สัญญารักพรางใจ
คิมหันต์ไม่เคยเชื่อเรื่องพรหมบันดาล โชคชะตา ทำบุญร่วมกันมา
เขาเชื่อว่าทุกอย่างอยู่ที่การกระทำ
หากไม่มีเหตุการณ์นั้นเขาจะแต่งงานกับมัทนาเพราะเหตุผลอะไร

Tags: ความรัก สัญญา ความลับ

ตอน: ตอนที่ 7

บ้านของเดชาคงอยู่ใกล้ห้างที่มัทนากับมาติกาเพิ่งมาถึงจริงๆ เพราะพอขึ้นบนไดเลื่อนเดินชิวๆ ไปถึงชั้นสี่ หนุ่มบ้านใกล้ก็มายืนรอ เขาดูเด่นท่ามกลางผู้คนด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่และใบหน้าที่จัดได้ว่าหล่อสาวกรี๊ด มาติกายิ้มใส่ตาเพื่อนแล้วเอียงหน้ามากระซิบบางอย่างทำให้ถูกรัดเอวจนนิ่วหน้า มัทนาถูกตีแขน สองสาวหัวเราะให้กันเสียจนหนุ่มที่ยืนรอใจแป้ว หรือว่ามัทนาจะเป็นทอมจริงๆ
“มาเร็วจังเลยเดช” มัทนาทักทายยิ้มให้ “มาดนี่เดช เดชนี่มาด รู้จักกันแล้ว โอเคได้ตั๋วหนังหรือยัง”
“สวัสดีครับคุณมาด” เดชายิ้มให้มาติกา ถ้าพี่ๆ ในช็อปมาเห็นคนพูดเหมือนๆ กันว่าสวยจนตะลึง ตั๋วหนังที่เพิ่งซื้อมาถูกยื่นให้มัทนา “นี่ไง ได้เวลาเข้าแล้ว ไปเลยแล้วกันนะ”
มัทนาพยักหน้าแล้วกอดคอมาติกาเดินนำไปซื้อน้ำกับป๊อปคอร์นให้ตัวเองและเผื่อเดชาด้วยเมื่อเขาไม่ยอมรับเงินค่าตั๋วหนัง ทั้งสามเดินเข้าไปหาที่นั่งตามที่ระบุไว้ในตั๋ว หนังตัวอย่างเริ่มพอดี สองสาวคุยกันเสียงเบาๆ เดี๋ยวจับมือ เดียวเอียงหน้ากระซิบ เดชาใจแป้วอีกรอบ ทำยังไงถึงจะรู้ว่ามัทนาเป็นทอมหรือว่าไม่เป็นหนอ
หลังดูหนังจบเดชาชวนมัทนากับมาติกาไปหาอะไรกินกัน ร้านปิ้งย่างเลยเหมาะสุด ความสนิทสนมกันของสองสาวอยู่ในสายตาของเดชาตลอด บางทีอาจจะเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากก็ได้ เขายังสังเกตอยู่เงียบๆ ต่อไปจนกระทั่งมาติการับสายแล้วมัทนาแซ็วว่าว่าที่แฟนโทรมาเลยถูกตีแขน เขาค่อยโล่งใจ แค่สองคนนี้สนิทกันมากเท่านั้นเอง คงไม่มีอะไรดับฝันผู้ชายทั้งแท่งอย่างเขากระมัง

วันหยุดผ่านไปอย่างรวดเร็ว มัทนาขับลุงริชาร์ดมาทำงานในเช้าวันพุธ แม้จะเพลียบ้าง แต่ก็สุขใจได้กลับไปชาร์ตพลังที่บ้าน แม้จะวันเดียวก็ตาม วันนี้ต้องส่งรายงานการทำงานครบสี่สิบห้าวันวันเธอจึงเดินมาที่ฝ่ายบุคคล นอกจากส่งรายงานแล้วหัวหน้าฝ่ายยังคุยกับเธอเรื่องโทรศัพท์ที่พนักงานต้องมีเพื่อให้ตามตัวได้ เธอเลยออกมาจากฝ่ายบุคคลพร้อมโทรศัพท์หนึ่งเครื่องเอาไว้ถูกตามงานโดยเฉพาะ
หญิงสาวแวะเข้าห้องน้ำเป็นไปได้ว่าโจ๊กเมื่อเช้าอาจทำพิษ ถึงว่าปวดท้องหน่วงๆ มาสักพักแล้ว ห้องน้ำไม่มีใครตอนที่เธอเข้ามาและเงียบจนกระทั่งมีเสียงรองเท้าส้นสูง เธอไม่ได้สนใจอะไรถ้าจะไม่ได้ยินประเด็นที่น่าจะเกี่ยวกับตัวเองอย่างจัง
“หายไปกับบอสทั้งคืนเลยนะเธอ ยัยนี่แผนสูง ทำเป็นทอมให้น่าสนใจ สุดท้ายก็...”
“สุดท้ายก็อะไร”
นั่นสิ สุดท้ายอะไร คนถูกนินทาอยากรู้เหมือนกัน
“อยากหาเรื่องใกล้บอสน่ะสิ ไปอยู่ในเรือกันสองต่อสองเสียด้วย”
มันเป็นเรื่องสุดวิสัย มัทนาอยากตะโกนออกไปดังๆ แต่เพื่ออะไร สองสาวนั่นคงได้มีเรื่องเมาท์ต่ออย่างสนุกปากน่ะสิ ชกชะนีปากมากนี่บาปหรือเปล่า เธอไม่สนหรอก แต่ไม่อยากเป็นขี้ปากเพิ่ม
“แต่บอสคงไม่ได้สนใจอะไรหรอก ดูเป็นทอมแถมยังมอมแมม เสนอแทบตายก็อด”
สองสาวหัวเราะกันลั่นห้อง มัทนาถอนใจไม่อยากมีเรื่อง อะไรที่ไม่จริง จะไปแลกให้เปลืองตัวเพื่ออะไร เธอได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้น ไม่นานห้องน้ำก็กลับสู่ความเงียบ คนถูกนินทาเปิดประตูออกมาล้างมือล้างหน้าให้ใจเย็นลง เป็นเรื่องจนได้สิน่า ถ้าไม่มีอะไรมากไปกว่าที่ลือ คงเลิกลือไปเอง

วันเสาร์คิมหันต์อยู่บ้านก็จริง แต่ก็ยังทำงานอยู่ดี เมื่อเช้าปู่บอกเขาที่โต๊ะอาหารว่ากำลังสั่งนายหน้าให้ไปซื้อที่ดินแถวๆ บ้านของมัทนา เขารู้ว่าปู่จริงจัง แต่ไม่คิดว่าจะจริงจังถึงขนาดอยากไปเป็นเพื่อนบ้านของครอบครัวนั้น ยิ่งคิดยิ่งน่าสงสัยจนน่าหงุดหงิด ปู่ของเขาไปติดหนี้บ้านนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ หนี้ที่ว่าคงไม่ใช่เงิน แต่มันคืออะไรถึงขนาดต้องให้หลานแต่งงานกับผู้หญิงธรรมดาๆ ที่ไม่ได้เอื้อผลประโยชน์ทางธุรกิจ แล้วที่น่าถอนใจยาวๆ ยิ่งกว่าคงไม่พ้นภาวัตที่โทรมาหาเขาด้วยเรื่องของมัทนา
“วันจันทร์นี้ผมจะไปหาที่บริษัทนะพี่คิม ไปดูตัวสาวที่ปู่จัดให้เสียหน่อย” ภาวัตหัวเราะแบบฉบับหนุ่มอารมณ์ดีมีเสน่ห์ที่ทำให้สาวติดตรึม
“ไม่มีงานการทำหรือไง”
“แหม ถามแบบนี้เสียหมด มีทำสิครับ แต่ไม่อยากขัดใจปู่”
คิมหันต์เบ้ปาก อย่างภาวัตน่ะหรือไม่กล้าขัดใจปู่ น้อยไปสิ ใครที่หนีไปแข่งรถ แทนที่จะไปเรียนต่อปริญญาโท แล้วใครที่มาทำอาชีพเป็นนักแข่งรถทั้งที่ปู่หมายมั่นให้มาช่วยงาน ถึงตอนนี้จะมาช่วยบ้างแล้วก็เถอะ
“ถ้างั้นก่อนมาก็ไปเคลียร์สต๊อกผู้หญิงของแกให้ลงตัวก่อน ถ้าชอบขึ้นมาจริงๆ จะได้ไม่ทำให้ผู้หญิงเสียใจ อายุมากแล้วก็น่าจะจริงจังกับผู้หญิงดีๆ”
ภาวัตยิ่งหัวเราะเสียงดัง เขาเพิ่งยี่สิบเจ็ดจะรีบจริงจังกับใครไปทำไม น้อยกว่าคิมหันต์แค่ปีเดียว ไว้สักสามสิบค่อยคิดก็ยังไม่สาย ว่าแต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูสำคัญเสียจริง
“คนนี้ดีจริงๆ หรือ”
นั่นสิ แต่ใครจะไปรู้รวมๆ แล้วก็รู้จักแค่สองเดือน ปะทะคารมมากกว่าคุยดีๆ เท่าที่ทำงานมาเธอก็ถือว่าใช้ได้จากที่จิรัฐเคยเปรย แต่เรื่องอะไรจะบอก อยากรู้ก็ไปขวนขวายเอง ถ้าแม่เจ้าประคุณไม่จับทุ่มพื้น เห็นอย่างนั้นโหดใช่เล่น
ปวรเล่าให้ฟังวันก่อนว่ามีไอ้หนุ่มดวงกุดไปทำหมาหยอกไก่ใส่มัทนาเข้า คุณเธอเลยประเคนศอกสั้นแล้วจับทุ่มพื้น ยังดีที่จากกันด้วยดีไม่มีใครเอาเรื่องใคร
“ไม่รู้ ถ้าทำยังไม่ได้ก็ไม่ต้องรีบมา”
ภาวัตยังไม่ทันสวนสายก็ถูกวางไปแบบงงๆ ว่าเขาพูดอะไรผิด เขาเจ้าชู้ แต่ดูแลทั่วถึง ไม่มีเรื่องตบตีให้เป็นข่าวสักหน่อย แล้วที่สำคัญการคบของเขาอีกฝ่ายรู้ว่าไม่จริงจัง แล้วคิมหันต์จะจริงจังแทนผู้หญิงของเขาไปทำไมเนี่ย

วันจันทร์ตามที่ภาวัตนัดไว้ แต่คิมหันต์ยังไม่เห็นเจ้านั่นมาหามัทนาตามที่บอก จนล่วงมาวันอังคารถึงได้โทรมาบอกว่าอาจจะเข้ามาวันพฤหัสบดีไม่ใช่เพราะเคลียร์สาวลงตัว แต่เสร็จจากรายการแข่งรถที่เจ้าตัวเคยเป็นแชมป์แล้วต่างหาก ตั้งแต่วันนั้นที่ติดอยู่กลางทะเลด้วยกันจนถึงวันนี้เขายังไม่เห็นมัทนา ส่วนหนึ่งเพราะเขาเองที่มีงานล้นมือ และอีกส่วนก็เพราะเวลาไปฝ่ายวิจัยและพัฒนาทีไรเขาไม่เห็นเธอที่โต๊ะ
จนถึงตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าเรื่องมือปืนที่มาลอบยิงทั้งที่ผ่านมาสองเดือนแล้ว เมื่อคิดย้อนไปก็น่าขำ เขาได้พบมัทนาเพราะเหตุการณ์นั้น เรื่องราวได้ล่วงเลยมาจนปู่อยากได้เธอมาเป็นลูกสะใภ้ทั้งที่ไม่รู้จักกัน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้หญิงคนนี้ได้ช่วยเขาไว้ ร่างสูงเดินออกไปยังระเบียง ไม่เข้าใจตัวเองจู่ๆ มาคิดถึงยัยทอมจอมกวนโมโหให้สมองล้าขึ้นมาอีกทำไม
คิมหันต์มองวิวเบื้องล่างจากชั้นสิบเก้าของคอนโด แต่สายตามักมองไปยังบ้านที่ใครบางคนเพิ่งมาอยู่ไม่นาน บ้านหลังนั้นยังเปิดไฟสว่าง ลุงริชาร์ดจอดอยู่หน้าบ้าน น่าแปลกเขาไม่น่าจำชื่อพวกนี้ได้ แต่สมองไม่รักดีกลับจำติดหัวมาตั้งแต่รู้ว่ารถเก่าๆ คันนั้นชื่ออะไร จู่ๆ ประตูบ้านก็เปิดออก ร่างเพรียวเดินแกมวิ่งออกมาแล้วเปิดรั้วและยืนอยู่ตรงนั้นอยู่ชั่วครู่ ก่อนขับรถออกไป
“จะไปไหนดึกดื่นป่านนี้ ฝนก็กำลังจะตก”
ด้วยความสงสัยเขาคว้ากุญแจรถกับกระเป๋าสตางค์แล้ววิ่งไปที่ลิฟต์ ตัดสินใจไม่โทรเรียกรหัทเพราะคิดว่าคงไม่ได้ไปไหนไกล เขาออกมาจากลิปต์ได้ก็รีบไปที่ลานจอดรถซึ่งวิ่งเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึง พอเข้ามาในรถได้ก็รีบขับออกไป รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับตามไม่คลาดสายตา

ท่ามกลางสายฝนที่กำลังโปรยปรายในเวลาเกือบสามทุ่ม มัทนาเปิดที่ปัดน้ำฝนแล้วขับรถให้ช้าลง เธอเพิ่งบอกพี่ชายไปว่าจะกลับบ้าน ยายป่วยทั้งคนจะให้สบายใจนอนหลับได้อย่างไร แค่ขับไปได้เรื่อยๆ ไม่น่ากังวลนักเพราะยังมีเพื่อนร่วมทางทั้งสองฝั่งของถนนแม้จะบางตาไปมาก
เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่มเกิดเบาลง เธอเหยียบคันเร่งเลี้ยงไว้ไม่ให้เครื่องดับ ยื้อได้ไม่นานลุงริชาร์ดก็นิ่งสนิท ยังดีที่เธอพอมีสติหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าจอดข้างทางตรงที่มีแสงไฟเพื่อความปลอดภัย
“ลุงริชาร์ดเอ๊ย ทำไมมาหมดแรงเอาตอนนี้ คนกำลังรีบๆ แล้วฝนน่ะไปตกเวลาอื่นไม่ได้หรือไง”
บ่นไปก็เท่านั้น กล่องเครื่องมือที่อยู่ติดรถถูกคว้ามาวางบนตัก ถ้าออกไปตอนนี้คงไม่ไหวแน่ๆ ฝนตกหนักอย่างกับใครมารัวปืนกลใส่ ทำได้แค่รอให้ฝนซาลงเท่านั้น ถ้าทำให้ลุงริชาร์ดกลับมาติดไม่ได้สงสัยต้องโทรหาเดชาให้มารับและลากลุงริชาร์ดกลับบ้านก่อน
ยังไม่ทันได้หยิบโทรศัพท์ใครก็ไม่รู้ดันมาบีบแตรใส่ เธอหันไปมองข้างหลังตาขวาง รถคุ้นๆ แต่ไม่แน่ใจ ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นคนในรถก็ลงมาจากรถแล้วกางร่มเดินมาหา เธอไขกระจกลง สงสัยครามครันว่าเขามาทำอะไรแถวๆ นี้
“กำลังจะไปไหน แล้วรถเป็นอะไร”
“รถมันอู้ค่ะ แล้วบอสออกมาทำอะไร”
“ฉันออกมาทำธุระ แล้วเธอน่ะกำลังจะไปไหน” คิมหันต์ตอบอย่างมั่นใจว่าไม่ได้โกหก ธุระของเขาก็คือการตามมัทนามาอย่างไรล่ะ นึกว่าจะตามไม่ทัน ที่ไหนได้
“กลับบ้านสวนค่ะ มีธุระสำคัญ”
“แล้วนี่เธอจะไปยังไงล่ะ รถมันอู้เสียแล้วน่ะ”
“เดี๋ยวโทรบอกเดชาให้ช่วยก็คงได้ค่ะ คืนนี้คงไปไม่ได้แล้ว กลับบ้านก่อนดีกว่า บอสจะกลับบ้านก็ตามสบายนะคะ เดี๋ยวฉันขอโทรหาเดชาก่อน”
คิมหันต์เกือบยิ้ม ถ้ามัทนาเหมือนผู้หญิงทั่วไปเขาคงไม่แปลกใจเท่านี้ ถ้าเขาไม่เข้ามาถาม เธอคงมีทางออกสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ดี แต่เดชาไว้ใจได้แค่ไหนหรือ เป็นผู้หญิงทำไมไว้ใจผู้ชายแปลกหน้าง่ายนัก
“ถ้างั้นฉันไปส่งเธอเอง ส่วนรถเดี๋ยวฉันโทรบอกให้รหัทช่วยจัดการให้ จะได้ไม่ต้องมากลัวรถหาย”
มัทนามองคิมหันต์เหมือนมีตาดวงที่สามตรงหน้าผากของเขา คราวก่อนพาเธอไปส่งบ้านก็เพราะไม่อยากเป็นหนี้ที่เคยช่วยเขาหนีมือปืน แล้วครั้งนี้ล่ะช่วยเพราะอะไร
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่อยากรบกวน”
คิมหันต์ขมวดคิ้วใส่ “จะให้ฉันพาเธอออกมาจากรถ หรือจะลงมาดีๆ ยิ่งโยกโย้ก็ยิ่งดึก”
คนถูกช่วยชักไม่แน่ใจ ให้ตายเถอะ ถ้าเขาไปขอช่วยใครแล้วทำหน้าหิวเลือดแบบนี้มีหวังคนถูกช่วยได้ช็อกตาย แต่มีคนช่วยน่าจะดีกว่านั่งรอเดชาอยู่ตรงนี้ล่ะน่า ยิ่งดึกก็ยิ่งเปลี่ยวน่ากลัวเหมือนกัน หรือว่าจะไม่ไปดี บอกพี่ไม้ไปแล้วนี่
“ขอบคุณค่ะ”
เธอลงมาจากรถพร้อมกระเป๋าเป้ใบเก่ง คนออกคำสั่งยังยืนรอแล้วพากันเดินไหล่เบียดไหล่ไปยังรถที่เปิดไฟทิ้งไว้ คิมหันต์ช่วยเปิดประตูรถให้เธอเข้าไปนั่งแล้วปิดประตูให้ก่อนจะเดินมาประตูอีกฝั่ง เขาเข้ามาในรถสะบัดน้ำออกจากร่มแล้วส่งมาให้มัทนาช่วยเก็บ เธอช่วยม้วนแล้วติดกระดุมให้แล้ววางไปที่พื้นด้านหลัง ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเก็บตรงไหน
“ทำไมต้องกลับบ้าน เอาไว้ตอนเช้าไม่ได้หรือไง ที่ถามเพราะเห็นเธอร้อนใจ รู้ไหมผู้หญิงคนเดียวขับรถมันอันตราย”
“พี่ไม้โทรมาบอกว่ายายลื่นล้มกำลังพาไปหาหมอ แล้วจะให้ฉันนอนหลับสบายอยู่ที่บ้านได้ยังไงล่ะคะ ไหนๆ นอนไม่หลับก็ไปดูอาการให้เห็นกับตาดีกว่า”
ฟังแล้วคิมหันต์รู้สึกละอายอยู่ในใจ ตอนที่ตามมัทนามาเขาคาดเดาไปว่าเธอคงนัดกับใครไว้ อาจเป็นเดชาหรือหนุ่มๆ ในบริษัท แต่กลับผิดคาด เธอตรงไปตรงมา ต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง
“ถ้างั้นก็ช่วยกันดูทาง”
มัทนาหันมายิ้มให้ ก่อนหน้าที่จะรู้ว่าเขาเป็นใครและหลังจากรู้ว่าเขาเป็นใคร สิ่งที่คิมหันต์ทำไม่เคยเปลี่ยน เธอเองก็ไม่เปลี่ยนเหมือนกัน อย่างน้อยมีเจ้านายดีไม่บ้าอำนาจย่อมเป็นบุญอันแสนประเสริฐของลูกน้อง เธอช่วยมองทาง
ในรถเงียบเมื่อคนหนึ่งไม่รู้จะพูดอะไร ส่วนอีกคนมีบางอย่างในใจแต่พูดออกมาไม่ได้ เหมือนจะน่าอึดอัด แต่กลับสบายๆ เขาโทรบอกให้บอดี้การ์ดมาลากรถของเธอและบอกว่ากำลังจะไปที่ไหน คนของเขาบอกว่าเสร็จงานที่สั่งแล้วจะขับรถตามไป
มอเตอร์ไซค์ที่ขับตามยังคงตามมาเพียงแต่ใส่เสื้อกันฝนเพิ่มเท่านั้น นายจ้างของเขาสั่งมาแล้วว่าลงมือได้เมื่อไหร่ก็จัดการได้เลย ตายสถานเดียว ปลอดคนเมื่อไหร่ เขาจะลงมือทันที

ฝนยังคงตกหนักมีฟ้าแลบเป็นพักๆ มัทนามองทางที่เต็มไปด้วยสายฝนแล้วเริ่มรู้สึกผิด ถ้าเมื่อครู่เธอไม่คิดถึงแต่ตัวเองเขาคงไม่ต้องมาลำบากขับรถให้ ถ้าทางปกติก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ฝนตกมองไม่ค่อยเห็นทางจนต้องขับแบบแทบคลานทำให้รู้สึกดีกับคิมหันต์ขึ้นมาอีกหน่อย ครั้นจะขอให้เขาเลี้ยวกลับก็ใช่ที่ เราเดินทางมาค่อนทางแล้ว อีกชั่วโมงเดียวความเร็วแบบคลานก็น่าจะถึง แต่ถ้าขับกลับในสภาพแบบนี้คงเกือบสองชั่วโมงกระมัง
“ให้ฉันช่วยขับไหมคุณ บอกตรงๆ รู้สึกเกรงใจ มันเป็นธุระของฉันแท้ๆ เลย”
“ตอนนี้คุณยายอยู่โรงพยาบาลหรือว่ากลับมาที่บ้านแล้ว” เขาห่วงหญิงชราที่เคยพบเหมือนกัน ไม่ใช่นึกอยากจะช่วยมัทนาอย่างเดียวหรอก
“ตอนโทรถามกำลังไปโรงพยาบาลค่ะ แต่เดี๋ยวฉันโทรถามอีกทีดีกว่า”
มัทนารีบโทรถามแม้ว่าจะกลัวฟ้าแลบอยู่ไม่น้อยเลยรีบคุยรีบวาง “ตอนนี้ยายกลับบ้านแล้วค่ะ ถ้างั้นเราไปบ้านกัน”
คิมหันต์หันมามองมัทนา เธอส่วนเธอ เขาส่วนเขา เพราะฉะนั้นคงใช้คำว่าเราไม่ได้ มัทนาหันมาเห็นอดใจไม่ไหวก็ต้องถามเสียหน่อย
“จ้องทำไม ฉันพูดอะไรผิดหรือคะ”
“ช่วยกันดูทางเลย เห็นไหมว่าฝนยังตกหนักอยู่ คงไปได้ช้าๆ ตลอดทาง เธอไม่ได้รีบมากแล้วใช่ไหม” เขาหันมาถาม
“ช้าๆ นั่นแหละค่ะดีแล้ว ปลอดภัย”
ถนนเริ่มเปลี่ยวเมื่อมีรถขับตามมาเพียงเห็นไฟลิบๆ เช่นเดียวกันถนนอีกฝั่งที่เงียบกริบ แสงไฟของรถที่ขับตามสะท้อนกระจกจนคิมหันต์ต้องหันไปมองด้วยความสงสัย รถถูกเบี่ยงเลนในเสี้ยววินาทีพร้อมๆ กับความเงียบถูกแทนที่ด้วยเสียงปืนดังสนั่น
“ปัง ปัง ปัง!”
มัทนาตะลึงอึ้งเกือบกรีดร้องถ้าไม่เห็นเสียก่อนว่ากระจกยังอยู่ครบทั้งบานไม่ได้ร่วงกราวเพราะกระสุนปืนที่ติดแหง็กอยู่ในเนื้อกระจกซึ่งร้าวเป็นวงกลม แต่ไม่แตก
“โจทก์ของคุณใช่ไหมเนี่ย”
“ไม่น่าถาม”
คิมหันต์ไม่ได้ตกใจเท่าไหร่ เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เขาประมาทเกินไปเพราะตลอดสองเดือนตั้งแต่มีปัญหาเรื่องงานไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พวงมาลัยถูกหักเลี้ยวกะทันหันเพื่อเข้าสู่ซอยซึ่งมัทนาไม่รู้ว่าข้างหน้ามีอะไร รถมอเตอร์ไซค์ที่ติดตามต้องเสียเวลากลับรถด้วยความไม่คาดคิดว่าเป้าหมายจะยึดทางรองแทนทางหลัก
“จะเลี้ยวไปไหนล่ะคุณ”
“เรากำลังเป็นเป้า เข้าซอยหนีง่ายกว่า”
มัทนาไม่เสียเวลามาเถียงในเรื่องที่ไม่แน่ใจ การช่วยเขามองทางน่าจะได้ประโยชน์กว่า เขาหักเลี้ยวอีกครั้ง เธอเปิดประจกฟังเสียงก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ยังตามมา แต่ยังไกลอยู่ ปัญหาแรกตามมาเพราะไฟดับ ถนนทั้งสายที่เห็นเหลือเพียงความมืดตึ๊ดตื๋อ แล้วจะหนีกันยังไง รถเลี้ยวอีกครั้งเธอกระดอนไปทางเขาแม้ว่าจะคาดเข็มขัด อีตาคิมเป็น CEO หรือว่านักซิ่งรถกันแน่เนี่ย ถ้าดริฟรถเป็นอีกอย่างเธอคงไม่สงสัยเลย
“เดี๋ยวจอดรถแล้วรีบวิ่งให้เร็วที่สุด ลึกเข้าไปมีบ้านคนอยู่ เข้าไปหลบที่นั่น”
“แล้วทำไมคุณพูดอย่างกับว่าจะไม่ไปด้วยกัน” อีกคำถามที่สำคัญ...เขารู้ได้ยังไง แต่ไม่สำคัญเท่าตอนนี้เรากำลังหนีตายด้วยกันอีกแล้ว
“เดี๋ยวฉันจะยิงสกัดพวกมันก่อน ถ้าไม่เห็นฉันตามไปก็รีบขอให้เจ้าของบ้านช่วยพาไปสถานีตำรวจ” เขาเคยนั่งรถผ่านเห็นว่ามีบ้านอยู่ข้างบน แต่ต้องเดินไกลเหมือนกัน แม้ไม่ได้รู้จักเจ้าของบ้าน แต่ตอนนี้ถึงไม่รู้จักก็ขอความช่วยเหลือได้
“พอเลย ไปด้วยกันนั่นแหละ ถ้าคุณตาย แล้วฉันรอด มันจะดีตรงไหน”
คิมหันต์ขี้เกียจเถียงเดี๋ยวได้ตายกันทั้งคู่ “ก็ได้ เราจะหนีด้วยกัน”
เขาขับรถเข้าไปจอดในซอกระหว่างโคนต้นไม้ซึ่งพื้นเรียบไม่ได้หลั่นลงไปแล้วปิดไฟดับเครื่องยนต์ รีบออกมาจากรถและกดเรียกรหัท ตอนนี้ไม่มีเวลาคุย มัทนาเข้ามาสมทบแล้วก็วิ่งตัดถนนขึ้นไปบนเนินที่มีต้นไม้อยู่ไม่น้อย เธอมองไม่เห็นทางเลยต้องจับมือคิมหันต์แล้วเดินตามเขาไป มีไม้เกี่ยวเราหลายครั้ง
“โอ๊ะ!”
เธอล้มจนเกือบกลิ้งถ้าไม่มีมือหนาคอยฉุดรั้งไว้แล้วประคองเอวให้ลุกขึ้นมา ดินโดนฝนเลยลื่นจนเดินลำบาก
“ระหวังหน่อย ทางมันลื่น”
เธอพยักหน้าไม่มีแรงพูดเก็บแรงเอาไว้หอบดีกว่า เรายังคงเดินต่อไปท่ามกลางความมืดและสายฝน หวังใจว่าจะพบบ้านคน ฝนยังคงตกกระแทกใส่จนเจ็บหน้าไปหมด แต่ต้องทนไว้และเดินต่อไป
“มันยังตามมาอยู่ไหมคุณ”
“อาจจะ ถ้ามันพบรถ ก็อาจจะตามหาบริเวณรอบๆ กลัวเหรอ” เขาก้มหน้าลงมาถามคนตัวเริ่มสั่น ไม่รู้กลัวหรือว่าหนาว
“ถ้าไม่กลัวสิแปลก”
ฟ้าแลบทำให้เห็นบ้านหลังเล็กซึ่งอยู่ท่ามกลางป่าซึ่งไม่ใช่บ้านหลังที่คิมหันต์หมายตาไว้ แต่ก็พอใช้หลบฝนได้ เมื่อมองไปตามแสงของสายฟ้าจะเห็นฮวงซุ้ยอยู่สองหลัง อีตาคิมพาเธอมาที่ไหนเนี่ย มัทนาทั้งกลัวทั้งอยากว๊าก เราเดินไปหลบฝนที่ชายคา คิมหันต์เคาะประตูแต่กลับเงียบ เธอลองส่องไปที่ช่องบานเลื่อน แต่ก็ไม่เห็นอะไรมากนัก
“เจ้าของบ้านไปไหน เรียกตั้งนานแล้วยังไม่เปิดประตูออกมาเลย”
“อาจจะไม่มีใครอยู่” เธอเดาล้วนๆ
คิมหันต์ใช้มือลองยันประตูดูว่านอกจากลูกบิดแล้วข้างในใส่กลอนหรือเปล่า พอแน่ใจว่ามีแต่ลูกบิดก็ใช้ไหล่กระแทกอยู่หลายครั้งจนประตูเปิดผาง มัทนาเหวอไม่นึกว่าเขาจะฮาร์ดคอร์กว่าที่คิด
“จะดีหรือคุณ ถ้าเจ้าของบ้านกลับมา”
“เข้ามาเถอะน่า ตอนนี้เธอต้องการเสื้อผ้าแห้งๆ เปลี่ยนก่อนจะไม่สบาย” เขาไม่บอกเปล่ายังดึงมือให้มัทนาตามเข้าไปแล้วปิดประตูไม่ให้ฝนสาด
เราต่างเงียบกริบ ไม่มีเสียงอะไรนอกจากเสียงฝนกระทบหลังคากับเสียงฟ้าร้อง ฟ้าแลบเป็นระยะทำให้เห็นว่าที่นี่อาจจะเป็นแค่บ้านพักคนงานเพราะพอเอามือลูบโต๊ะนี่ฝุ่นติดนิ้วมาเลย คิมหันต์เดินไปค้นตรงตู้เสื้อผ้าเพื่อหาเสื้อผ้าแห้งๆ ในตู้มีผ้าถุง กับเสื้อผ้าเก่าๆ อยู่บ้าง
“ทำไมเราไม่โทรหาตำรวจ”
“อีกประเดี๋ยวคนของฉันก็จะมา” เขากดเรียกรหัทแล้วสิ่งนี้บอดี้การ์ดรู้แล้วว่าเกิดอันตราย แล้วที่เขาไม่บอกตำรวจเพื่อกันนักข่าว ตำรวจรู้ นักข่าวรู้ ธุรกิจของเขาเข้าตลาดหลักทรัพย์ มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาก็ส่งผลเป็นโดมิโนแล้ว “รับไปสิ คงพอใส่ได้ มืดหน่อยนะ เรายังต้องระวัง เปิดไฟไม่ได้”
มัทนารับเสื้อผ้ามามองไม่เห็นหรอกว่าเป็นยังไง ตอนนี้แค่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าที่แห้งๆ ก็พอแล้ว
“ฉันเข้าใจหรอกน่า ฉันจะไปห้องโน้นนะ”
คิมหันต์มองไปยังห้องข้างๆ ที่เป็นเพียงช่องวงกบโล่งๆ ไม่ได้ใส่บานประตู มัทนายืนค้างตรงช่องโล่งหันมามองร่างสูงอย่างไม่แน่ใจ ถึงจะมองไม่ค่อยเห็น แต่ก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร
“ถ้ากลัวว่าฉันจะไปแอบมองคงไม่ต้องกลัว มองไม้กระดานคงไม่ต่างกัน”
มัทนายิ้มกว้างในความมืด ตอนนี้ต้องสามัคคีห้ามโกรธกัน เธอเดินหลบไปหลังผนังที่ทำจากไม้ รู้สึกว่าบ้านโยกเยกตามแรงลม แต่ยังคิดในแง่ดีว่าอีกประเดี๋ยวพายุคงสงบ คิมหันต์ได้ผ้าขาวม้ากับเสื้อตัวใหญ่ไม่รู้ว่าสีอะไรมา คิดว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วจะโทรหารหัทให้รู้ว่าอยู่ที่ไหน เขาถอดกางเกงแล้วใส่ผ้าขาวม้าแทน ตามด้วยถอดเสื้อเปียกๆ ออก คว้าเสื้อแห้งมากำลังจะใส่
“กรี๊ด!!”
“มีอะไร”
เขาวิ่งไปหามัทนาด้วยความห่วงว่าเธอจะเป็นอะไร ไม่มีเสียงตอบ เขาเข้าไปคว้าตัวเธอไว้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธออยู่ในสภาพไหนจนกระทั่งอกหนาแนบกับอกนุ่มอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ปล่อยนะคุณ!”
มัทนาตะโกนลั่น คิมหันต์เองก็ตกใจไม่น้อยกำลังจะปล่อยแขนในฉับพลันนั้นบางสิ่งได้ร่วงลงมาจากท้องฟ้าทะลุกระเบื้องหลังคาลงมาไม่ขาดสาดสาย แล้วยังไม่ทันที่เราจะก้าวออกไปจากตรงนั้น สิ่งที่น่ากลัวพลันเกิดขึ้น ร่างบางสั่นเทากอดร่างหนาเอาไว้แน่น แขนแข็งแรงกอดเธอไว้อย่างปกป้องสุดชีวิต
โครม!!

รหัทขับรถมาตามคิมหันต์ทันทีเมื่อได้รับสัญญาณเรียกเมื่อสิบนาทีก่อน คนแรกที่เขาโทรหาคือคิมหันต์ มีสัญญาณแต่ไม่มีคนรับสาย พอโทรซ้ำคราวนี้ไม่มีสัญญาณเครื่องเหมือนปิดไปแล้ว ระหว่างการเดินทางเขาโทรหาคุณทีปต์ให้รู้ถึงสถานการณ์ที่เขาเองไม่ได้รู้อะไรมากกว่าที่บอก
“เกิดเรื่องกับคุณคิมครับ ตอนนี้สัญญาณโทรศัพท์ก็หายไปแล้ว ผมจึงไม่ทราบสถานการณ์ที่แท้จริง ขอโทษด้วยครับ”
“ฉันจะเรียกคนไปช่วยนายอีก ตามหาหลานชายของฉันให้พบโดยเร็วที่สุด ส่งพิกัดมา ฉันจะไปสมทบที่นั่น” ถึงจะวางมือในวัยเกษียร แต่เขี้ยวเล็บของคนที่เคยเป็นมาฟียมาก่อนยังมีอยู่
“ครับ คุณทีปต์”
รอเพียงไม่กี่วินาทีพิกัดสุดท้ายของคิมหันต์ก็ปรากฏที่จอโทรศัพท์ ทีปต์โทรหาอดีตมือขวาเพื่อสั่งรวมคนแล้วเดินทางไปสมทบหลังจากนั้นไม่กี่นาที คนเป็นปู่ที่ผ่านการเสียลูกชายมีหรือจะไม่นึกกลัว แต่เขายังมั่นใจว่าหลานชายจะเอาตัวรอดได้ คิมหันต์ต้องไม่ตายเร็วอย่างพ่อแม่ของมัน

การค้นหาใช้เวลานานขึ้นเมื่อพิกัดสุดท้ายอยู่แถวๆ ถนนสุขุมวิทใกล้ถึงศรีราชา รหัทสั่งให้คนกระจายการค้นหาและติดตามสัญญาณ GPS จากรถที่ออกแบบมาทั้งกันกระสุนและสามารถติดตามหากสูญหายได้ด้วย สัญญาณ GPS อ่อนมาก แต่ก็พอเป็นเบาะแสมากกว่าเดิม เขาเดินทางต่อไปยังปลายทางของสัญญาณที่เริ่มแรงขึ้น แม้ว่าฝนจะยังคงตกอยู่ การค้นหายังดำเนินต่อไป
ฝนเริ่มซาแต่ปัญหายังคงไม่หมดลงเมื่อไฟยังคงดับเพราะฟ้าแรงกระแสไฟถูกตัดชั่วคราว ทำให้ต้องใช้ไฟฉายและไฟจากหน้ารถในการตามหาสัญญาณซึ่งน่าจะใกล้เคียงกับจุดสุดท้ายที่คิมหันต์กดเรียกเขา คุณทีปต์โทรมาถามความคืบหน้าระหว่างเดินทางมา ส่วนคนของเขาบางคนอยู่ในพื้นที่ไปช่วยรหัทแล้ว
เมื่อเข้าซอยที่จะนำไปสู่ทางที่ลึกเข้าไปและมืดจนน่ากลัว สัญญาณ GPS มาบรรจบกันตรงจุดหนึ่งของทาง รหัทสั่งให้จอดรถแล้วค้นหา แล้วเพียงชั่วอึดใจข่าวดีแรกก็มา
“พบรถแล้วครับและพบศพถูกฟ้าผ่า”
“อยู่ที่ไหน” รหัทเดินไปตามเสียงของผู้ค้นพบ
รถถูกจอดกินเข้าไปข้างทาง ถ้าไม่สังเกตหรือไม่มีสัญญาณนำทางคงหาลำบากไม่น้อย ไม่มีใครอยู่ในรถ แต่กระสุนสามนัดฝังอยู่ที่กระจกด้านคนขับ รถถูกล็อคไว้ แสดงว่าคิมหันต์ยังไม่ได้จวนตัวมีเวลาพอที่จะล็อครถก่อนออกไปจากตรงนี้
รหัทเดินต่อไปยังร่างที่คนของคุณทีปต์กำลังตรวจสอบ ถึงจะมั่นใจว่าอย่างไรเสียคิมหันต์ต้องเอาตัวรอดได้ แต่ก็อดที่จะใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่ได้อยู่ดี เขาควรห้ามนายไว้หรือไม่ก็ขอให้นายรอเพื่อที่จะเดินทางมาด้วยกัน แล้วมัทนาเล่าอยู่ที่ไหน ร่างของผู้เสียชีวิตไหม้เกรียมกลิ่นไหม้คลุ้ง บริเวณใกล้ๆ กันต้นไม้ถูกฟ้าผ่าลำต้นดำเป็นตอตะโกขวางถนน ไฟฉายส่องไปที่ใบหน้านั้น
“ไม่น่าใช่คุณคิมครับ”
รหัทถอนใจโล่งอกรีบสั่งให้ทำการค้นหาในรัศมีโดยรอบจากรถที่พบ การค้นหาเริ่มต้นอีกครั้ง ฝนซาลง แต่ทางลื่นและมืดมาก แม้จะส่องไฟฉายก็ไม่ใช่เรื่องง่ายในการตามหาใครสักคนในสภาพแบบนี้ เสียงตะโกนหาคิมหันต์ดังระงมไปทั่วบริเวณ ทว่ากลับไม่มีเสียงตอบกลับมาแม้แต่ครั้งเดียว



บรรพตี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.พ. 2558, 11:51:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.พ. 2558, 11:51:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 1124





<< ตอนที่ 6 (ลงใหม่)   ตอนที่ 8 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account