ซีรีย์ บุปผาสันนิวาส +*+พิสูจน์รักทานตะวัน+*+

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 2 : โกงความตาย!!

***มีเปลี่ยนแปลงในบทที่ 1 ด้วยนะคะ อ่านก่อนกันงงเนอะ***




“ไม่พอใจแค่นี้ ถึงกับแช่งกันเลยเหรอวะ”

ไม่ใช่การต่อว่า เพราะขณะที่เอ่ย เจ้าของผับหรูที่ถูกทำร้ายทั้งทางร่างกายและคำพูดก็ยังคงหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี ราวกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นคือมุกตลกที่ไม่เคยพบมาก่อน

แต่สำหรับคนที่รู้จักทานตะวันมาตั้งแต่เด็ก... แม้จะเห็นเป็นเรื่องไร้สาระแค่ไหน แต่ตะวันก็ไม่สามารถขำไปด้วยได้

“นายฟังไว้หน่อยก็ดี” เขาเอ่ยสั้นๆ ตามนิสัย ขณะเดินตามเพื่อนออกมาจากห้องทำงาน โดยมีเดช...ชายวัย 35 รูปร่างสันทัด เจ้าของใบหน้าดุดัน ผู้เป็นหนึ่งในบอดี้การ์ดของจอมทัพติดตามมาด้วย ส่วนภาม...ผู้ติดตามอีกคน เจ้าของผับหรูสั่งให้เฝ้าสองสาวที่เข้ามาก่อความวุ่นวายเอาไว้ รอจนพวกเขากลับไปแล้วค่อยปล่อย โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันเธอพูดจาเพ้อเจ้อรบกวนลูกค้าคนอื่น แต่ตะวันกลับคิดว่าที่เพื่อนตนทำเช่นนั้น เพราะอยาก ‘แกล้ง’ ทานตะวันมากกว่า

“หมายความว่าไงวะ” จอมทัพถามด้วยความแปลกใจ แต่ไม่ทันที่ตะวันจะตอบ ใครคนหนึ่งก็เอ่ยทักขึ้น

“คุณทัช กลับแล้วเหรอคะ ยังไม่ตีสองเลยนะ”

น้ำเสียงหวานหยด และดวงตาที่ทอดมองอย่างมีนัยยะของหญิงสาวร่างอรชรในเดรสสีแดงสดเข้ากับบรรยากาศของร้าน ทำให้หนุ่มร่างสูงใหญ่ชะงักฝีเท้าแล้วหันไปยิ้มให้

“อยากกลับด้วยหรือเปล่าล่ะ” พนักงานสาวทำทีเป็นยิ้มเอียงอาย ก่อนจะตอบอย่างมีมารยา

“ก็ถ้าคุณทัชชวน…”

เจ้าของผับหรูหัวเราะอีกครั้งด้วยความชอบใจ “น่าสนุกดี แต่ไว้คราวหน้าดีกว่า วันนี้ไม่สะดวก...หรือนายสะดวก” ประโยคหลังหันมาถาม แต่ตะวันกลับถอนหายใจเบาๆ แค่นั้นเพื่อนก็รู้ความหมาย

“โทษที ลืมไปว่านายไม่ชอบ”

“ไม่ชอบเหรอคะ งั้นลองให้ให้เปิ้ลช่วยไหมคะ...อาจจะติดใจก็ได้นะคะ”

ไม่พูดเปล่า แต่หญิงสาวคนเดิมกลับเดินมาทิ้งสายตาเชิญชวนใกล้ๆ ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นอาจเคลิบเคลิ้มหวั่นไหว แต่ตะวันกลับถอนหายใจ

“ฉันไปรอข้างนอกนะ”

“เอ๊ยๆ เดี๋ยวๆ ไปด้วยกัน” จอมทัพรีบเอ่ย ก่อนหันไปตัดบทพนักงานของตนสั้นๆ ซึ่งตะวันก็รู้ดีว่ามันจะไม่จบแค่นั้น เพราะตลอดทาง ก็มีพนักงานสาวอีกหลายคนทอดสะพานให้ด้วยการทักทายแบบเดียวกัน บางคนช่างสังเกตกว่านั้น เมื่อเห็นรอยแตกที่ริมฝีปากล่างก็รีบไต่ถามด้วยความห่วงใย

ไม่น่าแปลกใจหรอกว่าทำไมจอมทัพถึงมีสาวๆ ห้อมล้อมตลอดเวลา เพราะนอกจากตำแหน่ง ‘ผู้บริหาร’... ชายหนุ่มวัย 31 เจ้าของร่างสูงใหญ่อย่างนักกีฬา ยังมีใบหน้าคมเข้มน่าค้นหา ดูดุดันเพราะไรหนวดจางๆ ที่สันกราม แต่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลับแวววาวพราวไปด้วยเสน่ห์ยั่วเย้า ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อนของเขายังเป็นคนอารมณ์ดี อัธยาศัยดี ผู้หญิงไม่น้อยจึง ‘ติด’ อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ซึ่งจอมทัพก็พอใจกับการได้เปลี่ยนคู่ควงวันต่อวัน และไม่คิดจะคบใครจริงจังเลยสักครั้ง

“เมื่อกี้คุยถึงไหนนะ” จอมทัพเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อออกจากร้านมาแล้ว ก่อนจะร้องอ๋อ เมื่อนึกออกด้วยตัวเอง “นายบอกให้ฉันเชื่อที่น้องสาวนายแช่ง”

“หนูวันไม่ได้แช่ง” ตะวันตอบกลับเสียงนิ่ง เขาไม่ได้คิดจะปกป้องทานตะวัน แค่อยากให้เพื่อนเข้าใจสิ่งที่เธอเป็นเท่านั้น ซึ่งมันก็ไม่ง่ายเลยในการอธิบายให้คนอื่นเชื่อเรื่องนี้

“เธอ...มีความสามารถพิเศษ”

“ยังไง? ถ้าบอกว่าหนูวันของนายเป็นพวกทำนายอนาคตได้ ฉันจะหัวเราะให้”

“ใช่...” “

“หา!?!” หนุ่มร่างสูงใหญ่อุทานคล้ายตกใจ แต่สักพักก็ค่อยๆ หลุดขำ “นายมันโคตรหน้าตายเลยว่ะ อำซะเหมือนจริง”

“ฉันพูดจริง” ตะวันเว้นจังหวะเล็กน้อยเพื่อมองปฏิกิริยาของเพื่อน จนแน่ใจว่าต่อให้พูดอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่มีทางเชื่อ เขาจึงตัดบท “นายระวังตัวไว้บ้างก็ดี”

อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยล้อเล่น น้ำเสียงจริงจังที่เอ่ยออกไปสั้นๆ จึงทำให้คนฟังชะงักแล้วมองกลับมาอย่างพิจารณา ดูจากดวงตาคู่คมของเพื่อนยังคงเต็มไปด้วยความคลางแคลง ตะวันคิดว่าเขาเข้าใจอีกฝ่าย เพราะเรื่องแบบนี้หากไม่เจอกับตัวเองก็ยากที่จะเชื่อได้

แต่ถ้าเจอด้วยตัวเอง นั่นหมายถึงความตาย ซึ่งเขาค่อนข้างแน่ใจอีกเหมือนกันว่าทานตะวันไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด

“คุณจอมทัพ!!! รอด้วย!!!”

นั่นไง ยังไม่ทันขาดคำ หญิงสาวร่างอวบอัดในชุดขนเฟอร์ปลอมก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาดักหน้า ก่อนที่ลูกพี่ลูกน้องที่ตัวผอมกว่าจะวิ่งตามออกมา

“คุณจอมทัพ คุณต้องฟังฉันนะ”

“เอ๊ย นี่คุณออกมาได้ไง ผมให้ภามดูคุณไว้ไม่ใช่เหรอ” จอมทัพร้องถามด้วยความแปลกใจเมื่อไม่เห็นเงาบอดี้การ์ดอีกคนของตน แต่คนที่ตอบกลับเป็นกรรณิการ์

“คุณเอาเชือกฟางไปมัดช้าง มันจะอยู่ไหมล่ะ”

แน่นอนว่าทานตะวันได้มอบค้อนวงใหญ่ให้การเปรียบเปรยนั้นเป็นของกำนัล ก่อนเธอจะหันกลับมาเอ่ยต่อตามที่ตั้งใจไว้

“ปกติมันจะมาแบบลางๆ เป็นภาพแวบๆ แต่คราวนี้มันชัดมาก ยิ่งกว่าเอชดีสี่มิติเลยล่ะ แสดงว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ คุณจอมทัพ คุณระวังตัวนะ ฉันรู้สึกได้...มันถึงตายจริงๆ”

ตะวันไม่เคยเห็นน้องสาวต่างสายเลือดของเขาร้อนรนเท่านี้มาก่อน มันทำให้เขาอดถามไม่ได้ “หนูวันบอกรายละเอียดได้ไหม”

“ได้ค่ะ เอาแบบรวบรัดเลยนะคะ หนูวันเห็นรถระเบิด”

“ไอ้ทัช... รถนายอยู่ไหน”

“อยู่นี่” จอมทัพตอบพร้อมชี้ไปยังบีเอ็มดับเบิ้ลยูที่อยู่ห่างไปไม่ถึงก้าว ตะวันหันกลับไปทางน้องสาว เขาเห็นเธอมองที่ป้ายทะเบียนแล้วก็เบิ่งตากว้างอีกครั้ง พร้อมกับเสียงโทรศัพท์ของใครบางคนดังขึ้น ซึ่งเธอก็อุทานเสียงดังทันที

“ไม่!!! ต้องไม่ใช่ตอนนี้สิ”

สิ้นคำ เธอกางแขนทั้งสองข้างแล้วกวาดคนทั้งหมด...ชายสาม หญิงหนึ่งให้หลบจากบริเวณนั้น แล้วทุกอย่างก็เกิดขึ้นในฉับพลัน หลังเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นสามครั้ง เสียงดังสนั่นจากด้านหลังก็สะท้านไปทั่วบริเวณ ทุกคนก้มหมอบแต่แรงระเบิดก็ยังทำให้ล้มคว่ำไปกับพื้น ท่ามกลางความมึนงงและตกใจ เปลวไฟสีเพลิงพวยพุ่งอย่างน่ากลัว จอมทัพที่ตั้งหลักได้ หันกลับไปถึงกับอ้าปากค้าง มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างตกตะลึง



“หนูวัน...ตื่นได้แล้วลูก” เสียงปลุกจากผู้เป็นแม่ดังขึ้น แต่เด็กขี้เซาที่ซ่อนตัวใต้ผ้าห่มลายการ์ตูนกลับตอบกลับด้วยเสียงอู้อี้

“คุณแม่ขา ขออีกห้านาทีนะคะ”

“แม่ให้ห้านาทีมาสองครั้งแล้วนะ” หญิงชาวตะวันตกที่พูดภาษาไทยชัดแจ๋วถอนหายใจ ก่อนจะนึกแผนใหม่ขึ้นมาได้ “ถ้าหนูวันไม่ตื่น อดไปเล่นกับพี่ซันไม่รู้ด้วย”

“พี่ซัน!!!” ดูเหมือนชื่อนี้จะเต็มไปด้วยมนต์ขลัง เพราะเพียงแค่เอ่ยออกมา ร่างท้วมจ้ำม้ำของเด็กหญิงทานตะวันวัย 7 ขวบก็สะดุ้งพรวดขึ้นมาจากผ้าห่มทันที เธอยิ้มกว้างด้วยความยินดี แล้วหันมาเอื้อมมือแม่ไปเขย่าด้วยความตื่นเต้น

“พี่ซันมาแล้วเหรอคะ” แต่เอ่ยได้เพียงเท่านั้นเด็กหญิงก็ชะงัก เมื่อเธอมองเห็นบางอย่าง...ไม่ใช่ด้วยตา แต่เป็นภาพที่ปรากฏขึ้นในหัวอย่างกะทันหัน เธอเห็น...เห็นมารดากำลังตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ ซึ่งเธอก็รับรู้ได้ถึงความทรมานตอนที่น้ำไหลเข้าปากเข้าจมูกจนหายใจไม่ออกได้

“หนูวัน เป็นอะไรไปลูก!!” เหมือนถูกดึงออกมาจากห้วงภวังค์ เสียงเรียกและแรงเขย่าจากมารดาทำให้ภาพและความรู้สึกที่เสมือนจริงเมื่อครู่หายวับ

“คุณแม่ขา!!!” เด็กหญิงทานตะวันร้องขึ้นด้วยความตกใจ แต่เมื่อเธอเห็นมารดายิ้มละไมมาให้ เด็กน้อยก็เริ่มสับสน ระหว่างภาพน่ากลัวในหัว กับรอยยิ้มกว้างคุ้นตาตรงหน้า สิ่งไหนคือความจริงกันแน่

“ทำไมทำหน้าอย่างนั้น ไม่ดีใจหรือไงที่จะได้เจอพี่ซัน”

“พี่ซัน...”

“ถ้าอยากเจอพี่ซันก็ต้องลุกขึ้นไปอาบน้ำ แล้วถ้าวันนี้หนูวันเป็นเด็กดี แม่จะให้หนูวันเล่นกับพี่ซันทั้งวันเลยนะ”

อาจะเป็นเพราะข้อเสนอของแม่นั้นล่อตาล่อใจ หรือเพราะว่าเธอยังเด็กเกินไปจนไม่เข้าใจอะไร ทานตะวันจึงทำพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต



“หมายความว่าครั้งแรกที่เธอเห็นอนาคตของคนอื่น คือเธอเห็นแม่ตัวเอง....”

คำสุดท้ายจอมทัพละเอาไว้ แม้เขาจะเป็นคนขอร้องให้เพื่อนเล่าถึงพรสวรรค์อันลึกลับของน้องสาวสุดแนวคนนั้นเอง แต่เรื่องที่ได้ฟังก็ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่พูดไม่ออก จุดเริ่มต้นของความสามารถพิเศษ คือจุดจบของคนที่รักมากที่สุด...เขาคิดว่ามันโหดร้ายเกินไปหน่อย

เพราะความสงสัยที่รบกวนใจมาตลอดสัปดาห์ ทำให้หลังเคลียร์เรื่องวุ่นวายของตนเรียบร้อย จอมทัพก็รีบแวะมาหาเพื่อนที่บริษัทออกแบบตกแต่งภายในของอีกฝ่าย ตะวันที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน ภายในห้องส่วนตัวซึ่งเต็มไปด้วยกองผ้าตัวอย่างที่ใช้สำหรับเฟอร์นิเจอร์และสมุดเล่มใหญ่บรรจุตัวอย่าง wall paper นิ่งไปครู่ใหญ่ สุดท้ายก็เอ่ยต่อ

“วันนั้นน้าทิชาไปทำธุระที่กรุงเทพฯ ขากลับฝนตกหนักมาก ตำรวจบอกว่า น้าทิชาน่าจะหักหลบมอเตอร์ไซต์ที่สวนมาจากอีกเลน รถเลยเสียหลักตกลงไปในคลองข้างทาง”

“เหมือนอย่างที่เห็น...ว่าจมน้ำ?”

“ใช่... น้าทิชาออกมาจากรถไม่ได้”

คำยืนยันจากเพื่อนทำให้จอมทัพนิ่งไปอีกครั้ง จริงอยู่ที่เขาทึ่งในความสามารถพิเศษของผู้หญิงบุคลิกพิเศษที่ชื่อทานตะวัน แต่เมื่อนึกว่าตอนเกิดเรื่อง เธอยังเด็กเหลือเกิน เขาก็อดรู้สึก...หดหู่ไม่ได้

“แล้วน้องสาวนาย...ไม่แย่เลยเหรอวะ”

“หนูวันโชคดี เธอมีครอบครัวที่ดี” เป็นคำตอบสั้นๆ แต่จอมทัพคิดว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด เขาเห็นมุมปากของเพื่อนเหยียดยิ้มเล็กน้อย ดูไม่ออกจริงๆ ว่าเป็นไปด้วยความชื่นชม ประชด...หรืออิจฉา

“แล้วนายล่ะ รู้ตัวคนร้ายหรือยัง”

ตะวันเปลี่ยนเรื่องขณะที่สีหน้ากลับไปเรียบนิ่ง ส่วนจอมทัพก็ได้แต่ยักไหล่ ทำเหมือนเหตุลอบวางระเบิดที่เกิดขึ้นเมื่ออาทิตย์ก่อนไม่ใช่เรื่องใหญ่ เหมือนอย่างที่เขาทำให้มันเล็กลงด้วยจ่ายเงินปิดปากนักข่าว และบอกเหล่าลูกค้าว่าแค่ประกายไฟของเครื่องยนต์เกิดการสันดาปอย่างผิดปกติขึ้นมา ไม่มีใครอยู่เบื้องลึกเบื้องหลังทั้งนั้น

“ศัตรูฉันมันเยอะ ไม่รู้หรอกว่าใครเป็นใคร”

“แต่วางระเบิดที่รถนายได้คงไม่ธรรมดา”

“ก็ไม่เชิง...ตำรวจบอกว่าเป็นระเบิดแสวงเครื่อง ไม่ต้องเป็นมืออาชีพก็ทำได้ แต่ใส่กล่องวางไว้ใต้ท้องรถแล้วจุดฉนวนด้วยมือถือ ก็คงอยู่ใกล้ตัวฉันพอจะรู้ว่าฉันออกจากร้านเมื่อไร”

“แล้วกล้องวงจรปิด?”

“ลองทายดูสิ”

“เสียพอดี?”

จอมทัพหัวเราะในลำคอ ก่อนเอ่ยออกมาเหมือนเห็นเป็นเรื่องขัน “ใช่ ไม่ได้เสียที่กล้อง แต่เป็นระบบอินเตอร์เนท กล้องที่ร้านฉันใช้ไวไฟน่ะ หนึ่งชั่วโมงก่อนเกิดเหตุ ไม่มีภาพบันทึกไว้เลย ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร คนในหรือคนนอก จะแค่ดิสเครดิตร้าน หรือหวังฆ่าให้ตาย มันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น คนที่เกลียดฉัน มันมีตั้งหลายระดับนายก็รู้”

“แล้วนายจะปล่อยไป?”

“ปล่อยสิ...” เจ้าของผับหรูตอบทันที หากประโยคต่อมา ใบหน้าคมกลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และรอยยิ้มแสนร้ายกาจ “ปล่อยให้คนของฉันจัดการไงล่ะ” เพราะหากรอทางการตรวจสอบ เขาน่าจะตายก่อนได้รู้ว่าเป็นฝีมือพวกไหน การใช้ ‘เงิน’ และเส้นสายที่มีน่าจะช่วยเขารับมือหรือโต้กลับคู่อริได้เร็วกว่า “ระหว่างนี้ นายก็อย่าเพิ่งเลิกคบฉันล่ะกัน”

“ทำไมต้องเลิกคบ”

“กลัวตายมั้ง...” จอมทัพตอบสั้นๆ แล้วหัวเราะอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้มาจากความขบขัน แต่คล้ายเย้ยหยันในชะตาของตัวเอง ตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถูกลอบทำร้าย และยิ่งเขาถลำตัวเข้าสู่วงการนี้มากเท่าไร การโจมตีก็คล้ายจะรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

ความจริงใจแทบไม่มีอยู่ในความสัมพันธ์ คนที่ผ่านเข้ามาก็เพราะผลประโยชน์เท่านั้น เพราะหากสานไมตรีอย่างจริงจัง นั่นหมายความว่าใครคนนั้นจะตกเป็นเป้านิ่งไปด้วย

“ความตายไม่น่ากลัวหรอก”

เสียงของเพื่อนที่ตอบกลับมาทำให้จอมทัพหันไปมอง ใบหน้าเรียวของเพื่อนยังคงนิ่งเฉย แต่แววตาที่หมองลงไปทำให้ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สัมผัสได้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ มันทำให้เขาลืมเรื่องตัวเองชั่วขณะ แล้วเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง

“นายเคลียร์เรื่องยิ้มหรือยัง” เขาหมายถึงยิ้มยิ้ม...พนักงานสาวผู้เป็นดาวเด่นของผับหรูที่เขาเป็นเจ้าของ เธอคือคนเดียวกับที่ตะวันไปหาเมื่อวันก่อน

“ตั้งแต่วันนั้นยังไม่ได้คุย”

“มีอะไรให้ช่วยก็บอก” ตะวันพยักหน้า ไม่พูดอะไรต่อ จอมทัพเลยเปลี่ยนประเด็น ด้วยการหวนกลับมาเรื่องเดิม

“ยังไงก็ดีที่ไม่มีคนตาย ไม่อย่างนั้นเรื่องคงยุ่งกว่านี้… เออ ไอ้ซัน ขอเบอร์น้องสาวนายหน่อยสิ คุณหนูวันของนายน่ะ”

ผู้เป็นพี่ชายต่างสายเลือดขมวดคิ้วทันที แล้วถามด้วยความแปลกใจ “เอาไปทำไม”

“ก็...ปกติผู้ชายขอเบอร์สาวไปทำไมล่ะ ฉันว่านะ ฉันชักสนใจน้องสาวนายขึ้นมาแล้วว่ะ นายไม่ว่าอะไรใช่ไหม”

“ฉันไม่ได้เซฟเบอร์ไว้” ตะวันตอบสั้นๆ สีหน้ายังคงราบเรียบเช่นปกติ

“งั้นนัดเจอให้หน่อย ไม่ก็บอกมาว่าบ้านหนูวันอยู่ไหน” จอมทัพไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าเรื่องใด หากเขาต้องการ นั่นหมายความว่าทุกพยายามจะถูกงัดมาใช้ และสุดท้ายเขาก็ต้องได้

ต่อให้เพื่อนไม่ให้ความร่วมมือ หรือทำหน้านิ่งเดาอารมณ์ไม่ใช่เช่นนี้ต่อไป ยังไงเขาก็ต้องหาทางเจอกับ ‘แม่หมอ’ ผู้มีลางสังหรณ์แม่นยำให้ได้

ก็อย่างที่บอกไป เขาชัก ‘สนใจ’ หนูวันของตะวันขึ้นมาแล้วน่ะสิ





----------------------

มาต่อบทที่สองแล้วค้าาา ใครที่ลืมบทนำ-บทที่ 1ไปแล้ว ย้อนอ่านกันใหม่ได้นะคะ



ปลายสี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ม.ค. 2558, 19:49:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ม.ค. 2558, 19:49:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 1836





<< บทที่ 1 : เทวดา กับ หมีกริสลี่   บทที่ 3 : ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร >>
ดังปัณณ์ 26 ม.ค. 2558, 20:58:18 น.
อื้อหื้อ พี่ซันหึงหรา ครุคริ ว่าแต่จอมทัพเด่นไปไหมคะ สองบทที่ออกมานี่ เล่นเอาเกือบลืมพี่ซันเลย


แว่นใส 26 ม.ค. 2558, 21:31:40 น.
ทำไมพี่ซันต้องทำหน้าอย่างนั้นตอนพูดถึงครอบครัววัน


พันธุ์แตงกวา 27 ม.ค. 2558, 01:10:05 น.
โอ๊ะ หนูวันมาแล้ววววววว โฉมใหม่ มาแรงงงงง


Zephyr 28 ม.ค. 2558, 20:27:55 น.
ทียังงี้มากั๊กนะ เชอะๆๆๆ


tik 1 พ.ค. 2558, 11:50:42 น.
เอ๊ะ ยังไงกันพี่ซัน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account