ฝนพรำกลางทะเลทราย
ยังไม่มี
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ ๘

วันวิวาห์


ในขณะที่เพื่อนเจ้าสาวนับสิบนางที่อยู่ในชุดราตรีสีเหลืองทองแขนยาวกรุยกราย ติดลูกไม้ลวดลายประณีตลงบนตัวเสื้อพร้อมผ้าคลุมศีรษะสีเดียวกัน เป็นอภินันทนาการจากเจ้าหญิงฟาติยะที่ส่งตรงมาจากฝรั่งเศสนั้น กำลังวุ่นวายอยู่กับแต่งตัว แต่งหน้า หรือไม่ก็ถ่ายรูปกันอย่างสุดฤทธิ์

ร่างระหงของเพื่อนเจ้าสาวชาวยุโรปนางหนึ่งกลับเลือกที่จะแง้มผ้าม่านหนาซึ่งกั้นระหว่างฝ่ายในกับท้องพระโรงที่บัดนี้ได้กลายเป็นห้องพิธีการจัดงานฉลองงานแต่งเสียแล้ว นริศมองความเป็นไปภายนอกอย่างตื่นตา

จากมุมที่เธอมองเห็น ด้านในสุดของท้องพระโรงกว้างได้ถูกเนรมิตให้เป็นเวทีประดับม่านลูกไม้และดอกไม้สดอย่างประดิษย์ประดอยงดงาม ตรงกลางของเวทีมีตั่งยาวสีทองตั้งอยู่ นั้นคงใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมอะไรสักอย่าง ส่วนด้านล่างเก้าอี้นับร้อยถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ โดยเว้นตรงกลางไว้สำหรับเป็นทางเดิน

มีผู้คนเริ่มทะยอยกันมาไม่ขาดสาย หญิงสาวนึกอยากจะถ่ายวีดิโอเก็บไว้ไปอวดยายผกากับป้าสร้อยเสียด้วยซ้ำ หากไม่ติดว่าต้องเป็นส่วนหนึ่งในขบวนของเจ้าสาว

หญิงสาวถอนสายตาจากเวที เหลือบไปเห็นพอลลีและซาร่า ที่ยังผลัดเปลี่ยนกันถ่ายรูปไม่เลิกก็นึกขำ ดูท่าทั้งสองสาวจะชอบอกชอบใจชุดสีเหลืองทองที่ตัดกับสีผิวที่เริ่มจะเป็นสีแทนของตัวเองเอามากๆ



"นริศ มาถ่ายรูปกัน" ซาร่าร้องทักหลังจากโพสท่าเป็นนางแบบ ให้พอลลีนถ่ายภาพของเธอกับหน้าต่างบานใหญ่ ซึ่งมองออกไปภายนอกเห็นเพียงเลือนลางของแสงอาทิตย์ยามพลบค่ำ



"ไม่เอาละ ฉันถ่ายพอแล้ว" เธอปฏิเสธอย่างเบื่อหน่าย พอใจที่จะเป็นฝ่ายนั่งดูมากกว่า เพื่อรอเวลาตามเสด็จเจ้าหญิงออกไปยังท้องพระโรง



บัดนี้เหลือเวลาอีกประมาณสามสิบนาทีเท่านั้น ใจนึกอยากแวบไปดูเจ้าสาวที่ห้องแต่งตัวเหลือเกิน แต่เกรงว่าจะหลงทิศหลงทางเหมือนอย่างเมื่อวานนี้อีก จึงระงับความคิดนั้นเสีย



ขณะที่กำลังอยู่ในภวังค์กับความคิดอยู่นั้น หญิงสาวต้องพลันสะดุ้งตื่น เมื่อนิ้วเล็กๆของใครบางคนยื่นมาสะกิดแถวสีข้าง พอมองไปเห็นต้นตอว่าเป็นใครหญิงสาวก็แสร้งกรอกตาขึ้นฟ้าใส่ 'เด็กสาวผู้มาพร้อมกับปัญหา'

" คราวนี้เรื่องอะไรอีกละคะเจ้าหญิงมารีอา" หญิงสาวเอ่ยอย่างอ่อนใจ หากเป็นเวลาอื่นเจ้าหญิงน้อยจะตวัดค้อนพองามแล้วว่า

'เกลียดนักคนรู้ทัน'



แต่เวลานี้ใบหน้างามกับซีดขาวราวกระดาษ ดวงตากลมโตฉายแววกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด จนหญิงสาวต้องแปลกใจ

"มีอะไรรึปล่าวคะเจ้าหญิง"หญิงสาวเปลี่ยนท่าทีเมื่ออีกฝ่ายยังคงนิ่ง



" พระชายาให้มาเชิญพี่นริศค่ะ"



เด็กสาวไม่รอให้นริศได้กล่าวถามอีก รีบฉวยมือเธอกึ่งลากกึ่งจูงออกจากห้อง โดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง ไปตามทางเดินแคบๆ เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาจนเธอหัวหมุนไปหมด



"อะไรกันคะเจ้าหญิง"หญิงสาวงวยงง "ทำไมต้องรีบร้อนขนาดนั้นด้วยค่ะ"



"ต้องรีบค่ะเดี๋ยวจะไม่ทันการณ์" เด็กสาวเร่งฝีเท้าจนเกือบวิ่ง



"ไม่ทันการณ์อะไร ไหนอธิบายให้พี่ฟังสิคะ" พยายามฝืนตัวไว้ไม่ยอมให้อีกคนลากไปไหนตามใจได้อีก



"ไปฟังจากปากพระชายาเองเถิดค่ะพี่นริศ หญิงไม่กล้าเล่าหรอกค่ะมาเร็ว"



สัญชาตญาณบางจากห้วงลึกเตือนตนว่า 'อย่าไป'

หากเท้ากับเร่งตามร่างเล็กจนมายืนหอบจนตัวโยนอยู่หน้าประตูห้องแห่งหนึ่ง แล้วเด็กสาวก็ผลักเข้าไปอย่างรวดเร็ว



ห้องเตรียมตัวของเจ้าสาวนั้นเอง....

ในความคิดของเธอ ห้องนี้ควรคึกคักเต็มไปด้วยช่างแต่งหน้า แต่งผม สนมนางในและเฮเลน่าที่อาสามาช่วยเจ้าหญิงฟาติยะเมื่อตอนบ่าย แต่มันกลับว่างเปล่า เงียบงัน มีเพียงชุดแต่งงานสีขาว แบบเรียบเน้นรูปร่างของเจ้าสาว แต่ก็หรูหราเพราะทั้งชุดปักด้วยดิ้นทองคำขาวและเพชรแท้เม็ดเล็กๆนับพันส่องประกายระยิบระยับล่อแสงไฟที่ตั้งตระหง่านอยู่ในหุ่นตรงกลางห้องอย่างเดียวดาย กับเจ้าหญิงพระชายาที่ยืนเหม่อลอยไหล่ทั้งสองข้างลู่ลงอย่างน่าสงสาร

'เจ้าหญิง ท่านทำอะไรลงไปคะ' แพทย์สาวคร่ำครวญในใจ รู้สึกเวทนาพระชายาขึ้นมาจับใจ

.......................

เจ้าหญิงพระชายามีสีหน้าหม่นหมอง เหม่อมองชุดงามนั้นด้วยหัวใจแตกสลาย

คำถามเกิดขึ้นในใจมากมาย หลังจากส่งคนขึ้นไปตามตัวเจ้าหญิงที่ห้องบรรทม หากกลับพบแต่ความว่างเปล่า...

ท่านร้อนร้นหวาดหวั่นถึงเพทภัยต่างๆนาๆจะเกิดขึ้นกับพระธิดา จึงได้ระดมคนค้นหาตามห้องหับและทั่วทุกตารางนิ้วในเขตพระราชวัง สิ่งที่ได้รับรายงานคือ......พาสปอร์ต ข้าวของมีค่า ของเจ้าหญิงและเฮเลน่าหายไป สิ่งที่สรุปได้ในตอนนี้ก็คือ คนทั้งสองได้หนีไปแล้วนั่นเอง...

ทำไม ทำไม และทำไม?

ทำไมลูกต้องทำอย่างนี้ด้วยฟาติยะ?

ทำไมไม่เห็นแก่หน้าพ่อแม่บ้างเลยหรือไร?

เจ้าฉีกทึ่งเกียรติยศ ศักดิ์ศรี อย่างไม่เหลือซาก

ลืมไปแล้วหรือว่าตัวเองเป็นใคร? มีหน้าที่อะไร?

แล้วทำไมต้องเป็นวันนี้?



ใจของท่านตัดพ้ออย่างขมขื่น ความผิดหวังมันถาโถมเขาใส่ราวระลอกคลื่น ร่างท้วมแทบทรุดลงไปกองกับพื้น

เจ็บเสียยิ่งกว่าเจ็บ อายเสียยิ่งกว่าอาย เหมือนเป็นดังคน 'ไร้ค่า'ในสายตาของลูกรัก

อยากกรีดร้องให้สาสมกับความคลั่งแค้น หากยังฝืนข่มใจ สลัดหน้าที่ของแม่ไว้ตรงนั้น......

ณ ตอนนี้ หน้าที่ของท่านคือ ราชินีแห่งอาคาเซียทำทุกสิ่งเพื่อคงไว้ซึ่งประโยชน์แห่งแผ่นดิน หรือ สูญเสียน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

ทำอย่างไรให้ผ่านคืนนี้ไปได้

...ขอให้ผ่านงานคืนนี้ไปเสียก่อน

แล้วความคิดหนึ่งก็โลดแล่นเข้ามาในสมอง รับสั่งเฉียบขาดกับผู้คนรายรอบที่ต่างก้มหน้างุดเพราะทำตัวไม่ถูก

' มารีอาเจ้าจงไปตามนริศมาหาเรา ส่วนทุกคนออกไปได้'

พอคนเริ่มทะยอยออกไปหมด น้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลร่วงรินอย่างสิ้นอาย นาน...เท่านาน..เท่านาน

.........

จวบจนเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้

"มาแล้วเหรอ" ท่านเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

ใช้มือกรีดน้ำตาจากร่องแก้มอย่างช้าๆกล่ำกลืนความโศกตรมไว้ในอกอย่างยากเย็น ร่างไม่ไหวติงคล้ายดังยึดที่นั่นเป็นหลักสู้ "เธอคงรู้แล้วใช่ไหมว่าอะไรเกิดขึ้น"

"หม่อมฉันยังไม่แน่ใจเพคะ" แม้จะสงสารและเวทนาท่านเหลือใจ หากหญิงสาวจำเป็นต้องแบ่งรับแบ่งสู้ทั้งที่ บัดนี้กระจ่างใจในทุกสิ่ง หากเธอยอมรับก็เท่ากับรู้เห็นเป็นใจกับเจ้าหญิงน่ะสิ "แต่เท่าที่เห็นเจ้าหญิงไม่ได้อยู่ที่นี่"



พระชายาทำเสียงหึในลำคออย่างเย้ยหยันใช่...หยันนริศมีหรือคนฉลาดอย่างแพทย์สาวคนนี้จะไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยและหยันในความโง่งมของท่านเองที่ใจอ่อนส่งพระธิดาคนสุดท้องไปร่ำเรียนยังประเทศเสรี จนลืมขนบประเพณีที่ดีงามของชาวอาคาเซียนึกอยากทำอะไรก็ทำโดยไม่เห็นแก่หน้าพ่อแม่

"นางและเพื่อนอีกคนของเจ้าหนีไปแล้ว" ใจอยากตะโกนก้องออกไปให้สาแก่ใจหากหลุดออกไปแค่เสียงที่เย็นเฉียบ

จนคนฟังสะท้านเข้าไปสู่โพลงอกรู้สึกหวั่นเกรงผสมอึดอัด นึกอยากเดินหนีออกไปภายนอกหากทำไม่ได้ดั่งใจนึก มีเพียงเจ้าหญิงมารีอาส่งสายตามาอย่างปลอบใจ



"ฉันอยากรู้เพราะอะไรนริศ"



"หม่อมฉันไม่ทราบได้เพคะ" เธอโกหกทั้งที่ไม่อยากทำ บางทีความจริงมันอาจโหดร้ายเกินไปในสถานการณ์เช่นนี้ หากพูดไปแทนที่จะเป็นผลดี อาจนำพาผลร้ายมาสู้เธอเองก็ได้



"อย่ามาหลอกเราเลย" ทรงสะบัดเสียงอยากหงุดหงิด มือทั้งสองกำแน่นแล้วคลายออก พยายามสะกดกลั้นอารมณ์อย่างเต็มที่



"จงเห็นใจเราบ้าง ทำไมนางต้องทำอย่างนี้และวันสำคัญแบบนี้เสียด้วย รู้ไหมเชครามิลเป็นใครทและเป็นคนเช่นไร คิดจะหยามเกียรติท่านง่ายๆได้รึ"



'คงเป็นคนที่ดีลด้วยยากเป็นแน่เพคะ' อยากตอบไปแบบนั้นเสียจริง ดูท่าทางของเชครามิลตั้งแต่อยู่ในสวนนั่น หญิงสาวก็รู้ว่า เชคคนนั้น ไม่ใช่คนที่จะ 'เล่น' หรือปั่นหัวได้ง่ายๆ



"เอาละเราจะไม่พูดถึงอีกแล้ว มาช่วยกันแก้ปัญหาดีกว่า"



"แก้อย่างไรได้รึเพคะ" คิ้วบางขมวดมุด ใจนึกว่าจะทำอย่างไรได้อีกนอกจากยกเลิกงานแต่งงานนี้เสีย

เจ้าหญิงพระชายาบัดนี้หมุนตัวมาเดินวนรอบนริศอย่างสำรวจจนพอใจ นริศมีรูปร่างใกล้เคียงกับพระราชธิดาของท่านยิ่งนัก

" แก้ได้ถ้าเจ้าช่วยเรา" ท่านกล่าวอย่างหมายมาด

"เราขอร้องให้เจ้าช่วยแต่งชุดเจ้าสาวแล้วเจ้าพิธีแทนฟาติยะที"

หญิงสาวตกตะลึงแทบไม่เชื่อหู

มันไม่ใชคำขอร้อง

หากมันคือคำสั่งตะหาก

"ไม่ได้นะเพคะ"หญิงสาวเอ่ยอย่างร้อนรน แทบจะทันทีที่ท่านกล่าวจบ ความประหวั่นพรั่นพรึ่งจู่โจมเข้ามาอย่างช่วยไม่ได้

"ต้องได้สินริศ แค่ให้ผ่านพิธีคืนนี้ให้ได้เสียก่อน " ท่านกล่าวเสียงต่ำแต่เน้นหนัก แล้วเคลื่อนองค์เข้ามาใกล้ ใช้มือข้างหนึ่งบีบคางของเธอจนเจ็บไปหมด พลางจ้องตาอย่างท้าทายและข่มขู่ จนเธอต้องเบือนหน้าหนี "เราจะมอบผ้าคลุมหน้าผืนงามที่สุดสำหรับเจ้า เจ้าบ่าวไม่จำเป็นต้องเห็นหน้าเจ้าสาวหรอกจริงไหม?"



บัดนี้เจ้าหญิงมารีอาที่เอาแต่ก้มหน้างุดด้วยความกลัวกับตกตะลึงในการกระทำอันคุกคามของท่าน จนลนลานเข้ามา หวังฉุดเธอออกอย่างปกป้อง หากท่านกับยกมือห้ามเป็นเชิงบอก.....อย่ายุ่ง เด็กสาวจึงจำใจต้องถอยออกไปคุมเชิงอยู่ไม่ไกล



" แล้วหลังจากนั้นละคะ" เธอถามอึกอัก กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

ความเจ็บปวดที่เกิดจากการบีบรัดนั้นเธอทนได้ แต่เจ็บที่ใจมีมากกว่า ไม่มีครั้งไหนที่หญิงสาวรู้สึกเหมือนถูกกดให้ต่ำจนสิ้นทางเลือกขนาดนี้ .....ไม่น่าเลย..ไม่น่าติดตามเจ้าหญิงฟาติยะมาเลย หากบินกลับเมืองไทยป่านนี้เธอคงอยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของคุณยายผกาและป้าสร้อยแล้ว

รอก่อนนะคะคุณยาย....นริศจะรักษาชีวิตไว้ไปกอดคุณยายให้ได้

พอคิดมาถึงตรงนี้น้ำตาเจ้ากรรมก็ล้นเอ่อขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้



" เจ้าไม่อยากเป็นเมียของท่านเชคหรือไงนริศ เมียแรกเสียด้วย" ท่านเอ่ยอย่างหยามหยัน " แต่เอาเถอะในเมื่อเจ้าไม่อยากเป็น หลังจากเสร็จพิธีเราจะต่อรองกับรามิลเอง"



" แล้วถ้าหม่อมฉันไม่ทำละเพคะ" โทสะเหนือกว่าความหวาดกลัวเสียแล้ว ทำให้เธอกล้าเปล่งเสียงถามอย่างเด็ดเดี่ยว



"ก็เลือกเอา ว่าจะอยู่ หรือจะตาย" ดวงตาของท่านแวววาวท้าทาย

หลังจากปล่อยหญิงสาวให้เป็นอิสระ ท่านก็ร้องบอกให้ฝ่ายในเข้ามาช่วยเธอแต่งตัว นริศได้แต่เม้มริมฝีปากนิ่งไร้ถอยคำใดๆอีกต่อไป ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามพระประสงค์ หากแข็งขืนรังแต่จะเกิดผลเสียกับตัวเธอเอง



เวลาล่วงผ่านเนินนานพอควร...ร่างระหงของนริศก็อยู่ในชุดแต่งงานสีขาวที่ทอจากผ้าไหมชั้นเลิศปักด้วยดิ้นทองคำขาวและเพชรแท้อย่างพอดิบพอดี ผิวเนื้อผ้านุ่มนิ่มลื่นมือและงดงามไร้ที่ติ ใบหน้าของเธอถูกซ่อนไว้ภายใต้ผ้าคลุมหน้าลูกไม้สีขาวอย่างมีศิลป์ หากคนสวมใส่ยืนนิ่งราวกับหุ่นยนต์....

"พี่นริศ..งามมากค่ะ"เจ้าหญิงน้อยเอ่ยชมหลังติดตะขอสร้อยเพชรให้เธอ เมื่อเห็นคนใส่ยังคงนิ่งเฉยก็ให้รู้สึกสะท้านใจ" ไม่ต้องกังวลนะคะหญิงจะดูแลพี่เอง"

มือเรียวงามก็ยื่นมาแตะต้นแขนอย่างให้กำลังใจ

ในตอนนี้ ภายในห้องเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เมื่อม่านลูกไม้บางเบาถูกขึงกั้นลง พร้อมฝีเท้าหนักๆคล้ายดั่งผู้ชายย่ำเข้ามาในห้อง

" ได้ความไหมฟารัส" เสียงสนทนาด้วยภาษาของชาวอาคาเซีย

" มีรถยนต์สองสามคันที่เข้าออกอย่างน่าสงสัยกระหม่อม ลูกให้คนเร่งตรวจสอบแล้วคงได้ความในไม่ช้า" น้ำเสียงเคร่งเครียดของชายคนนั้น ทำให้ร่างระหงกระตือรือร้นขึ้นมาทันที ความหวังผุดขึ้นมาในหัวเหมือนดั่งมองเห็นแสงดาวส่องท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิด...

" แล้วเราจะทำอย่างไรดีท่านแม่ จะให้ลูกเรียนท่านพ่อให้ล้มเลิกงานดีไหม"

"ไม่ต้องหรอกฟารัส แม่แก้ปัญหาได้แล้ว เหลือแต่ลูกแล้วที่ต้องหาน้องให้เจอ"

"แก้อย่างไรกระหม่อม?"

แล้วร่างที่ยืนนิ่งอยู่ตลอดเวลาก็สาวเท้าออกไปภายนอกอย่างรวดเร็วเกินกว่าใครจะทันห้าม เมื่อแน่ใจว่าเสียงที่ได้ยินคือเจ้าชายฟารัส..

"ฟารัส" หญิงเรียกชื่อเขาอย่างยินดี ถลาเข้าไปหาร่างที่กำลังตะลึงอย่างคาดไม่ถึง

"นริศคุณมาอยู่ทำไมที่นี่" ฟารัสจ้องเธออย่างตกใจไม่นึกว่าจะเจอเธอในนี้ "แล้วทำไมต้องใส่ชุดนี้ด้วย"

แล้วฟารัสก็เบิกตากว้างเมื่อเริ่มมองเห็นเค้ารางของอะไรบางอย่างก่อนจะระล่ำระลักบอกพระมารดา

"นี่เสด็จแม่จะให้นริศเข้าพิธีแทนฟาติยะรึนี่ "

เจ้าชายหนุ่มจับจ้องใบหน้านวลที่ตลบผ้าคลุมหน้าไปไว้ด้านหลัง เปิดให้เห็นหน้าผากโค้งมน ระเรื่อยไปถึงจมูกได้รูปและ ริมฝีปากอิ่มเต็มนุ่มนวลสีชมพูกลีบกุหลาบน่าสัมผัสคู่นั้น หญิงสาวช่างเหมาะกับชุดแต่งงานสีขาวเสียจริง ถ้าหากมันเป็นงานแต่งงานระหว่างเขาและเธอ .....ไม่ใช่เธอกับคนอื่น
รวบร่างของเธอมากอดอย่างหวงแหน ใช่..เขาหวงหล่อน หวงทั้งที่ไม่ใช่เจ้าของ... แต่ต่อไปก็อาจไม่แน่ไม่ใช่หรือ
ดวงหน้าที่ดูเคร่งเครียดเปลี่ยนเป็นทะมึงทึงน่าเกรงขามขึ้นมาทันทีเมื่อนึกขึ้นมาถึงตรงนี้
"นางเป็นคนที่ลูกรัก ลูกจะไม่ยอมเด็ดขาด"

หญิงสาวใจชื้นขึ้นมานิด ไม่คิดขัดขืนแต่อย่างใด ยอมไปก่อน ในเมื่อเจ้าชายคือเกาะกำบังกายชั้นดีในขณะนี้

เจ้าหญิงพระชายามองภาพนั้นอย่างเจ็บปวด เบ้ปากด้วยความสมเพทใจ ลูกแต่ละคนของท่าน ไม่เคยได้ดั่งใจ คนหนึ่งก็หนีการแต่งงานอย่างไร้ร่องรอย ส่วนอีกคนหนึ่งนี้หรือก็หลงไหลหญิงต่างชาติ มันช่างน่าขบขันสิ้นดี
ท่านโบกมือเรียกโขนฝ่ายในซึ่งเป็หญิงแต่ร่างกายสูงใหญ่สองสามคนเข้ามาดึงเธอออกไป

"ฟารัสช่วยฉันด้วย ได้โปรด" เธอเว้าวอนเมื่อถูกกระชากออกจากอ้อมกอดของชายหนุ่ม เขาพยายามตามติดไปยื้อคืน แต่ต้องทิ้งสองมือลงข้างตัวเมื่อเสียงเน้นหนักเอ่ยขึ้นขัด

"หยุดนะฟารัส"
"ทำไมท่านแม่ต้องทำเช่นนี้?"เจ้าชายหนุ่มตัดพ้อ ร่างสั่นสะท้าน มองคนที่ตนรักดิ้นรนอย่างหวาดกลัวด้วยความทรมานใจ "นางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยนะท่านแม่"
"จะอย่างไรก็ช่างฟารัส แม่ไม่สนอะไรทั้งนั้น ขอแต่ผ่านพิธีคืนนี้ไปได้เสียก่อน"ท่านกล่าวอย่างเลือดเย็น
"ส่วนที่เหลือมันก็ขึ้นอยู่กับลูกแล้วละว่าจะตามน้องกลับมาได้หรือไม่"
"ถ้าได้นางก็รอด แต่ถ้าไม่ แม่ก็ไม่รับรอง"
นี่คือการบังคับทางอ้อมใช่ไหม ชายหนุ่มถามตัวเอง
" ไป ไปทำงานของเจ้าเสีย เจ้ามีเวลาจากนี่จนถึงเที่ยงคืนเท่านั้น"
เสียงท่านกำชับมาอีก

ชายหนุ่มนิ่งมองร่างระหง เนินนาน..ดังจะจารึกลงในดวงจิต ก่อนจะหันหลังจากไปอย่างรีบเร่ง

ส่วนหญิงสาวแทบจะกองลงไปกับพื้นอย่างสิ้นหวัง

..........................




















เดือนมีนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ก.พ. 2558, 19:47:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ก.พ. 2558, 19:47:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1045





<< ตอนที่ ๗   ตอนที่ ๙ >>
Zia 15 ก.พ. 2558, 21:52:40 น.
เกลียดแม่เจ้าหญิงจัง เห็นแก่ตัว เจ้าหญิงก้เห็นแก่ตัว เหมือนหลอกเพื่อนมาขายไงงั้นเลย TT


Zephyr 15 ก.พ. 2558, 23:21:37 น.
ท่านแม่ทำตัวน่าเกลียดมาก อยากด่าทุ... ด้วยศ้ำ
เป็นถึงแม่แห่งแผ่นดิน แต่ทำตัวหลอกลวง
เจ้าหญิงก็เป็นเพื่อนที่เห็นแก่ตัวมาก ขายเพื่อนคัวเอง


เดือนมีนา 16 ก.พ. 2558, 16:23:11 น.
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านมากค่ะที่ติดตาม


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account