พิมพ์ลภัส
พิมพ์ลภัสเด็กสาวร่างอ้วนแก้มยุ้ยด้วยน้ำหนักตัวเกือบร้อยกิโลกรัมแอบรักพี่ชายขัางบ้านที่โตมาด้วยกัน ทว่าภีรมัตเห็นเธอเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น..เธอรู้
ระหว่างเธอกับภีรมัตแตกต่างกันราวผีเน่ากับเทพบุตร ใครจะไปสวยเท่าแฟนสาวสิตาภาที่ครั้งหนึ่งเขาเคยประกาศต่อหน้าเธอว่าใช่สเป็ก นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ และการกลับมาพบกันอีกครั้งระหว่างเธอกับภีรมัตเรื่องยุ่งๆของหัวใจจึงเริ่มต้นขึ้น

Tags: พิมพ์ลภัส ภีรมัต รักหวานซึ้งปนเศรา้้

ตอน: บทที่ 22 พรีเวดดิ้ง

นานวันเข้าสายใยความผูกพันระหว่างเธอและเขาก็ยิ่งเบาบางลง จนแทบมองไม่เห็นแม้เพียงเยื่อบางๆ นึกย้อนถึงสัปดาห์ก่อนที่หัวหิน วันนั้น..เธอเจ็บร้าวที่ต้องพูดจาร้ายกาจตัดขาดกับเขาทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จำต้องดึงตัวเองให้ห่าง..ไม่พบเจอเลยยิ่งดี คิดจะหักดิบโยใช้วิธีนี้ตัดใจจากเขาซะเนิ่นๆดีกว่ารอให้ถึงวันที่เขา..แต่งงาน แล้วค่อยถอนใจ ถึงเวลานั้นมันคงสายเกินไปเพราะคงทำใจให้ยอมรับความจริงข้อนั้นไม่ได้ง่ายๆแน่ แค่คิดว่าเขาจะแต่งงานหัวใจก็เจ็บจี๊ดจนทนไม่ไหวซะแล้ว ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ...เธอจะสิ้นใจตายไปเลยรึเปล่านะ

การไม่พบไม่เจอเขามันคือหนทางเดียวที่เธอคิดออก อาจจะช่วยให้ตัดใจจากเขาได้ ทว่าตอนนี้เธอรู้แล้วว่ามันไม่ได้ผล ใจ..ยังรักเขาเหมือนเดิม มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ แล้วถ้าเขาแต่งงานจริงๆ เธอจะเป็นอย่างไร มือเรียวกดนิ้วลงระหว่างหัวคิ้วนวดคลึงเบาๆ เพื่อคลายความตึงเครียดหลังจากครุ่นคิดจนเส้นเลือดเต้นตุบปวดหนึบขึ้นมา ร่างบางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ปิดเปลือกตาลงด้วยความอ่อนล้า

สามวันก่อน เธอเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ ซึ่งสิตาภาเป็นฝ่ายออกมาให้สัมภาษณ์พร้อมทั้งโชว์แหวนเพชรเม็ดงามนิ้วนางข้างซ้าย อ้างว่าได้รับจากแฟนหนุ่มภีรมัต ย้ำชัดถึงความสัมพันธ์ว่ายังหวานชื่นดีอยู่และอาจมีข่าวดีเร็วๆนี้ ส่งให้วันนั้นทั้งวัน..เธอแทบไม่มีกระจิตกระใจทำงาน เบื่อ..เซ็งไปหมดทุกสิ่งอย่าง หัวใจร้าวระบมไม่สิ้นสุด

ผ่านทริปทัวร์ที่หัวหินก็ไม่ได้พบเขาอีก แม้บ่อยครั้งภีรมัตจะเข้ามาดวลวงสวิงกับคุณพ่อที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ทว่าเธอเองกลับเป็นฝ่ายหลบฉากหนีหน้าร่ำไป ยังทำใจให้กลับไปมองหน้าเขาอย่างสนิทใจไม่ได้ จะให้ทำเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อนได้ไง

นั่นมันจูบแรกในชีวิตเธอนะ! ขโมยไปแล้วยังปั้นหน้าตายได้อีก

เธอพยายามหาอะไรทำให้ยุ่งเข้าไว้เผื่อจะลืมเรื่องเขาได้บ้าง กระนั้นกลับยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพราะสมองมันดันตื้อไปหมดคิดอะไรไม่ออกสักอย่างเดียว กระทั่งพี่ต๋อยเอ่ยชวนให้มาถ่ายปกหนังสือเล่มหนึ่งของสำนักพิมพ์พราว เธอยังตอบรับแบบงงๆ รู้ตัวอีกที..ก็วันถ่ายซะแล้ว จะปฏิเสธก็ไม่ได้ วันที่ตกปากรับคำพยานเยอะซะด้วยสิ

“พี่ต๋อยนี่เก่งจริงๆดึงไอ้พิมมาขึ้นปกให้เราอีกจนได้..” เพียงอรเอ่ยชมชูนิ้วโป้งให้สองข้าง

“ไม่ใช่พี่หรอก...เป็นแผนของเจ้าภีมมัน..” ต๋อยเอียงหน้ากระซิบ

“อ้าวเหรอคะ แล้วพี่ภีมใช้วิธีไหนล่ะเนี่ย” เพียงอรถามตาโตแปลกใจ

“ก็..ให้บอกว่ารายได้ส่วนหนึ่งบริจาคเพื่อมูลนิธิเด็กกำพร้าน่ะสิถึงสำเร็จ..” ต๋อยกระซิบเบายิ่งกว่าเดิมเกรงว่า พิมพ์ลภัสที่ยืนให้สไตล์ลิสจัดแต่งเสื้อผ้าอยู่ใกล้ๆรอเวลาอีกห้านาทีจึงจะเริ่มถ่ายได้ยินเข้าจะยุ่ง

“จริงด้วยสิ ถ้าเป็นเรื่องการกุศลแม่นางเอกนอกจออย่างพิมพ์ลภัสไม่มีทางปฏิเสธอยู่แล้ว ทำไมอรคิดไม่ออกน้า..”

“สมองทึบน่ะสิ..ถึงคิดไม่ได้” ต๋อยลงกำปั้นกลางหน้าผากพนักงานสาวที่เอ็นดูอย่างน้องคนหนึ่ง

“แล้วนี่...พี่ต๋อยจะหักรายได้บริจาคจริงรึเปล่าคะ..”

“ก็ต้องจริงสิวะ ขืนทำเล่นพิมรู้เข้าได้โกรธพี่ตายชัก “ ต๋อยโวย “สำหรับพี่ผลประโยชน์ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่ได้ดาวเด่นวงสังคมมาลงเล่มเป็นเจ้าเดียวนั่นแหละ..เจ๋งสุด” ต๋อยเอ่ยอย่างภูมิใจ หลายสำนักพิมพ์คู่แข่งแย่งตัวไฮโซสาวกันให้วุ่น ทว่าตนกลับเป็นเพียงสำนักพิมพ์เดียวที่สามารถดึงตัวสาวน้อยมาได้ แต่เหตุผลหลักๆอีกข้อเพราะคำขอร้องจากน้องชายต่างสายเลือดอย่างพระเอกคนดังต่างหาก แม้จะงงสงสัย ทว่าก็ร่วมมือ “อ้าว!นายแบบเสร็จพอดี” ต๋อยเอ่ยเสียงดัง

ร่างสูงของภีรมัตก้าวออกจากฉากกันอีกมุมหนึ่งสำหรับแต่งตัว พร้อมชุดไทยแบบขุนนางมียศศักดิ์สูงสมัยกรุงศรีอยุธยา ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาถูกแต่งเติมให้ดูคมเข้มดุดันแบบคนโบราณยุคนั้น ยิ่งเพิ่มเสน่ห์มากขึ้นไปอีก ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขาเป็นจุดเดียวรวมทั้งพิมพ์ลภัสซึ่งแต่งตัวเสร็จนานแล้ว เธอก้าวออกมาจากหลังฉากกั้นอีกมุมเช่นกัน สาวน้อยเบิกตากว้างตื่นตะลึงและ...โกรธ

ทั้งตกใจและแปลกใจในคราวเดียวกันเพราะไม่คิดว่านายแบบที่ต๋อยรอคือภีรมัต คิ้วเรียวขมวดมุ่นไม่พอใจนิดๆ ไม่มีใครแจ้งเธอสักคนเดียว

ภีรมัตตะลึงไปเช่นกัน ไม่ใช่ไม่รู้ว่านางแบบเป็นใคร แต่เพราะคนตรงหน้าสวยหยาดหยดจนเขาลืมหายใจไปชั่วขณะ หลังจากก้าวพ้นฉากกั้นมาสบใบกับหน้าหวานซึ้งงดงามตรงหน้า แม้จะรู้ว่าเธอไม่พอใจ ทว่ายามเจ้าตัวทำหน้าบึ้งตึงขึงขัง กลับยิ่งน่ามอง ใบหน้าเนียนถูกแต่งแต้มเพิ่มสีสันเพียงนิด ก็ส่งให้วงหน้าหวานหยดย้อยชวนตะลึงน่าหลงใหล ร่างบางอรชรถูกห่อหุ้มด้วยชุดแต่งงานไทยโบราณพาดสไบเปลือยไหล่ข้างหนึ่งสีทอง เครื่องเคราประดับประดางดงามครบเซตแบบชาววัง งามจนหาคำเปรียบมิได้ พาให้คนทั้งกองตกตะลึงไม่ต่างจากเขา ภีรมัตเองถึงกับขาตายก้าวไม่ออกจึงมองนิ่งๆเพียงอย่างเดียว

พิมพ์ลภัสสำรวจเขา แล้วก้มมองชุดไทยที่ตัวเองสวมอยู่เข้าคู่กับชุดภีรมัตเป๊ะเลย ก่อนจะมองเลยไปที่เพียงอรและต๋อยด้วยสายตาเป็นคำถาม

“เห็นมั้ยล่ะ...นี่ไง พี่ถึงอยากให้พิมใส่ชุดไทยถ่ายปกเวดดิ้ง สวยจนเราแทบลืมหายใจไปเลย” ต๋อยชมเปาะตรงรี่เข้ามาหาสาวน้อย ก่อนจะหันไปขอความคิดเห็นจากคนอื่นกลบเกลื่อนสายตาข้องใจจากพิมพ์ลภัส

เธอยิ้มแห้งๆเท่านั้น ยามนี้...พูดไม่ออกเลยจริงๆ สายตาคมปลาบสีนิลที่จ้องมาคล้ายจะยิ้ม แม้ปากหยักจะปิดสนิท ทว่าสายตาพราวระยับคู่นั้นต่างหากที่ทำให้เธอเขินและประหม่าอยู่บ้าง

ภีรมัตเป็นคนคิดแผนนี้เอง ให้ต๋อยยกเรื่องการกุศลขึ้นมาเป็นข้ออ้างเพื่อให้พิมพ์ลภัสปฏิเสธไม่ได้ และยังเสนอตัวเองเป็นนายแบบโดยไม่คิดค่าตัวเป็นการแลกเปลี่ยน เพียงเพราะอยากปรับความเข้าใจกับสาวน้อยอีกครั้ง ทั้งยังขอให้ต๋อยเก็บเรื่องที่เขาอาสาเป็นนายแบบในวันนี้เป็นความลับไปก่อน จนกว่าจะถึงวันถ่ายจริง ไม่งั้นพิมพ์ลภัสคงไม่ยอมตกลงง่ายๆแน่

ที่ผ่านมาพิมพ์ลภัสคอยแต่จะหลบหน้าเขา ทั้งที่เขาพยายามปลีกตัวหาเวลาไปตีกอล์ฟสนามหญ้าบ้านโน้นบ่อยๆแม้จะมีคิวแน่นเอี๊ยด หวังว่าจะได้พบเธอบ้างกระนั้นก็ผิดหวังตลอด ถึงตอนนี้...จะคิดไม่ออกว่าควรพูดอะไรหรือแสดงสิ่งใดหลังจากก่อเรื่องไปแล้ว แต่เขาก็ไม่อยากให้เธอหนีหายจนกลายเป็นห่างออกไปกลายเป็นเพียงแค่คนเคยรู้จัก

ไม่รู้เหตุผล...ทำไมเขาถึงทนไม่ได้ที่พิมพ์ลภัสมีท่าทีหมางเมินเฉยชาต่อเขาแบบนี้ นี่..จึงเป็นวิธีเดียวที่คิดได้ อย่างน้อยได้พบหน้ากันบ้าง ความสัมพันธ์เดิมๆคงไม่จางไปซะทีเดียว

แม้ตอนนี้จะหาเหตุผลให้กับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ไม่ได้ กระนั้นสิ่งที่เขารู้สึกตลอดเวลา คือการที่ไม่ชอบให้สาวน้อยวางตัวห่างเหินไม่เหมือนก่อน ทำราวกับเขาไม่ใช่พี่ภีมของเธออีกแล้ว นั่นคือสิ่งที่เขาทนไม่ได้จนต้องคิดวิธีบ้าๆเพื่อให้ได้เข้าใกล้เธอ เขาจะไม่ยอมให้มิตรภาพระหว่างเขากับน้องสาวคนนี้ต้องเสียไปแน่

พิมพ์ลภัสมองเพียงอรด้วยสายตาเรืองวาว ก่อนจะมองเลยมาที่ต๋อยด้วยความไม่เข้าใจและเชิงถามมากกว่าโกรธ แต่ก็ตำหนิอยู่กลายๆที่ไม่แจ้งเธอบ้างเลย ใช่...เธอโกรธ แต่โกรธเขามากกว่า ไม่รู้จะจองเวรไปถึงไหนกัน
เพียงอรส่ายหน้าดิกเหลอหลาตอบกลับมาให้เพราะเธอก็เพิ่งรู้เรื่องเช่นกัน ต๋อยเดินเข้ามาโอบเอวบางหลวมๆสารภาพผิดก่อนที่พิมพ์ลภัสจะโกรธ

“คืออย่างนี้จ้ะน้องพิม พี่อธิบายได้...เดิมทีพี่วางตัวนายแบบให้เป็นก้อง รัชพล แต่เมื่อวานเขาเพิ่งโทร.มายกเลิกเพราะแอดมิดกะทันหัน แล้ว ภีมก็เสนอตัวช่วยฟรี.. ที่สำคัญพี่หานายแบบไม่ทันด้วย พี่ก็เลยตกลงน่ะค่ะ น้องพิมคงไม่โกรธใช่มั้ยจ๊ะ” ต๋อยอธิบายยืดยาวประเมินท่าทีสาวน้อยไปพร้อมกัน เกรงว่าพิมพ์ลภัสจะโกรธจนวิ่งหนีออกจากสตูดิโอ

ต๋อยไม่ได้โกหก ตอนแรกตนวางตัวก้อง รัชพลไว้จริงๆ แต่ภีรมัตกลับเสนอตัวซ้ำยังวางแผนเสร็จสรรพ โชคดีที่เมื่อเช้าหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าก้อง รัชพลแอดมิดเพราะท้องเสีย จึงสร้างเรื่องง่ายหน่อย อย่างน้อยก็ความจริงครึ่งหนึ่ง

“ไม่เห็นพี่ต๋อยบอกพิมสักคำ” พิมพ์ลภัสเอ่ยหน้ายุ่ง

“ทำไมเหรอคะ...พี่แค่อยากทำบุญด้วยคน รังเกียจพี่จนไม่อยากสร้างบุญร่วมกันเชียว ขัดคนทำบุญทำกุศลมันเป็นบาปนะคะ...พิมไม่รู้รึไง” ท้ายประโยคภีรมัตเอียงหน้ามากระซิบข้างหูสาวน้อย

ภีรมัตเข้ามาช่วยต๋อยแก้สถานการณ์ หลังจากเฝ้าดูอยู่พักหนึ่ง ต๋อยถึงกับถอนใจโล่งอกไปที เพราะกำลังจะจนมุมอยู่แล้วเชียว

พิมพ์ลภัสมองคนตัวสูงเรียบนิ่ง ไม่แสดงอาการใดๆ หงุดหงิดในใจนิดหน่อย ทว่าใบหน้าหล่อเหลากลับเลิกคิ้วอมยิ้มมุมปากกวนอารมณ์สุดๆที่เอาชนะเธอได้ สาวน้อยมองเขาหน้าหงิก หัวคิ้วตีกันยุ่ง เขาเนี่ยนะอยากทำบุญร่วมกับเธอ

...ถ้างั้นขอให้ผลบุญที่ทำร่วมกันส่งผลชาตินี้เลยได้มั้ย อย่าต้องสะสมยอดไปใช้ถึงชาติหน้าเลย สาธุ!

“พิมพร้อมแล้วค่ะ” เธอหันมาบอกต๋อยสีหน้าเซ็งๆ พร้อมทั้งมองพี่ชายต่างสายเลือดตาเขียวขุ่น ทว่าภีรมัตกลับยิ้มพราวกลับมาแทน

....แล้วแบบนี้...เมื่อไหร่เธอถึงจะทำใจยอมรับให้เขาเป็นแค่พี่ชายได้ซะที ภีรมัตช่างไม่เข้าใจเลย

--------------------------------------------------------------------************----------------------------------------------------------------

ผ่านไปสองสามชุดแรก ก็สนุกดีอยู่หรอก เธอพยายามทำเต็มที่เพื่อให้ถ่ายเสร็จเร็วๆ ทว่าพี่ชายสุดหล่อของเธอนี่สิ ปัญหาเยอะจริงๆ ยิ่งถ่ายใกล้เสร็จ ยิ่งเรื่องเยอะไม่รู้อะไรนักหนา เดี๋ยวซับหน้าเดี๋ยวเติมแป้งทั้งที่พอไปนั่งก็ไม่เห็นจะได้แต่งได้เติมอะไรอย่างที่ร้องขอ เข้าห้องน้ำก็บ่อยสุดๆ เป็นโรคชำรั่วรึไงกัน พิมพ์ลภัสตวัดสายตามองตามร่างสูง ซึ่งกำลังเดินหายไปทางห้องน้ำ

ภีรมัตพยายามถ่วงเวลาให้ได้นานที่สุด ทีมงานทุกคนรู้ดีว่าปกติแล้วเขาไม่ใช่คนเรื่องมากอะไร ทว่าหนนี้ออกจะแปลกๆอยู่บ้าง แต่บอกอใหญ่อย่างต๋อยได้แจ้งต่อทุกคนแล้วว่ามีเหตุผลส่วนตัวบางอย่าง ซึ่งไม่สามารถบอกให้ทุกคนทราบได้ เพียงขอให้ทุกคนเข้าใจและทำตามที่สั่งเป็นพอ ซึ่งทีมงานทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ไม่ได้หงุดหงิดรำคาญใจ แต่กลับเห็นเป็นเรื่องสนุกชวนขำซะมากกว่า เวลาที่พระเอกคนดังกำลังเกี้ยวสาวโดยไม่รู้ตัว เห็นจะมีแต่สาวเจ้ากระมังที่หน้าตึงบึ้งตลอดเวลา

แม้ว่าล่วงผ่านมาจนใกล้จะถึงเซตสุดท้ายแล้ว เขาก็ยังไม่รู้จะเริ่มต้นกับเรื่องนี้ยังไงจึงถ่วงเวลาไปเรื่อย

“พี่ต๋อยเรื่องที่ผมขอ อย่าลืมนะ” ภีรมัตกลับเข้ามาในสตูดิโออีกครั้ง เอียงหน้ากระซิบกำชับถึงแผนที่วางไว้กับต๋อย

ต๋อยพยักหน้ารับยิ้มๆ แม้จะไม่เข้าใจกับสิ่งที่ภีรมัตขอให้ช่วยก็ตาม..อีกทั้งภีรมัตก็มีอาการแปลกๆดูคึกคักเป็นพิเศษตลอดเวลาที่ทำงาน มันชวนสงสัยจนคับอก แต่ยังไม่มีช่องว่างให้ถามได้จึงเล่นตามเกมส์ที่ภีรมัตขอไปก่อน กะว่างานเลิกเมื่อไหร่มีซักกันเละแน่ๆ ทว่าตอนนี้ขอข้อแรกก่อนแล้วกัน

“เฮ้ย! ภีม ที่ให้ช่วยปล่อยลมยางรถพี่ยังพอเข้าใจ แต่ที่ขอให้เซตภาพคู่แบบ...แนบชิดมากๆเนี่ย..ยังไงวะ ” ต๋อยไม่เข้าใจสิ่งที่ภีรมัตกำลังทำ

เขาชะงักไปนิด เมื่อเจอคำถามตรงๆจากต๋อย อีกทั้งไม่คิดว่าต๋อยจะอยากรู้ ภีรมัตไม่โกรธ แค่ตกใจมากกว่า เพราะสิ่งที่ทำอยู่ตัวเขาก็ไม่ได้คิดถึงเหตุผลเช่นกันว่าเพราะอะไร

...ทำไมถึงอยากอยู่ใกล้พิมพ์ลภัสเหรอ อาจเพราะหลายวันที่ผ่านมา...สาวน้อยเอาแต่หลบหน้าหลบตาอย่างเดียว ยอมรับส่วนหนึ่งกลัวสายสัมพันธ์ที่มีมาตั้งแต่เด็กจะขาดหายไป ส่วนเหตุผลอื่นเขาไม่ทันได้นึก จึงเพียงยิ้มแทนคำตอบเท่านั้น เพราะตัวเขาเองก็ยังไม่ได้หาคำตอบเช่นกัน

ภีรมัตเดินกลับไปเข้าเฟรมอีกครั้งตามเสียงเรียกของช่างภาพ ขณะที่พิมพ์ลภัสก็เปลี่ยนชุดต่อไปออกมาพอดี

“เดี๋ยวน้องพิมยืนเอียงสี่สิบห้าองศาหันมาทางผมนะครับ” เสียงช่างภาพกำกับ ”คุณภีมครับช่วยยืนซ้อนหลังแล้วโอบเบาๆวางมือซ้อนบนมือน้องพิมด้วยครับ” ตากล้องคนเดิมสั่งอีกครั้ง

เอาแล้วไหมล่ะ! พิมพ์ลภัสคิด ก่อนหน้านั้นสองสามชุดยังพอตั้งรับไหว แค่เฉียดกายใกล้กันบ้างใจก็สั่นเกินต้านทานแล้ว แต่นี่..ยังสั่งให้ใกล้กว่านี้อีก หัวใจจะวายนะรู้มั้ย พิมพ์ลภัสมองตากล้องอึ้งๆกับคำสั่งใหม่ที่เพิ่งได้ยินสลับกับมองภีรมัต เขายังยิ้มรื่นเป็นปกติ ใช่สิ!ก็เขาเป็นดารานี่ งานแบบนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาอยู่แล้ว แต่มันเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเธอเพราะการอยู่ใกล้ชิดกับภีรมัตไม่เป็นผลดีต่อหัวใจเธอแน่ๆ

“น้องพิมครับ” เสียงช่างภาพคนเดิมเรียกเธออีกครั้ง คล้ายกับเป็นการสั่งกลายๆ หลังจากที่เธอเอาแต่ยืนนิ่งอึ้งเสียนาน พิมพ์ลภัสขยับตัวนิด อึดอัดใจที่ต้องทำตามคำสั่งช่างภาพ ถ้าคนที่ต้องโอบกอดเธออยู่ในขณะนี้เป็นคนอื่น เธอยังพอสั่งสมองให้คิดเป็นเรื่องงานอย่างเดียวได้ แต่..เพราะเป็นภีรมัต ซึ่งมีอิทธิพลต่อหัวใจเธออย่างมากซะด้วย มันจึงประหม่า

ทว่าก็จำต้องทำตามที่ช่างภาพบอก ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้งหลังจากเพิ่งข่มอาการให้เป็นปกติได้ไม่นาน มือไม้เย็นลง ทีมงานนำพวงมาลัยดอกมะลิสดหอมกรุ่นส่งให้เธอ ทีมงานคนนั้นยิ้มให้เธอหลังจากสัมผัสโดนมือบางเพียงนิดและรู้ว่ามันเย็นเฉียบ

เสียงฝีเท้าหนักๆขยับเข้าใกล้จากด้านหลัง ลมหายใจอุ่นๆรินรดผิวเนียนบริเวณไล่เปลือย เธอพยายามไม่หันไปมองยามที่มือหนาค่อยๆเคลื่อนช้าๆไล้เรื่อยหยุดบนมือเธอประคองไว้ทั้งสองข้าง สายตาอมยิ้มจากทีมงานทำให้เธอเขินอายและประหม่า มือเธอสั่นและเย็นเยือก

ยิ่งรอยยิ้มล้อเลียนจากทีมงานผุดขึ้นมาให้เห็นเป็นระยะๆ เธอก็ยิ่งเขิน แต่สายตาของเพียงอรนี่สิ!ที่ทำให้เธอหมั่นไส้กว่าใคร เพราะเพื่อนคนนี้รู้อะไรมากมายกว่านั้น สายตาล้อเลียนรู้ทันจากเพียงอรจึงทำให้เธอหงุดหงิดได้มากกว่าทุกคน

“คุณภีมครับ ใกล้เข้าไปอีกนิดให้ชิดเลยครับ” เสียงช่างภาพคนเดิมดังขึ้นมาอีก เธอชักเริ่มจะโกรธช่างภาพซะแล้วสิพิมพ์ลภัสหน้าเครียดขึงขึ้นมานิด แผงอกหนาแนบเข้าใกล้กระทั้งทาบทับมาทั้งตัวจนชิดชนิดหาช่องว่างไม่ได้ พิมพ์ลภัสถึงกับสะดุ้งเพราะไม่ทันได้ตั้งตัวเตรียมใจ

“ดีครับ..สวยครับ” เสียงช่างภาพคนเดิมแสดงความพึงพอใจ “น้องพิมช่วยยิ้มหวานๆหน่อยครับ”
พิมพ์ลภัสทำตามที่บอกอย่างว่าง่าย เพราะเลี่ยงไม่ได้แล้วต่างหาก

“มือเย็นเฉียบเชียวพิม...ยังไม่หายตื่นเต้นเหรอไง เราถ่ายด้วยกันตั้งหลายชุดแล้วนะ” เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบใกล้หู ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดข้างแก้มเฉียดไปมา ส่งให้เธอหายใจไม่ทั่วท้องจนน่าโมโห เนื้อตัวเริ่มร้อน หัวใจระรัวเต้นแรง จนเกรงว่า เขาจะได้ยิน เธอนึกพาลก่นด่าคนกอดในใจ ไม่พูดจะดีกว่ามั้ยภีรมัต

ภีรมัตมองผิวสีน้ำผึ้งนวลจากด้านหลัง แก้มเนียนอมชมพูระเรื่อเริ่มแดงลามเลียจนถึงต้นคออย่างเห็นได้ชัด ปากหยักผุดรอยยิ้มพึงใจอย่างลืมตัว แม้สาวน้อยในอ้อมกอดจะเกร็งตัวตลอดเวลาก็ตามที กลับยิ่งทำให้เขานึกอยากแกล้ง เดิมทีสองแขนประคองเอาไว้เพียงหลวมๆ ทว่าตอนนี้กลับกระชับแน่นขึ้นจนกลายเป็นกอดสนิท ร่างสูงแนบไปกับแผ่นหลังนุ่มทุกสัดส่วนจนเธอสะดุ้งขืนตัวตามสัญชาตญาณ

“ดูสิ...มือเย็นตัวเย็นหมดเลย” เขาเอ่ยแผ่วเบาข้างแก้มเนียน กระชับอ้อมกอดขึ้นอีก

พิมพ์ลภัสหันมามองเขาหน้าตาตื่น คิ้วขมวดยุ่ง ทว่ากลับพบกับสายตาพราวระยับยิ้มได้แทน ริมฝีปากหยักอมยิ้มตลอดเวลาอีกเล่าที่ทำให้ใจเต้นแรง เธอไม่เคยเห็นสายตาแบบนี้จากเขา กระนั้นก็ไม่อาจคิดเข้าข้างตัวเอง แต่ถ้าพิมพ์ลภัสสังเกตสักนิดจะรู้ว่าตอนนี้หัวใจเขาก็เต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นเช่นกัน แม้แต่ภีรมัตก็ไม่ทันได้สังเกตหัวใจตัวเอง

“ดีครับ..ท่านี้เลย ค้างไว้” เสียงช่างภาพกำกับแทรกเข้ามา กลายเป็นว่าเธอและเขาต้องนิ่งสบตากันระยะลมหายใจเป่ารดกันและกันพอดี ทั้งคู่สานสบสายตากันนิ่งระยะใกล้ พิมพ์ลภัสทั้งมึนงง ทั้งประหลาดใจกับการกระทำของเขา ทั้งเคืองขุ่นที่เขาแกล้งเธอ ทว่าภีรมัตก็อมยิ้มพราวอย่างเดียวจนน่าหมั่นไส้

“ปล่อยตัวตามสบาย..ถ่ายกับพี่จะเกร็งทำไมกัน” เสียงทุ้มเอ่ยวาจาเรียบรื่น ทว่าดวงตาคู่คมกลับไม่รื่นเรียบดั่งวาจา มันทำให้เธอคล้ายจะจับไข้

พิมพ์ลภัสมองสบดวงตาสีนิลพราวระยับนั่นเคืองๆ นึกโมโหที่เขาตีหน้าตายถามกัน ที่เป็นอยู่ตอนนี้...ก็เพราะเขานั่นแหละ สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายใจให้กับเธอ ยังจะยิ้มรื่นอยู่ได้

ครู่ต่อมาช่างภาพตัวแสบก็สั่งให้เธอยิ้มหวานส่งให้เขาอีก ลมหายใจเธอขาดห้วงเพราะความใกล้ชิด เสียงหัวใจเต้นแรงจนแทบกระโดดออกมานอกอก จู่ๆก็รู้สึกคล้ายจะหน้ามืดเป็นลม

“ขอโทษคะ...พิมขอพักหน่อย” เธอหันไปบอกกับทีมงาน ไม่ไหวแล้วจริงๆหัวใจจะวายขอพักตั้งหลักหน่อยเถอะ จึงหันมาเอ่ยกับเขาบ้าง เพราะมือหนายังกอดเอวเธอแน่น แม้ต๋อยจะอนุญาตแล้วก็ตาม “ปล่อยได้แล้วค่ะ”

ภีรมัตจำต้องคลายมือจากร่างบางหอมกรุ่น นึกกระดากที่กอดเธอซะนาน เพลินจนไม่ได้ยินเสียงต๋อย เขายิ้มเก้อๆให้ทุกคน พอเป็นอิสระพิมพ์ลภัสก็ตรงรี่เข้ามาฉุดแขนเพื่อนสาวคนสนิทเต็มแรง กึ่งลากกึ่งจูงเข้าหลังฉากกั้นหน้าห้องแต่งตัว เหลียวมองรอบกายเห็นว่าไม่มีใครสนใจก็เตรียมจะเล่นงานทันที

“ฮั่นแน่...แกเขินใช่มั้ยล่ะ” เพียงอรเอ่ยแซวขึ้นมาก่อนที่พิมพ์ลภัสจะอ้าปาก

“อย่ามาทำเป็นแซว ฉันยังไม่ได้จัดการแกเลยนะ” พิมพ์ลภัสชี้คาดโทษ

“เฮ้ย!ถ้าหมายถึงเรื่องพี่ภีมล่ะก็...ผิดคนแล้วล่ะ ฉันไม่รู้จริงๆ พี่ต๋อยไม่ได้บอกอะไรเลย” เพียงอรส่ายหน้าดิกตอบตาใสซื่อ ทว่าพิมพ์ลภัสกลับไม่เชื่อง่ายๆ ยังคงส่งสายตาคาดคั้นอยู่เนืองๆ

...จะให้เชื่อว่าเพียงอรไม่รู้เรื่องเนี่ยนะ ฟ้าถล่มฝนแล้งสิ! เพื่อนเธอมือขวาของพี่ต๋อยก็ว่าได้

“ความสัตย์จริงแก..” เพียงอรทำท่าชูสามนิ้วรับรองด้วยเกียรติลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่แบบที่เคยเรียนสมัยอยู่มัธยมต้น
พิมพ์ลภัสเริ่มใจอ่อนตามเคย ก่อนจะทิ้งก้นนั่งบนเก้าอี้แรงๆแบบเด็กเอาแต่ใจแล้วบ่นกระปอดกระแปด

“ฉันไม่ถ่ายต่อได้มั้ยวะ...”

“ได้ไงล่ะ...ถ้าหนีตอนนี้ฉันเน่าแน่ไอ้พิม”.เพียงอรมองหน้าพิมพ์ลภัสซึ่งตอนนี้บูดบึ้งงอง้ำ นึกอยากขัน ทว่าต้องกลั้นไว้ "แกกลัวอะไรวะ..หนีแบบนี้มันเหมือนไม่ใช่แกเลยนะเว้ย!พิม”

“ก็ฉันไม่ไหวแล้วนี่ หัวใจมันเต้นแรงจนแทบจะออกมาวิ่งข้างนอกอยู่แล้ว ขืนถ่ายต่อ พี่ภีมต้องได้ยินแน่ๆ” พิมพ์ลภัสเผยความรู้สึกครั้งแรก เพียงอรถึงกับปล่อยหัวเราะพรืดเสียงดัง

“ที่แท้ก็ใจสั่นนี่เอง...เขินใช่มั้ยล่ะ” เพียงอรเข้ามากระแซะไหล่เย้าแย่ ทว่าพิมพ์ลภัสกลับตีหน้าตึงส่งมาซะนี่

“ไม่ตลก..” มองมาตาเขียวขุ่น แต่ไม่ได้โกรธจริงจัง

“เอาน่า..อีกสองชุดก็เสร็จแล้ว “ เพียงอรตบบ่าเพื่อนสาวเบาๆปลอบใจ แต่แล้วก็อดแย่อีกไม่ได้ ” แต่จะว่าไป..แกกับพี่ภีมก็ดูเหมาะสมกันดีนะ สวยหล่อพอกัน”

พิมพ์ลภัสทะลึ่งพรวดลุกจากเก้าอี้ถึงตัวเพื่อนสาว ใช้มืออุดปากเพื่อนรักไว้ก่อนที่เพียงอรจะเผลอพูดอะไรออกมามากกว่านี้ เกรงว่าคนรอบข้างจะเดินผ่านมาได้ยินเข้า

“จะเสียงดังให้ได้ยินทั้งกองรึไง” พิมพ์ลภัสถลึงตาใส่เพื่อน เพียงอรอ้าปากเอะอะโวยวายภายใต้ฝ่ามือนุ่มดังอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์อย่างจงใจแกล้งพิมพ์ลภัส ทีมงานผ่านไปผ่านมาต่างยิ้มเอ็นดูให้กับภาพสองสาวที่หยอกล้อกัน ก่อนสไตล์ลิสคนเดิมจะมาแยกออกด้วยการดึงตัวพิมพ์ลภัสให้ไปเปลี่ยนชุด

“ไปเปลี่ยนชุดเถอะค่ะน้องพิม” เจนนี่สไตล์ลิสคุ้นเคยกันดีเรียกเธอ พิมพ์ลภัสหันมาขึงตาใส่เพื่อนอีกครั้งก่อนจะจาก ที่ปากรั่วพูดเสียงดังไม่ดูตาม้าตาเรือ

----------------------------------------------------------------*************---------------------------------------------------------------------

“พี่ต๋อย เรื่องที่ผมขอเรียบร้อยดีนะ” ภีรมัตปรี่เข้ามากระซิบถามถึงแผนที่เตรียมเอาไว้ หลังจากเห็นว่าทีมงานนำตัวพิมพ์ลภัสแยกห่างออกไปแล้ว

“เรียบร้อยดี..ถามหน่อยเถอะภีม นี่มันเรื่องอะไรกัน ทะเลาะกันเหรอ”

“ไม่เชิงหรอกครับ..” เขาไม่รู้ว่าตัวเองคิดถูกรึเปล่า ระหว่างเขากับพิมพ์ลภัสไม่ได้ทะเลาะกัน..มั้ง

“นี่ถ้าเราไม่คบอยู่กับสิตาภา พี่ต้องคิดว่าเธอกำลังตามจีบน้องพิมแน่ๆ” ต๋อยเอ่ยตามที่คิด คนฟังถึงกับสะดุดกึกยิ้มแก้เก้อไปโดยปริยาย

“ไม่ใช่หรอกครับ ผมเห็นพิมตั้งแต่ตัวแดงๆจะคิดแบบนั้นได้ไง” เขาแย้งขันๆ เห็นข้อสันนิษฐานของต๋อยเป็นเรื่องตลก

“ฮึ!คนละสายเลือดไม่ใช่เหรอ พี่ว่าภีมกำลังสับสนอยู่รึเปล่า”

“สับสน..” ภีรมัตทวนคำเสียงสูง หัวเราะหึๆในลำคอ ”ผมเนี่ยนะสับสน พี่ต๋อยกำลังเข้าใจผิดต่างหาก”
ต๋อยสืบเท้าเข้าใกล้ภีรมัตอีกนิด ก่อนจะเอ่ยสีหน้าจริงจัง

“พี่เห็นมาเยอะนะ พวกที่หลงทางไม่รู้ความรู้สึกตัวเองแบบเรา มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ" ต๋อยเงียบไปนิดเมื่อเห็นว่าภีรมัตมีท่าทีนิ่งอึ้งไป แล้วจึงพูดต่อ

"ลองดูหัวใจตัวเองดีๆ ถามมันดู ที่เป็นอยู่ตอนนี้..มันคืออะไร” ต๋อยตบบ่าชายหนุ่มสองสามครั้งเบาๆอย่างต้องการเตือนสติ แล้วจึงแยกตัวออกมาปลุกระดมทีมงานให้เริ่มถ่ายเซ็ตสุดท้าย

-----------------------------------------------------------------*************-------------------------------------------------------------------

ชุดสุดท้ายแล้ว ทำไมถึงถ่ายซ่อมบ่อยนักนะ พิมพ์ลภัสคิด ตัวร้อนวูบวาบจนแทบจะลุกเป็นไฟอยู่แล้วเพราะความหวั่นไหว ยิ่งใกล้เขาความประหม่ารังแต่จะเพิ่มขึ้น ไม่ได้ชินเลยจนนิดเดียว จากที่เขินอายกลายเป็นโกรธพ่อพระเอกซะนี่

“ภาพสุดท้ายแล้วครับ ขอถ่ายเผื่อเสียอีกภาพนะครับ” ช่างภาพคนเดิมแจ้งต่อเธอ คงเห็นสีหน้าลำบากยุ่งยากใจของเธอละมั้ง เว้นเพียงอรที่หัวเราะยิ้มล้อเธออยู่ตลอดเวลา

“ใกล้เข้าไปอีกนิดได้มั้ยครับ..”

เสียงช่างภาพสั่งให้ทั้งคู่หันมาสบตากันแบบกระชันชิด จะให้ใกล้ไปถึงไหนเนี่ย!

ฝีเท้าหนักๆขยับเข้ามาอีกสองก้าว มือหน้าโอบรอบเอวบางก่อนจะกอดกระชับอย่างจงใจแกล้งเธอ แล้วค่อยๆโน้มใบหน้าเข้าหาสาวน้อย ขณะที่พิมพ์ลภัสเป็นฝ่ายกระถดตัวหนีทั้งที่ไม่มีทางหนีพ้น

“น้องพิมครับ ยิ่งหนีจะยิ่งช้านะครับ” ช่างภาพคนเดิมสำทับอีก

เธออยากออกไปรับอากาศ แต่ฝ่ามือหนาดันหลังเธอไว้ไม่ให้ขยับหนี แข็งดั่งลวดเหล็กที่รัดเธอเอาไว้ซะแน่น ขยับไปไหนไม่ได้ ยิ่งยามที่ใบหน้าหล่อเหลาโน้มต่ำลงจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ เธอถึงกับต้องหลับตาปี๋ไม่กล้ามอง กลั้นลมหายใจไปชั่วขณะ

ภีรมัตนึกเอ็นดู ที่บัดนี้ใบหน้าเนียนเกิดซับสีเลือดฝาดเต็มพวงแก้มจนแดงปลั่งไปทั้งตัว จนต้องอมยิ้มพราว แววตาระยับกรุ่มกริ่มตามวิสัยชายหนุ่มที่พบคนถูกใจ เธอพลาดโอกาสที่จะได้เห็นมันอีกแล้ว

“พิมกลั้นลมหายใจทำไมคะ” เขาเอ่ยกระชั้นชิด ลมหายใจอุ่นๆจากปากหยักทำให้เธอขนลุก จึงรีบลืมตาขึ้นมองเป็นจังหวะเดียวกับที่ภีรมัตกระชับสองแขนให้ร่างบางแนบเข้าหาเขายิ่งขึ้น ขณะที่เธอลืมขืนตัว ส่งให้ร่างบางซึ่งมัวคิดเตลิดกับลมอุ่นๆจากริมฝีปากหยักขยับตามแรงกระชับของเขา ปลายจมูกรั้นของเธอสัมผัสกับจมูกโด่งเข้าพอดีแบบที่เขาจงใจให้เป็น

“โอเค ค้างไว้..ดีครับ” เสียงช่างภาพกำกับมาอีกที ทุกคนในสตูดิโอต่างอมยิ้มให้กับภาพชวนเคลิ้มนั้น มันหวานซะจนทุกคนอินไปตามๆกัน

ภีรมัตใจเต้นแรงเป็นครั้งแรกในชีวิต กลิ่นหอมจากกายสาวกำลังดึงดูดให้เขาเข้าหา แววหวานเชื่อมในแบบที่ไม่เคยมีให้เห็นแสดงออกเป็นครั้งแรกโดยที่เจ้าตัวก็ไม่ได้เก็บความรู้สึก

“แล้วมันยังบอกว่าไม่คิดอะไร” ต๋อยอดรำพันไม่ได้ จากนั้นความหมั่นไส้ก็แล่นขึ้นมาแทนที่ ”โอเค.เลิกกองได้” ต๋อยตะโกนสั่งเสียงดัง

“ปล่อยได้แล้วค่ะ ถ่ายเสร็จแล้ว” พิมพ์ลภัสเอ่ยเสียงสั่นแปร่งในอ้อมกอดเขา เธอไม่แน่ใจสายตาแพรวพราวที่เห็นเมื่อครู่ ของจริงหรือตาฝาด

ภีรมัตจำต้องปล่อยเธอให้เป็นอิสระทั้งที่ไม่อยากทำ เขาสูดหายใจเข้าปอดลึกๆระงับอารมณ์พุ่งพล่านภายในกายให้กลับสู่สภาวะปกติ พิมพ์ลภัสหายเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนั่นแหล่ะ จึงหันมาเจอเข้ากับสายตาจับผิดจากต๋อย เขายิ้มนิดก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ


-----------------------------------------------------------***************-----------------------------------------------------------------

สิตาภากลับจากการเดินแฟชั่นโชว์ที่สิงคโปร์ก่อนกำหนดหนึ่งวัน เพราะงานที่รับไว้เลื่อนเร็วขึ้น ดีหน่อยที่เธอมีไบรอันร่วมเดินแฟชั่นโชว์ครั้งนี้ด้วย ไม่งั้นคงเบื่อและวีนเจ้าของงานแน่ที่ไม่ยอมแจ้งล่วงหน้า ทำให้เสียเวลาที่ตั้งใจจะมาหาความสุขกับไบรอันหายไปอีกหนึ่งวัน

ทีแรกเธอตั้งใจจะอยู่ต่ออีกหนึ่งอาทิตย์ แต่ไบรอันมีงานรออยู่ที่กรุงเทพฯ ต้องจำใจกลับมาอย่างเซ็งๆ ไหนๆก็กลับมาแล้ว อารมณ์ค้างซึ่งยังไม่ได้ระบายทำให้นึกถึงภีรมัต ยังไงซะวันนี้เธอจะต้องดึงตัวเขาให้ค้างด้วยกันที่คอนโด หลังจากผลัดมาเกือบสามเดือนโดยยกเหตุผลมากมายมาอ้างตลอดเวลา คิดจะทิ้งเธอรึ!ไม่ง่ายนักหรอก

สิตาภาจอดรถยนต์คันหรูเทียบเคียงกับรถของภีรมัต เธอรู้จากสาวใช้ที่บ้านว่าภีรมัตออกมาข้างนอกทั้งที่วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน การตามหาตัวเขาไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอ แต่ที่ชวนให้อารมณ์ขึ้นเพราะรู้ว่าเขามารับงานการกุศลต่างหาก

ร่างบางสวยเฉี่ยวเป๊ะทุกสัดส่วนก้าวลงจากรถ เดินนวยนาดเข้ามาภายในสตูดิโออย่างไม่เกรงใจใคร เพราะปกติเธอไม่เคยต้องแคร์คนรอบข้างอยู่แล้ว ฉะนั้นตอนนี้ทุกคนจึงเปรียบเสมือนฝุ่นละอองในสายตาเธอ

“ภีมคะ..” เสียงแหลมของสิตาภาดังแทรกมาแต่ไกล

ต๋อยนึกสมน้ำหน้าพระเอกเนื้อทองในขณะที่ภีรมัตกลับมีสีหน้าอึดอัดใจเต็มที ส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาถึงต๋อย แต่ต๋อยกลับเฉย นึกอยากแกล้งคนที่ไม่รู้ใจตัวเอง จึงทำเป็นมองไม่เห็นเดินเลี่ยงไปทางอื่นแทน โชคดีที่ถ่ายเสร็จก่อนหน้านางแบบจอมเหวี่ยงจะมาถึง ไม่งั้น...ถ้าเห็นช็อตเด็ดล่ะยุ่งตายชัก

“คุณรู้ได้ไงว่าผมอยู่ที่นี่..” เขาถามด้วยความแปลกใจ

ความจริงวันนี้เป็นวันหยุดเขา พอต๋อยเล่าให้ฟังว่าพิมพ์ลภัสมาถ่ายหนังสือเวดดิ้ง เขาก็รีบอาสาเป็นนายแบบการกุศลให้ทันที ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่เรื่อง

“ไม่มีอะไรเกี่ยวกับคุณแล้วสิตาจะไม่รู้ คุณมาทำอะไรที่นี่ วันนี้วันหยุดคุณไม่ใช่เหรอคะ” สิตาภากระแทกเสียงใส่เขาหน้าตึง เธอพอจะรู้ว่าวันนี้ ก้อง รัชพลและพิมพ์ลภัสเป็นนางแบบให้หนังสือต๋อย แต่ไม่เห็นเหตุผลที่ภีรมัตมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เว้นซะแต่ว่าลางสังหรณ์ของเธอจะเริ่มมีเค้าลางทะแม่งๆ

“พอดีพี่ต๋อยชวนผมมาถ่ายหนังสือ” ชื่อของต๋อยเป็นข้ออ้างที่ทำให้สิตาภาเงียบปากได้ดีที่สุด

“ใช่ โปรเจ็คนี้สำหรับคนใจบุญ” ต๋อยเอ่ยพร้อมเหน็บนางแบบสาวไปในคราวเดียวหลังจากเดินย้อนกลับมาอีกครั้ง

“อะไรกันคะภีม รายได้การกุศลเหรอ” นางแบบสาวถามเสียงสูงปรี๊ด ภีรมัตยิ้มรับ

“ไม่ได้นะคะ ทำแบบนี้เสียเกรดพระเอกอันดับหนึ่งแย่ เหนื่อยฟรีด้วย คราวหลังคุณอย่ารับงานแบบนี้อีกนะคะ สิตาไม่เห็นด้วย เสียเวลาเปล่าๆ “ เธอโวยวายราวกับว่าเป็นตัวเอง ภีรมัตจำต้องกล่าวตัดบทซะเอง

“ผมอาสาเอง ขอตัวไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ” เขาเอือมระอากับนิสัยวีนๆเหวี่ยงๆของแฟนสาวเต็มที ยิ่งนานวันสิตาภายิ่งแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา ลำพังแค่วีนเหวี่ยงยังปรับปรุงกันได้ แต่นิสัยที่ชอบดูถูกทุกสิ่งนี่สิ!คงจะแก้กันยาก

---------------------------------------------------------------------------************-----------------------------------------------------------

เพียงอรชะงักเท้าหลังออกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วพบร่างเพรียวเฉิดฉายของสิตาภานั่งไขว่ห้างรออยู่ด้านนอก เธอไม่ชอบท่าทางหยิ่งยโสของสิตาภาจึงไม่คิดที่จะเผชิญหน้าด้วย ตั้งท่าจะถอยหลังกลับ ทว่ามือหนาของใครบางคนที่แตะหัวไหล่เธอเพื่อรั้งไว้

“อ้าว! พี่ภีม “ ภีรมัตถือวิสาสะดึงแขนเพียงอรหลบเข้าหลังฉากให้พ้นระยะสายตาแฟนสาว จุ๊ปากให้เพียงอรเงียบไว้
"ทำไมต้องทำลับๆล่อๆด้วยคะ” นึกสงสัย

“ช่วยอะไรพี่หน่อยได้มั้ย” เขาเอ่ย เพียงอรนิ่วหน้างง ก่อนที่ภีรมัตจะก้มกระซิบบางอย่างข้างหูเธอ สาวตาคมยิ้มกว้างนึกขันกับแผนการของภีรมัต ที่แท้ก็วางแผนหนีแฟน เธอเห็นว่าน่าสนุกจึงยอมร่วมมือด้วย อยากจะดูสีหน้าสิตาภาเหมือนกัน คงจะวีนแตกเลยล่ะมั้ง

“ได้ค่ะ สบายมาก” เธอรับปาก

“ขอบใจนะ” เอ่ยจบภีรมัตก็แทรกตัวเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยไม่ลืมเคาะให้สัญญาณผู้ที่อยู่ข้างในก่อน

“พี่ภีม เข้ามาทำอะไรคะ” พิมพ์ลภัสเอ่ยเสียงเขียวสีหน้ายุ่งยากแสดงออกชัดว่าไม่พอใจ

“อย่าเสียงดังสิ..นี่พิมจะกลับแล้วใช่มั้ย ” เขามองสำรวจเห็นว่าเธอเปลี่ยนชุดเรียบร้อยดีจึงเดาเอาเอง


--------------------------------------------------------------*********--------------------------------------------------------------------------

“อะไรนะ ภีมกลับไปแล้ว” สิตาภากระเด้งตัวลุกจากเก้าอี้โวยเสียงดังลั่น สายตามองจิกเพียงอรไม่ยอมเชื่อ
"จะเป็นไปได้ไง ฉันนั่งอยู่ตรงนี้ตลอดเวลา แกอย่ามาโกหกดีกว่า เขาจะออกไปทางไหนได้” สิตาภามองรอบด้าน เธอรู้ว่าสตูดิโอนี้มีทางเข้าออกเพียงทางเดียว เธอเคยมาที่นี่ออกบ่อยไป

“นี่เป็นแผนของพิมพ์ลภัสใช่ม๊ะ ฉันรู้ว่าวันนี้พิมพ์ลภัสเป็นนางแบบที่นี่ แกเป็นเพื่อนกัน วางแผนให้ภีมกับนังเด็กข้างบ้านได้อยู่ด้วยกันใช่มั้ย! บอกฉันมา ” สมองฉุกคิดขึ้นมาได้ เธอแผดเสียงก้อง ไม่ได้สนใจใครแม้แต่ต๋อยซึ่งยืนหราอยู่ตรงนั้น

ต๋อยรวมทั้งทีมงานมองสิตาภาด้วยความเอือมระอากับนิสัยจอมเหวี่ยงขี้วีน ต่างส่ายหน้าไปตามๆกันไม่มีใครอยากเข้ามายุ่ง ก่อนจะหันกลับไปสนใจงานในมือต่อปล่อยให้สิตาภาโวยวายตามสบาย

“ไหน.. ภีมเปลี่ยนเสื้อผ้าห้องนี้ใช่มั้ย!” เธอแผดเสียงอีกครั้ง

“ถ้าคุณไม่เชื่อ อยากจะเข้าไปดูก็ตามใจ ” เพียงอรทำหน้ายียวนกวนโมโหใส่ แล้วก็เลี่ยงออกมาไม่อยากทนฟังเสียงสิตาภาให้ปวดแก้วหู

คล้อยหลังเพียงอรนิดเดียว สิตาภาก็ตรงเปิดประตูห้องที่ภีรมัตหายเข้าไปก่อนหน้านี้ เพียงอรรอดูจนแน่ใจว่าสิตาภาหลงกลเธอกับภีรมัตแน่แล้ว เจ้าตัวก็รีบวิ่งแจ้นมาปิดประตูลงกลอนจากด้านนอกขังนางแบบสาวให้ร้องโวยวายอยู่ข้างใน ก่อนจะถอยออกมายืนกอดอกพอใจในผลงานตัวเอง แวบนึงจึงคิดขึ้นได้ว่าต้องรีบไปแจ้งต่อภีรมัตว่าแผนที่วางไว้..สำเร็จ

ทันทีที่พียงอรกระซิบอะไรบางอย่างกับเขา พระเอกหนุ่มก็คว้าข้อมือบางไม่สนใจว่าคนข้างกายจะขัดขืนเพียงใด เดินลิ่วๆออกจากห้องแต่งตัวโดยเร็วเหมือนกำลังหนีอะไรบางอย่าง

“นี่มันอะไรกันคะ พี่ภีม” พิมพ์ลภัสพยายามสะบัดข้อมือให้หลุด แต่ไม่สำเร็จ เธอได้ยินเสียงตะโกนลั่นกราดเกรี้ยวเรียกภีรมัตซึ่งคล้ายเสียงสิตาภา แต่ภีรมัตกลับไม่หยุดฟังลากเธอผ่านสายตานับสิบคู่ออกจากสตูดิโอ

“ใครอยู่ข้างนอกเปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้ นังเด็กบ้าอย่าให้ฉันออกไปได้นะแกโดนดีแน่ นังเพียงอร” เธอเริ่มหัวเสียทั้งร้องขอความช่วยเหลือ ทั้งด่าขู่ผู้ที่อยู่ข้างนอกสลับกันวุ่น กระนั้นกลับไม่มีใครอยากเข้าไปช่วยเธอ เพียงอรกับต๋อยสบตากันแล้วแหงนหน้าหัวเราะลั่นท้องคัดท้องแข็ง


-----------------------------------------------------------*******************-----------------------------------------------------------------
แม้จะยุ่งจนแทบไม่มีเวลาทานข้าว แต่ก็ยังปลีกเวลาลงนิยายจนได้ ไม่กล้าดองนานค่ะ เพราะกลัวไม่มีใครอ่านเลยต้องแอบลงเรื่อยๆค่ะ

สุดท้าย...ตอบคอมเม้นค่ะ

คุณร้อยวจีค่ะ...เรื่องเศร้ายังไม่จบค่ะ

คุณZia...ยินดีต้นรับสู่อาณาจักร...รจนาไฉนค่าา

คุณกาสะลองพลัดถิ่น

ในความเป็นเพื่่อนระหว่างเพียงอรกับพิมพ์ลภัส แม้จะเป็นเพื่อนรักกัน แต่บางเรื่องก็ยังต้องเป็นความลับค่ะ (อธิบายนะคะ) ปูกำหนดให้ตัวละครทั้งสองเป็นแบบนั้นค่ะ

สุดท้าย....เอาใจช่วยพิมพ์ลภัสกันต่อนะคะ


BY..รจนาไฉน









รจนาไฉน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.พ. 2558, 15:33:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.พ. 2558, 13:59:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1405





<< บทที่21 ยิ่งรักยิ่งเจ็บ (ตอนจบ)   บทที่ 24 ความลับไม่มีในโลก >>
Zia 10 ก.พ. 2558, 15:59:40 น.
มารายงานตัวค่ะ ชอบๆๆ สนุกๆๆ เมื่อไหร่พี่ภีมจะรู้ตัว~


ร้อยวจี 10 ก.พ. 2558, 16:48:03 น.
งานนี้ถ้าพิมโดนตบอีก ภีรมัตจะอยู่ฝั่งไหน เรื่องเก่ายังไม่เคลียเลย หาเรื่องให้อีก เกลียดภีรมิต สงสารพิมค่ะ


โอชิน 12 ก.พ. 2558, 08:40:30 น.
สนุกขึ้นเรื่อยๆค่ะ ว่าแต่พี่ภีมจะพาหนูพิมไปไหนน๊า ?


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account