบไปยังดวงตาหวานใสที่ตอนนี้มีประกายหม่นเศร้าจากเรื่องที่เกิดขึ้นนิ่งและนานคล้ายกับต้องการสะกดคนที่อยู่ตรงหน้าให้เลิกพยศเสียที

“อย่าไล่กันอีกเลยนะครับ คุณอาจจะไม่เคยห่วงผม แต่ผมห่วงคุณมากนะ ห่วงมาตลอด ยิ่งเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นยิ่งห่วง ขอให้ผมได้อยู่ดูแลคุณก่อนนะ อยู่ให้เห็นว่าคุณจะอยู่ได้อย่างปลอดภัยในโลกใบใหญ่ใบนี้ แล้วพอถึงเวลาผมจะไปเอง”

ณหทัยถึงกับอึ้งไป ใบหน้าร้อนผะผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ จากที่จะยืนยันน้ำเสียงหนักแน่นว่าต่างคนต่างแยกย้ายดีกว่า ก็กลายเป็นพยักหน้าเบา ๆ อย่างยอมรับในเงื่อนไขของเขาไปโดยปริยาย เมื่อรู้ตัวว่าเผลอตกลงไปเสียแล้วหญิงสาวก็ดึงมือออกพลางหลบไปหาป้า ๆ ที่ยังอยู่เป็นเพื่อนในคืนนี้ด้วยความเขินอาย

ลับร่างบางไปแล้วนราภพก็ยิ้มกริ่มขึ้นมาทันที สีหน้าเศร้าสลดเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ขึ้นมาในบัดดล

‘ใครว่าเขาจะยอมไปง่าย ๆ ล่ะ หรือถ้าจะไปก็ต้องมีเธอไปด้วยอยู่แล้ว ณหทัยของฉัน’

-----------------------------------

หากเปรียบชีวิตเป็นอะไรได้สักอย่างหนึ่ง ชีวิตของณหทัยก็คงเป็นเหมือนท้องฟ้าที่บัดนี้พายุใหญ่มืดครึ้มกำลังเริ่มจางหายไป เมฆสีดำก้อนใหญ่กำลังสลายไปให้ความสว่างและสดใสกลับมาแต่งแต้มท้องฟ้าอีกครั้ง

บ้านหลังใหม่ของณหทัยเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวในบริเวณสวนแห่งหนึ่ง เธอเผลอหลับไประหว่างที่กำลังเดินทาง ตื่นขึ้นมาอีกทีคุณภพก็พาเธอมาอยู่หน้าบ้านหลังนี้แล้ว เจ้าของบ้านหลังนี้เป็นหญิงชราใจดี นางบอกว่านางปลูกบ้านหลังนี้ไว้ดูแลสวนพวกนี้แหละ แต่ตอนนี้ลูก ๆ หลาน ๆ พานางไปอยู่บ้านหลังใหม่แล้ว สวนก็แบ่งขายให้คนอื่นไปแล้ว นางไม่อยากทิ้งที่นี่ให้เป็นบ้านร้าง จึงติดป้ายหาคนมาเช่า แล้วคุณภพก็พาเธอมาถูกจังหวะพอดี เธอจึงได้อยู่บ้านหลังนี้แบบส้มหล่นก็ว่าได้

“ถูกใจไหมครับกับบ้านหลังใหม่”

“ถูกใจมาก ๆ เลยค่ะ ขอบคุณคุณภพมากเลยนะคะ” ณหทัยส่งยิ้มหวาน ๆ ขอบคุณคนที่พามา ก่อนจะหันมาเพลิดเพลินกับบรรยากาศภายในบ้าน ทำเอาคนรับรอยยิ้มถึงกับหัวใจพองโต

ณหทัยเดินสำรวจไปรอบ ๆ บ้าน บรรยากาศช่างคล้ายคลึงกับบ้านสวนของเธอเหลือเกิน แต่ที่นี่อยู่ในตัวเมืองมากกว่า เปิดประตูรั้วไปเธอก็จะพบเพื่อนบ้านมากมายเลย ไม่ใช่เป็นสวนติดกันอย่างบ้านของเธอ เฟอร์นิเจอร์ข้าวของเครื่องใช้ก็สะดวกครบครัน แถมยังใหม่เอี่ยมอย่างกับว่าพึ่งซื้อมาวางไว้อย่างไรอย่างนั้น

“คุณยายเขาคิดค่าเช่าเท่าไหร่คะเนี่ย”

“เรียกคุณย่าดีกว่าครับ จะได้ชิน”

“อะไรนะคะ” ณหทัยหันมาถามซ้ำเมื่อได้ยินอีกฝ่ายไม่ชัด นราภพจึงถือโอกาสปรับคำพูดนิด ๆ หน่อย ๆ เพื่อความสมจริง
“พอดีเจ้าของบ้านหลังนี้น่ะครับ ท่านให้พวกเราเรียกท่านว่าคุณย่าครับ”

“อ้อ ได้ค่ะ แล้วตกลงคุณย่าคิดค่าเช่าเท่าไหร่คะ”

“ท่านบอกว่าเหมือนมีคนมาช่วยดูแลบ้านด้วย ท่านเลยคิดแค่เดือนละสี่พันครับ”

“จริงหรอคะ ! หอที่ตรีเช่าอยู่ตอนเรียน ห้องแค่นั้นซัดไปสามพันกว่าเกือบสี่พันแล้วนะคะ นี่บ้านทั้งหลังแถมมีบริเวณอีก แค่สี่พันเองหรอคะ” คนพามาพยักหน้าหงึก ๆ

“มัดจำอะไรก็ไม่มีเลยหรอคะ” นราภพพยักหน้าอีก

“ใจดีมาก ๆ เลยนะคะ มากจนผิดวิสัย” ณหทัยมองคนตรงหน้าอย่างจับผิด จนนราภพต้องรีบเอาตัวรอด

“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันนะครับ ท่านบอกไว้แบบนั้น ณหทัยก็ได้ยินไม่ใช่หรอครับที่เมื่อครู่นี้คุณย่าท่านบอกว่าเหมือนได้คนมาดูแลบ้านให้ด้วยไง อาจจะด้วยเหตุผลนี้มั้งท่านเลยคิดไม่แพง เอาเป็นว่าอย่าคิดมากเลยนะครับ”

ณหทัยคิ้วผูกโบว์อยู่แปปนึงก่อนจะค่อย ๆ คลายความสงสัยลงเมื่อคิดไปคิดมาก็มีแต่เรื่องดีทั้งนั้น ถึงของฟรีจะไม่มีในโลก แต่สงสัยของดีและถูกมีอยู่ที่นี่นี่เอง คิดได้ดังนี้หญิงสาวก็สบายใจ ความสบายใจจึงเผื่อแผ่ไปยังคนข้าง ๆ ด้วย

“หิวรึยังคะ แถวนี้มีตลาดไหมหว่า เดี๋ยวตรีไปซื้อของมาทำกับข้าวให้ทาน”

“มีครับ ใกล้ ๆ นี้เอง ไปครับผมไปช่วยถือ”

ณหทัยไปจ่ายตลาดอย่างเพลิดเพลินโดยมีนราภพเดินถือของให้ สองคนเหมือนคู่สามีภรรยาจนแม่ค้าในตลาดยังต้องเอ่ยแซว

“อีหนู แฟนเอ็งน่ารักดีนะมาช่วยถือของด้วย ผัวป้านะมันให้ถือเองเดินกลับตั้งแต่ตลาดยันบ้านอ่ะ หนักก็หนัก”

“เอ่อ ไม่ใช่นะคะป้า” ณหทัยจะแก้ตัว แต่อีกฝ่ายตีขลุมตัดบทไปเสียก่อนด้วยความชอบใจ

“ให้เค้าถือได้ไงครับ ตัวบางขนาดนี้ หิ้วเยอะ ๆ ก็เซแล้วล่ะครับผมว่า”

ป้าเขียงหมูหัวเราะด้วยความชอบใจ

“มีอารมณ์ขันซะด้วย เสมอต้นเสมอปลายไว้นะพ่อหนุ่มจะได้รักกันนาน ๆ”

“โอเคครับป้า” นราภพรับสมอ้างอย่างแนบเนียนพลางเหร่มองคนข้าง ๆ เล็กน้อย เห็นอีกฝ่ายจะแยกเขี้ยวใส่แล้ว จึงรีบพาเดินออกมาจากร้านขายหมู

“ไปบอกเค้าอย่างนั้นได้ยังไง...” ณหทัยบิดเอวนราภพด้วยความหมันไส้

“โอ้ย ๆ เบาครับเบา”

“บิดให้เนื้อขาดเลยเชียว” ว่าจบณหทัยก็สะบัดหน้าเดินหนีไป

นราภพมองตามไปด้วยรอยยิ้ม มีความสุขทุกครั้งที่ได้เย้าแหย่เธอ


พอถึงบ้านณหทัยก็เข้าครัวทำอาหารทันที เพราะเธอหิวจนแสบไส้และเดาว่าอีกฝ่ายคงจะหิวเหมือนกันเพราะขากลับลดความกวนประสาทไปเยอะ สองหนุ่มสาวนั่งรับประทานอาหารกันอย่างความเงียบเชียบ จนนราภพต้องเป็นฝ่ายชวนคุยเพราะเวลาอยู่กับเธอ เขาไม่ชอบความเงียบเอาเสียเลย

“หลังจากนี้ณหทัยจะทำยังไงต่อไปครับ” ณหทัยเหลือบมองคนถามนิดนึงก่อนจะเหสายตามองไปนอกหน้าต่าง

“ตรีก็คงจะหางานทำน่ะค่ะ ตั้งแต่จบมายังไม่ได้ใช้วุฒิไปสมัครที่ไหนเลย ช่วยคุณพ่ออย่างเดียว แต่พรุ่งนี้คงต้องลองดูสักตั้งแล้วค่ะ”

“สมัครงานหรอ ให้ผมช่วยหาปะงาน”

ณหทัยยิ้มให้กับความหวังดีของอีกฝ่าย

“ไม่เป็นไรค่ะ ตรีหาได้ ขอบคุณคุณภพมากนะคะ ว่าแต่คุณภพพักที่ไหนคะเนี่ย”

“ผมพักบ้านญาติแถว ๆนี้แหละครับ ใจจริงอยากพักที่นี่ แต่คนแถวนี้กลัวผมจะตายชัก ออกไปไล่วันละหลาย ๆ รอบ ผมเลยไปขอพักบ้านญาติดีกว่า” นราภพกระเซ้าเล่นอีกนิดหน่อย แต่คนตรงหน้ากลับไม่เล่นด้วย

“เอ๊ะ ก็ไม่ได้ไล่แล้วไง ประชดดีนักเดี๋ยวก็ไล่กลับบ้านเลย ไม่ต้องกินแล้วข้าวอ่ะ”

“อูย...ผมยอมแพ้แล้วครับคุณผู้หญิง กินข้าวต่อเถอะนะครับ ผมไม่ปากมากแล้ว” ชายหนุ่มฉวยจานข้าวมากอดไว้แน่น กลัวจะอดกิน ไม่ได้กินข้าวฝีมือเธอมาตั้งนานคิดถึงรสมือจะแย่ ปากเกือบพาซวยแล้วไหมล่ะ

“ดีค่ะ ทานไปเงียบ ๆ นะ ขืนพูดมากอีกตรีจะล้มโต๊ะจริง ๆด้วย”

“จ้ะ แต่ณหทัยอิ่มแล้วหรอ”

“ค่ะอิ่มแล้ว ขอตัวเอาจานไปเก็บก่อนนะคะ”

“จ้ะ”

ณหทัยทำเป็นนิ่งแต่ในใจขำคนตัวโตตรงหน้าแทบตาย พอพ้นจากโต๊ะอาหาร ณหทัยก็หัวเราะคิกจนต้องเอามือปิดปากตัวเองไว้ด้วยกลัวเสียงหัวเราะจะดังไปเข้าหูอีกฝ่าย

ส่วนนราภพก็ตั้งหน้าตั้งตาทานเงียบกริบ กลัวอีกฝ่ายจะเอาจริง จะอิ่มเลยก็กลัวเธอไล่กลับอีก นั่งละเลียดไปแบบนี้ก่อนละกัน หมดกันมาดซีอีโอของผม ถ้าไอ้สองแสบมาเห็นนี่ผมคงโดนล้อยันลูกบวช วันก่อนยังเก่งกับลูกน้องอยู่เลย แต่วันนี้กับคนนี้คงต้องยอม จะสู้ได้ยังไงก็ผมถอดหัวใจไปฝากไว้ที่เค้าแล้วนี่ ยอมครับผม

---------------------------------------------------------------
แล้วพบกันใหม่ตอนที่ 12 นะคะ :)



ปีบเพชร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ม.ค. 2558, 22:34:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ม.ค. 2558, 01:46:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 1567





<< ตอนที่ 10 จุดเปลี่ยนของเรื่อง   ตอนที่ 12 เรื่องของความรู้สึกในใจ >>
โอชิน 25 ม.ค. 2558, 23:36:09 น.
หายไปนานเลยนะคะ..ตามมาซุ่มดูคุณภพกะหนูตรีต่อค่ะ มาถึงก็เจอเรื่องเศร้าเลย..มีเงื่อนงำการฆาตกรรมด้วยแน๊ะ..แล้วมาอัพต่อไวๆนะคะ รออ่านอยู่ค่า


konhin 26 ม.ค. 2558, 05:41:41 น.
เศร้าง่ะ ทำไมต้องทำคุณพ่อ พระเอกเดินเรื่องช้าไปดูดิ


หนังสือเล่มบาง 4 ก.พ. 2558, 12:28:07 น.
เพิ่งมาติดตามครับ อ่านรวดเดียว ชอบนะครับ ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account